ผี-เปรต (หนึ่ง)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 8 ธันวาคม 2009.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    ผี-เปรต (หนึ่ง)

    ผีสาง คางแดง

    ศาตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก / ราชบัณฑิต



    หัวข้อเรื่องน่ากลัวจัง ยังไม่ได้เขียนเลยก็ขนลุกเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะเขียนไปได้สักกี่น้ำ ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวผีมันหักคอเอา ฐานไปคุ้ยเขี่ยเรื่องของมันมาตีแผ่มากไป

    ผี กับ เปรต นี่ไม่เหมือนกันนะครับ หลายคนมักจะคิดว่าเป็นอย่างเดียวกัน ชาวไทยในต่างจังหวัด เช่น ทางภาคอีสานมักจะพูดรวมกันว่า " ผีเปรต" หมายถึง เปรต ส่วนผีที่หลอกหลอนใครต่อใครให้จับไข้หัวโกร๋นนั่น มักเรียกว่า "ผี" เฉยๆ

    เพราะฉะนั้น ผี กับ เปรต จึงเป็นคนละอย่างกัน แต่จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน

    บ๊ะ พูดอะไรไม่รู้ฟัง "คนละอย่างกัน แต่จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน?" อย่าเพิ่งงงครับ ผมจาระไนเดี๋ยวนี้แหละ

    ในพระพุทธศาสนา (ฮั่นแน่ อ้างหลักฐานเชียว) ท่านกล่าวว่า สัตว์โลกมีอยู่ด้วยกันสองภูมิ คือ สุคติภูมิ (แดนดี) คือแดนที่มีเทวดาบนสวรรค์หกชั้น พรหมสิบหกชั้น และมนุษย์ด้วย

    อย่าลืมนะครับ มนุษย์เรานี้ถือว่าเป็นสุคติภูมิ อยู่ในระดับเดียวกับพวกเทวดา และพรหม

    อีกภูมิหนึ่งคือ ทุคติภูมิ (แดนชั่ว) คือแดนที่มีความทุกข์ยากลำบากหาความเจริญมิได้ บางทีก็เรียกว่า "อบายภูมิ" สัตว์ในแดนที่มีสัตว์เดียรัจฉาน, สัตว์นรก, เปรต, อสุรกาย

    จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านพูดถึงสัตว์ 7 จำพวกคือ

    (1) เทวดา สัตว์ที่เสวยผลบุญที่ตนทำไว้ในชาติปางก่อน ตายไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นต่างๆ 6 ชั้น เทวดามีทั้งเพศหญิงและเพศชาย ถ้าเป็นเพศชายก็เรียกว่า เทวบุตร ถ้าเป็นหญิงก็เรียก เทวธิดา แต่เรียกรวมๆ ว่า "เทวดา" พวกนี้เป็น สุคติภูมิ

    (2) พรหม สัตว์ที่สมัยอยู่ในโลกมนุษย์ได้บำเพ็ญสมาธิจนได้ฌานชั้นต่างๆ ตายไปเกิดเป็นพรหม อยู่บนโลกของพรหม 16 ชั้น พวกนี้ก็เรียกว่า สุคติภูมิ เหมือนกัน

    (3) มนุษย์ คอหยักๆ สักแต่ว่าคน หรือมนุษย์ขี้เหม็นเคี่ยวเข็ญเทวดา อย่างที่ชอบล้อเลียนกันเล่นนั่นแหละครับ สัตว์โลกชนิดนี้ว่าตามจริงแล้ว มีเกรด หรือซีสูงพอๆ กับสองประเภทข้างต้นเหมือนกัน เพราะมีโอกาสดี บางทีดีกว่าสองประเภทแรกด้วยซ้ำไป จึงจัดไว้เป็นสุคติภูมิเหมือนกัน

    (4) สัตว์เดียรัจฉาน คือพวกไปทางขวาง หรือแนวนอน ไม่เดินแนวตั้งเหมือนคน มี วัว ควาย หมู ไก่ เป็นต้น พวกนี้นับอยู่ในจำพวกที่ไร้ความเจริญ จึงรวมอยู่ในจำพวกทุคติภูมิ

    (5) สัตว์นรก คือ พวกที่สมัยเกิดเป็นมนุษย์ได้ผิดศีลผิดธรรม เช่น ฆ่าปล้น ลักขโมย ผิดลูกผิดเมียเขา ดื่มสุราเมรัย โกหกหลอกลวงอะไรเหล่านี้ ไปเกิดเป็นสัตว์นรกได้รับความทรมาทรกรรมต่างๆ นานาในนรกขุมต่างๆ ที่คุ้นหูคุ้นตาพวกเรามากที่สุดก็มี กระทะทองแดง ต้นงิ้วหนามยาวโง้ง (ความจริงมีมากมายและพิสดารพันลึกนัก ไม่เชื่อคุณลองไปดูสิ) พวกนี้จัดอยู่ในทุคติภูมิ

    (6) เปรต คือ พวกที่สมัยยังเป็นมนุษย์อยู่ได้ทำบาปกรรมเช่นเดียวกับประเภทที่ (5) นั้นแหละ ตายไปไปเกิดเป็น เปรต เปรตมีอยู่สองประเภท คือ เปรตที่ต้องทนทุกข์ทรมานในเวลากลางวัน พอตกกลางคืนไม่ต้องทรมาน แถมยังมีวิมานให้อยู่เหมือนเทวดาอีกต่างหาก พวกนี้เรียกว่า "เวมานิกเปรต" (เปรตมีวิมาน) ที่เป็นเช่นนี้เพราะในชาติก่อนแกทำทั้งดีทั้งชั่วปนกัน อีกประเภทหนึ่งคือ เปรตที่รับแต่ความทุกข์อดอยากหิวโหย รอผลบุญที่คนอื่นอุทิศให้ พวกนี้เรียกว่า "ปรทัตตูปชีวีเปรต" (เปรตอาศัยผลบุญที่เขาให้เลี้ยงชีพ) พวกเปรต จัดอยู่ในทุคติภูมิ

    (7) อสุรกาย คือพวกเรียกว่า "ผี" นั่นเอง ตามศัพท์แปลว่า "ผู้ขี้ขลาด" เป็นพวก "อทิสสมานกาย" (แฝงร่าง, ไม่ปรากฏกาย) เที่ยวเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ คอยหลอกคอยหลอนผู้คน ให้จับไข้หัวโกร๋น ว่ากันว่าผี หรืออสุรกาย มันไม่ตั้งใจหลอกคนดอก มันมาปรากฏกายให้เห็นเพื่อขอความช่วยเหลือจากคน แต่บังเอิญคนเห็นมันรูปร่างหน้าตาพิสดารพันลึก ก็เลยกลัว ถ้าใครกล้าๆ ลองบอกมันสิครับว่า อยากได้อะไรจะทำบุญอุทิศไปให้ เท่านั้นแหละ มันก็จะหายวับไปกับตา ว่าแต่ว่าสัญญากับมันแล้ว ต้องทำให้มันนา ไม่งั้นมันมาทวงอีก บอกดอกเบี้ยด้วยจะยุ่งใหญ่ อสุรกาย หรือผี จัดเข้าในประเภททุคติ เช่นเดียวกับประเภทที่ (4) ที่ (5) และที่ (6)

    คนไทยมักเข้าใจกันว่า ผี คือ วิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว เที่ยวเร่ร่อนหาที่เกิดถาวร ความเชื่อเช่นนี้สืบเนื่องมาจากศาสนาฮินดู ที่เชื่อว่าเมื่อร่างกายแตกดับก็ดับแต่ร่าง ส่วนวิญญาณ (แขกเรียก อาตมัน, ฝรั่งเรียก โซล) นั้นไม่ดับไปด้วย มันจะเร่ร่อนไปหาที่เกิดใหม่ เหมือนคนที่ออกจากบ้านที่ถูกไฟไหม้ไปหาบ้านใหม่อยู่อะไรทำนองนั้น

    วิญญาณ ในความหมายอย่างนี้ในพระพุทธศาสนาไม่มี เพราะพระพุทธศาสนาสอนว่า เมื่อตายทุกอย่างดับหมด ตายแล้วก็ไปเกิด "ทันที" ตามผลกรรมที่กระทำไว้จะจัดสรรให้เป็นไป ตายปุ๊บ เกิดปั๊บ ส่วนจะเกิดเป็นอะไรแล้วแต่กรรม

    เพราะฉะนั้น แนวคิดที่ว่า หลังจากตายแล้ววิญญาณออกจากร่างไปหาที่เกิดใหม่ไม่มี คือพุทธไม่เชื่ออย่างนี้

    สิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นวิญญาณเร่ร่อนนั้น ความจริงเป็น "สัตว์" ชนิดหนึ่งที่เกิดเรียบร้อยแล้ว คือแกเกิดเป็นอสุรกาย หรือผี ดังกล่าวแล้ว

    ที่พูดมาทั้งหมดนี้คงพอจะเข้าใจ (ผมเข้าใจว่าอย่างนั้น หรือว่ายิ่งพูดยิ่งงงก็ไม่รู้สิ) ผีก็เป็นพวกหนึ่ง เปรตก็เป็นพวกหนึ่ง เทวดาก็พวกหนึ่ง สัตว์นรกก็พวกหนึ่ง พรหมก็พวกหนึ่ง มนุษย์ก็พวกหนึ่ง สัตว์เดียรัจฉานก็พวกหนึ่ง ไม่เหมือนกัน พูดถึงการติดต่อ คนสามารถติดต่อกับ "สัตว์โลก" เหล่านี้ได้ทุกจำพวก

    - สัตว์เดียรัจฉาน ติดต่อกันอยู่แล้วเห็นๆ กันอยู่ สัตว์บางพวกมนุษย์ก็นำมาใช้งาน สัตว์บางจำพวกมนุษย์ก็เอามาเป็นอาหาร การติดต่อกับสัตว์เดียรัจฉาน ไม่ต้องใช้ "เครื่องมือ" หรือสื่อ "อะไรพิเศษ" เพราะมองเห็นๆ กันอยู่

    - เทวดา หรือ พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย มนุษย์สามารถติดต่อกับพวกเขาได้ด้วยอาศัยเครื่องมือพิเศษ จะใช้ตาเปล่าๆ ไม่ได้เพราะพวกนี้มีร่างกายละเอียด มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น

    วิธีติดต่อมีหลายวิธี เท่าที่ใช้กันมามีอยู่ 3 วิธีคือ

    1. เชิญลงแก้ว วิธีนี้มีใช้มาแต่สมัยโบราณ สมัยพระพุทธเจ้าก็มีทำกัน เรียกว่า "อาทาสปัญหา" (ถามปัญหาผ่านแก้ว) ก็คือที่คนไทยเรียกว่า "ผีถ้วยแก้ว" นั่นแหละครับ

    2. วิธีเข้าทรง ส่วนมากมักใช้เด็กหญิงเป็นร่างทรง เชิญผีหรือเทวดาที่ต้องการติดต่อด้วยเข้าสิงร่างของเด็กหญิง แล้วถามเรื่องราวต่างๆ วิธีนี้จึงเรียกว่า "กุมารีปัญหา" (ถามปัญหาผ่านเด็กหญิง) สมัยพระพุทธกาล คนนิยมทำกันมาก เดี๋ยวนี้วิธีเข้าทรงพัฒนาไปมากไม่ต้องใช้เด็กหญิงแล้ว ส่วนมากผู้ใหญ่จะทำตนเป็น "ร่างทรง" จะเข้าทรงเอง เชิญผี หรือเทพที่ต้องการมาเข้าทรง (ส่วนมากจะจำกัดองค์ใดองค์หนึ่ง เช่น เจ้าแม่ตะเคียนทอง คนทรงคนนั้นก็จะตั้งสำนักเป็น "สำนักทรงเจ้าแม่ตะเคียนทอง" คอยแก้ปัญหาให้ประชาชนสารพัดอย่างกระทั่งบอกหวย เจ้าพ่อเจ้าแม่แกก็บอกได้

    3. วิธีสมาธิ ฝึกจิตจนได้สมาธิระดับหนึ่ง จิตมีพลัง มีความคมชัดระดับที่เรียกว่าได้ "จตูปปาตญาณ" (ญาณหยั่งรู้การเกิดการตายของสรรพสัตว์ หรือได้ตาทิพย์) เมื่อได้ความรู้ความสามารถพิเศษระดับนี้ ท่านว่าจะเกิดมีแสงสว่างในใจ ทำให้เห็นรูปร่างของพวกผีเทวดา ทั้งสามารถติดต่อพูดจากับพวกเขาได้ เสมือนมีจอโทรทัศน์ประจำใจ เปิดปุ๊บก็ปรากฏร่าง "โอปปาติกะ" หรือบรรดาผีสางเทวดาทั้งหลายอยู่หน้าจอทีวีเลยทีเดียว


    ˹ѧ
     
  2. F-5E

    F-5E เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    353
    ค่าพลัง:
    +964
    อนุโมทนาครับ เปรต นี้ก็ถือว่า เค้าได้เกิดแล้ว เพียงแต่อยู่ในทุคติภูมิ มีรูปร่างน่ากลัว เท่านั้นเอง อย่าว่าแต่ เปรต เลยครับ บางคน เห็น เทวดาที่อยู่ ในภพภูมิที่ไม่ห่างจากมนุษย์ มาในลักษณะ ชุดขาวบ้าง หรือ ในลักษณะต่างๆบ้าง ก็กลัว เหมือนกันครับ
     
  3. คนข้างทาง

    คนข้างทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +392
    ขอบคุณครับ ที่ทำให้เข้าใจขึ้นเยอะเลย
     
  4. raphiphan

    raphiphan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    511
    ค่าพลัง:
    +425
    ขอบคุณครับ
     
  5. tong5959

    tong5959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,056
    ค่าพลัง:
    +6,082

แชร์หน้านี้

Loading...