พระของขวัญ วัดป่าหัวตลุก ล็อตสุดท้ายหมดแล้วหมดเลย! ดูหน้า 13

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย waritj, 2 เมษายน 2012.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    องค์พระพุทธ ตั้งเด่น เป็นสง่า
    สูงเสียดฟ้า งามเลิศ ประเสริฐศรี
    เปรียบองค์แทน สรีระ พระมุนี
    ไว้เป็นที่ สักการะ พระรัตนตรัย

    นั่งประนม อัญชลี ที่พระธาตุ
    อภิวาท ก้มลงกราบ พระองค์ใหญ่
    เดินทางมา เพื่อบูชา พระรัตนตรัย
    แสนผ่องใส ใจศรัทธา มากกว่าเดิม

    หลวงปู่ลี ตาณํกโร วัดป่าหัวตลุก
    ประพันธ์ไว้หลังจากเดินทางจาริกบุญในอินเดีย<O:p</O:p




    [​IMG]



    [​IMG]

    ครั้งนี้เป็นงานบุญล้วน ๆ เลยครับ รายได้ทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ เลย จะนำไปถวายหลวงปู่ลีเพื่อสร้างอุโบสถครับเพื่อให้สมาชิกได้รับความสะดวกเพิ่มขึ้น ผมได้แจ้งหัวหน้าคณะสาธุบัวแก้วว่า จะขอเป็นผู้ประสานงานการจองวัตถุมงคลครั้งนี้ ซึ่งได้รับอนุญาตแล้วครับ

    ดังนั้น สมาชิกท่านใดสนใจ สามารถแจ้งจองในกระทู้ และโอนเงินมาที่
    ธ.ไทยพาณิชย์ 0324252779 นายวริศ จริเกษม
    โดยบวกค่าจัดส่ง 50 บาทนะครับ


    อัพเดทล่าสุด
    ดูภาพพิธีพุทธาภิเษก หน้า 11
    - ร่วมบุญ 300 บาท รับพระผง 1 องค์ เป็นที่ระลึก
    - ร่วมบุญ 1,000 บาท รับเหรียญพิมพ์โต๊ะหมู่ 3 เหรียญ (เนื้อทองเหลือง ทองแดง อัลปาก้า) เป็นที่ระลึก
    - เหรียญเงินลงยา (หมดแล้ว)
    - ร่วมบุญ 199 บาท รับเหรียญทองแดงรมดำ 1 เหรียญเป็นที่ระลึก


    ประกาศ
    การจัดส่งงวดแรก ภายในวันที่ 15 เดือนพฤษภาคม นี้ สำหรับผู้ที่จองและโอนเงินภายในวันที่ 27 เมษายนเวลา 16.30 น.ครับ

    หากจองและโอนเงินหลังจากวันเวลาดังกล่าว จะจัดส่งงวดหน้า ซึ่งจะแจ้งให้ทราบต่อไปครับ

    สรุปยอดจองและการชำระเงิน

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2475.jpg
      IMG_2475.jpg
      ขนาดไฟล์:
      148.2 KB
      เปิดดู:
      322
    • IMG_2474+.jpg
      IMG_2474+.jpg
      ขนาดไฟล์:
      145.7 KB
      เปิดดู:
      439
    • summary190455.jpg
      summary190455.jpg
      ขนาดไฟล์:
      318 KB
      เปิดดู:
      177
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มิถุนายน 2014
  2. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    ส่วนหนึ่งของเหตุการณ์มหัศจรรย์จากการพบเห็นของศิษยานุศิษย์

    เรื่องของนายดาว<O:p

    เรื่องที่ 1
    <O:pนายดาว เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่ ได้นำรถอีต๊อกมาช่วยขนดินพัฒนาสำนักสงฆ์ป่าหัวตลุก เมื่อขนดินขึ้นรถได้พอสมควร หลวงปู่ก็ได้บอกแก่นายดาวว่า “พอแล้ว” นายดาวได้ตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไรครับหลวงปู่ รถผมเคยบรรทุกมากกว่านี้ยังไม่เป็นไรเลย” <O:pแต่เมื่อนายดาวขับรถออกมาได้หน่อยเดียว เหล็กสาลีรถอีต็อกก็เกิดขาดกลาง ทำให้นายดาวแปลกใจมาก เพราะเหล็กสาลี่นั้นมีขนาดใหญ่มาก ไม่น่าขาดได้


    เรื่องที่ 2<O:p</O:p
    หลวงปู่ลีได้ให้นายดาวเดินสายไฟและติดหลอดไฟ 4-5 จุดบนกุฏิไม้หลังหนึ่งเพิ่มเติม (ปัจจุบันได้รื้อถอนไปแล้วเนื่องจากปลวกกินจนผุ) ซึ่งมีการเดินสายไฟไว้แต่เดิมบ้างแล้ว นายดาวเดินไปถอดสายไฟที่เชื่อมกับสายไฟแรงต่ำเพื่อตัดไฟเข้าตัวกุฏิ แล้วนายดาวก็เดินสายไฟพร้อมกับต่อหลอดไฟ ในขณะที่ต่อสายไฟเข้ากับหลอดไฟนั้น นายดาวถอดปลอกฉนวนที่สายไฟออก แล้วใช้มือเปล่าจับบิดเกลียว พันด้วยเทปกาวพันสายไฟ ทำอย่างนี้ทุกจุดที่ต่อเข้ากับหลอดไฟจนเสร็จ ขณะที่เดินสายไฟนั้นหลวงปู่จะยืนดูใกล้ๆตลอดเวลา เมื่อเสร็จหลวงปู่บอกให้ไปลองตรวจดูว่าไฟฟ้าติดหรือยัง นายดาวจึงออกไปเพื่อจะไปต่อไฟ แต่พอมองกลับมาที่กุฏิกลับพบว่าไฟฟ้าติดทุกหลอด โดยที่นายดาวยังไม่ได้ต่อไฟ นายดาวแปลกใจและตกใจ เพราะนั่นเท่ากับว่าตัวเองต่อไฟด้วยมือเปล่าโดยที่มีไฟอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย นี่เป็นเพราะบารมีของหลวงปู่แท้ๆ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เรื่องที่ 3<O:p></O:p>
    นายดาวและนายจิ๊ ได้ทำการต่อสายไฟจากเสาไฟฟ้ามายังกุฏิโดยติดแล็คที่เสากุกิอย่างแน่นหนา พอเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่จึงถามว่า “แน่นไหม” นายดาวและนายจิ๊ตอบหลวงปู่ว่า “เอาช้างมาฉุดก็ไม่หลุดครับ”<O:p></O:p>
    หลวงปู่จึงเดินไปจับสายไฟแล้วลองดึงดู แล็คที่ติดยึดเอาไว้กลับหลุดลงมา จากนั้นหลวงปู่ก็หันมาบอกนายดาวและนายจิ๊ว่า “อย่าคุย”<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>


    อย่าประมาทครูบาอาจารย์ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>

    มีชายคนหนึ่งมาทำบุญที่สำนักสงฆ์ป่าหัวตลุกโดยมากับเพื่อนที่เคยมาทำบุญที่นี่ พอทำบุญเสร็จก็กลับบ้านไป และได้กล่าวถึงหลวงปู่ว่า หลุกหลิกเหมือนลิง หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี ชายคนเดิมได้กลับมาทำบุญที่สำนักสงฆ์และได้เข้าไปกราบหลวงปู่ ขณะที่ก้มลงกราบ หลวงปู่ได้กล่าวยิ้มๆกับชายคนนั้นว่า “ลูกลิงกราบพ่อลิงซะ” ชายคนนั้นถึงกับตกตะลึงที่หลวงปู่ล่วงรู้ว่าได้เคยพูดถึงหลวงปู่ไว้อย่างไร จึงรีบกราบขมาหลวงปู่ทันที<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    หลวงปู่ช่วยลูกศิษย์<O:p></O:p>

    เรื่องที่ 1<O:p></O:p>
    นายณรงค์ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของหลวงปู่เล่าว่า ได้ช่วยหลวงปู่ซ่อมฐานพญานาค ขณะที่กำลังทำงานอยู่หลวงปู่ได้บอกกับนายณงรค์ว่าให้ไปเอาเชือกมาผูกพญานาคเอาไว้ พอนายณงรค์เดินพ้นไปจากจุดที่ทำงาน พญนาคก็ล้มลงตรงนั้นพอดี คำสั่งของหลวงปู่ทำให้นายณรงค์แคล้วคลาดไปได้อย่างหวุดหวิด<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เรื่องที่ 2<O:p></O:p>
    นายณรงค์เล่าว่านายจิ๊ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่ ได้ช่วยหลวงปู่ทุบผนังกั้นห้องภายในกุฏิต้อนรับอาคันตุกะ ขณที่กำลังทุบผนังอยู่นั้น หลวงปู่ก็ได้เรียกนายจิ๊ให้ออกมาให้พ้นจากผนังที่กำลังทุบ พอนายจิ๊เดินพ้นตรงนั้น ผนังที่เหลืออยู่ด้านบนก็ร่วงลงมาพอดี<O:p></O:p>



    ปาฏิหาริย์พระสมเด็จรุ่นแรก<O:p></O:p>

    ป้าคนหนึ่งมาที่สำนักสงฆ์ป่าหัวตลุกและเล่าเหตุการณ์ให้ลูกศิษย์หลวงปู่ฟังว่า ป้าขี่รถจักรยานยนต์กลับจากตลาดลาดยาวเพื่อจะกลับบ้านทางทุ่งแม่น้ำตามถนนสายลาดยาว-เขาชนกัน เมื่อถึงทางแยกเข้าบ้าน ป้าก็เลี้ยวรถตัดหน้ารถจักรยานยนต์ที่วัยรุ่นขับขี่มาด้วยความเร็วสูง จึงถูกชนอย่างแรงจนรถกระเด็นไปไกล ป้าได้เล่าต่อว่า ป้าตกใจมากลุกขึ้นยืนและสังเกตตัวเอง แต่ไม่เป็นอะไรเลย มีเพียงเคล็ดขัดยอกบ้าง ป้าเดินไปยกรถขึ้นมาแล้วขี่ต่อไปได้ ส่วนวัยรุ่นคนนั้นสลบไป แล้วป้าก็หยิบสร้อยที่คล้องคอออกมาให้ลูกศิษย์หลวงปู่ดู แล้วบอกว่าป้าคล้องสมเด็จหลวงปู่ลีรุ่นแรกที่ป้านับถือมากองค์เดียวเท่านั้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    ฟ้าผ่าไม่ตาย<O:p></O:p>

    นายณรงค์เล่าว่ามีสองสามีภรรยามาเล่าให้ฟังว่าวันหนึ่งทั้งสองคนขี่รถจักรยานนต์กลับมาจากไปทำธุระขณะที่ผนกำลังตกพอดี เมื่อขี่มาถึงตรงโดนโม่ เกิดฟ้าผ่าลงมาพอดี ภรรยาของเขาได้นำถุงพลาสติกมาสวมหัวเอาไว้ และถูกสะเก็ดไฟกระเด็นมาโดนถุงจนเป็นรูพรุนเหมือนโดนสะเก็ดไฟจากเครื่องอ๊อกเหล็ก ทั้งสองสามีภรรยารู้สึกหน้ามืด หูอื้อ จนขี่รถส่ายไปมา จึงหยุดรถกลางถนน รถบัสที่ตามหลังมาจึงจอดและมีคนลงไปดู ปรากฏว่าทั้งสองสามีภรรยาไม่ได้เป็นอะไรเลย โดยสามีได้บอกว่าตนเองคล้องเหรียญรุ่นเจริญสุขของหลวงปู่ลี ตาณํกโร<O:p></O:p>


    ใครชวนใคร<O:p></O:p>

    วันหนึ่งลูกศิษย์ของหลวงปู่ทราบข่าวว่าหลวงปู่เดินทางไปวัดม่วงจังหวัดอ่างทองและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บรรดาลูกศิษย์ได้นั่งพูดคุยกันและตอนหนึ่งนายเทวาได้พูดขึ้นว่า “อยากรู้หนอว่าใครชวนใคร หลวงปู่ชวนหรือว่าผู้จัดการไวไวนิมนต์หลวงปู่” หลังจากที่พูดแล้วก็ชวนกันไปวัดเพื่อรอกราบหลวงปู่ เวลาประมาณ 20.00 น.หลวงปู่ก็มาถึงกุฏิและไปนั่งที่เก้าอี้ ลูกศิษย์ตามเข้าไปกราบหลวงปู่ ยังไม่ทันกราบเสร็จ หลวงปู่ก็ได้พูดขึ้นมาพร้อมทั้งชี้ไปที่ผู้จัดการไวไวว่า “โยมเขานิมนต์หลวงปู่ไปน่ะ” ลูกศิษย์ที่พากันไปกราบหลวงปู่ต่างหันมามองหน้ากัน และรู้สึกขนลุกซู่<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    หลวงปู่เมตตาสารวัตรณรงค์<O:p></O:p>

    สารวัตรณรงค์ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของหลวงปู่เล่าว่าเมื่อตอนที่เข้าไปเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ใหม่ๆ ได้นำวัตถุมงคลที่ได้รับจากที่ต่างๆรวมใส่กล่อง เมื่อมีโอกาสจึงนำไปขอบารมีหลวงปู่เพื่ออธิษฐานจิตให้ หลวงปู่เอามือแตะที่กล่องแล้วว่าบอกว่าเสร็จแล้ว สารวัตรณรงค์คิดในใจว่าวัตถุมงคลจะได้รับพลังจากหลวงปู่ครบทุกองค์หรือไม่หนอ เกิดความลังเลใจ <O:p></O:p>
    พอตกกลางคืนสารวัตรก็ฝันเห็นหลวงปู่มานั่งตรงหัวเตียง แล้วบอกให้สารวัตรนำกล่องวัตถุมงคลกล่องนั้นมา สารวัตรจึงนำกล่องวัตถุมงคลมาถวาย หลวงปู่รับกล่องมาวางที่ตักแล้วเป่าให้ “เพี้ยง!” สารวัตรรู้สึกดีใจมาก จนตกใจตื่นขึ้นมาจึงได้รู้ว่าฝันไป สารวัตรบอกว่าตั้งแต่นั้นมาก็หายสงสัยลังเลใจทั้งสิ้นทั้งปวง<O:p></O:p>



    ก่อนที่หลวงปู่จะพูด หลวงปู่คิดทุกคำ<O:p></O:p>

    นายณรงค์เล่าว่าเมื่อตอนสร้างศาลาใหม่ๆวันนั้นเป็นวันตั้งแบบเทเสาศาลา หลวงปู่ถามว่า<O:p></O:p>
    “ได้บอกเจ้าที่เจ้าทางหรือยัง” ลูกศิษย์ได้ตอบหลวงปู่ว่า “มาทุกวันคุ้นกันดีครับ” <O:p></O:p>
    หลังจากนั้นไม่นานขณะที่กำลังทำงานอยู่ นายณรงค์ดึงเชือกที่ผูกตัวรัดแบบเสาเพื่อให้เสาตั้งตรง แล้วตัวรัดเบบเสาหลุดกระเด็นมาถูกที่เบ้าตาพอดี นายดาวเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะ ไม่ทันขาดคำตัวรัดแบบเสาก็กระเด็นมาโดนศีรษะของนายดาว ทำให้ศีรษะโน นายไทลูกศิษย์อีกคนหนึ่งได้บอกว่า “รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง” จากนั้นไม่เท่าไหร่ นายไทก็เดินเตะตะปูได้รับบาดเจ็บไปอีกคน เป็นการสั่งสอนให้รู้จักระมัดระวังคำพูดก่อนพูดของหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ได้เคยสอนเสมอว่าก่อนที่หลวงปู่จะพูด หลวงปู่ก็คิดทุกคำ<O:p></O:p>
    พระเนื้อผงพิมพ์พระพุทธคุณ

    [​IMG] [​IMG]

    พระผงรุ่นนี้ ผมกับเพื่อนไปเก็บมวลสารระหว่างที่เดินทางจาริกบุญในประเทศอินเดียเองครับ
    ที่สำคัญมากคือ ได้นำกิ่งโพธิ์ยาว 6-8 นิ้ว จากต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่ 4 มาบดผสมในพระผงนี้ด้วยครับ
    ปกติ แม้แต่ใบโพธิ์ที่ร่วงลงมาจะไม่เหลือให้เห็นครับ เพราะลามะหรือคนที่มาเขาเก็บกันไปหมด เรื่องกิ่งไม้ไม่ต้องพูดถึง

    สังเกตมวลสารจะเห็นเกร็ดสีส้ม ๆ นั่นคือ อิฐที่นำมาจากบริเวณสถานที่ประสูติในลุมพินีครับ
    ถ้าใครเคยไปจะรู้ว่า ไม่ใช่อยู่ดี ๆ จะมีให้หยิบได้ครับ อิฐก้อนนี้ คนที่มีญาณได้รับแจ้งจากเทพที่รักษาสถานที่ให้ไปหยิบมา
    ซึ่งเราเดินหากันนานพอสมควร จนเห็นแบบเต็มตา วางไว้หลบมุมเล็กน้อย แต่ก้อนใหญ่จริง ๆ มีเพียงก้อนเดียวเท่านั้นครับ

    ทุกอย่างที่หยิบมาต้องอธิษฐานขอมาเพื่อทำนุบำรุงพระศาสนา ไม่นำมาสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองครับ
    อธิษฐานแล้วเสร็จถึงจะหยิบออกมาได้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC_5493.jpg
      DSC_5493.jpg
      ขนาดไฟล์:
      148.1 KB
      เปิดดู:
      301
    • DSC_5494.jpg
      DSC_5494.jpg
      ขนาดไฟล์:
      151.4 KB
      เปิดดู:
      206
  3. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    เหรียญเนื้อเงินลงยา (หมดแล้ว)

    [​IMG]


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC_5495.jpg
      DSC_5495.jpg
      ขนาดไฟล์:
      149.1 KB
      เปิดดู:
      141
    • DSC_5496.jpg
      DSC_5496.jpg
      ขนาดไฟล์:
      143.5 KB
      เปิดดู:
      129
  4. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    เหรียญพิมพ์ทองเหลือง

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC_5498.jpg
      DSC_5498.jpg
      ขนาดไฟล์:
      144.8 KB
      เปิดดู:
      387
    • DSC_5499.jpg
      DSC_5499.jpg
      ขนาดไฟล์:
      148.6 KB
      เปิดดู:
      116
  5. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    เหรียญพิมพ์ทองแดง

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC_5500.jpg
      DSC_5500.jpg
      ขนาดไฟล์:
      149 KB
      เปิดดู:
      160
    • DSC_5501.jpg
      DSC_5501.jpg
      ขนาดไฟล์:
      132.8 KB
      เปิดดู:
      94
  6. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    เหรียญพิมพ์อัลปากา
    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC_5502.jpg
      DSC_5502.jpg
      ขนาดไฟล์:
      139.8 KB
      เปิดดู:
      121
    • DSC_5503.jpg
      DSC_5503.jpg
      ขนาดไฟล์:
      147.6 KB
      เปิดดู:
      82
  7. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    เหรียญพิมพ์ทองแดงรมดำ

    [​IMG]


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC_6581.jpg
      DSC_6581.jpg
      ขนาดไฟล์:
      148.1 KB
      เปิดดู:
      295
    • DSC_6583.jpg
      DSC_6583.jpg
      ขนาดไฟล์:
      146.8 KB
      เปิดดู:
      92
  8. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    ประวัติหลวงปู่ลี ตาณํกโร
    <O:p
    ปฐมวัย
    <O:pหลวงปู่ลี ตาณํกโร มีนามเดิมว่า ลี นามสกุล ถุวัตถี เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2479 ตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 2 ปีฉลู ณ บ้านเลขที่ 24 หมู่ที่2 บ้านนาฝายเหนือ ตำบลบัวเงิน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น โยมบิดาชื่อ นายเคน ถุวัตถี โยมมารดาชื่อ นางอ่อนจันทร์ ถุวัตถี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด 8 คน เป็นชาย 5 คน และหญิง 3 คน ดังนี้<O:p></O:p>
    1. นางอบมา บูรพันธ์ (ถุวัตถี) ถึงแก่กรรม<O:p></O:p>
    2. นายบุญตา ถุวัตถี ถึงแก่กรรม<O:p></O:p>
    3. นางคำภา ม่องคำหมื่น(ถุวัตถี) ถึงแก่กรรม<O:p></O:p>
    4. นายบุญเส็ง ถุวัตถี ถึงแก่กรรม<O:p></O:p>
    5. นายอังคาร ถุวัตถี (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อ-สกุลเป็น นายวิธาน สุชีวคุปต์และ<O:p></O:p>
    เป็นข้าราชการบำนาญมหาวิทยาลัยรามคำแหง)<O:p></O:p>
    6. หลวงปู่พุฒ ฐานิสฺสโร มรณภาพ<O:p></O:p>
    7. หลวงปู่ลี ตาณํกโร สำนักสงฆ์ป่าหัวตลุก<O:p></O:p>
    8. นางบุญนาง ทองสงคราม อาชีพทำนา ปัจจุบันอาศัยที่บ้านนาฝายเหนือ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เด็กชายลีต้องกำพร้าบิดาในขณะที่อายุได้เพียง 3 ขวบ ซึ่งยังเล็กมาก จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของโยมมารดาและพี่ๆ ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลครอบครัว และอบรมสั่งสอนเด็กชายลีมาโดยตลอด จนเมื่ออายุครบเกณฑ์ที่จะต้องเข้าโรงเรียน<O:p></O:p>
    เด็กชายลีเริ่มต้นเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล 19 วัดบ้านนาฝายเหนือ หมู่ที่ 2 ตำบลบัวเงิน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีนายสมาน พินิจมนตรีเป็นครูใหญ่ในขณะนั้น จนเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงได้ออกจากโรงเรียนแล้วมาช่วยครอบครัวทำนา<O:p></O:p>
    เด็กชายลีเป็นเด็กที่ชอบเล่นสนุก ชอบพูดจาหยอกเย้าเพื่อนฝูง แต่ไม่เคยรังแกเพื่อนหรือทำร้ายใคร แต่กลับเป็นเด็กที่ไม่ชอบพูดจาโอ้อวด ไม่ชอบมีเรื่องชกต่อยและเป็นเด็กที่รู้จักกลัวในบาปบุญคุณโทษ โดยเฉพาะเรื่องการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการฟังนิทานสอดแทรกคำสอนจากหลวงปู่จันดี ซึ่งเป็นตาของเด็กชายลี ทำให้เด็กชายลีซึมซับธรรมะมาโดยไม่รู้ตัว หล่อหลอมให้เด็กชายลีมีจิตใจที่ใฝ่ในทางธรรมและยังได้คอยชี้แนะเพื่อนๆไม่ให้ทำบาปอีกด้วย<O:p></O:p>
    เหมือนโชคชะตากำหนดให้เด็กชายลีต้องมีชีวิตต่อไปเพื่อสืบสานพระพุทธศาสนา ทำให้แคล้วคลาดจากเหตุการณ์ที่เกือบคร่าชีวิตไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็กที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น<O:p></O:p>
    วันหยุดเรียนวันหนึ่ง เพื่อนๆได้ชักชวนเด็กชายลีไปยังทุ่งนาเพื่อเที่ยวเล่นตามประสาเด็ก และอาจจะได้กบหรือเขียดไปประกอบอาหารเป็นของแถม ขณะที่กำลังเดินอยู่บนคันนานั้น สายตาของเด็กชายลีก็เหลือบไปเห็นรูบนพื้นดิน ด้วยความสงสัยว่าจะมีกบหรือเขียดอยู่ในรู จึงเอามือขวาล้วงเข้าไป แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดคิด เมื่อสัตว์ที่อยู่ในรูนั้นไม่ใช่กบหรือเขียด หากเป็นงูเห่าที่ฉกกัดนิ้วกลางของเด็กชายลีทันที <O:p></O:p>
    ในสมัยนั้นยังไม่มีโรงพยาบาล ครอบครัวจึงต้องให้หมอยาพื้นบ้านมาทำการรักษา แต่พิษงูเห่าแผ่ซ่านทำให้เด็กชายลีเจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว แต่เหมือนปาฏิหาริย์ เด็กชายลีมีอาการทุเลาดีขึ้นและหายเป็นปกติในที่สุด เหลือเพียงนิ้วกลางที่หงิกงอไม่สามารถเหยียดตรงได้เหมือนนิ้วอื่นเป็นร่องรอยมาจนถึงปัจจุบันนี้เท่านั้นการรอดชีวิตดังกล่าวจึงเหมือนเป็นการสะสมบารมีธรรมมาเพื่อบวชเรียนในพระพุทธศาสนา ดังคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้ว่า สัตว์ผู้มีภพในที่สุด จะไม่เป็นอันตรายใดๆทั้งสิ้น ถ้ายังไม่บรรลุมรรคผลนิพพานเสียก่อน<O:p></O:p>
     
  9. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    เข้าสู่ร่มกาสวพัสตร์ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>

    ออกจากบ้านมุ่งหน้ามาสู่วัด<O:p></O:p>


    เพราะวัดดัดอารมณ์ที่งมโง่<O:p></O:p>


    ยอมเป็นวัวเขาหลุดดุจคนโซ<O:p></O:p>


    หมดพยศ หมดโก้ หมดเกียรติงาม<O:p></O:p>


    ออกจากบ้านเข้าป่าสงบเงียบ<O:p></O:p>


    เพื่อฝึกจิตให้เรียบดังมุ่งหมาย<O:p></O:p>


    ออกจากบ้านไปหาที่ไม่มีตาย<O:p></O:p>


    จิตกับกายก็ต้องพรากจากกันเอย<O:p></O:p>

    <O:p> </O:p>
    เมื่อเติบใหญ่และเจริญวัยจนอายุสมควร เด็กชายลีจึงได้ตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุประมาณ 19 ปีเพื่อศึกษาธรรมะและพระปริยัติธรรม ที่วัดโพธิ์ชัย บ้านนาฝายเหนือ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้าน โดยมีพระอาจารย์บุญมา กลฺลญาโณ น.ธ.เอก เป็นเจ้าอาวาสและเป็นครูผู้สอนพระปริยัติธรรม <O:p></O:p>
    สามเณรลีได้ศึกษาหลักสูตรนักธรรมตรี ต่อเนื่องถึงนักธรรมโทแต่ตัดสินใจไม่ศึกษาต่อในชั้นนักธรรมเอก เนื่องจากต้องการที่จะศึกษาวิปัสสนากรรมฐานมากกว่าการเรียนปริยัติธรรมและภาษาบาลีที่กำลังตื่นตัวกันมากในสำนักเรียนวัดโพธิ์ชัย ดังนั้นในปี พ.ศ. 2502 สามเณรลีในขณะนั้นจึงได้ออกเดินทางจากวัดโพธิ์ชัยไปอยู่ที่ป่าช้าบ้านหนองโนเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมตามแนวทางของตัวเอง<O:p></O:p>
     
  10. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    การปฏิบัติธรรมffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>

    พระราชาในกลดน้อย<O:p></O:p>


    กลดหนึ่งคันนี้หรือคือปรางค์มาศ<O:p></O:p>


    แม้เสื่อขาดเปรียบที่นอนอันอ่อนนุ่ม<O:p></O:p>


    มีมุ้งห้อยย้อยยานต่างม่านคลุม<O:p></O:p>


    มีบาตรอุ้มเปรียบเช่นเป็นโรงครัว<O:p></O:p>


    <O:p> </O:p>

    การเบนเข็มชีวิตในร่มกาสวพัสตร์สู่พระนักปฏิบัติไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล สืบเนื่องจากวันหนึ่งหลังจากที่เสร็จสิ้นจากการเรียนการสอบนักธรรม สามเณรลีได้กลับไปเยี่ยมครอบครัว และได้รับรู้ข่าวร้ายที่สะเทือนจิตใจเป็นอย่างมาก นั่นคือ พี่สาวได้เสียชีวิตจากการคลอดลูก<O:p></O:p>
    ความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักโดยมิได้คาดฝัน ทำให้สามเณรลีคิดถึงสัจธรรมของชีวิตข้อหนึ่งว่า สิ่งใดมีเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมต้องดับไปเป็นธรรมดา หลังจากนั้นสามเณรลีได้เดินทางด้วยเท้าเปล่ากลับวัดโพธิ์ชัยด้วยระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร เป็นการเริ่มต้นสละภาระของชีวิต และได้ออกเดินทางสู่ป่าช้าบ้านหนองโนในปี พ.ศ. 2502<O:p></O:p>
    ก่อนที่จะออกเดินทางนั้น สามเณรลีได้พูดกับโยมมารดาและญาติพี่น้องอย่างเด็ดเดี่ยวว่า เบิ่งดูหน้าข้อยให้คักๆเด้อ ครั้นข้อยบ่ได้เห็นธรรม สิบ่มาให้พวกเจ้าเห็นหน้าอีกคำพูดนี้เป็นเหมือนการให้สัจจะปฏิญาณเพื่อที่จะเริ่มต้นศึกษาและปฏิธรรมอย่างจริงจังของหลวงปู่ลี<O:p></O:p>
    หลวงปู่ลีได้เดินทางมาอยู่ที่ป่าช้าบ้านหนองโน ห่างจากบ้านนาฝายเหนือประมาณ 3 กิโลเมตรและได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อทองสุข สิริจนฺโท วัดป่าบ้านหนองโน อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น <O:p></O:p>
    หลวงพ่อทองสุขเป็นพระปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ป่าช้าฉันเอกามื้อเดียว นั่งสมาธิ เดินจงกรมภาวนาเป็นหลัก เป็นที่รู้จักและเคารพนับถือของชาวบ้านโดยทั่วไป เพราะท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ อำเภอเมือง จังหวัดเลย ซึ่งเป็นศิษย์สายบูรพาจารย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต <O:p></O:p>
    ภายหลังหลวงปู่ลีได้ขาดการติดต่อกับญาติพี่น้อง และไม่มีใครทราบว่าท่านได้บวชเป็นพระภิกษุตั้งแต่เมื่อใด แต่ญาติพี่น้องก็มิได้เป็นห่วงเนื่องจากเห็นว่าท่านได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและงดงามดีแล้ว รับรู้แต่เพียงว่าหลวงปู่ลีได้เดินธุดงค์ไปจำพรรษาตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัดป่าบ้านไร่ย็อก อำเภอศรีธาตุ จังหวัดอุดรธานี และอีกหลายแห่งในจังหวัดนครพนม ท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่ออกเดินทางจาริกแสวงบุญไปเรื่อยๆ ไม่อยู่อาศัยประจำที่ อันแสดงถึงความไม่ยึดติด <O:p></O:p>
    ดังที่ท่านได้เคยเล่าให้บรรดาศิษยานุศิษย์ฟังดังนี้<O:p></O:p>
    ปีพ.ศ. 2503 หลวงปู่ลีซึ่งมีอายุได้ 21 ปีได้ออกเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนได้มีโอกาสกราบศึกษาธรรมะจากหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีอายุประมาณ 59 ปีในขณะนั้น <O:p></O:p>
    ปี พ.ศ. 2504 เมื่อหลวงปู่ลีเดินธุดงค์จนถึงอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ มีโยมถวายปัจจัย แต่หลวงปู่ลีไม่รับ เนื่องด้วยหลวงปู่มีปฏิปทาไม่จับเงินทอง โยมจึงถวายเป็นตั๋วรถไฟ หลวงปู่ลีจึงขึ้นรถไฟเดินทางไปถึงเพียงจังหวัดอุตรดิตถ์เท่านั้น หลังจากนั้นก็เดินธุดงค์ต่อไปจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ และจำพรรษาที่ถ้ำปากเปียง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับถ้ำผาปล่อง ในอำเภอเชียงดาว โดยในหนังสือบูรพาจารย์ได้บันทึกถึงความสำคัญของถ้ำปากเปียงเอาไว้ว่า <O:p></O:p>
    เมื่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้พักบำเพ็ญธรรมที่ถ้ำเชียงดาวพอควรแล้ว ท่านได้จาริกผ่านมาบริเวณวัดถ้ำปากเปียง ต่อมาท่านได้ปรารภกับหลวงปู่แหวนว่า ถ้ำปากเปียงเป็นถ้ำที่เป็นมงคล มีพระอรหันต์มาดับขันธ์ที่นี้”<O:p></O:p>
    หลวงปู่ลีได้จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำปากเปียงอยู่แต่เพียงรูปเดียว ท่ามกลางสภาพที่เป็นป่าเขา เงียบสงัดและเหมาะสมแก่การภาวนายิ่งนัก และท่านได้ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง ซึ่งเป็นพระป่ากรรมฐานสายบูรพาจารย์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และหลวงปู่แว่น ธนปาโล (วัดถ้ำพระสบาย อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง) ขณะที่หลวงปู่ลีมีอายุได้ 24 ปี หลวงปู่สิมมีอายุได้ประมาณ 59 ปี และหลวงปู่แว่นมีอายุได้ประมาณ 50 ปีเศษ <O:p></O:p>
    หลวงปู่ลีมีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมและรับใช้หลวงปู่สิมอย่างอดทน ไม่เห็นแก่ความยากลำบากของการเดินทางสู่ถ้ำผาปล่องที่ต้องปีนป่ายเชิงเขา เมื่อฝนตกทำให้พื้นลื่น ก็ทำให้ไถลลงมา สองข้างทางก็เป็นป่าเขารกชัฏ ไม่ได้มีไฟฟ้าส่องสว่างหรือเป็นทางคอนกรีตสะดวกสบายอย่างเช่นทุกวันนี้ <O:p></O:p>
    หลวงปู่ลีจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำปากเปียงและศึกษาพระธรรมจากหลวงปู่สิมและหลวงปู่แว่นได้ 1 ปี โดยหลวงปู่สิมได้กล่าวแก่หลวงปู่ลีอันมีนัยยะเป็นปริศนาธรรมเอาไว้ในคราวที่หลวงปู่ลีสรงน้ำถวายหลวงปู่สิมว่า คุณลี ภาวนาดีๆ ปฏิบัติตัวให้เหมือนพระพุทธรูป <O:p></O:p>
    ปี พ.ศ. 2505 ปฏิบัติธรรมที่อำเภอหนองบัวโคก จังหวัดชัยภูมิ <O:p></O:p>
    ปี พ.ศ. 2506 ปฏิบัติธรรมที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี<O:p></O:p>
    ปี พ.ศ. 2507 ปฏิบัติธรรมที่เขาช่องลม จังหวัดลพบุรี<O:p></O:p>
    ระยะเวลาหลังจากนี้ไม่มีใครทราบว่าหลวงปู่ลีได้ออกเดินธุดงค์ไปยังสถานที่ใดบ้าง เนื่องจากปกติแล้วหลวงปู่ลีไม่ค่อยได้อธิบายประวัติส่วนตัวมากนัก ด้วยอุปนิสัยที่ไม่ชอบพูดจาโอ้อวดนั่นเอง<O:p></O:p>
    ปี พ.ศ. 2511-2512 หลวงปู่ลีได้เดินทางไปหาพระพี่ชาย (พ่อใหญ่วิธาน) ซึ่งได้บวชเป็นพระสงฆ์อยู่ในขณะนั้นที่วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องขอญัตติเป็นธรรมยุติกนิกาย ซึ่งพระพี่ชายได้แนะนำไปว่าให้ไปญัตติเป็นธรรมยุติกนิกายที่วัดสุรพิมพาราม ตำบลตูมใต้ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เนื่องจากมีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายโยมแม่ซึ่งได้แก่คุณน้าอาจารย์โฮม เป็นผู้อุปถัมภ์วัดอยู่ รวมทั้งมีพระอุปัชฌาอาจารย์ที่เคร่งครัด เคารพพระธรรมวินัย ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ ดังนั้นในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2512 เมื่อหลวงปู่ลีมีอายุได้ 32 ปีเศษ จึงได้ขอญัตติจตุตถกรรมใหม่เป็นพระสงฆ์ในธรรมยุตินิกายที่วัดสุรพิมพาราม โดยมีพระครูสารเมธากร (ลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณประสาทสารคุณ วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสมุห์ชนเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูคุณสารวิจิตรเป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า ตาณํกโรซึ่งมีความหมายว่า ผู้ต่อสู้เอาชนะซึ่งกิเลส นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อใหญ่วิธานได้ให้ข้อมูลอีกว่า ภายหลังจากที่ท่านได้ลาสิกขามาใช้ชีวิตเป็นฆราวาสในทางโลก มีครอบครัว ประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงแล้ว ได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ลี แล้วก็ได้รับคำตักเตือนให้สติจากหลวงปู่ลีว่า พี่กำลังหลงระเริงไปตามวิถีโลก คำเตือนนี้พ่อใหญ่วิธานได้จดจำไม่รู้ลืมมาจนถึงทุกวันนี้<O:p></O:p>
    ปี พ.ศ. 2516 ปฏิบัติธรรมที่จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นพื้นที่สีแดง ในช่วงเวลาที่รัฐบาลกำลังปราบปรามผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์<O:p></O:p>
    ปี พ.ศ. 2520- พ.ศ. 2524 ปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย และได้ปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่างๆในละแวกใกล้เคียงวัดหินหมากเป้ง เช่น ถ้ำฮ้าน ถ้ำพระบท วัดลุมพินี เป็นต้น โดยเมื่อถึงวันลงอุโบสถ ท่านก็จะมาลงอุโบสถที่วัดหินหมากเป้ง โดยมีเพียงแคร่ไม้ กระท่อมพอกันแดด กันฝน ไม่มีไฟฟ้าให้แสงสว่าง ใช้น้ำฝน หากอยู่ในป่าช้าก็ใช้น้ำที่ขังตามหลุมบ่อในป่าช้านั้นเอง แตกต่างจากกุฏิที่พักอาศัยในทุกวันนี้ที่เหมือนพระเศรษฐี ดังที่หลวงปู่ลีมักกล่าวแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเสมอ<O:p></O:p>
    ปี พ.ศ. 2523 ปฏิบัติธรรมพักอาศัยที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง ได้ฝันไปว่ามีไฟไหม้พระพุทธรูป เมื่อรุ่งเช้าญาติโยมที่มาทำบุญได้นำหนังสือพิมพ์มาถวาย จึงได้ทราบข่าวเรื่องพระสงฆ์สุปฏิปันโนสายบูรพาจารย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้แก่หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ หลวงปู่วัน อุตฺตโม หลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร พระเถระและพระนวกะรวม 7 รูป ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกมรณภาพทั้งหมด ที่ตำบลคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งหลวงปู่ลีเคยได้มีโอกาสกราบหลวงปู่จวนมาแล้ว <O:p></O:p>
    บางครั้งในระหว่างการธุดงค์จากภาคเหนือสู่ภาคอีสานนั้น หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล จนค่ำมืดแล้วไม่พบหมู่บ้าน ท่านจึงปักกลดพักแรมข้างทางซึ่งเป็นป่าทึบ พอรุ่งเช้าได้ยินเสียงไก่ขันจึงรู้ว่ามีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ จึงได้ออกบิณฑบาต และถามถึงสถานที่แห่งนั้น จึงได้รู้ว่าท่านได้ปักกลดที่สี่แยกหนองบัวโคก อำเภอจตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งต่อมาโยมก็ได้นิมนต์ให้หลวงปู่ลีจำพรรษาอยู่ที่นี่ด้วยความศรัทธา และหลวงปู่ก็รับนิมนต์ อันแสดงถึงคุณลักษณะของการเดินธุดงค์ที่ไม่ยึดติดในสถานที่ใดๆของหลวงปู่ลีนั่นเอง<O:p></O:p>
    ปี พ.ศ. 2524 ร.ต.อ. กัมปนาท ทองคำพันธ์ สภ.อ.ลานสัก จังหวัดอุทัยธานี (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ได้จัดซื้อที่ดินมา 1 แปลงเพื่อจัดสร้างวัด โดยได้ปรึกษากับพระเถระผู้ใหญ่เกี่ยวกับการที่จะกราบนิมนต์พระสงฆ์ที่มีวัตรปฏิบัติดีงามมาจำพรรษา ในที่สุดก็ได้รับคำแนะนำให้นิมนต์หลวงปู่ลี ตาณํกโร และหลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ(วัดป่าศรีอุดมรัตนาราม ตำบลทมนางาม อำเภอโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี) มาจำพรรษา โดย ร.ต.อ. กัมปนาท ทองคำพันธ์ได้เดินทางไปนิมนต์ด้วยตนเอง แต่หลวงปู่ทั้งสองรับนิมนต์มาจำพรรษาได้ไม่นานนัก ก็แยกย้ายกันเดินธุดงค์ต่อไป โดยหลวงปู่ลีได้เดินธุดงค์มาปักกลดพักอาศัยที่ป่าหัวตลุก อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ในช่วงเวลาก่อนเข้าพรรษา 16 วัน<O:p></O:p>
    สภาพป่าหัวตลุกในขณะนั้นเป็นพื้นที่แน่นขนัดไปด้วยป่ามะพร้าว แต่หลวงปู่ลีก็ตั้งจิตมั่นที่จะปักกลดปฏิบัติเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่นี่ ณ บริเวณต้นมะม่วงใหญ่ (ซึ่งยังคงปรากฏอยู่ในปัจจุบันในบริเวณด้านหลังกุฏิของหลวงปู่ลี) ซึ่งป็นที่ดินในกรรมสิทธิ์ของนายเล็ก ชื่นสุขุม ต่อมาเมื่อญาติโยมชาวบ้านทราบข่าวว่ามีพระธุดงค์มาปักกลด จึงได้ร่วมกันปลูกสร้างกระท่อมมุงหลังคาแฝกให้หลวงปู่ลี<O:p></O:p>
    ในช่วงแรกที่หลวงปู่ลีมาปักกลดที่ป่าหัวตลุก ได้มีพระผู้ปกครองเขตตำบลลาดยาว เดินทางมาตรวจสอบโดยสอบถามชาวบ้านว่าหลวงปู่ลีได้เรี่ยไรเงินทองจากชาวบ้านหรือไม่ มีการกระทำผิดกฏของสงฆ์ประการใดบ้างหรือไม่ เพราะในขณะนั้นสภาพสังคมเต็มไปด้วยผู้ไม่ประสงค์ดีต่อประเทศชาติแอบแฝงมาในรูปแบบต่างๆ เป็นความจำเป็นที่พระผู้ปกครองจะต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่คำตอบที่ได้รับจากชาวบ้านคือ หลวงปู่ลีดำรงตนเป็นพระสงฆ์ที่มีวัตรงดงามและน่าศรัทธา โดยหลวงปู่ลีได้เคยจดบันทึกถึงเหตุการณ์ในขณะนั้นเอาไว้ว่า<O:p></O:p>
    การมาสร้างวัดครั้งแรกก็มีปัญหามากมาย บางคนเขาก็ว่าอาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ก็มี พวกญาติโยมเขาก็พูดไปตามกิเลสของเขานั้นเอง ญาติโยมเขาเห็นเราเป็นของแปลก เป็นคนแปลก เขาว่าพระอะไรไปอยู่ป่า พระต้องอยู่วัด ตอนแรกๆสถานที่อาตมาอยู่นี้เป็นป่า ญาติโยมปลูกกระท่อมให้อยู่ พอหลายปีไปญาติโยมเขาก็ค่อยรู้ไปเอง ครั้งแรกญาติโยมเขายังไม่รู้ ถ้าเขารู้เขาก็มีความภูมิใจที่เขาได้อุปัฏฐากเรา เขาว่าหลวงพ่อมาอยู่ทางนี้เป็นโชคดีของผม เป็นโชคดีของฉัน คนเราจะรู้ว่าคนร้ายคนดี ต้องอยู่ไปนานๆจึงรู้ ครั้งแรกก็ย่อมไม่รู้ คนเห็นกันครั้งแรกจะว่าดีเลยใช้ไม่ได้”<O:p></O:p>
    ต่อมาหลวงปู่ลีได้ตั้งสำนักสงฆ์ป่าหัวตลุกขึ้นบนเนื้อที่เพียงประมาณ 2 ไร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงปัจจุบัน ญาติโยม ศิษยานุศิษย์ได้ร่วมกันทำบุญจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมจนมีเนื้อที่รวมทั้งสิ้น 38 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา และอยู่ในระหว่างขั้นตอนขอจัดตั้งเป็นวัดจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ<O:p></O:p>
    ตอกย้ำความเป็นพระนักปฏิบัติที่มากด้วยบารมีและมุ่งมั่นเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร<O:p></O:p>
    พระอาจารย์อุทัย ฌานุตฺตโม (พระอาจารย์ติ๊ก) วัดป่าบ้านห้วยลาด อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ได้เมตตาเล่าประวัติการปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่ลี ตาณํกโร เมื่อครั้งเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่โดยผ่านจังหวัดนครสวรรค์ ให้กับคณะศิษย์ได้ฟังเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ณ ภัตตาคารเล่งหงส์ว่า<O:p></O:p>
    ประมาณปีพ.ศ.2520 หลวงปู่ลีได้ปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชีงใหม่ จังหวัดหนองคาย โดยได้ศึกษาปฏิบัติก่อนหน้าพระอาจารย์อุทัย ในช่วงที่อยู่ในวัดหินหมากเป้งนั้น มีหลายครั้งที่หลวงปู่ลีออกเดินจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัดลุมพินี วังน้ำมอก วัดป่าราชนิโรธเทสรังสี ถ้ำฮ้าน ถ้ำพระบท ฯลฯ จนเมื่อหลวงปู่เทสก์จะรื้อศาลาไม้เพื่อก่อสร้างเป็นศาลาคอนกรีต หลวงปู่ลีก็ได้ไปกราบลาขออนุญาตหลวงปู่เทสก์ออกธุดงค์ไปยังป่าเขาต่างๆ หลวงปู่เทสก์ก็ได้อนุญาต ตั้งแต่นั้นมาพระอาจารย์อุทัยก็ไม่ได้เจอกับหลวงปู่ลีอีกเลย รู้แต่เพียงว่าหลวงปู่ลีเคยปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพลอำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคีรีวิหาร อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย เป็นต้น<O:p></O:p>
    พระอาจารย์อุทัยยังได้เล่าอีกว่า ปกติหลวงปู่ลีเป็นพระสงฆ์ที่พูดน้อย ไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องอะไร เยือกเย็น ไม่ชอบมีปากเสียงกับใคร ไปเร็ว มาเร็ว ไม่ยึดติด ชอบวิเวก มุ่งมั่นปฏิบัติละกิเลส ไม่สะสม มุ่งเน้นการพิจารณากายและจิต เพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เมื่อครั้งที่ร่วมปฏิบัติธรมกับหลวงปู่ลี เคยฉันข้าวลิงด้วยกัน กล่าวคือมีข้าวนิดเดียวเท่านั้น แล้วต้องนำน้ำเปล่าเทลงไปให้ผสมกับข้าวในบาตรให้ข้าวพองจะได้มีปริมาณมากขึ้น จะได้อิ่มท้องไม่เกิดทุกขเวทนาขณะปฏิบัติธรรม จากที่เคยอยู่ร่วมกันก็ต่างคนต่างอยู่ กุฏิใครกุฏิมัน ไม่มีการพูดคุยสุงสิงนินทาใคร ต่างมุ่งปฏิบัติรีบเร่งความเพียรแต่เพียงอย่างเดียว จากกันไปนานเกือบ 30 ปี มาพบกับหลวงปู่ลีอีกครั้งเมื่อคราวก่อนสร้างศาลาใหญ่ วัดป่าบ้านห้วยลาด อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย เมื่อปีพ.ศ 2549 นี้เอง<O:p></O:p>
    หลวงปู่เถื่อน กนฺตสีโล วัดพระธาตุหินเทิน อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ได้เมตตาให้สัมภาษณ์แก่นายประทิน พรมชาติ เจ้าของอู่ศุภชัยรุ่งเรืองการช่าง อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ และนายวิสุทธิ สินเพ็ง รองปลัดเทศบาลนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 9 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 10.00 น.ณ วัดพระธาตุหินเทิน ซึ่งได้เรียบเรียงจากการถอดเทปคำสัมภาษณ์ได้ดังนี้ว่า ท่านเคยนิมิตเห็นหลวงปู่ลีขณะกำลังปฏิบัติธรรม<O:p></O:p>
    ในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นปีแรกที่อาตมามาอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้เจอท่านหรอก เพราะตัวเองประสบการณ์ก็ยังมีน้อยก็เลยมาปฏิบัติ ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ตอนอาตมาเดินจงกรม (ณ ป่าที่วัดพระธาตุหินเทิน) เห็นเป็นลำแสงพุ่งขึ้นมาจากในป่า มองเห็นด้วยตาเปล่า อาตมาก็ว่าเอ๊ะ! มีอะไรมาทำให้เกิดขึ้นนะ<O:p></O:p>
    ปี พ.ศ. 2547 ก็เลยมานิมิตขึ้นมาอีกว่าไปเจอพระรูปร่างสูงขาว เห็นท่านเดินจงกรมอยู่รอบเขา อาตมาก็ไม่ได้ใส่ใจ ท่านก็เดินไปเดินมา พอเห็นเป็นพระท่านก็หายตัวไปในก้อนหินที่ในป่า ในนิมิตนะ คืออาตมาก็ไม่ได้พูดอะไร เหมือนหลวงปู่ลีท่านแสดงอยู่ หรือมาสอนอะไรก็ไม่รู้นะ ท่านก็เดินไปเดินมาแล้วหายเข้าไปนั่งสมาธิในก้อนหิน ท่านก็ไม่พูดอะไร ท่านก็นั่งดู เราก็ดูท่าน ท่านก็เลยนอน ในนิมิตท่านเป็นอัมพาตนะ ท่านเป็นอัมพาตนี้ท่านก็ดูสดใสดี อาตมาก็คิดว่าท่านเป็นอัมพาตยังไงเดินจงกรม หายไปหายมาได้ อาตมาก็เลยเกิดศรัทธาก็เลยเข้าไปกราบแล้วนมัสการพูดคุยกับท่าน<O:p></O:p>
    หลวงปู่เถื่อน หลวงพ่อเป็นอีหยัง”<O:p></O:p>
    หลวงปู่ลี ผมพิการ เป็นมานานแล้ว”<O:p></O:p>
    หลวงปู่เถื่อน หลวงพ่อไม่มีคนดูแลแล้วหลวงพ่ออยู่ยังไง”<O:p></O:p>
    หลวงปู่ลี ผมก็อยู่ยังงี้ของผมก็อยู่อย่างสบายๆผมไม่ได้ยึดมั่นในสังขารผมก็<O:p></O:p>
    สบายดี”<O:p></O:p>
    หลวงปู่เถื่อน เวลากินอาหาร ฉันอาหารล่ะ ใครเอามาให้”<O:p></O:p>
    หลวงปู่ลี ก็ฉันเท่าที่มี บางทีก็ไม่ฉัน ผมก็อยู่อย่างงี้ของผม (แล้วท่านก็พูดในเรื่อง<O:p></O:p>
    ธรรมะว่าสังขารร่างกายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้)<O:p></O:p>
    หลวงปู่เถื่อน หลวงพ่อปฏิบัติธรรมไปถึงไหนแล้วล่ะ”<O:p></O:p>
    หลวงปู่ลี ผมสามารถรู้นะ”<O:p></O:p>
    หลวงปู่เถื่อน รู้อะไรล่ะหลวงพ่อ”<O:p></O:p>
    หลวงปู่ลี รู้ว่าคนจะไปสวรรค์น่ะ”<O:p></O:p>
    หลวงปู่เถื่อน อ้าว รู้ได้อย่างไร”<O:p></O:p>
    หลวงปู่ลี คนที่จะไปสวรรค์น่ะต้องผ่านผม”<O:p></O:p>
    หลวงปู่เถื่อน งั้นผมจะรู้ได้ไงว่าที่ไปสวรรค์ต้องมาผ่านหลวงพ่อ”<O:p></O:p>
    หลวงปู่ลี มีอยู่ 2 คนในหมู่บ้านที่ท่านไปอยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ จะได้ไปสวรรค์”<O:p></O:p>
    (แล้วท่านก็ได้บอกชื่อคนที่จะได้ไปสวรรค์)<O:p></O:p>
    หลวงปู่เถื่อน หลวงพ่อรู้ได้ยังไง”<O:p></O:p>
    หลวงปู่ลี เขามาหาผม”<O:p></O:p>
    ..........................................................................<O:p></O:p>
    อาตมาได้ถามในนิมิตต่อว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าเป็นคนขอนแก่น ท่านมีรูปร่างสูงขาว เห็นท่านก็ยังไม่รู้หรอกว่าเป็นหลวงพ่อลี ก็เกิดนิมิตอันนี้แหละ ว่าเอ้อ! นิมิตเราต้องมีพระมาหาเรา ไม่รู้ว่าเป็นดวงจิตหลวงพ่อมาหาอาตมาบ่อยมาก มาครั้งแรกบอกว่ามาเที่ยวดูเห็นเธอ อาตมาก็ถามว่าหลวงพ่ออยู่วัดไหน ท่านก็ตอบว่าวัดหัวตลุกนั่นแหละ หลวงพ่อมาดูเธอนั้นแหละ มาดูวัดทุ่งหินเทิน....<O:p></O:p>
    หลวงพ่อลีมาให้ธรรมะ เมื่ออาตมาได้เห็นท่านองค์จริงๆก็เห็นว่าร่างที่เห็นกับในนิมิตเหมือนกันกับท่าน จึงถามท่านว่าหลวงพ่ออยู่ขอนแก่นหรือ ท่านก็บอกว่าหลวงพ่ออยู่ขอนแก่น ได้เห็นมหัศจรรย์ก็เห็นหลวงพ่อลีนี่แหละมาปรากฏให้เห็นในนิมิตก่อน<O:p></O:p>
    อาตมาได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อลีเมื่อปี พ.ศ.2547 ตอนนั้นยังอยู่กุฏิเก่า โดยโยมพาไป ไปเจอท่านท่านก็ไม่ค่อยพูด ไปนั่งรออยู่ 1-2 ชั่วโมงกว่าท่านจะออกมาจากกุฏิ อาตมาก็กราบท่าน ก็เป็นองค์เดียวกับในนิมิตเลย แล้วก็บอกว่าจะมาปฏิบัติธรรมะกับหลวงพ่อ และเล่านิมิตให้หลวงพ่อฟังอย่างที่เล่ามานี่แหละ ถ้าอาตมาไม่นิมิตก็ไม่รู้ ตั้งแต่มาก็ไม่ได้นิมิตถึงใครเลย ได้กราบหลวงพ่อลีคนเดียวนี่แหละ หลวงพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ บอกว่าไม่มีใครมาพูดอย่างอาตมา แล้วบอกว่าอาตมาพูดถูกแล้ว ไม่ได้สอนอะไรมาก<O:p></O:p>
    อาตมาได้นิมิตถึงหลวงพ่อลีก็ป็นสิ่งดี เพราะอาตมาก็ห่างจากครูบาอาจารย์มานาน สิ่งที่เห็นในนิมิตทำให้เห็นถึงสัจธรรม หลวงพ่อลีได้แสดงให้เห็นว่าเดินจงกรม นั่งสมาธิ เห็นตอนแรกก็ไม่ศรัทธา เพราะคิดว่าเป็นพระธรรมดา พอท่านแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติก็รู้สึกศรัทธาท่าน เชื่อมั่นว่าพระองค์นี้ต้องมีอะไรดีแน่ๆ จึงเข้าไปกราบแล้วถามท่านถึงร่างกายว่าเป็นอะไร ท่านตอบว่ามันเป็นสภาพของสังขาร เราไม่มีอำนาจเหนือมัน ท่านพูดในนิมิตอย่างนี้”<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
     
  11. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    [​IMG]

    พระผง 1 องค์ 300 บาท

    เหรียญพิมพ์โต๊ะหมู่ 3 เหรียญ (เนื้อทองเหลือง ทองแดง อัลปาก้า) 1000 บาท

    เหรียญเงินลงยา 1 เหรียญ 3000 บาท

    เหรียญทองแดงรมดำ 1 เหรียญ 199 บาท

    วัตถุมงคลส่วนใหญ่ลูกศิษย์ขออนุญาตท่านจัดสร้างครับ อย่างชุดนี้ สร้างขึ้นมาเพื่อสร้างอุโบสถและลานพื้นหินอ่อนโดยเฉพาะครับ ท่านจะพิจารณาครับว่าเจตนาดีหรือไม่ดี ถ้าดี ท่านถึงจะอนุญาตให้ทำ

    พบเจอท่านยากมากด้วยครับ ผมขึ้นไปนอนที่นครสวรรค์ตอนดึกเพื่อไปพบท่านตอนเช้า แต่ไปหลังฉันภัตตาหารเช้าแล้ว ไปรออยู่ชั่วโมงหนึ่งท่านก็ไม่ออกจากกุฏิครับ แล้วแต่ท่านจะสงเคราะห์จริง ๆ ลูกศิษย์ที่ได้ใกล้ชิดกับท่านจะทราบครับว่า ท่านเป็นพระที่สุดยอดอีกองค์หนึ่งครับ ประสบการณ์เล่ากันยาวครับ บางท่านก็เป็นโรคที่คอ ไปขอน้ำมนต์ท่าน ท่านโบกมือที่ขวดน้ำแค่ครั้งเดียวก็เสร็จ ดื่มแล้วหายครับไม่ต้องไปผ่า ก็เหลือเชื่อนะครับถ้าไม่พบกับตัวเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Capture.JPG
      Capture.JPG
      ขนาดไฟล์:
      52.3 KB
      เปิดดู:
      81
  12. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    มวลสารที่ขนจากอินเดียมีปริมาตรกว่าครึ่งกระเป๋าเดินทางขนาด 15-20 กิโลเลยครับ
     
  13. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    เชิญร่วมจองบูชาได้เลยนะครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  14. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    พรุ่งนี้ จะมาอัพเดทประวัติท่านต่อครับ
     
  15. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    สาย ๆ จะมาลงประวัติต่อครับ
     
  16. Nattawut8899

    Nattawut8899 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,406
    ค่าพลัง:
    +7,043
    ร่วมบุญ พระผง 1 องค์ ครับ
     
  17. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    รับทราบครับ โอนเงินแล้ว รบกวนแจ้งด้วยนะครับ
     
  18. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    เดินทางสู่อินเดีย ต้นกำเนิดพระรัตนตรัย”ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    อินเดีย คือ จุดหมายปลายทางสำคัญที่ครั้งหนึ่งในชีวิตของผู้ที่อยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์จะต้องเดินทางไปสัมผัสให้ได้ หลวงปู่ลีก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน จึงได้เดินทางไปอินเดีย เพื่อไปศึกษาสังเวชนียสถานที่สำคัญของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงแม้จะต้องใช้ความอดทนทั้งทางกายและใจมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ท่านก็มิได้ย่นย่อ ดังคำบอกเล่าของท่านต่อไปนี้<O:p></O:p>
    ขอสรรเสริญญาติโยมที่จะพาหลวงพ่อไปประเทศอินเดีย ไปดูไปชมสถานที่ต่างๆในอินเดีย ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายปรารถนาสิ่งใด ขอให้สมปรารถนาตลอดกาล<O:p></O:p>
    การไปอินเดียมีความรู้แปลกๆใหม่ๆเพิ่มเติมได้ดีมาก ทุกคนเกิดมากรรมพาอยู่ กรรมพาไป สังขารทั้งหลายมีความเกิดขึ้น และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ตลอดอนันตกาล<O:p></O:p>
    ขอบใจญาติโยมที่มาส่งอาตมาที่สนามบินดอนเมืองเป็นที่สุด ก่อนที่เครื่องบินจะขึ้นสู่<O:p></O:p>
    อากาศก็ลำบากลำบนพอสมควร พวกเจ้าหน้าที่ตรวจที่นั้นที่นี้รุงรังไปหมด เขามีเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน แต่อย่างไรก็อดทนเอาไม่เป็นไร เพราะอาตมาต้องการไปอินเดียอยู่แล้ว<O:p></O:p>
    สิบห้านาฬิกาเครื่องออกจากดอนเมือง แต่อาตมาประทับใจตอนที่เครื่องบินสู่อากาศ มองเห็นก้อนเมฆเป็นกลุ่ม ช่างงามตาเสียจริง เครื่องบินถึงกัลกัตตามืดพอดี รุงรังพอสมควร เขาให้ไปตรงนั้นตรงนี้บ้าง แต่อดทน ต่อไปก็ขึ้นรถบัสไปที่พุทธคยาต่อรถไฟตอนสี่ทุ่มอินเดีย มันน่าสงสารเสียจริงๆ มันทุเรศเอานักเอาหนา ตอนที่เห็นนั้นเขานอนข้างถนน ก็เหมือนสุนัขบ้านเรานี้เอง รูปร่างมอมแมม บางทีอาตมาคิด เอ๊ะ คนเราเกิดมาทำไมต้องเป็นแบบนี้ แต่พอไปถึงวัดไทยพุทธคยาก็ดีใจ<O:p></O:p>
    ไปชมแม่น้ำเนรัญชรา ไปชมบ้านนางสุชาดา ไปไหว้ต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ขนหัวลุก อาตมาก็ดีใจ ไม่น่าจะเป็นก็เป็นได้ ถ้าเราไม่ออกจากบ้าน เราก็ไม่รู้ทางที่จะเที่ยว แต่ถ้าไม่เรียนวิชาดี ก็ไม่มีความรู้ และโบราณท่านว่า เกิดเป็นลูกผู้ชายอย่าได้ตายร่วมป่าช้า คล้ายว่าไปเรียนวิชาที่อื่นเสริมความรู้ อยู่แต่ที่เดียวความรู้ไม่ออก ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้นพระธุดงค์กรรมฐานท่านจึงชอบไปที่โน้นบ้างที่นี้บ้าง ธรรมะธรรมโมจึงเกิดขึ้นบ่อยๆ ปัญญาไม่ทู่ไม่หดตัวมั่วสุมเปล่าๆเหมือนเต่าลงหม้อน้ำร้อนไม่มีทางออก<O:p></O:p>
    การไปที่ประเทศอินเดียทำให้ข้าพเจ้าหูตาสว่างดีมาก เพราะได้ประสบการณ์หลายสิ่งหลายอย่าง ของที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ของที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ว่าคนเรามีกรรมต่างๆกัน<O:p></O:p>
    ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีประโยชน์มากที่สุด ถ้าใครไม่มาเรียนรู้ก็จะไม่ได้เห็น เราเห็นคนอินเดียเราสงสารเขา บางทีเราคิดไปว่าเขาเกิดมาทำไมจึงเป็นเช่นนี้<O:p></O:p>
    การมาที่อินเดียมีประโยชน์มาก มีความปิติด้วย มีความสลดสังเวชด้วยเหมือนกับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”<O:p></O:p>
    จากการเดินทางไปอินเดียในครั้งนั้น หลวงปู่ลีได้ฝากคำกลอนเกี่ยวกับการเดินทางไปยังสังเวชนียสถานเพื่อตามรอยองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ดังนี้<O:p></O:p>
    ลุมพินีรำลึก<O:p></O:p>
    ลุมพินีแว่นแคว้นแดนประสูติ<O:p></O:p>
    อยู่ประเทศเนปาลด่านสิงขร<O:p></O:p>
    ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ถัดอุดร<O:p></O:p>
    กับเทวทหะนครคู่เคียงกัน<O:p></O:p>
    พระพุทธองค์ทรงประสูติ ณ ที่นี้<O:p></O:p>
    ชนนีสิริมายามหาสวรรค์<O:p></O:p>
    พระยืนคลอดแสนสบายคลายจากครรภ์<O:p></O:p>
    ได้เจ็ดวันพระมารดาสุราลัย<O:p></O:p>
    ปุโรหิตพิศพิสูจน์สิทธัตถะ<O:p></O:p>
    จะเป็นพระศาสดาอันยิ่งใหญ่<O:p></O:p>
    เจ้าอโศกสร้างเสาศิลาไว้<O:p></O:p>
    เป็นหลักชัยที่ประสูติพระศาสดา<O:p></O:p>
    แม้เดินทางทุกข์ยากมากประเทศ<O:p></O:p>
    ยอมก้มเกศกราบไหว้ไร้โทสา<O:p></O:p>
    ด้วยใจจริงทุกสิ่งสุดพรรณนา<O:p></O:p>
    ขอบูชาอภิวันท์นิรันดร์เทอญ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ตรัสรู้รำลึก<O:p></O:p>
    ณ พระศรีมหาโพธิ์พุทธคยา<O:p></O:p>
    อุรุเวลาเสนานิคมสมัย<O:p></O:p>
    แม่น้ำเนรัญชราหาอยู่ไกล<O:p></O:p>
    สถูปใหญ่สูงสง่าพาทรงจำ<O:p></O:p>
    พระพุทธองค์ทรงประทับ ณ ที่นี้<O:p></O:p>
    ยามราตรีเพ็ญเดือนหกศกเลิศล้ำ<O:p></O:p>
    ตรัสรู้อริยสัจจธรรม<O:p></O:p>
    ยึดถือธรรมคำสอนพระศาสดา<O:p></O:p>
    อันพระเจ้าอโศกมหาราช<O:p></O:p>
    ได้ประกาศสถานพระพุทธศาสนา<O:p></O:p>
    อีกสงฆ์ไทยได้ประจำพุทธคยา<O:p></O:p>
    เพื่อรักษาต้นพระศรีมหาโพธิ์<O:p></O:p>
    ศิโรราบกราบสถานอันศักดิ์สิทธิ์<O:p></O:p>
    กายวาจาจิตบูชาแสนอักโข<O:p></O:p>
    ขอตั้งจิตอธิษฐานงานภิญโญ<O:p></O:p>
    ตั้งมโนปรารถนาชั่วฟ้าดิน<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    อิสิปตนมฤคทายวันรำลึก<O:p></O:p>
    ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน<O:p></O:p>
    อยู่เขตต์ขันธ์มรรคาพาราณสี<O:p></O:p>
    ณ ตำบลสารนารถสะอาดดี<O:p></O:p>
    สถูปมีมองตระหง่านโบราณมา<O:p></O:p>
    ปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์<O:p></O:p>
    สัมฤทธิ์ของพระพุทธศาสนา<O:p></O:p>
    พระพุทธองค์ทรงปฐมเทศนา<O:p></O:p>
    แก่บรรดาปัญจวัคคีย์ให้มีญาณ<O:p></O:p>
    พระธัมมจักกัปวัตตนสูตร<O:p></O:p>
    พระทรงพูดสอนให้เป็นหลักฐาน<O:p></O:p>
    เจ้าอโศกสร้างสถูปครั้งโบราณ<O:p></O:p>
    ณ สถานพระปฐมเทศนา<O:p></O:p>
    เบญจางคประดิษฐ์อธิษฐาน<O:p></O:p>
    นมัสการสถูปบาทพระศาสนา<O:p></O:p>
    แม้ลำบากยังพากเพียรเพื่อปัญญา<O:p></O:p>
    น้อมชีวาอุทิศองค์พระทรงคุณ<O:p></O:p>
     
  19. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    ท่านใดสนใจ จองไว้ได้เลยนะครับ ถ้าถึงวันงานแล้ว จะไม่มีนะครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  20. waritj

    waritj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +3,454
    คำสอนของหลวงปู่ลี ตาณํกโรffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>

    หลวงปู่ลี ตาณํกโรมีศิษยานุศิษย์มากมาย เพราะท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่มากไปด้วยบารมีและคำสอนที่สร้างปัญญาให้แก่ผู้สดับตรับฟัง ดังได้ยกตัวอย่างมา ณ ที่นี้ ด้วยยังประโยชน์แก่ผู้อ่านเป็นการสืบทอดคำสอนของหลวงปู่ลี ตาณํกโรในอีกหนทางหนึ่งด้วย<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    การทำความดี<O:p></O:p>
    คนมีความดี แต่ไม่รักษาความดี ก็หมดความดีลงได้เหมือนกัน<O:p></O:p>
    บัณฑิตย่อมรักษาความดีไว้ อุปมาเหมือนเกลือ ย่อมรักษาความเค็มไว้เหมือนกันฉะนั้นแล<O:p></O:p>
    บัณฑิตย่อมเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก<O:p></O:p>
    บัณฑิตย่อมไม่ปรารถนาบุตร ไม่ปรารถนาแว่นแคว้น และไม่ปรารถนาความสุขเพื่อตน<O:p></O:p>
    บัณฑิตย่อมปรารถนาเพื่อประโยชน์สุขแก่คนหมู่มาก”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ความตายเป็นของมีจริง”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    คำสัจจะเป็นคำที่ไม่ตาย<O:p></O:p>
    ธรรมนั้นแลเป็นของเก่า<O:p></O:p>
    เอกธัมโม ธรรมนี้มีอันเดียว<O:p></O:p>
    โลกวุ่นวาย ไม่มีวันหยุดตลอดอนันตกาล”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ต้นแคฝอยที่ชั้นดาวดึงส์ มีดอกมีกลิ่นหอมไกลได้โยชน์หนึ่ง แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไปทวนลมไม่ได้ <O:p></O:p>
    แต่ศีลธรรมนี้ ไปทวนลมได้ทุกทิศ ฉะนั้น ท่านจึงว่าศีลเป็นเยี่ยมในโลก ศีลเป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย ธรรมเกิดจากศีล ถ้ามีศีลแล้วสิ่งอื่นก็ตามมาด้วย”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ความดี ทำนั้นแลดีกว่า ความชั่ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า <O:p></O:p>
    การทำความดีนั้นมีแต่คุณ ทำความชั่วมีแต่เดือดร้อน<O:p></O:p>
    หญ้าคาที่เราจับไม่ดี ย่อมตามบาดมือได้<O:p></O:p>
    ถ้าจับดีก็มีประโยชน์ เอาหญ้าไปมุงเรือนได้”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผู้เบียดเบียนสัตว์อื่น ผู้ฆ่าสัตว์อื่น ไม่เรียกว่าบรรพชิต สมณะเลย <O:p></O:p>
    สมณะควรเป็นสมณะที่ดีเลย”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    อาหารเลว ไม่มีใครอยากรับประทาน<O:p></O:p>
    บ้านเรือนเลว ไม่มีใครอยากอยู่<O:p></O:p>
    ผ้านุ่งห่มเลว ไม่มีใครอยากนุ่งห่ม<O:p></O:p>
    คนเลวใจเลว ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม<O:p></O:p>
    ยิ่งสมณะเลวด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเครื่องเสียดแทงใจประชาชน”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    การทำความดีเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะมีผลเป็นสุข ไม่เดือดร้อน”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผู้ทำดี ดีต้อง สนองแน่<O:p></O:p>
    ผู้ทำชั่ว ทุกข์แท้ สนองผล<O:p></O:p>
    ชั่วและดี นี่เป็นเงา ติดตามตน<O:p></O:p>
    ซึ่งทุกคน จะต้องรับ ไปกับตัว”<O:p></O:p>
    ...เราทำสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น....<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เราเข้าวัดแต่ละทีต้องให้มีสติ การสำรวมใจยังประโยชน์ให้สำเร็จได้”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    คนจะดี มิใช่ดี เพราะมีทรัพย์<O:p></O:p>
    มิใช่นับ โคตรเหง้า เผ่าพงษา<O:p></O:p>
    คนจะดี ดีด้วยการ งานนานา<O:p></O:p>
    และมี ศีลธรรม ประจำใจ”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    บุคคลผู้ทำดี ไม่มีศัตรู ถ้าหากมีศัตรูก็ถือว่าเป็นกรรมเก่าก็แล้วกัน<O:p></O:p>
    เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะความคิดทำให้เราเดือดร้อน ความไม่คิดก็ไม่เดือดร้อน<O:p></O:p>
    ทุกคนที่เกิดมามันเหมือนเกิดมาต่อสู้ สู้ตั้งแต่วันแรกเกิด พอออกจากท้องมารดามาตกใจร้องจ้าเลยทีเดียว พอใหญ่โตเป็นก็ถูกตัณหาบีบคั้นใจต้องต่อสู้ ถ้าสู้ไม่ไหวมันก็ต้องร้องไห้ทีเดียว”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    กตัญญูรู้คุณท่านสำคัญนัก<O:p></O:p>
    นี้เป็นหลักคนดีมีครบถ้วน<O:p></O:p>
    ตอบแทนคุณท่านให้เหมาะตามสมควร<O:p></O:p>
    คนดีล้วนใจมั่นกตัญญู”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ถ้าเราดีแล้วคนอื่นก็ดีตามเราหมดด้วยกัน ถ้าเราไม่ดีคนอื่นก็ไม่ดี<O:p></O:p>
    ฉะนั้นท่านจึงสอนตัวเองดีแล้วจึงสอนคนอื่น จึงไม่เดือดร้อนในกาลภายหลัง<O:p></O:p>
    ถ้าเราสอนตัวเองไม่ได้แล้ว ไปสอนคนอื่น ย่อมเดือดร้อนในกาลภายหลัง<O:p></O:p>
    การปล่อยวางอารมณ์ในสิ่งต่างๆเป็นของดีที่สุด เพราะพาให้เราอยู่เย็นเป็นสุข <O:p></O:p>
    การยึดมั่นในสิ่งต่างๆย่อมเป็นทุกข์ ไม่มีวันสิ้นสุดลงไปได้”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผู้ที่ไม่ทำอะไรผิด ก็คือบุคคลผู้ไม่ทำอะไรเลย<O:p></O:p>
    การทำตนให้เป็นคนดีเป็นของที่ทำได้ยาก แต่มีผลเป็นที่น่าพอใจที่สุด<O:p></O:p>
    ความดี ทำนั้นแลดีกว่า เพราะไม่ทำให้เราเดือดร้อน บุญเป็นชื่อแห่งความสุข<O:p></O:p>
    ท่านทั้งหลาย อย่าได้กลัวเลย มีผลเป็นความสุขใจ”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผู้ไม่ประกอบความประมาท คือบุคคลผู้ที่ไม่ตาย เพราะเขาผู้นั้นไม่ตายจากความดี<O:p></O:p>
    เราทำดี ดีกว่าเราขอพร ขอพรไม่ทำดีก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เราควรทำดี อย่าให้ดีมาหาเรา<O:p></O:p>
    ทำดีดีเอง ทำดีอย่างไร อย่างใดก็ได้อย่างนั้น<O:p></O:p>
    ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย<O:p></O:p>
    ผู้ไม่ประมาทชื่อว่าไม่ตาย<O:p></O:p>
    บุคคลผู้ที่ประมาท ถึงมีชีวิตอยู่ก็เหมือนคนที่ตายแล้ว<O:p></O:p>
    สำหรับบุคคลผู้ไม่ประมาท ถึงตายแล้วก็เหมือนมีชีวิตอยู่ เพราะความดีของเขาไม่เคยตาย”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    คนส่วนมากคอยวาสนาเสียมาก อย่าไปคอยวาสนาเลย เราก่อสร้างวาสนาดีกว่า<O:p></O:p>
    วาสนาบารมีมิได้ติดมาเองหรอก เราต้องสร้างเอง<O:p></O:p>
    คนเราชอบอยากรับผลบุญ ไม่ชอบทำบุญ มันจะได้อะไร<O:p></O:p>
    คนเรารักษาธรรม ธรรมย่อมรักษาคนเช่นกัน<O:p></O:p>
    คนไม่รักษาธรรม ธรรมย่อมไม่รักษาคน<O:p></O:p>
    คนเราถ้าขาดธรรมประจำแล้ว ย่อมถึงความพินาศ”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    การไปเที่ยวกับการไปภาวนา การไปภาวนาประเสริฐกว่า<O:p></O:p>
    การไปเที่ยวอาจจะเพลิดเพลินไป อาจจะเกิดความประมาทก็ได้ ความประมาทไม่ดี”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    อย่าใจเร็ว ด่วนได้ ใจจะวุ่น<O:p></O:p>
    อย่าพกนุ่น ไว้ในอก จงพกหิน<O:p></O:p>
    เห็นเขียวๆ อย่าเฉลียว ว่าองค์อินทร์<O:p></O:p>
    เราก็ต้อง เดินดินดอกหนา อย่าทะนง”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ไม่ควรประกอบความประมาท<O:p></O:p>
    ไม่ควรส้องเสพ ธรรมที่เลว<O:p></O:p>
    ไม่ควรประกอบธรรมที่รกโลก<O:p></O:p>
    อย่าเป็นคนรกโลก”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ความดีทำนั้นแหละดีกว่า ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า<O:p></O:p>
    เพราะบุคคลที่ทำความชั่วย่อมเดือดร้อน”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ถ้าเราจะกระทำสิ่งใด ควรทำสิ่งนั้นจริงๆ<O:p></O:p>
    ถ้าเราทำย่อหย่อน ยิ่งเกลี่ยธุลีลง”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ความดีและความชั่วนั้นเฉพาะตน ไม่เกี่ยวแก่บุคคลอื่นไซร้<O:p></O:p>
    เปรียบเหมือนกับน้ำฝนที่ตกมานา ใครหมั่นรองเก็บไว้ก็จักได้แก่เขา”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ท่านทั้งหลายอย่าไปคอยวาสนาลอยๆเลย<O:p></O:p>
    คนจะดีจะชั่ว มิใช่เกิดขึ้นมาเอง คนเราสร้างขึ้นทั้งนั้น มิใช่มาจากไหนหรอก<O:p></O:p>
    เราทำอะไรก็ได้อย่างนั้น เราทำดี เราก็ได้ดี<O:p></O:p>
    ทำไม่ดี ก็ได้ไม่ดี<O:p></O:p>
    บุคคลหว่านพืชเช่นใดย่อมได้ผลเช่นนั้น<O:p></O:p>
    วาสนาเป็นอวาสนาได้ <O:p></O:p>
    คนมีเปลี่ยนเป็นคนจนก็ได้<O:p></O:p>
    คนจนเปลี่ยนเป็นคนมีได้<O:p></O:p>
    เราอย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผู้ทำดีก็ต้องดี ตามที่เรากระทำนั้นแหละ เราทำอะไรก็ได้อย่างนั้น<O:p></O:p>
    บุคคลหว่านพืชเช่นใด เขาย่อมได้รับผลเช่นนั้น<O:p></O:p>
    ผู้บูชาย่อมได้บูชาตอบ ผู้ไหว้ย่อมได้ไหว้ตอบ”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    บุคคลผู้มีทิฐิจัด ถ้าเขาได้ยศฐาบรรดาศักดิ์แล้ว ก็เหมือนเขาได้อาวุธเพื่อฆ่าตัวเอง<O:p></O:p>
    แต่คนดีที่มีจริยธรรม ถ้าได้ยศฐาบรรดาศักดิ์แล้ว เหมือนเขาสร้างบ้านให้บุคคลอื่นได้พักพาอาศัย<O:p></O:p>
    คนดีที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์แก่โลก”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ศิษย์จะดี ต้องมีครู เป็นผู้สอน<O:p></O:p>
    เหมือนมีพร มาช่วย เฉลิมศรี<O:p></O:p>
    ถ้าอาจารย์ เจอลูกศิษย์ ตัวแสบก็แทบหนี<O:p></O:p>
    ถ้าหากเจอ ลูกศิษย์ เป็นคนดี<O:p></O:p>
    ครูจึงมี กจิต คิดเป็นครู”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผู้ทำดี ดีต้อง สนองแน่<O:p></O:p>
    ผู้ทำชั่ว ทุกข์แท้ สนองผล<O:p></O:p>
    ชั่วและดี นี่เป็นเงา ติดตามตน<O:p></O:p>
    ซึ่งทุกคน จะต้องรับ ไปกับตัว”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    อยากรู้ร้าย รู้กลิ่นคนดี สามัคคี กินนอนร่วมถิ่น<O:p></O:p>
    อยากรู้กลิ่นคนร้อนคนเย็น คนมีเข็ญใจคอมันซ่าน<O:p></O:p>
    อยากรู้นักปราชญ์ อาจารย์ ฟังโวหารวาจาท่านพูด”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผู้ใดไม่เยาะเย้ย สาธุชน <O:p></O:p>
    เลิกด่าคนทุกหน ทุกแห่งได้<O:p></O:p>
    กล่าวใดย่อมทำกล ดั่งกล่าว นั้นนา<O:p></O:p>
    ดอกไม้ทิพย์ทั้งสิ้น ท่านนั้นควรประดับ”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    บุญกุศลเกิดขึ้นเป็นสุข<O:p></O:p>
    โจรมิอาจบุกรุกลักปล้น”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    อันว่าบุญนี้ไม่มีใครปันแจก มันไม่แยกออกได้ เหมือนดังดั้งของ<O:p></O:p>
    เหมือนกับเรากินข้าว เรากินเราก็อิ่ม มันไม่ได้อิ่มท้อง เขาผู้ไม่กิน”<O:p></O:p>
    ทำดีใดไม่มีโทษจงทำไปเถิด เพราะความดีไม่ดับสูญ<O:p></O:p>
    เราทำดีดีกว่าเราขอพร ขอพรทำไม่ดี ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร<O:p></O:p>
    ถ้าเราทำดีแล้ว ไม่ขอให้ดีมันก็ดีเอง<O:p></O:p>
    แต่ทำชั่ว ขอให้ดี มันก็ไม่ดี<O:p></O:p>
    ผู้ทำชั่วนั้น ผลชั่วนั้นตามสนอง<O:p></O:p>
    ดังหนึ่งสุนัขปองไล่เนื้อ<O:p></O:p>
    ผู้ทำดี ดีประคองผลสุขส่งนา<O:p></O:p>
    ดังหนึ่ง แม่เอื้อเฟื้อกล่อมเลี้ยงเรามา<O:p></O:p>
    ทำดีแล้วเพื่อนเยอะ”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ของทุกอย่างจงก่อสร้างแต่น้อยๆ<O:p></O:p>
    แล้วค่อยๆปรุงปรับกระฉับกระเฉง<O:p></O:p>
    ยากจะหายง่ายจะมาอย่ากริ่งเกรง<O:p></O:p>
    คนที่เก่งคือคนกล้าสร้างความดี”<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    การเก่งไปฆ่าเขาตายอย่างนี้ มันไม่ดีหรอกนะ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    กรรมเป็นคำกลาง มีสองทางทั้งดีและชั่ว<O:p></O:p>
    หากผู้ใดรู้ตัว อย่าทำชั่ว จงทำกรรมดี<O:p></O:p>
    จงทำกรรมดี จงทำกรรมดี”<O:p></O:p>
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...