ผู้คุ้มครอง

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย สิกขิม, 26 มิถุนายน 2006.

  1. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=359

    ผู้คุ้มครอง
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒




    วันหนึ่ง เพื่อนที่รักใคร่มาจากต่างจังหวัดได้มาเยี่ยมเยียนสนทนา ถามถึงทุกข์สุขฐานเพื่อนเก่าแก่ นานๆ จะได้มีเรื่องสนทนากันมาก เพราะเราไม่ได้พบกันนาน เมื่อได้เวลาจวนเที่ยงเรา จึงได้ชวนกันไปรับประทานอาหารในร้านแห่งหนึ่ง เมื่อสั่งอาหารแล้ว เราก็ยังมีเวลาสนทนากันเรื่องต่างๆ ไม่รู้จักจบสิ้น

    ตอนหนึ่งเพื่อนได้บอกว่า "ญาติของผมคนหนึ่งได้ประสบเหตุการณ์มหัศจรรย์เป็นเรื่องแปลกมาก พิลึกจริงๆ ยากที่จะเชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว ญาติของผมคนนี้เป็นลูกของอา จะนับก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับผม แต่เป็นคนดีมาก มีศีลมีสัตย์ เรื่องนี้ ถ้าเป็นคนอื่นเล่ากันมาหลายทอดผมก็ยังสงสัย ไม่แน่ใจว่าตัวผมเองจะเชื่อหรือไม่ เพราะเหตุการณ์ประหลาดเหล่านี้ บางครั้งก็ต้องเชื่อจะไม่เชื่อก็ไม่ได้ จะเชื่อมากนักก็ไม่ได้ ฉะนั้น ผมจึงเดินสายกลางๆ เลือกเชื่อเป็นเรื่องๆ ไป

    ก่อนเชื่อก็ต้องพิจารณาดู ผู้ประสบการณ์นั้นเป็นคนชนิดใด มีความประพฤติอย่างไร มีประโยชน์อะไรแอบแฝงอยู่ในเรื่องหรือไม่ น้ำหนักของเรื่องเชื่อถือได้ไหม เพราะเรื่องเหล่านี้พิสดาร จะเอาหลักและเหตุผลไม่ค่อยได้ ถ้าเราได้ประสบกับตัวเอง เห็นกับตาได้ยินกับหูเราก็เชื่อ แต่ถ้าเราจะไปเล่าให้คนอื่นฟัง เขาอาจจะไม่เชื่อเช่นเดียวกับเราไม่เชื่อเขา เพราะเป็นสมัยความเจริญทางวิทยาศาสตร์ สามารถจะส่งดาวเทียมขึ้นโคจรรอบพิภพ และกำลังจะส่งมนุษย์อวกาศขึ้นไปสู่ดวงจันทร์และดาวนพเคราะห์อื่นๆ และก็น้อยคนนักที่จะหันมาสนใจกับเรื่องที่ไม่มีเหตุไม่มีผล"

    ข้าพเจ้าถามว่า "เรื่องเหล่านี้เห็นจะเกี่ยวกับวิญญาณ และเรื่องภูมิผีปีศาจใช่ไหม"

    เพื่อนตอบว่า "ถูกแล้ว ที่ผมพูดนี่หมายถึงวิญญาณ มีอภินิหารแปลกประหลาดมหัศจรรย์"

    ข้าพเจ้าบอกว่า
     
  2. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    "คุณจะไปไหนขึ้นมาบนรถผมจะไปส่ง อย่าเดินตากฝนเลย"

    เมื่อแกเหลียวหน้าหันมาดู ผมก็เห็นหน้าถนัด เป็นชายแก่ๆ แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ผมเห็นขนคิ้วสองข้างของแกไม่เหมือนกัน เพราะข้างหนึ่งหงอกขาวและอีกข้างหนึ่งยังดำ แกหยุดหันมาถามว่า “เรียกข้าเหรอ"

    ผมรีบเปลี่ยนคำแทนชื่อตามอายุ บอกว่า "ครับ เชิญคุณลุงขึ้นมาบนรถผมจะไปส่ง" แล้วผมก็เอียงตัวเอื้อมมือไปเปิดประตูรถให้แกรีบขึ้นมา เมื่อแกขึ้นมานั่งเรียบร้อยผมก็ปิดประตูรถ เข้าเกียร์เดินทางต่อไป ทันใดนั้นชายชราพูดว่า

    "เออ เอ็งนี้มันใจดีจริงว่ะ ที่มีแก่ใจหยุดรับคนแก่อย่างข้า" พูดแล้วก็หัวเราะชอบใจ ฟังแล้วรู้สึกพิกล แต่ผมไม่สนใจจึงบอกว่า

    "ไม่เป็นไรหรอกครับคุณลุง โบราณว่าน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ผมเดินทางมาคนเดียวจะได้คุณลุงเป็นเพื่อนคุยกันระหว่างทาง วันหน้าวันหลังผมอาจต้องพึ่งคุณลุงก็ได้" เสียงชายชราหัวเราะในลำคออย่างชอบใจว่า

    "เออ จริงๆ เอ็งมันคนซื่อใจดี ข้าชอบเอ็ง" แล้วก็หัวเราะต่อไป ทำให้ผมนึกในใจว่า ชายสูงอายุผู้นี้เป็นใครกันนะ ดูท่าทางพูดจาคล้ายกับผู้มีอำนาจ แม้จะใช้คำพูดอย่างชาวบ้านชนบทธรรมดาของผู้เฒ่าที่ใช้คำพูดกับลูกหลาน แต่ผมก็ไม่ถือสาอะไรในคำพูดตรงไปตรงมาของแก นึกว่าผู้เฒ่าสูงอายุชั้นปู่ชั้นตาเราควรให้ความเคารพ เพราะอายุเราก็รุ่นลูกหลานแก คิดแล้วก็มีความสบายใจ เมื่อผมหยิบซองบุหรี่เปิดออกมายื่นให้แล้วบอกว่า

    "คุณลุงเชิญสูบบุหรี่ซิครับ"

    เสียงชายชราหัวเราะแล้วพูดว่า "ข้าไม่สูบยาหรอกโว้ย เอ็งสูบของเอ็งได้ตามใจ"

    ผมจึงพูดว่า "ผมต้องขอโทษด้วยที่คุณลุงไม่ชอบ ผมก็ยังไม่สูบเหมือนกัน" พูดแล้วผมก็ปิดซองบุหรี่เก็บใส่กระเป๋า

    เสียงชายชราพูดว่า "รถของเอ็งมันไม่สวยเหมือนรถคนอื่นเขา แต่เอ็งใจดี ก็ใช้ได้" พูดแล้วก็หัวเราะชอบใจ

    ผมจึงตอบว่า "จริงครับคุณลุง รถของผมรูปร่างไม่สวย เพราะเป็นรถรุ่นเก่า แต่มันก็ซื่อสัตย์ดี ไม่เคยเสียกลางทางเลย ผมวิ่งตลอดคืนตลอดวัน ขอเติมน้ำมันอย่าให้หมดถังเท่านั้น"

    เสียงชายชราหัวเราะชอบใจ พูดว่า "เออ เอ็งมันดี แต่ข้าขอเตือนเอ็งอย่าประมาท ของอะไรมันไม่แน่นอน" พลางชี้มือไปข้างหน้าแล้วบอกว่า

    "โน่นถึงหัวดงตรงต้นไม้ใหญ่มากๆ เอ็งหยุดรถข้าจะลง"

    เมื่อรถมาถึงที่ต้นไม้หนาทึบตามชายชราบอก ผมก็หยุดรถเอียงตัวเอื้อมมือไปเปิดประตูรถให้ชายชราลง เมื่อแกลงจากรถแล้วก็ร้องบอกว่า

    "ข้าไปก่อนโว้ย ถ้าเอ็งมาแถวนี้นึกถึงข้าบ้างนะ" แล้วก็หัวเราะอย่างน่ากลัว ผมก็ได้แต่รับปากว่า "ครับคุณลุง" แล้วก็ยกมือไหว้แต่ชายชรามิได้หันมามอง แกรีบก้มหน้าหันหลังเดินดุ่มๆ เข้าไปในดงไม้ หายไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่เย็นจับใจ ผมก็ไม่ได้ถามชื่อชายชราผู้นั้นและแกก็ไม่ได้บอก คงจำได้แต่รูปร่างหน้าตาเท่านั้น แกเป็นใครอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ หลังจากนั้นผมก็นั่งมาในรถคนเดียว คิดอะไรต่ออะไรตลอดทาง

    ภายหลังต่อมาอีกหลายเดือน ผมก็ต้องเดินทางโดยรถยนต์ไปในเส้นทางสายนี้ และคราวนี้ก็ไปคนเดียวเช่นกัน การเดินทางไปถึงแถวนั้นก็เป็นเวลาดึกมาก ผมก็อดคิดถึงชายชราไม่ได้นึกถึงคำพูดของชายชรา นึกถึงเสียงหัวเราะคล้ายคนเสียสติและเยือกเย็นของแก แล้วก็อดนึกถึงเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาแล้ว คืนนั้นผมขับรถใช้ความเร็วสูง เวลานั้นมีผมคนเดียวและรถคันเดียวในท้องถนนในยามดึก เพราะไม่มีรถตามหลังและรถสวนทางมาในความสงัด อากาศเยือกเย็นทำให้ผมเร่งความเร็วตลอดเวลา

    แต่แล้วเหตุการณ์ไม่ได้นึกได้ฝันว่า อากาศเยือกเย็นยามดึกเช่นนี้จะเกิดอุบัติเหตุยางล้อหน้า ซึ่งไม่เคยมีวี่แววว่าชำรุดเลยก็ระเบิดดังปังเสียงสนั่นหวั่นไหว ล้อหน้าซึ่งยางนอกยางในเสียหายใช้ไม่ได้หมดลมอย่างกะทันหัน รถก็ส่ายไปมา พวงมาลัยสั่น ผมคุมพวงมาลัยไม่อยู่ เพราะยางเส้นที่ระเบิดนั้นไม่มีลมสะบัดตามล้อที่หมุน ผมไม่สามารถจะบังคับพวงมาลัยไว้ได้ตามปกติ รถหันตัวหมุนขวางถนน หน้ารถกำลังจะวิ่งพุ่งดิ่งลงไปตกข้างถนน สติผมยังดีคิดว่า ถ้าผมเหยียบห้ามล้อจะจะต้องคว่ำก่อนตกถนน ผมใจหายหมดนึกภาวนาถึงคุณพระอยู่ในใจ และคิดว่าถ้าไม่ตายก็ต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลเป็นแน่

    ทันใดนั้นในนาทีสุดท้ายความสว่างของไฟหน้า ทำให้ผมมองเห็นชายชราก็จำได้ เพราะคิ้วข้างหนึ่งขาวข้างหนึ่งดำ พอดีแกยืนขวางหน้ารถริมขอบถนน ใช้มือดันรถไว้ไม่ให้ตก ตาผมไม่ฝาด สติผมก็ยังดี ผมต้องร้องตะโกนออกไปสุดเสียงด้วยความตกใจกลัวรถจะชนแกตกถนนตายว่า

    "คุณลุงหลีกเร็ว ประเดี๋ยวรถจะชนตกถนน"

    แต่แล้วผมก็ได้ยินชายชราหัวเราะอย่างเยือกเย็นอย่างเคยได้ยินในยามดึกสงัด พลางร้องบอกว่า

    "เอ็งจะตายอยู่แล้ว ยังเป็นห่วงคนอื่นเขาอีกนิ" แล้วก็หัวเราะตามเคย

    ต่อจากนั้นผมก็หมดความรู้สึกเพราะสิ้นสติ รู้สึกรางๆ เหมือนหัวพุ่งเข้าชนของแข็งอย่างแรงแล้วสลบไป ทั้งที่มีพวงมาลัยค้ำตัวอยู่จะชนได้อย่างไร ผมก็อธิบายไม่ถูกว่า พอรถวิ่งไปจดขอบถนนก็หยุดอย่างกะทันหัน ผมไม่ทันได้ระวังตัว หัวจึงพุ่งออกมาชนของแข็งภายในรถ ประกอบด้วยความตกใจจึงทำให้หมดสติ

    ก่อนจะหมดสติผมนึกว่าต้องตายแน่ ไม่นึกว่าจะรอดพ้นความตายไปอย่างปาฏิหาริย์ เพราะจากขอบถนนไม่สู่พื้นล่างสูงพอที่รถจะพลิกคว่ำพลิกหงายไปหลายทอด กว่าจะถึงพื้นดินล่างนึกแล้วก็หวาดเสียวน่ากลัวที่สุดในชีวิต ผมไม่สามารถลืมเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ตลอดมาถึงปัจจุบันนี้...
     
  3. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    ผมสลบไม่ได้สติจนรุ่งเช้า พระอาทิตย์ขึ้นท้องฟ้าสว่าง นกกาออกหากิน บินผ่านไปส่งเสียงร้องในอากาศ เสียงไก่ขันมาจากไกลๆ ผมค่อยๆ รู้สึกคล้ายเหมือนตื่นจากนอนหลับธรรมดา อากาศเช้าทำให้ร่างกายค่อยสดชื่น แต่ยังจำเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นตกใจที่สุดในชีวิต เหมือนตื่นจากฝันร้ายสู่ความรู้สึกปกติ เมื่อผมลุกขึ้นเปิดประตูรถเดินออกมา รู้สึกว่าร่างกายทุกส่วนปกติธรรมดา ไม่รู้สึกเจ็บปวดในส่วนใดส่วนหนึ่ง

    ผมมองเห็นชาวบ้านหลายคน มามุงล้อมดูรถของผมก่อนที่ผมจะรู้สึกตัว เมื่อได้ยินเสียงพูดจาท่าทางของชาวบ้านเหล่านั้น ทำให้ผมพิศวงประหลาดใจ คนหนึ่งในจำนวนนั้นพูดขึ้นว่า.....

    "เมื่อคืนนี้กูได้ยินเสียงเหมือนปืนใหญ่ กูรีบวิ่งมาดูนึกว่าอย่างไรก็คงเกิดเรื่องรถยนต์คงชนกัน หรือไม่ก็คงตกถนน แต่กูวิ่งมาถึงก็เห็นรถยนต์อยู่อย่างนี้ มันแปลกโว้ย อีกนิดเดียวมันก็จะตกถนนอยู่แล้ว ไม่เป็นอะไรเลย เห็นนายนอนอยู่ในรถ แล้วเพื่อนของนายอีกคนหนึ่งเดินอยู่รอบๆ รถ ฉันเห็นแล้วก็เลยกลับไปนอน"

    ผมรีบถามต่อไปว่า "พี่ชายวิ่งมาทำไมดึกๆ แล้วเห็นคนเดินรอบรถนั้น รูปร่างอย่างไร ?"

    ชาวบ้านผู้นั้นตอบว่า "เราวิ่งมาดูเผื่อว่ามีรถชนกัน หรือรถคว่ำตกถนน ถ้ามีคนบาดเจ็บล้มตายเราก็จะช่วยกัน ส่วนเพื่อนของนายหน้าตาเป็นอย่างไรเห็นไม่ค่อยชัด เพราะเดินดำตะคุ่มๆ เดินไปเดินมา"

    ผมได้ฟังแล้วยิ่งสงสัยหนักขึ้น จึงบอกชาวบ้านเหล่านั้นว่า "ฉันมาคนเดียว ฉันสลบไม่ได้สติอยู่จนกระทั่งเช้านี้ ที่พี่ชายเห็นคงจะเป็นพวกชาวบ้านแถบนี้กระมัง" ชายชาวบ้านผู้นั้นร้องบอกว่า

    "ไม่ใช่พวกเราแน่ๆ " คราวนี้ผมสังเกตเห็น เมื่อแกพูดแล้ว ก็ชำเลืองดูนาฬิกาข้อมือเรือนทองของผมอย่างเสียดาย แต่แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ จึงถามพวกชาวบ้านว่า

    "นี่พี่ชายรู้จักชายรูปร่างไม่สูงไม่ต่ำ อายุราวแปดสิบไหม แต่ท่าทางยังแข็งแรงว่องไวเหมือนคนอายุสี่สิบ แต่หน้าแก่มากแล้ว"

    ชาวบ้านในกลุ่มนั้นรู้สึกทึ่งมาก บอกว่า "คนแก่รูปร่างที่ว่านี้พวกบ้านเราไม่มี เห็นมีแต่ตาก๋งอายุราวแปดสิบ ต้องถือไม้เท้ายันตัวจะก้าวเดินทีละก้าวก็ลำบาก ไปไหนมาไหนไม่ไหวแล้วคงอยู่แต่ในบ้าน รูปร่างอย่างบอกไม่เห็นมี"

    ผมจึงบอกต่อไปว่า "ลักษณะของชายแก่ ที่ฉันเห็นนี่ผิดกว่าคนอื่น คือคิ้วข้างหนึ่งขาวอีกข้างหนึ่งดำจำง่าย เมื่อคืนนี้แกยังมาที่นี่" ผมยังไม่ทันพูดจบ ชายกลุ่มนั้นก็อ้าปากตาโต ร้องขึ้นว่า

    "หา..… นั่นเจ้าพ่อปู่….. นี่" คนหนึ่งทำท่าขนลุกทั้งตัว ลูบลำแขนตัว ดึงผ้าขาวม้าที่ห่มตัวอยู่ดึงกระชับให้แน่นรัดตัวขึ้น กิริยาแสดงว่าไม่สบายใจด้วยกันทุกคน ผมจึงถามว่า.....

    "เจ้าพ่อปู่….. ที่ว่านี้เป็นใครนะพี่ชาย ช่วยบอกหน่อยเถิด"

    เสียงชายชาวบ้านพูดอย่างไม่เต็มปากว่า "เจ้าพ่อปู่เป็นผีไม่ใช่คน มีอภินิหารและศักดิ์สิทธิ์มาก"

    เมื่อชายกลุ่มนั้นพูดแล้วก็ต่างทยอยกลับบ้าน ทิ้งความงุนงงไว้ให้ผมขบคิด แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อคืนก่อนที่ผมจะหมดสติจำได้ว่า ยังไม่ได้ปิดสวิตซ์ไฟหน้ายังเปิด เครื่องยนต์ยังไม่ดับ นึกกลัวว่าไฟในหม้อแบตเตอรี่คงหมด พอนึกแล้วก็ตกใจ กลัวรถจะเดินทางต่อไปไม่ได้ จึงรีบเปิดประตูเข้าไปคลำดูสวิตซ์ก็เห็นปิดเรียบร้อยดี นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่า ผมได้ปิดตอนไหน ปิดได้อย่างไร เมื่อเปิดสวิตซ์แล้วก็เดินเครื่องดู เครื่องก็ติดเรียบร้อยทำให้ผมเบาใจมากขึ้น รีบเข้าเกียร์ถอยหลังให้ห่างจากขอบถนนแล้วก็รีบเอาแม่แรงมายกล้อหน้า เพื่อถอดยางเส้นระเบิดออก เอายางอะไหล่มาเปลี่ยนใส่ใหม่เพื่อจะได้เดินทางต่อไป

    แต่แล้วก็มองเห็นชายผู้หนึ่งกำลังขี่รถจักรยานผ่านมา ดูท่าทางดี แสดงว่าเป็นคนมีความรู้ผิดกว่าชาวบ้านทั่วไป ผมจึงร้องถามถึงชื่อหมู่บ้านและตำบล ชายผู้นั้นมีนิสัยดีงามตามที่เข้าใจไม่ผิด รีบลงจากรถจักรยานจูงเข้ามาข้างถนนใกล้รถผม แล้วก็ชี้แจงอธิบายให้ทราบถึงตำบลหมู่บ้าน และได้ทราบว่าชายผู้นี้เป็นครูใหญ่โรงเรียนประจำตำบลซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลนัก ผมจึงถามถึงเจ้าพ่อปู่..… ที่ชาวบ้านเอ่ยถึง และอธิบายรูปร่างลักษณะให้ทราบ ครูใหญ่ผู้นั้นนิ่งอึ้งไป

    ผมจึงได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวผมในเวลากลางคืน เล่ามาถึงที่สุดท้ายระหว่างความเป็นกับความตาย เจ้าพ่อปู่ได้มาช่วยโดยยันรถเอาไว้ไม่ให้ตกถนน ครูใหญ่ผู้นั้นนิ่งฟังผมเล่าด้วยความสงบและสนใจครู่หนึ่ง แล้วก็ใช้ความไตร่ตรองจึงพูดว่า

    "เจ้าพ่อปู่..… องค์นี้ท่านมีอภินิหารอิทธิฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านที่มีศีลมีธรรมทั่วไปในตำบลนี้ และเป็นที่เกรงกลัวของพวกทุจริต ผมว่าคุณเคราะห์ดีมากที่เจ้าพ่อปู่ได้ช่วยเหลือชีวิตและทรัพย์สินของคุณไว้ มิฉะนั้นคุณต้องลำบากแน่ เพราะเวลาที่คุณไม่ได้สติไม่รู้สึกตัว มีหวังว่าทรัพย์สินที่มีติดตัวคุณก็จะถูกปลดจนไม่มีอะไรเหลือติดตัว ถ้าไม่ได้เจ้าพ่อปู่คอยคุ้มครองป้องกัน นับว่าคุณเป็นคนโชคดี เพราะพวกที่มายืนล้อมรถคุณอยู่ตอนเช้าๆ นั้น ผมทราบว่าล้วนตัวร้ายๆ ทั้งนั้น ถ้ามันรู้ว่าคุณสลบและไม่มีเจ้าพ่อปู่คุ้มกันแล้ว คงจะเหลือแต่กางเกงในติดตัวเท่านั้น พวกนี้ใจร้ายมาก"

    ผมกล่าวคำขอบคุณครูใหญ่ ที่ได้มีความกรุณาชี้แจงอธิบายให้ผมทราบ เล่าเรื่องอภินิหารของเจ้าพ่อปู่ให้ผมฟัง ทำให้ผมขนลุกขึ้นมา เกิดความเลื่อมใสนับถือเจ้าพ่อปู่ยิ่งขึ้น ยกมือขึ้นไหว้ระลึกพระคุณเจ้าพ่อปู่ ที่ได้ช่วยให้ผมรอดพ้นภัยเกิดจากอุบัติเหตุร้ายแรงบนท้องถนนในครั้งนั้น...
     
  4. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    ต่อจากนั้นมาผมก็ไม่ประมาท เมื่อผมจะเดินทางไกลครั้งใด ผมก็จะต้องตรวจดูยางล้อหน้าก่อนอื่น ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์เกิดซ้ำรอยอีก เพราะไม่แน่ใจว่าคราวต่อไปนี้เจ้าพ่อปู่จะใช้อิทธิฤทธิ์อภินิหารช่วยเหลือคุ้มครองอีกหรือไม่

    หลังจากผมรอดจากอุบัติเหตุวันนั้นเป็นต้นมา ผมเกิดเคารพเจ้าพ่อปู่ผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของผม ได้จัดการทำบุญใส่บาตรอุทิศแผ่กุศลไปให้ท่าน บางครั้งผมมีปัญหายุ่งยากไม่สบายใจ ก็จุดธูปเทียนระลึกถึงท่าน จิตใจก็สบายดี

    นี่แหละครับเรื่องที่ผมเล่ามานี้ได้ประสบกับตัวเอง แต่ไม่ทราบว่าความเห็นของคุณรู้สึกอย่างไร เมื่อได้ฟังเรื่องราวของผมแล้ว ข้าพเจ้าได้ฟังคำถามพิจารณาดูแล้วจึงบอกว่า….. "เป็นธรรมดาเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์มีอภินิหารเช่นนี้ ย่อมจะมีผู้เชื่อเป็นธรรมดา ในความรู้สึกของแต่ละบุคคลย่อมไม่เหมือนกัน คนอื่นเขาอาจไม่เชื่อ แต่ผมเชื่อแน่นอนไม่มีข้อสงสัยอะไร เพราะผมก็เคยประสบการณ์หลายครั้ง จึงไม่มีปัญหาอะไรจะต้องคิด

    ทั้งผมยังไม่เคยทราบว่า มีบางท่านขับรถไปในท้องถนนบนชนบทที่ห่างไกลเวลาค่ำคืน มีชายลึกลับขอโดยสารระหว่างทาง แต่แล้วผู้ขอโดยสารก็หายไปเฉยๆ โดยไม่ลงจากรถเช่นนี้เป็นต้น ทั้งผมยังเคยทราบว่า มีบางท่านรับคนแปลกหน้าขึ้นไปนั่งบนรถแล้วก็คุยกันอย่างสนุกสนาน แต่คนอื่นมองไม่เห็นตัว ไม่ได้ยินเสียงพูดโต้ตอบของชายลึกลับ คงได้ยินแต่เสียงผู้ขับคุยไปหัวเราะไปชี้มือชี้โม้โบ๊เบ๊ไปข้างเดียว ทำให้คนอื่นมองเห็นว่าเป็นคนบ้าที่คุยคนเดียว หัวเราะคนเดียว นี่ก็เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์น่าคิด และเรื่องของคุณก็เห็นจะเข้ากันกับเรื่องนี้"

    ผมยังมีเรื่องที่น่าพิศวงในคนที่ไม่เชื่อ คือ ผมมีเพื่อนรักใคร่นับถือผู้หนึ่งได้สนใจในหนังสือผมมาก เมื่ออ่านแล้วก็ส่งไปให้บุตรชายและบุตรสะใภ้อ่าน แต่ทั้งสองบอกว่าไม่เคยเชื่อในเรื่องวิญญาณเลย เพราะเห็นเป็นเรื่องเหลวไหล ต่อมาตอนดึกคืนหนึ่งบุตรสะใภ้ได้กลับจากธุระ เมื่อจะกลับบ้านต้องเข้าซอยก็นึกกลัวขึ้นมา เพราะต้องเดินเข้าซอยไปอีกไกล รถก็เข้าไม่ได้ จะเดินเข้าไปก็ไม่มีเพื่อน จึงนึกถึงเรื่องวิญญาณที่ไม่เคยนึกมาก่อนและนึกถึงบิดาที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็พูดขึ้นคนเดียวว่า.....

    "ถ้าวิญญาณมีจริง ขอให้วิญญาณของคุณพ่อไปส่งหนูถึงบ้านซิ หนูจึงจะเชื่อ"

    พูดแล้วก็ตัดสินใจหักห้ามความกลัวเดินเข้าไปในซอยทันที ครั้นมาถึงบ้านสามีก็ออกมาเปิดประตูรับ แต่แล้วก็เห็นคนยืนอยู่ข้างหลังภรรยา จึงรีบเชิญให้เข้าไปนั่งในบ้าน ภรรยาเองก็สงสัยกิริยาท่าทีของสามี จึงบอกว่า.....

    "ใครที่ไหนกัน ฉันมาคนเดียว" สามีชี้ไปทางหลังภรรยาแล้วว่า

    "นั่นใครล่ะที่มาส่งเธอ" แต่พอภรรยาหันไปดูข้างหลังภาพนั้นก็หายไป นี่แหล่ะครับ คนที่ไม่เคยประสบการณ์ก็ไม่เป็นเชื่อเป็นของธรรมดา เราก็เหมือนกัน

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลึกลับมหัศจรรย์อภินิหารในโลกนี้ยังมีอีกมาก และวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ มีศีลธรรมอยู่ในพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้าเคยได้ฟังคำสั่งสอนในทางธรรม ทางวิญญาณ อันศักดิ์สิทธิ์และการรักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เพียงหวังสร้างบารมีต่อไป จะเห็นได้ทุกครั้ง ผู้ประกอบกรรมทำความดี มีศีลธรรมย่อมจะได้รับความคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายให้รอดพ้นได้ จากอำนาจอันลึกลับมหัศจรรย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอ แต่ยังไม่เคยปรากฏว่าผู้ประกอบกรรมทำชั่วใจบาปหยาบช้า เคยได้รับความคุ้มครองป้องกันภัยจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เลย เป็นเรื่องที่น่าคิดเรื่องหนึ่ง

    การที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี่เพียงแต่จะให้ท่านรู้ แต่ไม่ประสงค์จะให้ท่านเชื่อ เพราะการเชื่อง่ายนั้นย่อมจะไม่เกิดผลดี ถ้าไม่พิจารณาถี่ถ้วนก่อน เรื่องวิญญาณเป็นปัญหาใหญ่ของโลก ทุกชาติทุกภาษายังถกเถียงกัน ผู้ที่เคยประสบการณ์ก็เชื่อ และผู้ไม่เคยประสบการณ์เลยก็ไม่เชื่อ ยังเป็นเรื่องลึกลับตั้งแต่ครั้งโบราณตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...