พระครูบาเหนือชัย ขอเชิญเป็นเจ้าภาพร่วมสร้างพระพุทธรูป จำนวน 329 องค์

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย MayBuddhaBlessYou, 15 มิถุนายน 2013.

  1. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    พระครูบาเหนือชัย ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพพระพุทธรูปปัญจมิตร พระสิงห์ 1 เชียงแสน และพระสีวลี จำนวน 329 องค์

    [​IMG]

    สำนักปฎิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทอง (พระ-เณร ขี่ม้าบิณฑบาตร) ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ขอเชิญเป็นเจ้าภาพสร้างพระพุทธรูป และเททองหล่อพระพุทธรูปมหาปัญจมิตร ขนาดความสูง 1.60 เมตร จำนวน 5 องค์ เพื่อนำไปบรรจไว้ในเจดีย์พระธาตุมหาปัญจมิตร โดยมีท่านพระครูบาเหนือชัย โฆสิโต เป็นประธานในการจัดสร้าง “ พระธาตุมหาปัญจมิตร “ ขึ้น เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพี่น้องชาวไทยและชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ ซึ่งอยู่อาศัยตามตะเข็บชายแดนติดประเทศเพื่อนบ้านในอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ณ วัดโป่งไฮอาชาทอง ซึ่งเป็นวัดหนึ่งใน 14 สาขา ของสำนักปฎิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทอง (พระขี่ม้าบิณฑบาตร) และเพื่อเป็นการเสริมสร้างมหาบุญมหาบารมีทั้งทางโลกและทางธรรม ให้เจริญงอกงามไพบูลย์ ทั้งตนเองและครอบครัว

    วัตถุประสงค์ในการสร้างพระพุทธรูปปัญจมิตร พระสิงห์ 1 เชียงแสน และพระสีวลี 329 องค์


    [​IMG]

    1.เพื่อสมทบทุนในการจัดสร้าพระพุทธรูปปัญจมิตร ขนาดความสูง 1.60 เมตร จำนวน 5 องค์ พระพุทธรูปมหาปัญจมิตร ขนาดความสูง 12 นิ้ว จำนวน 108 องค์ พระสิงห์ 1 เชียงแสน ขนาดความสูง 12 นิ้วจำนวน 108 องค์ และพระสีวลี(ผู้เป็นเลิศทางโชคลาภ)ขนาดความสูง 12 นิ้ว
    จำนวน 108 องค์ รวมทั้งสิ้น 329 องค์ เพื่อบรรจุในพระธาตุเจ้ามหาปัญจมิตร

    2. เพื่อสมทบทนการก่อสร้างเจดีย์พระธาตุเจ้ามหาปัญจมิตร ซึ่งประดิษฐาน ณ วัดโป่งไฮอาชาทอง ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย งบประมาณการก่อสร้าง 9 แสนกว่าบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง (ภาพด้านล่าง)

    3.เพื่อสมทบทุนปรับถนนและเส้นทางเข้าวัดโป่งไฮอาชาทอง (วัดหนึ่งใน 14 สาขา ของสำนักปฎิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทอง)

    4. เพื่อสมทบทุนในการสร้างกุฎิ- ที่พักสงฆ์-ศาลาปฏิบัติธรรม –ห้องน้ำพระสงฆ์-ห้องน้ำฆราวาส


    รายการเทองทองหล่อพระพุทธรูปเพื่อที่จะนำไปบรรจุในเจดีย์พระธาตุเจ้ามหาปัญจมิตร มีดังนี้

    [​IMG]

    1.พระพุทธรูปมหาปัญจมิตร ขนาดความสูง 1.60 เมตร จำนวน 5 องค์
    2.พระพุทธรูปมหาปัญจมิตร ขนาดความสูง 12 นิ้ว จำนวน 108 องค์
    3.พระสิงห์ 1 เชียงแสน ขนาดความสูง 12 นิ้ว จำนวน 108 องค์
    4.พระสีวลี(ผู้เป็นเลิศทางโชคลาภ)ขนาดความสูง 12 นิ้ว จำนวน 108 องค์

    สามารถร่วมเป็นเจ้าภาพได้ดังรายละเอียดต่อไปนี้

    1.พระพุทธรูปมหาปัญจมิตร ขนาดความสูง 1.60 เมตร จำนวน 5 องค์
    องค์ละ 150,000 บาท มีผู้เป็นเจ้าภาพแล้ว 4 องค์ คงเหลือ 1 องค์ หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา พระพุทธรูปมหาปัญจมิตร ทั้ง 5 องค์ จะนำไปบรรจุภายในพระเจดีย์มหาปัญจมิตร ตั้ง 4 องค์ ไว้ 4 ทิศ และ 1 องค์ อยู่ตรงกลาง

    [​IMG]

    อานิสงส์ ห้ามทุกขภิกขภัย ได้แก่ สงคราม ภัยพิบัต โรคระบาด แผ่นดินไหว และภัยที่จะเกิดขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม และหมายถึงการสร้างมิตรต่อทุกภพทุกภูมิ ทั้ง 20 ชั้นพรหมโลก 6 ชั้นเทวโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิท้ง 4 มีนรก เปรต อสูรกายและสัตว์เดรัจฉาน ทั้งญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี ทั้งมิตรหรือศัตรู รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย และทุกดวงจิตวิญญาณ ทุกรูปทุกนาม


    2.พระพุทธรูปมหาปัญจมิตร ขนาดความสูง 12 นิ้ว จำนวน 108 องค์
    ขณะนี้ยังสามารถร่วมบุญได้ หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา

    [​IMG]

    อานิสงส์ ห้ามทุกขภิกขภัย ได้แก่ สงคราม ภัยพิบัต โรคระบาด แผ่นดินไหว และภัยที่จะเกิดขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม และหมายถึงการสร้างมิตรต่อทุกภพทุกภูมิ ทั้ง 20 ชั้นพรหมโลก 6 ชั้นเทวโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิท้ง 4 มีนรก เปรต อสูรกายและสัตว์เดรัจฉาน ทั้งญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี ทั้งมิตรหรือศัตรู รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย และทุกดวงจิตวิญญาณ ทุกรูปทุกนาม

    รายละเอียดการร่วมบุญ

    2.1) พระพุทธรูปมหาปัญจมิตร ขนาดความสูง 12 นิ้ว จำนวน 108 องค์ องค์ละ 10,000 บาท เพื่อบรรจุในพระธาตุเจ้ามหาปัญจมิตร
    2.2) พระพุทธรูปมหาปัญจมิตร ขนาดความสูง 12 นิ้ว 15,000 บาท (1 องค์ นำไปประดิษฐานในพระธาตุเจ้ามหาปัญจมิตร และอีก 1 องค์นำกลับไปเพื่อเป็นพระประจำตระกูลหรือพระประจำตัว)


    3.พระสิงห์ 1 เชียงแสน ขนาดความสูง 12 นิ้ว จำนวน 108 องค์ ขณะนี้ยังสามารถร่วมบุญได้ หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา

    [​IMG]

    3.1) พระสิงห์ 1 เชียงแสน ขนาดความสูง 12 นิ้ว จำนวน 108 องค์ องค์ละ 10,000 บาท เพื่อบรรจุในพระธาตุเจ้ามหาปัญจมิตร
    3.2) พระสิงห์ 1 เชียงแสน ขนาดความสูง 12 นิ้ว 15,000 บาท (1 องค์ นำไปประดิษฐานในพระธาตุเจ้ามหาปัญจมิตร และอีก 1 องค์นำกลับไปเพื่อเป็นพระประจำตระกูลหรือพระประจำตัว)

    อานิสงค์ ของการสร้างพระสิงห์ 1 เชียงแสน จะทำให้ผู้สร้างมีความอุดมสมบูรร์ เจริญงอกงาม ยิ่งใหญ่ไพบูลย์ บ่งบอกถึงชัยชนะความเป็นที่ 1 และเพื่อดำรงพรพุทธศาสนาให้ยืนยงถึง 5,000 ปี


    4.พระสีวลี(ผู้เป็นเลิศทางโชคลาภ) 12 นิ้ว จำนวน 108 องค์ ขณะนี้ยังสามารถร่วมบุญได้ หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา

    [​IMG]

    4.1) พระสีวลีขนาดความสูง 12 นิ้ว จำนวน 108 องค์ องค์ละ 10,000 บาท เพื่อบรรจุในพระธาตุเจ้ามหาปัญจมิตร
    4.2) พระสีวลีขนาดความสูง 12 นิ้ว 15,000 บาท (1 องค์ นำไปประดิษฐานในพระธาตุเจ้ามหาปัญจมิตร และอีก 1 องค์นำกลับไปเพื่อเป็นพระประจำตระกูลหรือพระประจำตัว)

    อานิสงค์ ของการสร้างพระสีวลี พระอรหันต์สาวก พระองค์หนึ่งที่มีผู้คนศรัทธาและกราบไหว้บูชาเป็น จำนวนมาก เนื่องด้วยเป็นเอตทัคคะและบารมีเป็นผู้เลิศด้วยลาภ มิว่าพระสีวลีจะจาริกไปที่แห่งใด ลาภสักการะย่อมบังเกิดมีแก่ท่านในที่นั้นเสมอ และหากหมู่พระภิกษุสงฆ์ต้องธุดงค์ในถิ่นกันดาร พระบรมศาสดาจะมีพระดำรัสให้พระสีวลีเดินทางไปด้วยเสมอ เนื่องด้วยเทพยดาทั้งหลายที่สถิตในป่า นาค ครุฑ และมนุษย์ทั้งหลาย จะจัดอาหารบิณฑบาตและจัดสถานที่พักไว้ถวายพระสีวลี และจากการที่เราสักการะกราบไหว้บูชาท่านจะนำมาซึ่งความสงบสุขร่มเย็น รวมถึงความสมบูรณ์พูนสุขด้วยโภคทรัพย์ บุคคลใดที่สร้างพระสีวลีจะมีแต่ความมหาบริบูรณ์ สมบูรณ์ มีโชคทางทรัพย์สินเงินทองมาก มีโภคทรัพย์บริบูรณ์ ทำกาค้าก็มีผลกำไรมหาศาล และยังได้ความสงบสุขร่มเย็นแก้ตนเองและครอบครัว

    กุศลบุญที่ทำให้เกิดลาภสักการะไหลมาเทมาอย่างมากมายนี้ เป็นเพราะในอดีตชาติพระสีวลี ท่านได้เคยสร้างบุญโดยการถวายน้ำผึ้งสดแก่พระวิปัสสีพุทธเจ้าพร้อมกับ หมู่สงฆ์ ด้วยอานิสงฆ์แห่งการถวายมหาทานแก่พระผู้มีจิตบริสุทธิ์ผุดผ่อง ผู้ซึ่งละแล้วจากกิเลสทั้งปวง รวมถึงการอธิษฐานจิตในอดีตชาติของพระสีวลี ที่จะขอเป็นเลิศเอตทัคคะทางด้านลาภในอนาคตกาล จึงส่งผลให้ทุก ๆ ชาติที่ท่านเกิดมาย่อมเป็นผู้สมบูรณ์พร้อมไปด้วยลาภสักการะ มิรู้จักอับจนเลย บุคคลใดที่สร้างพระสีวลี จะมีมหาลาภมากเกิดกับตน

    ก่อนที่พระสีวลีจะประสูติ ท่านต้องทนอยู่ในครรภ์พระมารดา นานถึง 7 ปี 7 วัน มื่อเจริญวัยพระสีวลีมีจิตศรัีทธาใคร่จะบรรพชาอุปสมบท โดยได้ขอบวชในสำนักพระสารีบุตร พระสารีบุตรได้เตือนให้พระสีวลีระลึกถึงทุกข์ขณะที่อยู่ในครรภ์พระมารดา ท่านได้กำหนดจิตพิจารณาตามไป ว่าการเกิดทุกครั้งย่อมเป็นทุกข์ทุกครั้ง พอปลงผมเสร็จท่านก็บรรลุพระอรหันต์ทันที บุคคลที่ใดสร้างพระสีวลีจะพ้นจากทุกขเวทนาทั้งหลายทั้งปวง และพ้นจากการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว


    5.เจ้าภาพแผ่นชนวนมงคลทอง (ทอง-เงิน-นาค) ซึ่งบรรจุดวงชะตาของตนเองและครอบครัว แผ่นละ 200 บาท (ชนวนมงคลที่เขียนดวงชะจาของท่านแล้วจะใช้ในการหล่อพระ)

    [​IMG]

    6. เจ้าภาพก้อนทองเหลืองบริสุทธิ์
    ก้อนละ 1,000 บาท (ใช้หล่อพระ)

    7.เจ้าภาพร่วมกำลังศรัทธา ซึ่งจะมีแผ่นทองให้เขียนชื่อ-สกุล วัน เดือน ปี เกิด บรรจุไว้ในพระธาตุมหาปัญจมิตร (หากไม่สะดวกมาเขียนด้วยตนเอง ทางวัดจะอำนวยความสะดวกให้)

    [​IMG]

    8.ร่วมถวายสิ่งของมีค่าเพื่อบรรจุในหัวใจของพระพุทธรูปมหาปัญจมิตร ความสูง 2 เมตรกว่า

    พระพุทธรูปมหาปัญจมิตร ความสูง 2 เมตรกว่าจะอัญเชิญประดิษฐาน ณ หน้าพระเจดีย์มหาปัญจมิตร (กราบเรียนเชิญเข้าร่วมบรรจุสิ่งของมีค่า อาทิเช่น พระบรมสาริกธาตุ แก้ว แหวน เงิน ทอง ได้ดวยตัวของท่านเอง ) กำหนดการจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง ไม่น่าจะเกินวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 หรือหากไม่สะดวกให้ท่านจัดส่ง ติดต่อได้ที่คุณ เจน Maybuddhablessyou โทรศัพท์ 081-7914549)

    กำหนดการ

    วันที่ 10-20 มิถุนายน 2556 รวบรวมแผ่นชนวน แผ่นทองเหลืองและก้อนทองเหลือง ที่จะนำไปหล่อพระพุทธรูป

    วันที่ 27 มิถุนายน 2556 เวลา 16.00 น. พิธีเททองหล่อพระ ณ มณฑลพิธีโรงหล่อณ จังหวัดนครปฐม


    ร่วมบุญได้ดังวิธีต่อไปนี้

    1.ธนาณัติ พระครูบาเหนือชัย โฆสิโต สำนักปฎิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทอง ตู้ ปณ.42 ปณจ.แม่จัน จังหวัดเชียงราย 57110

    2.โอนเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาจาแม่จัน ชื่อบัญชี พระเหนือชัย โฆสิโต เลขที่บัญชี 922-207-1019

    ติดต่อประสานงาน : พระสุทธิพงค์ ธมมวโร โทรศัพท์ 089-7000927
    คุณเจน Maybuddhablessyou โทรศัพท์ 081-7914549


    [​IMG]

    Website : prakeema [Engine by iGetWeb.com]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2013
  2. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    ประมวลภาพบวงสรวงเจดีย์พระธาตเจ้ามหาปัญจมิตรและภาพก่อสร้างล่าสุด

    [​IMG]

    เจดีย์พระธาตเจ้ามหาปัญจมิตร ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง ประมาณ 9 แสนกว่าบาท ขณะนี้ดำเนินการสร้างได้มากพอสมควร ท่านใดประสงค์จะร่วมบุญ ร่วมถวายสิ่งของมีค่าเพื่อบรรจุในหัวใจของพระพุทธรูปมหาปัญจมิตร ความสูง 2 เมตรกว่า ซึ่งจะอัญเชิญประดิษฐาน ณ หน้าพระเจดีย์มหาปัญจมิตร (กราบเรียนเชิญเข้าร่วมบรรจุสิ่งของมีค่า อาทิเช่น พระบรมสาริกธาตุ แก้ว แหวน เงิน ทอง ได้ดวยตัวของท่านเอง )


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]

    กำหนดการในการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและสิ่งของมงคล และของมีค่า จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง ไม่น่าจะเกินวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 หรือหากไม่สะดวกให้ท่านจัดส่ง ติดต่อได้ที่คุณ เจน Maybuddhablessyou โทรศัพท์ 081-7914549

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      127.9 KB
      เปิดดู:
      1,727
    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      159.7 KB
      เปิดดู:
      1,664
    • 6.jpg
      6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      133.2 KB
      เปิดดู:
      1,691
    • 7.jpg
      7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      124.7 KB
      เปิดดู:
      1,673
    • 8.jpg
      8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      107.8 KB
      เปิดดู:
      189
    • 12.jpg
      12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      300.7 KB
      เปิดดู:
      1,644
    • 13.jpg
      13.jpg
      ขนาดไฟล์:
      254.2 KB
      เปิดดู:
      1,621
    • 14.jpg
      14.jpg
      ขนาดไฟล์:
      264.1 KB
      เปิดดู:
      1,633
    • 15.jpg
      15.jpg
      ขนาดไฟล์:
      312.2 KB
      เปิดดู:
      1,636
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      316 KB
      เปิดดู:
      2,049
  3. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    ใบสั่งจองขอร่วมเป็นเจ้าภาพเป็นเจ้าภาพร่วมสร้างพระพุทธรูปปัญจมิตร พระสิงห์ 1 เชียงแสน และพระสีวลี 329 องค์

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป

    การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้

    1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
    2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย
    3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้ว ก็จะเลิกเว้นการจองเวร
    4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษ เสือร้าย ไม่อาจเป็นภัย
    5. จิตใจสงบ ปวงภัยไม่เกิด ฝันร้ายไม่มี ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล
    6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฎเกินความคาดฝัน ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน
    7. คำกล่าวเป็นสัตย์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา
    8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชาย
    9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาเลิศล้ำ บุญกุศลเรืองรอง
    10. สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็น เป็นเนื้อนาบุญอย่างอเนกทุกชาติของผู้สร้างที่เกิด จะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้า ปัญญาในธรรมแก่กล้า สามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ
    การจัดสร้างพระพุทธรูปและสิ่งพิมพ์เป็นกุศลดังกล่าว ฉะนั้น ในงานวันเกิด งานมงคลต่าง ๆ การฉลองยศหรือตำแหน่ง การทำบุญสะเดาะเคราะห์ หรือขอพร การขอขมาลาบาปตลอดจนการอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นต้น หากได้สละทรัพย์สินเงินทองเพื่อจัดกิจการดังกล่าวด้วย ก็จะเป็นผลานิสงส์สืบต่อไป

    อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูปจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์

    คติความเชื่อของพุทธศาสนิกชนเชื่อว่าอานิสงส์สร้างพระได้ชื่อว่าเจริญ กรรมฐานข้อพุทธานุสติและเป็นการบูชาพระรัตนตรัยสร้างบุญกุศลที่มั่นคงถาวร ชั่วนิจนิรันดร์กาลทั้งแก่ตนและแก่บุคคลผู้ร่วมอนุโมทนาสร้างความเจริญ รุ่งเรืองให้แผ่ไพศาลไปได้ไกลได้ร่วมกิจกรรมอันจักนำประโยชน์สุขสู่ตนและสู่ สังคม ฯลฯ นอกจากนี้พระสงฆ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันแสดงธรรมเทศน์เกี่ยวกับกับอานิสงส์ สร้างพระเช่น

    ๑.หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา แสดงธรรมไว้ว่า สร้างพระ๑องค์ ได้อานิสงส์ ๕ กัป ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่สร้างด้วยอะไรก็ตามหมายความว่าบุญกุศลจะตามหนุนส่งท่านไปทุกภพทุกชาตินานถึง๕กัป’

    ๒.พระราชพรหมยาน หรือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี กล่าวว่า "การสร้างสมเด็จองค์ปฐมทำได้ยากคือว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต้นพระพุทธเจ้า ทั้งหมดการสร้างองค์ปฐมนี้ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่โดยใช้บัญชีสีทองเป็นทองคำ ล้วนทั้งเล่มจดบันทึก (เป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่จดธรรมดา) ก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี้ต้องเป็นคนมีบุญมากและไป นิพพานได้เร็วมาก"

    ๔.หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี เคยแสดงธรรมไว้ว่า ผู้ใดสร้างรูปพระพุทธเจ้าจะเป็นองค์เล็กเท่าต้นคาก็ดีใหญ่กว่าต้นคาก็ดีผู้ นั้นจะได้เป็นพรหมเป็นอินทร์หมื่นชาติแสนชาติถ้าเป็นมนุษย์จะได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิหมื่นชาติแสนชาติจะไม่เป็นผู้ตกต่ำเลยตราบจนกว่าเข้าสู่นิพพาน

    ๕.พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ หรือ ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน เคยแสดงธรรมไว้ว่าการสร้างพระเปรียบได้กับธนาคารบุญซึ่งจะเกิดบุญกุศลกับผู้ ที่มีส่วนในการสร้างโดยบุญกุศลนั้นจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีผู้มากราบไหว้ สักการบูชาเท่ากับจำนวนคนและจำนวนครั้ง

    ๖).พระธรรมสิงหบุราจารย์ หรือ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี เคยแสดงธรรมไว้ว่า การที่ผู้สร้างพระพุทธรูปเกิดศรัทธาจนถึงสละเงินออกมาสร้างพระพุทธรูปได้และ ออกมาทำทานในงานฉลองพระพุทธรูปได้ชื่อว่าเป็นผู้มี "ความเห็นตรงเห็นถูกแท้" เพราะเป็นบุญของตนเองไม่ใช่บุญของใครเลยผู้สร้างพระพุทธรูปชื่อว่าเป็นผู้ ไม่ประมาทชื่อว่าเป็นผู้เตรียมตัวก่อนตาย
     
  5. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    อานิสงส์การร่วมบุญสร้างพระธาตุเจดีย์

    อานิสงส์การร่วมบุญสร้างพระธาตุเจดีย์การสร้างเจดีย์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือ อัฐิธาตุของบุคคลที่ควรบูชาได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ และพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นการสร้างมงคลให้กับตนเองอย่างสูงสุด เมื่อตายไปย่อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์ย่อมได้ดวงตาเห็นธรรมและบรรลุมรรคผล นิพพานโดยง่าย การมีส่วนร่วมสร้าง พระเจดีย์จะมากหรือน้อย ถ้าทำด้วยความเลื่อมใส ก็ย่อมได้อานิสงส์มากมาย ดังตัวอย่างที่หยิบยกมาให้ท่านได้อ่านต่อไปนี้

    พระเถระรูปนี้ในชาติก่อนมีส่วนร่วมสร้างเจดีย์ เพียงท่านใส่ก้อนปูนขาวลงในช่องแผ่นอิฐ ซื่งประชาชนกำลังก่ออิฐสร้างเจดีย์อยู่ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ด้วยจิตใจที่เลื่อมใส อำนาจแห่งบุญนั้นได้บันดาลให้ท่านไปเกิดในสวรรค์ แลโลกมนุษย์ถึง ๙๔ กัปป์ พอมาถึงสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดม ท่านได้มาบวชในพระพุทธศาสนาท่านคือ พระสุธาบิณฑิยเถระ


    และยังมีเรื่องเล่าจาก พระมหาโมคคัลลานะเถระ ว่าท่านได้พบเทพบุตรตนหนึ่งมีวิมานสวยงามวิจิตรตระการตา แวดล้อมด้วยนางฟ้าจำนวนมาก มาฟ้อนรำขับร้องให้เบิกบานใจ และเทพบุตรตนนี้มีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือเทพบุตรทั้งปวง ท่านจึงถามเทพบุตรตนนั้นว่า เมื่อท่านเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้หรือ ท่านถึงมีอานุภาพมากมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เทพบุตรตนนั้นตอบว่า แต่ก่อนเมื่อเป็นมนุษย์ได้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้ออกบวชอยู่ ๗ พรรษา และเป็นสาวกของพระศาสดานามว่า สุเมธ ต่อมาได้ดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว พระบรมสารีริกธาตุของท่านบรรจุไว้ในรัตนเจดีย์ซึ่งห่อหุ้มด้วยข่ายทองคำ ท่านได้ชักชวนประชาชนให้ไปสักการบูชาด้วยความเลื่อมใส กุศลจะส่งผลให้ขึ้นสวรรค์ ด้วยบุญนี้เองทำให้ข้าพเจ้าได้มาเสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมานนี้เอง

    ส่วน พระมหากัสสปะเถระนั้น ท่านได้พบเปรตตนหนึ่งมีกลิ่นเหม็นเน่า มีหนอนกินปาก นอกจากนี้ยังถูกยมบาลเฉือนปาก แล้วราดน้ำให้แสบร้อน จึงถามถึงผลกรรมของเปรตนั้น ทราบว่าแต่ก่อนตอนเป็นมนุษย์ ตนเป็นชาวนครราชคฤห์ได้ห้ามมิให้บุตร ภรรยา บูชาพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมกับเล่าถึงพวกที่มีความคิดและกระทำเหมือนตน ส่วนภรรยา และบุตรของตนได้ไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ มีวิมานสวยสดงดงาม เพราะอานิสงส์ที่ได้ไปใหว้พระบรมสารีริกธาตุ สำหรับตนเองนั้นตั้งใจไว้ว่า หากได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง จะทำการบูชาพระสถูปเจดีย์ให้มากอย่างแน่นอน

    นอก จากนี้ในครั้งพุทธกาล พระเจ้าปัสเสนทิโกศล ได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพารเป็นอันมาก ครั้นถึงหาดทรายริมฝั่งแม่น้ำพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นทรายขาว ผ่องบริสุทธิ์ยิ่งนัก ทรงมีพระทัยเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ได้รับสั่งให้ช่วยกันก่อกองทรายให้เป็นรูปเจดีย์ถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ มองดูเป็นทิวแถวสวยงาม เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เสร็จแล้วได้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่บุบผารามมหาวิหาร แล้วได้ทูลถามถึงอานิสงส์ แห่งการก่อเจดีย์ทราย พระพุทธเจ้าตรัสว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร ผู้มีศรัทธาแรงกล้าได้ก่อเจดีย์ทรายถึง๘๔,๐๐๐ องค์ หรือแม้แต่องค์เดียว ก็ย่อมได้รับอานิสงส์มาก จะไม่ตกนรกตลอดร้อยชาติถ้าเกิดเป็นมนุษย์ จะอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง มีชื่อเสียงเกียรติยศไปทั่วทุกทิศ จากนั้นจะได้ไปสวรรค์เวยทิพย์สมบัติ การก่อเจดีย์ทรายเป็นเรื่องของผู้มีความฉลาด มีความคิดดี ได้ทำเป็นประเพณีมาแล้วในอดีต แม้พระตถาคตเองก็เคยทำมาแล้วในครั้งเป็นพระโพธิ์สัตว์ ในครั้งนั้นตถาคตยากจนมาก มีอาชีพตัดฟืนขาย วันหนึ่งได้พบทรายขาวสะอาดมากในราวป่า ก็มีจิตใจศรัทธาผ่องใส วันนั้นได้หยุดตัดฟืนทั้งวัน ได้กวาดทรายก่อเป็นเจดีย์โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก แล้วเปลื้องผ้าห่มของตน ฉีกทำเป็นธงประดับไว้ เพื่อบูชาพระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วอฐิษฐานจิตขอให้เป็นปัจจัยแห่งพระโพธิ์ญาณในอนาคตกาล ครั้นเมื่อตายไปแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่ ๒ พันปีพิพย์ เมื่อสิ้นอายุขัย ได้อุบัติมาเกิดเป็นพระตถาคตนี้เอง สำหรับพระเจ้าปัสเสนทิโกศลนั้นก็ได้รับพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในภาย ภาคหน้า

    และพระมหากัสสปเถระ ยังได้กล่าวถึงประวัติและผลบุญแห่งการสร้างพุทธเจดีย์ของท่านไว้ดังนี้
    ใน ครั้งที่พระพุทธเจ้ามีนามว่าปทุมมุตตระ พระองค์ได้ปรินิพพานแล้วพระมหากัสสปเถระได้ชักชวนหมู่ญาติมิตร และประชาชน ให้มาร่วมกันสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้ากันเถิด ทุกคนมีจิตเลื่อมใส ปิติอิ่มเอมใจ จึงได้ช่วยกันสร้างเจดีย์สูงค่าเสร็จลงด้วยความเรียบร้อย เจดีย์สูงร้อยศอก สร้างปราสาท ห้าร้อยศอก สูงตระหง่านจรดท้องฟ้า ทุกคนมีจิตปิติเบิกบานในอานิสงส์บุญที่ได้พากันทำไว้ เมื่อท่านตายไปแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่บนยานทิพย์เทียมด้วยม้าสินธพพันตัว วิมานของท่านสูงตระหง่านเจ็ดชั้น มีปราสาทหนึ่งพันองค์ ซึ่งสร้างด้วยทองคำ ศาลาหน้ามุขสร้างด้วยแก้วมณี ส่องแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วสารทิศ ทั้งยังมีอำนาจเหนือเทวดาทั้งปวง เมื่อลงมาเกิดในโลกมนุษย์ ในกัปป์ที่หกหมื่นในภัทรกัปป์นี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ ครอบครองอาณาเขตไปถึง ๔ ทวีป มีแก้วแหวนเงินทองมากมาย ประชาชนมีความสุขสำราญเหมือนดั่งเมืองบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และชาติสุดท้ายได้มาเกิดในสกุลพราหมณ์ที่ร่ำรวย แต่สละทรัพย์ออกบวช จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ผู้เลิศด้วยปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ การไหว้พระธาตุถือเป็นการเสริมสร้างสิริมงคลให้แก่ชีวิตเป็นอย่างยิ่ง เพราะการบูชาพระธาตุ อันเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญมาสู่ผู้ที่บูชา รวมทั้งอานิสงส์ผลบุญที่ได้จากการกราบไหว้บูชา ยิ่งหากใครบูชาด้วยจิตใจศรัทธาอันบริสุทธิ์ และหมั่นกราบไหว้เมื่อมีโอกาส อานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของพระธาตุ จะดลบันดาลให้เกิดสิริมงคลในชีวิตแก่ตัวผู้บูชา


    อานิสงส์ในการสร้างกุศลกับพระบรมสารีริกธาตุ

    ถวายฉัตรยอดพระเจดีย์ —-> ได้รับการเคารพยกย่อง เกิดในชาติตระกูลสูง มีสง่าราศี

    ถวายทองคำ —-> ผิวพรรณงาม เปล่งปลั่ง อุดมมั่งคั่ง

    ถวายเงิน —-> ใจสว่างไสว อยู่เย็นเป็นสุข

    ถวายอัญมณี —-> รัศมีกายทิพย์สว่าง มีราศรี มักประสบโชคดี

    ถวาย, บรรจุพระเครื่อง —-> มีกำลังใจต่อสู้กับอุปสรรค มักมีคนช่วยเหลือเวลามีปัญหา

    ถวายแผ่นทองคำเปลวปิดองค์พระเจดีย์ —-> มีราศีผิวพรรณงาม ใจสว่าง อบอุ่นใจ

    ถวายอิฐ หิน ปูน ทราย —-> มีแต่ความมั่นคงในชีวิต ใจคอหนักแน่น ไม่โลเล

    สร้างองค์พระเจดีย์ —-> มักได้สิ่งอันพึงปรารถนา สุขภาพดี ไม่มีวันอดตาย

    ถวายธงหลากสีประดับองค์พระธาตุ —-> มีสง่าราศี กายทิพย์สว่าง

    ถวายโคมไฟให้แสงสว่าง เทียน —-> ใจสว่าง ชีวิตสะดวกสบาย มีอุปสรรคน้อยลง มีปัญญาธรรมสูงขึ้น เบิกทางสู่ทิพยเนตร

    ถวายดอกไม้อันบริสุทธิ์ต่างๆ —-> สุขสงบใจ ใจสะอาดสดชื่นผ่องแผ้ว

    ถวายธูป เครื่องหอมต่างๆ —-> อบอุ่นมั่นคงในใจ ใจสว่างมีอุปสรรคน้อยลง มีกลิ่นกายสะอาด รู้สึกสดชื่นเสมอ

    ถวายแผ่นหินปูพื้นพระเจดีย์ —-> มีบริวารดี มีสมาธิดีขึ้น มีเวลาปฏิบัติธรรมมากขึ้น
    ถวายกระจกสีประดับองค์พระเจดีย์ —-> กายทิพย์สว่าง มีสง่าราศี มีคนศรัทธา เห็นความดีในตัว

    ถวายผ้าเหลืองครอง(หุ้ม)องค์พระเจดีย์ —-> เพิ่มเนกขัมมบารมี ใจสงบขึ้น มีโอกาสได้วิมุตติธรรมเร็วขึ้น

    สรงน้ำพระธาตุ —-> ใจสะอาดสงบสว่างขึ้น กายและใจชุ่มชื่นแจ่มใส สุขภาพดี

    ถวายข้าว อาหาร เวรข้าวบูชาพระธาตุ —-> อุดมสมบูรณ์ อิ่มอกอิ่มใจ สุขภาพดี

    เวียนเทียนรอบองค์พระเจดีย์ —-> เพิ่มวิสัยปัจจัยแห่งกุศลธรรม เป็นสิริมงคล ช่วยยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น สะอาดขึ้น

    แสดงความเคารพอย่างสูงสุดต่อพระธาตุจากใจจริง —-> เป็นที่เคารพยกย่อง มักไม่มีใครเข้าใจผิดหรือ

    มองอะไรผิดๆ ได้บารมีวิมุตติธรรมจากพระบรมธาตุ พาไปสู่วิสุทธิมรรค ผล นิพพานได้เร็วยิ่งขึ้น

    เป็นเจ้าภาพหรือมีส่วนช่วยจัดงานฉลองพระธาตุ —-> ประสบสุขในชีวิตโดยทั่วไปแทบทุกด้านอุดมมั่งคั่ง มีคนเคารพยกย่องช่วยเหลือเสมอ

    บูรณซ่อมแซมเจดีย์พระธาตุ —-> สุขภาพดี อายุยืน รูปร่างหน้าตาผิวพรรณดี มีฐานะมั่นคง

    สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ —-> ชีวิตมั่นคงสุขสมปรารถนาทุกด้าน เป็นที่เคารพยกย่อง ได้มรรคผล นิพพานเร็วขึ้น

    ถวายภาชนะบรรจุพระบรมธาตุในเจดีย์ —-> มีชีวิตมั่งคง ปลอดภัย มั่งคั่ง มีบริวารดี มีเกียรติ เป็นที่ยกย่อง

    ถวายบทสวด เทปสวดมนต์สวดบูชาพระธาตุ —-> เป็นที่ยกย่องสรรเสริญจากคนทุกหมู่เหล่า ได้ยินได้พบแต่สิ่งที่ดีงาม เสียงใสไพเราะ มีวาจางดงาม มีสมาธิดีขึ้น

    พระปุฬินถูปิยเถระ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ในครั้งพุทธกาลได้กล่าวถึงผลที่ท่านได้รับจากการที่ท่านเคยสร้างพระสถูปเจดีย์ไว้ดังนี้

    “…เราเป็นชฎิลผู้มีตบะกล้ามีนามว่า นารทะ เราอยู่ในป่าผู้ที่จะสั่งสอน เราก็ไม่มี ใครๆ ที่จะตักเตือนเราไม่มี เราไม่มีอาจารย์และอุปัชฌาย์ สิ่งที่ควรบูชาเราควรแสวงหาเหมือนกัน เราจักได้ชื่อว่าเป็นผู้มีที่พึ่ง ครั้งนั้นเราได้ไปแม่น้ำชื่อ อเมริกา ตะล่อมเอาทรายมาก่อเป็นเจดีย์พระสถูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราได้ทำสถูปนั้นให้เป็นนิมิต เราก่อพระสถูปที่หาดทรายแล้วปิดทอง แล้วเอาดอกกระดึงทอง ๓,๐๐๐ ดอก มา บูชา เราเป็นผู้มีความอิ่มใจ ประนมกรอัญชลี นมัสการทั้งเวลาเย็น เวลาเช้า ไหว้พระเจดีย์เหมือนถวายบังคมพระพุทธเจ้าในที่เฉพาะพระพักตร์ ฉะนั้นในเวลาที่กิเลสและความตรึกเกี่ยวด้วยกามเกิดขึ้น เราย่อมนึกถึง เพ่งดูพระสถูปที่ได้ทำไว้ เราประพฤติอยู่เช่นนี้ได้ถูกพระยามัจจุราชย่ำยี เราทำกาลกิริยา ณ ที่นั้นแล้วได้ไปยังพรหมโลก เราอยู่ในพรหมโลกนั้นตราบเท่าหมดอายุ แล้วมาบังเกิดในไตรทิพย์ได้เป็นจอมเทวดาเสวยราชสมบัติในเทวโลก ๘๐ ชาติ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๐๐ ชาติ และได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ เราได้เสวยผลของดอกกระดึงทองเหล่านั้น ดอกกระดึงทอง ๒๒,๐๐๐ ดอก แวดล้อมเราทุกภพ เพราะเราได้เป็นผู้บำรุงพระสถูปฝุ่นละอองย่อมไม่ติดกับตัว ที่ตัวเราเหงื่อไม่ไหล เรามีรัศมีแผ่ซ่านออกจากตัว พระสถูปเราได้สร้างไว้ดีแล้ว เราได้บรรลุบท (ธรรม) อันไม่หวั่นไหวก็เพราะได้ก่อสถูป ผู้ปรารถนาจะกระทำกุศล ควรเป็นผู้ยึดเอาสิ่งที่เป็นสาระ ความปฏิบัตินั่นเองที่เป็นสาระเมื่อถึงภพ (ชาติ) สุดท้าย เราเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาลอันมั่งคั่ง ในพระนครสาวัตถี เราได้เห็นพระ สถูปเสมอ จึงระลึกถึงเจดีย์ขึ้นได้นั่งอาสนะอันเดียวได้บรรลุอรหัตแล้ว เราได้บรรลุอรหัตตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ เราแสวงหาพระพุทธเจ้า เราได้เห็นพระธรรม จึงออกจากเรือนบรรพชาในสำนักของพระศากยบุตรกิจ ที่ควรทำในศาสนาของพระศากยบุตร เราได้ทำสิ้นแล้ว ข้าแต่พระ ผู้มีความเพียรอันยิ่งใหญ่ สาวกของพระองค์เป็นผู้ล่วงพ้นเวรภัยทุกอย่าง ล่วงพ้นความเกี่ยวข้องทั้งปวง นี้เป็นผลแห่งพระสถูปทอง…”


    อนุโมทนาที่มา : อานิสงส์การร่วมบุญสร้างพระธาตุเจดีย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2013
  6. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    ประวัติพระปางห้ามสมุทร

    ประวัติพระปางห้ามสมุทร (เรียกเต็มว่าปางห้ามพระญาติแย่งน้ำในสมุทร)

    [​IMG][​IMG]

    พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองข้างยกขึ้นเสมอพระอุระ ตั้งฝ่าพระหัตถ์ยื่นออกไปข้างหน้าเป็นกิริยาห้ามเป็นแบบพระทรงเครื่องก็มี

    พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนานดังนี้

    เมื่อ พระบรมศาสดาทรงโปรดพระยสะแล้ว ต่อมาก็แสดงธรรม โปรดวิมละ สุพาหุ ปุณณชิ และควัมปติ เสฏฐีบุตร รวม ๔ คน กับมาณพอีก ๕o คน ซึ่งล้วนเป็นเพื่อนของพระยสะ ให้สำเร็จแล้วประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธ ศาสนา รวมเป็นอริยสงฆ์สาวก ๖o องค์ด้วยกัน เมื่อพระบรมศาสดาทรงเห็นว่า บัดนี้ควรจะประกาศศาสนาได้แล้ว จึงตรัสเรียกพระสาวกทั้ง ๖o องค์มาแล้ว ทรงรับสั่งว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราได้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลาย ทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์ แม้พวกเธอทั้งหลาย ก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลายเช่นกัน พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชนทั้งหลาย เพื่ออนุเคราะห์แก่ประชุมชน เพื่อประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์ แต่อย่ารวมกันไปทางเดียวตั้งแต่สองรูปจงแยกกันไปแสดงธรรมประกาศพรหมจรรย์ สัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีในนัยน์ตาน้อยมีอยู่ สัตว์พวกนี้ย่อมเสื่อมจากคุณที่ควรได้ เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังธรรมเมื่อได้ฟังธรรมแล้ว สัตว์ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมีเป็นแน่ ภิกษุทั้งหลาย แม้เราเองก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อแสดงธรรมเช่นเดียวกัน"

    ครั้ง ทรงส่งพระสาวก ๖o องค์ไปประกาศพระศาสนาแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ครั้งถึงไร่ฝ้าย ทรงพบภัทรวัคคีกุมาร ๓o คน ได้ทรงแสดงธรรมโปรดกุมารทั้ง ๓o คนนั้น ให้บรรลุธรรมเบื้องสูงแล้ว ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้เป็นภิกษุในพระศาสนาแล้ว ทรงส่งให้ออกไปประกาศพระศาสนาทั้ง ๓o องค์ เช่นเดียวกับพระสาวกทั้ง ๖o นั้น แล้วพระองค์ก็เสด็จต่อไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เสด็จเข้าไปประทับอาศัยอยู่ในสำนักของอุรุเวลากัสสป หัวหน้าชฎิล ๕oo ผู้เป็นที่เคารพนับถือของมหาชนในมคธรัฐเป็นอันมาก

    ต่อมาก็ทรงทำ ปาฏิหาริย์นานัปการ เริ่มตั้งแต่ทรมารพญานาคในโรงไฟอันเป็นที่นับถือของชฎิลเหล่านั้นให้มีฤทธิ์ แล้ว ประทับอยู่ที่โรงไฟนั้นโดยผาสุกวิหาร ให้ชฎิลทั้งหลายมีความเคารพนับถือในอานุภาพของพระองค์แล้ว ทรงทำปาฏิหาริย์อื่น ๆ อีก ในครั้งสุดท้ายทรงทำปาฏิหาริย์ห้ามน้ำ ซึ่งไหลบ่ามาจากทิศต่าง ๆ ท่วมสำนักท่านอุรุเวลากัสสปมิให้น้ำเข้ามาในที่พระองค์ประทับ พระองค์เสด็จจงกรมภายในวงล้อมของน้ำที่ท่วมท้นเป็นกำแพงรอบด้าน ครั้งนั้น ชฎิลทั้งหลายพากันพายเรือมาดู ต่างเห็นเป็นอัศจรรย์ในที่สุดก็สิ้นพยศทั้งหมดยอมเป็นศิษย์ตั้งอยู่ในพระ โอวาท ถึงกับลอยบริขารของชฎิลลงทิ้งเสียในแม่น้ำแล้ว ขออุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา

    พระพุทธจริยาที่ทรงทำปาฏิหาริย์ ห้ามน้ำครั้งนี้ ได้เป็นที่เลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนที่นิยมในอิทธิปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า ถือเป็นมงคลอันสูงเป็นคุณอัศจรรย์ยิ่งเป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปปางนี้ เรียกว่า "ปางห้ามสมุทร"

    แต่พุทธศาสนิกชนที่หนักในอนุสาสนี ปาฏิหาริย์ นิยมในคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาสั่งสอน เห็นเป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่า แม้จะได้สร้างพระพุทธรูปปางนี้ขึ้นไว้ ก็หาได้ปรารภถึงเหตุนี้ไม่ แต่ได้ปรารภเหตุอื่น จะขอยกมาสาธกดังต่อไปนี้ :-

    ใน พระนครกบิลพัสดุ์ อันเป็นแว่นแคว้นที่ประทับอยู่ของเจ้าศากยะ ซึ่งพระญาติข้างฝ่ายพระพุทธบิดา กับพระนครเทวทหะ อันเป็นแว่นแคว้นที่ประทับอยู่ของเจ้าโกลิยะ ซึ่งเป็นพระญาติข้างฝ่ายพระพุทธมารดา ทั้งสองพระนครนี้ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำโรหินี ชาวนาของเมืองทั้งสองนี้อาศัยน้ำในแม่น้ำโรหินีทำนาร่วมกันมาโดยปกติสุข สมัยหนึ่งฝนน้อย น้ำในแม่น้ำก็น้อยชาวนาทั้งหมดต้องกั้นทำนบทดน้ำในแม่น้ำนี้ขึ้นทำนา แม้ดังนั้นแล้วน้ำก็หาเพียงพอไม่ เป็นเหตุให้มีการแย่งน้ำทำนากันขึ้น ชั้นแรกก็เป็นการวิวาทกันเฉพาะเพียงบุคคลต่อบุคคล แต่เมื่อไม่มีการระงับด้วยสันติวิธี การวิวาทก็ลุกลามมากขึ้น จนถึงคุมสมัครพรรคพวกเข้าประหารกัน และด่าว่ากระทบถึงชาติโคตร และลามปามไปถึงราชวงศ์ในที่สุด กษัตริย์ผู้เป็นพระญาติของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระนคร ก็กรีฑาทัพออกประชิดกันยังแม่น้ำโรหินี เพื่อสัมประหารกัน โดยหลงเชื่อคำเพ็ดทูลของอำมาตย์ที่กำลังเคียดแค้นกัน มิทันได้ทรงวินิจฉัยให้ถ่องแท้ว่า เมื่อเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นเกิดขึ้นแล้วควรจะทรงระงับเสียด้วยสันติวิธี อันชอบด้วยพระราโชบายที่รักษาสันติสุขของประเทศ

    พระบรมศาสดาทรงทราบ ก็ทรงพระมหากรุณาเสด็จไปห้ามสงครามแย่งน้ำระหว่างพระญาติทั้งสอง โดยทรงแสดงโทษคือความพินาศย่อยยับของชีวิตมนุษย์ โดยไม่พอที่จะต้องพากันล้มตายทำลายเกียรติของกษัตริย์เพราะเหตุแย่งน้ำเข้า นาเล็กน้อย ครั้นพระญาติทั้งสองฝ่ายทำความเข้าใจคืนดีกันแล้ว ก็เสด็จพระพุทธดำเนินกลับ

    พระพุทธจริยาที่ทรงแสดงตอนนี้ เป็นมงคล แสดงอานุภาพของพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง พุทธศาสนิกชนผู้หนักในธรรม เล็งเห็นเป็นคุณอัศจรรย์ยิ่งแห่งอนุสาสนีปาฏิหาริย์ จึงได้สร้างพระพุทธรูปปางนี้ขึ้นเรียกว่า ปางห้ามสมุทร บ้าง เรียกว่า ปางห้ามญาติ บ้าง ดังนั้น ปางห้ามสมุทรและปางห้ามญาติจึงเป็นปางเดียวกัน แต่มีบางท่านกล่าวค้านว่า ปางห้ามญาติยกมือเดียว ปางห้ามสมุทรยก ๒ และแล้วก็ถูกบางท่านกล่าวค้านว่า ไม่ถูก ปางห้ามสมุทรยกมือเดียว ปางห้ามญาติยก ๒ มือ คือห้ามทั้งสองฝ่าย ต้องยก ๒ มือ ถ้ายกมือเดียว ก็ห้ามฝ่ายเดียว ไม่เป็นธรรม ฝ่ายที่ไม่ถูกห้ามก็จะได้ใจ แต่ฝ่ายถูกห้ามจะเสียใจ จะไม่เชื่อถือ แล้วสงครามก็จะไม่สงบ

    ตาม เหตุผลเรื่องหลังนี้แยบคายดีกว่า ถ้าเรียกพระพุทธรูปปางนี้รวมกันเป็นชื่อเดียวว่า "ปางห้ามพระญาติแย่งน้ำในสมุทร" เรื่องก็น่าจะยุติ ด้วยสมเหตุสมผล ควรแก่การเชื่อถือ ตามนัยนี้ นอกจากผู้เชื่อถือจะไม่ถูกวิจัยว่าเชื่องมงายแล้ว ยังเป็นเกียรติอันสูงแก่พระบรมศาสดาที่ทรงพระมหากรุณาควรแก่การเทอดทูนของ ชาวโลกอีกด้วย

    เรื่องพระพุทธรูปปางห้ามพระญาติ เป็นพระพุทธรูปยืนยกพระหัตถ์ ๒ ข้างนี้ เข้าใจว่ามีนักปราชญ์สันนิษฐานว่าเป็นความจริงมาแล้ว แม้แต่พระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถในเรื่องนี้ ก็ทรงเลื่อมใสในพระพุทธจริยาตอนนี้ และได้ทรงสร้างขึ้นไว้ด้วยพระราชศรัทธาก็มี ทั้งดูเหมือนมีพระราชประสงค์จะทรงให้เป็นคุณประโยชน์ดังเรื่องราวของพระพุทธ รูปปางนี้ด้วย

    ขอให้เรานึกทวนความจำอีกหน่อย คือ ลองนึกถึงภาพพระพุทธรูปปางห้ามพระญาติแย่งน้ำในสมุทร หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ห้ามสมุทรที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือนิยมเรียกว่าโบสถ์พระแก้ว ในพระบรมมหาราชวังอีกสักครั้ง ทุกท่านที่เคยเข้าไปไหว้พระแก้วแล้ว ยังคงพอจะจำภาพพระพุทธรูปปางนี้ได้ทุกคน ทราบว่าเป็นของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้าง เป็นพระขนาดใหญ่ทั้งสององค์ ซ้ำทำวิจิตรงดงาม บุด้วยทองคำหนักถึงองค์ละหลายสิบชั่ง ยังมีแบบไม่ทรงเครื่องขนาดก็ไม่เล็กนัก ดูเหมือนมีอีก ๑o องค์ อะไรเป็นเหตุให้สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ซึ่งพระองค์ก็เป็นนักปราชญ์ ทรงซาบซึ้งถ่องแท้ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี ทรงสร้างพระพุทธรูปปางนี้

    ข้าพเจ้า เข้าใจว่า การที่สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ องค์เอกอัครศาสนูปถัมภกรัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างขึ้น คงจะมีพระประสงค์ไม่เพียงเป็นที่สักการบูชาเท่านั้น เพราะถ้าเพียงเป็นที่สักการบูชาอย่างเดียวแล้ว เฉพาะพระแก้วมรกตก็น่าจะพอพระหฤทัย จุใจมหาชนชาวไทยดีแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้น ก็น่าจะทรงสร้างไว้หลาย ๆ ปาง และก็คงจะไม่ทรงสร้างเพื่อแสดงว่า พระพุทธเจ้าทรงทำปาฏิหาริย์ห้ามน้ำอันจะไหลมาท่วมพระองค์เป็นแน่ ข้าพเจ้าเข้าใจว่า สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จะต้องแน่พระหฤทัยว่า พระปางนี้จะต้องเป็นปางห้ามพระญาติแย่งน้ำในสมุทร ดังที่ปรากฏในทางตำนาน และแม้ในพระบรมวงศานุวงศ์ตลอดเสนาอำมาตย์ ทั้งนักปราชญ์ราชกวีในสมัยนั้น ส่วนมากคงจะต้องมีความเข้าใจอย่างนี้

    เมื่อแน่ใจว่าสมเด็จพระนั่ง เกล้าฯ ทรงเข้าพระทัยว่า พระพุทธรูปที่ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นเป็นกิริยาทรงห้ามนั้น เป็นพระพุทธรูปปางห้ามพระญาติแย่งน้ำในสมุทรแล้ว คราวนี้ก็มาถึงวัตถุประสงค์ของการสร้างต่อไปว่า พระองค์มีพระประสงค์อะไร ?

    ข้าพเจ้า เข้าใจว่า สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ น่าจะมีพระประสงค์จะทรงฝากคติธรรมสำหรับเตือนพระบรมวงศานุวงศ์ ที่เสด็จเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปในโบสถ์พระแก้วเนือง ๆ ว่า "พระบรมวงศานุวงศ์อย่างทรงวิวาทแย่งสมบัติกันเลย" จะถึงความย่อยยับอย่างกษัตริย์ในสมัยอยุธยา โดยทรงขอเอาอานุภาพของพระพุทธเจ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในพระพุทธรูปปางนี้ช่วยทรงเตือน ช่วยทรงห้าม ด้วยทรงหวั่นเกรงพระทัยอยู่มากว่า พระบรมวงศานุวงศ์จะเบาพระทัย ก่อการวิวาทเรื่องราชสมบัติขึ้น ในเมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว เพราะในเวลานั้น สมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ ซึ่งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ มีพระทัยมั่นหมายจะให้เสวยราชสมบัติสืบพระราชสันตติวงศ์ก็ยังทรงผนวชอยู่แต่ ก็เป็นบุญบารมีดียิ่งของพระราชวงศ์จักรีที่มิได้มีเหตุการณ์อันไม่เป็นมงคล ดังที่ทรงหวั่นเกรงพระทัยเกิดขึ้น จะว่าเป็นด้วยบารมีของพระราชปณิธานที่ทรงตั้งไว้ และอานุภาพของพระพุทธรูปปางห้ามพระญาติทั้งสององค์ที่ทรงสร้างขึ้นเพื่อการ นี้โดยเฉพาะ มีส่วนช่วยอภิบาลรักษาความสวัสดีของพระบรมราชจักรีวงศ์ด้วย ก็น่าจะมีส่วนแห่งความจริงอยู่ไม่น้อย ยิ่งกว่านั้น สมเด็จพระนั่งกล้าฯ ยังทรงถวายพระนามพระพุทธรูปทั้งสององค์นั้นว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์หนึ่ง พระพุทธเลิศหล้านภาลัย องค์หนึ่ง อันเป็นพระนามาภิไธยของสมเด็จพระบรมอัยยกาธิราช และสมเด็จพระบรมชนกนารถ ต้นปฐมบรมจักรีวงศ์อีกด้วยซึ่งล้วนเป็นคุณเครื่องช่วยส่งเสริมพระทัยพระบรม วงศานุวงศ์ให้ทรงเคารพเชื่อถือเป็นอย่างดีอีกโสดหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้สำเร็จสมพระราชปณิธานดังกล่าวแล้ว

    ตามนัยนี้แสดงให้ เห็นชัดว่า พระพุทธรูปลักษณะนี้ ต้องเป็นปางห้ามพระญาติแย่งน้ำในสมุทร และเป็นปางเดียวกันกับพระพุทธปางห้ามสมุทร ซึ่งควรจะเรียกว่าปางห้ามพระญาติมากกว่าเพราะสมเหตุสมผลตามเรื่องดังกล่าว แล้ว

    คราวนี้ปัญหาก็ตามมาอีกว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น อะไรเป็นเหตุให้นิยมเรียกพระพุทธรูปปางนี้ว่า "ปางห้ามสมุทร" ทำไมจึงไม่เรียกว่าปางห้ามพระญาติเสียแต่แรก

    ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ชะรอยเกรงจะไปพ้องกับพระพุทธรูปปางห้ามพยาธิเข้า ด้วยสำเนียงพูดคล้ายคลึงกันมาก ยิ่งสำเนียงพูดว่า พระ ของคนส่วนมากแล้ว สำเนียงตัว ร รักษากล้ำมักจะหายไป เป็นเสียง พะ เสียหมด ทั้งญา-ติ ก็นิยมอ่านว่าญาด อยู่แล้ว และ ยา-ธิ ก็นิยมพูดว่า ยาด เช่นโรคพยาธิปากขอ ไม่เห็นมีใครเรียกว่า พยา-ธิปากขอ หรือตัวพยาธิก็ไม่มีใครเรียกตัวพยา-ธิ เช่นเดียวกัน ดังนั้น พระพุทธรูปปางห้ามพยา-ธิ สำเนียงคนนิยมเรียกจึงเป็นสำเนียงว่า ปางห้ามพะยาด คล้ายกับสำเนียงเรียกพระพุทธรูปปางห้ามพระญาติของพระพุทธเจ้า ซึ่งจะทำสงครามแย่งน้ำในสมุทรกัน

    ดังนั้น จึงชอบที่จะสงวนชื่อของพระพุทธปางห้ามพระญาติไว้ เพื่อเป็นเกียรติประวัติของพระพุทธรูปปางสำคัญนี้ปางหนึ่งให้สมบูรณ์แบบ และเพื่อเป็นศรีเป็นมิ่งขวัญควรแก่การเทอดบูชาสักการะ และก็โปรดทราบไว้ด้วยว่า พระพุทธรูปปางนี้ มิใช่ปางพระประจำวันจันทร์ ที่มักเข้าใจผิดไปว่าพระประจำวันจันทร์ เป็นพระปางห้ามญาติ หรือห้ามพระญาติ คือยกพระหัตถ์ขวาขึ้นห้ามข้างเดียว พระพุทธรูปปางห้ามญาตินั้น ต้องยกพระหัตถ์ขึ้นห้ามทั้ง ๒ ข้าง และเป็นปางเดียวกับพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรโดยเหตุผลดังกล่าวแล้ว

    สำหรับ พระพุทธรูปที่ถือเป็นพระประจำวันจันทร์นั้น ต้องเป็นพระปางห้ามพยาธิหรือจะเรียกว่า ห้ามพยาธิ์ ก็ตามเถิด เป็นพระยกพระหัตถ์ขวาขึ้นห้ามข้างเดียว ซึ่งก็มีเกียรติประวัติสำคัญมาก ควรแก่การเทอดทูนขึ้นเป็นศรีเป็นมิ่งขวัญ เป็นพระประจำวันจันทร์ยิ่งนัก แต่จะยังไม่กล่าวถึงในเวลานี้ จะเอาไว้กล่าวในตำนานพระพุทธรูปปางห้ามพยาธิ ซึ่งนิยมเป็นพระประจำวันจันทร์.

    จบตำนานพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรแต่เพียงนี้.
    ข้อมูลจากหนังสือ "ตำนานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ" นิพนธ์ของ พระพิมลธรรม ราชบัณฑิต (ชอบ อนุจารีมหาเถร)

    อนุโมทนาที่มา : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
    ปางห้ามสมุทร

    อานิสงส์การสร้างพระปางห้ามสมุทร ห้ามทุกขภิกขภัย ได้แก่ สงคราม ภัยพิบัต โรคระบาด แผ่นดินไหว และภัยที่จะเกิดขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม และหมายถึงการสร้างมิตรต่อทุกภพทุกภูมิ ทั้ง 20 ชั้นพรหมโลก 6 ชั้นเทวโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิท้ง 4 มีนรก เปรต อสูรกายและสัตว์เดรัจฉาน ทั้งญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี ทั้งมิตรหรือศัตรู รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย และทุกดวงจิตวิญญาณ ทุกรูปทุกนาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2013
  7. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    ประวัติพระสิงห์ 1 เชียงแสน

    ประวัติพระสิงห์ 1 เชียงแสน

    [​IMG]

    “พระพุทธรูปเชียงแสน”
    มีต้นกำเนิดจากทางภาคเหนือ ซึ่งตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ภาคเหนือของประเทศไทยนั้น เคยเป็นที่ตั้งอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่อาณาจักรหนึ่ง เรียกว่า "อาณาจักรเชียงแสน"

    ในอดีต ราวรัชสมัยพระเจ้าอนุรุทมหาราชแผ่อำนาจเข้ามาปกครองเมืองเชียงแสน พระองค์ได้นำเอาพระพุทธศาสนาลัทธิหินยาน (เถรวาท) อย่างพุกามเข้ามาเผยแผ่ ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาลัทธิหินยานที่เข้ามาทางประเทศ อินเดียฝ่ายเหนือผ่านมอญและพม่า อาจจะเป็นด้วยเหตุนี้เอง พระพุทธรูปสมัยเชียงแสนจึงได้รับอิทธิพลจากพระพุทธรูปศิลปะอินเดียสกุลช่าง ปาละอีกด้วย “ปาละ” นั้น เป็นชื่อราชวงศ์อินเดียที่เคยครองภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย ได้แก่แคว้นพิหารและเบงกอล ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 14-17 และเป็นราชวงศ์ที่อุปถัมภ์ “พระพุทธศาสนาลัทธิมหายานนิกายตันตระ” ซึ่งนิยมการใช้เวทมนต์คาถาเป็นอย่างมาก มีศูนย์กลางอยู่ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา และได้สร้างพระพุทธรูปเป็นรูปเคารพและมีพุทธลักษณะที่สำคัญคือ พระรัศมีทำเป็นแบบดอกบัวตูมหรือลูกแก้ว ขมวดพระเกศาทำเป็นก้นหอยใหญ่ พระพักตร์กลมอมยิ้ม พระหนุ (คาง) เป็นปม ลำพระองค์อวบอูมสมบูรณ์ พระอุระนูน ชายสังฆาฏิเหนือพระอังสาซ้ายสั้นและปลายแตกเป็นปากตะขาบ นิยมสร้างเป็นปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร และปรากฏพระบาททั้งสองข้าง อันเป็นพระพุทธลักษณะของพระพุทธรูปที่มีความงดงามมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะพบที่เมืองเชียงแสน และในสมัยนั้นเมืองเชียงแสนก็อาจจะเป็นเมืองที่สำคัญจึงได้ตั้งชื่อพระพุทธ รูปศิลปะแบบนี้ว่า “พระพุทธรูปศิลปะเชียงแสน” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแบบอย่างของพระพุทธรูปรุ่นแรกๆ ของไทย

    พระพุทธรูปเชียงแสน ไม่ได้มีจำกัดอยู่เฉพาะที่เมืองเชียงแสนเท่านั้น แต่ได้ขยายขอบข่ายออกไปถึงเมืองเชียงใหม่ ลำพูน แพร่ น่าน และเลยเข้าไปยังเมืองหลวงพระบางและนครเวียงจันทน์อีกด้วย ทั้งนี้เพราะพระเจ้าไชยเชษฐาแห่งเมืองเวียงจันทน์ ได้เข้ามามีอำนาจอยู่ในนครเชียงใหม่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ได้กวาดต้อนชาวเชียงใหม่ที่มีฝีมือในการสร้างพระพุทธรูป ไปสร้างพระพุทธรูปในเขตเมืองหลวงพระบางและเมืองเวียงจันทน์ จึงได้เกิดเป็นพุทธรูปศิลปะอีกแบบหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า “พระเชียงแสนลาว” หรือที่เราเรียกกันว่า “พระพุทธรูปแบบเชียงแสนนอกเมือง” เพราะต้นกำเนิดการสร้างอยู่ในประเทศลาว “พระพุทธรูปแบบเชียงแสนลาว” มีอายุเทียบได้ราวพุทธศตวรรษที่ 20 ประมาณอายุใกล้เคียงกับ “พระพุทธรูปศิลปะเชียงแสนสิงห์ 3” หรือสมัยอยุธยา และนอกจากในเขตประเทศลาวแล้ว ยังปรากฏว่ามีการค้นพบพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสนอีกในแถบภาคตะวันออกเฉียง เหนือของประเทศไทยโดยทั่วไป อาทิ ในเขตนครพนม สกลนคร หนองคาย อุดรธานีและขอนแก่น และพระพุทธรูปแบบนี้เป็นต้นแบบฝีมือสกุลช่างปั้นพระพุทธรูปในภาคตะวันออก เฉียงเหนือในสมัยต่อมา ซึ่งคิดว่าคงจะได้รับอิทธิพลและรูปแบบการสร้างสืบต่อกันมาตลอดโดยทางลำแม่ น้ำโขงเป็นสำคัญ

    นอกจากนี้ “พระพุทธรูปศิลปะเชียงแสน” ยังได้รับอิทธิพลและแบบอย่างจากพุทธศิลปะประเทศลังกา คือจากพุทธศาสนาลัทธิหินยานอย่างเถรวาทจากประเทศอินเดียฝ่ายใต้ซึ่งเผยแผ่ เข้ามาทางภาคใต้ของประเทศไทย จึงได้เกิดเป็นพุทธศิลปะของพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนอีกแบบหนึ่งทึ่เรียกว่า “พระพุทธรูปเชียงแสนลังกาวงศ์” เรียกได้ว่ามีมากมายหลายสกุลช่าง และได้มีการสืบสานการสร้างตลอดมาเป็นระยะเวลายาวนานหลายร้อยปี ในทรรศนะของนักนิยมสะสมพระบูชา พระเครื่อง จึงได้ให้ ข้อพิจารณาพระพุทธลักษณะของ “พระพุทธรูปศิลปะเชียงแสน” ไว้ดังนี้

    พระเกศ ทำเป็นพระเกศบัวตูม พระศก ทำเป็นขมวดก้นหอย และเม็ดพระศกค่อนข้างเขื่อง พระพักตร์ อวบอูมดูสมบูรณ์ และปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย พระเนตร เป็นแบบเนตรเนื้อ (ไม่ฝังมุก) พระหนุ เป็นรอยหยิก พระวรกาย อวบอ้วนสมบูรณ์ ชายสังฆาฏิ สั้นอยู่เหนือราวนมและแตกเป็นปากตะขาบ ซึ่งจะเรียกว่า “พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์ 1” ถ้ายาวเลยราวนมลงมาเรียกว่า “พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์ 2” และสุดท้ายถ้ายาวลงมาจรดพระหัตถ์ จะเรียกว่า “พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์ 3”

    อนึ่งคำว่า “สิงห์” ใน “พระพุทธรูปสมัยเชียงแสน” นั้น ท่านโบราณาจารย์ได้สันนิษฐานที่มาออกเป็นสองนัยด้วยกัน คือ ประการแรก ด้วยความสง่างามอย่างน่าเกรงขามในพุทธศิลปะสมัยเชียงแสนนั้นประหนึ่งพระยา ราชสีห์ ซึ่งเรามักจะเรียกกันอย่างสั้นๆ ว่าสิงห์ และอีกประการหนึ่ง น่าจะมาจากคำว่า “สิงหล” ซึ่งเป็นเจ้าตำรับและเป็นแบบอย่างการสร้างพระพุทธรูปคติลังกา อันเป็นต้นแบบพระพุทธรูปในสยามอาณาจักรนั่นก็คือ “พระพุทธสิหิงค์”

    การพิจารณา “พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์ 1” ที่นิยมนอกเหนือจากการสังเกตชายสังฆาฏิก็คือ การซ้อนของพระเพลาต้องเป็นชนิดขัดเพชร พระบาทหงายขึ้นทั้งสองข้างและมีการเล่นนิ้วพระหัตถ์ (กระดกขึ้นลงอย่างเป็นธรรมชาติ) และที่สำคัญก็คือ ถ้าเป็นพระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์ 1 รุ่นแรกๆ ฐานส่วนมากมักจะเป็นฐานเขียง ก่อนที่จะคลี่คลายมาเป็นฐานบัวหรือฐานเทพประจำนพเคราะห์หรือนักษัตร และการเทค่อนข้างหนาเป็นพิเศษ ยิ่งถ้า “ผิวไม่ใช่พระขัด” นั้น หาดูได้ยากมากๆ เพราะถือว่าเป็นศิลปะสุดยอดในสกุลช่างเชียงแสนทีเดียว


    อานิสงค์ของการสร้างพระสิงห์ 1 เชียงแสน จะทำให้ผู้สร้างมีความอุดมสมบูรณ์ เจริญงอกงาม ยิ่งใหญ่ไพบูลย์ บ่งบอกถึงชัยชนะความเป็นที่ 1 และเพื่อดำรงพรพุทธศาสนาให้ยืนยงถึง 5,000 ปี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2013
  8. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    ประวัติพระสีวลี เอตทัคคะผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้มีลาภ

    ประวัติพระสีวลี เอตทัคคะผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้มีลาภ

    [​IMG]


    พระสีวลีเถระ เป็นพระมหาเถระที่มีประวัติค่อนข้างแปลกไปกว่าพระมหาเถระองค์อื่น ๆ ท่านต้องอยู่ในครรภ์พระมารดาอยู่ถึง ๗ ปี กับอีก ๗ วัน ด้วยอำนาจบุรพกรรมตามมาส่งผล และพระพุทธองค์ทรงยกย่องให้เป็นตำแหน่งเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผู้เลิศด้วยลาภ และเลิศด้วยยศทั้งหลาย ในศาสนาของพระองค์ แม้พระมารดาคือ พระนางสุปฺปวาสา ผู้เป็นราชบุตรีของเจ้าโกลิยะ ก็ทรงเป็นเอตทัคคะผู้กว่าพระสาวิกาทั้งหลายผู้ถวายสิ่งของอันประณีต การที่พระพุทธองค์ได้ทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะดังกล่าวก็เป็นไปตามความปรารถนาของท่านมาแต่ในอดีต


    ความปรารถนาในอดีต​


    ในกัปที่แสน แต่กัปนี้ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ในครั้งนั้น ท่านได้เกิดเป็นกษัตริย์ในพระนครหงสวดี ได้ยินพระพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งสาวกของพระองค์ชื่อสุทัสสนะ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้มีลาภมาก ดังนั้น ทรงปรารถนาในตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้นิมนต์ พระชินสีห์พร้อมทั้งพระสาวก ให้เสวยและฉันถึง ๗ วัน ครั้น ถวายมหาทานแล้วก็ได้ตั้งความปรารถนาว่า ขอให้ท่านเป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีลาภในอนาคตกาล พระปทุมุตตระบรมศาสดา จึงทรงพยากรณ์ว่าความปรารถนาของท่านนี้จะสำเร็จในกัปที่แสนแต่กัปนี้ไป ท่านจะบังเกิดในนาม สีวลี ได้บวชในสำนักของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าโคตมะ ซึ่งสมภพในวงศ์ของพระโอกกากราช ดังนี้แล้ว เสด็จหลีกไป

    ต่อจากนั้น ท่านก็กระทำกุศลจนตลอดชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตแล้วก็ท่องเที่ยวไปกำเนิดในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ครั้นในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ในกาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ท่านได้ถือปฏิสนธิในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลพระนครพันธุมดี ในสมัยนั้น ท่านเป็นคนโปรดปรานของสกุลหนึ่งในพระนคร และเป็นคนที่หมั่นขยันขวนขวายในกิจการงาน
    สมัยหนึ่งหลังจากที่พระบรมศาสดาเสด็จเที่ยวจาริกไปในชนบท กลับมาสู่พระนครพันธุมดี ครั้งนั้น พระเจ้าพันธุมะซึ่งเป็นพุทธบิดา ได้ทรงเตรียมอาคันตุกทาน เพื่อภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ทรงปรารถนาจะทำมหาทานแข่งกับชาวเมือง ในวันใดที่พระราชาเป็นผู้ถวายทาน เหล่ามหาชนก็จะสังเกตดู และในวันรุ่งขึ้นก็จะเตรียมทานให้ยิ่งกว่านั้น และในวันถัดไป พระราชาก็จะถวายให้ยิ่งขึ้นไปอีก จนกระทั่งถึงวันที่ ๖ ซึ่งเป็นวันของชาวเมือง ชาวเมืองเหล่านั้นทั้งหมดได้จัดเตรียมสิ่งของไว้ทุกสิ่ง โดยตั้งใจจะไม่ให้มีสิ่งใดที่ขาดแม้สักสิ่งเดียว จึงได้ตรวจดูทานที่ตนได้เตรียมไว้ก็ไม่เห็นน้ำผึ้งสด มีเพียงน้ำผึ้งที่เคี่ยวแล้ว ชนเหล่านั้นจึงให้คนถือเอาทรัพย์คนละ ๑ พันกหาปนะแล้วส่งไปเฝ้ายังประตูพระนครทั้ง ๔ เพื่อขอซื้อจากผู้ที่มาจากชนบทนอกพระนคร

    ในวันนั้นเอง ท่านเดินทางเข้ายังพระนครด้วยปรารถนาจะเยี่ยมนายบ้าน ในระหว่างทางท่านเห็นรวงผึ้งที่ปราศจากตัวอ่อน ขนาดเท่างอนไถ จึงไล่ตัวผึ้งให้หนีไป แล้วตัดกิ่งไม้ถือรวงผึ้ง ด้วยตั้งใจว่าจะนำไปให้แก่นายบ้าน ฝ่ายผู้ที่ชาวเมืองมอบเงินไปเพื่อหาซื้อน้ำผึ้ง พบท่านถือรวงผึ้งสดเข้ามาจึงขอซื้อในราคาหนึ่งกหาปนะ

    ท่านเกิดความคิดว่า ธรรมดารวงผึ้งนี้ย่อมไม่ถึงค่าน้อยกว่าหนึ่งกหาปนะมาก แต่บุรุษนี้ให้ทรัพย์กหาปณะหนึ่ง เห็นจะมีเหตุเบื้องหลังอยู่ จึงตอบปฏิเสธไป บุรุษนั้นจึงขึ้นราคาให้เป็นสองกหาปนะ ท่านก็ยังปฏิเสธอีก บุรุษนั้นก็ขึ้นราคาไปเรื่อย ๆ จนถึงพันกหาปนะ
    ท่านได้พิจารณาเห็นเป็นเรื่องผิดปกติมากที่ขอซื้อรวงผึ้งสดด้วยราคาถึงพันกหาปนะ จึงได้สอบถามถึงเหตุผล บุรุษผู้นั้นจึงให้เหตุผลว่า พวกชาวพระนครได้ตระเตรียมมหาทาน เพื่อถวายพระวิปัสสีสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีสมณะ ๖ ล้าน ๘ แสนเป็นบริวาร ในมหาทานนั้นยัง ไม่มีน้ำผึ้งดิบอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงขอซื้อ ในราคาเช่นนั้น
    ท่านเห็นเป็นโอกาสที่จะได้ทำบุญอันยิ่งใหญ่ จึงขอมีส่วนร่วมในมหาทานนั้น บุรุษนั้นไปบอกเนื้อความแก่ชาวเมือง ชาวเมืองทราบในศรัทธาของเขาจึงอนุโมทนา ท่านจึงได้เอากหาปณะที่ตนเก็บไว้เพื่อเสบียงเดินทางจากบ้านไปซื้อเครื่องเทศ ๕ อย่างแล้ว ทำให้ป่น นำเอาน้ำส้มมาจากนมส้มแล้ว คั้นรังผึ้งลงในนั้น ปรุงด้วยจุณเครื่องเทศ ๕ อย่างแล้ว ใส่ลงในบัวตระเตรียมสิ่งนั้นเรียบร้อยแล้ว ถือไปนั่งในที่ไม่ไกลพระทศพล เมื่อมหาชนเป็นอันมากนำเอาสักการะไป เขามองดูวาระที่จะถึงแก่ตนในลำดับ รู้ช่องทางแล้วจึงเข้าเฝ้าพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักการะอันยากไร้นี้เป็นของข้าพระองค์ ขอพระองค์โปรดอาศัยความอนุเคราะห์ข้าพระองค์ รับสักการะนี้เถิด พระศาสดาทรงอนุเคราะห์เขา ทรงรับสักการะนั้นด้วยบาตรศิลา อันท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถวายแล้ว ได้ทรงอธิษฐานให้ไทยธรรมที่ถวายเพียงพอแก่ภิกษุ ๖,๘๐๐,๐๐๐ รูป ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า น้ำผึ้งนั้นก็มีเพียงพอแก่พระสาวกทั้งสิ้น

    ครั้นแล้วท่านถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้กระทำภัตกิจ เสร็จแล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ด้วยผลแห่งกรรมนี้ ขอข้าพระองค์ พึงเป็นผู้ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความเป็นผู้มีลาภ ในภพที่เกิดแล้ว ๆ ดังนี้ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกุลบุตร ความปรารถนาของท่านจงสำเร็จอย่างนั้น ดังนี้แล้ว ทรงกระทำภัตตานุโมทนาแก่เขาและชาวเมืองแล้วเสด็จหลีกไป

    บุรพกรรมที่นำไปสู่อเวจีและต้องอยู่ในครรภ์พระมารดา ๗ ปี ๗ วัน​


    เมื่อท่านได้สิ้นอายุในสมัยนั้นแล้ว ท่านก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่สิ้นกาลนาน ต่อมาในสมัยหนึ่งท่านได้จุติจากเทวโลก บังเกิดเป็นราชโอรสแห่งพระเจ้ากาสี (อรรถกถาบางแห่งว่า พระเจ้าพรหมทัต) ผู้ครองกรุงพาราณสี ต่อมาพระเจ้าโกศลทรงกรีธากองพลใหญ่มายึดกรุงพาราณสี ทรงปลงพระชนม์พระเจ้ากาสีและได้สถาปนาพระอัครมเหสีของพระราชานั้นให้เป็นอัครมเหสีของพระองค์ ฝ่ายพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี ในเวลาที่พระบิดาถูกปลงพระชนม์ ได้ทรงหนีออกทางประตูระบายน้ำ รวบรวมญาติมิตรและพวกพ้องของพระองค์ไว้เป็นอันเดียวกัน รวมกำลังโดยลำดับแล้วเสด็จมายังกรุงพาราณสี ตั้งค่ายใหญ่ไว้ในที่ไม่ไกล ทรงส่งพระราชสาสน์ถึงพระราชาองค์นั้นว่า จะคืนราชสมบัติหรือจะรบ

    พระมารดาได้สดับสาสน์ของพระราชกุมารแล้ว จึงส่งพระราชสาสน์ลับแนะนำไปว่า จงอย่ามีการต่อสู้ จงตัดขาดการสัญจรทั่วทุกทิศ โดยการล้อมกรุงพาราณสีไว้ พวกคนในกรุงก็จะพากันลำบากเพราะหมด ไม้ น้ำและอาหาร และจะจับพระราชามาถวายเอง พระราชกุมารได้สดับสาสน์ของพระมารดาแล้ว จึงล้อมประตูใหญ่ทั้ง ๔ ด้านไว้ ๗ ปี แต่การณ์ก็มิได้เป็นอย่างที่ทรงดำริ เนื่องจากพวกคนในกรุงพากันออกทางประตูเล็ก นำเอาไม้และน้ำเป็นต้น มาทำกิจทุกอย่าง

    ครั้นพระมารดาของพระราชกุมารทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว จึงส่งพระราชสาสน์ลับถึงพระโอรส ตำหนิพระโอรสว่า ลูกเราโง่เขลาไม่รู้อุบาย จงปิดประตูน้อยล้อมกรุงไว้ พระราชกุมารทรงสดับพระราชสาสน์ของพระมารดา จึงได้ทรงกระทำอย่างนั้นถึง ๗ วัน ชาวพระนครเมื่อออกไปข้างนอกไม่ได้ วันที่ ๗ จึงได้เอาพระเศียรของพระราชานั้นไปมอบแต่พระราชกุมาร พระราชกุมารได้เสด็จเข้ากรุงยึดราชสมบัติ

    ท่านได้กระทำกรรมนี้แล้ว ในกาลที่สุดแห่งอายุ ไปบังเกิดในอเวจี หมกไหม้อยู่ในนรกตราบเท่ามหาปฐพีนี้หนาขึ้นได้ประมาณโยชน์หนึ่ง

    เพราะผลกรรมที่ล้อมพระนครไว้ถึง ๗ ปีในครั้งนั้น บัดนี้พระองค์จึงอยู่ในโลหิตกุมภี กล่าวคือพระครรภ์ของมารดา ๗ วัน แต่เพราะล้อมกรุงไว้ถึง ๗ วันโดยเด็ดขาด จึงถึงความเป็นผู้หลงครรภ์ถึง๗ วัน ส่วนในอรรถกถาชาดกท่านกล่าวว่า เพราะผลกรรมที่ล้อมกรุงยึดไว้ถึง ๗ วัน พระองค์จึงอยู่ในโลหิตกุมภีถึง ๗ ปีแล้วถึงความเป็นผู้หลงครรภ์ถึง ๗ วัน ก็พระองค์เป็นผู้เลิศด้วยลาภเพราะอานุภาพที่ถวายมหาทานแล้วตั้งความปรารถนาที่บาทมูลของพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ขอเป็นผู้เลิศด้วยลาภ และที่ถวายน้ำอ้อยและนมส้มมีค่า ๑,๐๐๐กหาปณะพร้อมชาวเมือง แล้วได้ตั้งความปรารถนาในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ฝ่ายพระนางสุปปวาสา อุ้มครรภ์อยู่ถึง๗ ปี หลงครรภ์อยู่ถึง ๗ วัน เพราะที่ส่งสาสน์ไปว่า พ่อจงล้อมพระนครยึดไว้ พระมารดาและบุตรเหล่านั้น ได้เสวยทุกข์เช่นนี้อันสมควรแก่กรรมของตน ด้วยประการฉะนี้


    กำเนิดในพุทธกาล​


    ครั้นพ้นจากนรกอเวจีแล้ว ก็เที่ยวเกิดไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จนถึงสมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้ จึงได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของ พระนางสุปปวาสา ราชบุตรีของเจ้าโกลิยะ กษัตริย์พระนครโกลิยะ ซึ่งทรงอภิเษกกับเจ้าศากยวงศ์พระองค์หนึ่ง พระนางนั้นพระบรมศาสดาได้ทรงสถาปนาพระนางไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้ถวายของมีรสประณีต และได้ทรงปฏิบัติธรรมจนบรรลุโสดาบันปัตติผล
    ด้วยกุศลกรรมแห่งการที่ท่านเป็นผู้เลิศด้วยลาภ เพราะอานุภาพที่ถวายมหาทาน แล้วตั้งความปรารถนาในสมัยแห่งองค์พระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ขอเป็นผู้เลิศด้วยลาภ และอานิสงส์ที่ถวายน้ำอ้อยและนมส้มมีค่า ๑,๐๐๐ กหาปณะพร้อมชาวเมือง แล้วได้ตั้งความปรารถนาในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี นับแต่วันที่ท่านถือปฏิสนธิ ก็มีคนถือเอาเครื่องบรรณาการมาให้พระนางสุปปวาสา วันละร้อยเล่มเกวียน ทั้งในเวลาเย็นและในเวลาเช้า

    ครั้งนั้น คนทั้งหลายด้วยความปรารถนาจะลองบุญนั้น จึงให้นางเอามือจับกระเช้าพืช พืชแต่ละเมล็ด ผลิตผลออกมาเป็นพืชตั้งร้อยกำ พันกำ พืชที่หว่านลงไปในที่นาแต่ละกรีส (หน่วยวัดที่นาในสมัยพุทธกาล) ก็เกิดผลประมาณ ๕๐ เล่มเกวียนบ้าง ๖๐ เล่มเกวียนบ้าง แม้ในเวลาขนข้าวใส่ยุ้ง คนทั้งหลายก็ให้นางเอามือจับประตูยุ้ง ด้วยบุญของราชธิดาเมื่อมีคนมารับของไป ของที่พร่องไปนั้นก็กลับเต็มเหมือนเดิม เมื่อคนทั้งหลายพูดว่า บุญของราชธิดา แล้วให้ของแก่ใคร ๆ จากภาชนภัตรที่เต็มบริบูรณ์ ภัตรย่อมไม่สิ้นไป จนกว่าจะยกของพ้นจากที่ตั้ง

    ด้วยผลกรรมของพระนาง ที่ได้ส่งสาส์นลับไปแนะนำพระราชโอรส ร่วมกับวิบากกรรมของพระโอรสในอดีตที่ได้ล้อมกรุงพาราณสีไว้เป็นเวลาถึง ๗ ปี ทำให้เวลาล่วงไปถึง ๗ ปี ก็ยังไม่มีพระประสูติกาล

    ครั้นเมื่อครบกำหนด ๗ ปีแล้ว ด้วยวิบากกรรมร่วมกันของพระนาง กับ พระโอรสที่ได้ปิดล้อมประตูเล็กของกรุงพาราณสีไว้เป็นเวลา ๗ วัน ทำให้ชาวเมืองไม่สามารถออกจากเมืองมาหาอาหารและสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ได้รับความลำบากมาก ทำให้พระนางเสวยทุกข์หนักตลอด ๗ วัน
    พระนางปรารภกับพระสวามีปรารถนาจะถวายทานก่อนที่จะตาย จึงส่งพระสวามีไปเฝ้าพระศาสดาเพื่อไปกราบทูลเรื่องนี้ แล้วนิมนต์พระบรมศาสดา และถ้าพระบรมศาสดาตรัสคำใด ขอให้ตั้งใจจดจำคำนั้นให้ดีแล้วกลับมาบอกพระนาง พระสวามีจึงเดินทางไปแล้วกราบทูลข่าวแด่พระพุทธองค์ พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดาจงมี ความสุข จงมีความสบาย ไม่มีโรค จงคลอดบุตรที่หาโรคมิได้เถิด พระสวามีได้ยินดังนั้นจึงถวายบังคมพระศาสดา ทรงมุ่งหน้าเสด็จกลับพระราชนิเวศน์

    ในเวลาเมื่อพระบรมสุคตตรัสเสร็จ พระกุมารก็คลอดจากพระครรภ์ของพระนางสุปปวาสาอย่างสะดวก เหล่าพระญาติและบริวารที่นั่งล้อมอยู่เริ่มหัวเราะ ทั้งที่หน้านองด้วยน้ำตา มหาชนยินดีแล้ว ร่าเริงแล้ว ได้ไปกราบทูลข่าวที่น่ายินดีแด่พระสวามีที่กำลังเดินทางกลับ พระราชาทรงเห็นอาการของชนเหล่านั้นทรงดำริว่า พระดำรัสที่พระทศพลตรัสเห็นจะเป็นผลแล้ว พระองค์จึงกราบทูลข่าวของพระทศพลนั้นแด่พระราชธิดา พระราชธิดาตรัสให้พระสวามีไปนิมนต์พระทศพล ตลอด ๗ วัน พระสวามีทรงกระทำดังนั้นและได้มีการถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน การประสูติของทารก ได้ดับจิตที่เร่าร้อนของพระประยูรญาติทั้งหมด เพราะฉะนั้น พระประยูรญาติจึงเฉลิมพระนามของกุมารนั้นว่า “สีวลีทารก”


    พระสีวลีบวชเมื่อเกิดได้ ๗ วัน
    ตั้งแต่เวลาที่ได้เกิดมาแล้ว ทารกนั้นได้เป็นผู้แข็งแรง อดทนได้ในการงานทั้งปวง เพราะค่าที่อยู่ในครรภ์มานานถึง ๗ ปี ครั้นถึงวันที่ ๗ พระนางสุปปวาสาตกแต่งพระสีวลีกุมารผู้โอรส ถวายบังคมพระศาสดา และพระภิกษุสงฆ์ เมื่อพระกุมารถูกนำเข้าไปสักการะพระสารีบุตรเถระเจ้านั้น พระเถระเจ้าได้กระทำปฏิสันถารกับเธอว่า สีวลี เธอยังจะพอทนได้หรือ ? สีวลีกุมาร ได้ตรัสตอบพระเถระเจ้าว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ กระผมจะมีความสุขที่ไหนได้เล่า กระผมนั้นต้องอยู่ในโลหกุมภีถึง ๗ ปี

    พระเถระได้กล่าวกะสีวลีทารกนั้นอย่างนี้ว่า ก็ถ้าเธอได้รับความทุกข์ถึงขนาดนั้นแล้ว บวชเสียไม่สมควรหรือ สีวลีตอบว่าถ้าบวชได้ก็จะบวช พระนางสุปปวาสาเห็นทารกนั้นพูดอยู่กับพระเถระ ก็คิดว่าบุตรของเราพูดอะไรหนอกับพระธรรมเสนาบดี จึงเข้าไปหาพระเถระถามว่า บุตรของดิฉันพูดอะไรกับพระคุณเจ้า เจ้าคะ พระเถระกล่าวว่า บุตรของท่านพูดถึงความทุกข์ที่อยู่ในครรภ์ที่ตนได้รับ แล้วกล่าวว่า ถ้าท่านอนุญาต ก็จะบวช

    พระนางสุปปาวาสาตรัสว่า ดีละเจ้าข้า โปรดให้เขาบรรพชาเถิด พระเถระนำทารกนั้นไปวิหาร ให้ ตจปัญจกกัมมัฎฐาน (กรรมฐาน 5 กอง คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ) และได้กล่าวว่า สีวลี เราไม่จำต้องให้โอวาทดอก เธอจงพิจารณาทุกข์ ที่เธอเสวยมาถึง ๗ ปีนั่นแหละ ในขณะที่โกนผมปอยแรก พระสีวลีก็บรรลุโสดาปัตติผล และในขณะโกนปอยที่ที่ ๒ ก็บรรลุสกทาคามิผล และในขณะโกนผมปอยที่ ๓ ก็บรรลุอนาคามิผล และก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมกันกับที่โกนผมหมด

    ส่วนอาจารย์บางพวก กล่าวถึงการบรรลุพระอรหัตของพระเถระนี้ไว้ดังนี้ว่า เมื่อพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ให้โอวาทโดยนัยดังกล่าวแล้วข้างต้น เมื่อสีวลีกุมารกล่าวว่า กระผมจักรู้กิจกรรมที่กระผมสามารถจักกระทำได้ (ด้วยตนเอง) ดังนี้ แล้วจึงบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน เห็นกุฏิหลังหนึ่งว่าง (สงบสงัด) จึงเข้าไปสู่กุฏินั้นในวันนั้นแหละ ระลึกถึงทุกข์ที่ตนเสวยแล้วในท้องมารดาตลอด ๗ ปี แล้วพิจารณาทุกข์นั้น ในอดีตและอนาคต โดยทำนองนั้นแหละอยู่ ภพทั้ง ๓ ก็ปรากฏว่า เป็นเสมือนไฟติดทั่วแล้ว สีวลีสามเณรหยั่งลงสู่วิปัสสนาวิถี เพราะญาณถึงความแก่รอบ ทำอาสวะแม้ทั้งปวงให้สิ้นไป ตามลำดับมรรค บรรลุพระอรหัตแล้ว ในขณะนั้นเอง ส่วนพระเถระก็เป็นผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ได้อภิญญา ๖


    พระสีวลีทดลองบุญ

    ในเวลาต่อมา พระบรมศาสดาได้เสด็จไปยังพระนาครสาวัตถี พระสีวลีเถระถวายอภิวาทพระบรมศาสดาแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักทดลองบุญของข้าพระองค์ ขอพระองค์จงมอบภิกษุ ๕๐๐ รูปแก่ข้าพระองค์ พระศาสดาตรัสสั่งว่า จงรับไปเถิด สีวลี ท่านพาภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางบ่ายหน้าไปสู่หิมวันตประเทศ เดินทางผ่านดง เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นไทร ที่ท่านเห็นเป็นครั้งแรก ได้ถวายทานตลอด ๗ วัน เทวดาทั้งหลายได้ถวายทานทุก ๆ ๗ วัน ในสถานที่ทั่ว ๆ ไป ที่ท่านเห็นต่างกรรม ต่างวาระ กันดังนี้ คือ

    ท่านเห็นต้นไทรเป็นครั้งแรก เห็นภูเขาชื่อว่าปัณฑวะเป็นครั้งที่ ๒ เห็นแม่น้ำอจิรวดี เป็นครั้งที่ ๓ เห็นแม่น้ำวรสาครเป็นครั้งที่ ๔ เห็นภูเขาหิมวันต์เป็นครั้งที่ ๕ ถึงป่าฉัททันต์ เป็นครั้งที่ ๖ ถึงภูเขาคันธมาทน์เป็นครั้งที่ ๗ และพบพระเรวตะ เป็นครั้งที่ ๘

    ประชาชนทั้งหลาย ได้ถวายทานในที่ทุกแห่งตลอด ๗ วันเท่านั้น ก็ในบรรดา ๗ วัน นาคทัตตเทวราช ที่ภูเขาคันธมาทน์ ได้ถวายบิณฑบาตชนิดน้ำนม (ขีรบิณฑบาต) สลับวันกับ ถวายบิณฑบาตชนิดเนยใส (สัปปิบิณฑบาต) วันเว้นวัน ลำดับนั้นภิกษุสงฆ์จึงถามท่านเทวราช ว่า ของที่ท่านนำมาถวายนั้นเกิดขึ้นได้อย่าไร ในเมื่อ แม่โคนมที่เขารีดนมถวายแด่เทวราชนี้ก็มิได้ปรากฏ การบีบทำน้ำนมส้มก็มิได้ปรากฏ เนาคทัตตเทวราชตอบว่า นี้เป็นอานิสงส์แห่งการถวายสลากภัตรน้ำนมในกาลแห่งพระกัสสปทศพล
    ในกาลต่อมา พระศาสดาทรง เอาเหตุแห่งการที่พระขทิรวนิยเถระจัดการต้อนรับ ให้เป็นอัตถุปบัติ (เหตุเกิดแห่งเรื่อง) ในการที่ทรงแต่งตั้งพระสีวลีเถระไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศ ในบรรดาภิกษุผู้เลิศด้วยลาภ และเลิศด้วยยศทั้งหลาย ในศาสนาของพระองค์ ในเรื่องนี้ มีเหตุเกิดขึ้นอย่างนี้

    เหตุเกิดแห่งเรื่องที่ทรงแต่งตั้งพระสีวลีเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผู้เลิศด้วยลาภ และเลิศด้วยยศทั้งหลาย ในศาสนาของพระองค์

    ในสมัยหนึ่ง พระขทิรวนิยเรวตเถระ ซึ่งเป็นน้องชายของพระสารีบุตร ได้หนีการแต่งงานที่บิดามารดาจัดการให้ มาขอบวชในสำนักพระภิกษุ ซึ่งมีภิกษุอยู่ประมาณ ๓๐ รูป เหล่าพระภิกษุสอบถามดู ทราบว่าเป็นน้องชายของพระสารีบุตร ที่ท่านได้เคยแจ้งไว้ก่อนว่าถ้าน้องชายมาขอบวชก็อนุญาตให้บวชได้ จึงได้ทำการบวชให้แล้วส่งข่าวมายังท่านพระสารีบุตร
    ครั้งนั้น เมื่อพระสารีบุตรทราบข่าวดังนั้น จึงกราบทูลพระศาสดาเพื่อขอไปเยี่ยม พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบว่าพระเรวตะเริ่มทำความเพียรเจริญวิปัสสนา จึงทรงห้ามพระสารีบุตรถึง ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ เมื่อพระสารีบุตรทูลอ้อนวอนอีก ทรงทราบว่า พระเรวตะบรรลุพระอรหัตแล้วจึงทรงอนุญาตและตรัสว่าจะทรงไปด้วยพร้อมเหล่าพระสาวกอื่น

    ดังนั้น พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร ก็ได้เสด็จออกไปด้วยพระประสงค์ว่าจะไปเยี่ยมพระเรวตะ ครั้นเดินทางมาถึง ณ ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหนทาง ๒ แพร่ง
    พระอานนเถระกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญตรงนี้มีหนทาง ๒แพร่ง ภิกษุสงฆ์จะไปทางไหน พระเจ้าข้า

    พระศาสดาตรัสถามว่า อานนท์หนทางไหน เป็นหนทางตรง
    พระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญหนทางตรงมีระยะประมาณ ๓๐ โยชน์ แต่เป็นหนทางที่มีอมนุษย์ ส่วนหนทางอ้อมมีระยะทาง ๖๐ โยชน์ เป็นหนทางสะดวกปลอดภัย มีภิกษาดีหาง่าย
    พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ สีวลีได้มาพร้อมกับพวกเรามิใช่หรือ
    พระอานนท์กราบทูลว่า ใช่ พระสีวลีมาแล้วพระเจ้าข้า
    พระศาสดาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นพระสงฆ์จงไปตามเส้นทางตรงนั้นแหละ เราจักได้ทดลองบุญของพระสีวลี พระศาสดามีพระภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จขึ้นสู่เส้นทาง ๓๐ โยชน์ เพื่อจะทรงทดลองบุญของพระสีวลีเถระ
    จำเดิมแต่ที่ได้เสด็จไปตามหนทาง หมู่เทวดาได้เนรมิตพระนครในที่ทุกๆ โยชน์ ช่วยกันจัดแจงพระวิหารเพื่อเป็นที่ประทับและที่อยู่แด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
    พวกเทวบุตร ได้ถือเอาข้าวยาคูและของเคี้ยวเป็นต้น ไปเที่ยวถามอยู่ว่า พระผู้เป็นเจ้าสีวลีไปไหน ดังนี้แล้ว จึงไปหาพระเถระ พระเถระจึงให้นำเอาสักการะและสัมมมานะเหล่านั้นไปถวายพระศาสดา พระศาสดาพร้อมทั้งบริวารเสวยบุญของพระสีวลีเถระผู้เดียว ได้เสด็จไปตลอดทางกันดารประมาณ ๓๐ โยชน์
    ฝ่ายพระเรวตเถระทราบการเสด็จมาของพระศาสดา จึงนิรมิต พระคันธกุฎีเพื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า นิรมิตเรือนยอด ๕๐๐ ที่จงกรม ๕๐๐ และที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน ๕๐๐ พระศาสดาประทับอยู่ใน สำนักของเรวตะเถระนั้นสิ้นกาลประมาณเดือนหนึ่งแล แม้ประทับอยู่ ในที่นั้น ก็เสวยบุญของพระสีวลีเถระนั่นเอง แม้พระศาสดาทรงพาภิกษุสงฆ์ไป เสวยบุญของพระสีวลีเถระ ตลอดการประมาณเดือนหนึ่งนั่นแลอีก เสด็จเข้าไปสู่บุพพาราม ลำดับ


    ในกาลต่อมา พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้าแล้ว ทรงสถาปนาพระเถระนั้นไว้ในตำแหน่งอันเลิศว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสีวลีเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีลาภ
     
  9. นางสาวอยู่จ้ะ

    นางสาวอยู่จ้ะ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +3,865
    8.ร่วมถวายสิ่งของมีค่าเพื่อบรรจุในหัวใจของพระพุทธรูปมหาปัญจมิตร

    อยากส่ง "อัญมณี" มาร่วมบรรจุค่ะ (ไม่ทราบว่าพอจะเป็นไปได้มั้ย
    คือไม่มีเวลาไปร่วมพิธีค่ะ)
     
  10. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    ได้ค่ะ อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ ติดต่อหลังไมค์ได้เลยนะค่ะ :cool:
     
  11. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    สวัสดีวันพระ ขึ้น 8 ค่ำเดือน 7 ปีมะเส็ง สัมมาอะหังค่ะ เอาภาพเก็บตกน่ารักๆ
    จากพระขี่ม้า face book มาฝากจ๊ะ อนุโมทนาสาธุการกับผู้ร่วมบุญที่ติดต่อหลังไมค์ทุกๆ ท่านด้วยค่ะ สาธุ สาธุ


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
  12. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    รายนามรายนามพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เมตตาเป็นอย่างสูง...มาในงานพิธีหล่อพระบรรจุพระธาตุเจ้ามหาปัญจมิตร ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2556 ที่โรงหล่อพระจังหวัดนครปฐม ได้รับความเมตตาตาจาก

    ๑. พระเดชพระคุณหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
    ๒. หลวงปู่บุญ วัดทุ่งเหียง จ.ชลบุรี
    ๓. หลวงพ่อสะอาด วัดเขาแก้ว จ.นครสวรรค์
    ๔. หลวงพ่อสุวรรณ วัดยาง จ.สิงห์บุรี (เทพเจ้าตะกรุดโทน)
    ๕. พระอาจารย์นิล ชาคารธมฺโม จ.สกลนคร
    ๖. พระครูบาหน่อแก้วฟ้า ลานธรรมอรหันตาหน่อแก้วฟ้าโพธิญาณ จ.นครราชสีมา
    ๗. พระครูบาวิฑูรย์ ปรียนันท์ธรรมสถาน จ.นครสวรรค์
    ๘. พระอาจารย์หนึ่ง วัดท่าโขลง จ.ลพบุรี


    ขอน้อมกราบหลวงพ่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ทุกๆท่าน...ที่มีเมตตามาร่วมในการอธิษฐานจิต...ในพิธีเททองหล่อพระ...ในครั้งนี้ด้วยเจ้าค่ะ.....สัมมาอะระหังค่ะ ^_^
     
  13. chokdee1959

    chokdee1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +468
    ขอร่วมทำบุญด้วยจำนวน 500 บาท โอนจากลำพูน วันที่ 17 มิถุนายน 2556 เวลา 13.27 น. จากธนาคารกรุงไทย
     
  14. คนบรรพต

    คนบรรพต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2007
    โพสต์:
    647
    ค่าพลัง:
    +4,456
    ผมได้โอนเงินร่วมบุญร่วมบุญเป็นเจ้าภาพสร้างพระพุทธรูป และเททองหล่อพระพุทธรูปมหาปัญจมิตร ด้วยครับ จำนวนเงิน ๒๐๐ บาท

    พร้อมนี้ได้แนบภาพการโอนเงินมาให้ด้วยครับ


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ ขอชื่อ-นามสกุล วัน เดือน ปี เกิด หลังไมค์ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเขียนลงบนแผ่นชนวนทอง ที่จะใช้หล่่อพระให้ค่ะ สาธุ สาธุ ขอให้ท่านเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปนะค่ะ
     
  16. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537


    อนุโมทนาบุญด้วยค่ะท่าน เดี๋ยวจัดการเขียนแผ่นชนวนทองให้ค่ะ ขอให้ท่านเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ขอให้สมหวังในทุกสิ่งทุกประการด้วยบุญที่ทำในครั้งนี้ อนุโมทนาสาธุ สาธุด้วยค่ะ
     
  17. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    แผ่นทอง ดวงมหายันต์โภคทรัพย์ค่ะ ร่วมบุญ 100 บาท ได้เขียนดวงชะตาเราลงบนยันต์โภคทรัพย์แผ่นนี้ค่ะ บุญนี้ไม่ทำไม่ได้แล้วนะค่ะ กราบเรียนเชิญค่ะ แผ่นทองนี้คงจะนำไปหล่อองค์พระพุทธรูป หรือนำไปไว้ในองค์เจดีย์พระธาตุเจ้ามหาปัญจมิตร ค่ะ

    [​IMG][​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. rehacked

    rehacked เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,191
    ค่าพลัง:
    +8,013
    อนุโมทนากับทุกท่านครับ คุณตา คุณแม่ ผมและน้องชายร่วมบุญ150บาทครับ



    บัญชีผู้รับเงิน
    เลขที่บัญชี 9222071019 - พระ เหนือชัย โฆสิโต
    จำนวนเงิน
    จำนวนเงินที่ต้องการโอน 150.00 บาท
    ค่าธรรมเนียม 10.00 บาท
    วันที่ทำรายการ 19/06/2556 - 11:28:00
     
  19. พวิน

    พวิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +382
    อนุโมทนาสาธุครับ มีโอกาสจะไปทำบุญครับ
    เคยไปมาสองครั้งครับ สงบเงียบและวิวทิวทัศน์สวยงามมากๆ ครับ
    เก็บภาพประทับใจมาฝากครับ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=fs49hlZzaYA"]????????????? 12 ?? ? 55 - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2013
  20. titapoonyo

    titapoonyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,133
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +12,769
    ในนาม กองบุญรวมชุมชนมโนมยิทธิฯ ร่วมทำบุญ 300 บาทครับ..


     

แชร์หน้านี้

Loading...