พระจิตตคุตต์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 16 กันยายน 2013.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,077
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,669
    พระจิตตคุตต์


    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘



    เพื่อนของใจคือธรรม เราจะเห็นได้อย่างพระกรรมฐานท่านดาษดื่นท่านอยู่อย่างนั้น อยู่องค์เดียวทั้งวันทั้งคืน อยู่อย่างนั้นตลอด ท่านไม่มีอะไรเป็นเพื่อน ท่านไม่คิดเกี่ยวข้องกับผู้ใดทั้งนั้น ท่านมีธรรมเป็นเครื่องอยู่อบอุ่นภายในจิตใจของท่านอยู่ตลอดเวลา เย็น ถ้าว่าอบอุ่นก็อบอุ่นตลอด เป็นตายท่านไม่ได้สนใจ เพราะความอบอุ่นที่พึ่งของจิตมีอยู่แล้ว ติดกับจิตอยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นอยู่ไม่ได้ คนที่มีจิตว้าเหว่ไปอยู่อย่างนั้นอยู่ไม่ได้ อยู่ในป่าได้ไม่กี่วันก็เผ่น ท่านผู้มีจิตกับธรรมสนิทสนมกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ท่านอยู่ได้ทั้งปีทั้งเดือน ทั้งชีวิตจิตใจอยู่ได้ตลอด

    ในครั้งพุทธกาลที่เด่นมากที่สุดก็คือ พระจิตตคุตต์ ท่านอยู่องค์เดียวตลอด ๖๐ ปีอยู่ในถ้ำ ในตำราท่านแสดงเอาไว้ มีเทวดาเป็นผู้อารักขาท่าน ใครเข้าไปยุ่งไม่ได้นะเทวดาแสดงฤทธิ์เดชมากทีเดียว เพราะรักท่านมาก ชื่อพระจิตตคุตต์ จิตตคุตต์ แปลว่า ผู้รักษาจิต ท่านสำรวมระวังดีมาก เพดานถ้ำมีพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ เขาวาดภาพไว้แต่โบร่ำโบราณท่านไม่เห็นเลย ท่านไม่ได้มองขึ้นจนกระทั่งเพดานถ้ำ ท่านสำรวมมาก ดอกพิกุลหล่นลงมาหน้าถ้ำท่านก็เห็น อ้อ นี่ดอกพิกุลออกแล้ว ร่วงหล่นมาเต็มหน้าถ้ำท่านก็ไม่ได้แหงนดู สมชื่อว่าพระจิตตคุตต์ คือผู้รักษาจิตจริง ๆ มีเทวดาล้อมรอบอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน เทวดาอารักขาท่านอะไรเข้าไปยุ่งไม่ได้นะ เทวดาจะแสดงฤทธิ์เดชขึ้นทันที มีปาฏิหาริย์ขึ้นทันที พอทำอะไรก็ทำพวกเทวดา ทำเพื่อปราบปรามขู่เข็ญไม่ให้เข้าไปยุ่งท่าน

    อยู่ที่นั่น ๖๐ ปี ท่านก็ไม่เห็นรูปพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์อยู่บนเพดานถ้ำ ลูกศิษย์ลูกหาท่านมาหามองโน้นมองนี้ชี้นั้นชี้นี้ โอ้โห พวกท่านทั้งหลายตาดีนะ ท่านใส่ปัญหาเอา พวกท่านทั้งหลายตาดี ผมอยู่นี้ ๖๐ ปีนี้แล้วยังไม่เคยเห็นรูปพระพุทธเจ้าบนเพดานถ้ำเลย ท่านไม่มอง พวกท่านตาดีนะ คำว่าพวกท่านตาดีนะก็คือ ถ้าท่านต่อคำสุดท้ายก็ว่าผีสู้ไม่ได้ ว่างั้น ตาดีเหมือนผี ผีสู้ไม่ได้ นี่ละองค์ที่เด่นที่สุดในเรื่องความสำรวม ท่านก็เขียนไว้ในตำรา ท่านอยู่องค์เดียวตลอด มีพวกเทวดาอารักขาอยู่ พวกรุกขเทวดารักษาตลอด ท่านจะไปไหนพวกเทวดารุมล้อมไม่ให้ไป นี่ละเขารักษา

    พระราชาให้คนไปนิมนต์ท่านมาพระราชวัง อยากทำบุญให้ทาน อยากกราบไหว้บูชาท่าน ท่านไม่เคยมาเลย ให้ใครไปนิมนต์ท่านก็ไม่มา สุดท้ายพระราชาต้องออกอุบาย เห็นท่าไม่ได้การจริง ๆ ก็ให้เอาผ้าพันนมแม่ลูกอ่อนตีตราไว้เลยใครเปิดไม่ได้ ถ้าพระจิตตคุตต์ไม่ลงมาแล้วใครจะเปิดผ้าให้ลูกกินนมไม่ได้ พอปิดถันพวกแม่ลูกอ่อนหมดเรียบร้อยแล้วก็ให้คนขึ้นไปนิมนต์ท่าน เล่าเรื่องให้ท่านฟัง โถตาย ท่านก็โดดลงเลย เด็กตายหมดบ้านหมดเมืองแหละท่านว่า นั่นบทเวลาจะได้ก็เด็กนะ เพราะความสงสารเด็ก พอท่านลงมาแล้วถึงเปิดผ้าให้ลูกกินนม นั่นพระราชาเอาแบบนั้นนะ ตีตราไว้ด้วยใครจะเปิดไม่ได้ เด็กไม่ได้กินนมก็จะตายละซีท่านก็เผ่นเลย ขนาดนั้นละ พระราชานิมนต์ท่านไม่ไป ๆ

    ไม่มีอะไรดีไม่มีอะไรอบอุ่นมากกว่าธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องการอะไรเป็นเพื่อนเป็นฝูง สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเป็นเพื่อนเป็นฝูง ไม่สนิทกับอะไรเลย มีธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกันเท่านั้น หมายถึงพระอรหันต์ท่านเป็นอย่างนั้น ท่านไม่ได้คุ้นอะไรกับใคร สามแดนโลกธาตุนี่ท่านไม่ได้ถือใครเป็นมิตรเป็นศัตรู ท่านอยู่ตรงกลางนั้น เราจะคาดก็คาดไม่ถูกคิดไม่ถูกเดาไม่ได้ คือไม่เหมือนอะไร นอกโลกแล้วว่างั้นเถอะ พอเดาได้พูดได้แต่ว่าท่านไม่คุ้นกับอะไร ท่านไม่ติดอะไรพูดง่าย ๆ ว่าอย่างนั้น จึงไม่เอาอะไรเป็นเพื่อน ไม่เอาอะไรเป็นศัตรู ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ว่าใจแล้วก็แล้วว่าธรรมแล้วก็แล้วใจ นี่ละใจเวลาชำระให้เสร็จเรียบร้อยแล้วไม่มีอะไรเคลือบแฝง

    กิเลสเป็นพวกสนิมเกิดจากเหล็กนะ มันกัดเหล็กกินเหล็กสึกกร่อนไปจนเสียเหล็กไปหมด นี่กิเลสเกิดขึ้นภายในใจมันกัดใจ แต่ใจไม่ได้ฉิบหาย กัดก็มีความทุกข์ความทรมานตามอำนาจแห่งความทุกข์มากน้อย แต่ใจไม่ได้ฉิบหายเหมือนเหล็ก เหล็กนี่เวลาสนิมกินจริง ๆ จนหมดนะไม่มีเหลือ สนิมกินเหล็กกัดเหล็กจนหมด แต่สนิมของใจกัดใจไม่หมดใจไม่สูญ หากได้รับความทุกข์ความทรมาน ยอมรับว่าทุกข์

    นั่นละท่านมีธรรมเป็นเพื่อนเป็นเพื่อนตายท่านจึงอยู่ได้ในที่ไหน ๆ ท่านอยู่ได้สบาย ๆ ท่านไม่สนใจพูดกับใครคุยกับใคร ไม่อยากพูดกับใครคุยกับใคร ไม่สนใจกับใคร มีแต่ธรรมกับใจอยู่ด้วยกัน ถ้าผู้บำเพ็ญก็ธรรมกับใจบำรุงกันอยู่ตลอดเวลา ถ้าผู้เสร็จสิ้นไปแล้วก็อย่างที่ว่าธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ผู้ที่ยังไม่เป็นเช่นนั้น กำลังดำเนินนี้ท่านก็ฝักใฝ่ใยดีอยู่กับอรรถกับธรรมเท่านั้น ท่านไม่ได้คิดแยกแยะออกไปไหนพอจะให้เกิดความว้าเหว่วุ่นวายซึ่งเป็นการรบกวนจิตใจ ท่านไม่มี ท่านมีแต่ธรรมกับใจอยู่ด้วยกัน บำเพ็ญตลอด

    พูดอย่างนี้เราก็ระลึกได้ เวลาเราอยู่ในป่าในเขา คือเวลาฟัดกับกิเลสพูดง่าย ๆ ถ้าพูดถึงกิเลสนี่คึกคักขึ้นเลยนะเป็นยังไงไม่ทราบ พอว่ากิเลสละมันคึกคักขึ้นเลยไม่ได้ยกครูแหละ ถ้ากิเลสละใส่กันเปรี้ยงเลย นี่เข้าไปอยู่ในป่าในเขา เขาเข้าไปเยี่ยม..พวกชาวบ้าน เขาเห็นไม่มาบิณฑบาตเขาไปถาม เราไม่ตอบนะก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง เขาถามว่าท่านอยู่คนเดียวอย่างนี้ท่านไม่คิดอยากพูดอยากคุยกับใครเหรอ เพื่อนฝูงท่านก็ไม่มี ตลอดเวลาท่านอยู่ได้ยังไง ท่านไม่อยากคุยอยากพูดกับใครเหรอ เรายังระลึกได้ไม่ลืมนะ ไม่ตอบนะเงียบ เป็นอันว่าเขาได้รับคำตอบแล้ว ตอบแล้วเขาก็ไม่รู้เรื่องตอบไปหาอะไร คือคนทั้งหลายอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องหาเพื่อนหาฝูง เด็กก็ต้องหาเพื่อนเด็ก


    คัดลอกจาก http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1165&CatID=2
     
  2. manopk36

    manopk36 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2013
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +193
    จิตพระอรหันต์เท่าเทียมกันคำสอนของหลวงตาอยู่ในจิตใจของเราเสมอ กราบระลึกถึงท่านเสมอ สาธุ สาธู สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...