ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ วันก่อนได้มีโอกาสเข้าไปในห้องการทดลองทางจิต เจอการทดลองเกี่ยวกับคาถาสัมปะจิตฉามิ จึงนำมาภาวนาบ้าง มันดีจังค่ะ เมื่อภาวนาคาถานี้ รู้สึกว่ามันชอบ

    +++ คำบริกรรมต่าง ๆ นั้นแล้วแต่ผู้บริกรรมว่าจะชอบอันไหน ไม่ว่าจะเป็น พุทโธ หนอ สัมมาอะระหัง สัมปะจิตฉามิ แม้กระทั่ง อามิตาพุทธ ทุกอย่างเป็นคำบริกรรมทั้งสิ้น อันไหนดีถูกใจก็ใช้อันนั้นไป แต่เมื่อถึงที่สุดที่จิตทรงตัวเป็นสมาธิแล้ว จิตก็จะวางคำบริกรรมเหมือนกันหมด

    มันให้ความรู้สึกคลายออก

    +++ ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ "ใครคือผู้คลายออก" แล้วการคลายออกนี้ "เป็นการคลายออกของตัวดูหรือไม่" เราสามารถทำได้เองไม่ใช่หรือ

    +++ ตัวดู หดเข้าก็เป็น ตาที่สาม ตัวดูคลายออก ก็เป็นสภาพฌานสมาบัติ "ตัวดู คือ อวิชชา" ยามที่ตัวดู เข้มข้น อวิชชาก็เข้มข้น ความเครียดและทุกข์ก็เพิ่มขึ้น ยามที่ตัวดูจางคลาย อวิชชาก็เบาบาง ความสุขสงบสบายก็เกิดขึ้น

    +++ การควบคุมตัวดูที่ตัวดู คือ การควบคุมฌานสมาบัติ (ทดสอบดูได้ด้วยการเล่นกับ การหดขยายตรง ๆ ที่ตัวดู และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น)

    มันยิ้ม มันส่งพลังความรัก พลังความปราภนาดีออก ความรู้สึกการให้ออก มันให้ทุกคนรอบทิศแม้นแต่ศัตรูคู่พยาบาทมันก็ให้ไม่คิดโกรธ มันรับรู้ได้ถึงจุด จุดหนึ่งที่สบาย อยากหยุดทุกอย่าง ณ จุด จุดนี้ ได้แค่รับรู้แต่ยังเข้าไปไม่ถึง

    +++ ยินดีด้วย ที่สามารถรู้จักกับสภาวะของ "จิตระดับพรหม" แล้วว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือ อาการที่คุณสมบัติของจิตเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างจะเป็นไปเองตามธรรมชาติของจิต เมื่อจิตอยู่ในธรรมารมณ์ที่ถูกต้องเท่านั้น

    รู้สึกว่าการเข้าถึง ณ จุดสบายตรงนี้ต้องเข้าด้วยการคลายออก การให้ การส่งออก ไม่สามารถเข้าได้ด้วยการได้มา การเพ่ง มองดู จึงชอบอารมณ์นี้จังเลยอยากจะให้มันจดจำอารมณ์ให้ได้ จึงนำมาภาวนาเอาไว้ในใจและส่งความรู้สึกการให้ออกตลอด ดีจังค่ะ

    +++ ถูกต้อง "ยิ่งคลายออกมาก ความสุขสงบเบาสบาย ก็เพิ่มขึ้น" "การเพ่ง มองดู ส่งออกมาก ความทุกข์ก็เพิ่มขึ้น" ทุกอย่างสามารถทดสอบเอาเองได้
    +++ ทุคติ และ สุคติ ต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับการที่จิตเป็นไป ดังนั้น หากสามารถควบคุม การหด-ขยายตัว ของตัวดูได้ ก็เป็นเหตุให้สามารถควบคุมทุคติ - สุคติ ได้

    +++ ผมเคยโพสท์ไว้นานแล้วในเรื่องของ "การดู 3 ระดับ" และ "การดูโลกเคลื่อนตัว" รวมถึง "การดูรังสีของบุคคล" ซึ่งผมจะนำมาโพสท์ต่อจากโพสท์นี้ เพื่อสามารถนำการควบคุม "ตัวดู" มาปรับใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม นะครับ
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    การมอง 3 ระดับ ดูโลกที่กำลังเคลื่อนตัว การมองรังสีของบุคคล

    การฝึกการปรับจิต เพื่อการประเมินผลของการมอง 3 ระดับ (ประมาณ 10 นาที ไม่น่าเกิน 40 นาที)

    ระดับแรก มองจ้อง (เพ่ง)

    1. นำสิ่งของขนาดเล็กสักขนาดก้นดินสอ มาวางตรงหน้า ห่างจากคุณประมาณ 2-3 ฟุต
    2. มองจ้องโดยตรง (เพ่ง)(รวมศูนย์ในการมองไปยังวัตถุนั้น ๆ)
    3. สังเกตุ ขนาด ขอบเขตของการเห็น (วัตถุนั้น และ รอบนอก)(ห้ามชำเลืองตา) ตรงนี้สำคัญมาก
    4. จำ หรือใช้ เครื่องหมายมาช่วยทำขอบเขตของการเห็นที่ชัด (ส่วนที่เห็นไม่ชัด ที่พร่า ๆ เลือน ๆ ถือว่าอยู่นอกขอบเขต ให้ตัดทิ้งไป) ว่าเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณกี่ฟุต (ห้ามลำเอียง)
    5. สังเกตุและจดจำระดับ ความตึงในบริเวณท้ายทอยในเวลาเดียวกัน สำคัญมาก
    6. ถอนจิตและการมองออกสู่ระดับปกติธรรมดาสามัญ
    7. ทบทวนการทำ 2-3 ครั้ง เพื่อความมั่นใจว่า ทำ หรือ จำ ขนาด ขอบเขตของการเห็น และ ความเครียดในบริเวณท้ายทอยได้ดี

    ระดับที่สอง มองธรรมดา (แบบปกติ)

    1. ไม่กำหนดจิตใด ๆ มองแบบธรรมดา ๆ
    2. เปรียบเทียบ ขนาด ขอบเขตของการเห็น โดยการใช้ เครื่องหมายช่วยทำขอบเขต ก็เป็นการดี
    3. เปรียบเทียบ ระดับ ความตึงในบริเวณท้ายทอย ว่าต่างกันอย่างไร
    4. ทบทวนการทำระหว่างการ มองจ้อง กับ การมองแบบปกติ ไป ๆ มา ๆ สัก 2-3 ครั้ง เพื่อความชัดเจนในการเปรียบเทียบ
    5. สังเกตุค่า ความชัดเจนของวัตถุ (อุปกรณ์ที่นำมาใช้ฝึก) ว่าต่าง หรือไม่ต่างกัน อย่างไร

    ระดับที่สาม มองกว้าง (ทำความรู้สึกที่ดวงตา)

    1. ลืมตาเฉย ๆ ไม่เจตนาที่จะมองอะไรเลย
    2. ทำความรู้สึกที่ดวงตา
    3. ทำเครื่องหมาย ขอบเขตของการเห็น ในขณะที่ ทำความรู้สึกที่ดวงตาอยู่นี้
    4. เปรียบเทียบ ระดับ ความตึงในบริเวณท้ายทอย
    5. สังเกตุค่า ความชัดเจนของวัตถุ
    6. ทบทวนการมองทั้ง 3 ระดับ 3-4 ครั้ง

    +++ หากท่านใดทำได้ชัดเจน จะพบว่า ระบบการมองแบบเพ่ง จะได้วิสัยทัศน์ที่แคบที่สุด และความตึงเครียดบริเวณท้ายทอยเกิดขึ้นสูงสุด รองลงมา จะเป็นการมองแบบธรรมดา ส่วนการมองกว้างในระดับที่สาม จะได้วิสัยทัศน์ที่มากที่สุด และเกิดความสบายที่ โล่ง โปร่ง มากกว่าการมองทุกชนิด กายเบากว่า จิตเบากว่า ส่วนวัตถุที่นำมาใช้ในการฝึกนั้น มีความชัดเจนเท่าเดิม ไม่มีผลแตกต่างกันแต่ประการใด

    +++ ประโยชน์ปลีกย่อยบางประการ ของการใช้การมองแบบกว้าง เพื่อดูโลกหรือดาวนพเคราะห์ดวงนี้ที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ มีวิธีทำดังนี้

    การเตรียมพร้อมก่อนการดู

    1. หาสถานที่ ๆ มีขอบฟ้ากว้าง เช่น ชายทะเล ยอดเขาสูง ๆ ที่สามารถเห็นสุดขอบฟ้าที่กว้างขวางมาก ๆ ได้
    2. สถานที่นั้น ๆ ต้องสามารถนั่งและตั้งหน้าได้ตรง กับเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นหรือลง ได้เป็นอย่างดี
    3. ห้ามนั่งในบริเวณที่ไม่ปลอดภัย เช่น ริมหน้าผา (พยายามถอยออกมา มาก ๆ หน่อย) เพราะกายของท่าน อาจเกิดอาการโยกจากแรงผลัก หรือ แรงดันจากการที่จิตเข้าทำการสมานกับสภาวะการณ์ในขณะนั้นได้
    4. ความรู้ หรือ โดยความชัดเจนแห่งการตระหนักใจที่ว่า ดวงอาทิตย์ เป็นวัตถุที่อยู่นอกโลก อยู่นอกเส้นขอบฟ้านั้นออกไปมาก
    5. ความชำนาญจากการมองทั้ง 3 ระดับ เฉพาะอย่างยิ่งคือ การมองกว้างในระดับที่สาม ที่สามารถคงสภาวะได้ดังใจ
    6. มีเวลาก่อนที่ ดวงอาทิตย์ (ดวงจันทร์เต็ม ๆ ดวงหน่อย ก็ได้) จะสัมผัสเส้นขอบฟ้า ไม่ต่ำกว่า 30 นาที เพื่อเตรียมการกำหนดจิต

    เมื่อเตรียมพร้อมก่อน 30 นาทีแล้ว

    1. ให้นั่งลงในอิริยาบทที่ สบาย ๆ แต่มั่นคง
    2. ให้มองกว้างในระดับที่สาม และคงสภาพเช่นนั้น
    3. ใช้ตระหนักใจที่ว่า ดวงอาทิตย์ เป็นวัตถุที่อยู่นอกโลก และนอกเส้นขอบฟ้านั้นออกไป
    4. สังเกตุสัมพันธ์ภาพ ระหว่าง ดวงอาทิตย์ และเส้นขอบฟ้า

    หากท่านใดทำได้ถูกต้อง จะรู้ได้เองว่า ทำไมผมจึงต้อง ห้ามนั่งในบริเวณที่ไม่ปลอดภัย และตระหนักชัดถึงความกระจ้อยร่อยแห่งตนเอง และความกระจ้อยร่อยของมนุษย์ ต่อพลังอันมหึมาของการเคลื่อนตัวนี้

    ปรากฏการณ์นี้เป็นเรื่องธรรมดา สำหรับผู้ที่รู้วิธีการดู แต่เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา สำหรับผู้ที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
    ไม่ต้องไปเชื่อคำพูดในวงการวิทยาศาสตร์ให้มากนักที่ว่า เป็นไปไม่ได้ที่สายตามนุษย์จะมองเห็นการเคลื่อนตัวของโลก
    เพราะวงการวิทยาศาสตร์เหล่านั้น ยังไม่สามารถรู้ได้ว่า วิธีการมอง ควรทำอย่างไร แค่มีสติให้มากหน่อยเท่านั้นเอง

    +++ ความเกี่ยวข้องโดยตรงต่อห้วข้อนี้

    การมองรังสีที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต (ไม่น่าเกิน 10 นาที)

    การเตรียมพร้อมก่อนการดู

    1. ควรมีสัก 2 คนหรือมากกว่า เพื่อช่วยในการฝึกซึ่งกันและกัน
    2. หลังอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จใหม่ ๆ ดีที่สุด
    3. แสงสว่างที่พอเพียงต่อการเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน ไม่คลุมเคลือ
    4. ความชำนาญในการมองทั้งสามระดับ

    วิธีดู

    1. ผู้ฝึกและผู้ช่วยควรนั่งห่างกันประมาณ 1.5 เมตร หรือให้ผู้ช่วยยื่นเหยียดมือตรง โดยให้ฝ่ามือของผู้ช่วยห่างจากหน้าผู้ฝึก ประมาณ 1 เมตร หรือพอจะมองเห็นเส้นลายมือหลัก ๆ ได้ชัด กางนิ้วออก (ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการดูลายมือนะครับ)
    2. ให้ผู้ฝึกมองไปที่ ช่องว่างระหว่างนิ้วชองผู้ช่วย ช่องใดช่องหนึ่ง เพียงช่องเดียว (ใช้การมองจ้องของระดับแรก เพื่อจำกัดขอบเขตจากการมองลง)
    3. ให้ผู้ฝึกสังเกตุถึง กรอบขอบระหว่างช่องนิ้วของผู้ช่วยก่อน จากนั้น ให้ผู้ฝึกปรับการมองระดับต่าง ๆ ไปมา จนสามารถสังเกตุเห็น กรอบขอบอีกชั้นหนึ่งที่จาง ๆ ใส ๆ ที่อยู่ระหว่างมือของผู้ช่วย แต่ไม่ใช่ตัวมือของผู้ช่วย พอเริ่มเห็นแล้ว
    4. ให้ค่อย ๆ ปรับการมองให้กว้างขึ้นทีละนิด จนเห็นกรอบขอบที่จาง ๆ ใส ๆ นั้นมีทั้งมือและทุกช่องระหว่างนิ้วของผู้ช่วย
    5. ให้ผู้ช่วยเอามือลงได้ ตอนนี้ผู้ฝึก ควรมีความสามารถที่จะมองเห็น กรอบรัศมีทั่วทั้งตัวของผู้ช่วยได้
    6. ให้ผู้ฝึกค่อย ๆ ปรับการมองกว้างในระดับสาม ให้ค่อย ๆ กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกับสังเกตุความเป็นชั้น ๆ ของรังสีของผู้ช่วยไปในต้ว

    +++ หากเป็นการฝึกในระดับกลุ่ม จะสามารถเห็นได้ว่า แต่ละคนก็จะมีรัศมีที่แตกต่างกัน ความกว้างและความแจ่มชัดในแต่ละชั้น ๆ ของรังสีนั้นก็ไม่เหมือนกัน

    +++ การฝึกการมองสามระดับนี้ สามารถให้คำตอบและแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่ เห็นแวป ๆ ทางหางตาได้เป็นอย่างดี และสามารถช่วยผู้ฝึกให้ออกพ้นมา

    จากสื่งที่เรียกว่า ความงมงายได้ในหลาย ๆ ประการ เพราะเป็นการฝึกแบบ ลืมตาจะ ๆ ปรับจิตสด ๆ และมีสติสัมปัญชัญญะครบเต็มรูปแบบ

    ลองดูนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2013
  3. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    มาแชร์อาการ มีอาการคล้ายๆ ที่ naris520 คะ
    "มันยิ้ม มันส่งพลังความรัก พลังความปราภนาดีออก ความรู้สึกการให้ออก มันให้ทุกคนรอบทิศแม้นแต่ศัตรูคู่พยาบาทมันก็ให้ไม่คิดโกรธ"
    อาการคล้าย ๆ กันนะคะ ของเมิลจะเป็นพลังความเข้าใจนะคะ จิตมันจะอ่อนโยน ไม่มองใครเป้นศัตรู โดนเหวี่ยงใส่ก้เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้มีอาการแบบนั้น จิตยิ้มได้ แล้วก็จะมีอาการเย็น ๆ อยู่กลางอก เมิลอยู่กับอาการนี้มาประมาณเดือนหนึ่งนะคะ

    บางทีจะจับพลังงานได้ตรงหลังหัวเหนือท้ายทอย เวลาใช้ความคิดวนไปวนมา เมิลไปคิดว่าคิดมากไปเลยปวดหัว เลยมองเข้าไปตรงที่ปวดก็หาย พอไม่มองกลับมาคิดต่อก็ปวดต่ออีก

    แล้วเมื่อวานมีคลื่นความร้อนแผ่ออกมาจากตัวด้วย รุ้สึกได้เพราะอากาศเย็น ปรกติจะรุ้สึกแค่มือ แต่เมื่อวานเป็นทั้งตัวรู้สึกได้ตามแขนขา แต่ขนไม่ได้ลุกนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2013
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    วิวัฒนาการจาก กาเม สู่ พรหมา

    มาแชร์อาการ มีอาการคล้ายๆ ที่ naris520 คะ
    "มันยิ้ม มันส่งพลังความรัก พลังความปราภนาดีออก ความรู้สึกการให้ออก มันให้ทุกคนรอบทิศแม้นแต่ศัตรูคู่พยาบาทมันก็ให้ไม่คิดโกรธ"

    +++ "กาเมสุมิจฉาจารา เวระมณี คือ จิตไม่ส่งออก" จึงทำให้ "อพรหมะจริยา เวระมณี คือ จิตตั้งมั่น" เกิดขึ้นได้ ยามใดที่จิตตั้งมั่นจนเป็นสมาบัติ ก็จะมีคุณสมบัติแห่ง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อันเป็น "จริยา แห่งพรหม" ส่วนพรหมวิหาร 4 นั้น อะไรเป็นอารมณ์เด่น ย่อมขึ้นกับ "ปิติ หรือ สุข ในชั้น หยาบ กลาง ละเอียด" ที่จิตครองอยู่ในขณะนั้น ๆ

    +++ "ในยามใดที่จิตครองสภาวะนี้ได้ ในยามนั้น ย่อมมีจิตเป็นนักบวช ที่แท้จริง" ตรงนี้คือ "ศีลในภาคปฏิบัติ" ที่เป็น "ศีเลนะสุขะติงยันติ" ตัวจริงโดยไม่ต้องไปรับจากใคร ซึ่ง "ใครอยากได้ ก็ต้องทำให้เกิดขึ้นมาในจิตตน" นั่นแล

    อาการคล้าย ๆ กันนะคะ ของเมิลจะเป็นพลังความเข้าใจนะคะ จิตมันจะอ่อนโยน ไม่มองใครเป้นศัตรู โดนเหวี่ยงใส่ก้เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้มีอาการแบบนั้น จิตยิ้มได้ แล้วก็จะมีอาการเย็น ๆ อยู่กลางอก เมิลอยู่กับอาการนี้มาประมาณเดือนหนึ่งนะคะ

    +++ "พลังแห่งความเข้าใจ คือ พลังแห่งปัญญา" "บ่อเกิดของพลังแห่งปัญญา คือ การวิวัฒนาการจาก พลังสติ สู่ พลังสมาธิ สู่ พลังปัญญา สู่ วิชชา จนถึง วิมุติ" นั่นเอง

    บางทีจะจับพลังงานได้ตรงหลังหัวเหนือท้ายทอย เวลาใช้ความคิดวนไปวนมา เมิลไปคิดว่าคิดมากไปเลยปวดหัว เลยมองเข้าไปตรงที่ปวดก็หาย พอไม่มองกลับมาคิดต่อก็ปวดต่ออีก

    +++ นั่นคือ "การจัดการกับ ตัวดู ประการหนึ่ง" ทำบ่อย ๆ ก็จะ "รู้แจ้ง" ในเรื่องของตัวดูได้เช่นกัน

    แล้วเมื่อวานมีคลื่นความร้อนแผ่ออกมาจากตัวด้วย รุ้สึกได้เพราะอากาศเย็น ปรกติจะรุ้สึกแค่มือ แต่เมื่อวานเป็นทั้งตัวรู้สึกได้ตามแขนขา แต่ขนไม่ได้ลุกนะคะ

    +++ "เปรียบประดุจ ห่มผ้าห่มไฟฟ้า" เป็น force field ชนิดหนึ่ง ที่เป็นคนละชั้นกับผิวหนัง ส่วนชั้นที่ออกมามาไกลกว่าชั้นนี้ จะเป็นชั้นออร่า นั่นแหละ

    +++ ปฏิบัติต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะลึกล้ำไปเรื่อย ๆ ได้เองนะครับ
     
  5. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ ของคุณเมิลเค้าดีจังนะค่ะ อยู่กับอารมณ์นั้นเป็นเดือน ของเราอยู่ไม่ถึง 2 วัน หลังจากมาส่งอารมณ์กับท่านธรรม-ชาติแล้วอารมณ์มันก็เปลี่ยนอีกแล้ว แย่เลย แต่อย่างน้อยเราก็ได้อย่างหนึ่งคือ เมื่อระลึกถึงอารมณ์นั้นเหมือนมันจะยังคงแจ่มชัดในความรู้สึก จึงนำมาภาวนาให้มันจดจำไว้ในจิตใต้สำนึกว่าไปไหนไม่ว่าจะในรูปของความฝันหรือการถอดกายเวทนาหากเจอคนที่คิดจะทำร้ายเราก็ให้ตลอด ห้ามทำร้าย หากเขาจะฆ่าก็ให้เค้าฆ่า ยิ้มให้เค้า ไม่โกรธเค้า(มันแปลกอารมณ์นี้แม้นจะถูกฆ่าก็ไม่โกรธ ยังจะยิ้มอีก) แล้วเข้าไปสู่ที่ ที่ สบาย ณ จุดนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาจริง ๆ จะทำได้หรือเปล่า แต่ก็ยังดีที่ได้ตั้งความปราถนาไว้อย่างนั้น ตอนนี้ถ้าจะยิ้มก็ยิ้มอยู่ภายในไม่ส่งออกนอกค่ะ
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ ของคุณเมิลเค้าดีจังนะค่ะ อยู่กับอารมณ์นั้นเป็นเดือน ของเราอยู่ไม่ถึง 2 วัน หลังจากมาส่งอารมณ์กับท่านธรรม-ชาติแล้วอารมณ์มันก็เปลี่ยนอีกแล้ว แย่เลย แต่อย่างน้อยเราก็ได้อย่างหนึ่งคือ เมื่อระลึกถึงอารมณ์นั้นเหมือนมันจะยังคงแจ่มชัดในความรู้สึก

    +++ หากจะจำ "ให้จำที่ มรรควิถีวิธีของการเดินจิต ไปสู่สภาวะนั้น" ยกเว้นแต่ "กำหนดจิตเพียงวาระเดียว ก็เข้าสู่สภาวะได้เลย" เท่านั้น

    จึงนำมาภาวนาให้มันจดจำไว้ในจิตใต้สำนึกว่าไปไหนไม่ว่าจะในรูปของความฝันหรือการถอดกายเวทนาหากเจอคนที่คิดจะทำร้ายเราก็ให้ตลอด ห้ามทำร้าย หากเขาจะฆ่าก็ให้เค้าฆ่า ยิ้มให้เค้า ไม่โกรธเค้า(มันแปลกอารมณ์นี้แม้นจะถูกฆ่าก็ไม่โกรธ ยังจะยิ้มอีก) แล้วเข้าไปสู่ที่ ที่ สบาย ณ จุดนั้น

    +++ เดินจิตเช่นนั้น ให้เป็นนิสัย ก่อนที่จะวิวัฒนาการสูงขึ้นไปกว่าชั้นนี้

    แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาจริง ๆ จะทำได้หรือเปล่า แต่ก็ยังดีที่ได้ตั้งความปราถนาไว้อย่างนั้น ตอนนี้ถ้าจะยิ้มก็ยิ้มอยู่ภายในไม่ส่งออกนอกค่ะ

    +++ ให้ทดสอบ "สภาวะแห่งพรหมวิหาร 4 นี้" ต่อสรรพสัตว์อื่นเช่น นก ผีเสื้อ กา กระรอก หรือสัตว์อื่น ๆ "ที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงโดยทั่วไป" แต่ต้องเป็นสัตว์ที่ไม่เป็นอันตราย อาจรวมทั้ง จิ้งเหลน ด้วยก็ได้ จากนั้น "ให้นึกในใจ สื่อสารกับสรรพสัตว์เหล่านั้น เหมือนพูดในใจดู" อาจได้พบกับความประหลาดแบบคาตาคาใจ ที่เป็นไปไม่ได้ในสภาพของโลกปัจจุบันก็ได้ ผมเคยมีประสพการณ์กับ อินทรีย์ทะเล กุ้งและลูกปลาช่อน รวมทั้งมดแดงทั้งรัง บนน้ำตกในป่า ธารมะยม เกาะช้าง นกนางนวล ที่หลังเกาะเสม็ด และ จิ้งเหลนแม่ลูก ที่เกาะหมาก จังหวัดตราด มาแล้ว

    +++ ถือว่าเล่าสู่กันฟังก็แล้วกัน ลองเล่นดู แล้วจะทราบความจริงได้เอง แต่อย่าประมาท หากจิตทรงอารมณ์ไม่ได้ นะครับ
     
  7. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะเมิลมีข้อสงสัยสังเกตหลายหนละ เวลาที่เราดูอารมณ์ ความคิดปรุงแต่ง รู้อาการที่เกิดกับกายและใจเต็มที่ แต่มันจะมีอยู่หนึ่งวูบที่เราเลือกได้ว่าจะลงไปอยู่ในสภาวะที่เกิดขึ้นหรือเราจะรู้อยู่ พอเราเลือที่จะดูได้มันจะมีอาการหัวเราะออกมาอะคะ
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ตรงนี้เป็นสติในระดับ 7 ที่กำลังจะพัฒนาต่อไป

    +++ ระดับ 7. "อยู่กับรู้ หรือ อยู่กับตน" ตรงนี้จะมีขีดความสามารถในการ "เลือกที่จะอยู่" เป็นรายละเอียดปลีกย่อยประกอบกันไปด้วย ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่า "ปิดอบาย" จึงปรากฏเป็นจริง โดยไม่ต้องอ้างอิงกับความเชื่อใด ๆ ทั้งหมดเป็นผลมาจากการฝึก "อยู่ กับ ย้าย จากวสี 5" สำหรับเมิล จะได้เปรียบคนอื่นตรงที่ "ได้จิตเปล่งรังสี" มาแล้ว จากการฝึกและการสอบจิตต่อหน้า ที่จะต้องผ่าน "โล่ง โปร่ง รู้ ว่าง" ต่าง ๆ ในชั้น "อรูปฌาน" หรือกล่าวในอีกภาษาหนึ่งได้ว่า "สามารถเลือกภูมิได้" ส่วนความปรุงแต่งที่สอดแทรกเข้ามาในภูมิก็คือ "ภพ" นั่นเอง

    +++ ผู้ฝึกในระดับนี้จะสามารถ "กำหนดภูมิก่อน แล้วจึงทำการคัดเลือกภพ ในภายหลังได้" การกำหนดภูมิคือ "กำหนด ตัวดู ให้เสพธรรมารมณ์ อย่างหนึ่งอย่างใด" ซึ่งเป็น "กรรมฐานฝ่ายนาม" จากนั้นรอจนภาพพจน์เกิดขึ้น แล้วจึงทำการคัดเลือกภาพพจน์ต่าง ๆ นั้น ตรงนี้คือ การเลือก "ภพ" ซึ่งเป็น "กรรมฐานฝ่ายรูป" ส่วนการที่จะเข้าไป ศึกษาหรือมีส่วนร่วม ในภพภูมิที่คัดเลือกนั้น ขึ้นอยู่กับ "การเข้าไปอยู่ของตัวดู" ซึ่งเป็นเรื่องของการ "ย้าย และ อยู่" นั่นเอง

    +++ "อาการหัวเราะ หรือ การยิ้มของจิต" ในระดับนี้ เกิดจากการ "รู้แจ้งของตัวจิตเอง" และเป็นการฝ่าด่านขนาดใหญ่ได้สำเร็จด่านหนึ่ง ว่าการกำหนด ภพ ภูมิ รวมถึง การจุติ คืออะไร และเป็นเบื้องต้นที่จะ "ทำการเลือกเกิดได้" ตรงนี้คือ "วิชชา ที่มาจาก ปัญญาในการเห็นขันธ์" จนกว่าจะวิวัฒนาการไปจนถึง "พ้นเหตุเกิด" ที่เรียกว่า "วิมุติ" ต่อไป นั่นเอง
     
  9. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ สำหรับการทดลองเรื่องการสื่อสารกับบรรดาสัตว์ต่าง ๆ ยังไม่ได้ทำเป็นกิจลักษณะเลยค่ะ แต่จะลองทำไปเรื่อย ๆ เมื่อเจอสัตว์ต่าง ๆ จะส่งความรู้สึกเป็นมิตร อารมณ์แกล้ง แหย่ เล็กน้อยเป็นการทักทาย ถ้าหากวันใดเจอความรู้สึกพิเศษจะมาเล่าให้ฟังค่ะ ตอนนี้ท่านธรรม-ชาติ คุยเรื่อง การให้ ให้ฟังหน่อยได้ไหมค่ะ ในความรู้สึกของตัวเอง รู้สึกว่าลักษณะของการให้จะมีอยู่ 2 ลักษณะ โดยลักษณะแรกจิตในลักษณะนี้ยังคงให้สาระสำคัญ ให้คุณค่า ยังห่วง อยู่กับสิ่งของที่ให้ จึงมีอารมณ์ของการตัดใจ(เหตุ)ที่จะให้เป็นส่วนประกอบโดยมีความหวังอย่างใดอย่างหนึ่ง (ผล)จึงตัดใจที่จะให้ทานได้ ในทางกลับกัน หากจิตที่คิดหรือเห็นว่าสิ่งที่จะให้นั้นไม่มีความหมาย ไม่มีสาระสำคัญ(ถึงแม้นจะมีความสำคัญมากมายเพียงใดในความคิดของคนอื่น) การให้ในลักษณะนี้จะไม่มีอารมณ์ของการตัดใจ เป็นการให้เฉย ๆ ให้อย่างเป็นสุข โดยจุดสำคัญของการให้ทั้ง 2 ลักษณะนี้อยู่ที่ความคิดหรือความเห็นว่าสิ่ง สิ่งนั้นมันมีสาระสำคัญหรือไม่ หากคิดหรือเห็นว่าสิ่ง สิ่ง นั้นไม่มีสาระสำคัญแล้ว มันจะเป็นการให้ที่สุข สุขเฉยๆ ไม่ได้สุขแบบคาดหวัง ไม่รู้ว่าสิ่งที่รู้สึกมาจะถูกผิดอย่างไร รบกวนท่านธรรม-ชาติ ชี้แนะด้วยค่ะ เพราะโดยส่วนมากแล้วจะไม่ค่อยเชื่อในความรู้สึก รู้ก็รู้เฉยๆ ไม่ได้แปลความหมายออกมา ไม่ได้นำมาสอบถามกับใคร จึงไม่ค่อยรู้อะไรมากค่ะ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ผลของ ฐานมุทิตา กับสรรพสัตว์

    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ สำหรับการทดลองเรื่องการสื่อสารกับบรรดาสัตว์ต่าง ๆ ยังไม่ได้ทำเป็นกิจลักษณะเลยค่ะ แต่จะลองทำไปเรื่อย ๆ เมื่อเจอสัตว์ต่าง ๆ จะส่งความรู้สึกเป็นมิตร อารมณ์แกล้ง แหย่ เล็กน้อยเป็นการทักทาย

    +++ อย่าใช้ "อารมณ์แกล้ง แหย่" นะครับ เพราะตรงนี้เป็นชั้นอารมณ์ที่ต่ำกว่า "เมตตา กรุณา และ มุทิตา"

    +++ จากประสพการณ์ส่วนตัวของผม ก่อนที่จะสื่อกับสรรพสัตว์ต่าง ๆ นั้น มักจะเกิด "มุทิตา" ก่อน คือ "ยินดีที่ได้เห็น สัตว์นั้น" อาการยินดีนี้ "ไม่ใช่ยินดีที่จิตส่งออก" แต่เป็น "ยินดีที่ จิตเสพอยู่กับตน ภายในร่าง" อารมณ์ "มุทิตา" นี้ทำให้สัตว์เหล่านั้น "สนใจที่จะเข้าหาเรา หรือ อยากติดต่อกับเรา"

    +++ ประสพการณ์กับ อินทรีย์ทะเล เกิดที่ แหลมงอบตอนที่ผมจะข้ามเรือไปเกาะช้าง ผมเห็น อินทรีย์ทะเลตัวหนึ่งกำลังบินวนอยู่กลางทะเล ในขณะที่เห็น จิตเกิด ปิติ ขึ้นก่อน 2-3 วาระต่อจากนั้นก็ เกิดความสุขสบาย และ "ยินดี" ที่ได้เห็น จากนั้น "จิตผมเกิดการเชื่อมต่อกับอินทรีย์ทะเลตัวนั้น" แล้ว จิตผมอยากเห็น "การบินผาดโผนของอินทรีย์ทะเล" ถึงกับชี้นิ้วไปที่อินทรีย์ตัวนั้น แล้ว "ลากเส้นการบินผาดโผน รวมทั้งพลิกตัวไปมาไปด้วยกัน" ขณะที่ลากเส้นนั้น อินทรีย์ทะเลตัวนั้น "บินตามเส้นที่ลาก และพลิกม้วนตัวแฉลบ ไปมาอย่างที่ผมต้องการในทุกอิริยาบท" มีเพียงฝรั่ง 2 คนที่เห็นผมทำตรงนี้ แล้วมองผมอย่างทึ่ง ๆ ปนสงสัย กับปรากฏการณ์ของอินทรีย์ทะเลกับการชี้นิ้วของผม

    +++ ประสพการณ์กับ ลูกปลาช่อน บนน้ำตกธารมะยมชั้น 3 ที่ต้องเดินตัดสวนยางข้ามเขาไปประมาณ 6-7 ลูกบนเกาะช้าง เป็นป่าที่ไม่มีร่องรอยของมนุษย์และอยู่ในบริเวณต้นน้ำ ของน้ำตกธารมะยมที่มีถ้ำมืดขนาดใหญ่อยู่ข้างหน้า ผมพักเร่งความเพียรอยู่ที่หาดทรายน้ำตกห่างถัดออกมาประมาณ 200-300 เมตร จะมีแอ่งน้ำใสหลาย ๆ แอ่งอยู่ในบริเวณนั้น ทุกเย็นผมจะใช้แอ่ง ๆ หนึ่งเป็นที่อาบน้ำประจำ ในแอ่งนั้นมีลูกปลาช่อนตัวหนึ่งอาศัยอยู่ วันแรกไม่มี แต่ผมเห็นมันในวันที่สอง ในขณะที่เห็น "จิตผมเกิดความยินดี (มุทิตา) ที่รู้สึกเห็น" ลูกปลาช่อนตัวนั้น เลย "อยากให้ลูกปลาช่อน มานอนในมือผม" พอนึกเสร็จ ผมก็แบมือลงไปใต้น้ำ แล้วลูกปลาช่อนก็ว่ายเข้ามาในมือผมตอนนั้นเลย ผมเอามือลูบหัวและตัวลูกปลาช่อนเล่นแบบ ลูบลูกแมวลูกหมา อย่างไรอย่างนั้น พักใหญ่ ๆ 4-5 วัน ก่อนที่จะแยกทางกัน

    +++ ประสพการณ์กับ นกนางนวล ที่หลังเกาะเสม็ดระหว่าง เกาะเสม็ดกับร่องน้ำเกาะจันทร์เลยอ่าวกะรังไปท้ายเกาะ ผมไปเร่งความเพียรที่นั่น หลังออกจากสมาธิแล้ว อยู่ในระหว่างนั่งพักยกก่อนที่จะเข้าสมาธิยกต่อไป ก็มีนกนางนวลตัวหนึ่ง "บินมาหยุดกลางอากาศ ห่างจากหน้าผากผมแค่ศอกเดียว เท่านั้น" แล้วก็ร้อง "แอ้ก ๆ" สองที แล้วก็บินวนไปรวมกับฝูง จิตผมเกิดความประหลาดใจปน "ยินดี" ที่อยู่ ๆ ก็มีนกนางนวลมาทำแบบนี้ แต่ใจก็คิดไปว่า "อาจเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้" ก็เลยคิดในใจว่า "ถ้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ก็ขอให้มาอีกทีซิ" พอนึกจบเท่านั้น นกนางนวลตัวนั้นก็ผละกลุ่ม แล้วตีวงบินเข้ามาหาผมทันที แล้วก็ "บินมาหยุดกลางอากาศ ตรงที่เดิม" ซึ่งห่างจากหน้าผากผมแค่ศอกเดียว แล้วก็ร้อง "แอ้ก ๆ" สองที เหมือนเดิมทุกประการ แล้วก็บินจากไป ทำให้ผมหัวร่ออยู่คนเดียวที่ท้ายเกาะนั่นเอง

    +++ จากประสพการณ์คร่าว ๆ ที่กล่าวมานี้ บทสรุปสั้น ๆ คือ "มุทิตาจิต" เป็นฐานของการสื่อสาร ระหว่างคนกับสัตว์ และก่อนที่จะเกิดมุทิตาฐานนี้ จิตมักจะอยู่ในฐานของ เพลิดเพลินเจริญใจ (ปิติในอิริยาบทปกติ) สงบสุขร่มรื่น (สุขในอิริยาบทที่เป็นธรรมชาติ) มาก่อน และหากเจอกับสัตว์อื่นในช่วงนี้ จิตจะเกิดความ "ยินดีที่เป็น มุทิตาจิต" ขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ และการสื่อสารจะบังเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติระหว่าง จิตต่อจิต นะครับ

    +++ เหตุที่เล่าประสพการณ์อย่างคร่าว ๆ ให้ฟังนั้น เพราะผู้ฝึกกำลังเดินผ่านขั้นตอนตรงนี้ ดังนั้น จึงเป็นการเล่าประกอบการฝึกไปในตัวด้วยเลย

    ถ้าหากวันใดเจอความรู้สึกพิเศษจะมาเล่าให้ฟังค่ะ ตอนนี้ท่านธรรม-ชาติ คุยเรื่อง การให้ ให้ฟังหน่อยได้ไหมค่ะ

    ในความรู้สึกของตัวเอง รู้สึกว่าลักษณะของการให้จะมีอยู่ 2 ลักษณะ โดยลักษณะแรกจิตในลักษณะนี้ยังคงให้สาระสำคัญ ให้คุณค่า ยังห่วง อยู่กับสิ่งของที่ให้ จึงมีอารมณ์ของการตัดใจ(เหตุ)ที่จะให้เป็นส่วนประกอบโดยมีความหวังอย่างใดอย่างหนึ่ง (ผล)จึงตัดใจที่จะให้ทานได้

    +++ ยังยึดกับของที่ให้ ตรงนี้คือ "ให้อย่างมีข้อแม้" ดังนั้น การให้แบบนี้จึงมีข้อจำกัดไปตามข้อแม้ที่ตนจำกัดนั้น ๆ เหมือนกับการ "ให้ยืม แต่ถ้าถูกใจ จึงจะให้เลย" ดังนั้นอานิสสงค์ที่พึงได้ ก็จะถูกกำหนดตามที่ตนกำหนดด้วย

    ในทางกลับกัน หากจิตที่คิดหรือเห็นว่าสิ่งที่จะให้นั้นไม่มีความหมาย ไม่มีสาระสำคัญ(ถึงแม้นจะมีความสำคัญมากมายเพียงใดในความคิดของคนอื่น) การให้ในลักษณะนี้จะไม่มีอารมณ์ของการตัดใจ เป็นการให้เฉย ๆ ให้อย่างเป็นสุข

    +++ ไม่ยึดกับของที่ให้ ดังนั้น "เป็นการให้อย่างไร้ขอบเขต" การให้แบบนี้ จะไร้ขีดจำกัด ตรงนี้ส่งผลถึง โลกุตระธรรม

    โดยจุดสำคัญของการให้ทั้ง 2 ลักษณะนี้อยู่ที่ความคิดหรือความเห็นว่าสิ่ง สิ่งนั้นมันมีสาระสำคัญหรือไม่ หากคิดหรือเห็นว่าสิ่ง สิ่ง นั้นไม่มีสาระสำคัญแล้ว มันจะเป็นการให้ที่สุข สุขเฉยๆ ไม่ได้สุขแบบคาดหวัง

    ไม่รู้ว่าสิ่งที่รู้สึกมาจะถูกผิดอย่างไร รบกวนท่านธรรม-ชาติ ชี้แนะด้วยค่ะ เพราะโดยส่วนมากแล้วจะไม่ค่อยเชื่อในความรู้สึก รู้ก็รู้เฉยๆ ไม่ได้แปลความหมายออกมา ไม่ได้นำมาสอบถามกับใคร จึงไม่ค่อยรู้อะไรมากค่ะ

    +++ กฏเกณฑ์แห่งการสร้าง วิบาก หรือ บารมี ก็เป็นไปตามที่อธิบายข้างบนนะครับ
     
  11. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ ตอนแรกที่ท่านธรรม-ชาติบอกว่าการสื่อสาร คิดว่าเมื่อคุยกะมันแล้วมันจะคุยโต้ตอบกับมาภายในจิตซะอีก หากท่านธรรม-ชาติไม่เล่าให้ฟังสงสัยจะรอให้สัตว์เหล่านั้นคุยโต้ตอบกลับมาซะอีก ฟังจากประสบการณ์ของท่านธรรม-ชาติแล้วก็นึกขึ้นมาได้ถึงเหตุการณ์หนึ่งไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นการโต้ตอบกันหรือเปล่า เรื่องมันมีอยู่ว่า วันหนึ่งเดินอยู่แล้วเห็นงูตัวหนึ่ง ตัวมันโตมากขนาดเท่าข้อมือ ตัวดำขลับ ยาวเชียว เมื่อเห็นมันแล้วก็เกิดอาการยิ้มอยู่ภายในใจ จึงเดินเข้าไปหามัน เข้าไปดูหน่อยสิมันเป็นงูอะไร ก็ยืนดูมัน มองเข้าไปในดวงตาของมันก็เห็นเป็นตาใส เรียว รู้สึกถึงความเป็นมิตร ก็คิดว่าคงเป็นงูไม่อันตรายหรอก ดูอีกสิมันจะเป็นงูเห่าหรือเปล่า ถ้าเป็นงูเห่าก็ต้องมีจักรตรงคอสิ ก็ลองมองตรงคอของมันตอนแรกก็ไม่ค่อยจะเห็น จนมันต้องเลื้อยเข้ามาหาตัวจึงจะเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่งูเห่า แต่มันพิเศษตรงที่มันไม่ไปไหนเลยมันพยายามจะเลี้อยเข้ามาหาเรา เหมือนกะต้องการโชว์ให้ดูแหนะว่า อยากดูก็ดูสิ จักรฉันก็ไม่มีนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเราจะคิดไปเองหรือเปล่า หลักฐานยังไม่เด่นชัด วันหลังถ้ามีแบบนี้อีกต้องลองให้ชัดเจนค่ะ
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ ภาษา แต่เป็น "ความเข้าใจสู่ความเข้าใจ" มากกว่า เพราะอาการของการสื่อสารแบบนี้ เกิดขึ้นเร็วมาก ต่อให้คนพูดเร็วอย่างไรก็พูดไม่ทัน

    +++ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ผมเดินอยู่ในพงหญ้ารกระดับท่วมหัว แต่เดินตามรอยทางเดินเก่า ก็มีงูสีดำตัวยาวและใหญ่มาก ราว ๆ 3 วาหรือ 6 เมตร ความใหญ่ประมาณ โคนขา เลื้อยมาบนหญ้า คือ หญ้าสูงท่วมหัว แต่ น้ำหนักของตัวงูกดหญ้าลงมาต่ำกว่าหัวไหล่ผมนิดหน่อย เรียกได้ว่าเลื้อยมาตามยอดหญ้าก็น่าจะได้ พองูตัวนั้นเลื้อยแซงผมไปสักครึ่งลำตัว ทางขวามือห่างแค่ยื่นมือออกก็แตะตัวเขาได้เลย เขาก็หันมาสบตาผมนิดหน่อย ก็รับการสื่อสารได้ว่า "ผมเดินช้าเกินไป ขอแซงไปก่อนนะ" แล้วเขาก็ขยับตัว 2-3 ทีก็เลื้อยลับยอดหญ้าไปเลย สำหรับเขาแล้วเป็นการเลื้อยอย่างธรรมดา แต่สำหรับผมแล้ว เป็นการเลื้อยอย่างที่เรียกว่า เหินบินบนยอดหญ้า ก็ว่าได้ หลังจากที่เขาไปแล้ว จึงรู้ได้ว่านั่นคือ งูจงอาง นั่นเอง

    +++ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม "อย่าประมาท" ก็แล้วกัน เพราะ คนดีมีคนเลวมี สัตว์ที่ดีก็มี สัตว์ที่เลวก็มีเช่นกัน นะครับ
     
  13. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678

    งูอะไรครับ เป็นภพภูมิหรือเปล่าครับ ทำไม เลื้อยบนยอดหญ้าสุูงๆ ได้ละครับ
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    เป็น "งูจงอาง" จริง ๆ ลองถามพวกผู้ใหญ่ดูก็ได้ ก็จะพบได้ว่า งูจงอาง ไปได้เร็วกว่า ม้าวิ่ง และหากเป็นป่าหญ้า ก็จะเลื้อยไปตาม ยอดหญ้า หากเคยเห็นกับตาในระยะใกล้ ๆ ก็จะรู้ได้ว่าเป็นการเลื้อยที่แผ่วพริ้วประดุจเหินบินจริง ๆ
     
  15. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ วันนี้เป็นวันพระใหญ่ด้วย ท่านธรรม-ชาติคุยธรรมมะให้ฟังได้ไหมค่ะ เอาภาษาของนักปฏิบัติที่ฟังเข้าใจง่าย ๆ นะค่ะ
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    คุยธรรมะ

    +++ ได้ครับ หัวข้อธรรมคือ "ธรรมะ" ตามที่บอกมาก็แล้วกัน นะครับ

    +++ "ธรรมะ" หากใช้ภาษาให้ตรงตามอาการ ก็คือ "ปรากฏการณ์" หรือ appearance (1. Outward or visible aspect of a person or thing แปลว่า "สามารถเห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นคนหรืออะไรก็ตาม" 2. The event of coming into sight แปลว่า "เหตุการณ์ที่ปรากฏ" 3. A mental representation แปลว่า "ปรากฏการณ์ทางจิต" คำที่เหมือนกันคือ visual aspect แปลว่า "เห็นได้ชัดเจน") นั่นเอง

    +++ อีกคำหนึ่งคือ phenomenon (Any state or process known through the senses rather than by intuition or reasoning) ไม่ได้เห็นโดย "ใช้เหตุผล" หรือ "สัญชาติญาณ ของจิตใต้สำนึก (มโน/ภวังค์/นิมิต)" แต่เป็น "สติเห็น" เพียงอย่างเดียว เท่านั้น

    +++ ธรรมะทั้งหมดแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ "กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อัพยากตาธรรมา" แปลเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายก็คือ "ปรากฏการณ์ที่ให้ผลดี ปรากฏการณ์ที่ให้ผลเลว ปรากฏการณ์ที่ไม่จำแนกได้ว่า ดีหรือเลว เช่น กิริยาจิต เป็นต้น"

    +++ "พุทธะ+ศาสนา" หากใช้ภาษาให้ตรงตามอาการ ก็คือ "คำสอน เพื่อการเข้าสู่ สภาวะรู้"

    +++ การศึกษาเรียนรู้ พระพุทธศาสนา ตามประเพณีที่ถ่ายทอดกันมาแต่โบราณ ก็คือ "ถ้าทำ (ปฏิบัติ) ไม่ได้ ก็ให้จดจำ (ปริยัติ) เอาไว้ เผื่อจะได้ ทำได้ (ปฏิบัติ) ในภายหลัง" ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ต้องจบลงที่ "ภาคปฏิบัติ" เท่านั้น

    +++ "ภาคปฏิบัติ" จากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ที่รวบกระชับเนื้อหาของการปฏิบัติทั้งหมด มีเพียงประโยคเดียวเท่านั้น คือ "ตั้งกายตรง ดำรงค์สติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า"

    ใช้ภาษาให้ตรงตามอาการเฉพาะ "ภาคปฏิบัติ" จากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า คือ "ตั้งกายตรง ดำรงค์สติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" ได้ดังนี้

    1. "ตั้งกายตรง" คือ การจัดอิริยาบทของร่างกายให้ "สบายแต่มั่นคง" เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการ "ดำรงค์สติมั่น"
    2. ปรากฏการณ์เพื่อ ความพ้นทุกข์ ออกจากทุกข์ ของศาสนาพุทธนั้น จะเห็นได้ก็ต่อเมื่อ "ดำรงค์สติมั่น" เท่านั้น
    3. เมื่อ "ดำรงค์สติมั่น" ได้แล้ว ก็จะสามารถ "รู้ธรรมเฉพาะหน้า" หรือ "ปรากฏการณ์ ที่ปรากฏ อยู่ในปัจจุบันขณะ แห่งขณะจิต" นั้น ๆ นั่นเอง

    +++ ปัญหาของนักปฏิบัติธรรม (ผู้ปฏิบัติเพื่อ "เห็นปรากฏการณ์" ในทางพระพุทธศาสนา) คือ "ทำอย่างไร จึงจะเข้าถึงคำว่า ดำรงค์สติมั่น" ได้ และแม้กระทั่งคำว่า "สติ" คำเดียวก็ยังเถียงกันจนกลายเป็น "อกุศลาธรรมา หรือ ปรากฏการณ์ที่ให้ผลเลว" ไปเสียเยอะแยะ (มีบางราย ที่เถียงจนกลายเป็นปรามาส และต้องไปอบายก็มี) ดังนั้นผมจึงพยายามแยกแยะคำว่า "สติ" ไปตามลำดับของผู้ฝึกไว้ถึง 9 ลำดับ ในหน้าแรกของกระทู้นี้ แต่กระทู้นี้จะเริ่มจาก ระดับที่ 3 ขึ้นไปเท่านั้น 1 กับ 2 ไม่นับ

    +++ เมื่อ "ดำรงค์สติมั่น" (สติ + ปัฏฐาน ไปตามฐานทั้ง 4) ได้แล้ว ก็จะเห็น "ปรากฏการณ์" (สิ่งใดสิ่งหนึ่ง = thing) ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่ง ๆ นั้น (thing) ย่อมดับไปเป็นธรรมดา นั่นเอง ดังนั้น การเห็นชนิดนี้จึงเป็น "การเห็นของสติ" เท่านั้น และจะเห็นได้ก็ต่อเมื่อ "ดำรงค์สติมั่น" ได้แล้ว ดังนั้น สติ ก็คือ "ดวงตาที่เห็นสภาวะธรรมได้" นั่นเอง ท่าน "โกญทัญญะ" สามารถ "เห็นปรากฏการณ์" นี้ได้เป็นคนแรก จึงได้ขนานนามจากพระพุทธเจ้าว่า "อัญญาโกญทัญญะ" เป็นเอหิภิกขุ รายแรกแห่งพระพุทธศาสนานี้

    +++ ธรรมะ หรือ สภาวะของปรากฏการณ์ นั้นมีอยู้ได้เพียง 3 ขณะเท่านั้น คือ "ขณะที่เกิดขึ้น ขณะที่ตั้งอยู่ และ ขณะที่ดับไป" และจากปรากฏการณ์เดียวที่แบ่งออกได้เป็น 3 ขณะนี้ สามารถเขียนออกมาได้ 108-1009 กรรมฐานกันเลยทีเดียว เช่น

    1. ขณะที่เกิด รวมทั้งกำหนดให้มันเกิดด้วย เช่น เกิดมาเอง มักจะเรียกกันว่า "ของเก่า" หากกำหนดให้มันเกิด เช่น กรรมฐาน 40 รวมทั้ง การฝึก มหาสติปัฏฐาน 4 ต่าง ๆ ทั้งหมดเป็นเรื่องของ "การกำหนดจิต หรือ จิตมันกำหนดเอง" จนกว่าผู้ฝึก จะฝึกไปจนถึง สติในลำดับที่ 4. "การกำหนดจิต ทั้งหมด ถูกรู้" ก็จะถึงบางอ้อได้เอง

    2. ขณะที่ตั้งอยู่ ตรงนี้แหละคือ "ขณะของสมาธิ"

    ก. หากเอา "ตน" เข้าไป "อยู่" ในปรากฏการณ์ ก็จะเป็น "สมถะฌานสมาบัติ" เช่น พวกวิชชา อภิญญา 5 และ ฌานสมาบัติต่าง ๆ
    ข. หาก "ตน" อยู่ส่วน "ตน" ไม่เข้าไป "อยู่" ในปรากฏการณ์ แต่ "บังคับให้ปรากฏการณ์คงอยู่" เช่นนั้น ก็จะเป็น "ญานทัศนะ" ของศาสนาพุทธ

    หมายเหตุ ข้อ ข. เป็นแบบ "ตั้งสติมั่น" ที่มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ที่มีขีดความสามารถที่จะ "เข้า-ออก" ตามข้อ ก. ได้ด้วยความมีสติ

    3. ขณะที่ดับไป รวมทั้งการกำหนด "ถอนจิต" ด้วย หากผู้ที่มีขีดความสามารถตามข้อ 2 ข. ตรงที่ "บังคับให้ปรากฏการณ์คงอยู่" นั้นมาเป็น "บังคับให้ ปรากฏการณ์หลังจากขณะที่ดับไป คงอยู่" ได้นานแค่ไหน ก็ถือได้ว่าเป็นการ "เข้านิโรธสมาบัติ" ได้นานเท่านั้น เช่นกัน และก็มีอานิสสงค์มากเช่นกัน เพราะหลังจากที่ "สรรพสิ่ง ดับหมดแล้ว" สิ่งที่คงเหลืออยู่ก็คือ "สภาวะรู้อันบริสุทธิ์ หรือ พุทธะจิต หรือ สติบริสุทธิ์" แต่เพียงอย่างเดียว เท่านั้นเอง

    +++ คุยธรรมมะให้ฟัง แล้วนะครับ หวังว่าภาษาคงไม่ยากสำหรับนักปฏิบัติจนเกินไป

    สุขิโตโหตุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2019
  17. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ ขอบคุณสำหรับธรรมะค่ะ ก็มีทั้งส่วนที่เข้าใจและไม่เข้าใจค่ะ และก็ชอบบทที่กล่าวว่า "ตั้งกายตรง ดำรงค์สติมั่น รู้เฉพาะธรรมตรงหน้า" มันสรุปความกระทัดรัดดีค่ะ แต่ก่อนที่จะมีการดำรงค์สติมั่นมันจะมีสภาวะอย่างหนึ่งเกิดขึ้นหรือเปล่าค่ะ ซึ่งมันเกิดจากการที่สติเข้าไปเห็นปรากฎการต่าง ๆ เกิดแล้วก็ดับ มีแล้วเสื่อม(โดยส่วนตัวน่าจะเห็นในความหมายของคำว่าอนิจจัง) มันเปลี่ยน มันเปลี่ยน มันได้ไม่จริง แล้วจะเอายังงัยกับมัน(ปรากฎการณ์ต่าง ๆ )ละ แล้วจะมีขั้นตอนอย่างหนึ่งเกิดขึ้นคือการตัดสินออกมาว่าปรากฏการณ์ต่าง ๆ นั้นเป็นสิ่งไร้สาระ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปให้สาระสำคัญกับปรากฎการต่าง ๆ หากสติที่เห็นเฉยๆ แต่ไม่ได้ตัดสินออกมามันก็จะไม่มีวิถีที่จะเดินต่อไปเพื่อออกจากปรากฏการณ์ต่าง ๆ หากมีการตัดสินมันจะมีความสามารถในการจัดการกับปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มันจะเป็นไปในลักษณะ ขอยกเป็นตัวอย่างนะค่ะ เมื่อตาเห็นรูปที่ไม่ชอบใจ มันก็รู้ว่าความไม่ชอบใจเกิดขึ้น และก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นคนไม่ดีที่ไปชอบใจหรือไม่ชอบใจกับรูปที่เห็น และก็ไม่ได้รู้สึกด้วยว่ารูปที่เห็นนั้นมันดีหรือไม่ดี แล้วความไม่ชอบใจก็ดับไป สภาวะนี้มันจะออกมาในลักษณะแบบว่ามันไม่โทษใคร ตัวมันเองก็ไม่ผิด สิ่งที่เห็นก็ไม่ผิด เมื่อก่อนถ้าไปคิดไม่ดีก็จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีที่ไปคิดแบบนั้น หรือเห็นคนที่ทำไม่ดีก็จะรู้สึกว่าคน ๆ นั้นเป็นคนไม่ดี สภาวะนี้มีความสามารถในการเฉยหรือการหยุดซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหากับปรากฏการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนการตัดสินของจิตไปแล้ว แต่มันไม่สามารถจะจับได้กับทุกปรากฏการณ์ บางครั้งก็จับได้โดยอัตโนมัติ บางครั้งก็เผลอไป ถ้ามันสามารถจับได้โดยอัตโนมัติทุกปรากฏการณ์จะดีมากค่ะ ท่านธรรม-ชาติ หากเดินจิตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเฝ้าระวังหรือเปล่าค่ะ หรือ นี้เป็นเพียงการเดินจิตที่ผิด ผลจึงออกมาอย่างนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2013
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ ขอบคุณสำหรับธรรมะค่ะ ก็มีทั้งส่วนที่เข้าใจและไม่เข้าใจค่ะ และก็ชอบบทที่กล่าวว่า "ตั้งกายตรง ดำรงค์สติมั่น รู้เฉพาะธรรมตรงหน้า" มันสรุปความกระทัดรัดดีค่ะ แต่ก่อนที่จะมีการดำรงค์สติมั่นมันจะมีสภาวะอย่างหนึ่งเกิดขึ้นหรือเปล่าค่ะ

    +++ ถ้าจะมีก็มีเพียง การกำหนดจิตเพื่อเข้าฐานสติ เท่านั้น จากนั้นก็จะค่อย ๆ รู้ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางจิตไปเอง

    ซึ่งมันเกิดจากการที่สติเข้าไปเห็นปรากฎการต่าง ๆ เกิดแล้วก็ดับ มีแล้วเสื่อม(โดยส่วนตัวน่าจะเห็นในความหมายของคำว่าอนิจจัง) มันเปลี่ยน มันเปลี่ยน มันได้ไม่จริง แล้วจะเอายังงัยกับมัน(ปรากฎการณ์ต่าง ๆ )ละ

    +++ มันเป็นของมันอย่างนั้นมานานแล้ว ถ้ามีสติก็เห็นได้ แต่ถ้าคิดเอาเองจะไม่เห็น จริง ๆ แล้วมันไม่มีการได้อะไรทั้งสิ้น หากจะเรียกว่าได้ก็คือ ได้ความรู้เท่านั้นเอง

    แล้วจะมีขั้นตอนอย่างหนึ่งเกิดขึ้นคือการตัดสินออกมาว่าปรากฏการณ์ต่าง ๆ นั้นเป็นสิ่งไร้สาระ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปให้สาระสำคัญกับปรากฎการต่าง ๆ หากสติที่เห็นเฉยๆ แต่ไม่ได้ตัดสินออกมามันก็จะไม่มีวิถีที่จะเดินต่อไปเพื่อออกจากปรากฏการณ์ต่าง ๆ หากมีการตัดสินมันจะมีความสามารถในการจัดการกับปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

    +++ การตัดสินหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับว่า เราเข้าไป "อยู่" ข้างในปรากฏการณ์ (จิตส่งออก) นั้นหรือไม่ หากไม่เข้าไป ก็ไม่มีการตัดสินอะไร

    มันจะเป็นไปในลักษณะ ขอยกเป็นตัวอย่างนะค่ะ เมื่อตาเห็นรูปที่ไม่ชอบใจ มันก็รู้ว่าความไม่ชอบใจเกิดขึ้น และก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นคนไม่ดีที่ไปชอบใจหรือไม่ชอบใจกับรูปที่เห็น และก็ไม่ได้รู้สึกด้วยว่ารูปที่เห็นนั้นมันดีหรือไม่ดี แล้วความไม่ชอบใจก็ดับไป สภาวะนี้มันจะออกมาในลักษณะแบบว่ามันไม่โทษใคร ตัวมันเองก็ไม่ผิด สิ่งที่เห็นก็ไม่ผิด

    +++ อารมณ์เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป โดยไม่มีการคิดต่อเติม ถือว่าถูกต้องแล้ว

    เมื่อก่อนถ้าไปคิดไม่ดีก็จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีที่ไปคิดแบบนั้น หรือเห็นคนที่ทำไม่ดีก็จะรู้สึกว่าคน ๆ นั้นเป็นคนไม่ดี สภาวะนี้มีความสามารถในการเฉยหรือการหยุดซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหากับปรากฏการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนการตัดสินของจิตไปแล้ว แต่มันไม่สามารถจะจับได้กับทุกปรากฏการณ์ บางครั้งก็จับได้โดยอัตโนมัติ บางครั้งก็เผลอไป ถ้ามันสามารถจับได้โดยอัตโนมัติทุกปรากฏการณ์จะดีมากค่ะ

    +++ ตรงนี้เป็นเรื่องของการทำให้เป็นนิสัย เหมือนกับคำขอบวช ซึ่งก็คือ คำขอนิสัย นั่นเอง

    ท่านธรรม-ชาติ หากเดินจิตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเฝ้าระวังหรือเปล่าค่ะ หรือ นี้เป็นเพียงการเดินจิตที่ผิด ผลจึงออกมาอย่างนี้

    +++ ทุกอย่างเป็นเรื่องของการ "ทำให้เป็นนิสัย" เมื่อได้นิสัยแล้วมันก็เป็นอัตโนมัติไปเอง "มีสติ = ไม่มีผิด" "ไม่มีสติ = ผิดทั้งหมด" เท่านั้นเองครับ
     
  19. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ
    คุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการฝึกกับการตัดสังโยชน์ให้ฟังหน่อยสิคะ
    เมื่อเช้าอยู่ๆ ก็คิดได้ว่าที่เราเรียนอยู่คือวิชา (รู้) ที่มาแทนที่อวิชชา (ไม่รู้)
    อวิชชาไม่ได้ตัดอะไรที่ไหนเลย ไม่ได้พิจารณาอะไรเลย มันเป็นไปเองแบบอัตโนมัติ
     
  20. Broccocat

    Broccocat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    954
    ค่าพลัง:
    +4,094
    จุ๊กกรู๊ววว์))) คุณธรรม-ชาติ...เข้ามาอัพเดทค่ะ

    - สดๆ ร้อนๆ เมื่อซักครู่นี้เองค่ะ เรานอนตะแคง เอามือด้านในปิดหู ตั้งข้อศอกรับศีรษะเอาไว้ ทีนี้ก็ได้ยินเสียงเหมือนคลื่นสมองไม่ดังมาก เหมือนเสียงคลื่นเบต้าที่เคยฟังในยูทูปเปี๊ยบเลยค่ะ แต่ยังคงได้ยินเสียงชีพจรเต้นในหูเป็นจังหวะวินาที แล้วมีเสียงคลื่นที่ว่านี้คลอไปด้วยตลอดเวลาค่ะ ตอนแรกจะเป็นที่หู-ศีรษะด้านซ้ายที่ได้ยินก่อน ก็เลยลองทำอีกด้านนึงคือข้างขวา ก็ได้ยินเหมือนกันแต่เสียงจะทุ้มเบากว่าค่ะ ทุกทีถ้านอนในลักษณะท่าทางแบบนี้จะไม่ได้ยินเสียงคลื่นสมองแบบนี้เลยค่ะ นี่เป็นครั้งแรกทีี่อยู่ดีๆ ก็ได้ยิน หูของคุณธรรม-ชาติ ได้ยินแบบนี้รึป่าว

    - สองสามวันก่อน ไม่สบายปวดศีรษะไมเกรน ก็ทำสมาธิในการรักษาด้วยตัวเอง ก็จับความรู้สึกตรงที่เจ็บปวดก็คือศีรษะด้านซ้าย แล้วรู้สึกถึงชีพจรเต้นหลายๆ จุดบริเวณศีรษะด้านขวา ประมาณ 4-5 จุดค่ะ ส่วนอื่นของร่างกาย กลับไม่มีความรู้สึกว่ามีการเต้นของชีพจรเลย ผลการรักษาก็หายปวดหัวไปประมาณ 90% ค่ะ

    - วันก่อน อยู่ดีๆ ตัวชีพจรก็เต้นตุ๊บๆๆ แบบแรงๆ ตรงจักระที่ 5 กับ 3 ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจกำหนดอะไรเลย ไม่ได้นั่งสมาธิด้วย คืออยู่ดีๆ ก็เต้นเองอ่ะค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...