พระพุทธไตรรัตนนายก สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่วัดกัลยาณมิตร

ในห้อง 'วัดและศาสนสถาน' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 3 กรกฎาคม 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]

    พระพุทธไตรรัตนนายก
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่วัดกัลยาณมิตร


    วัดกัลยาณมิตร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ในพื้นที่แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ ฝั่งตะวันตก ที่วัดนี้เดิมเป็นแม่น้ำตอนขึ้น ครั้งกรุงธนบุรีเป็นที่จอดแพได้

    เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร ว่าที่สมุหนายก บุตรพระยาวิชัยวารี (มั่น แซ่อึ่ง) เมื่อครั้งยังเป็นพระราชสุภาวดี เจ้ากรมพระสุรัสวดีกลาง ได้อุทิศที่บ้านและซื้อเพิ่มเติม สร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อปีระกา พ.ศ.2368 อันเป็นปีที่ 2 ในรัชกาลที่ 3 แล้วถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า "วัดกัลยาณมิตร"

    เหตุที่ชื่อวัดกัลยาณมิตรนั้น กล่าวคือ เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ได้ถวายตัวเป็นข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และได้ทำการค้าขายโดยสำเภาร่วมกับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งก่อนหน้าและภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จะพระราชทานนามวัดนี้ คงจะพระราชดำริถึงเรื่องที่เจ้าพระยานิกรบดินทร์เป็นมิตรที่ดีของพระองค์ด้วย จึงพระราชทานนามวัดว่า วัดกัลยาณมิตร อันหมายถึง มิตรที่ดี

    บริเวณวัดนี้ เดิมเรียกกันว่า "บ้านกุฎีจีน" ประวัติกล่าวว่า มีพระภิกษุจีน มีนามว่า "เกียน อันเก๋ง" พำนักอยู่ในกุฏิซึ่งอยู่ด้านตะวันออกของวัด ยังมีซากปรากฏอยู่ทุกวันนี้ ต่อมาคำว่า "บ้านกุฎีจีน" ถูกนำไปเรียกบ้านกุฎีฝรั่ง ที่หมู่บ้านเข้ารีต ซึ่งมีวัดฝรั่งอยู่ตรงนั้น คำว่ากุฎีฝรั่งหายไป โดยกุฎีจีนไปแทนที่

    ในพระวิหารหลวงประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 11.75 เมตร สูง 15.46 เมตร เรียกกันว่า "พระโต" พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานช่วยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต) พร้อมวิหารหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินก่อพระฤกษ์พระโต เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2380

    การสร้างพระโตที่วัดกัลยาณมิตรนี้ ตั้งใจจะให้เหมือนกรุงเก่า คือ มีพระโตนอกกำแพงเมืองอย่างเช่นวัดพนัญเชิง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง "พระโต" ช่วยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) โดยทรงเอาเคล็ดว่าท่านมีชื่อว่า "โต"

    ส่วนพระวิหารหลวงนั้น ตั้งอยู่กลางวัด มีขนาดสูงใหญ่ เสาภายในวิหารเขียนเป็นลายดอกไม้ หน้าบันพระวิหารหลวง สลักลายดอกไม้ประดับกระจกตามแบบฉบับศิลปะสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว บานประตูหน้าต่างเป็นไม้สลักแผ่นใหญ่หนาแผ่นเดียวตลอด

    วิหารหลวงมีขนาดกว้าง 31.42 เมตร ยาว 36.85 เมตร ลักษณะการก่อสร้างเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมไทย ก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ ประดับช่อฟ้าใบระกา ด้านหน้าพระวิหารหลวงมีซุ้มประตูหิน และตุ๊กตาหินศิลปะจีนตั้งเรียงรายอยู่

    ด้านซ้ายของพระวิหารหลวง เป็นพระวิหารเล็ก ด้านขวาเป็นพระอุโบสถ ด้านหลังของพระอุโบสถมีเจดีย์เหลี่ยมพร้อมกับฐานทักษิณ ฝีมือช่างจากเมืองจีน

    โดยช่างในเมืองไทยสมัยรัชกาลที่ 3 ส่งแบบและขนาดให้ช่างเมืองจีนหล่อศิลาเทียมแล้วเอาเข้ามาประกอบในไทย

    บริเวณพุทธาวาสมีกำแพงแก้วล้อมรอบ ด้านหลังมีประตูออก 1 ประตู ก่อประตูโค้งแบบศิลปะสมัยรัชกาลที่ 4 ออกไปสู่บริเวณสังฆาวาสที่มีถนนคั่นอยู่ข้างนอก

    ระหว่างวิหารใหญ่กับวิหารเล็ก มีหอระฆังคั่นกลาง พระสุนทรสมาจาร (พรหม อินฺทโชติ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2478 ติดตั้งระฆังใบใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

    ศาลาการเปรียญ 5 ห้อง ตั้งอยู่มุมวัดด้านตะวันออก พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานช่วยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร)

    ด้านข้างศาลาการเปรียญด้านตะวันตกเฉียงเหนือ มีเจดีย์ประดับหินอ่อน สร้างขึ้นโดยเจ้าพระยารัตนบดินทร์ (รอด กัลยาณมิตร) เมื่อยังเป็นพระยาราชวรานุกูล เมื่อ พ.ศ.2407 โดยนำอัฐิของเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ผู้เป็นบิดาบรรจุไว้

    พระอุโบสถ สร้างขึ้นตรงบริเวณบ้านเดิมของเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาดกว้าง 20.88 เมตร ยาว 30.90 เมตร ลักษณะสถาปัตยกรรมจีน ไม่มีช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ประดับ หน้าบันปั้นลายดอกไม้ ประดับกระเบื้องเคลือบสลับสีลายจีน ซุ้มประตูหน้าต่างปั้นลายดอกไม้ประดับกระจก

    ภายในพระอุโบสถฝาผนังเขียนภาพพุทธประวัติ และภาพเครื่องบูชา เป็นโต๊ะลดหลั่นกันแบบจีน เสาเขียนลายทรงข้าวบิณฑ์ หันหน้าไปทางเหนือ

    พระประธานในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ มีขนาดสูงแต่พระบาทจนถึงพระเกศ 5.56 เมตร เล่าขานกันว่า เดิมเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ดำริจะสร้างพระพุทธรูปปางอื่นเป็นพระประธาน หากยังมิทันได้จัดการสร้าง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปประธานปางป่าเลไลยก์พระราชทานช่วยเสียก่อน

    นอกจากนั้นยังมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิหล่อสำริด หน้าตักกว้าง 57 เซนติเมตร สร้างโดยเจ้าพระยารัตนบดินทร์ (รอด กัลยาณมิตร) ซึ่งมีเหตุมาจากพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (เปีย) ได้ปรารภกับเจ้าพระยารัตนบดินทร์ (รอด กัลยาณมิตร) ว่า พระประธานปางป่าเลไลยก์ก็เห็นจะมีเฉพาะวัดนี้วัดเดียว ดูเหมือนวัดอื่นไม่มี ท่านเห็นควรสร้างพระพุทธรูปปางอื่นเป็นรองพระประธานอีกองค์หนึ่ง เจ้าพระยารัตนบดินทร์ (รอด กัลยาณมิตร) เห็นชอบด้วย จึงจัดสร้างพระพุทธรูปหล่อปางสมาธินี้ขึ้น

    ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ เพื่อเฉลิมพระเกียรติยศในพระบรมราชมาตามหัยยิกา กรมพระศรีสุดารักษ์ ผู้เป็นพระเชษฐภคินี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระบรมราชมาตามหัยยิกาธิบดี (เจ้าขรัวเงิน พระภัสดา ในสมเด็จกรมพระศรีสุดารักษ์ ซึ่งเป็นพระชนกในสมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ผู้ซึ่งแต่เดิมเคยประทับในบริเวณวัดกัลยาณมิตรมาก่อน และเพื่อประกอบพระราชกุศลตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมเชษฐาธิราช กับทั้งเป็นการปูนบำเหน็จเชิดชูเกียรติของเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ด้วย

    กล่าวกันว่า "พระโต" เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่ครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ตามคำเล่าขานของชาวบ้านว่าได้เห็นอภินิหารของ "พระโต" หลายอย่าง

    [​IMG]
    อุโบสถของวัดกัลยาณมิตร
    ที่แม้จะไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ แต่ก็สวยงามได้

    .................................................................................


    ดังเช่นเมื่อครั้งทำพิธียกช่อฟ้าพระวิหารหลวง ที่ประดิษฐาน "พระโต" ผู้คนทั้งหลายได้เห็นนิมิตดีอันหนึ่ง ปรากฏเป็นสายยาวมีรัศมีพวยพุ่งจากท้องฟ้า ตกลงมาจรดช่อฟ้าสว่างไสวไปทั่วอาณาบริเวณวัด เป็นที่อัศจรรย์แก่สายตาพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมในงานพิธียกช่อฟ้าพระวิหารหลวงยิ่งนัก

    ในหนังสือ "นิทานโบราณคดี" พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กล่าวถึง "พระโต" เมื่อครั้งทำการปราบปรามอั้งยี่ในสมัยต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า

    "ส่วนการควบคุมพวกอั้งยี่นั้น สมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็อนุโลมเอาแบบอย่างอังกฤษ "เลี้ยงอั้งยี่" ที่ในแหลมมลายูใช้ ปรากฏว่าให้สืบเอาตัวจีนเถ้าแก่ที่เป็นหัวหน้าอั้งยี่ได้ 14 คน แล้วตั้งข้าหลวง 3 คน คือ เจ้าพระยาภาณุวงศ์ เมื่อครั้งยังเป็นพระยาเทพประชุน (ซึ่งเคยไปปราบอั้งยี่ที่เมืองภูเก็ต) คนหนึ่ง พระยาโชฏึกราชเศรษฐีคนหนึ่ง พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง (เนียม) ซึ่งเป็นผู้บังคับการกองตะเวณ (โปลิศ) ในกรุงเทพฯ คนหนึ่ง พร้อมด้วยขุนนางจีนเจ้าภาษีอีกบางคน พาพวกหัวหน้าอั้งยี่ 14 คนนั้นไปทำพิธีถือน้ำกระทำสัตย์ในวิหารพระโต ณ วัดกัลยาณมิตร ซึ่งคนจีนนับถือมาก รับสัญญาว่าจะไม่คิดประทุษร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัว และจะคอยระวังพวกอั้งยี่ของตนมิให้คิดร้ายด้วย แล้วปล่อยตัวไปทั้ง 14 คน"

    เป็นธรรมเนียมของจีนมักนิยมเข้าไปจัดการกับพระพุทธรูปใหญ่ตามวัดต่างๆ เช่น วัดพนัญเชิง และวัดมงคลบพิตร เป็นต้น วัดกัลยาณมิตรก็เช่นเดียวกัน "พระโต" ชาวจีนเรียกกันว่า "ซำปอกง" หรือ "ซำปอฮุดกง" นิยมไปเสี่ยงทาย ดังเช่น การเสี่ยงเซียมซี เป็นต้น ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ มีงิ้ว และงานทิ้งกระจาด เป็นประจำทุกปีในวันสิ้นเดือน 9

    ชื่อ "ซำปอกง" นั้นมีความเกี่ยวเนื่องกับ "เจิ้งเหอ" แม่ทัพเรือผู้กลายมาเป็นเทพเจ้า "ซำปอกง" อันศักดิ์สิทธิ์ เจิ้งเหอได้ชื่อว่าเป็นนักเดินเรือผู้เกรียงไกรที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศจีนและของโลก ผู้ใช้ชีวิตอยู่บนผืนมหาสมุทรและดินแดนต่างถิ่นเป็นระยะเวลาถึง 22 ปี

    เจิ้งเหอ เกิดเมื่อปี พ.ศ.1914 ที่ตำบลคุนหยาง มณฑลยูนนาน มีชื่อเดิมว่า "หม่าเหอ" พื้นเพครอบครัวเป็นชาวมุสลิม มีปู่และบิดาเป็นผู้นำฮัจญ์ของเมืองคุนหมิงและคุนหยาง ครั้นอายุได้ 10 ปี เมื่อกองทัพแห่งราชวงศ์หมิงยกทัพมากวาดล้างกองทัพมองโกลที่ยังปกครองมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของประเทศ ได้กวาดต้อน "หม่าเหอ" เป็นเชลย

    ในปี พ.ศ.1926 หม่าเหอถูกจับตอนเป็นขันที และได้เข้าไปรับใช้ในราชสำนักของเจ้าชายจู้ตี้ พระราชโอรสองค์ที่ 4 ของจักรพรรดิหงหวู่

    ในบันทึกของครอบครัวได้กล่าวถึง "หม่าเหอ" ไว้ว่า

    "หม่าเหอมีความสูงถึงเจ็ดฟุต (หนึ่งฟุต (ฉื่อ) ของจีน มีขนาดความยาวเท่ากับ 10.5-11 นิ้วฟุตของอังกฤษ) มีเส้นรอบเอวถึง 5 ฟุต มีแก้มและหน้าผากสูง แต่มีจมูกค่อนข้างเล็ก มีดวงตาที่เปล่งประกาย มีฟันที่ขาวสะอาด มีเสียงที่ดังกังวานดุจระฆังใบใหญ่ มีความรอบรู้ในเรื่องงานการศึกสงคราม เพราะเขาได้อยู่ใกล้ชายแดนที่เมืองเป่ยผิงกับองค์เจ้าชาย"

    [​IMG]
    โขลนทวาร ศิลปะแบบจีน
    หน้าทางเข้าวิหารหลวงหลวงพ่อโต วัดกัลยาณมิตร

    .................................................................................


    ในปี พ.ศ.1946 หม่าเหอได้รับพระบรมราชโองการจากจักรพรรดิหย่งเล่อ (เจ้าชายจู้ตี๋) ให้ควบคุมการสร้างกองเรือมหาสมบัติ หรือ"เป่าฉวน" และในปีเดียวกันนั้น หม่าเหอได้เข้าเป็นพุทธมามกะ โดยรับศีลจากพระเต้าเอี่ยน ภิกษุผู้ลือนามในสมัยนั้น

    ในปี พ.ศ.1947 หม่าเหอได้รับพระราชทานแซ่ "เจิ้ง" และเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าขันที "เน่ยกวนเจี้ยน"

    การออกเดินเรือของกองเรือสมุทรยาตราของเจิ้งเหอ ถึง 7 ครั้ง อยู่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.1948 ปีที่ 3 ในรัชสมัยจักรพรรรดิหย่งเล่อ ถึงปีที่ 8 แห่งรัชสมัยจักรพรรดิซวนเต๋อ พ.ศ.1976 ได้ไปเยือนประเทศต่างๆ ถึง 30 กว่าประเทศ ในดินแดนอุษาคเนย์ ชมพูทวีป อาหรับ คาบสมุทรอาระเบีย แอฟริกา เป็นระยะทางเดินเรือกว่า 50,000 กิโลเมตร

    ในบันทึกของ "หมิงสื่อลู่" บันทึกประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หมิง ระบุว่ากองเรือมหาสมบัติของเจิ้งเหอได้เดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยาในการออกสมุทรยาตราครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ.1951-1952 อันเป็นปีที่สมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ 1 เสด็จขึ้นครองราชย์

    สมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ 1 หรือพระนครอินทร์แห่งรัฐสุพรรณภูมิ ก่อนขึ้นครองราชย์กรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงคุ้นเคยกับราชสำนักจีนด้วยเคยเสด็จไปเป็นทูตถวายเครื่องราชบรรณาการยังราชสำนักจีนด้วยพระองค์เองถึง 3 ครั้ง

    นอกจากนั้น "หมิงสื่อลู่" ยังได้บันทึกอีกว่า เจิ้งเหอได้เดินเรือเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาอีก 2 ครั้ง คือ ในครั้งที่ 3 และครั้งที่ 7

    ความเกี่ยวพันของ "เจิ้งเหอ" ที่กลายมาเป็นเทพเจ้า และหลวงพ่อโต "ซำปอกง" อันศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นไปได้ว่าเมื่อกองเรือเจิ้งเหอได้เดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยา

    กองเรือส่วนหนึ่งอาจจะจอดเรือเทียบท่าอยู่บริเวณใกล้วัดพนัญเชิง ที่พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐระบุว่า ได้สร้างขึ้นก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา 26 ปี (พ.ศ.1867) และเป็นย่านการค้าขายนานาชาติที่สำคัญแห่งหนึ่งของภูมิภาคนี้

    หนังสือ "600 ปี สมุทรยาตรา เจิ้งเหอ แม่ทัพเรือผู้กลายมาเป็นเทพเจ้า "ซำปอกง" อันศักดิ์สิทธิ์" สำนักพิมพ์มติชน จัดพิมพ์ขึ้น ได้กล่าวไว้ว่า

    "จึงเป็นไปได้หรือไม่ว่าเจิ้งเหอจะได้มาสักการะหลวงพ่อองค์นี้ ทำให้ชาวจีนที่เลื่อมใสศรัทธาในตำนานวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของเจิ้งเหอ และมีจำนวนไม่น้อยที่เชื่อกันมาว่าตนเองเป็นลูกหลานของซำปอกง เพราะมีบรรพบุรุษซึ่งติดตามกองเรือของเจิ้งเหอมาได้ขอพำนักอาศัยอยู่ในดินแดนที่ตนไปเยือน จึงเรียกชื่อหลวงพ่อโตองค์นี้ตามชื่อของท่านว่า "หลวงพ่อซำปอกง" เพื่อเป็นตัวแทนของเจิ้งเหอก็เป็นได้"

    คำว่า "ซำปอกง" หรือ "ซานเป่ากง" สันนิษฐานว่า อาจเป็นชื่อรองที่บิดามารดาได้ตั้งไว้ให้แก่เด็กชายหม่าเหอว่า "ซ่านเป่า" ซึ่งแปลว่า บุตรคนที่ 3 ผู้มีค่าดุจรัตนะหรือดวงแก้วแห่งบุพการี

    หรืออาจเป็นฉายาของเจิ้งเหอ เมื่อได้เข้ามานับถือศาสนาพุทธแล้ว ด้วย "ซานเป่า" ยังหมายถึง "ไตรรัตน์" หรือ "ดวงแก้วทั้งสาม" อันหมายถึงพระรัตนตรัย

    ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนาม "พระโต" ที่วัดพนัญเชิง และวัดกัลยาณมิตร ว่า "พระพุทธไตรรัตนนายก"

    [​IMG]

    กล่าวสำหรับวัตถุมงคล "พระพุทธไตรรัตนนายก" วัดกัลยาณมิตร เป็นอีกเหรียญ "พระพุทธรูปล้ำค่า" ที่ได้รับความนิยมของนักสะสมพระเครื่อง ซึ่งมีการสร้างหลายครั้งหลายครา เป็นรูปองค์พระพุทธปฏิมากร "พระพุทธไตรรัตนนายก" หรือ "ซำปอกง" หรือ "ซำปอฮุดกง"

    อย่างเหรียญแรกที่นำมา เป็นเหรียญปั๊มรูปองค์พระพุทธไตรรัตนนายก ประทับนั่งปางมารวิชัย บนอาสนะฐานบัว 2 ชั้น อยู่ภายในซุ้มเรือนแก้วที่แกะลวดลายเป็นรูปพญานาค ด้านบนเป็นรูปดวงแก้วเปล่งรัศมี และภาษาจีน 4 ตัว ว่า "ซำปอฮุดกง" ข้างเหรียญแกะลายกระหนกอย่างงดงาม

    ในส่วนของด้านหลังเรียบ มีรอบบุ๋มเป็นรูปองค์พระ เหรียญรุ่นนี้ไม่ระบุปีที่สร้าง หากดูรูปแบบแล้วน่าจะสร้างใกล้เคียงกับการสร้างเหรียญพระพุทธรูปวัดไชโย อ่างทอง

    ส่วนเหรียญที่ระบุปีสร้างอย่างชัดเจน คือ ปี พ.ศ. 2468 ซึ่งมี 2 แบบ คือ

    เหรียญปั๊มพระพุทธไตรรัตนนายก แบบที่ 1 ด้านหน้าเป็นรูปองค์พระพุทธไตรรัตนนายก ประทับนั่งบนอาสนะฐานบัว 2 ชั้น ภายในซุ้มประภามณฑลแบบซุ้มพระพุทธชินราช ด้านบนเป็นรูปดวงแก้วเปล่ง ใต้อาสนะฐานบัวมีตัวเลขระบุปีสร้าง พ.ศ.2468

    ส่วนของด้านหลัง พื้นเหรียญเรียบ มีอักขระขอม และอักษรไทยว่า ฦๅ ฦๅ" ด้านบนเหรียญเป็นอักษรจีนว่า "ซำปอฮุดกง" ล่างสุดเป็นอักษรไทยว่า "หลวงพ่อกัลยา"

    เหรียญปั๊มพระพุทธไตรรัตนนายก แบบที่ 2 ด้านหน้าเป็นรูปองค์พระพุทธไตรรัตนนายก ประทับนั่งบนอาสนะฐานบัว 2 ชั้น ภายในซุ้มประภามณฑลแบบซุ้มพระพุทธชินราช ด้านบนเป็นรูปดวงแก้วเปล่ง ด้านข้างดวงแก้ว และบริเวณพระชานุทั้งสองข้างมีอักษรจีนอีก 4 ตัว ว่า "ซำปอฮุดกง" ด้านบนใต้หูเหรียญระบุว่า "หลวงพ่อกัลยา"

    ส่วนของด้านหลัง พื้นเหรียญเรียบ มีอักขระขอม และภาษาไทยว่า "ฦๅ ฦๅ"

    ทั้งสองแบบ เป็นเหรียญปั๊มขนาดสูงประมาณ 3 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร พระสนุทรสมาจาร (พรหม อินฺทโชติ) ได้สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกเมื่อครั้งทำการปฏิสังขรณ์ปิดทององค์พระ และฐานพระพุทธไตรรัตนนายก

    หลังปฏิสังขรณ์แล้ว ได้จัดงานสมโภช ระหว่างวันที่ 14-17 พฤษภาคม พ.ศ.2469 ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงบรรจุทองอุณาโลมที่พระพักตร์พระพุทธไตรรัตนนายก และทรงปิดทอง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2469

    อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ.2473 ก็ได้มีการสร้างเหรียญปั๊มพระพุทธไตรรัตนนายกขึ้นอีก เป็นเหรียญปั๊มรูปลักษณะแบบเดียวกับเหรียญปั๊มพระพุทธไตรรัตนนายกแบบที่ 2 ปี พ.ศ.2468 แต่ในส่วนของด้านหลังเหรียญนั้น ตรงกลางเป็นรูประฆัง ใต้ระฆังเป็นเลขปี พ.ศ.2473 อันเป็นปีทำเหรียญนี้ ด้านบนใต้หูเหรียญเป็นอักขระขอม

    กล่าวถึงระฆังแล้วนั้น ดูเหมือนจะมีความผูกพันอยู่กับพระสุนทรสมาจาร (พรหม อินฺทโชติ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตร ในสมัยที่พระวินัยกิจโกศล (ตรี จนฺทสโร) เป็นเจ้าอาวาสวัด คืนหนึ่งท่านเจ้าคุณสุนทรฯ ได้ฝันว่า มีผู้เฒ่านุ่งขาวห่มขาวคนหนึ่งพูดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างท่านก็ยกขึ้นหมดแล้ว แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ทำไมท่านจึงไม่ยกขึ้นเล่า พูดเท่านั้นผู้เฒ่าผู้นั้นก็หายไป

    ต่อมา เจ้าคุณสุนทรฯ ได้เล่าความฝันนี้ให้พระครูสุนทรกาษฐโกศล (ทับ) ฟัง และถามว่า ยังจะมีสิ่งใดอีกบ้างที่ท่านยังไม่ได้ยกขึ้น ท่านพระครูสุนทรกาษฐโกศล (ทับ) ตอบว่า สิ่งอื่นก็ไม่เห็นมีอะไร นอกจากระฆังเก่าใบหนึ่ง ซึ่งเก็บรักษาไว้ในวิหารเล็กนานตั้ง 40 ปีมาแล้ว เห็นควรสร้างหอขึ้นใหม่ ท่านเจ้าคุณสุนทรฯ ก็เห็นชอบด้วย จึงมอบหมายให้พระครูสุนทรกาษฐโกศล (ทับ) เป็นผู้ออกแบบแปลนและคุมงานก่อสร้าง พอสร้างเสร็จก็นำระฆังเก่าโบราณนั้นมาแขวนไว้ที่หอนี้

    ต่อมาในปี พ.ศ.2473 พระสุนทรสมาจาร (พรหม อินฺทโชติ) ได้ดำเนินการสร้างระฆังใบใหญ่ขึ้น สูงแต่ปากระฆังถึงบัว 2.46 เมตร แต่ตัวนาคถึงยอด 1.37 เมตร สูงแต่ปากระฆังถึงยอดสุด 3.83 เมตร ปากระฆังกว้าง 1.93 เมตร ได้ให้ช่างไทยหล่อหนึ่งครั้งไม่สำเร็จ จึงให้ช่างญี่ปุ่นชื่อนายฟูจิวารา ก่อนหล่อได้อธิษฐานขอพรพระพุทธไตรรัตนนายก "ซำปอกง" แล้วจึงทำการหล่อ แต่ต้องหล่อถึง 3 ครั้งจึงสำเร็จ

    ในการหล่อระฆังครั้งนี้ ได้ทำการสร้างเหรียญปั๊มพระพุทธไตรรัตนนายกขึ้นเป็นที่ระลึกขึ้นด้วย เป็นเหรียญปั๊มมีขนาดความกว้างประมาณ 1.5 เซนติเมตร สูงประมาณ 2.2 เซนติเมตร ด้านหน้า เป็นรูปองค์พระพุทธปฏิมากร พระพุทธไตรรัตนนายก ประทับนั่งปางมารวิชัยบนอาสนะฐานบัว 2 ชั้น เบื้องบนเป็นดวงแก้วเปล่งรัศมี ด้านข้างมีอักษรจีน 2 ตัว และที่บริเวณพระชานุ (เข่า) ทั้งสองข้างอีก 2 ตัว อ่านได้ว่า "ซำปอกง" ใต้หูเหรียญเป็นอักษรไทยว่า "หลวงพ่อกัลยา" ส่วนด้านหลัง ตรงกลางเป็นรูประฆัง และใต้ระฆังเป็นตัวเลขปี พ.ศ.2473 ที่สร้างเหรียญ ด้านบนใต้หูเหรียญเป็นอักขระขอม

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่งของพระพุทธไตรรัตนนายก คือ ฮู้ ที่ได้รับความเคารพศรัทธาจากชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นอย่างยิ่ง ในการนำมาติดไว้ที่หน้าประตูบ้าน หรือพกติดตัวเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต



    >>>>> จบ >>>>>


    หนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า 31
    คอลัมน์ มุมพระเก่า โดย สรพล โศภิตกุล
     

แชร์หน้านี้

Loading...