ฝันว่าตัวเองเน่าเปื่อย

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย เกศ, 2 ตุลาคม 2007.

  1. เกศ

    เกศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +65
    อยากถามเพื่อนๆทีนะคะ
    คือว่ามักจะฝันว่าตัวเองนั่งคุยอยู่แล้วเนื้อที่หน้าก็หลุดล่วงลงมา มีน้ำเลือดน้ำหนองไหลออกมา แล้วเนื้อค่อยๆหลุดออกมาทั้งตัวเลยคะ

    แล้วอีกไม่นานก็ฝันว่าที่มือของแฟน เป็นเนื้อที่ไม่มีหนังหุ้ม ค่อยๆหลุดออกมา จนเห็นเนื้อข้างในแล้วก็กระดูกก็หลุดออกมาด้วยเหมือนกับศพที่กำลังเน่านะคะ

    อย่างนี้เค้าเรียกว่าอะไรคะ หรือเราคิดมากไปเอง

    ปกติเวลานอนถ้าวันไหนตื่นมากลางดึกก็จะนอนภาวนา พองหนอ ยุบหนอ ไปด้วย เมื่อเคลิ้มใกล้หลับก็จะรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก จนสะดุ้งตื่น

    เวลานอนตอนที่ยังไม่อยู่กับสามี ก็จะได้ยินเสียงคนเรียกเราให้ตื่น ตอนเช้าหรือตอนที่เราต้องการจะตื่นก่อนเวลาคะ เรียกให้เราตกใจ มีทั้งเสียงผู้หญิงและ ผู้ชายเลยคะ หรือถ้ามีเหตุการณ์อะไรสำคัญๆก็จะมีเสียงคนเรียกให้ตื่น สักพักก็จะมีคนมาหาคะ แต่พออยู่กับสามีก็จะไม่ได้ยินเสียงเรียกอีกเลย

    เรามักจะนอนแล้วฝันว่าตัวเราลอยออกมาจากร่างที่กำลังนอนอยู่ มองลงไปก็เห็นตัวว่านอนอยู่ แล้วก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าตอนกลางคืนนะคะ อยากไปไหนก็ลอยไป จะไปหาแม่ ก็ลอยไป แต่คิดในใจว่าถ้ากลับเข้าร่างไม่ได้จะทำอย่างไรเพราะตอนนั้นลูกยังเล็กอยู่ ก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมา ฝันอย่างนี้บ่อยมาก

    มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเคยไปปฏิบัติธรรม กลับมาบ้านก็รู้สึกเหมือนมีคนมาอำ มาบอกว่าเค้าเป็นสามีเรา แล้วถูกยิงตาย เราเลยต้องบอกว่าจะทำบุญไปให้ แล้วรู้สึกตัว กลัวจนอยู่ไม่ได้ต้องออกไปนอกบ้าน เปิดไฟนอนอยู่ 3 วันกว่าจะหายกลัว (555)
    ยังไงช่วยชี้แนะให้ด้วยนะคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราบ้าง
     
  2. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646
    จับอสุภะกรรมฐานเลย
     
  3. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    กรรมฐานกองเดิมที่เคยเจริญได้เมื่อชาติก่อนๆจ้า เมื่อจิตอยู่ระดับใกล้เคียงกับของเดิมก็โผล่มา ให้ใช้สติจับพิจารณาเป็นกายานุสติกรรมฐาน ไปได้เลย วางกำลังใจดีๆให้มีสติ
    คนอื่นเค้าต้องหารูปมาดู หรือหาทางไปดูของจริง คนนี้ได้เลย ดีๆ ของดีๆ จับมาอยู่ข้างหน้ามองให้ทะลุเลยนะจ๊ะ

    สาธุ ^/|\^
     
  4. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    ผีมาขอส่วนบุญฯ


    <hr style="color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> [​IMG]

    ผีมาขอส่วนบุญ



    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็มาคุยกันต่อ ตอนก่อนนั้นเห็นพระพุทธเจ้า ท่านผู้ฟังสงสัยหรือไม่สงสัย ไม่เกี่ยวหนังสืออ่านเล่น เราก็อ่านกันไปเล่น ๆ คุยกันไปเล่น ๆ แต่เรื่องจริง หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก จิตใจก็มีความมั่นคงในพระพุทธเจ้า นึกปั๊บเมื่อไรเห็นทุกที ๆ จิตใจชุ่มชื่น มีอารมณ์ปีติ มีความผ่องใสมาก ผิวพรรณก็ดีขึ้นเพราะความแจ่มใสของจิต

    ตอนนี้เราก็มาคุยกันถึงคืนที่สาม คืนที่สามของการเจริญกรรมฐานพวกเราทั้งสามคน แต่อยู่คนละที่ มันเงียบสงัด ต่างคนต่างกลัวผี แต่ผู้พูดนี่ เวลากลัวผีขึ้นมาเมื่อไร ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าเมื่อนั้น นึกถึงเมื่อไร ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นทันที เหมือนภาพเดิมทุกอย่าง ผู้ฟังหรือผู้อ่านอาจจะคิดว่า ท่านบอกว่า จะเห็นครั้งแรกในชีวิต นั่นหมายความว่า ท่านจะมาให้เห็นโดยที่เราไม่คิดถึงท่าน

    แต่ท่านบอกว่า ถ้านึกถึงเมื่อไรจะปรากฏเมื่อนั้น พอนึกถึงเมื่อไร ใจจะเห็น เห็นจากทางใจ ลืมตาก็เห็น จิตมันเห็นเหมือนกับลืมตาเห็น เห็นชัดเจนมา คำว่า กลัวผี ก็คลายตัวไป คำว่า คลายตัว บรรดาท่านพุทธบริษัท มันยังไม่หายไปนะ มันคลายไปเฉย ๆ นะ ในเมื่ออาการคลายตัวไปแล้ว ก็ปรากฏว่า วันนี้เป็นวันที่สามของการบวช การเจริญกรรมฐาน มีความมั่นใจในพระพุทธเจ้า จับพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพลิดเพลิน การเพลิดเพลินในภาพของพระพุทธเจ้านี่ ก็เลยมีการพูดน้อย สนใจอย่างอื่นน้อย เพื่อน ๆ ที่เคยล้อ เคยเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่สามองค์ พระประจำวัด และอีกสององค์เขาก็มีสภาพเหมือนกัน เมื่อผู้พูดเคยเห็นพระพุทธเจ้า ตอนเช้าเขาก็เล่าให้ฟังว่า เขาก็เหมือนกัน เป็นอันว่า ภาพ ๆ เดียวกันเห็นได้ทั้ง ๓ องค์

    ฉะนั้น คืนนั้น กำลังจิตตั้งแต่หัวค่ำ เวลาประมาณสักทุ่มเศษ ๆ เมื่อนึกถึงภาพพระพุทธเจ้า เห็นภาพชัดเจนแจ่มใสเหมือนเดิม จิตก็เริ่มเป็นสุข จิตจับเฉพาะที่ตรงนั้นจนกระทั่งไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจเข้าออก มันทรงตัวอยู่นานแสนนาน มารู้สึกตัวขึ้นมาอีกที ไม่รู้ว่าเวลาเท่าไร ความจริงไม่ใช่หลับมีความสุขมาก มีจิตสงัด มีอารมณ์เฉย จิตข้างใจก็สว่างจ้า จิตไม่คิดถึงเรื่องอื่นเลย เห็นแต่พระพุทธเจ้าอย่างเดียว ชัดเจนแจ่มใสมาก จิตเป็นสุข ในเมื่อลมหายใจไม่ปรากฏ มันก็เป็นอาการของ ฌาน ๔ มารู้ตอนเช้า ที่หลวงพ่อปานท่านบอก ตอนนั้นยังไม่รู้ หนังสือหายังไม่เคยอ่านกับเขา หนังสือจะอ่านอย่างเวลานี้ไม่มีหรอก ต้องอ่านหนังสือขอม หนังสือขอมก็ยังไม่ได้อ่าน หนังสือไทยก็หายากเต็มที

    คำว่า วิสุทธิมรรค เป็นตำรา บ้านนอกไม่มีจะซื้อ เวลานี้ตำรามีเยอะ ครูบาอาจารย์มีเยอะ แต่ว่าคนทำนักปฏิบัติก็เก่งจริง ๆ ไม่ค่อยจะไปไหนกันหรอก ดีไม่ดีก็เลยสงสัยพระพุทธเจ้าเสียส่งเดชก็ยังมี บางรายบอกว่า อ่านหนังสือมาตั้งหลายเล่มแล้วไม่เข้าใจ เคยมาที่ผู้พูด เขาบอกว่า อ่านหนังสือหลวงพ่อมาหลายเล่มแล้วไม่เข้าใจ คุณก็เป็นคนที่ฉันสอนไม่ได้ ไม่ต้องแนะนำอะไรกันเลย เลิกกัน รำคาญ คนที่ไม่สนใจจริง จะไปสนใจเขาทำไม ไม่เป็นเรื่องเป็นราว
    หลังจากที่จิตเกิดความรู้สึกขึ้น คลายอารมณ์

    ตอนนั้นไม่รู้สึกเรื่องของร่างกายเลย ยุงจะกินริ้นจะกัดบ้างหรือเปล่า ก็ไม่รู้ ลมจะพัดแรง ลมจะพัดต่ำ จะเย็นก็ไม่รู้เรื่อง จิตมันเฉยสบาย ที่เขาเรียกว่าเป็น เอกัคตารมณ์กับอุเบกขา คือว่า เป็นอารมณ์ของฌานสี่ พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็เอาไฟฉายฉายดู เห็นนาฬิกาตีสองเศษ ๆ คิดในใจว่า จะนอนหรือยังก็มาคิดอีกทีว่า คนอย่างเราถ้ากลางคืนไม่ได้นอน กลางวันเราก็นอนได้ หลวงพ่อไม่ได้บังคับ การทำงานของท่านก็ไม่มีการบังคับใคร สุดแล้วแต่ใครจะทำ ก็ทำ ไม่เป็นไรไม่ทำก็ไม่ได้ว่าอะไร

    ก็เป็นอันว่า เมื่อเห็นนาฬิกาตีสอง ก็ลุกไปปัสสาวะ อุจจาระ ปัสสาวะ นี่มันเป็น นิพัทธทุกข์ นะญาติโยมนะ เป็นทุกข์ประจำ พอไปปัสสาวะกลับมา เสร็จเรียบร้อยดี ล้างหน้าล้างตาดีแล้ว นึกในใจว่า เอาอีกนิดเถอะ มันจะใช้เวลามากเวลาน้อยอย่างไรก็ช่าง มันยังไม่ง่วง ขณะที่เรายังไม่ง่วง อย่าปล่อยเวลาให้เป็นทุกข์ อีตอนนี้นั่งแบบสบาย ๆ ตอนแรกก็นั่งสบายนะ บรรดาท่านทั้งหลายอาจจะถามว่านั่งแบบไหน นั่งทีแรกที่เห็นภาพพระ นั่งเอาหลังพิงกอไผ่ที่ถางไว้ดีแล้ว แล้วเหยียดขาไปทางทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ดูใบไม้ไหว ทำใจให้เป็นสุข พอเห็นพระเข้าแล้ว ทีนี้นั่งคุกเข้า นั่งพับเพียบ ว่ากันไปตามเรื่องราว มาตอนนี้ มานึกในใจว่า โอ้โฮ เราเป็นสุขมาก เมื่อกี้นั่งเหยียดขามาตั้งหลายชั่วโมง ตอนนี้มานั่งขัดสมาธิเถอะ

    ก็เริ่มนั่งขัดสมาธิซ้อนตามแบบฉบับ หลังก็ยังพิงกอไผ่ตามเดิม พอเริ่มจับอารมณ์ปั๊บ จับอานาปานสติ คือ ลมหายใจเข้าออก พอหายใจเข้านึกปั๊บ พอเริ่มหายใจออกก็มีภาพคน ๆ หนึ่งเป็นผู้หญิง ตัวใหญ่มาก ถ้าจะวัดเอวกันจริง ๆ ก็ไม่เคยวัดกับเขาด้วยว่า มันเท่าไร่ต่อเท่าไร อาจจะเป็นร้อย ๆ ไอ้ที่เขาว่า ๓๐–๔๐ นั่นไม่ใช่ ต้องเป็นร้อยแน่ เอาอย่างนี้ดีกว่า รูปร่างแกเกือบ ๆ เท่าตุ่มแดง ตุ่มมอญน่ะ ใหญ่มาก แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่ง มายืนอยู่ข้างหลัง ผู้ชายนั้นผอมเหมือนไม้ซีก เสียงผู้หญิงบอกว่า ท่านนั่งอยู่ที่นี่ไงล่ะ บอกท่านซิต้องการอะไร ๆ

    ในเมื่อเขาไม่บอก อาตมาก็เฉย อันนี้ก็ต้องขอโทษพระรุ่นพี่ที่บวชมาแล้วตั้ง ๑๐ ปี เคยแนะนำ ท่านบอกว่า ถ้าผีมา ถ้าผียังไม่นั่งยกมือไหว้ จงอย่าอุทิศส่วนกุศลให้ นี่ต้องขอพูดซ้ำอีกทีว่า เป็นความเลวของรุ่นพี่ ไม่ใช่การรู้ไม่เท่าถึงการณ์ เพราะรุ่นพี่อยู่กับครูบาอาจารย์แล้วทำไมล่ะ ทำไมจึงจะต้องไปแนะนำกันแบบนั้น ทำไมจึงไม่ถามหลวงพ่อปาน

    หลังจากนั้นมา ก็ปล่อยเขาแบบนั้นแหละ สักครู่หนึ่งเขาก็หายไป พอตกเวลาเช้า ไปบิณฑบาตกลับมา ฉันข้าวเสร็จ หลวงพ่อปานท่านล้างชามเสร็จ ท่านก็หันไปหนมา ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้มีผู้หญิงเขาพาผู้ชายคนหนึ่งไปหาใช่ไหม บอกว่า ใช่ขอรับ แล้วเธอให้อะไรเขาบ้างล่ะ ก็เลยบอกกับท่านว่า ไม่ได้ให้ขอรับ ท่านถามว่า ทำไมจึงไม่ให้ ก็ชี้ไปที่พระรุ่นพี่ซึ่งมีพรรษา ๑๐ พรรษาเศษ ท่านบอกว่า ท่านเจริญกรรมฐานเหมือนกัน แต่ความจริงคงไม่ใช่เป็นการคุยโม้มากกว่า บอก พระหลวงพี่องค์นี้ท่านบอกว่า ถ้าผีไม่ยกมือไหว้ อย่าอุทิศส่วนกุศลให้ หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่าไปเชื่อได้เปรตนี้ นั่น…เอาเข้าแล้ว

    สงสัยว่า องค์นั้นเป็นเปรต เปโต เขาแปลว่า ผู้ละไปแล้ว คือ ละจากความเป็นฆราวาสมาเป็นพระ นี่เปรต พระก็มีสภาพคล้ายเปรต ต้องอาศัยบุญกุศล คือ ญาติโยมให้กิน ถ้าญาติโยมไม่ให้กินก็ไม่ได้กินเหมือนกัน เปรตถ้าไม่ได้โมทนาส่วนกุศล เปรตก็ไม่ได้กิน พระกับเปรตก็คล้ายกัน มีสภาพความเป็นอยู่คล้ายกัน ท่านผู้ฟังหรือท่านผู้อ่านจะนึกว่าคนพูดเป็นเปรตด้วยก็ใช้ได้ยอมรับเหมือนกัน แต่ว่าเป็นเปรตประเภทที่มีคนให้กินข้าว ให้ข้าวกิน เดี๋ยวมันจะเลยไป เดี๋ยวจะเฉื่อยไป ว่ากันใหม่

    ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ทีหลังไม่ต้องรอเขาสิ เขามีกรรมหนัก กฎของกรรม กรรมที่เป็นบาป มันไปกดปากเขา เขาไม่สามารถจะพูดได้ เห็นหน้าปั๊บไม่ต้องรอแล้ว ให้ทันที ก็เลยถามท่านว่า วิธีให้ทำอย่างไรขอรับ ท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ นี่เล่าข้ามไปนิดกระทัง มีอีกตอนหนึ่ง จะเล่าย้อนไปก็ยังดี เอาเป็นว่า วันนั้นท่านบอกให้อุทิศเลย ก็ยังไม่ได้ถามวิธีอุทิศ ก็คิดว่า บทอุทิศส่วนกุศล ที่เขาอุทิศส่วนกุศลกันบทยาว ๆ อิมินา ปุณณกมเมน คงจะใช้ได้

    พอคืนที่สี่ก็ปรากฏว่า สภาพนั้นปรากฏอีก เมื่อสภาพนั้นปรากฏอีก ตอนนี้ว่าบท อิมินาฯ ไม่ทันได้ครึ่ง ก็มีคน ๒ คน เอาโซ่มาคล้องคอชายคนผอม ๆ ลากไปเลย พอตื่นขึ้นเช้ามาบิณฑบาตเสร็จ หลวงพ่อปานท่านมองหน้า ฉันข้าวเสร็จ ท่านบอกว่า ว่าอย่างไรพ่อคุณ พ่ออิมินาคล่อง มันจะได้กินอย่างไร อิมินาฯ มันแปลว่าอย่างไร พุทโธ่ อิมินาฯ เรายังว่าไม่ค่อยได้ ถามแปลเสียอีก ก็บอกว่า ไม่รู้ ท่านก็แปลให้ฟัง ท่านบอกว่า มันไม่ตรงกับความมุ่งหมาย


     
  5. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    ทีหลังเอาอย่างนี้นะ วันนี้เขามาอีก คนที่นำมานั่นเป็นภุมเทวดาประจำวัด เขาเป็นผู้หญิง เขาเป็นเทพธิดา ก็ถามว่านางฟ้าน่ะเคยสวยครับหลวงพ่อ ทำไมตัวขนาดตุ่มล่ะ ท่านบอกว่า นางฟ้าจริง ๆ ตัวมันเลยตุ่มน่ะ เห็นแค่ตุ่มน่ะมันเล็กลงมาแล้ว เขากลัวคุณจะวิ่งหนี

    ก็เลยนึกในใจว่า ถ้าเราสึกไปนะ ใครให้แต่งงานกับนางฟ้าไม่เอาแน่ จะให้ล่อกับแม่พ้อมนี่ไม่ไหวหรอก เดี๋ยวแม่พ้อมแกทับตาย พ้อมมันโตกว่าตุ่ม ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ใช้ง่าย ๆ นะว่า ผลบุญใดที่ฉันบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ต้น คำว่า ต้นหมายความว่า ชาติไหนก็ได้ ใช้คำว่า ต้น จนกระทั่งปัจจุบันที่สะสมมีอยู่ ผลบุญนี้จะพึงมีกับฉันเพียงใด จะมีประโยชน์ความสุขกับฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนา ได้รับผลเช่นเดียวกับฉัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

    พอฟังแล้วก็ชื่นใจ กราบท่าน ท่านก็แนะนำพระทุกองค์บอกว่า จำไว้นะ ไอ้ประเภทที่รอให้ผีมากราบก่อนนะ ใครเขาสอนกันนะ นี่ฉันไม่เคยสอนใครเลย แล้วบรรดาพวกครูทั้งหลายที่ชอบสอนน่ะ ทำได้แล้วหรือยัง นี่ทั้งสามคนนี่เขามาแค่วันที่ ๓ เขาได้ฌานสี่แล้วนะ จิตเขาทรงฌานสี่แล้ว พวกเราได้อะไรกันบ้าง พระพวกนั้นท่านก็เลยสำรวมกันทุกองค์ คำว่าสำรวม คือ นั่งก้มหน้านิ่ง ก็มีอยู่ ๒ องค์ คือ สมภารเย็น กับหลวงพ่อเล็ก ท่านก็ยิ้ม ๆ มีเท่านั้นแหละ นอกนั้นสำรวมหมด คือ นั่งก้มหน้านิ่งหมด แสดงว่า ไม่เอาไหน

    ต่อมา คืนรุ่งขึ้นก็มา คราวนี้มาคนเดียว แม่ตุ่มไม่มาแล้วไปติแกเข้า ก็มาคนเดียว เป็นผู้ชายลักษณะเดิม มาถึงก็มายืนปั๊บ พอเห็นมายืนปั๊บ ไม่ไหว้ไม่เว่ยล่ะ ไม่รอแล้ว บอกนี่เธอ ฟังฉันนะ ตั้งใจฟังให้ดี ฉันเคยบำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่เมื่อไรก็ตาม ผลบุญบารมีมีตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบันที่สะสมไว้ จะพึงมีแก่ฉันเพียงใด และผลบุญนี้จะพึงให้ประโยชน์ความสุขแก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนา รับผลเช่นเดียวกับฉัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้านิพพาน

    เอาเข้านั่น ต่ออีกนิดหนึ่ง อย่างไร ๆ อดมีหางไม่ได้ เป็นอันว่า ชายคนนั้นทรุดตัวลงนั่ง ไม่ใช่ล้ม นั่งคุกเข่ากราบ กราบครั้งแรกลุกขึ้นมา รูปร่างตามเดิม กราบครั้งที่สองลุกขึ้นมา รูปร่างตามเดิม กราบครั้งที่สาม พอลุกขึ้นมา สภาพเปลี่ยนแปลงหมด เป็นเทวดาทั้งหมด หน้าตาสวยสดงดงาม ผิวพรรณสวยมากเปล่งปลั่งขาวเหลือง เครื่องประดับแพรวพราวเป็นระดับ สีขาวเป็นแก้วทั้งหมด ไม่เห็นเนื้อผ้าเลย ทั้งเสื้อทั้งผ้านุ่ง ไม่เห็นเนื้อผ้าเป็นแก้วซ้อนกัน ๒-๓ ชั้น สวยจริง ๆ ชฎาแหลมเปี๊ยบ แล้วเขาก็นั่งพนมมือ

    เขาบอกว่า ผมขอรับใช้ท่านตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้านิพพาน ถ้ามีอะไร ถ้าไม่เกินวิสัยที่ผมจะช่วยเขาได้ ผมจะช่วยทุกอย่างขอรับ ก็โมทนา ขอบใจเขา เขาก็หายไป เขาไม่หายวับหรอก ลุกขึ้นเดิน ค่อย ๆ เดินไปเรื่อย ๆ แล้วก็เดินสูงขึ้น ๆ ๆ ๆ สูงขึ้นไปอีกหน่อย เห็นบ้านเขานี่ โอ้โฮ…วิมาน มันสามยอดแพรวพราวเป็นระยับ วิมานก็ใส เป็นแก้วใสเหมือนกับเพชรสะท้อนกับพระอาทิตย์ แพรวพราว แล้วในนั้นก็มีสาว ๆ สวย ๆ นางฟ้าไม่ใช่ตุ่ม ไม่ใช่พ้อม
    แหม…ยายตุ่มที่มาหาเราสวย ๆ เสียหน่อยก็ไม่ได้ จะได้นึกรักสักนิด นี่มาเป็นตุ่ม เป็นพ้อม แต่ว่าที่วิมานนั้น เขามันสวยจริง ๆ ทุกคนสวยหมด แพรวพราวจริง ๆ พอขึ้นไปแล้วรู้สึกว่า นางฟ้าทั้งหมดมากราบเขา ขอบคุณเขา ในฐานะเขาเป็นเจ้าของวิมานเธอบอกว่า เธอคอยมานานแล้ว เวลามันนานมาคอยอยู่ กว่าเจ้าของวิมานจะมา นั่งตรงนั้นแหละไม่ได้เหาะไป แต่ฟังได้ยิน เห็นหมดเหมือนกับอยู่ใกล้ ๆ ฟังเขาพูดกันนี่เห็นหมด ได้ยินหมด เขาก็บอกว่า ฉันอาศัยพระองค์ที่นั่งอยู่ที่นั่น ท่านสงเคราะห์ นางฟ้าก็บอกว่า ฉันก็เห็นแล้วเหมือนกัน

    ในเมื่อภาพนั้นเลือนหายไป ก็นึกในใจว่า เรานี่มันโง่จริง ๆ ความจริงไอ้อาการอย่างนี้มันเป็นทรัพย์สินของเรา ที่เราบำเพ็ญบารมีมากี่ชาติ กี่ภพแล้วก็ไม่รู้ จำไม่ได้ แล้วบุญบารมีนี้บันดาลจะให้เรามีวิมานขนาด ๓ ยอด แล้วก็ใสแจ๋วอย่างนี้ สวยสดงดงาม มีเครื่องประดับประดามากมาย เครื่องใช้ทุกอย่าง ปลอดโปร่ง มีนางฟ้าเป็นพัน ความจริงที่เราให้เขาไปแล้วนี่นะ แล้วไอ้ที่เรามันจะเหลือหรือไม่เหลือ ชักเริ่มสงสัยตัวเอง

    ในกาลต่อมา หลังจากนั้นก็หลับ ก่อนจะหลับก็นึกถึงพระพุทธเจ้า เห็นภาพท่านชัดเจนสวยมาก สดชื่น เอาละวิมานได้หรือไม่ได้ ก็ช่างหัวมันเถอะ มันจะเอาไปหมดแล้วก็ช่างมัน เราก็หาของเราใหม่ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้านึกถึงท่านอยู่เห็นท่านอยู่ เราจะไม่ลงนรก อย่างไร ๆ วิมานหลังสุดท้ายมันคงจะเป็นของเราแน่ เราจะต้องเก็บไว้สักหลังหนึ่ง คือ ใครมาขอส่วนกุศล เราก็ให้ ๆ แต่ว่าขั้นสุดท้ายถ้าเราจะตาย ถ้าใครจะมาขอส่วนบุญของเรา เราจะไม่ให้ เราจะเก็บไว้อยู่เอง นี่ตามความรู้สึกเวลานั้นเป็นอย่างนี้จริง ๆ มันโง่มาก

    ในเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ ก็ไม่ได้ถามท่าน ก็ภาวนานึกถึงท่าน ประเดี๋ยวก็หลับ แต่กว่าจะหลับได้ยินเสียงพระตีระฆัง พระตีระฆังนี่เป็นเวลาตีสี่ ก็หลับ เมื่อถึงเวลา ๖ โมงเช้าก็ตื่น นึกในใจว่าถึงเวลา ๖ โมงขอให้ตื่น ก็ตื่น เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ครองผ้า ไปบิณฑบาต เมื่อไปบิณฑบาตเสร็จกลับมาฉันข้าว หลวงพ่อปานท่านนั่งหน้าวง ต้นแถว หลวงพ่อเล็ก รองลงมาอีกด้านหนึ่งก็เป็น สมภารเย็น หลวงพ่อปานท่านฉันเสร็จ ล้างถ้วยล้างชามเสร็จ สำรับที่ท่านฉัน ท่านล้างเอง บาตรของท่าน ท่านก็เช็คเอง ชามข้าวท่านก็เช็ดเอง เสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็เงยหน้ามา พอเห็นหน้ากันเข้า ในตอนต้นท่านบอกว่า ว่าอย่างไร เสียดายมากนักหรือ

    นี่ญาติโยมท่านผู้อ่านก็ดี หรือท่านผู้ฟังก็ดี ลองคิดดูว่า อาจารย์ของอาตมานี่ะ ท่านดีขนาดนี้ แต่ว่าคนในตำบลบางนมโคหรือหลายตำบล จะเห็นความดีอย่างนี้หรือไม่ ก็ไม่ทราบ เพราะตามที่เป็นมาจริง คนใกล้ถิ่น คนท้องถิ่น กรรมฐานนี่ไม่มีใครได้จริงเลย ที่พูดนี่ไม่ใช่นินทาเขานะ พูดตามความเป็นจริง พระที่เข้ามาบวชพระประจำตำบลก็เหมือนกัน ก็มีหน้าที่อย่างเดียว รับลาภสักการะจากครูบาอาจารย์ จากบารมีของครูบาอาจารย์ สักไปแล้วก็แค่นั้นแหละเวลาบวชก็ไม่ได้สนใจสมถวิปัสสนา ไม่มีหรอ เอาแต่แต่งตัวสวย ๆ เห็นสาว ๆ ไม่ได้
    นี่ไม่ได้นินทาเขานะ พูดตามความเป็นจริง แล้วอาตมา ๓ คนนี่ เขาก็หาว่าบ้า เวลานั่งคุย เราก็นั่งคุยกับเบา ๆ เรื่องสวรรค์ เรื่องนรก เรื่องอะไรต่ออะไร เรื่องกรรมฐาน เขาก็ไม่พูดต่อหน้าว่า บ้า ต่อหน้าเขาก็ว่า ดี แต่ว่าเวลาเข้าบ้านไปพบพวกเขา เขาหาว่าพวกเรา ๓ คนนี่ บ้า ที่รู้ก็เพราะว่าชาวบ้านเขามาพูดให้ฟังว่าพระในนี้ไปพูดว่า ท่าน ๓ องค์นี้ บ้า ๆ บวม ๆ นั่งหลับหูหลับตาไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกัน เขาลืมตายังไม่สามารถจะเห็นอะไรได้ นี่หลับตา เสือกบอกเห็นผี เห็นสาง เห็นเทวดา แถมคุยกลางวงข้าวเสียอีกกับหลวงพ่อปานเสียด้วย หลวงพ่อปานก็คล้อยตามไป นั่น…ไปล่อหลวงพ่อปานเข้าอีก แต่บางคนนะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ที่เขาพูดนี่บางคนไม่ใช่ทุกคน ทุกคนเขามีความเคารพหลวงพ่อปาน แต่ว่าขาดการปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง

    ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้เสียดายมากหรือ ก็เลยกราบเรียนด้วยความจริงใจว่า เสียดายขอรับ ผมก็คิดในใจว่า ผมบำเพ็ญบารมีมากี่ชาติแล้ว ผมก็ไม่ทราบ แต่อีตานั่นแกเอาไหมด หลวงพ่อปานท่านก็หัวเราะบอก คุณ ฉันนี่ดีใจเหลือเกินนะ ที่ฉันมีลูกศิษย์ที่ฉลาด ๆ แบบนี้ ฉันหามานานแล้ว ลูกศิษย์ฉลาดแบบนี้ มันหาไม่ได้ ถามว่า ทำไมขอรับ ก็ฉลาดเกินไปน่ะสิ ไอ้ฉลาดแบบนี้ขาย ไม่มีใครเขาซื้อหรอก เพราะว่าการที่เธอเห็นแบบนั้นก็แสดงว่า บุญบารมีของเธอน่ะ มีอำนาจขนาดนั้น เธอบอกกับเขาแล้วทุกอย่างว่า ผลบุญที่มีนี้จะพึงมีประโยชน์ความสุขแก่ฉันเพียงใด ขอเธอโมทนา แล้วรับผลเช่นเดียวกับฉัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะนิพพาน ใช่ไหมล่ะ บอกว่า ใช่ขอรับ

    ท่านก็เลยบอกว่า เมื่อวานนี้ฉันไม่ได้บอกว่า นิพพานนี่นะ ก็เลยถามท่านบอกว่า ถ้าบอกเขาแบบนั้นมันจะผิดไหม ท่านบอกว่า ไม่ผิด มันเป็นมหาเมตตาใหญ่ ควรจะทำเป็นประจำ แล้วท่านก็อธิบายบอกว่า ถ้าเขาได้อย่างนั้น เรามันต้องได้ อย่าลืมว่า สมมติว่า เราเป็นมหาเศรษฐี ถ้ามีขอทานเขามาขอของเรา เราให้เสื้อ เราให้ผ้าให้อาหาร ให้เงินให้ทองไป เขาได้ไปมันยังไม่เท่า ๑ ในร้อยที่เรามีอยู่หรอกนะ เราไม่ได้ใช้ให้หมด เราให้แค่เศษไปเท่านั้น นั่นแค่เศษของเธอ สมบัติของเธอจริง ๆ มันจะยิ่งกว่านั้น แหม…อีคราวนี้เอง รู้สึกว่าตัวพองเหมือนกับพ้อม ๕-๖ ลูก ความชุ่มชื่นปรากฏ ปีติปรากฏ ท่านก็หันไปหาอีก ๒ องค์ เออ…สององค์นี่เขาก็เหมือนกันนะ เมื่อคืนนี้ก็พบใช่ไหม สององค์เขาก็บอกว่าพบ แต่ว่าเรื่องของเขาจะไม่นำมา มันก็คล้ายคลึงกัน

    หลังจากนั้นมาก็ทำงาน ตอนกลางวัน ทำวัตรสวดมนต์เสร็จก็ทำงานกับท่าน ดูหนังสือบ้าง ถึงเวลาทำงาน ก็ทำ หลวงพ่อปานท่านก็ดีทุกอย่าง ท่านมีดี แต่ความดีของท่านไม่มีใครต้องการ มีคนต้องการน้อย แต่มีสิ่งที่ต้องการก็คือ ๑. รักษาโรค ๒. อาศัยลาภสักการะ แต่เรื่องที่จะได้ลาภจริง ๆ นี่ก็ไม่ค่อยเอา อย่าง คาถา วิระทะโยฯ นี่คนรวยจากคาถาวิริทะโยจริง ๆ ก็คือ นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร อีกคนหนึ่งก็ชื่อ ฉันท์ ลุงฉันท์คนนี้แกพิสูจน์เลยว่า แกตักข้าวเข้ายุ้งเท่าไร เวลาตวงออกเท่าไร อันนี้แน่นอน มากกว่าของเก่า ก็มีไม่กี่คนนัก
    หลังจากนั้นมา ธรรมปีติ ก็เกิดขึ้น แต่บรรดาญาติโยมทั้งหลาย เวลาเหลืออีก ๒ นาทีเศษ ๆ นี่เอา คุยกันไปเท่าที่มันจะหมดเวลา หลังจากนั้นก็มาเจริญกรรมฐานอีก ตอนนี้สำหรับคืนที่ ๕ บรรดาท่านทั้งหลาย สิ่งที่ไม่น่าจะปรากฏ ก็ปรากฏ นั่นก็คือว่า พอนั่งหลับตาปุ๊บ เวลาประมาณสัก ๒ ทุ่ม ทำกันมาเรื่อย ๆ แต่เวลาอื่นไม่เป็นไร นั่งบ้าง นอนบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง ก็ว่าเรื่อย ๆ เดินไปเดินมา

    พอกลับมานั่งที่เก่านั่งปุ๊บ ปรากฏว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญเขาเข้ามา ตัวโตขนาดพ้อม ตาแดงก่ำ มือข้างขวาถือกระบอง มือซ้ายกำ ถามว่า ท่านมานั่งอยู่ทำไมที่นี่ ก็นึกในใจ แต่ใจเวลานั้นยังเป็นสุข ก็บอกว่า ฉันมานั่งเจริญกรรมฐาน เขาก็บอกว่า ที่เจริญกรรมฐานที่อื่นมีถมไป ทำไมมานั่งตรงนี้ ไอ้ที่นี่มันที่ผมพัก ก็เลยบอกว่า คุณ ฉันขอโทษเถอะ เมื่อเวลาฉันมา ฉันไม่เห็นคุณ ถ้าเห็นคุณ ฉันคงไม่มานั่งตรงนี้ เมื่อเธอมาพบฉันเมื่อฉันนั่งอยู่แล้ว จะถือว่าที่นี้เป็นที่ของเธอได้อย่างไร

    เขาก็บอกว่า ท่านจงไปจากที่นี้นะ เลยบอกเขาว่า ฉันนี่มาตามคำสั่งของครูบาอาจารย์นะ แล้วก็ฉันเคารพพระพุทธเจ้าเป็นกำลังใหญ่ ถ้าหากเธอจะไล่ฉัน ก็ต้องไปบอกหลวงพ่อปานให้มาไล่ฉัน หลวงพ่อปานท่านสั่งว่าห้ามออกจากป่าช้าในเวลากลางคืน ถ้าหากเธอจะบังคับฉันให้ได้ ต้องไปบอกหลวงพ่อปานมาไล่ฉัน เขาบอก ผมจะไม่ไปบอกท่าน ผมจะไล่เอง

    ก็เลยนึกในใจ ทีนี้บรรดาญาติโยมอย่าลืมนะ บวชได้ ๕ วัน ของเก่ามันยังอยู่เยอะ นี่ถ้าเป็นสมัยที่เป็นฆราวาสนะ นายนั่นพูดเพียงคำเดียวแหละ จะสู้ได้หรือไม่ได้ นี่เตะแน่ อันดับแรก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง

    ขณะนั้นก็มีไม้ท่อนอยู่ข้าง ๆ ก็นึกในใจว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันคุณ ถ้าคุณคิดว่าที่นี้เป็นของคุณ แต่คุณไม่ได้นั่งอยู่ก่อน แต่ว่าฉันอยู่ที่นี่ เอาอย่างนี้ คุณถือกระบอง ฉันก็จะถือกระบองบ้าง ถ้าคุณจะยังไม่ดี แต่ฉันจะตีคุณ คุณจะชอบไหม เขาถามว่า โกรธหรือ ก็บอกว่า ยังไม่โกรธ เขาบอกว่า ถ้ายังไม่โกรธ ผมก็ขอลาละครับ ถ้าโกรธ ผมจะสู้กับท่าน

    เอาละบรรดาญาติโยมทั้งหลาย เวลาเหลืออยู่อัก ๔๒ วินาที ก็หมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้รังฟังทุกท่าน สวัสดี

    ตามไปอ่านได้ที่ : http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=85177
     

แชร์หน้านี้

Loading...