ฝัน...ฝัน...ฝัน...ฝัน เกิดจากอะไร? ฝันดี ฝันร้าย ฝันแม่น

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย Amatayan, 8 เมษายน 2013.

  1. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    [​IMG]
    เหตุแห่งความฝัน
    ปัจจัยที่ทำให้เกิดความฝันได้มี ๔ อย่าง อันเกิดจากการที่บุคคลนั้นๆนอนหลับไม่สนิทเท่านั้น ถ้าบุคคลนอนหลับสนิท จะไม่เกิดความฝันใดๆเลย อีกทั้งความฝันนั้นๆก็มีหลายแบบ หลายวิถีจิต ฝันแล้วจำได้บ้าง จำไม่ได้บ้างว่าฝันสิ่งใด หากบุคคลนั้นฝันในเวลาที่ใกล้จะตื่น ความฝันนั้นจะพอทรงจำไว้ได้ แต่ถ้าบุคคลนั้นฝันแล้วก็นอนหลับไปอีก ความฝันนั้นก็อาจจะเรือนรางไปจนจำไม่ได้อีก หากอารมณ์ในการฝันนั้นปรากฏชัดมากก็มีผลออกมาสู่การพูด การเคลื่อนไหวร่างกายที่เรียกว่าละเมอ การฝันนี้เป็นวิถีจิตอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นทางมโนทวาร (ทางใจ) และเกิดแต่ในประเภทแห่งกามภูมิหรือในกามบุคคล (ผู้ท่องเที่ยวเกิดอยู่ในภูมิ ๑๑ คือ อบายภูมิ ๔ มนุษย์ ๑ เทวดา ๖ รวม ๑๑ ชั้นหรือภูมิ แต่ในบุคคลผู้เกิดความฝันได้มี ๔ ภูมิ)


    บุคคลที่สามารถเข้าสู่วิถีแห่งความฝันได้มี ๔ ภูมิ ๗ บุคคล คือ ในมนุษยภูมิ ๑ และ อบายภูมิ ๓ คือ เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน (เว้นนิรยภูมิคือนรกภูมิ เพราะในนรกมีแต่ความทุกข์ ไม่มีเวลาว่างเว้นจากทุกขเวทนาเลยแม้แต่ขณะเดียว สัตว์ต้องเสวยความทุกข์จากไฟบ้าง จากอาวุธต่างๆบ้าง เป็นต้น ไม่มีเวลาที่สัตว์นรกจะได้มีโอกาสหลับแม้แต่น้อยเลย)

    เมื่อว่าโดยบุคคลแล้วก็คือ ทุคติอหตุกบุคคล ๑ (ที่เกิดในอบ่ายภูมิ ๓), สุขคติอเหตุกบุคคล ๑ , ทวิเหตุกบุคคล ๑ , ติเหตุกปุถุชน ๑ , โสดาบันบุคคล ๑ , สกทาคามีบุคคล ๑ , อนาคามีบุคคล ๑ และยังมีเทวดาจำพวกชั้นจาตุมหาราชิกาบางจำพวกที่สามารถเข้าสู่ความฝันได้ เพราะเทวดาบางประเภทก็มีความเป็นอยู่ใกล้เคียงกับมนุษย์ ส่วนเทวดาชั้นสูงๆขึ้นไป ไม่มีความฝัน ไม่มีสุปินวิถีเกิดกับท่านได้ ส่วนพระอรหันตบุคคลท่านไม่ฝัน เพราะพระอรหันต์ท่านเว้นจากวิปลาสธรรมทั้งหลายได้โดยเด็ดขาดแล้ว ดังนั้นท่านจึงไม่ฝัน เพราะสติของท่านบริบูรณ์ยิ่งแล้ว ตั้งแต่สุคติอเหตุกบุคคลจนถึงพระอนาคามีบุคคล ทั้ง ๖ บุคคลนี้ เป็นบุคคลที่เกิดในมนุษยภูมิเป็นส่วนมาก

    เหตุของความฝัน ๔ ประการ​

    ๑. ปุพพนิมิต (กรรมนิมิต) เป็นฝันที่เป็นความจริงแน่นอน
    ๒. จิตอาวรณ์ คือ จิตได้หน่วงอารมณ์ใดไว้ แล้วเกิดความฝันขึ้น ส่วนมากไม่เป็นความจริง
    ๓. เทพสังหรณ์ คือเทวดามาดลให้ฝัน เป็นความจริงหรือไม่ต้องดูว่าเทวดาเป็นสัมมาทิฏฐิหรือไม่
    ๔. ธาตุกำเริบ คือ อาหารย่อยไม่สมบูรณ์ทำให้ฝัน ฝันไม่เป็นจริง

    โดยแบ่งออกเป็น ๑๒ วิถี มี ๔ วาระ คือ
    ความฝันหรือนิมิตนั้นชัดเจนมากบ้าง ชัดเจนน้อยบ้าง หรือบางครั้งมีความชัดเจนน้อยที่สุด จนไม่รู้เรื่องราว หรือจำไม่ได้เลยก็มี
    ๑. สุปินวิถี ที่เป็น ตทาลัมพนวาระ
    ๒. สุปินวิถี ที่เป็น ชวนวาระ
    ๓. สุปินวิถี ที่เป็น โวฏฐัพพนวาระ
    ๔. สุปินวิถี ที่เป็น โมฆวาระ


    ทางแพทย์แผนจีนกล่าวว่า ผู้ที่ฝันมาก ฝันบ่อย บ่งถือความไม่ปกติของร่างกาย คุณมีโอกาสที่จะป่วย เพราะร่างกายมีระบบอวัยวะภายในร่างกายที่ทำงานบกพร่องหรือผิดปกติ ดังนั้นการฝันเป็นการที่สมองคิดมากหรือทำงานมากเวลาตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่จึงเกิดความอ่อนเพลีย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  2. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ปุพพนิมิต

    ฝันเพราะปุพพนิมิต (ลางบอกล่วงหน้า) คือ เป็นฝันที่เกิดจากบุญและบาป เป็นนิมิต (เครื่องหมาย) แห่งความเจริญบ้าง แห่งความเสื่อมบ้าง เหมือนมารดาของพระโพธิสัตว์ ทรงพระสุบินนิมิตในการที่จะได้โอรส (ซึ่งเป็นฝันที่เกิดจากบุญ) หรือ พระสุบินนิมิตของพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ก็ทรงสุบินเห็นนิมิตอันเป็นมหามงคล ๕ ประการ หรือ ดุจพระเจ้าโกศลทรงฝันเห็นสุบิน ๑๖ เป็นต้น
    ปุพพนิมิตนี้ จึงเป็นความฝันที่จะเกิดเป็นผลจริง และเกิดแน่นอน จะเป็นไปด้วยกำลังของบุญหรือบาปกรรมที่ตนได้ทำไว้


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  3. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    เทพสังหรณ์

    ฝันเพราะเทพสังหรณ์ คือ พวกเทวดาทำให้ฝันเพื่อความเจริญบ้าง เพื่อความเสื่อมบ้าง แก่ผู้ฝัน ผู้ฝันนั้นย่อมฝันเห็นอารมณ์ต่าง ๆ ด้วยอานุภาพของพวกเทวดา
    ดังนั้นถ้าผู้ใดมีศีล มีความดี ก็จะมีเทวดาคุ้มครอง ถ้าเทวดาที่ดีเป็นสัมมาทิฏฐิ นิมิตนั้นก็จะำไม่คลาดเคลื่อนหรือผิดจากความเป็นจริง แต่ถ้าเทวดาผู้นั้นเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ ก็จะหลอกให้ผู้ฝันเกิดความเสื่อมเสีย เสียหายได้

    ฝันแบบนี้ก็มีทั้งจริงและไม่จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  4. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    จิตอาวรณ์

    ฝันเพราะจิตอาวรณ์ คือ ฝันถึงอารมณ์ที่ตนเคยผ่านมาแล้ว เช่น จิตกังวลถึงเรื่องราวต่างๆ ญาติที่เรารักต้องตายจากไป เราคิดถึงเขามาก บางทีก็ฝันเห็นเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือบางคนมีจิตใจใฝ่ในบุญกุศล ก็ฝันว่าได้ทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน เป็นต้น

    ดังนั้นในขณะช่วงชีวิตประจำวันของเรา อารมณ์ที่เกิดขึ้นทั้งดีและไม่ดี ก็จะเป็นส่วนของการเก็บไปฝันได้ ซึ่งฝันแบบนี้มักจะไม่จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  5. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ธาตุกำเริบ

    ฝันเพราะธาตุกำเริบ คือธาตุในร่างกายแปรปรวนทำให้ฝันต่าง ๆ เช่น ตกจากภูเขา เหมือนเหาะไปทางอากาศ และเหมือนถูกสัตว์ร้ายไล่ติดตามมา ธาตุกำเริบนี้เกิดจากภาวะที่ร่ายกายเกิดความแปรปรวน ไม่สบาย อุณหภูมิในร่างกายระบบการทำง่านต่างๆขาดความสมดุล เช่นในสตรีในวันที่มีรอบเดือน ในช่วงที่เป็นไข้ ตัวร้อน
    ในทางแพทย์แผนจีนบอกว่าคนที่ป่วย หรือสุขภาพไม่ดีจะเริ่มจากการฝัน แล้วก็ฝันบ่อยขึ้นๆ ถ้าฝันมากถึงแม้เป็นเรื่องที่น่าดีใจก็ตาม ฝันร้ายก็ตามตลอดถึงความฝันต่างแสดงว่าระบบ หัวใจ ปอด ตับ ไต ม้าม หรืออวัยวะภายในของคุณบกพร่อง มีภาวะเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยในอนาคต เพราะยิ่งฝันมาก สมองก็ทำงานมากการนอนหลับไม่สนิทนั้น เมื่อสมองทำงานมากตื่นเช้ามาก็จะยิ่งเพลีย

    ฝันประเภทนี้เป็นฝันไม่จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  6. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    การฝันไม่สามารถทำให้ตกนรกหรือไปสวรรค์ได้

    ความฝัน เป็นวิถีของจิตที่เกิดการเสพในอารมณ์ขณะที่นอนหลับไม่สนิท ทั้งที่เป็นบุญและเป็นบาป ในการฝันบางท่านก็ฝันว่าตัวเองนั้นได้ทำบุญ ทำกุศลต่างๆก็มี ทำบาป ฆ่าสัตว์ ฆ่าคน ถูกทำร้ายบ้าง ไปทำบาปทำอกุศลกรรมต่างๆบ้าง ซึ่งอารมณ์ของวิถีจิตนั้น ก็เป็นไปตามลักษณะขอความฝัน มีทั้งวิถีจิตที่เป็นบุญและเป็นบาปก็ตาม แต่วิถีจิตเหล่านี้ไม่มีกำลังพอที่จะทำให้เป็นเหตุที่ทำให้ไปเกิด(ปฏิสนธิ)ทั้งเกิดในสุคติภูมิ หรือ อบายภูมิได้ เพราะองค์ของกรรมบทหรือองค์ของเจตนากรรมนั้นไม่ครบองค์ อันเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะทำให้นำเกิดได้

    ดังนั้นฝันทั้งที่เป็นบุญหรือบาปก็ดี ไม่สามารถทำให้มีผลในการนำเกิด เพราะไม่ครบองค์ของการกระทำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  7. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    สุปินวิถีนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร หรืออาศัยเหตุอะไร

    สุปินวิถีนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร หรืออาศัยเหตุอะไร จึงทำให้ความฝันเกิดขึ้นได้ แล้วในขณะฝันจิตใจทำงานอะไรกันบ้าง ความฝันนี้เป็นบาปเป็นบุญได้หรือไม่ ด้วยเหตุผลประการใด และความฝันนั้นบางทีก็เป็นความจริง จะจริงขึ้นมาได้ด้วยเหตุผลกลใด เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่บรรดานักวิชาการในด้านต่างๆในโลกนี้มีความสนใจเป็นอันมาก แต่ไม่มีใครมีความสามารถจะอธิบายปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้ได้แน่นอน ในโลกนี้ไม่มีใครเลยที่จะเรียนรู้เรื่องของความฝัน ว่าความฝันที่เกิดขึ้นนั้นมาจากสาเหตุอะไรบ้าง ในขณะที่กำลังฝันนั้น ทั้งร่างกายและจิตใจมันทำอะไรกันและเป็นความจริงได้เพราะอะไร เหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านั้นทำไมจึงได้เกิดขึ้น และเป็นไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ เมื่อเข้ามาศึกษาเรื่องความฝันจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะได้เข้าถึงความจริงที่เรียกว่าปรมัตถสัจธรรม คือ ความจริงอันแท้ จะได้เข้าใจว่า ความฝันคืออะไร เหตุใดจึงได้เกิดความฝันขึ้น แล้วในขณะฝันจิตใจทำงานอะไรกัน และเมื่อฝันแล้วกลายเป็นความจริงได้ เพราะเหตุใด แล้วยังได้เข้าถึงประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย
    ครั้งหนึ่งหลายปีมาแล้ว ได้มีท่านผู้หนึ่งที่สำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษได้มาแสดงปาฐกถา ณ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ได้เล่าเรื่องต่างให้ฟังว่า ในมหาวิทยาลัย Oxford ประเทศอังกฤษ ซึ่งท่านนักศึกษาก็คงจะได้ยินชื่อนี้กันมานานแล้วเป็นสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงมาก มีนักศึกษาเกือบทั่วโลกนิยมไปศึกษากันที่นั่น เขามีหลักฐานการศึกษาดี บรรดาท่านอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายท่านด้วยกัน ได้ช่วยกันค้นคว้าสิ่งเร้นลับมหัศจรรย์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของชีวิตหลายเรื่องด้วยกัน โดยบรรดาอาจารย์เหล่านั้นได้รวบรวมกันตั้งเป็นกลุ่ม เป็นสมาคม สมาคมนี้เป็นเป็นภาษาไทยว่า “สมาคมอำนาจเหนือจิต” สมาคมนี้ตั้งขึ้นภายในมหาวิทยาลัย
    เขาเล่าต่อไปว่า บรรดาอาจารย์ในมหาวิทยาลัย Oxford ได้ไปเชิญอาจารย์ที่อยู่ในมหาวิทยาลัย Cambridge เข้ามาร่วมมือด้วย เพื่อค้นคว้าเรื่องอำนาจเหนือจิต ซึ่งมีรวมหลายประเภทด้วยกัน เมื่อสมาคมตั้งขึ้นมาแล้ว คณะกรรมการก็ได้วางหลักการเป็นข้อๆ สำหรับจะได้ค้นคว้าข้อเท็จจริง ผมจำได้ว่ามีถึงสิบกว่าข้อ แต่ผมก็จำมาไม่หมดเพราะล่วงเลยมาหลายปี จำมาได้เพียงบางข้อเท่านั้น เช่น
    ๑. เรื่อง ผีสางเทวดา บรรดาอาจารย์เหล่านั้นบางคนมีประสบการณ์ในเรื่องผีสางเทวดามาแล้ว เพราะมีนักศึกษาหรือใครๆ ที่เขาเชื่อถือ ได้ประสบการณ์เรื่องผีสางเทวดา เมื่อเหตุเกิดขึ้น เขาก็พากันไปพิสูจน์หาหลักฐานในที่ต่างๆ
    เช่น สมมติว่าบ้านนี้มีผีสางมาสิงอยู่แล้วมาแกล้งมาทำอะไรต่างๆแปลกๆ ทางคณะกรรมการของสมาคมก็ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปหาความจริง เช่นว่าไปโรยๆแป้งไว้ให้ทั่วห้อง แล้วห้ามไม่ให้ใครเข้าไป ถ้าใครเข้าไปในห้องก็คงจะมีรอยเท้า ทั้งนี้ก็เพื่อกันคนหลอก เพราะปรากฏว่าในห้องนี้ผีชอบขว้างแก้วลงมาจากชั้นที่ไว้แก้ว แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังถูกขว้างอยู่ต่อไป ทั้งๆที่ไม่มีใครเดินเข้าไปในห้องเลย ผมเชื่อว่าเวลานี้เขาก็คงจะกำลังค้นคว้าในเรื่องนี้อยู่ แต่คงจะยังไม่บรรลุผลสมความมุ่งหมายเป็นแน่
    ๒. เรื่อง ลางบอกเหตุ บางทีเหตุการณ์ที่สำคัญๆ ทั้งหลายก่อนที่จะเกิดขึ้นมา มันมีลางบอกล่วงหน้า เขาเรียกว่า มีความรู้สึก ชาวอังกฤษบางท่านก็มีความรู้สึกเช่นนั้น แล้วประกาศออกมาเหมือนกับคนไทยว่า ก่อนจะมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น เขามีความรู้เอาไว้ก่อนแล้ว เขาก็เลยตั้งหัวข้ออีกหัวข้อหนึ่งว่า จะต้องค้นคว้าเรื่องรางบอกเหตุ ซึ่งพวกสมาชิกของสมาคมต้องเล่าเรื่องที่ได้ประสบมา เขียนเก็บเป็นหลักฐานไว้แล้วคอยดูต่อไปว่าจะเป็นความจริงหรือไม่
    ๓. เรื่อง เกี่ยวกับอำนาจจิตบางประการ เช่น โทรจิต
    ๔. อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง ความฝัน เขาเล่าให้ฟังว่า ในเวลานั้นบรรดาผู้ที่เป็นสมาชิกทุกท่าน ใครมีความฝันอะไรจะต้องมาเล่า โดยเขียนรายละเอียดส่งมา แล้วเก็บความฝันนั้นเอาไว้เพื่อคอยดูว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ คอยจนกว่าจะมีผู้ใดมาอธิบายว่า ความฝันคืออะไรต่อไป
    ท่านผู้แสดงได้ยกตัวอย่างขึ้นมา เช่น มีสมาชิกผู้หนึ่งเป็นสุภาพบุรุษ เขาฝันไปว่าเขาได้โดยสารเครื่องบินเดินทางจากกรุงลอนดอนไปยังฝรั่งเศส ครั้งไปถึงฝรั่งเศส เมื่อเครื่องบินจอดเทียบท่าอากาศยานเรียบร้อยแล้ว เขาก็เห็นเครื่องบินอีกลำหนึ่งซึ่งกำลังจะจอดลง แต่เรือบินลำนั้นเกิดพลิกคว่ำลง เขาก็วิ่งไปดูเครื่องบินที่เกิดอุบัติเหตุนั้น ก็ได้เห็นเพื่อนของเขาที่อยู่อังกฤษเดินทางมาโดยเรือบินลำนี้ ตายลงไปต่อหน้าต่อตาของเขา ตามที่เขาเห็นอย่างนี้ในความฝัน เขาเขียนเรื่องราวส่งให้กรรมการของสมาคมเอาไว้ แต่ยังไม่ได้เดินทางไปฝรั่งเศส คณะกรรมการก็เก็บเรื่องราวของเขาเอาไว้ หลังจากนั้นมาเป็นเวลาปีเศษ เขาก็เกิดเดินทางไปฝรั่งเศสจริงๆ เหมือนกับความฝัน และเมื่อถึงฝรั่งเศสแล้ว เขาก็เห็นเรือบินลำหนึ่งกำลังจะลง แต่แล้วก็พลิกคว่ำ เขาก็วิ่งลงไปดู เมื่อไปดูก็เห็นเพื่อนของเขาตายอยู่ในเรือบินลำนั้น ตรงกับความฝันเมื่อปีกลาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทางคณะกรรมการของสมาคมก็หาบทพิสูจน์กันว่า เพราะเหตุใดเล่า และคำที่ว่าเพราะเหตุใดนั้น ผมก็คิดว่ามาจนถึงเดี๋ยวนี้คงจะยังไม่ทราบ ผมจึงได้พูดว่า ถ้าไม่เข้ามาอาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็จะพากันพูดว่า เพราะเหตุใด ? อยู่นั่นเอง แต่จะเข้าไปไม่ถึงสาเหตุที่แท้จริงได้อย่างแน่นอน
    เมื่อได้พิจารณาถึงวิถีจิตแล้ว จะเห็นได้ว่าการงานของจิตที่เกิดขึ้นนั้น จะเกิดขึ้นทางปัญจทวารวิถี คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็จะเห็นมี อดีตภวังค์ ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะเป็นลำดับไปจนถึงตทาลัมพนะ เมื่อเป็นอารมณ์ที่แรง แต่ถ้าเป็นอารมณ์ที่มากระทบไม่แรง ก็ไม่มีตทาลัมพนะ ถ้าเป็นมโนทวาร หมายถึงทางใจ ก็จะเกิดอารมณ์ตั้งแต่ภวังคจลนะเป็นต้นไปจนถึงตถาลัมพนะเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ ถ้าท่านนักศึกษาจะสังเกตดูให้ดีๆ ก็จะเห็นภวังคจิตในวิถีทางปัญจทวาร และทางมโนทวารก็ตาม ล้วนแต่มีภวังค์คั่นอยู่ทั้งนั้น แปลว่า มีจิตเป็นภวังค์ ซึ่งจะไม่มีความสำนึกรู้สึกตัวคั่นอยู่ตลอด จิตของบุคคลเกิดขึ้นแล้ว สิ้นวิถีจะต้องเป็นภวังค์เสมอ เช่น ขึ้นต้นก็เป็นภวังค์แล้ว ตั้งแต่อดีตภวังค์ ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ ทั้ง ๓ ตัวนี้ได้ชื่อว่าเป็นภวังค์ทั้งหมด เพียงแต่ชื่อต่างกัน ก็แปลว่ามันได้รับการกระทบกระเทือนไปตามลำดับแต่ยังไม่ได้ออกมาทำความรู้สึก หรือยังไม่ขึ้นวิถีทำการงานจริงๆ และสุดท้ายคือเมื่อสิ้นสุดวิถีแล้วก็มีภวังค์อีก
    ดังนั้นก็จะเห็นว่าคนเรานี้มีภวังค์มากเหลือเกิน ตั้งแต่เกิดจนกว่าจะตายไปจนนับไม่ไหว ชั่วขณะที่ท่านทั้งหลายฟังผมนี้ภวังคจิตก็เกิดขึ้นไม่ทราบว่าเท่าใดแล้ว เพราะว่าเมื่อฟังแล้วคำหนึ่งหรือเสียงสิ้นสุดลงครั้งหนึ่งก็เป็นภวังค์ตั้งมากมาย จิตที่เป็นภวังค์นี้หมายความว่าจิตที่ไม่มีความสำนึกรู้สึกตัวเลยแม้แต่เล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นทางปัญจทวาร หรือทางมโนทวาร ด้วยเหตุนี้เอง การที่เรานั่งฟังธรรมะก็ดี ดูภาพยนตร์ก็ดี คิดว่ากำลังสนุกสนาน กำลังร่าเริงใจ ก็ไม่ได้แสดงว่าเราตื่นอยู่ตลอดเวลา หากแต่มีการนอนหลับคั่นอยู่ระหว่างทาง เป็นการนอนหลับสั้นๆ ชนิดที่เรารู้สึกตัวไม่ได้เลย คือว่าเราไม่ได้ตื่นอยู่ตลอดเวลา ท่านนักศึกษาเคยสังเกตบ้างหรือเปล่า บางทีท่านนักศึกษาคุยกับญาติมิตร คุยไปคุยมาในขณะนั้นเรามีความง่วงปนลงไปด้วย แล้งฟังเขาไปไม่ตลอด เขาก็พูดว่าทราบหรือเปล่า เราก็บอกเขาไปว่าทราบ แต่ทราบแค่ไหน เราก็ตอบเขาไปไม่ได้ เพราะอะไรเล่า ก็เพราะเวลานั้นมีถีนมิทธะ คือ ความง่วงเข้าไปปน และมีภวังคจิตปนอยู่ด้วย จึงเลือนลางเต็มที
    ดังนั้นก็จะเห็นได้ว่า ถ้าเป็นไปเช่นนั้น ก็ย่อมแสดงว่ามีภวังค์มากไปจนสังเกตเห็นได้ แต่ถ้าภวังค์เกิดอย่างที่ท่านนักศึกษากำลังฟังผมอยู่ขณะนี้ (ไม่ง่วง) ใครจะมาสังเกตเห็นได้ เพราะมันรวดเร็วอย่างเหลือเกิน เราคิดว่าเราตื่นอยู่ตลอด อย่างผมก็เหมือนกัน ผมก็พูดอยู่ตลอด ความจริงก็มีหลับปะปนอยู่เช่นเดียวกัน แต่มันหลับระยะสั้นๆ และสั้นนิดเดียว จึงไม่รู้สึกตัวว่าหลับ
    ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ทุกคนมีการนอนหลับอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนในตอนเช้าไปจนครบ ๒๔ ชั่วโมง แต่ว่าจังหวะที่มากที่สุดก็คือ ตอนนอนหลับสนิทในเวลากลางคืน ๗ - ๘ ชั่งโมงนั้นเป็นภวังคจิตเกือบทั้งหมด นั่นเป็นการนอนหลับที่เห็นได้ชัดเจนแล้ว
    คัดลอกจาก ถาม-ตอบอภิธรรม:กรรมฐาน:อภิธรรมออนไลน์:วิปัสสนา:จิต:พลังจิต:สติปัฏฐาน:สำนักปฏิบัติธรรม:พระพุทธศาสนา:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  8. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ข้อความจาก
    7.ความฝันและการละเมอ

    ความฝันและการละเมอ
    โดย...นางสาวสิริพร ถนอมเงิน
    เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
    (เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)


    คำว่า “ฝัน” มาจากคำเก่าในภาษาอังกฤษที่มีความหมายว่า ความยินดีและเสียงดนตรี
    แต่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานของไทยนั้นได้ให้คำนิยามของ “ฝัน” ไว้ว่า
    เป็นการนึกเห็นเป็นเรื่องราวขณะนอนหลับ
    จากการวิจัยพบว่า ความฝันส่วนใหญ่จะกินเวลานาน 2-3 วินาที แต่จะไม่เกิน 40 นาทีโดย
    ประมาณ คนที่หลับสนิทจะจำความฝันได้น้อยหรืออาจไม่รู้สึกว่าฝันเลย
    โดยทั่วไปคนจะจำความฝันของตัวเองได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในช่วงของการหลับแบบตากระตุก

    ความฝันโดยส่วนมากจะอยู่ในรูปของการเห็น รองลงมาเป็นการได้ยิน
    การสัมผัสและความเจ็บปวด ที่พบน้อยมาก คือ ความฝันในรูปของการได้ลิ้มชิมรสกับการได้กลิ่น


    ภาพจาก [​IMG]

    ในแง่มุมของนักวิทยาศาสตร์ การฝัน นับเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติของสมอง
    ซึ่งบางส่วนยังคงทำงานสานต่อกันเป็นการเห็น ได้ยินและสัมผัสต่างๆ
    โดยปราศจากการควบคุมจากซีรีบรัม (Cerebrum) ทำให้ความฝันทั้งหมดแปลกและพิสดารเกินกว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตจริงได้
    ส่วนในแง่มุมของนักจิตวิเคราะห์นั้นถือว่า ความฝัน
    เป็นสิ่งสะท้อนจิตในส่วนลึกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ทั้งความสุข สมหวัง ความทุกข์และความผิดหวัง
    จึงสามารถนำความฝันมาใช้ในการทำจิตบำบัด (Psychotherapy) แก่ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตได้
    สิ่งที่มีอิทธิพลกับความฝัน มีดังนี้
    1. สภาพจิตใจ
    2. การแพ้อาหารหรือยาบางชนิด
    3. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก ซึ่งรบกวนการนอนหลับอย่างสงบ
    4. การเจ็บไข้ได้ป่วย
    5. สภาพแวดล้อมของห้องนอน เช่น อากาศร้อน-เย็น แสงสว่างหรือเสียงที่รบกวน
    ล้วนสร้างความกดดันให้แก่ร่างกายและจิตใจและอาจสะท้อนออกมาในความฝันได้
    6. การมีรอบเดือน อาจมีอิทธิพลต่อผู้หญิงบางคน
    7. ทิศทางของที่นอน บางคนแนะนำว่า ถ้าคุณหันหัวนอนไปทางขั้วแม่เหล็กโลกขั้วเหนือ
    (North pole) เพื่อให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกายเราสอดคล้องกับสนามแม่เหล็กโลก
    ซึ่งจะทำให้คนเรามีความกลมกลืนกับพลังงานตามธรรมชาติ ช่วยให้หลับได้สนิท


    ภาพจาก [​IMG]

    การนอนละเมอ (Sleepwalking) คือ การทำกิริยาต่างๆ โดยไม่รู้ตัวในขณะที่กำลังหลับ
    และเมื่อตื่นขึ้นมาจะจำไม่ได้
    การละเมอ เกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ คือ
    1. สิ่งกระตุ้นจากภายนอก เช่น หนังเขย่าขวัญ ภาพน่ากลัวหรือกิจกรรมในตอนกลางวัน
    อันชวนตื่นเต้น ทำให้ฝังใจแม้ในยามหลับก็ยังนึกถึง
    2. สิ่งกระตุ้นจากภายใน ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งความเครียด ความเหนื่อยล้า กรรมพันธุ์
    การปรับเปลี่ยนเวลานอน เช่น การทำงานทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ได้พักผ่อนหรือการคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก่อนนอน


    ภาพจาก [​IMG]

    การนอนหลับของเด็กจะมี 2 ช่วง เรียกว่า ช่วงหลับตื้น (REM Sleep) และช่วงหลับลึก
    (Non-REM Sleep) ซึ่งเป็นช่วงระยะหลังจากหลับไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง และการละเมอก็จะเกิดขึ้นในหลับลึก
    ปัญหาการนอนละเมอในเด็ก มี 2 แบบ คือ
    1. ละเมอฝันผวา (Night terror) ส่วนมากเกิดในเด็กอายุ 4-7 ปี เนื่องจาก
    ระบบประสาทของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ การจัดเรียงข้อมูลในสมองจึงยังไม่เป็นระเบียบนัก
    โดยเด็กมักตกใจตื่นอย่างฉับพลัน บางครั้งก็หวีดร้อง แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเด็กจะจำอะไรไม่ได้
    วิธีแก้ไข คือ อุ้มเด็กมากอดไว้ ลูบหัว ตบก้น โยกตัวเบาๆ และปลอบให้นอนต่อ
    เพราะถึงอย่างไรก็ตามเด็กก็จะจำความฝันนี้ไม่ได้อยู่ดี
    2. ละเมอเดิน (Sleepwalking) มักเกิดขึ้นในเด็กโต โดยอาจเดินไปรอบๆ
    ห้องหรือเดินไปนอกห้องหรือนอกบ้านทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัวและเมื่อตื่นมาก็จะจำอะไรไม่ได้เช่นกัน
    วิธีแก้ไข คือ เบื้องต้นควรปรับสภาพแวดล้อมห้องเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น
    โดยจัดห้องให้โล่ง ปิดประตู-หน้าต่างห้องให้แน่นหนา และไม่ควรใช้เตียงสองชั้น
    ในบางครั้งผู้ปกครองอาจเล่านิทานน่ารักๆ หรือเปิดเพลงให้เด็กฟังก่อนนอนเพื่อเป็นการผ่อนคลายก็ได้
    ส่วนการนอนละเมอในผู้ใหญ่นั้นยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่สันนิษฐานว่า
    อาจเกิดจากสิ่งเร้าบางอย่าง เช่น ความเครียด เสียงดัง การดื่มสุราหรือการกินยานอนหลับ
    ในคนปกติ การนอนละเมอจะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้นไม่กี่วันก็หายไปเอง
    แต่ถ้าเป็นนานมากและค่อนข้างบ่อย จนรบกวนชีวิตประจำวัน
    เช่น ตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกว่าหลับได้ไม่เต็มที่ ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิในการทำงาน
    ควรปรึกษาแพทย์เพื่อลดความเครียดและประพฤติกรรมที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการนอนละเมอ
    และในบางรายอาจต้องใช้ยาเพื่อปรับคุณภาพการนอนให้ดีขึ้น



    เอกสารอ้างอิง
    ...................................................................................................................................................................................................................................................
    สิ่งเล็ก..เล็ก | สาระแน.คอม
    ความฝันคืออะไร
    • แสดงกระทู้ - ความฝันคืออะไร และมีอิทธิพลต่อมนุษย์เราอย่างไรบ้าง?
    ..Payakorn.com ....
    ..Payakorn.com ....
    http://variety.mwake.com/story/306/นอนละเมอ-เกิดจากอะไร.html
    http://variety.thaiza.com/นอนละเมอ_1212_125183_1212_.html


    7.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  9. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    เหตุแห่งความฝัน

    เหตุแห่งความฝัน

    ในคัมภีร์ทางศาสนา ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้คนเราฝันไว้ ๔ ประการ คือ

    ๏ ธาตุโขภะ คือ ธาตุในร่างกายกำเริบปั่นป่วน หรือเกิดจากความผิดปกติทางร่างกาย อันมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของธาตุในร่างกาย ความฝันเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อนอนผิดท่าหรือป่วยเป็นไข้ไม่สบาย จนบางครั้งทำให้นอนละเมอเพ้อพกจับไม่ได้ศัพท์เหมือนคนขาดสติ เรื่องที่ฝันมักเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความน่ากลัวต่างๆ อย่างฝันว่าตกจากภูเขาหรือตกจากที่สูงลอยไปในอากาศเหมือนเหาะได้ ถูกภูตผีปีศาจ ยักษ์มารวิ่งไล่ ถูกสัตว์ร้าย เช่น เสือ ช้าง หรือโจรผู้ร้ายวิ่งไล่ฆ่าฟัน เป็นต้น ในขณะที่วิ่งหนีมีความรู้สึกว่าวิ่งได้ช้ามาก ช้าจนบางครั้งเราต้องกระโดดสองขาแทนวิ่งเพื่อหนีจากสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวนั้น พอตื่นก็เหนื่อยแทบขาดใจ เหมือนวิ่งมาด้วยความเร็วหลายสิบกิโลเมตร


    ๏ อนุภูตปุพพะ คือ ฝันเนื่องมาจากอารมณ์ที่ได้ประสบมา ความฝันชนิดนี้น่าจะเกิดจากจิตที่หมกมุ่นครุ่นคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ประสบมาในชีวิตประจำวัน เช่น ประสบเหตุการณ์บางอย่างมา จิตจะเก็บเหตุการณ์นั้นไว้ แล้วกลายเป็นความฝันแม้บางครั้งเรามีความรู้สึกว่าลืมเหตุการณ์นั้นไปนานแล้ว แต่จิตยังคงเก็บเหตุการณ์นั้นไว้ในจิตใต้สำนึก เพียงแต่รอเวลาแสดงออกเท่านั้น เมื่อเหตุการณ์นั้นมาปรากฏในความฝันจึงทำให้นึกขึ้นได้ทันที อารมณ์นั้นอาจเป็นอารมณ์ที่เราประสบมาช้านานหรือเพิ่งจะผ่านไปในวันนั้นแล้วเก็บเอามาคิดรำพึงจนหลับไปก็ได้



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  10. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ๏ เทวตูปสังหรณ์ คือ ความฝันที่เทวดานำมาเป็นสาเหตุที่จะบอกเล่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์บางอย่างให้ผู้ฝันรับรู้ ความฝันนั้นอาจเป็นต่างๆ ตามอำนาจการบันดาลของเทวดา ถ้าเทวดารักใคร่ปรารถนาจะให้การคุ้มครองรักษาและหวังประโยชน์ จะบันดาลให้ฝันดีและเป็นผลในทางที่ดี การที่จะฝันดีและเป็นผลดีตามอำนาจของเทวดานั้น ผู้ฝันต้องเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายด้วย
    การจะเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายก็ต้องเป็นผู้มีทาน คือการให้ปันสิ่งของตามโอกาส มีศีล คือความสะอาดกายสะอาดวาจา ความสงบเสงี่ยมอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่หยาบกระด้างก้าวร้าว อวดดื้อถือดี ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น และมีธรรมอันงาม คือหมั่นฝึกหัดขัดเกลาจิตใจให้สะอาดผ่องแผ้ว

    คัมภีร์ทางศาสนากล่าวว่า ผู้มีศีลมีธรรมอันงามย่อมเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผู้มีศีลมีธรรมงามอย่าว่าแต่มนุษย์เลยที่รัก แม้เทพเทวาทั้งหลายก็ชื่นชมต่อการปรากฏตัวของเขา


    ๏ บุพนิมิต คือ ลางที่บอกเหตุขึ้นก่อน เป็นความฝันที่เกิดด้วยอำนาจบุญกุศล และอำนาจบาปกรรม หรือเป็นบุพนิมิตแห่งการที่จะต้องเสวยผลแห่งบุญกุศลซึ่งเป็นฝ่ายดี และเป็นบุพนิมิตแห่งการที่จะต้องเสวยผลแห่งบาปกรรมซึ่งเป็นฝ่ายชั่ว ความฝันที่เรียกว่าบุพนิมิตเป็นผลสืบเนื่องมาจากอำนาจบุญ และบาปที่คนๆ นั้นได้สั่งสมอบรมและกระทำไว้มาบันดาลให้ปรากฏเป็นลางบอกเหตุ พูดง่ายๆ ถึงเวลาที่บุญหรือกรรมจะให้ผลก็จะนิมิตให้รู้ล่วงหน้า ทั้งสองอย่างล้วนเป็นนิมิตที่ปรากฏให้ทราบล่วงหน้า

    ท่านกล่าวว่า ความฝันชนิดธาตุโขภะและอนุภูตปุพพะ ไม่ควรเชื่อถือ ท่านปฏิเสธว่าไม่เป็นจริง เพราะสติไม่อยู่ในสภาพปกติ ความฝันชนิดเทวตูปสังหรณ์เป็นจริงบ้างไม่จริงบ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเทวดาผู้มาเข้าฝันเป็นตัวแปร

    ส่วนบุพนิมิตนั้น ท่านยืนยันอย่างแน่นอนลงไปเลยว่าเป็นความจริงตามที่ฝันทุกประการไม่คลาดเคลื่อน และท่านให้ข้อสังเกตว่า ความฝันที่จัดว่าเป็นบุพนิมิตนั้นต้องปรากฏเฉพาะในเวลาค่อนรุ่งเท่านั้น ทั้งนี้เพราะเวลาหัวค่ำ เวลาเที่ยงคืนและเวลาปัจฉิมยามนั้น เป็นเวลาที่ร่างกายกำลังเผาผลาญอาหาร ธาตุในร่างกายคนเราไม่ปกติเพราะต้องทำงาน จึงมีผลทำให้ความฝันคลาดเคลื่อนไม่แน่นอน ความฝันนั้นอาจจริงก็ได้ไม่จริงก็ได้ พูดง่ายๆ ก็คือตั้งแต่หัวค่ำจนถึงหลังเที่ยงคืนธาตุในร่างกายยังทำงานอยู่ แต่เวลาค่อนรุ่งเป็นเวลาที่ร่างกายเผาผลาญอาหารเสร็จแล้วร่างกายอยู่ในสภาพปกติ ความฝันที่ปรากฏในช่วงนี้จึงเป็นจริงอย่างแน่นอน เพราะเป็นความฝันที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของร่างกาย แต่เป็นความฝันที่ปรากฏเพราะอำนาจบุญกุศล และอำนาจบาปกรรมของผู้นั้น ถ้าด้วยอำนาจบุญกุศลก็จะฝันดีและมีผลดี ถ้าด้วยอำนาจบาปกรรมก็จะฝันร้ายและมีผลร้ายด้วย ความฝันชนิดบุพพนิมิตจะไม่มี "ฝันร้ายกลายเป็นดี" หรือ "ฝันดีกลายเป็นร้าย" ถ้าฝันร้ายก็จะมีผลร้าย ฝันดีก็จะมีผลดี ท่านจึงให้ข้อสังเกตไว้ว่า ถ้าฝันในเวลาค่อนรุ่งให้พึงสันนิษฐานว่าเป็น "บุพนิมิต" แห่งอำนาจบุญ หรือบาปที่ปรากฏแก่เราล่วงหน้า

    นอกจากนั้น ท่านยังได้แสดงอาการที่จิตของคนเราจะเข้าสู่ภาวะความฝันไว้ว่า ถ้านอนหลับสนิทจะไม่ฝัน ตื่นอยู่ก็ไม่ฝัน แต่เวลาที่ฝันเป็นเวลาที่จิตกำลังอยู่ในช่วงหลับเหมือนการหลับของลิง คือหลับๆ ตื่นๆ หรือครึ่งหลับครึ่งตื่นนั่นเอง

    ที่มาจากหนังสือ ลูกผู้ชายต้องบวช ผู้แต่ง ญาณวชิระ
    เหตุแห่งความฝัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  11. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    จากเวปhttp://www.kanlayanatam.com/sara/sara20.htm


    เหตุที่เราฝัน
    อาตมาคิดว่า คนทุกคนต้องเคยฝัน ฝันอยู่บ่อย ๆ บ้าง นาน ๆ ฝันสักครั้งหนึ่งบ้าง ความฝันทั้งหมดนี้เกิดจากเหตุอะไรจะเป็นจริงหรือไม่ ต้องลองอ่านเรื่องนี้ดู

    เหตุของความฝัน ท่านกล่าวไว้ว่ามี ๔ อย่าง คือ

    ๑. ฝันเพราะธาตุกำเริบ คือธาตุในร่างกายแปรปรวนทำให้ฝันต่าง ๆ เช่น เป็นเหมือนตกจากภูเขา เหมือนเหาะไปทางอากาศ และเหมือนถูกเนื้อร้าย ช้างร้าย และโจร เป็นต้น ไล่ติดตามมา

    ๒. ฝันเพราะจิตอาวรณ์ (เพราะเคยทราบมาก่อน) คือ ฝันถึงอารมณ์ที่ตนเคยผ่านมาแล้ว เช่น เรามีจิตกังวลถึงเรื่องการสอบ เราก็ฝันถึงเรื่องสอบ ว่าข้อสอบออกตรงนั้น ตรงนี้ ถ้าญาติที่เรารักต้องตายจากไป เราคิดถึงเขามาก บางทีก็ฝันเห็นเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือบงคนมีจิตใจใฝ่ในบุญกุศล ก็ฝันว่าได้ทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน เป็นต้น

    ๓. ฝันเพราะเทพสังหรณ์ คือ พวกเทวดาทำให้ฝันเพื่อความเจริญบ้าง เพื่อความเสื่อมบ้าง แก่ผู้ฝัน แก่ผู้ฝัน ผู้นั้นย่อมฝันเห็นอารมณ์ต่าง ๆ ด้วยอานุภาพของพวกเทวดา

    ๔. ฝันเพราะบุพนิมิต คือ เป็นฝันที่เกิดจากบุญและบาป เป็นนิมิต (เครื่องหมาย) แห่งความเจริญบ้าง แห่งความเสื่อมบ้าง เหมือนมารดาของพระโพธิสัตว์ ทรงพระสุบินนิมิตในการที่จะได้โอรส (ซึ่งเป็นฝันที่เกิดจากบุญ) ฉะนั้น

    บรรดาเหตุแห่งการฝัน ๔ อย่างนี้ ๒ อย่างแรก คือ ฝันเพราะธาตุกำเริบ และฝันเพราะจิตอาวรณ์ เป็นฝันที่ไม่เป็นความจริง ส่วนฝันเพราะเทพสังหรณ์ จริงก็มี ไม่จริงก็มี เพราะว่าเทวดาโกรธแล้วประสงค์จะให้พินาศ โดยใช้อุบายให้ฝันก็มีอยู่ ส่วนอย่างสุดท้าย ฝันเพราะบุพนิมิตนี้เป็นจริงโดยส่วนเดียว เพราะเป็นความฝันที่เกิดจากกรรมที่เรากระทำแล้ว

    ถ้าเราอยากฝันดี ก็ควรไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอนจิตจะได้เป็นบุญกุศล ทำให้ไม่ฝันร้าย หรือเป็นผู้ที่เจริญเมตตา (คือความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข) อยู่เสมออานิสงส์ของการเจริญเมตตามีข้อหนึ่งว่า ทำให้ไม่ฝันร้ายเพราะผู้ที่เจริญเมตตา เมื่อฝันร้ายย่อมฝันดี เช่น เป็นเหมือนว่ากำลังไหว้เจดีย์ เหมือนว่ากำลังฟังธรรม ส่วนชนทั้งหลายอื่น อาจฝันร้าย เช่น ฝันเห็นตนเหมือนถูกพวกโจรล้อมเหมือนถูกฝูงสัตว์ทำอันตรายเอา เป็นต้น ความฝัน ๔ อย่าง เหล่านี้ เกิดแก่ทุกคนได้ ยกเว้นพระอรหันต์ เพราะท่านละวิปลาส (ความเห็นคลาดเคลื่อนจากความจริง) ได้แล้วท่านย่อมไม่ฝันอะไรทั้งสิ้น

    ที่อาตมาได้นำเรื่องเหตุที่เราฝันมากล่าวไว้ เพื่อให้ท่านผู้ได้ทราบ จะได้ไม่ต้องไปหาหมอดูให้เสียเงินเสียทองจะได้ไม่วิตกกังวลกับเรื่องที่ตนเองฝันเห็นมากเกินไป ทำให้ไม่สบายใจต่าง ๆ เพราะความฝันอาจจะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ การกระทำของเราในปัจจุบัน (กรรมปัจจุบัน) นั่นเอง ที่จะเป็นตัวกำหนดชีวิตของเรา ถ้าเราทำกรรมดีในปัจจุบัน ย่อมประสบแต่ความสุขความเจริญกรรมชั่วยอมให้ผลได้ยาก ตรงกันข้าม ถ้าเราทำกรรมชั่วในปัจจุบัน ย่อมประสบความทุกข์ ความเดือดร้อนต่าง ๆ

    “ อยากได้ดี ไม่ทำดี นั้นมีมาก
    ดีแต่อยาก หากไม่ทำ น่าขำหนอ
    อยากได้ดี ต้องทำดี อย่ารีรอ
    ดีแต่ขอ รอแต่ดี ไม่ดีเลย ”

    คัดจากหนังสือ ตายแล้วไปไหน ?
    เรียบเรียงโดย พระมหาสุสวัสดิ์ จนฺทปญฺโญ ป.ธ.๙
    พิมพ์โดย สุวิภา กลิ่นสุวรรณ์

    http://www.kanlayanatam.com/sara/sara20.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  12. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ในตำราแพทย์แผนจีนกล่าวว่า

    ๑. การฝันถึงถูกทำร้าย มีคนหรือสัตว์ประหลาดต่างๆ มาทำร้าย ถูกสัตว์ไล่ทำร้าย ฝันเรื่องการฆ่าฟันกัน เป็นอาการที่เกิดจากปอดของเรามีปัญหา

    ๒. ถ้าฝันเกี่ยวกับการไปเที่ยวทะเล แม่น้ำ พายเรือ เรือล่ม ตกน้ำ ความกลัว ฝันเกี่ยวกับเรื่องน้ำๆทั้งหลาย ก็เกี่ยวกับโรคไต

    ๓. ฝันเกี่ยวกับต้นไม้ ป่าไม้ เป็นเรื่องโรคตับ

    ๔.ฝันว่าไฟไหม้ เกี่ยวกับไฟ มีปัญหาเรื่องหัวใจ

    ๕. ฝันว่าหิว กินอาหาร ม้ามมีปัญหาระบบย่อยอาหารไม่ดี
    __________________
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2013
  13. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    สาเหตุที่ฝันร้าย

    สาเหตุที่ฝันร้าย
    สาเหตุของการฝันร้าย วิธีแก้ไขไม่ให้ฝันร้าย
    # เดลิเมล์ – หลายคนคงเคยฝันร้ายว่าสูญเสียคนรัก ผีหลอก ฯลฯ แต่อีกหลายคนกลับหลับสบายตลอดคืน ไม่เคยฝันสยดสยองแม้แต่ครั้งเดียว
    นักวิจัยพยายามไขความหมายเบื้องหลังฝันร้ายที่ทำให้เราผวาตื่นขึ้นมากลางดึก และเชื่อว่าฝันร้ายเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตยามตื่น แต่อาจสะท้อนอารมณ์และความวิตกกังวลของคนๆ นั้น
    ฝันร้ายที่พบบ่อยที่สุดคือ หกล้ม ถูกตามล่า รู้สึกเหมือนขยับเขยื้อนตัวไม่ได้ ไปโรงเรียนหรือไปทำงานสาย และคนที่รักเสียชีวิต
    ฝันร้ายอื่นๆ ยังรวมถึงผมร่วง ฟันหัก นั่งทำข้อสอบ แม้บางคนเด็กเกินกว่าจะกลัวผมร่วง และบางคนแก่เกินกว่าจะต้องนั่งสอบแล้วก็ตาม
    รายงานที่อยู่ในวารสารยูโรเปียน อาร์ไคฟ์ส ออฟ ไซเคียทรี แอนด์ คลินิคัลระบุว่า ผู้ชายมีแนวโน้มสูงที่จะฝันร้ายเกี่ยวกับความรุนแรงหรือถูกไล่ออกจากงาน ขณะที่ผู้หญิงมักฝันว่าสูญเสียคนรักหรือเพื่อนสนิท ถูกลวนลาม
    ดร.ไมเคิล ชเรดเดิล จากอินเตอร์เนชันแนล แอสโซซิเอชัน ฟอร์ เดอะ สตัดดี้ ออฟ ดรีมส์ กล่าวว่าเรื่องต่างๆ เช่น การหกล้ม ถูกตามล่า ขยับตัวไม่ได้ ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตจริงแต่อย่างใด
    “ปีศาจที่ตามล่าคุณในฝันอาจสะท้อนความกลัวภารกิจสำคัญบางอย่างที่รออยู่และเป็นสิ่งที่คุณพยายามหลีกเลี่ยง”
    ส่วนการฝันว่าผมร่วง ฟันหลุดที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายนั้น อาจสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์
    การค้นพบนี้มาจากการศึกษากลุ่มตัวอย่างชาย-หญิง 2,000 คนที่ถูกสอบถามเกี่ยวกับความฝัน ซึ่งพบว่า 48% ไม่เคยฝันร้ายมาก่อนเลยในชีวิต, 1 ใน 10 ฝันร้ายหลายครั้งในรอบปี และเกือบ 1 ใน 20 ผวาตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างน้อยสองสัปดาห์ครั้ง
    “ฝันร้ายเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อบางสิ่งที่ไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งอาจถูกกระตุ้นให้รุนแรงขึ้นจากความเครียด
    “แต่ถ้าคุณจัดการกับปัญหาที่มีอยู่ ฝันร้ายเหล่านั้นก็จะหายไป
    “คุณอาจหลอกตัวเองได้ตอนลืมตาตื่น แต่ไม่ใช่ในฝันแน่นอน”ดาวินา แม็กเคล คอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ของอังกฤษและผู้เชี่ยวชาญด้านความฝันสรุปทิ้งท้าย
    อีกมุมมองหนึ่ง
    อยากทราบว่าทำไมคนเราจึงฝันร้ายคะ มีเพื่อนคนหนึ่งบ่นว่า ฝันร้ายเกือบทุกคืน ตื่นมาร้องไห้ หรือไม่ก็ร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ นอนไม่หลับเป็นเพราะอะไรเพราะตัวเราไม่ค่อยฝันเลยค่ะ ไม่ว่าดี หรือร้าย
    เรียบเรียงข้อมูลโดยMANMAN ข้อมูลจาก Dreammusa: สาเหตุที่ฝันร้าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2013
  14. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    การนอนหลับและการฝันเป็นกิจกรรมตามปกติของมนุษย์ แต่ทำไมเราจึงต้องนอน และทำไมเราจึงฝัน เรื่องนี้นักจิตวิทยาได้ทำการศึกษาเพื่อค้นหาคำตอบกันอยู่ตลอดเวลา และได้ช่วยให้เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับการนอนและการฝันนี้มากขึ้น. สัตว์เองก็ต้องนอน และการนอนของสัตว์ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงไปเลยนับแต่อดีต เว้นแต่มนุษย์เท่านั้น ที่แบบแผนการนอนได้เปลี่ยนไปจากอำนาจของดวงอาทิตย์

    การนอนหลับและการฝัน

    มีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับการนอนหลับและการฝันว่า คนเรานอนหลับและฝันเกี่ยวกับประสบการณ์ของเราใช่ไหม ? ขอให้เราพิจารณาคำถามอันนี้ตามลำดับ.... “การนอน”ได้รับการนิยามความหมายว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่งของการพักผ่อนสำหรับร่างกายและจิตใจ ในช่วงระหว่างที่หน้าที่ต่างๆทางด้านร่างกายได้รับการหยุดพักลงชั่วคราว และจะมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นภายนอกลดน้อยลงไป แต่ก็สามารถที่จะได้รับการเรียกกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย. ส่วน”ความฝัน” คือชุดของภาพต่างๆที่ปรากฎขึ้นมาในยามหลับ, เช่น ความคิด และอารมณ์ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลานั้น

    การศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการนอนหลับและการฝัน

    Sigmund Freud(1900) ได้ใช้วิธีการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการนอนหลับและการฝันต่างๆด้วยวิธีการสัมภาษณ์คนไข้ของเขา โดยเฉพาะเพื่อบันทึกเรื่องเกี่ยวกับการฝันต่างๆ เนื้อหาของความฝันต่างๆนั้นส่วนใหญ่มันจะได้รับการเปลี่ยนแปลงไป และบ่อยครั้ง มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดและน่าพิศวง. แต่อย่างไรก็ตาม, Freud รู้สึกว่าความฝันต่างๆนั้นจะต้องมีหน้าที่บางอย่างสำหรับคนเรา. ภายหลังจากที่มีการศึกษาอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับรายงานต่างๆของความฝัน, Freud สรุปว่า - มีความฝันอยู่ 2 ระดับด้วยกัน:

    Manifest Content (เนื้อหาที่ปรากฎชัดแจ้ง): ซึ่งอันนี้ผู้ฝันยังคงจดจำได้หลังจากตื่น.

    Latent Content (เนื้อหาที่ซ่อนเร้นหรือแอบแฝง): ซึ่งอันนี้ผู้ฝันจะฝันเห็นภาพและความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในความฝัน.

    ยกตัวอย่างเช่น, คนไข้คนหนึ่งได้เปิดเผยออกมาโดยการให้คำสัมภาษณ์ว่า เธอฝันเกี่ยวกับการถูกไล่ตามโดยงูใหญ่ตัวหนึ่ง ซึ่งหน้างูดูเหมือนกับหน้าของพ่อเธอมาก(manifest content - เนื้อหาที่ปรากฏออกมาของความฝัน). ส่วน latent content หรือเนื้อหาที่แอบแฝงของความฝันอันนี้, ซึ่งคนไข้ไม่ทราบเลย, อาจเป็นความปรารถนาของคนไข้เองที่ต้องการมีเพศสัมพันธ์กับพ่อของเธอ.

    Freud รู้สึกว่าโดยทั่วไปแล้ว เนื้อหาที่แอบแฝง(latent content)นั้น เกี่ยวพันกันกับความปรารถนาซึ่งไม่อาจยอมรับได้(unacceptable desire) ซึ่งจะสร้างความปวดร้าวหรือทุกข์ใจขึ้นมา ถ้ามันถูกแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา. สิ่งเหล่านี้มันน่าจะคุกคามอย่างมากต่อคนที่นอนฝันนี้ ถ้าหากว่าเธอฝันว่าเธอกำลังมีความสัมพันธ์ทางเพศกับพ่อของเธอ. ดังนั้น, แรงกระตุ้นอันไม่อาจยอมรับได้อันนี้(unacceptable impulse)จึงถูกปลอมแปลงอำพราง หรือออกมาในรูปแบบต่างๆที่ยอมรับกันได้(acceptable forms). จากผลของการศึกษาอันนี้ของ Freud ได้ไปขัดแย้งกับความคิดเห็นที่มาก่อนหน้านั้นที่ว่า ความฝันต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่าและน่าสนใจแต่ประการใด.

    ส่วน Eugene Aserinsky และ Nathanial Kleitman ซึ่งได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการนอนและการฝัน โดยได้ใช้เทคนิคของห้องทดลอง เพื่อตรวจวัดการโต้ตอบต่างๆทางด้านสรีรวิทยา, เพื่อแสดงให้เห็นว่าการนอนนั้น มันเป็นอาการที่ไปด้วยกันกับแบบแผนการเปลี่ยนแปลง ที่มีความสลับซับซ้อนของกิจกรรมทางสรีรวิทยา. นอกจากนี้, เขายังได้ค้นพบว่า แบบแผนทางด้านสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่คนๆหนึ่งกำลังฝันอยู่. อันนี้หมายความว่า เมื่อแบบแผนต่างๆอันนั้นเกิดขึ้น นักวิจัยจะปลุกผู้รับการทดสอบให้ตื่นขึ้นมา เพื่อต้องการให้ผู้รับการทดสอบ ระลึกถึงความฝันต่างๆของเขาขึ้นมาอย่างฉับพลันทันที.

    Aserinsky และ Kleitman ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงทัศนะที่ว่าการนอนและความฝันไม่สามารถจะถูกศึกษาได้ในเชิงวัตถุวิสัยหรืออย่างเป็นวิทยาศาสตร์. นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้มีการตรวจวัดแบบแผนต่างๆทางสรีรวิทยาและบันทึกความฝันต่างๆของผู้คนนับเป็นพันๆคน

    แบบแผนทางสรีรวิทยาในช่วงระหว่างการนอนหลับ

    ในการวิจัยการนอนของอาสาสมัครคนหนึ่งซึ่งมีสายขั้วไฟฟ้าติดอยู่ที่ศีรษะและร่างกายของเขา. สื่อนำไฟฟ้าเหล่านี้เสนอข้อมูลเกี่ยวกับคลื่นสมอง การเคลื่อนไหวของดวงตา ความตึงของกล้ามเนื้อ อัตราการเต้นของหัวใจ และกระบวนการทางเคมีของร่างกาย. จากการวิจัยข้างต้น การนอนของคนเรามีอยู่ 5 ระดับด้วยกัน(ตั้งแต่ระดับตื้นไล่ไปตามลำดับจนถึงระดับลึก). และระดับต่างๆเหล่านี้สามารถบอกได้ โดยการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองและการโต้ตอบทางสรีรวิทยาอย่างอื่นๆ

    หลังจากที่เราได้พักผ่อนหลับนอนมาถึงระดับที่ 4 แล้ว ก็จะหวนคืนกลับไปสู่ระดับที่ 3 และ 2 ตามลำดับ ก่อนที่จะเข้าไปสู่ระดับที่เรียกว่า REM(rapid eye movements). ระดับนี้ได้ถูกแสดงให้ปรากฏออกมาโดยการเริ่มต้นเคลื่อนไหวลูกนัยตาอย่างรวดเร็ว. ในขั้นตอนการนอนระดับ REM นี้ กล้ามเนื้อต่างๆสามารถที่จะกระตุกได้บนใบหน้าและแขนขา หรือบางครั้งก็ทั้งตัว.

    ถ้าหากว่าคนที่นอนหลับอยู่ในช่วงระดับ REM นี้ถูกปลุกขึ้นมา ผู้ที่นอนหลับส่วนใหญ่สามารถที่จะบอกได้ถึงสิ่งที่พวกเขากำลังฝันอยู่ และสามารถที่จะระลึกความฝันนั้นได้อย่างละเอียดและชัดเจน. แต่ถ้าคนที่นอนหลับถูกปลุกขึ้นมาในระหว่างระดับที่ 2-4 พวกเขาแทบจะไม่อาจยืนยันได้ว่ากำลังฝันอยู่ และก็ไม่เคยจดจำมันได้โดยละเอียด

    อารมณ์อกสั่นขวัญแขวนอย่างรุนแรงด้วยภาพฝัน จะเกิดขึ้นในระดับที่ 3-4 ซึ่งอารมณ์อันนี้ได้ถูกเรียกขานว่า”night terrors” หรือ “Sleep terrors”(ฝันร้าย). มันประกอบด้วยการหายใจอย่างรุนแรงและคล้ายจะเป็นอัมพาต เท่าๆกันกับความรู้สึกกังวลใจมาก.

    เวลาที่เรานอนนั้น เราจะผ่านขั้นตอนอันหลายหลากของการนอนวนไปเวียนมา นั่นคือ ขณะที่เรากำลังเข้าสู่การหลับ เราจะเข้าไปสู่ระดับที่ 1 ของการนอน ซึ่งเป็นช่วงระยะของการเปลี่ยนผ่าน(transition stage). ภายใน 90 นาทีหลังจากที่เรานอนหลับไป เราจะผ่านเข้าไปสู่ระดับที่ 2 จนถึงระดับที่ 4 ของการนอน, แล้วก็จะหวนกลับมาระดับที่ 2 อีกครั้ง. ถัดจากนั้นเราก็จะเริ่มไปสู่ขั้นตอน REM Sleep ของการนอน หรือ rapid eye movements. เราจะเข้าไปสู่ระยะ REM ของการนอนประมาณ 10-20 นาทีในคืนหนึ่งหลายครั้งในช่วงหนึ่งคืน สลับกันกับระดับของการนอนขั้นที่ 2-4. ช่วงระหว่าง REM จะค่อยๆยาวนานขึ้น และขั้นตอนของการนอนระดับที่ 2-4 จะสั้นลงเมื่อใกล้จะถึงเช้า

    เมื่อตอนที่เรายังเป็นทารกอยู่นั้นเราต้องการเวลานอนวันละประมาณ 16-20 ชั่วโมง. ส่วนในช่วงผู้ใหญ่ พวกเราส่วนใหญ่ต้องการเวลานอนอยู่ในช่วงระหว่าง 6-9 ชั่วโมง, และจะใช้เวลา 25 เปอร์เซนต์ไปในช่วงการนอน REM Sleep.

    การศึกษาเกี่ยวกับการอดนอน

    เมื่อเราไม่ได้นอนเป็นระยะเวลานานๆ แบบแผนขั้นตอนของการนอนจะไม่เป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้ จากการทดลองกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้นอนเป็นเวลานานติดต่อกัน 264 ชั่วโมงเพื่อที่จะทำสถิติให้มีการบันทึกลงในหนังสือ Guinness Book of Records. ชายหนุ่มคนนี้ หลังจากที่ยุติการอดหลับอดนอนแล้ว เขาก็เริ่มเข้านอนในห้องทดลองเกี่ยวกับการนอนและการหลับฝัน.

    บรรดานักวิทยาศาสตร์สังเกตุว่า ในช่วงคืนแรกของการนอน ชายคนนี้นอนหลับในระดับที่ 4 เป็นเวลานาน โดยสูญเสียระดับการนอนในขั้นที่ 2 ไป. ในคืนที่สองของการสังเกตุ พบว่า เขาจะค่อยๆคืนกลับสู่สภาพปกติ กล่าวคือ ระยะการนอน REM sleep เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนและระดับการนอนในขั้นที่ 2-4 ค่อยๆลดลงไป. ปรากฎการณ์ที่เพิ่มขึ้นของ REM sleep หลังจากการอดหลับอดนอนนี้ จะถูกเรียกว่า REM rebound(การดีดกลับของ REM sleep).

    การอดหลับอดนอนสามารถที่จะนำไปสู่ความหงุดหงิดหรือฉุนเฉียวง่าย ความเหนื่อยอ่อน ความเอาใจใส่ที่น้อยลง ความเลอะเลือนเกี่ยวกับความจำ และการลดสมรรถภาพการทำงานของกล้ามเนื้อที่ประสานกัน. คนที่อดหลับอดนอนบางคน มีการปฏิบัติตัวไปในทางที่วิปริต ซึ่งสัมพันธ์กับความเจ็บป่วยทางจิต แต่ตามปกติแล้ว อาการโรคเหล่านี้จะไม่ยืนนานหลังจากที่คนๆนั้นได้นอนเป็นการทดแทนแล้ว.

    ผลกระทบต่างๆของการป่วย(ill effects) อันเนื่องมาจากการอดหลับอดนอนสามารถได้รับการสร้างขึ้นในห้องทดลองการนอนและการหลับฝันได้ด้วย. ในห้องทดลองนั้น เป็นไปได้ที่จะกีดกันผู้รับการทดสอบจากการหลับอยู่กับระดับที่ 4 และ REM sleep. และผลของการทดลองนี้ทำให้ทราบว่าระดับการนอนในขั้นที่ 4 และ REM sleep เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง.

    ข้อมูลจากการนอนหลับและการฝัน | เว็บบอร์ด วิชาการ.คอม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2013
  15. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    เรื่องของความฝัน ซึ่งเป็นแนวแบบปริยัติศึกษา ที่มีมาในอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๔ (ส่วนหนึ่ง) เกี่ยวกับวิถีของการหลับ รายระเอียดฟังได้ที่ http://www.puthakun.org/puthakun/in...1-09-12-03-51-20&catid=87:2011-09-12-00-44-08
    แสดงธรรมโดย พระอาจารย์ สมทบ ปรักกโม วัดกลาง บางปลาม้า สุพรรณบุรี เป็นเรื่องที่น่าฟัง ถ้าได้ฟังแล้วอาจเกิดความเข้าใจความฝันมากขึ้น และได้ฟังธรรมะไปด้วย ได้ผลหลายเท่านะครับ ได้บุญด้วย เพราะกระทำธรรมสวนมัย(บุญเกิดจากการฟัง)ด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2013
  16. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    กำลังแต่งคำพูดอยู่นะครับ เพราะภาษาพระบางทีเขียนแล้ว อ่านไม่เข้าใจเพราะไม่รู้ความหมายศัพย์ ความฝันมีประการใดจะทยอยลงข้อมูลเข้ามาครับ

    ฝันดีก็ตาม ฝันร้ายก็ตาม ฝันนั้นจะแม่นยำหรือไม่ เพราะอะไร??
     
  17. bhagavad gita

    bhagavad gita Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2013
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +94
    ชอบมากมาย

    ส่วนมากที่ฝันเจอ หลวงปูทวด ฝันเห็นพระส่วนใหญ่

    อีกอย่างฝันว่าตัวเองเปลือย อยู่ตลอดเวลา (ไม่ได้ไปจาบจ้วงลามกสิ่งใด) เปลือย เดิน เสื้อผ้าหาย อะไรแบบนั้น

    ช่วงที่ผันก็ช่วงๆเที่ยงคืนตี1 เวลาประมานนี้ แต่ตอนนี้ไม่ได้ฝันละ เพราะนอนเร็วมากขึ้น เพื่อมาสวดมนต์ตอนช่วงเที่ยงคืน เพร่อมเจริญสติ ตามเหตุที่ควร

    ขอบคุณนะครับ ดันกระทูน้ำดีด้วยแล้วกัน ....
     
  18. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    พรุ่งนี้มาใหม่ครับ หาข้อมูลมาทั้งวันเมื่อยตาแล้วครับ ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนครับ ไปแล้วครับ แว๊บๆๆ
     
  19. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,612
    ตามมาเข้าฝันอมตญานด้วยคน
     
  20. poopae191

    poopae191 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    725
    ค่าพลัง:
    +1,872
    ฝันดีฝันเด่น ขอฝันเห็นเลขสามตัวก็พออิอิ อ่านไปอ่านมา สงสัยระบบภายในแปรปรวน


    ข้อมูลดีมากเลยคะ สาธุคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...