พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย TURK T.M., 25 ตุลาคม 2008.

  1. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    001 ทิพยจักษุมีได้จริง

    ปัญหา ตามพุทธประวัติกล่าวว่า พระปัญจวัคคีย์ทั้งห้า ได้ทอดทิ้งพระสมณศากยมุนีหนีไปก่อนที่พระองค์จะได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ได้เสด็จไปโปรดพระปัญจวัคคีย์ ซึ่งอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ซึ่งเป็นระยะทางไกลมาก พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่า พระปัญจวัคคีย์อยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน และเสด็จไปโปรดถูกที่ ?

    พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ... เราจึงคิดว่า เราจะแสดงธรรมเป็นครั้งแรกแก่ใครหนอ ใครจักทราบชัดธรรมนี้ได้โดยเร็ว เราจึงคิดว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์ได้อุปัฎฐากเราผู้กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ เป็นผู้มีอุปการะแก่เรามากนัก ถ้าไฉน เราพึงแสดงธรรมเป็นครั้งแรกแก่พวกเธอ เราจึงคิดว่า บัดนี้ภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ที่ไหนหนอ เราก็รู้ได้ว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์ อยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสีด้วยทิพยจักษุที่บริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ครั้นเราอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาพอสมควรแล้ว จึงได้ออกจาริกไปเมืองพาราณสี.... ฯ
     
  2. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    002 ผลของศรัทธาในพระพุทธเจ้า

    ปัญหา ในศาสนาฝ่ายเทวนิยม ผู้ใดมีความเชื่อและความรักในพระผู้เป็นเจ้า ผู้นั้นย่อมมีหวังเข้าสู่สวรรค์ ในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้อย่างไรบ้าง ?

    พุทธดำรัสตอบ “....บุคคลใดมีเพียงความเชื่อ เพียงความรักเราบุคคลนั้นทั้งหมดเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า” ผลแห่งการละกิเลส
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย
    ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใด เป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
    มีกิจที่จำต้องทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระ ปลงลงแล้ว ลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว มีสัญโญชน์ใน
    ภพหมดสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุเหล่านั้นย่อมไม่มีวัฏฏะ เพื่อจะบัญญัติต่อไป.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยาย
    แล้ว ภิกษุเหล่าใดละโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ ประการ ได้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดเป็น
    โอปปาติกะ ปรินิพพานในโลกนั้น มีการไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา

    ดูกรภิกษุทั้งหลายในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว
    ภิกษุเหล่าใดละสัญโญชน์ ๓ ประการได้แล้ว กับมีราคะโทสะและโมหะบางเบา
    ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นพระสกทาคามี มาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว
    ภิกษุเหล่าใดละสัญโญชน์ ๓ ประการได้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นพระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็น
    ธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีปัญญาเครื่องตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรา
    กล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้นเปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใด ผู้เป็นธัมมานุสารี
    เป็นสัทธานุสารี ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด มีปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ดีเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เบื้องของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว
    บุคคลเหล่าใด มีเพียงความเชื่อ เพียงความรักในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีสวรรค์
    เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น มีใจชื่นชม
    เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.
    จบ อลคัททูปมสูตรที่ ๒

    ที่มา
    http://www.84000.org/true/002.html
     
  3. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    003 โดยปรมัตถ์ ธาตุ ๔ ก็ไม่ควรยืดถือ

    ปัญหา การที่พระพุทธองค์ตรัสถึงเรื่องธาตุ ๔ นั้น พระองค์ทรงเชื่อว่ามีธาตุ ๔ จริง ๆ หรือเพราะทรงเรียกตามโวหารโลกที่คนเข้าใจกันอยู่ในสมัยนั้น ? มีพระพุทธพจน์ตอนไหนบ้างที่แสดง ธาตุ ๔ เป็นแต่สิ่งสมมติ ?

    พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนในโลกนี้ ไม่ได้สดับ ไม่ได้พบพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้รับคำแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับคำแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมรู้ธาตุดิน .... ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ย่อมรู้ธาตุไฟ ... ย่อมรู้ธาตุลมโดยความเป็นธาตุลม ครั้นรู้ธาตุลมโดย ความเป็นธาตุลม แล้วย่อมสำคัญหมายธาตุลม ย่อมสำคัญหมายโดยความเป็นธาตุลม ย่อมสำคัญหมายธาตุลมว่าเป็นของเรา ย่อมยินดีธาตุลมข้อนั้นเพราะอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ... ภิกษุใดเป็นอรหันต์ขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพแล้ว หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นย่อมรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน.... ย่อมรู้ธาตุน้ำโดยความเป็นธาตุน้ำ ... ย่อมรู้ธาตุไฟโดยความเป็นธาตุไฟ... ย่อมรู้ธาตุลมโดยความเป็นธาตุลม.... ครั้นรู้ธาตุถลมโดยความเป็นธาตุลมแล้ว ย่อมสำคัญหมายธาตุลม ย่อมไม่สำคัญหมายโดยความเป็นธาตุลม ย่อมไม่สำคัญหมายธาตุลมว่าเป็นของเรา ย่อมไม่ยินดีในธาตุลม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเธอกำหนดรู้แล้วฯ”

    ที่มา
    http://www.84000.org/true/003.html
     
  4. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    004 วิธีละอาสวะ ๗ ประการ (วิธีละอาสวะ ๗ ประการ หน้า 004 - 013)

    ปัญหา เท่าที่ได้สดับมานั้น เราจะละอาสวะได้โดยอาศัยการปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญาอย่างเคร่งครัดเท่านั้น มีวิธีใดอีกบ้างหรือไม่ที่เราจะละอาสวะได้ ?

    พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะที่จะพึงละได้เพราะการเห็นมีอยู่ ที่จะพึงละได้เพราะการสังวรก็มี ที่จะพึงละได้เพราะการเว้นรอบก็มี ที่จะพึงละได้เพราะความอดกลั้นก็มี ที่จะพึงละได้เพราะการบรรเทาก็มี ที่จะพึงละได้เพราะการอบรมก็มี”

    ปัญหา ข้อที่ว่าอาสวะที่จะพึงละได้เพราะการเห็นนั้นหมายถึงอาสวะประเภทไหน และการเห็นนั้นเห็นอย่างไร ?

    พุทธดำรัสตอบ “...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย .... เมื่อภิกษุมนสิการโดยไม่แยบคาย อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเจริญขึ้น..... ปุถุชนมนสิการโดยไม่แยบคายอย่างนี้ว่า (หน้า 005-007)

    ที่มา
    http://www.84000.org/true/004.html
     
  5. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    005 ไม่ควรคำนึงอดีตหรืออนาคต (วิธีละอาสวะ ๗ ประการ หน้า 004 - 013)

    ปัญหา ข้อที่ว่าอาสวะที่จะพึงละได้เพราะการเห็นนั้นหมายถึงอาสวะประเภทไหน และการเห็นนั้นเห็นอย่างไร ?

    พุทธดำรัสตอบ “...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย .... เมื่อภิกษุมนสิการโดยไม่แยบคาย อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเจริญขึ้น..... ปุถุชนมนสิการโดยไม่แยบคายอย่างนี้ว่า (หน้า 005-007)

    “เราได้มีแล้วในอดีตกาลหรือหนอ เราไม่ได้มีแล้วในอดีตกาลหรือหนอ ในอดีตกาลเราได้เป็นอะไรหนอ ในอดีตกาลเราได้เป็นอย่างไรหนอ ในอดีตกาลเราได้เป็นอะไรแล้วจึงเป็นอะไรหนอ ในอนาคตกาลเราจักมีหรือหนอ ในอนาคตกาลเราจักไม่มีหรือหนอ ในอนาคตกาลเราจักเป็นอะไรหนอ ในอนาคตกาลเราจักเป็นอย่างไรหนอ ในอนาคตกาลเราจักเป็นอะไร แล้วจึงจักเป็นอะไรหนอ หรือว่าปรารภกาลปัจจุบัน ในบัดนี้ มีความสงสัยขึ้นภายในว่าเรามีอยู่หรือเราไม่มีหรือ เราเป็นอะไรหนอ เราเป็นอย่างไรหนอ สัตว์นี้มาแต่ไหนหนอ และมักจักไป ณ ที่ไหน ...มีต่อหน้า 006

    ที่มา
    http://www.84000.org/true/005.html
     
  6. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    006 ทิฐิเกี่ยวกับอัตตา และอนัตตา (วิธีละอาสวะ ๗ ประการ หน้า 004 - 013)

    ปัญหา ทิฐิเกี่ยวกับอัตตา และอนัตต?

    พุทธดำรัสตอบ “...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย .... เมื่อภิกษุมนสิการโดยไม่แยบคาย อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเจริญขึ้น..... ปุถุชนมนสิการโดยไม่แยกคายอย่างนี้ว่า ...ต่อจากหน้า 005

    “เมื่อปุถุชนนั้นมนสิการโดยไม่แยบคายอย่างนี้ ทิฐิอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาทิฐิ ๖ ย่อมเกิดขึ้น ... แก่ปุถุชนนั้นว่า (๑) อัตตาของเรามีอยู่หรือว่า (๒) อัตตาของเราไม่มี (๓) เราย่อมรู้อัตตาด้วยอัตตา หรือว่า (๔) เราย่อมรู้อนัตตาด้วยอัตตา หรือว่า (๕) เราย่อมรู้อัตตาด้วยอนัตตา ..... (๖) อัตตาของเรานี้ได้เป็นผู้เสวย (ในอดีต) ย่อมเสวย (ในปัจจุบัน) วิบากของกรรมทั้งดีทั้งชั่วในอารมณ์นั้น ๆ ก็ตนของเรานี้นั้นเป็นของเที่ยง ยั่งยืนติดต่อ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดาจักตั้งอยู่อย่างนั้น เสมอด้วยสิ่งยั่งยืนแท้ ข้อนี้เรากล่าวว่าทิฐิ ชัฏคือทิฐิ ทางกันดารคือทิฐิ เสี้ยนหนามคือทิฐิ ความดิ้นรนคือทิฐิ สิ่งที่ประกอบสัตว์ไว้ คือทิฐิ.... เรากล่าวว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ผู้ประกอบด้วย ทิฐิ สังโยชน์ ย่อมไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมพ้นจากทุกข์

    ที่มา
    http://www.84000.org/true/006.html
     
  7. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    014 เหตุทำให้เกิดความกลัวป่าเปลี่ยว

    ปัญหา เพราะเหตุใดผู้บำเพ็ญเพียรทางจิตใจบางท่าน เมื่อเข้าไปอยู่ในป่าเปลี่ยวจึงเกิดความหวาดกลัว แต่บางท่านก็ไม่หวาดกลัว ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพราหมณ์ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีกายกรรมไม่บริสุทธิ์.... มีวจีกรรมไม่บริสุทธิ์..... มีมโนกรรมไม่บริสุทธิ์..... มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์..... มีความอยากได้ มีราคะกล้าในกามทั้งหลาย.... มีจิตพยาบาท มีความดำริในใจชั่ว.... อันถีนมิทธะกลุ้มรุมแล้ว.... ฟุ้งซ่าน มีจิตไม่สงบระงับ มีความสงสัยเคลือบแคลง... ยกตนข่มผู้อื่น ... เป็นผู้หวาดหวั่น มีชาติแห่งคนขลาด.... ปรารถนาลาภสักการะและความสรรเสริญ.... เป็นผู้เกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม.... มีสติหลงลืม ไม่มีสัมปชัญญะ... มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิด.... มีปัญญาทราม เป็นใบ้ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัดที่เป็นป่าและเป็นป่าเปลี่ยว สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมเกิดมีความกลัวและความขลาดอันเป็นอกุศล เพราะโทษของตนคือความเป็นผู้มีปัญญาทรามและเป็นคนบ้าใบ้เป็นเหตุ....ฯ”

    ที่มา
    http://www.84000.org/true/014.html
     
  8. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    015 ความกลัวบางอย่างเกิดจากตนเป็นเหตุ

    ปัญหา มีผู้กล่าวว่า ความหวาดกลัวบางอย่างเกิดจากความเข้าใจผิดของตนเอง มีความจริงเพียงใด และจะกำจัดความหวาดกลัวชนิดนี้ได้อย่างไร ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพราหมณ์ เรานั้นได้มีความดำริว่า ไฉนหนอเราพึงอยู่ในราตรี ... ที่กำหนดกันว่า ที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๘ แห่งปักข์..... พึงอยู่ในเสนาสนะคือ อารามเจดีย์ วนเจดีย์ รุกขเจดีย์ น่าสะพรึงกลัว น่าขนพองสยองเกล้า.... ถ้ากระไร เราพึงเห็นความกลัวและความขลาด ดังนี้ ดูก่อนพราหมณ์ ต่อมา เราอยู่ในราตรี ... เห็นปานนั้น อยู่ในเสนาสนะเห็นปานนั้น .... ก็เมื่อเราอยู่ในเสนาสนะเห็นปานนั้น เนื้อมาก็ดี นกยูงทำไม้ให้ ตกลงมาก็ดี หรือว่าลมพัดใบไม้ให้ตกลงมาก็ดี เรานั้นได้มีความดำริอย่างนี้ว่าแน่นอน ความกลัวและความขลาดนั้นกำลังมา เราได้มีความดำริอย่างนี้ว่าไฉนหนอเราจึงเป็นผู้ปรารถนาภัยอยู่โดยแท้ ทำอย่างไรหนอเราจะพึงกำจัดให้ความหวาดกลัวและความขลาด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ในท่าใดท่าหนึ่ง ?”

    ที่มา
    http://www.84000.org/true/015.html
     
  9. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    016 ความเห็นอันถูกต้องของพระสาวก

    ปัญหา สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องมีทรรศนะเกี่ยวกับชีวิตอย่างไร จึงจะถือว่าถูกต้องตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนอัคคิเวสสะ สาวกของเราในพระธรรมวินัยนี้ย่อมเห็นเบญจขันธ์นั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่ล่วงไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่มาถึงทั้งที่เกิดขึ้นเฉพาะในบัดนี้ ที่เป็นภายในก็ดี ที่เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี ทั้งหมดก็เป็นแต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเราดังนี้

    “ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ด้วยเหตุเท่านี้แหละ สาวกของเราจึงชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งสอน ทำถูกตามโอวาท ข้ามความสงสัยเสียได้ ปราศจากความแคลงใจอันเป็นเหตุให้กล่าวว่าข้อนี้เป็นอย่างไร ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น อยู่ในคำสอนของศาสดาตนฯ”

    ที่มา
    http://www.84000.org/true/016.html
     
  10. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    017 วิธีกำจัดความขลาด

    ปัญหา ความกลัวก็ดี ความขลาดก็ดี ย่อมเกิดขึ้นแก่เราเป็นครั้งคราว เราจะกำจัดความกลัวและความขลาดได้โดยวิธีใด ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุพึงหวังว่าเราพึงเป็นผู้ข่มความกลัวและความขลาดได้ อนึ่ง ความกลัวและความขลาดอย่าพึงครอบงำเราได้เลย เราพึงครอบงำย่ำยีความกลัวและความขลาดที่เกิดขึ้นแล้วได้อยู่เถิดดังนี้ ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน ไม่ทำตนให้เหินห่างจากฌาน พอกพูนสุญญาคาร (คือพยายามอยู่ในเรือนว่างหรือที่สงัดเงียบ บำเพ็ญเพียรทางจิตใจ) ”

    ที่มา
    http://www.84000.org/true/017.html
     
  11. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    018 วิธีสร้างอิทธิฤทธิ์

    ปัญหา อิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ เป็นสิ่งมีได้จริงหรือ ? ถ้ามีจริงจะมีวิธีสร้างได้อย่างไร ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุ ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวพึงเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนพึงเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝ่ากำแพง ภูเขาไปได้ ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ พึงผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ พึงเดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์...ก็ได้”
    “ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่าเราพึงได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยทิพยโสตอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์... ถ้าภิกษุจะถึงหวังว่าเราพึงกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ คือ จิตมีราคะ จิตมีโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ มีโทสะ มีโมหะ ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่าเราพึงระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือพึงระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง.... พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง .... ว่าในภพโน้นเรามีชื่อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้.....
    “ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลวประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ พึงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม... ด้วยประการฉะนี้เถิด ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน ไม่เหินห่างจากฌาน ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคารฯ”

    ที่มา
    http://www.84000.org/true/018.html
     
  12. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    019 การล้างบาปด้วยน้ำ

    ปัญหา ลัทธิพราหมณ์ถือว่า กระทำบาปแล้วอาจจะชำระล้างให้หมดสิ้นไปด้วยการอาบน้ำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เช่น แม่น้ำคงคา เป็นต้น ทางพระพุทธศาสนามีทรรศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....คนพาล มีกรรมดำ (บาป) แล่นไปยังแม่น้ำพาหุกาท่าน้ำอธิกักกะ ท่าน้ำคะยา แม่น้ำสุนทริกา แม่น้ำสรัสสดี ท่าน้ำปยาคะ และแม่น้ำพาหุมดีแม้เป็นนิตย์ ก็บริสุทธิ์ไม่ได้ แม่น้ำสุนทริกา ท่าน้ำปยาคะ หรือแม่น้ำพาหุกา จักทำอะไรได้ จะชำระนรชนผู้มีเวรทำกรรมอันหยายช้า ผู้มีกรรมอันเป็นบาปนั้นให้บริสุทธิ์ไม่ได้เลย ผัคคุณฤกษ์ย่อมพึงพร้อมแก่บุคคลผู้หมดจดแล้วทุกเมื่อ อุโบสถก็ย่อมถึงพร้อมแก่บุคคลผู้หมดจดแล้วทุกเมื่อ วัตรของบุคคลผู้หมดจดแล้ว มีการงานอันสะอาด ย่อมถึงพร้อมทุกเมื่อ ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงอาบในคำสอนของเรานี้เถิด จงทำความเกษมในสัตว์ทั้งปวงเถิด ถ้าท่านไม่กล่าวคำเท็จ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ถือวัตถุที่เขาไม่ให้เป็นผู้มีความเชื่อ ไม่ตระหนี่ไซร้ ท่านจักต้องไปยังท่าน้ำคะยาทำไม แม้การดื่มน้ำในท่าน้ำคะยาก็จักทำอะไรให้แก่ท่านได้ฯ

    ที่มา
    http://www.84000.org/true/019.html
     
  13. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    020 ความหมายของสัมมาทิฐิ

    ปัญหา ข้อที่ว่าสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบนั้นหมายถึงเห็นอะไร ?

    พุทธสารีบุตรตอบ “ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เมื่อใดอริยสาวกรู้ชัดซึ่งอกุศล และรากเหง้าของอกุศล รู้ชัดซึ่งกุศล และรากเหง้าของกุศล.... รู้ชัดซึ่งอาหาร (๔ ประการ คือ อาหารคือคำข้าว อาหารคือผัสสะ อาหารคือความจงใจ และอาหารคือความรู้แจ้งทางทวาร ๖) เหตุเกิดแห่งอาหาร (ตัณหา) ความดับอาหาร และทางที่จะให้ถึงความดับอาหาร (มรรคมีองค์ ๘).... รู้ชัดซึ่งทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และทางให้พึงความดับทุกข์ .... รู้ชัดซึ่งชราและมรณะเหตุเกิดแห่งชราและมรณะ ความดับชราและมรณะ และทางที่จะให้ถึงความดับชราและมรณะ.... รู้ชัดซึ่งชาติ.... ภพ.... อุปาทาน.... ตัณหา....เวทนา.... ผัสสะ.... อายตนะ ๖..... นามรูป.... วิณญาณ..... สังขาร.... อวิชชา ..... อาสวะ..... เหตุเกิดแห่งอาสวะความดับแห่งอาสวะ และทางปฏิบัติเพื่อถึงความดับอาสวะแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฐิ”

    ที่มา
    http://www.84000.org/true/020.html
     
  14. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    021 มนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์ได้

    ๑๙. ปัญหา ตามหลักวิวัฒนาการ มนุษย์เจริญมาจากสัตว์ และจะกลับไปเห็นสัตว์ไม่ได้อีก ทางพระพุทธศาสนามีทรรศนะในเรื่องนี้อย่างไร ?

    พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และชั้นสู่หนทางนั้นจักเข้าถึงกำเนิดดิรัจฉาน โดยสมัยต่อมา เราเห็นบุคคลนั้นเบื้องหน้า แต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงแล้วซึ่งกำเนิดดิรัจฉาน เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อนด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์.... เปรียบเหมือนหลุมคูถลึกยิ่งกว่าชั่วบุรุษ เต็มไปด้วยคูถ ลำดับนั้น บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผาครอบงำเหน็ดเหนื่อย.... มุ่งมาสู่หลุมคูถนั้นแหละ โดยหนทางสายเดียว บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้มีจักษุนั้น พึงเห็นเขาตกลงในหลุมคูถนั้น เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้าฉันใด ดูก่อนสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ ฉันนั้นเหมือนกันแลฯ ”
     
  15. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    022 หลักความเชื่อในพระพุทธศาสนา

    ปัญหา ได้ทราบว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา สอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาก่อนจึงเชื่อ แต่อยากทราบว่ามีหลักอะไรบ้างในพระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนจะต้องเชื่อ ? และถ้าไม่เชื่อจะมีผลอย่างไร ?

    พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงสัยเคลือบแคลง ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระศาสดา.... ในพระธรรม.... ในพระสงฆ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุที่สงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระศาสดา .... ในพระธรรม..... ในพระสงฆ์นั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อประกอบเนือง ๆ เพื่อความทำติดต่อเพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนือง ๆ เพื่อความทำติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่นอย่างนี้ ชื่อว่าตะปูตรึงใจ....ฯ ”
     
  16. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    023 พระพุทธศาสนากับการอยู่ป่า

    ปัญหา ในที่มาหลายแห่ง พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการอยู่ป่า ทรงแนะนำให้ภิกษุอยู่ป่า แต่ว่าภิกษุควรจะอยู่ป่าเสมอไปหรือ ? หรือว่ามีข้อยกเว้นอะไรบ้าง ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเข้าไปอาศัยป่าชัฏแห่งใดแห่งหนึ่งอยู่ เมื่อเธอเข้าไปอาศัยป่าชัฏนั้นอยู่ สติที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ไม่ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไป ก็ไม่พึงความสิ้นไป และภิกษุนั้นไม่ได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่บรรลุด้วย ส่วนปัจจัยเครื่องอุดหนุนชีวิต คือจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัชบริขารเหล่าใดที่บรรพชิตจำต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้โดยยาก.... ดูก่อนภิกษุทั่งหลาย ภิกษุนั้นควรหลีกไปเสียจากป่าชัฏนั้น ในเวลากลางคืนหรือในเวลากลางวันก็ตาม ไม่ควรอยู่....ฯ ”
     
  17. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    024 วิธีปฏิบัติเมื่อถูกด่าว่า

    ปัญหา เมื่อเราถูกด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย เราควรจะปฏิบัติอย่างไร?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการ คือ กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑ กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑ กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคาย ๑ มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่นจะกล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สามควรก็ตาม จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม จะกล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคายก็ตาม จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะภายในกล่าวก็ตาม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาลามก เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์ เราจักมีจิตเมตตา ไม่มีโทสะในภายในเราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่งหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทางซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้นดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายถึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แลฯ ”
     
  18. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    025 เรียนไม่เป็นก็มีโทษ

    ปัญหา คนทั่วไปเข้าใจว่า การเรียนธรรมเป็นของดี มีประโยชน์ แต่ถ่ายเดียว ใครจะทราบว่าการเรียนธรรมก่อให้เกิดทุกข์โทษ มีหรือไม่?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษเหล่าบางพวกในพระธรรม วินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนธรรมคือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทานอิติวุตตกะชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ บุรุษเหล่าเหล่านั้นเล่าเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ไตร่ตรอง เนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้น ด้วยปัญญา ธรรมเหล่านั้นย่อมไม่ควรซึ่งการเพ่งแก่บุรุษเปล่าเหล่านั้น ผู้ไม่ไตรตรองเนื้อความด้วยปัญญา บุรุษเปล่าเหล่านั้น เป็นผู้มีความข่มผู้อื่นเป็นอานิสงส์ (เรียนเพื่อข่มผู้อื่น) และมีการเปลื้องเสียซึ่งความนินทาเป็นอานิสงส์ (เรียนเพื่อให้คนตำหนิมิได้) ย่อมเล่าเรียนธรรม ก็กุลบุตรทั้งหลายย่อมเล่าเรียนธรรมเพื่อประโยชน์อันใด บุรุษเหล่าเหล่านั้นย่อมไม่ได้เสวยประโยชน์แห่งธรรมนั้น ธรรมเหล่านั้นอันบุรุษเหล่านั้นเรียนไม่ดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน ข้อนั้นเป็นเพราะอะไร เพราะธรรมทั้งหลายอันตนเรียนไม่ดีแล้ว
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการด้วยงูพิษเสาะหางูพิษ เที่ยวแสวงหางูพิษ เขาพึงพบงูพิษตัวใหญ่ พึงจับงูพิษนั้นที่ขนดหรือที่หาง งูพิษนั้นพึงแว้งกัดเขาที่มือ ที่แขน หรือที่อวัยวะใหญ่น้อยแห่งใดแห่งหนึ่ง เขาพึงถึงความตาย หรือความทุกข์ปางตาย มีการกัดนั้นเป็นเหตุข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะงูพิษตนจับไม่ดีแล้ว”
     
  19. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    026 กุญแจสู่มรรคผลและนิพพาน

    ปัญหา อะไรเป็นเครื่องมืออันสำคัญ ที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติได้ปุพเพนิวาสนุสสติญาณระลึกชาติก่อนได้ จุตูปปาตญาณ รู้จุติและอุบัติของสัตว์ ทั้งหลาย อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้หมดสิ้นไป?

    พุทธดำรัสตอบ “ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ภิกษุนั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก.... ย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย..... ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ.... ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์นี้เหตุให้ทุกข์เกิด นี้ความดับทุกข์ นี้เหตุเกิดแห่งอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ทางปฏิบัติเพื่อความดับอาสวะ....
    “เมื่อภิกษุรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวสาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าพ้นแล้ว ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีฯ ”
     
  20. TURK T.M.

    TURK T.M. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +58
    027 วิธีปฏิบัติเมื่อถูกทำร้าย

    ปัญหา เมื่อภิกษุถูกเบียดเบียนทำร้าย ทางพระพุทธศาสนาสอนให้พิจารณาอย่างไร ?

    พุทธสารีบุตรตอบ “.....ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย หากชนเหล่าอื่นจะพยายามทำร้ายภิกษุนั้น ด้วยอาการที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ คือด้วยการประหารด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยการประหารด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยการประหารด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยการประหารด้วยศัสตราบ้าง ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายนี้เป็นสภาพที่เป็นไปด้วยการประหาร ด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง.... ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศัสตราบ้าง อนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ในพระโอวาทอันเปรียบด้วยเลื่อยดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ว่าพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้า พึงตัดทอนอวัยวะใหญ่น้อยทั้งหลายด้วยเลื่อยอันมีด้ามสองข้างไซร้ ภิกษุผู้ที่ยังใจให้ประทุษร้ายในโจร แม้พวกนั้นย่อมไม่เชื่อว่าทำตามคำสอนของเรา..... อนึ่ง ความเพียรอันเราปรารภแล้ว จักไม่ย่อหย่อน สติอันเราตั้งไว้มั่นแล้วจักไม่หลงลืม กายอันเราให้สงบแล้ว จักไม่กระวนกระวาย จิตอันเราตั้งไว้มั่นแล้ว จักมีอารมณ์อย่างเดียว การประหารด้วยฝ่ามือ.... ด้วย ก้อนดิน.... ด้วยท่อนไม้.... ด้วยศัสตราทั้งหลาย จงเป็นไปในกายนี้เถิด คำสอนของพระพุทธเจ้า .... เราจะทำให้จงได้ดังนี้ ฯ ”
     

แชร์หน้านี้

Loading...