ผีหน้าคนยุคคอมพิวเตอร์

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 2 มกราคม 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,238
    เช้าวันที่เจ็ด เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2524 คลินิกของนายแพทย์จาง ได้รับคนไข้พิเศษรายหนึ่งเป็นเด็กชายอายุสิบสามปี พ่อแม่เป็นผู้มาพบแพทย์ ก้าวแรกที่เด็กชายหลี่เจี๋ยย่างเท้าเข้ามาในคลินิกก็ให้ความรู้สึกอึดอัดแก่ทุกคน เพราะนอกจากใบหน้าซีดเซียวเขียวคล้ำ ที่ทำให้คิดได้ว่าเด็กคนนี้คงมีกรรมหนักแล้ว กลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจของแกยังทำให้ทุกคนทนไม่ได้จนอยากอาเจียน หมอจางตรวจอาการของเด็กแล้วรู้สึกหนักใจไม่กล้ารับไว้รักษา พ่อแม่ของเด็กก็ได้แต่กราบไหว้วิงวอนเพราะรู้ว่านอกจากหมอจางแล้ว หมอที่ไหนก็ไม่มีทางรักษาลูกของเขาได้

    หมอจางนอกจากจะเป็นแพทย์ผู้มีความสามารถแล้วยังเป็นแพทย์ผู้เข้าถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และโลกของวิญญาณอีกด้วย พ่อแม่ของเด็กรู้ว่าโรคของลูกชายเป็นโรคที่ไม่อาจรักษาหายได้ เมื่อหมอจางได้กราบขอพระบารมีจากพระโพธิสัตว์กวนอิม และพระองค์ได้โปรดประทานชี้แนะแล้ว หมอจางจึงรับปากกับพ่อแม่ของเด็กว่า จะพยายามรักษาให้จนสุดความสามารถ แต่ขอให้พ่อแม่ของเด็กให้ความร่วมมือจะต้องพาลูกมาเปลี่ยนยาชำระแผลตรงเวลา ทั้งเช้าเย็นและอาหารที่จะรับประทาน ต้องเป็นไปตามที่หมอกำหนดให้ พ่อแม่ของเด็กก็รับปากอย่างแข็งขัน เริ่มต้นเช้าวันแรกของการรักษา เด็กชายหลี่เจี๋ยถูกอุ้มเข้ามาในห้องปฐมพยาบาลพร้อมด้วยกลิ่นเหม็นอย่างร้ายแรง พอหมอจางราดน้ำยาลงบนแผล แกก็ร้องเสียงโหยหวนดังลั่นอย่างเจ็บสุดทน และทันใดนั้นเอง หมอจางก็ต้องสะบัดเท้าซ้ายของหมอเองโดยแรง

    ความรู้สึกเหมือนถูกใครข่วนหนักๆ หมอสั่งให้คนอื่นๆ รีบหลบออกไปจากห้องให้หมด คงเหลือแต่หมอกับผู้ป่วยเท่านั้น หมอก้มลงดูที่เท้าของตัวเอง ก็ได้พบว่าบริเวณที่ถูกข่วนนั้นถุงเท้าฉีกขาดมีรอยเล็บเป็นทางยาว ที่เดียวกับแผลของเด็กผู้ป่วย หมอรู้ชัดว่าโรคของเด็กชายหลี่เจี๋ยเป็นโรคที่เกิดจากเจ้ากรรมนายเวร แผลที่เป็นอยู่นั้นเน่าเฟะ กินลึกเข้าไปจนเห็นเอ็นและกระดูกสีขาว ในขณะที่หมอกำลังจัดการกับแผลที่เท้าของเด็กอยู่นั้น ก็สัมผัสกับสิ่งลี้ลับอะไรได้อีกบางอย่าง วันรุ่งขึ้น เมื่อสองสามีภรรยาพาลูกกลับมารักษาอีกหมอก็ถามพ่อของเด็กว่า "เด็กคนนี้เป็นลูกของคุณหรือ" สองสามีภรรยามองหน้ากัน เมื่อได้ยินคำถามของหมอ "หมออยากให้คุณทั้งสองบอกความจริง มิฉะนั้นจะแก้ไขอะไรไม่ได้เพราะโรคที่เกิดจากเจ้ากรรมนายเวรอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่บุญกุศลแท้ก็ยากจะรักษาให้หายได้" สองสามีภรรยาไม่ตอบคำถาม

    หมอจึงพูดกับพ่อของเด็กอีกว่า เด็กชายหลี่เจี๋ย เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งที่ไทเป ในใบประวัติคนไข้บันทึกไว้ว่า "ผู้ป่วยๆ ด้วยโรคมะเร็งในเม็ดเลือด โรคแทรกซ้อนคือแผลใหญ่ที่ข้อเท้า ซึ่งเชื้อโรคได้ลุกลามเข้าไปในอวัยวะภายในทั่วตัวจนไข้ขึ้น หนาวๆ ร้อนๆ ตลอดเวลา ในช่องปากเป็นแผลไปทั่ว เส้นโลหิตฝอยแตก กล้ามเนื้อทุกส่วนหดตัวเสื่อมโทรม ปรากฏจุดเล็กๆ สีม่วงตามผิวหนังทั่วตัวจะต้องได้รับการให้เลือดวันละหนึ่งพันซีซี. ผู้ป่วยไม่อาจรับประทานอาหารเองได้" "หมอรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของคุณ แต่เหตุใดแกจึงใช้แซ่สกุลของคุณ" ทั้งคู่ไม่ยองตอบ จนหมอต้องถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า "พ่อแท้ๆ ของเด็กไปไหน" "แกเป็นลูกของดิฉันจริงๆ คนนี้แหละพ่อของเด็ก" แม่ของเด็กตอบคำถามเสียเอง และชี้มือไปที่สามี "ไม่ใช่" หมอปฏิเสธอย่างมั่นใจและพูดต่อไป "พ่อของเด็กคนนี้เป็นคนพื้นเมืองไต้หวัน ส่วนคนนี้เป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ บอกหมอซิว่าพ่อของเด็กหายไปไหน" แม่ของเด็กหน้าซีดตัวสั่นไม่กล้าตอบอีก หมอจึงพูดต่อไปว่า

    "ผู้ชายวัยกลางคนที่สวมแจ็คเก็ต ใบหน้าอาบเลือด ลูกนัยน์ตาข้างซ้ายถลนออกมานอกเบ้า แก้มข้างซ้ายมีบาดแผลฉกรรจ์กระดูกท้ายทอยแตกแยก กระดูกสะบักซ้ายยุบไป สภาพเขาน่าเวทนามาก วิญญาณผีผู้ชายคนนี้เป็นใคร" มิทันที่หมอจะพูดจบลง แม่ของเด็กก็ร้องไห้โฮ เมื่อระงับอาการโศกเศร้าได้บ้างแล้ว นางก็สะอื้นไห้ตอบว่า "ชายคนนั้น คือสามีคนก่อนของดิฉันเอง เมื่อสิบสามปีก่อน ด้วยความยากจนวันหนึ่งเขาเข้าป่าไปรับจ้างตัดฟืนในวันที่สี่ที่ทำงาน เขาเอากระบอกน้ำไปใส่น้ำดื่มจากลำธาร ขณะที่เดินข้ามสะพานไม้ไผ่บนเขา เขาก็พลาดตกลงไปตาย" ว่าแล้วนางก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอีก ต่อมาด้วยความศรัทธาและบารมีธรรมของหมอจางหมอได้เชิญวิญญาณของชายคนนั้นมาเล่ารายละเอียด ความทุอย่างจึงได้กระจ่างขึ้นว่า เขาได้ตายไปแล้วสิบสามปี สิบสามปีที่ผ่านมาเขาต้องถูกจองจำทร-มาณอยู่ในขุมนรกของผีตายโหง เพิ่งจะได้รับการปลดปล่อยออกมาเขาดีใจรีบกลับมาหาเมียเพื่อหวังจะระบายความทุกข์ให้ฟังบ้าง แต่เมื่อมาถึงก็เห็นเมียมีชายอื่นอยู่เคียงกาย ทั้งยังมีเด็กชายอีกคนหนึ่ง เขาทั้งเสียใจและแค้นในยิ่งนัก เมื่อพินิจเด็กชายคนนั้น ก็รู้สึกว่าใยหน้าคุ้นๆ เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน ประกอบกับได้ยินเขาเรียกชื่อเด็กคนนั้นว่า "หลี่เจี๋ย" จึงได้ระลึกขึ้นได้ว่า เด็กชายคนนี้แท้จริงคือคู่อริของตนเมื่อเจ็ดชาติก่อน เป็นคนที่ตนต้องการตามหาตัวอยู่ทีเดียว จึงตัดสินใจที่จะเอาตัวเด็กคนนี้ไป หลังจากนั้น ตลอดเวลาครึ่งเดือนวิญญาณของเขาก็เฝ้าเตร่

    คอยจังหวะอยู่หน้าบ้านของชายสามีใหม่เมื่อเห็นพ่อลูกเขาคุยกันก็เจ็บแค้นยิ่งขึ้น วันหนึ่ง พ่อซึ่งรับราชการเป็นนายร้อยทหารกำลังจะออกจากบ้านไปเข้ากรมฯ วิญญาณก็ตรงเข้าไปหมายจะกระชากตัวทำร้ายเขาให้สมแค้น แต่ยังไม่ทันลงมือก็ต้องชะงักด้วยเสียงตวาดจากเทพเจ้าเบื้องบนเพราะทหารเป็นรั้วของชาติ วิญญาณไม่อาจจะล่วงเกินเขาได้ วิญญาณจึงกลับเข้าไปในบริเวณบ้านของเขาใหม่ เห็นเด็กชายหลี่เจี๋ยกำลังเล่นซนอยู่ข้างสะพานไม้ไผ่ที่ทอดข้ามร่องดินข้างบ้านวิญญาณก็ฉวยโอกาสผลักเด็กให้ตกลงไปจากสะพานจนเด็กหัวแตก เลือดไหลอาบ วิญญาณคิดว่าน่าจะฉวยโอกาสนี้อีกเหมือนกันบีบแค้นให้เด็กตาย แล้วพรากวิญญาณไปจากร่าง แต่เมื่อเห็นเด็กตกใจร้องไห้จ้าก็ทำไม่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิญญาณรักเมียของตนเหลือเกิน เกรงว่าหากลูกชายของนางต้องตายอย่างกะทันหันนางจะทนไม่ได้ จึงได้แต่อดใจแล้วจากไปจากที่นั่นก่อน วันหนึ่ง เมื่อได้โอกาสเหมาะ วิญญาณก็ล่อใจให้เด็กชายหลี่เจี๋ยออกไปเก็บหอยโข่งในนา ให้เด็กลงไปย่ำโคลนจนขาสกปรกไปหมด เมื่อกลับมาล้างขาที่บ้าน ปรากฏว่าเกิดเป็นตุ่มพุพองดำๆ ขึ้นแล้วแตกน้ำเหลืองไหล แม่ต้มน้ำร้อนให้อาบ แผลนั้นก็ยิ่งบวมแดง แม่จึงพาลูกไปหาหมอ

    แต่ยิ่งทาก็ยิ่งเจ็บจนทนไม่ได้ ตัวร้อนจัดหนาวจัดสลับกัน พอวันที่สาม เห็นว่าแผลจะกลายลุกลามไปกันใหญ่ พ่อแม่จึงรีบส่งตัวลูกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทหาร เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมอนี้ ล้วนเป็นฝีมือชั่วร้ายของวิญญาณตนนี้ทั้งสิ้น เด็กชายหลี่เจี๋ยได้รับความทรมานมาก แต่วิญญาณก็ยังไม่หนำใจพอถึงเวลาโมงยามที่กำหนดก็เข้าสิงในร่างของเด็ก ดูดเลือดบ้าง ขบเนื้อบ้าง ทุกวิถีทางที่จะทำลายเด็กได้ สุดท้ายหมอจางก็ขอให้วิญญาณปรากฏตัว

    โดยใช้กระจกลงยันต์ส่องกระจกดูภาพ (ครั้งนั้นได้ทีการถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานด้วย แต่เสียดายที่ผู้เรียบเรียงตามหามาไม่ได้) ในขณะทำพิธีนอกจากหมอจางแล้วยังมีพระอาจารย์เฉากัง และพระเถระชั้นผู้ใหญ่อีกหลายรูป หมอจางได้พูดกับวิญญาณว่า เวรควรระงับด้วยการไม่จองเวร สุดท้ายก็ได้เปิดเทปธรรมะให้ฟัง วิญญาณจึงได้สงบลง ในระหว่างที่หมอจางได้พูดตอบโต้กับวิญญาณที่สิงอยู่กับแผลที่ขาของเด็กชายหลี่เจี๋ย ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า แผลนั้นไหวตัวได้และมีลักษณะเหมือนหน้าคน มีนัยน์ตา มีจมูก ปาก และพอเทยาแดงลงไปบนแผลปากนั้นก็รองรับและดูดยาจนแห้ง อีกทั้งน้ำตาก็ไหลออกมาจากนัยน์ตาของแผล พ่อของเด็กชี้แจงให้วิญญาณเข้าใจว่าเด็กชายหลี่เจี๋ยเป็นลูกชายแท้ๆ ของวิญญาณเอง แต่วิญญาณไม่เชื่อแย้งว่าถ้าเป็นลูกชายของเขา ทำไม่ไม่ใช้แซ่สกุลของเขาแต่ใช้แซ่สกุลของนายทหาร นายทหารชี้แจงอีกว่า ที่ใช้แซ่สกุลของเขาเพราะเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย จะได้รับสวัสดิการจากทางราชการ วิญญาณยังคงดื้อไม่รับฟังและขอให้เรียกน้องชายของตนซึ่งยังมีชีวิตอยู่มายืนยันความจริง "หลี่เจี๋ยเป็นลูกของพี่จริงๆ พี่สะใภ้เพิ่งจะรู้จักอยู่กินกับนายทหารคนนี้เมือสามปีก่อน ด้วยความจำเป็นทางฐานะครอบครัวบีบบังคับ ตอนนั้นหลี่เจี๋ยลูกของพี่อายุได้สิบขวบแล้ว" เมื่อมีน้องชายยืนยันเช่นนี้ วิญญาณจริงเชื่อว่าเป็นจริง จึงขอร้องให้ทำพิธีฉุดช่วยวิญญาณเขาให้เข้าประตูธรรมด้วย หลังจากนั้นวิญญาณหลี่เจี๋ยก็หายวันหายคืน หมอจางยกค่ารักษาให้ทั้งหมด อีกทั้งขอร้องให้พ่อแม่ของเด็กถือศีลกินเจกันทั้งครอบครัว เลิกเกี่ยวกรรมกับสรรพสัตว์ทั้งปวง

    และหมั่นสละทรัพย์สร้างบุญสร้างกุศล มื่อแม่ของเด็กชายหลี่เจี๋ยเห็นว่าลูกชายหายดีแล้วความเคยชินที่เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว และฝังใจกับค่านิยมที่กินสัตว์มาตลอด ซึ่งแม้จะรับปากกับหมอจางเป็นอย่างดีแต่ก็ไม่ยอมทำตาม อีกไม่กี่วันต่อมา ขณะที่เด็กชายหลี่เจี๋ยกำลังนอนพักฟื้นอยู่ในบ้าน อยู่ๆ ก็ร้องปวดท้องชี้มือไปกลางบ้านแล้วถามแม่ว่า "ผู้ชายกับผู้หญิงคนนั้น หามหมูชิ้นใหญ่เข้ามาในบ้านเราทำไม" แม่บอกว่า "แม่เห็นมีใครที่ไหนเลย" ลูกก็ชี้มือยืนยันว่า "นั่นไง นั่นไง ดูซิ ดูซิ" แต่แม่ก็ไม่เห็นอะไร วันรุ่งขึ้นแม่รีบพาลูกไปหาหมอจาง พร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หมอฟัง หมอจางพิจารณาเด็กชายหลี่เจี๋ยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยกับพ่อแม่ของเด็กว่า "บัดนี้ มีเจ้ากรรมนายเวรรายใหม่ติดตามทวงหนี้เด็กชายหลี่เจี๋ยเป็นรายต่อไปแล้วขอให้พ่อแม่ของเด็กรีบไปทำสังฆทานสมาศีล แล้วกรวดน้ำแผ่ส่วนบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรโดยเร็ว มิฉะนั้นจะไม่ทันการณ์" สองสามวันต่อมา หมอจางมีธุระต้องเดินทางไปไถตงจะต้องค้างคืนที่นั่นหนึ่งคืน พ่อแม่ของเด็กโทรศัพท์มาหาไม่พบ เนื่องจากลูกชายเริ่มไม่สบายอีก เมื่อไม่พบ จึงส่งลูกไปพบแพทย์ที่คลินิกแห่งหนึ่งใกล้บ้านก่อน แต่ปรากฏว่าอาการยิ่งทรุดลงตอนนี้เองที่แม่ของเด็กนึกได้ว่าหมอจางสั่งให้สวดมนต์ภาวนาอยู่เสมอ จึงได้เอาลูกประคำที่ห้อยคอไว้ ออกมาภาวนาพระอมิตาพุทธด้วยความจำใจ ภาวนาไปได้พักหนึ่งก็เห็นว่าลูกชายสงบนิ่งไม่ดิ้นรนร้องเจ็บปวดครวญครางอีกก็เบาใจลง จึงพูดกับลูกชายว่า "แม่ภาวนาให้ลูกหายเจ็บแล้วนะ" พอดีหมอเข้ามาตรวจอาการ เมื่อหมอเปิดเปลือกตาของเด็กชายหลี่เจี๋ยดูก็ชะงัก สีหน้าสลดลง และพูดกับแม่ของเด็กว่า

    "ลูกของคุณตายเสียแล้ว" คืนนั้น หมอจางสังหรณ์ใจรีบเดินทางกลับจากไถตงพอเข้าบ้านก็รีบถามผู้ช่วยทันทีว่า พ่อแม่ของเด็กชายหลี่เจี๋ยโทรศัพท์มาหาหรือเปล่า ก็ได้รับคำตอบว่า "โทร" หมอจางรำพึงเหมือนรู้ว่าได้เกิดอะไรขึ้นแล้ว "เราได้พยายามช่วยเต็มที่แล้ว

    แต่ถ้าเขาไม่มีบุญกุศลอะไรจะต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวรได้เลย ถึงจะช่วยอย่างไรก็ช่วยไม่ได้" หลังจากนั้นสี่สิบเก้าวัน พ่อแม่ของเด็กก็มาหาหมอจาง พอมาถึงก็คุกเข่าลงร้องไห้โฮ แม่ของเด็กสารภาพว่า"หมอยอมสละไม่เก็บค่ารักษาค่ายา แต่ที่หมอให้ดิฉันไปทำบุญทำทาน ดิฉันกลับเสียดายเงินไม่ยอมทำ ลูกดิฉันจึงต้องตาย" หมอได้แต่ปลอบใจ และแนะนำใหม่ว่าให้สองสามีภรรยาไปทำบุญเสียจะเป็นการชดเชยได้บ้างไม่มากก็น้อย จากนิตยสาร วิทยาศาสตร์กับชีวิต


     
  2. แมวแหมว

    แมวแหมว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +49
    อนุโมทนา สาธุ ในยุคปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าไปไกล ในทางการแพทย์แล้ว โรคทุกโรคที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ สามารถรักษาให้หายได้ทั้งสิ้น และในทางพุทธศาสนาพระธรรมของพระพุทธองค์สามารถรักษาโรคทางวิญญาณได้ทุกโรค แต่เพียงกรณีเดียวที่ไม่สามารถรักษาได้ คือ โรคของเวรกรรม หรืออย่างกรณีที่เจ้ากรรมนายเวรมาตามทวงอย่างนี้ เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
     
  3. นักรบเเห่งสยาม

    นักรบเเห่งสยาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    882
    ค่าพลัง:
    +607
    อะไรมันจะโหดจัง
     
  4. buana16

    buana16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    298
    ค่าพลัง:
    +476
    ขอบคุณค่ะสำหรับสาระดีๆ
     
  5. Pla_Tong

    Pla_Tong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +22
    ดิฉันก็เป็นโรคเวรกรรมค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...