พรรณนาปฐมกำเนิดพระพุทธเจ้าโคตมะ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย thanan, 7 มีนาคม 2005.

  1. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,666
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,210
    <u>ข้อมูลจากหนังสือ ปฐมกัป (หนังสือผูกจารด้วยอักษรธรรม)
    ปริวรรตเป็นตัวไทยโดยอาจารย์น้อย ผิวผัน</u>


    ต่อไปนี้จะพรรณนาปฐมกำเนิดแห่งพระพุทธเจ้าโคตมะคือพระพุทธเจ้าที่พวกเรานับถืออยู่ทุกวันนี้นับแต่พระองค์เสวยพระชาติมาแต่ครั้งปฐมกัปป์ก่อนๆ นั้น ในคัมภีร์ปฐมกัปป์กล่าวว่า ครั้งหนึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าทรงเทศนาให้พระอานนท์ฟังว่า

    ดูก่อนอานนท์เมื่อตถาคตยังเสวยชาติเป็นสัตว์เดียรัจฉานอยู่ ครั้งปฐมกัปป์ก่อนๆ นั้น ตถาคตได้เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานเล็กๆ น้อยๆ มาก่อน ต่อมาภายหลังหลายร้อยหลายพันชาติ จึงได้เกิดเป็นสัตว์เล็กๆ น้อยๆ อยู่นั้น เป็นเวลาได้ถึง ๓ กัป ต่อแต่นั้นมาตถาคตจึงได้เกิดเป็นสัตว์ใหญ่ขึ้นมาอีก คือได้เกิดเป็นแลงย่างชิ้นใหญ่(อยู่)ต้นไม้ปาแป้งแห่งหนึ่ง ครั้นตายจากแมลงย่างชิ้นแล้วได้ไปเกิดเป็นสัตว์อื่นๆ อีกแทบทุกชนิด เป็นเวลานานได้ ๑ กัปป์ ตถาคตจึงไปเกิดเป็นช้างพลายตัวหนึ่งช้างตัวนั้นตกมันดุร้ายยิ่งนัก มันจึงเอามือไปผลักต้นไม้ตายยืนต้นหนึ่งให้ล้มลง ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณวัดพระพุทธเจ้าสมมุตินั้น ครั้นแล้วพระภิกษุทั้งหลายซึ่งเป็นบริวารแห่งพระพุทธเจ้าสมมุติจึงพากันไปเอากิ่งไม้ต้นนั้นมาทำฟืน ต้มเปลือกไม้และฝางย้อมผ้าแห่งตน ครั้งนั้นพระภิกษุทั้งหลาย จึงพากันอวยพรให้แก่ช้างตัวนั้นว่าผลที่ช้างตัวนั้นได้ผลักให้ไม้ต้นนี้ล้มลงเพื่อให้พวกเราทั้งหลาย ได้ฟืนมาต้มฝางและเปลือกไม้ย้อมผ้านี้ ขอให้กุศลส่วนนี้ไปปกปักษ์รักษาช้างตัวนั้น ถ้าตายจากช้างชาตินี้แล้ว ขอให้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วได้มาอยู่กับพวกเราทั้งหลายด้วยเถิดตั้งต้นแต่นั้นมาไม่นานเท่าใดช้างตัวนั้นก็ตายไป ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลผู้เป็นโยมอุปฐากแห่งพระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ครั้นชายคนนั้นเจริญวัยใหญ่ขึ้นมาแล้ว จึงไปเป็นผู้อุปฐาก รับใช้สอยแห่งพระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นต่อๆ มาจนตลอดอายุ

    ดูก่อนอานนท์ เมื่อพระพุทธเจ้าสมมุตินิพพานไป พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ ก็เกิดขึ้นมา (พระนามไม่ปรากฏ) มีพระภิกษุ ๑ แสน สามเณร ๑ แสน เป็นบริวารแห่งพระพุทธเจ้าองค์นั้น ต่อแต่นั้นมา คนทั้งหลายจึงรู้จักการทำบุญให้ทานรักษาศีล ฟังธรรม ส่วนพระองค์ก็มีเมตตากรุณาโปรดให้คนทั้งหลาย ได้ถึงซึ่งความสุข เช่น เป็นพ่อค้า เศรษฐี พระยาจักร เทวบุตร เทวดา พระอินทร์ พระพรหม เป็นต้น พระองค์ก็แผ่พระบารมีไปให้ทั่วถึงกัน ในครั้งนั้นก็เกิดมีเครื่องสรรพวัตถุอันประเสริฐขึ้นมา ครบทุกสิ่งทุกย่าง เช่น เขาพระสุเมรุ เขาสัตตะบัวระพัน ๗ ชั้น ตลอดถึงป่าหิมพานต์ เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีชั้นฟ้าเทวดาอีก ๖ ชั้น ชั้นพรหมอีก ๑๖ ชั้น พร้อมทั้งทวีปใหญ่ทั้ง ๔ ทวีป น้อย ๒ พัน และนรกน้อยใหญ่ทั้งหลายรวม ๔๕๖ ขุม ก็เกิดมีขึ้นในครั้งนั้น ส่วนพื้นแผ่นดินที่พวกเราอาศัยอยู่นี้นั้นได้เกิดมีขึ้นมาก่อนแล้ว แต่คนทั้งหลายในกาลครั้งนั้นยังไม่มีมาก เขาจักรวาฬ พระจันทร์ พระอาทิตย์เหล่านี้เพิ่งเกิดขึ้นมาทีหลัง พร้อมกันกับผู้หญิงที่ปรารถนาเป็นมารดาของพระพุทธเจ้านั้น แต่พระจันทร์เทวบุตร พระสุริยเทวบุตรยังไม่มี ต่อเมื่อพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ เกิดขึ้นมาแล้วพระจันทร์เทวบุตรและพระสุริยเทวบุตรจึงได้เกิดขึ้นมาแล ส่วนฝูงคนทั้งหลายที่ได้ทำบุญไว้ในครั้งนั้น ครั้นตายแล้วก็ได้เกิดเป็นเทวบุตร และพระยาจักรน้อยใหญ่ทั้งหลายหรือได้ไปเกิดตามลำดับที่ตนได้ทำกุศลไว้ ถ้าผู้ใดได้กระทำกุศลไว้น้อย เมื่อตายแล้ว ก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นต่ำ ถ้าผู้ใดได้กระทำกุศลไว้มาก เมื่อตายแล้ว ก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นสูง ตามลำดับที่ตนได้กระทำกุศลไว้ ถ้าผู้ใดทำบาปน้อยตายแล้วก็ได้ไปตกนรกขุมน้อย ถ้าผู้ใดทำบาปมากตายแล้วก็ได้ไปตกนรกขุมใหญ่ ดังนั้น พระอริยเจ้าทั้งหลายที่ได้สำเร็จพระอรหัตตผลแล้ว แลเห็นสัตว์ทั้งหลายที่ตกทุกข์ได้ยาก ก็คิดเบื่อหน่ายในวัฏฏสงสาร จึงพากันปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อจะได้โปรดสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ไปถึงสุข ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้าไม่มีแล้ว คนทั้งหลายบางจำพวกก็จะเป็นแต่เพียงรูปคนเท่านั้น ส่วนหัวใจนั้นคงเป็นสัตว์เดียรัจฉาน มีแต่จะขับเคี่ยวแย่งชิงกันกินเป็นนิตย์ คนและเทวดา พระอินทร์ พระพรหมผู้มั่งมีก็จะไม่มีเลย พระพุทธเจ้านั้นมิได้เกลียดชังใครเลย มีแต่เมตตากรุณาแก่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย พระองค์อยากให้พ้นจากทุกข์ไปถึงสุขทุกคน พระพุทธเจ้ามิได้ตกแต่งบาปไว้ให้แก่คนทั้งหลาย พระพุทธเจ้าตกแต่งแต่บุญไว้ให้แก่คนและสัตว์ทั้งหลาย คือให้ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม เท่านั้น มีแต่คนทั้งหลายพากันทำบาปเอาเอง

    ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดประมาทผู้เฒ่าผู้แก่ผู้มีบุญสมภาร ก็เป็นบาปอันหนึ่ง ผู้ไม่มีศีล ไม่ได้รักษาศีล ประมาทผู้มีศีลผู้รักษาศีลก็เป็นบาปอันหนึ่ง ผู้มีอายุน้อยประมาทผู้มีอายุมากกว่าตน ก็เป็นบาปอันหนึ่ง ผู้มีสิ่งของประมาทผู้ไม่มีสิ่งก็เป็นบาปอันหนึ่ง ผู้ผิดว่าไม่ผิด ผู้ไม่ผิดว่าผิดนี้ก็เป็นบาปอันหนึ่ง ผู้มีคุณว่าไม่มีคุณก็เป็นบาปอันหนึ่ง ผู้เห็นว่าไม่เห็นผู้ไม่เห็นว่าเห็นก็เป็นบาปอีกอันหนึ่ง คนทั้งหลายเขาว่าผู้นั้นเป็นคนบาปหนาสาโหดยิ่งนัก ผู้ใดให้ทานข้าวของแก่มันผู้นั้นยิ่งบาปมาก ถ้าให้ทานแก่ผู้มีศีลก็ยิ่งได้บุญมาก ผู้ใดมีความยินดีในพระพุทธศาสนา และรักษาศีลฟังธรรมมานานแล้ว ภายหลังกล่าวว่ากุศลที่เราได้กระทำมาแล้วนั้น เราจักยกให้แก่ท่านเสียดังนี้ ผู้นั้นก็รับเอายังกุศลอันนั้น ส่วนกุศลของผู้ยกให้นั้นก็มิได้ไปหาท่านผู้รับเอานั้นเลย กุศลของผู้ให้นั้นยังอยู่อย่างเดิม มิหนำยังได้กุศลมาเพิ่มอีก ๒ ส่วนด้วย เพราะตนได้แบ่งบุญให้แก่ท่านหลายครั้ง ก็ได้หลายส่วนมาเพิ่มเพราะนายนิริยบาล พระยายมภิบาล และท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ หากจดเขียนไว้ในลานคำ นำเอาขึ้นไปถวายพระอินทร์ไว้มิให้ลบล้างเลย ผิว่าผู้ใดไม่มีความยินดีในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ยินดีแต่ในการกระทำบาปกรรมอยู่ไม่ขาด จัดว่าผู้นั้นมีบาปกรรมหนัก จะให้ทานสิ่งใดก็หมดไปสิ่งนั้นแล ส่วนตถาคตนี้ให้ทานไปเท่าใดก็ยังอยู่เท่านั้น เพราะได้กระทำกุศลไว้แต่ชาติก่อนๆ เป็นอเนกอนันต์ ดังนั้นจึงให้ทานไปเท่าไรก็ไม่รู้จักหมด และตถาคตนี้ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอยู่นั้นเป็นเวลานานนัก ถ้าจะนับคืนไปทางหลังตั้งแต่เป็นสัตว์เดียรัจฉานมาแล้วนั้น ก็จะคณานับมิได้เลย ตถาคตเป็นมนุษย์ผู้วิเศษกว่ามนุษย์ทั้งหลาย คือ ในต้นปฐมกัปป์ก่อนๆ มานั้น ตถาคตบวชเป็นสามเณรแล้วสึกเสียก็ได้แสนชาติ เป็นพระภิกษุก็ได้แสนชาติ บวชเป็นพระภิกษุแล้วสึกเสียก็ได้ ๕๐๐ ชาติ บวชเป็นพระภิกษุแล้วตายเสียกลางคันก็ได้ ๕๐๐ ชาติ บวชเป็นภิกษุตลอดอายุก็ได้แสนชาติ เป็นอาจารย์ก็ได้แสนชาติ เป็นเทวดาอยู่พื้นดินก็ได้แสนชาติ เป็นเทวดาอยู่ชั้นฟ้าทั้ง ๖ ก็ได้แสนชาติ เป็นพระพรหมทั้ง ๔ ชั้นชั้นละแสนชาติ เป็นเศรษฐีน้อยก็ได้แสนชาติ เป็นกระฎุมพีและพ่อค้าก็ได้แสนชาติ แต่ละชาติตถาคตก็ได้ทำบุญให้ทานต่อมาทุกๆ ชาติ และตถาคตก็ได้เคยตกนรกมาแล้ว ๒-๓ ครั้ง แต่ว่าไม่ได้ตกอเวจีมหานรกเพราะว่าตถาคตไม่ได้ทำกรรมหนัก นับแต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเกิดขึ้นมาได้ ๑๒ องค์ ตถาคตก็เกิดมาร่วมพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าทั้งหลายในครั้งนั้น และตถาคตก็ได้ให้ทานรักษาศีล ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายสืบๆ มา ตราบต่อเท่าตถาคตได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อๆ มาเท่ากาลบัดนี้

    ดูก่อนอานนท์ ตถาคตตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอยู่ในพื้นชมพูทวีปนี้ นับเป็นเวลาหลายครั้งหลายคราวนัก ไม่สามารถที่บุคคลธรรมดาจะนับจะคณาได้ นอกจากพระอรหันต์เท่านั้นจึงจะนับได้ ถ้าจะประมวลทั้งตายเก่าตายใหม่อันมีอยู่ในชมพูทวีป กว้างได้หมื่นโยชน์นี้ก็จะหาที่ว่างมิได้เลย ถ้าจะคณารวมกันก็เปรียบประดุจเหยียดนิ้วมือเรียงกันขึ้นได้ ๖ ชั้น แม้จะเอาเข็มจี้ลงที่ไหนก็ถูกแต่ที่ตายของพระองค์ทั้งนั้น ถ้ายังไม่เข้าสู่นิพพานเสียตราบใด ความทุกข์ก็ยังมีอยู่ตราบนั้น เป็นเวลาได้ ๗ อสงไขยกัปป์ ต่อแต่นั้นมาตถาคตจึงได้ออกปากปรารถนาว่า ขอให้พระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้าด้วยเถิด นับแต่ปรารถนาอยู่นั้นนานได้ ๑๐ อสงไขยกัปป์ ต่อแต่นั้นมาพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง จึงได้ทรงตรัสพยากรณ์ให้แก่ตถาคตว่า ต่อไปข้างหน้าท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ชื่อว่าโคตมะโดยแท้ ต่อแต่นั้นมาอีกพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ได้ทรงพยากรณ์เรื่อยๆ มาทุกๆ พระองค์ว่า ตถาคตจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในกาลข้างหน้าโดยแท้ ต่อแต่นั้นมาได้นาน ๔ อสงไขยกัปป์ ตั้งต้นแต่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนทรงพยากรณ์ว่า ตถาคตจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งนั้น พื้นตีนของตถาคตก็เกิดเป็นรูปลายกงจักร และเป็นรูปขาเขียะ เป็นเครื่องหมายได้ว่า สัตว์ตัวใดมีตีนเป็นลายกงจักร จึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ตถาคตไม่ได้เคยพูดปดแก่ใครเลย ส่วนอำพรางนั้นบางชาติก็ยังมีอยู่บ้าง และปาณาติบาตนั้นบางชาติก็ยังมีอยู่เหมือนกัน แต่ได้กระทำเป็นอันเล็กน้อย ตถาคตอุตสาหะกระทำความเพียร สร้างโพธิสมภารทานบารมีมาเป็นเวลานานได้ ๔ อสงไขย ปลายแสนมหากัปป์ตราบต่อเท่าถึงพระยาเวสสันดรเจ้า ครั้นตายแล้วก็ได้ไปบังเกิดในชั้นดุสิตสวรรค์ ชื่อว่าสันตะดุสิตเทวบุตร มีปราสาทสูงได้ ๔ พันโยชน์ มีอายุได้ ๔ พันปีทิพย์ ครั้นสิ้นอายุจากชั้นดุสิตแล้ว ก็ได้มาบังเกิดเป็นโอรสของท้าวศิริสุทโธมหาราช มารดาชื่อว่าพระนางศิริมหามายาเทวี ครั้นตถาคตใหญ่ขึ้นมาจนอายุได้ ๒๙ ปี ก็ได้บวชเป็นพระภิกษุองค์หนึ่ง ชื่อว่ามหาสมมุติโคตบวชอยู่ได้ ๖ พรรษา ตถาคตจึงได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเท่ากาลบัดนี้ ครั้นอายุตถาคตได้ ๘๐ ปีเมื่อใด ก็จักปรินิพพานเมื่อนั้น ความทุกข์อันเกิดจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็จักไม่มีต่อไปอีกแล้วฯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...