พรพระ และ พรเทพเจ้า

คำว่าพระให้พร กับ เทพเจ้าให้พร หรือ ขอพรจากพระ หรือ ขอพรจากเทพเจ้า นั้น หลายๆท่านหรือน่าจะเกือบทุกคน คงมีความเข้าใจว่า คือสิ่งที่เป็นมงคล เป็นสิ่งที่สามารถบันดาล ให้ผู้ได้รับพรนั้นมีความสุข ความเจริญหรืออื่นใดอันเป็นความรุ่งเรืองแห่งตน
แม้แต่ผู้ให้พร เองก็อาจจะมีความเข้าใจว่า การให้พร คือ การให้สิ่งที่เป็นสิริมงคล ต่อผู้รับ แม้ตัวข้าพเจ้าเอง ก็มีความเข้าใจเยี่ยงที่ได้กล่าวมาข้างต้นมาก่อน
แต่เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้เอง ขณะเดินกลับบ้าน ผินหน้าไปทางทิศเหนือ ข้าพเจ้าก็เห็น เทพเจ้าองค์หนึ่ง แล้วตัวข้าพเจ้าก็ลอยเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เทพเจ้าพระองค์นั้น มีเสือลายพาดกลอนอยู่ด้านข้างทางขวา ที่พระศอมีงูอยู่ด้วย ไม่ถืออาวุธ รูปร่างไม่สูง หน้าตาดูเด็กมากๆ เกล้าผมเป็นมวย ด้านบนท้องฟ้ามีลักษณะคล้ายหลังคาโค้งมนและต่ำ ด้านพื้น เหมือนเป็นพื้นดิน มีต้นหญ้า ต้นไม้ ข้าพเจ้าถึงกับตกใจ และข้าพเจ้าได้รับพรอะไรบางอย่างจากเทพเจ้าองค์นั้น ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าพรอะไร แต่เมื่อมาคิดพิจารณาดู ก็เกิดความรู้ความเข้าใจว่า "พร" ที่เทพเจ้าองค์นั้นให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องฝึกปฏิบัติ ด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่าได้รับพรแล้วจะสมความมุ่งมาดปรารถนา จากนั้นเมื่อวันพุธ ที่ผ่านมานี้ ไปซื้อของที่ตลาด พอแม่ค้าซึ่งน่าจะเป็นอิสลาม จ้องมาที่ข้าพเจ้า เทพเจ้าพระองค์นั้น ก็ปรากฎขึ้น พร้อมกับเสือลายพาดกลอน ทางด้านหลังข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าเล่าให้ได้อ่านกันนี้ก็เพื่อให้ได้รู้ว่า
การให้พร การรับพร ไม่ใช่การให้เพียงเฉพาะคำพูด แต่คำพรทั้งหลายเหล่านั้น คือ "คำสอน คำแนะนำ"ที่ผู้รับจักต้องนำไปประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่รับพร เพื่อความสบายอกสบายใจ เพื่อความหวังที่จะได้บุญ ได้ความเป็นสิริมงคล แต่ พร ทั้งหลายเหล่านั้น คือ "คำสอน คำแนะนำ" ดังนั้นทั้งผู้ให้พร และ ผู้รับพร ควรได้รู้เรื่อง ของการให้และรับ "พร"ทั้งหลาย จากพระ หรือใครก็ตาม ถ้าเป็นภาษาไทยก็คงพอรู้เรื่องแต่เป็นภาษาบาลี ควรได้ศึกษา กันโดยทั่วหน้า และเล่าบอกกล่าวสืบต่อกันไป เพื่อให้ผู้ศรัทธา เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฉะนี้

 

ตกลง แม่ค้าซึ่งน่าจะเป็นอิสลามจ้องทำไมคะ แล้วเกิดไรขึ้น

 

เรียกแม่ค้าผิดไปนิดหนึ่ง น่าจะเรียกว่า เป็น มุสลิม ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบว่าเขาจ้องข้าพเจ้าทำไม คงมีคนยุให้ลองจ้องข้าพเจ้าละมัง เพราะคงอยากเห็นอะไรบางอย่างจากตัวข้าพเจ้า และเธอผู้เป็นแม่ค้าคนนั้นก็ได้เห็น เพราะ เทพเจ้าพระองค์นั้น ปรากฏให้ได้เห็น

ขอเล่าต่ออีกสักหน่อย ถึงลักษณะภูมิประเทศ และลักษณะของเทพเจ้าพระองค์นั้น
ลักษณะของเทพเจ้าที่ข้าพเจ้ากล่าวถึง มองดูคล้ายตัวเตี้ย แต่ในความรู้สึกของข้าพเจ้าเหมือนกับว่า ท่านเป็นเพียงเนรมิตร่างกายให้ดูเตี้ย ร่างกายหนากว้าง
ลักษณะภูมิประเทศรอบข้างน้้น แม้มีต้นหญ้า และต้นไม้ แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นสีของใบไม้ และต้นหญ้า เพียงเห็นเป็นสีคล้ายสีน้ำตาล ไม่มีแสงสว่าง แต่ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ด้านหลังขององค์เทพเจ้านั้น ไกลออกไป ข้าพเจ้ามองเห็นคล้ายสิ่งก่อสร้าง เป็นบ้านหรืออะไรสักอย่าง แต่ข้าพเจ้ามองได้ไม่ถึง ๒-๓ วินาที เทพเจ้าองค์นั้นก็แลตามามองข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นสิ่งก่อสร้างนั้นเลือนลางไป แล้วตัวข้าพเจ้าก็กลับมาสู่จุดที่กำลังเดินอยู่

 

ไม่รู้วิธีอยู่ร่วมกับสังคมตามธรรมเนียมคนปกติ เลยไปทำให้เขาไม่พอใจ เขาเลยมองหน้า

กลับไปคิดว่าเป็นเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ อันนี้วิปลาสแล้วครับ

 

พล่ามเพ้อเจ้อจริง ไม่ได้รุ้เรื่องอะไร ไม่ได้เห็น ด้วยซ้ำ ยังกล้าใส่ร้ายหน้าด้าน คนที่วิปลาส นะ คือ เจ้านั่นแหละ
แถมอีกนิด อ่านภาษาไทยแล้วยังไม่รู้เรื่องภาษา ไม่บ้า ก็สติเฟื่องแล้ว
เอ็งกลับไปอ่านซิว่า เหตุใด แม่ค้ามุสลิมนั้น จ้องหน้าข้าพเจ้าเพราะอะไร
ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า.....

จิตใจของเจ้า เต็มไปด้วยความหลงผิด อิจฉา ริษยา เต็มไปด้วย อกุศลธรรม แล้วเจ้ายังมีหน้าโอ้อวด เรื่องจิตนอก จิตในอะไรของเจ้าอีกหรือ จะเอากระดาษทรายไหม เอาไว้ขัดถูหน้าของเจ้าจะได้หน้าบางลง ไม่หน้าหนาหน้าด้าน .....

 

http://palungjit.org/posts/7643750

 

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ telwada อ่านข้อความ
คุณขอรับ คุณคิดว่าคุณรู้จักสวรรค์ชั้นดุสิต หรือขอรับ มันอยู่ที่ไหนขอรับ
ข้าพเจ้าคือ ศรีอาริยเมตไตรย ของแท้ ตัวจริง เสียงจริง แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่า พระศรีอาริย์ อยุ่ที่ไหน รู้ได้อย่างไรขอรับ
สวรรค์ มีจริง หรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ชัด ถ้าในทางพุทธศาสนากล่าวถึงสวรรค์ไว้ สิบหก ชั้นและมีจริง ข้าพเจ้าก็เพียงเคยไป เคยเห็น เพียง ๔ (สี่)แห่งเท่านั้น และสวรรค์ที่ปรากฎชื่อในทางพุทธศาสนานั้น แท้จริง ก็คือ ดวงดาวต่างๆนั่นเอง เท่าที่ข้าพเจ้าเคยไปเคยเห็น คำว่าเคยเห็นหมายถึง เห็นเทวดาทั้งหลายเหล่านั้น ณ.ดวงดาว ดังต่อไปนี้
๑.ขอบท้องฟ้า(จะเรียกว่า ขอบจักรวาลก็ได้)
๒. ดวงจันทร์
๓.ดาวพุทธ
๔.ดวงอาทิตย์

ประการที่สำคัญ "ศาสนาศรีอาริย์" จะเป็นศาสนาสุดท้าย สำหรับ จักรวาลทั้งหลาย มิใช่เพียงแต่โลกมนุษย์ จงทำความเข้าใจเอาไว้ด้วยขอรับ

แล้วเอามาเผยแพร่อีกทำไมหรือขอรับ เอามาลงผิดกระทู้ละซิ เจ้าไม่เคยตาย ไม่เคยไป แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่า ตายแล้วจะได้ไปสวรรค์ ขนาดข้าพเจ้ายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
ส่วนที่ข้าพเจ้าไปหา เทพเจ้าที่มี งูอยู่ที่คอ มีเสือลายพาดกลอนอยู่ด้วย มีตา ตรงกลางหน้าผาก ไม่มีคิ้ว แต่มีขนตาที่ตากลางหน้าผากด้วย ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน อาจจะเป็นดวงอาทิตย์ หรือ ดวงจันทร์ หรืออาจจะเป็น ขอบจักรวาล หรืออาจจะเป็นบนโลกมนุษย์นี้แหละ ทีไหนสักแห่ง เพราะสิ่งปลูกสร้างที่ข้าพเจ้าเห็น เป็นคล้ายปลูกสร้างด้วยอิฐ หรือดิน ไม่มีหลังคา เป็นทรงสี่เหลี่ยมก็มี ทรงอื่นๆก็มีแต่มองไม่ทัน เพราะภาพนั้นเลือนลางหายไปเสียก่อน

 

อืม
ข้าพเจ้าก็ได้รับพร จาก จาก ท่านที่อยู่เบื้องบนโน้น บ่อยๆ
ท่านเมตตา มาโปรด
เหมือนกัน (ในสมาธิ)
โมทนาสาธุคะ

 

พรที่คุณกล่าวว่าคุณได้รับ (ในสมาธิ) เป็นพียงแค่ วิตก,วิจารณ์ อย่างหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่เป็นจริง อาจจะกล่าวได้ว่า เป็นเพียงความคิดของคุณเท่านั้น
อนึ่ง ความคิดต่างๆ สามารถสร้างเป็นภาพได้ เขาจึงเรียกว่า "ภาพหลอน" หากเกิดขึ้นขณะทำสมาธิ

 

กบในกะลา...

 

สาระคืออะไร เจ้าของกระทู้ กรุณาสรุปสาระสำคัญของหัวข้อกระทู้ด้วยครับ
โมทนา....​

 

ไม่ได้ติเตียนอะไร555 เพียงแต่อยากกระตุ้นให้ผู้ตั้งกระทู้ก้าวหน้าในธรรม
และเพื่อให้ได้สาระในการสนทนามากยิ่งขึ้น ...
โมทนา........

 

อ้าว...คุณอ่่านภาษาไทยไม่ออก และไม่รุ้จักบริบทของภาษา ไม่รู้วิธี ย่อความที่สำคัญหรือขอรับจึงได้ถามแบบนั้น

 

ฮ่า...ฮ่า....ฮ่า.... ข้าพเจ้าไม่มีบาปกรรมดอกขอรับ และสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นก็ไม่ใช่ภาพหลอนขอรับ ของจริง เรื่องจริงขอรับ หรือว่าถ้าคุณอยากจะพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่จริง ถ้าคุณมีบุญ คุณอาจจะได้เห็น เทวดา ตัวจริง เสียงจริงก็ได้นะขอรับ

 

คุณขอรับ คุณอยากจะก้าวหน้าในธรรม คุณต้องรู้จัก ฟัง อ่าน ปฏิบัติ คิด พิจารณา อย่ามองข้ามในสิ่งที่เห็นว่าเล็กน้อย เพราะสิ่งเพียงเล็กน้อยก็สามารถเป็นตัวขัดขวางความก้าวหน้าในทางธรรมได้ ต้องรู้จักพิจารณา พินิจ วิเคราะห์ ในกระทู้ทุกอัน ที่มีอยู่ในเวบฯ แล้วก็รู้จักเลือกสรร ที่ตัวคุณคิดว่ามีสาระ หรือเลือกสรรสิ่งที่เป็นความรู้ ถ้าคุณคิดว่า "พรพระ พระเทพเจ้า"ไม่มีสาระ ไม่ใช่ความรู้ ที่คุณควรจะสนใจ คุณก็ไม่ต้องแสดงความคิดเห็นดอกขอรับ เพราะผู้ดูแลเขาจะวิเคราะห็ ไม่มีสาระ เขาก็จะย้ายหรือลบ ของเขาอยู่แล้ว
ขอให้เจริญในธรรมนะขอรับ

 

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ telwada อ่านข้อความ
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ telwada อ่านข้อความ
คุณขอรับ คุณคิดว่าคุณรู้จักสวรรค์ชั้นดุสิต หรือขอรับ มันอยู่ที่ไหนขอรับ
ข้าพเจ้าคือ ศรีอาริยเมตไตรย ของแท้ ตัวจริง เสียงจริง แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่า พระศรีอาริย์ อยุ่ที่ไหน รู้ได้อย่างไรขอรับ
สวรรค์ มีจริง หรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ชัด ถ้าในทางพุทธศาสนากล่าวถึงสวรรค์ไว้ สิบหก ชั้นและมีจริง ข้าพเจ้าก็เพียงเคยไป เคยเห็น เพียง ๔ (สี่)แห่งเท่านั้น และสวรรค์ที่ปรากฎชื่อในทางพุทธศาสนานั้น แท้จริง ก็คือ ดวงดาวต่างๆนั่นเอง เท่าที่ข้าพเจ้าเคยไปเคยเห็น คำว่าเคยเห็นหมายถึง เห็นเทวดาทั้งหลายเหล่านั้น ณ.ดวงดาว ดังต่อไปนี้
๑.ขอบท้องฟ้า(จะเรียกว่า ขอบจักรวาลก็ได้)
๒. ดวงจันทร์
๓.ดาวพุทธ
๔.ดวงอาทิตย์

ประการที่สำคัญ "ศาสนาศรีอาริย์" จะเป็นศาสนาสุดท้าย สำหรับ จักรวาลทั้งหลาย มิใช่เพียงแต่โลกมนุษย์ จงทำความเข้าใจเอาไว้ด้วยขอรับ

แล้วเอามาเผยแพร่อีกทำไมหรือขอรับ เอามาลงผิดกระทู้ละซิ เจ้าไม่เคยตาย ไม่เคยไป แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่า ตายแล้วจะได้ไปสวรรค์ ขนาดข้าพเจ้ายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
ส่วนที่ข้าพเจ้าไปหา เทพเจ้าที่มี งูอยู่ที่คอ มีเสือลายพาดกลอนอยู่ด้วย มีตา ตรงกลางหน้าผาก ไม่มีคิ้ว แต่มีขนตาที่ตากลางหน้าผากด้วย ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน อาจจะเป็นดวงอาทิตย์ หรือ ดวงจันทร์ หรืออาจจะเป็น ขอบจักรวาล หรืออาจจะเป็นบนโลกมนุษย์นี้แหละ ทีไหนสักแห่ง เพราะสิ่งปลูกสร้างที่ข้าพเจ้าเห็น เป็นคล้ายปลูกสร้างด้วยอิฐ หรือดิน ไม่มีหลังคา เป็นทรงสี่เหลี่ยมก็มี ทรงอื่นๆก็มีแต่มองไม่ทัน เพราะภาพนั้นเลือนลางหายไปเสียก่อน

ใช้ขอรับ "กบในกะลาจริงๆ ขอรับ"

 

มาถึง ณ.เวลานี้ ข้าพเจ้าสามารถรู้ได้แล้วว่า สถานที่ที่ข้าพเจ้าได้เห็นนั้น ก็คือบนโลกมนุษย์ของเรานี้แหละ เพราะเมื่อ วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน เวลาประมาณ เที่ยงวัน ข้าพเจ้าได้ดูโทรทัศน์ ช่อง ๓ เขาได้นำภาพที่มีผู้ถ่ายภาพไว้มาเผยแพร๋ เป็นภาพจากประเทศ ฟิลิบปินน์ เผอิญ ผู้ถ่ายภาพ ถ่ายตรงบริเวณที่ข้าพเจ้าได้เห็นทางด้านหลังของ องค์เทพเจ้า ข้าพเจ้า จำภูเขาสองลูกที่อยู่บริเวณถัดจากสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำ ลักษณะภูมิประเทศที่ผู้ถ่ายภาพยืนอยู่ เหมือนกับที่ข้าพเจ้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเทพเจ้า และได้เห็น เรื่องจริงขอรับ ขอรับรองด้วยเกียรติ เลยขอรับ

 

ชอบพร ก็จัดให้

"การงุนงงสงสัยตามเสาะแสวงหาในสิ่งที่ไม่ใช่แก่นสาร"
"ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ก็ว่าเสียเวลามากแล้ว"
"แต่การยึดมั่นกับสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นจะดึงเราให้อยู่กับที่ตลอดไป"
"บุคคลผู้แสวงหาทางแห่งความพ้นทุกข์"
"ผู้เร่งทำความเพียรเพื่อออกจากความหลง"
"ย่อมมีนิพพานเป็นเบื้องหน้า..."
"ขอท่านผู้โมทนาได้พบทางเหล่านั้นเถิด"

 

"หากเกิดความงุนงงสงสัย ต้องตามเสาะแสวงหาให้หายสงสัย สิ่งใดที่เราคิดว่าไม่เป็นแก่นสาร เราอาจจะไม่รู้จักความเป็นแก่นสารของมันก็ได้ มันอยู่ที่สมอง สติปัญญา"
"สิ่งใดเล่าที่ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ สิ่งใดเล่าที่เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ อาหารทำให้ท่านทั้งหลายพ้นทุกข์ หรือไม่ น้ำ อากาศ ไฟ ทำให้พวกท่านพ้นทุกข์หรือไม่ มันอยู่ที่สมองสติปัญญา จะคิดพิจารณาใตร่ตรอง ตามหลักความเป็นจริง ไม่หลงงมงาย โดยไม่ได้ใช้สมองสติปัญญาคิดพิจารณา"
"บุคคลใด ไม่มีการปรุงแต่งของจิต บุคคลนั้น ไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมใดใดได้เลย เพราะการปรุงแต่งของจิตจะทำให้เราเจริญก้าวหน้า มีปัญญาเพิ่มพูนยิ่งๆขึ้นไป"
"การแสวงหาทางแห่งความพ้นทุกข์ แม้จะเร่งทำความเพียรสักปานใด หากไม่มีความรู้ ไม่มีจิตใจที่มองเห็นตามธรรม มองเห็นตามหลักความเป็นจริง ก็ยากที่จะบรรลุธรรมใดใด แค่ มรรคผล หรือ โสดาบัน ก็ไม่มีทางบรรลุถึง"
อ่านแล้วใช้สมองคิดพิจารณาเถิดขอรับ