ฝนตกขี้หมูไหล .. สมณะไร้ธรรม !!

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 14 ตุลาคม 2018.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,297
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,273
    ค่าพลัง:
    +9,528
    ธรรมส่องโลก

    0b8b5e0b989e0b8abe0b8a1e0b8b9e0b984e0b8abe0b8a5-e0b8aae0b8a1e0b893e0b8b0e0b984e0b8a3e0b989e0b898.jpg

    พระอาจารย์อารยวังโส (Arayawangso) dhamma_araya@hotmail.com


    14 ตุลาคม 2561


    88


    เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีข่าวเรื่องหนึ่งที่บุคคลสำคัญส่งเข้ามาให้ดูเรื่อง พระภิกษุบางรูป บางคณะ

    เรียกร้องให้มีสิทธิทางการเมือง-การปกครอง สามารถใช้สิทธิเพื่อออกเสียงลงคะแนนได้ .. คล้ายที่ปรากฏในประเทศพุทธศาสนาเพื่อนบ้านเราบางประเทศ

    อาตมาจึงได้เขียนตอบไปว่า พระภิกษุเหล่านั้นคงไม่เข้าใจความหมายของภิกษุในพระธรรมวินัยหรือพุทธศาสนาแท้จริง ดังปรากฏในพุทธเถรวาท และการออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองดังกล่าว คงไม่ได้รับทราบระเบียบกฎเกณฑ์ของคณะสงฆ์จากเถรสมาคม

    จึงควรเป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาส เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ในแต่ละเขตของภิกษุคณะดังกล่าวนั้น จะได้ตรวจสอบดำเนินการ เพื่อป้องกันการชักนำภัยมาสู่ศาสนาโดยเร็วพลัน ไม่ควรปล่อยไว้ให้เป็นกระแส ที่สำคัญสถาบันสงฆ์ต้องแสดงบทบาทท่าทีที่ถูกต้องให้สังคมทราบว่า บทบาทหน้าที่ของพระภิกษุ-สามเณร ควรดำเนินไปในทิศทางใดในกระแสสังคมปัจจุบัน… นั่นหมายถึง การแสดงธาตุแท้ของสมณธรรม เพื่อการดำรงอยู่ของพระสงฆ์ในพุทธศาสนาที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ว่า เป็นอย่างไร !!

    ในหลายเรื่องราวที่เข้าสู่กระแสสังคมยุคไอที จะเห็นอิทธิพลแห่งการสื่อสารที่รวดเร็วฉับไวในโลกไร้พรมแดนที่ไม่ธรรมดาเลย เพียงแค่แพร่ออกไปชั่วพริบตาเดียว จะกลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมทันที ดังที่เคยนั่งดูวิวาทะเรื่อง พระรับเงินทองควรหรือไม่ .. เป็นไปได้หรือ ที่จะไม่รับเงินทองในยุคที่ชาวโลกมีเงินทองเป็นพระเจ้าแห่งชีวิต !!

    ในครั้งนั้นจึงต้องลุกออกมาพูดกันให้ชัดๆ ว่า โดยพระธรรมวินัยนั้นเป็นอย่างไร และโดยความเป็นจริงนั้น ในปัจจุบันยังทำได้หรือไม่ .. โดยยกตัวอย่างตัวเราเองนี่แหละ ในฐานะเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ที่ถือปฏิบัติอย่างซื่อตรงมาโดยตลอด และมิใช่ว่าไม่มีผู้ถวายหรือมีผู้ถวายปัจจัยไม่มากจึงออกมาพูด…

    ในเรื่อง พระกับการเมือง ที่ยกขึ้นมากล่าวในเบื้องต้น ก็มิได้แตกต่างไปจาก พระกับเงินทอง … เพราะเป็นเรื่องของโลกธรรมนำเข้าสู่กามคุณทั้งนั้น อันไม่ใช่วิสัยของสมณะหรือพระภิกษุในพุทธศาสนา

    ในศาสนจักรที่วุ่นวายกันไม่รู้จบ เพราะพระภิกษุละทิ้งถิ่นธรรม กลับคืนไปสู่ถิ่นโลก มีความนิยมชมชอบใน ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข กันมากขึ้น จึงอาศัยฐานะตำแหน่งการปกครอง .. ยศศักดิ์ สื่อสารออกไปหาบริวาร ทรัพย์สิน เกียรติยศ ชื่อเสียง เราจึงพบเห็นเรื่องราวเชิงประจักษ์ในปัจจุบัน เมื่อพระจำนวนไม่น้อยแข่งขันการสร้างวัด สร้างบริวารกัน โดยมีการก่อกิจกรรมบุญกุศลขึ้นมาจูงใจศรัทธาสาธุชนที่หวังได้ความดี ถึงสวรรค์ พระนิพพานในทางลัด อย่างไม่ต้องออกกำลังเพียรให้มันชอกช้ำทุกข์กายเล่น

    ศาสนนิยมในสังคมปัจจุบันจึงเปลี่ยนศาสดาและบิดเบือนคำสอนอย่างฉ้อฉลกันมากขึ้น จนหมู่ชนที่ขาดความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัยอันวิเศษของพระพุทธองค์ ลุ่มหลงมึนงงไปตามกระแส… อย่างข่าวล่าสุดสำนักค้าบุญแถวปทุมธานีก่อกิจกรรมใหญ่อีกแล้ว และหนีไม่พ้นการระดมทุนครั้งใหญ่ผ่านการสร้างกิจกรรมส่งเสริมบุญ ด้วยวิธีการภาษาที่สละสลวยสวยเก๋ จนจิตคนเราที่ทุกข์มากๆ มันเคลิบเคลิ้มจินตนาการตามไปด้วยอย่างสุขใจจากเพียงแค่คิดตาม… จึงไม่ยากต่อการล้วงกระเป๋า ควักเอาเงินยังชีพก้อนสุดท้ายออกมาทำบุญ ด้วยหวังว่าจะได้เป็นต้นทุนต่อเติมบุญไปข้างหน้า ให้เกิดเป็นดอกเป็นผลมหาศาล… ฝนตกขี้หมูไหล จึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้…

    จริงๆ แล้ว หากเรากลับมามองดูค้นหาความจริงว่า อะไรทำให้จิตใจเราเสื่อมลงทุกวันๆ.. ก็คงพบคำตอบด้วยตนเองว่า มาจากความอยาก … ไอ้ความอยากตัวเดียวนี่แหละ ที่มันทำเอาสัตว์โลกปั่นป่วนไปทุกหมู่เหล่า ไม่เว้นในเขตวัด เขตบ้าน ด้วยคนเราดำเนินชีวิตไปตามความพอใจ อย่างขาดสติปัญญา… ความพอใจจึงไม่พอดี ทำให้จิตใจเตลิดเปิดเปิงไป พึงใจ และติดใจ ในอารมณ์นั้นๆ ขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

    เมื่อจิตใจกระทบกับอารมณ์อย่างขาดสติปัญญา สร้างกระแสความคิดโลดแล่นไปตามกิเลสที่เกาะกุมรวมกลุ่มอยู่ในจิตใจนั้นก็เกิดขึ้น ที่สะท้อนออกมาในรูปลักษณะ ความรัก ความชัง ความหลง จิตใจจึงทะยานอยาก เพื่อเข้าไปยึดถือเกี่ยวข้องกับวัตถุ สิ่งของ ที่ก่อเป็นรูปอารมณ์นั้นๆ อยู่ในจิต เพื่อแสวงหาสิ่งสนองตอบความต้องการด้วยการก่อเกิดการกระทำขึ้น เมื่อการกระทำมี ผลย่อมปรากฏตอบแทนคืนเจ้าของการกระทำ ถูกใจก็ชอบเป็นสุข .. ไม่ถูกใจก็ไม่ชอบเป็นทุกข์ และทั้งที่ถูกใจและไม่ถูกใจก็ผันแปรไปตามธรรม ..ที่สุดจึงไม่ได้ดังใจ ให้เกิดเป็นแรงบันดาลใจเที่ยวตามไขว่คว้าหาดวงดาวไปตามจินตนาการของจิต .. ที่ลวงล่อหลอกเล่นจิตไปวันๆ สมคำว่า “ฝนตกขี้หมูไหล…” จึงยังใช้ได้อยู่เสมอ กับพฤติกรรมอนาถาของพระคนในยุคทุศีลลอยฟ่องทั่วอาณา..


    เจริญพร


    ขอขอบคุณที่มา
    http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/645747
     

แชร์หน้านี้

Loading...