ผีพระ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย art, 29 ตุลาคม 2007.

  1. art

    art เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +407
    ผีที่จะพูดต่อไปนี้ ก็เป็นผีพระวัดท่าเรือ ตำบลแพงพวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี วัดนี้อาตมาไปสร้างโบสถ์ ก่อนที่จะไปสร้างโบสถ์มีคณะกรรมการวัดเขามาหา เขาบอกว่าวัดนั้นอยู่ดอนมาก ไปกลางทุ่งหลายกิโล ทางเรือก็ไปลำบาก ทางเดินก็ไปลำบาก งานก่อสร้างก็เป็นไปไม่ได้ด้วยดี ชาวบ้านก็รู้สึกว่าไม่สู้จะร่ำรวย เป็นบ้านคนจนมาก เขามาขอร้องให้ไปช่วย ในเมื่อเขาขอร้องก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อน ถามหลวงพ่อปานก่อน ก็เลยเข้าห้องบูชาพระ บวงสรวงชุมนุมเทวดาเสร็จ ก็อาราธนาพระมา เห็นหลวงพ่อปานท่านมา ก็เลยเรียนถามว่าวัดท่าเรือเขาให้ไปช่วยสร้างโบสถ์ จะไปได้ไหมขอรับ ท่านก็บอกว่ารับได้ รับช่วยเขาได้ ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า วัดนี้อยู่ดอนมาก การคมนาคมไม่สะดวก รถก็ไปไม่ถึง เรือยนต์ก็เข้าไม่ถึง คนจะต้องเดินกันตั้งแต่ท่าน้ำขึ้นที่วัดสีดา เกือบชั่วโมงหรือชั่วโมงกว่าจะถึงวัด จะสร้างไหวหรือขอรับ ท่านก็บอกว่าทำได้
    ในเมื่อท่านรับ ก็ออกมาจากห้องบูชาพระ บอกว่าหลวงพ่อปานท่านรับได้ ท่านรับช่วย ฉันก็จะช่วย ถ้ายังงั้นขอให้ช่วยกันก็แล้วกัน ก็เป็นอันตกลงว่าจะช่วยกัน ทีนี้วันไปดู ก่อนที่เขาจะกลับก็บอกว่า เวลาที่ท่านจะไปดูสถานที่นิมนต์เอาฝนไปด้วยนะขอรับ ถามว่าทำไมล่ะ แกก็บอกว่าแล้งมากเหลือเกิน ปีนี้ตั้งแต่เดือน 3 มาแล้วถึงเดือน 5 นี่ ฝนไม่ตกเลย ก็เลยบอกแกว่าฉันไม่ใช่เจ้าของฝนนี่ ฉันจะเกณฑ์อะไรไม่ได้ ฉันจะหาฝนไม่ได้ แล้วอีกประการหนึ่งฉันไม่ใช่พระอภิญญาสมาบัติ ถ้าฉันได้อาโปกสิณละก็ ฉันจะบังคับฝนให้ตกตามความพอใจของแก เขาก็ยืนยันบอกว่า เขาลือกันว่าลูกศิษย์หลวงพ่อปานเก่ง ต้องมีฝน ก็เลยบอกว่าถ้าพูดอย่างนั้นมันไม่ถูกแน่ ลูกศิษย์หลวงพ่อปานเก่งจะเก่งได้ยังไง ในเมื่อหลวงพ่อปานเองท่านยังไม่รับรองว่าตัวท่านเก่ง เวลาท่านทำอะไรท่านก็บอกว่าพระเก่ง หรือเทวดาเก่ง พรหมเก่ง นี่หมายความว่าอาศัยบารมีพระ อาศัยบารมีพรหม อาศัยบารมีเทวดา พวกคุณมาว่าอย่างนี้นี่ เป็นการทำลายศักดิ์ศรีลูกศิษย์หลวงพ่อปาน คนที่ไม่เก่งไปบอกว่าเก่ง ในเมื่อไปลือกันว่าเก่งแล้ว ถ้าทำอะไรไม่ได้ตามที่เขาต้องการแล้วคุณคิดหรือว่าความดีมันจะปรากฏ หรือว่าความชั่วมันจะปรากฏ เขาก็ยิ้ม แล้วในที่สุดเขาก็บอกว่า เอายังงี้ก็แล้วกันกระผมแน่ใจว่าท่านไปนี่ต้องได้ฝนไปด้วย ก็เลยบอกเขาว่าถ้าพระจะกรุณามีฝน หรือบรรดาพรหมกรุณาก็มีฝน ถ้าพระหรือพรหมหรือเทวดาท่านไม่กรุณาก็ไม่มีฝน เพราะฉันเองบังคับฝนไม่ได้ เป็นอันว่าเขาก็ลากลับ
    ถึงเวลากำหนดที่จะเดินทางก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า เขาขอฝนไว้ แล้วผู้พูดเองก็ไม่ทราบว่าจะไปเอาฝนที่ไหน มองไปมองมาไม่รู้จะไปหาฝนที่ไหนก็เลยเข้าห้องพระบูชาพระพอบูชาพระก็ปรากฏว่าเห็นหลวงพ่อปานท่านมา ท่านตายแล้วนะ จะเรียกท่านว่าผีหรืออะไรก็ตามใจเถอะ อีตอนนี้ยังไม่เกณฑ์ให้เป็นผีหรอก เป็นหลวงพ่อก่อน แต่ว่าท่านผู้ฟังจะเห็นว่าท่านเป็นผีหรือเป็นอะไรก็ตามใจ ในเมื่อปรากฏว่าท่านมาแล้ว ท่านก็บอกว่าเขาต้องการฝนก็ได้นี่ลูก ถามว่าจะเอาที่ไหนละขอรับ ผมก็ไม่ได้อภิญญา ได้อาโปกสิณละก็จะทำฝนให้ปรากฏ ท่านบอกว่าไม่ต้อง อาศัยบารมีพระพุทธเจ้าดีกว่า ไม่ลำบาก ก็พระพุทธชินราชที่เธอหล่อไว้น่ะ ให้ฝนดีน่ะ เธอลืมหรือยัง นับตั้งแต่หล่อพระพุทธชินราชองค์นี้มาน่ะฝนไม่เคยขาดตำบล นาบ้านนี้ดีตลอดเวลา แต่คนที่จะรู้คุณพระชินราชก็ดีหรือว่ารู้คุณของเธอก็ดี มันมีสักหนึ่งในพันเท่านั้นแหละ คนบ้านนี้มันไม่มองเห็นความดีของบุคคลอื่นหรอก แล้วอย่าไปถือมันนะ ชาวโลกมันก็เป็นยังงี้เสมอ ถ้ามันดีมันก็ไปนิพพานกันหมด นรกไม่มีใครไป แต่สวรรค์ยังจะหาคนไปยาก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องไปพรหม แล้วก็ไปนิพพาน แล้วก็คนบ้านนี้เธอดูซี มันไปสวรรค์กันที่ไหน มนุษย์มันก็ยังไม่อยากมาเลย มันพอใจไปนรกกัน แล้วเวลาฉันอยู่ฉันขอให้มันถือศีล 2 มันทำกันได้ทั้งตำบล พอฉันตายแล้วมันก็ขาดศีล 2 ทั้งหมด แล้วก็ขาดทั้ง 5 ตัวเสียด้วย หาคนที่ทรงศีลห้าได้ยากเต็มที แม้แต่ศีล 2 ที่ฉันขอไว้ก็หาตัวได้ยาก ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่าจะทำยังไง ท่านก็บอกว่าไปบูชาพระพุทธชินราช อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า บอกว่าเวลาไปเมื่อคลองมันเล็ก ก็ต้องไปเรือยนต์เล็กๆ ไม่งั้นเข้าคลองนั้นไม่ได้ บ่ายเรือเข้าคลองให้อากาศครึ้ม ฝนตกพรำๆ น้อยๆ ยังไม่มีอันตราย พอไปถึงวัดนั้นแล้วพอขึ้นนั่งเรียบร้อยขอให้ฝนตก 2 ชั่วโมง เม็ดหนักๆ ไม่มีลม ให้ตกหนัก 2 ชั่วโมง ถามว่าท่านจะโปรดได้หรือขอรับ ท่านก็บอกว่า ทำดูก่อน เพราะเธอไม่ได้รับปากเขาไว้ว่าจะเอาฝนไปให้เขาถึงแม้ว่าฝนจะไม่ตก เราก็ไม่เสียชื่อ ถ้าฝนตกก็จงอย่านึกว่าเราดี ก็คิดว่าพระพุทธเจ้าดีเสียนะ ไม่ใช่เราดี ก็นมัสการท่าน การบูชาพระพุทธชินราชก็ไม่ยาก เพราอยู่ในห้องอยู่แล้ว เขาหล่อเสร็จจะต้องไว้ที่หอสวดมนต์ เป็นพระเล็กๆ นะ ขนาด 20 นิ้ว เวลาจะเอาไปตั้งที่หอสวดมนต์ท่านก็บอกว่าอย่าเลยคนอื่นไม่รู้จักฉัน เธอคนเดียวที่รู้จักฉันเมื่อเวลาไปก็อาราธนาท่านว่าขอฝน ว่าเวลาเรือเข้าปากคลองแพงพวยให้ฝนตกพรำๆ อากาศครึ้ม พอนั่งเสร็จเรียบร้อยดีแล้วก็ขอให้ฝนตกหนัก ไม่มีลมไมมีอันตรายเม็ดใหญ่ๆ สัก 2 ชั่วโมง พอบูชาท่านเสร็จท่านก็ไม่ได้ตอบว่ายังไง ไม่เห็นท่านตอบ ท่านเฉยเพราะว่าพระพุทธรูปปกติท่านก็ไม่พูดอยู่แล้ว
    พอวันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทาง ขณะเดินทางก็นึกถึงหลวงพ่อปานนึกถึงครูบาอาจารย์ นึกถึงเทวดา นึกถึงพระทั้งหมด นึกอยู่ตลอดเวลา พอเรือบ่ายเข้าปากคลองแพงพวยอากาศครึ้ม ฝนเริ่มตกพรำๆ จริงๆ ก็นึกว่า เอ พระท่านโปรดเราแล้ว เรือวิ่งเข้าคลองไปสักชั่วโมงก็ถึงวัด ตอนนี้พอขึ้นไปชาวบ้านเขารู้กำหนด เขาก็มาต้อนรับกันมาก เรียกว่ามากันเกือบทั้งตำบล ทั้งผู้ใหญ่ เด็กๆ ก็พอมีบ้าง ขึ้นไปเขาปูเสื่อปูสาดไว้ พอนั่งเรียบร้อย พอเขาประเคนหมากบุหรี่เสร็จเท่านั้นแหละฝนลงขนาดหนัก เม็ดโตๆ มองนาฬิกาไว้ 2 ชั่วโมงพอดี พอครบ 2 ชั่วโมงก็ขาดเม็ดอากาศโล่ง ไม่มีกะปริบกะปรอย ก็นั่งคุยกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท มีโยมคนหนึ่งแกมาบอกว่า ชื่อโยมเผือก บอกว่าท่านเจ้าคะ ฝนตก 2 ชั่วโมงก็มากอยู่แล้ว ดินที่นี่สวกมาก เพราะฝนไม่ตกมานาน อยากจะได้อีกสักชั่วโมงก็ดีละ แกว่างั้น ทีนี้ผู้พูดก็เกิดปากไม่ดี บอกโยม นี่มันกลางวัน ถ้าฝนตกหนักแล้วก็เดินกันลำบากคนไปคนมา เอาไว้เวลากลางคืนซี เวลาตี 2 ตรง ตกอีกสักชั่วโมงมันนอนสบาย นี่พูดไปยังงั้นน่ะ ไม่มีเจตนาอะไร หรือว่าจะอวดวิเศษอะไรหรอก ก็พูดล้อกันเล่น คิดว่าเวลาตี 2 นี่มันหลับแล้วนี่ ฝนจะตกยังไงก็ช่างมัน ทีนี้การพูดแบบนี้นี่เป็นชนวนให้ชาวบ้านตั้งเกณฑ์คอยดูกันอีก เป็นอันว่าคนที่มาทั้งหมดแกไม่ยอมกลับบ้านกันแกจะดูว่าเวลาตี 2 น่ะ ฝนมันจะตกไหม คราวนี้ก็เลยเกิดความหนักใจ ก็เลยบอกว่าไอ้ที่พูดน่ะ ฉันพูดเล่นนะ ไม่ฉันไม่รับรองว่าฝนจะตก ถ้าหากว่าท่านจะตกก็ตก ไม่ตกฉันก็บังคับไม่ได้นะ หลายคนเขาบอกว่า ต้องได้ขอรับ เพราะว่าท่านมานี่ผมขอฝนไว้ พอท่านมานี่ฝนตกตั้งสองชั่วโมง วัวควายสบายใจ ชาวบ้านสบายใจกันมาก ผมคิดว่าตี 2 จะต้องตก ก็เลยบอกว่าเป็นเรื่องของพระ ของเทวดา ของพรหมท่าน ถ้าหากว่าท่านสงเคราะห์ก็ได้ ท่านไม่สงเคราะห์ก็แล้วไป อย่ามาหาว่าฉันดีนะ ตัวฉันเองฉันไม่มีอะไรดีหรอก ที่ฝนตกลงมาได้ก็อาศัยพระพุทธเจ้า บารมีพระพุทธเจ้า บารมีพระธรรม พระสงฆ์ พรหม และเทวดาท่านสงเคราะห์ แต่พวกนั้นก็ไม่ยอมเชื่ออะไร คอยกันอยู่จนกระทั่งตี 2 เวลากลางคืน ปรากฏว่าดาวเต็มฟ้า สว่างไสวไม่มีท่าทีว่าฝนจะตก คนที่นั่งคุยต่างคนก็ต่างมองนาฬิกาจะไม่ยอมนอนผู้พูดก็นอนไม่ได้ แต่นั่งมองนาฬิกาคิดว่าเมื่อไรจะตี 2 มองดูอากาศดาวก็เต็มฟ้า มีคนเตือนบอกใกล้จะตี 2 อีก 2 - 3 นาที แล้วขอรับ ดาวยังเต็มฟ้าก็เลยบอกกับแกว่าฉันไม่ได้รับรองนี่ ว่าฝนจะตก แกอยากนั่งแกก็นั่งไปซี แกมาทรมานฉันด้วยนา พวกแกไม่ไปฉันก็นอนไม่ลง เขาบอกว่าไม่เป็นไรหรอก ถ้าตี 2 ฝนไม่ตกต่างคนก็นอนกันที่วัดนี่แหละ ทีนี้พอเวลาเลื่อนแกร๊ก ตี 2 ครั้งแรกเป๊ง ฝนตกพอดี เม็ดหนักๆ ดาวที่เต็มฟ้าไม่ทราบว่าหายไปไหนหมด ลงหนักจริงๆ อย่างกลางวัน อีก 1 ชั่วโมง เวลาตี 2 ตรงตี 3 นะ พอเป๊งแรกฝนหยุด ก็เกิดเป็นเรื่องอัศจรรย์ ตานี้ทุกคราวเวลาที่ไปที่นั่นก็ต้องเอาฝนไปด้วย เพราะเขาสั่งไว้ว่าเวลามาขอฝนด้วยนะขอรับ จึงต้องอาราธนาพระพุทธชินราชให้ฝนตกมากบ้าง ตกน้อยบ้าง ตามความต้องการของประชาชน ปีนั้นรู้สึกว่าเป็นอัศจรรย์ ทีนี้เรื่องของฝนตกนี่ก็เป็นเกณฑ์สำคัญอยู่เหมือนกัน เป็นเรื่องใหญ่ที่เป็นเครื่องจูงใจประชาชน
    ทีนี้ ต่อมาก็กำหนดกันว่าจะสร้างโบสถ์ตรงไหน แล้วก็กะเวลาฝังศิลาฤกษ์ สมัยก่อนเขาเรียกกันว่าผูกโบสถ์ แต่ว่าตอนหลังนี่เริ่มมีศิลาฤกษ์ เรียกศิลาฤกษ์กัน ทีนี้ฤกษ์ของโหรกับฤกษ์ของผู้พูดมันไม่ตรงกัน ฤกษ์ของผู้พูดเองผู้จัดการนี่น่ะ คิดว่าวันนี้เป็นวันสมควรที่จะลง เรียกว่าผูกโบสถ์หรือฝังศิลาฤกษ์ แต่โหรเขาหาได้อีก 15 วันจะถึงเวลาของเขา ก็เลยมานั่งนึกในใจ มาปรึกษากันว่า ฤกษ์มันไม่ยันกันจะทำยังไง ชาวบ้านก็ตกลงกันว่าเอาของเราก็แล้วกัน ก็เลยบอกว่าชาวบ้านที่เขาเชื่อโหรก็มีมากจะขัดกัน ถ้ากำลังใจขัดกันนี่มันไม่ดี เขาถามว่าจะทำยังไง บอกเขาเอายังงี้ก็แล้วกัน ก่อนที่จะถึงฤกษ์ของโหรฉันจะปักหลักเขตก่อน แล้วนิมนต์หลวงพ่อเรื่อง นิมนต์หลวงพ่อเล็ก นิมนต์หลวงพ่อจง แล้วก็อาจารย์เริญ สี่องค์ด้วยกันไปเป็นประธานกรรมการประธานในการปักหลัก ปักเขต แล้วตอนกลางคืนก็มีพุทธาภิเศก คือปลุกเสกเครื่องรางของขลัง มีการปลุกเสกของสำหรับแจก พอรุ่งขึ้น เช้าก็ปักหลักเขตเอาไม้เสามาประมาณ 1 เมตร ปักเข้าไป 1 เมตร แล้วก็ปักเป็นเขตอธิษฐานว่าตรงนี้เราจะสร้างพระอุโบสถภายในเขตนี้ ทีนี้การปักหลักเขตในคราวนั้นพระที่นิมนต์ไปมีพระสำคัญอยู่ 3 องค์ คือว่าหลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเล็กวัดบางนมโค หลวงพอเรื่องวัดใหม่เพียงสุวรรณ พระคณาอาจารย์ทั้งสามท่านนี่เป็นพระอริยะกันทั้งนั้น อาตมาอยู่ใกล้ แน่ใจว่าเป็นพระอริยเจ้า ตกเวลากลางคืนขึ้นมามีเหตุการณ์อัศจรรย์ เสาทั้ง 4 เสา กลายเป็นดาว ยอดเสาเป็นดาวสว่าง แม่ครัวเห็นก่อน แล้วก็มาบอกใครต่อใครพากันไปดู เวลาอยู่ไกลสัก 1 วา จะเห็นเป็นดวงดาวดวงใหญ่ ใหญ่มาก เรียกว่าใหญ่กว่าบาตรพระตั้ง 2 - 3 เท่า ใหญ่กว่าบาตรที่พระบิณฑบาต แต่คนอยู่ใกล้เห็นว่าอยู่ยอดเสา คนที่อยู่ตามบ้านเห็นว่าลอยอยู่บนอากาศ พอตั้งแต่คืนที่สองเป็นต้นไป คนมาแน่นวัดทุกวัน ระยะเวลารอฤกษ์ของโหรนี่ อาตมาไม่มีอะไร จะฝังศิลาฤกษ์นะ ไม่ได้มีอะไรมีขยายเสียงเครื่องเดียว แล้วพอดีหนังตะลุงที่แกเที่ยวเชิด หรือเที่ยวฉายขอข้าวสารน่ะ ถ้าที่ไหนเขาหาแกละก็ แกขอ 20 บาทข้าวสาร 1 ถัง ไว้เลี้ยงครอบครัว แกก็มา ก็เลยบอกว่ายังงี้ก็แล้วกัน 15 คืน นี่แกไม่ต้องไปไหนหรอก แกเล่นที่วัดนี่ฉันจะเลี้ยงฉันจะให้ข้าวสารวันละ 1 ถัง เงิน 20 บาท ตามราคาของแก แกก็บอกว่าถ้าเลี้ยงละก็ขอเงินวันละ 20 บาทก็แล้วกันครับ ข้าวสารไม่ต้อง ก็เป็นอันตกลงกัน ก็มีหนังตะลุง 1 จอ แล้วปรากฏว่าคนมาเต็มวัดทุกคืน มาทำไม มาดูดาวกัน เสาทั้งสี่ต้นเต็มไปด้วยทอง ปิดทองกันจนหาที่ปิดไม่ได้ ยิ่งหลายวันขึ้นคนก็ยิ่งมาไกล คนไกลหนักก็มา คนเก่าก็มา คนใหม่ก็มา คนเก่ามาปิดทองแล้วก็ปิดอีก คนใหม่มาก็ปิดทองใหม่ ทำกันอยู่ยังงี้แหละ คนยืนมุงกันเต็ม แต่เข้าไปใกล้ไม่เห็นดาว ถอยหลังมาสัก 1 วา เห็น ถ้ายืนไกลมากดาวก็สูง ยืนเข้าไปใกล้ดาวก็ต่ำลง สว่างไสวมาก ใช้กระแสไฟฟ้าสัก 4 - 5 พันแรงเทียนยังสว่างสู้ไม่ได้เลย ดวงหนึ่ง สว่างมากเป็นเหตุอัศจรรย์ ก็เป็นอันว่าการรอเวลา 15 วัน เราได้เงินกันประมาณ 2 แสนบาท 15 วันไม่ต้องมีอะไร มีแต่หนังตะลุง ได้ 2 แสนบาทเศษๆ แต่ไม่ใช่พอดีหรอก นี่หักค่าใช้จ่ายแล้ว แล้วต่อมาก็ถึงฤดูน้ำ ก็มีเทศน์อีกครั้งหนึ่ง ได้เงินสองแสนกว่าๆ ก็ยังลงมือสร้างไม่ได้ เพราะว่าถึงฤดูฝนตก ให้คณะกรรมการเอาเงินไปฝากธนาคาร
    แล้วก็พอถึงฤดูน้ำในพรรษาก็จัดมีเทศน์กลางปี เพราะที่นั่นถ้าทีเทศน์หน้าแล้ง คนไปลำบาก ถ้าหน้าน้ำใช้เรือเข้าไปสะดวก เพราะทางรถก็ลำบาก ทางเรือก็ลำบาก ฤดูแล้งมันยาก ก็เลยมีหน้าน้ำ ไปวันแรกก็นิมนต์พระครูโวไป พระมหาจำลอง พระสมุห์พื้นแล้วก็มีอาตมา ตำแหน่งมันว่าง อาตมาเทศน์ด้วย อ้อ แล้วก็มหาจำรัส มหาจำรัสอีกองค์ วัดอนงคารามไปเทศน์ เทศน์วันแรกได้เงินประมาณ เดี๋ยวก่อนนึกไม่ออกเสียแล้ว มันหลายปีประมาณ 5 หมื่นหรือ 7 หมื่นนี่จำไม่ได้ คนที่เขามาติดกัณฑ์เทศน์น่ะหลายหมื่นเห็นจะ 5 หมื่น วันแรกดีทุกอย่างไม่มีอะไรขัดข้อง พอรุ่งขึ้นเช้าวันที่สอง จะเทศน์อีกวันหนึ่ง เพราะเทศน์ 2 วันซ้อน วันที่ 2 นี่มีเรื่องหนัก ฝนตกหนักตั้งแต่เช้าตกไม่ส่าง ตกเม็ดใหญ่ๆ คนจะเอาข้าวมาถวายพระก็เปียกปอนกันไปหมด ทีนี้คนที่มาฟังเทศน์เขาจะมาได้ยังไง ความจริงก่อนจะเทศน์ก็มีการบวงสรวงกันแล้ว เรื่องบวงสรวงบอกเจ้าที่เจ้าทาง เทวดาประจำถิ่น หรือใครต่อใคร นี่ก็บอกกันตามธรรมดาตามแบบฉบับของหลวงพ่อปาน ไม่น่าจะมีเหตุขัดข้อง ทำที่ไหนก็ไม่เห็นมีอะไรขัดข้อง มาที่นี่แปลกอาตมานั่งรับแขกคนก็ทนมา ผ่าฝนมาโดยใช้เรือประทุนหรือเรือที่มีหลังคา แต่ก็มาด้วยความลำบาก พอถึงเวลาเที่ยงวัน เที่ยงพอดี ฝนยังไม่ซา ตกหนักอยู่อย่างนั้น พระเทศน์บ่ายโมง นี่เหลือเวลาอีกนิดเดียวจะเทศน์คนก็ยังมาไม่ได้ ก็ไม่ทราบว่าอารมณ์มันเกิดขึ้นมายังไง ก็แหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า พูดเฉยๆ เสียงดังๆ พูดแบบดุว่า ไอ้นี่นี่มันยังไงกันหว่านี่หว่า คนเขาจะทำบุญทำทาน นี่เขาจะสร้างโบสถ์นี่ มานั่งแกล้งกันยังไงเว้ย เลิกเสียที่สิหว่า เท่านั้นแหละพอพูดจบฝนขาดเม็ดทันที ชาวบ้านที่นั่งอยู่เห็นเป็นอัศจรรย์นึกว่าอาตมานี่เป็นพระร่วงเสียละมั้ง พูดให้ฝนหยุดก็พูดได้ แต่ความจริงน่ะเปล่า ความจริงเปล่า ที่พูดไปน่ะพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ หรืออาจจะเป็นเพราอารมณ์กลุ้มก็ไม่ทราบ ฝนหยุดทันที พอฝนหยุดแล้วก็ปรากฏว่าอีกสักครู่หนึ่งเรือมากันหนัก อัศจรรย์ว่าเรือมาถึงทันพระขึ้นเทศน์พอดี คนมาก วันนี้ก็ได้เงินอีกประมาณ 3 หมื่นบาท ก็ไม่น้อยเหมือนกัน เรียกว่าได้มากเป็นพิเศษ ซึ่งไม่มีวัดไหนจะทำได้ นี่อัศจรรย์
    เมื่อเลิกเทศน์เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยังอยู่ที่วัดอีก 2 วัน พอตกกลางคืน ตอนเย็นนั่นแหละเขาก็มากัน ชาวบ้านไปเอาปืนผาหน้าไม้กันมา เพราะเกรงคนจะมาจี้ มันอยู่กลางทุ่ง อาตมาก็มองเงินให้คณะกรรมการรักษา เพราะว่า ตัวคนเดียวไม่สามารถจะปกครองเงินได้ เงินทั้งหมดพวกเราร่วมกันรับผิดชอบ ฉันไม่มีอาวุธ ถึงมีอาวุธก็ไม่ไหว สู้เขาไม่ได้หรอกถ้าใครจะมาปล้น ชาวบ้านนั้นทุกคนที่มีอาวุธก็มานอนกันหลายสิบคนเอาปืนมานอนกันเป็นแถวๆ อยู่กันเป็นจุดๆ เพื่อป้องกันเงินของสงฆ์ ก็คุยกันไปกว่าจะนับเงินเสร็จกว่าจะปรึกษาหารือกันก็ถึงเวลาตี 1 หนึ่งนาฬิกานะ เขาถือว่าเป็นวันใหม่แต่ทางคณะสงฆ์ก็ถือว่ายังเป็นวันเก่า อีตอนนี้ต่างคนต่างเข้านอน อาตมาน่ะเอารูปหลวงพ่อปานไปด้วย ก็กางมุ้งอยู่ที่หลังรูปหลวงพ่อปาน พอเข้ามุ้งชาวบ้านเขาก็นอนล้อมรอบ มีปืน แล้วก็แบ่งกันเป็นจุดๆ ไปอยู่ไกลๆ กันบ้าง นั่งในเรือนอนในเรือบ้างดักทางเข้าทุกๆ ทางของวัดเพื่อความปลอดภัย
    ขณะที่อาตมานอนไม่ทันจะหลับ พอเคลิ้มๆ ก็ปรากฏว่ามีพระองค์หนึ่งรูปร่างดำๆ ใหญ่โตเดินเฉียดมุ้งเข้ามา มาถึงก็แตะเท้า พอแตะเท้าปุ๊ปก็ร้องว่า เฮ้ยไอ้พวกเปรต 13 จำพวก นี่ตามธรรมดาเปรตในหลักสูตรของพระพุทธศาสนามี 12 จำพวก แต่แกก็ด่าว่าไอ้เปรต 13 จำพวก ก็เลยนึกในใจว่า เออนี่เขาด่าเรานี่นาไม่ใช่เขาด่าคนอื่น ไอ้เปรต 12 จำพวกนั่นมันมีอยู่แล้ว ก็เหลือเปรตอีกพวกเดียว พวกที่ 13 จะเป็นใคร ก็เป็นเราแน่ ก็เลยลืมตาดูซิว่า เขาจะทำอะไร รู้แล้วว่าพระองค์นี้ไม่ใช่คนหรอก ผีแน่ แล้วที่เขาแสดงอยู่อย่างนั้นไม่ใช่มืด ไฟฟ้าเปิดสว่าง ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจุดเปิดสว่างตลอดคืน เห็นตัวก็ชัด แล้วก็เห็นคนที่เขานอนเป็นเพื่อนชัด เพราะอะไร เพราไฟฟ้าหลายดวง แล้วเขายืนเฉยประเดี๋ยวหนึ่ง ประเดี๋ยวรูปร่างของคนก็หายไป กลายเป็นหมู รูปร่างเหมือนหมู 4 เท้า แต่ว่าหัวน่ะเป็นงู จากคอมาถึงหัวนี่เป็นงู มุดหัวเข้ามาในมุ้งทำท่าจะกัดท้อง ทีนี้ผู้พูดเองก็มองดู ลืมตาดู เขาทำอ้าปากแล้วขยับปากปั๊ปๆๆๆ เข้าไปใกล้ท้องทำท่าจะกัด ก็เลยบอกว่า นี่เก่งจริงเชิญกัดซี ถ้าแกเก่งจริงละแกกัดข้าซี ไอ้ผีอย่างแกนี่น่ะ ข้าปราบมาเยอะแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะจับขาฟาดเสียนี่ อะไรนี่ เขามาทำความดีนี่หาทางกลั่นแกล้ง แกใช่ไหมล่ะไอ้ที่แกล้งทำให้ฝนตกเมื่อตอนกลางวัน เขาก็เลยบอกว่าใช่ อีตอนี้เขากลับไปเป็นคนแล้ว บอกว่าใช่ ถามว่าแกแกล้งทำไม เขาก็เลยบอกว่าอยากไม่บอกทำไม ก็เลยถามว่านี่เขาบอกเขาบวงสรวงเขาเชิญแล้วนะ แกไปมุดหัวอยู่ที่ไหน นี่แกเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดนี้นะ ข้ารู้นะ ทำไมถึงทำตนเป็นอันธพาล เราสร้างวัดนี้ให้รุ่งเรืองมาวาระหนึ่งแล้ว แล้วก็วัดนี้ทรุดโทรมไป กุฏิก็พังจะหมดอยู่แล้ว ปลวกกินขนาดผุ นี่เขาจะมาช่วยกันทำ เราน่าจะช่วยกันส่งเสริมให้มันดีขึ้น แล้วทำไมมาแกล้งกันแบบนี้ เขาก็บอกว่าช่วยแล้วนี่ ช่วยหาสตางค์ให้ไงล่ะ ถามว่ามาแล้งทำไม เขาบอก อยากแกล้งแน่ะ พูดแบบนักเลง ผีนักเลง เขาบอกว่าอยากแกล้ง ถามว่าอยากแกล้งเพื่อประโยชน์อะไร เขาบอกว่าก็ไม่เจาะตัวนี่ ก็เลยว่าแกไม่ได้บอกชื่อข้านี่ว่าแกชื่ออะไร แล้วข้าจะไปรู้แกยังไง เขาเชิญแบบนี้เขาทำแบบนี้ มันก็ควรจะมาพร้อมกัน คนอื่นเขาไม่เกี่ยวข้อง เขายังมา ก็ไอ้แกเป็นเจ้าวัดนี่ความจริงไม่น่าจะต้องเชิญหรอก มันควรจะมา เขาก็นิ่งเขาทำอะไรไม่ได้ เขาก็ลุกขึ้นยืนหันหน้าไปทางสายใต้ ทิศใต้ แล้วร้องตะโกนมาดังๆ ถามมึงเป็นลูกศิษย์พระหรือโว้ย เท่านั้นแหละ แล้วเขาก็หายไป
    เมื่อเขาหายไปแล้วผู้พูดก็นอนหลับ มันเพลียมาตั้งแต่ตอนกลางวัน พอเวลา 6 โมงเศษๆ ก็ตื่น เขาเอาข้าวต้มมาถวาย กำลังนั่งฉันข้าวต้ม นายวาด เปาเล้ง วิ่งเข้ามารายงาน บอกว่าแม่ยายป่วยหนักขอรับ ถามว่าป่วยเป็นโรคอะไร เขาบอกว่าพวกบ้านมาบอก คนที่อยู่ที่บ้านมาบอก บอกว่าเป็นกลางคืน เมื่อประมาณตี 4 เห็นจะได้ กะประมาณ ลุกขึ้นมาแล้วพูดไม่รู้เรื่องเลย สติสตังไม่ดีไปหมด คนที่ว่านี้ก็คือโยมเผือก เป็นคนที่เป็นกำลังใหญ่ในการสร้างโบสถ์ หมายความว่า ถ้าขาดเท่าไร แกรับบ๊วย นี่กำลังสำคัญมาก ถามว่านายวาดจะเอาแกไปไหน ตอบว่าตะเอาแกไปโรงพยาบาลครับ เลยบอกว่าเดี๋ยวก่อน นายวาดไปบ้านก่อนได้ แต่ว่าอย่าเพิ่งเอาโยมเผือกไปนะ ประเดี๋ยวฉันจะตามไป ให้ฉันไปเสียก่อนไปหาเสียก่อน ฉันสั่งยังไงค่อยทำอย่างงั้น เวลานี้ฉันกำลังฉันข้าวต้มอยู่ ฉันฉันอิ่มแล้วก็จะไปทันที เขาก็ลงเรือไปก่อน พอผู้พูดฉันข้าวต้มเสร็จก็ไปเหมือนกัน พอไปถึงนายวาดบอกตอนแกไปถึงยังพูดอยู่ แต่พูดไม่รู้เรื่อง อะไรก็พูดแต่วัดๆ อะไรก็วัด จะเป็นยังไงก็ตาม เรื่องที่นำมาพูดคนอื่นไม่รู้เรื่อง แต่ใครมาถามเรียกพ่อเรียกแม่ ไม่ยอมรับเป็นแม่ของใคร เป็นยายของใคร บอกว่าข้าไม่ใช่แม่เอ็ง ข้าไม่ใช่ยายเอ็ง พวกนั้นก็แน่ใจแล้วว่าไม่ใช่โรคประสาท คงจะเป็นเรื่องผี เมื่อผู้พูดไปถึงเขาเลยเงียบไม่พูด เขาไม่พูดละเขานั่งเฉยๆ ถามว่ามายังไง นั่งเฉย มาธุระอะไรมาโกงคนแก่ทำไม เขาก็นั่งเฉย เป็นอันว่าเขาไม่พูด ก็เลยพูดขึ้นมาลอยๆ ว่านี่ เราพบกันแล้วนะเมื่อตอนดึก แล้วบอกให้มาช่วยกันนะ นี่โยมเผือกน่ะ แกเป็นกำลังใหญ่ ทั้งลูกทั้งแม่ทั้งหลายทั้งตระกูลนั่นแหละ โบสถ์หลังนี้ถ้าใครให้เงินไม่พอเท่าไร เขาจะช่วยให้เสร็จ เรามาแกล้งเขาทำไม นี่แกล้งฉันมาแล้วไม่พอ ยังมารังแกผู้หญิง ไอ้คนแบบนี้ เสียศักดิ์ศรี ถ้าเป็นพระก็หาศีลไม่ได้ เขาก็หันหน้ามามอง คล้ายๆ ไม่พอใจ ถามว่าไม่พอใจรึ เขาก็ไม่พูด บอกเอาเราเลิกกัน เลิกแกล้งผู้หญิง มีอะไรไปพูดกันฉันที่วัด นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนะ อย่ารังแกใครเป็นอันขาดนะ ถ้ารังแกคนอื่นเมื่อไร ก็เป็นอันว่าต้องเกิดเรื่องกัน ท่านกับผมต้องเป็นศัตรูกัน จะเป็นใครผมไม่สำคัญ ผมไม่เห็นมีความสำคัญ เรื่องผีนี่ไม่เคยกลัว เคยปราบมาเยอะแล้ว เอ้าพวกเราเอาน้ำมาสักขันซี เจ้าบ้านเขาก็ตักน้ำมาขันหนึ่ง ขันลงหินขนาดใหญ่ มาทำน้ำมนต์ให้เขา ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอก ก็ว่าอิติปิโส ภควา ส่งเดช รู้แล้วว่าเขาไม่กลัว พอส่งน้ำมนต์ให้เขา ก็กินหมดขันเลย คนธรรมดากินไม่ได้ กินแล้วเห็นจะแย่ ดื่มรวดเดียวหมดขัน พอหมดขันแล้วเขาก็วางขันบอกว่าหวานจัง ก็เลยบอกว่า นี่ฉันจะกลับวัดละนะ พวกเราไม่ต้องเอาโยมเผือกไปโรงพยาบาล ถ้ามีเรื่องอะไรอีกก็บอกฉัน ก่อนจะกลับก็เลยบอกว่านี่ไปวัดด้วยกัน เลิก เลิกมารบกวนชาวบ้าน ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้นะ พอบอกเขาแล้วก็ลงเรือมา ทางบ้านเขารายงานว่า พอลงเรือมาโยมเผือกก็หาย หายจากอาการที่เป็น ก็ถามว่าแกเป็นยังไง แกก็บอกเอ๊ะไม่ได้เป็นยังไง ฉันหลับอยู่นี่ ฉันหลับสบาย ทีนี้พอตอนสายแกก็มาตามมาที่วัด เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงตรงนั้น เป็นอันว่าการหาเงินในการสร้างโบสถ์ของวัดนั้นต้องอาศัยพระองค์นี้ เรื่องอื่นจะไม่พูดให้ฟังเพราะใกล้ชั่วโมงลงไปแล้ว เล่ากันฟังย่อๆ เป็นอันว่านี่ก็ผีเหมือนกัน เป็นผีที่ผู้พูดประสบมาเอง แล้วท่านที่ไม่เคยพบผี จะหาว่าผู้พูดน่ะโกหกท่านก็ตามใจ แต่ว่าถ้าใครมาถามก็บอกว่าพบมาอย่างนี้แหละ อย่างนี้ต้องเรียกว่าผี เพราะเป็นอทิสสมานกาย แล้วท่านผู้ฟังจะมีความเห็นเป็นประการใดก็ตามแต่ท่านเถอะนะ
    สำหรับวันที่ 22 มกราคม ก็เห็นจะต้องยุติกันเพียงเท่านี้ เพราะร่างกายมันก็ยังไม่ค่อยดีนัก มันเหนื่อยง่าย วันนี้ก็ขอลากันไปก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ท่านผู้ฟัง สวัสดี


    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    http://www.putthapoom.com/jing_nitan.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...