พระมาลัยท่องเมืองนรก พบ พระศรีอารยเมตไตรย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย หนุมาน, 5 พฤษภาคม 2005.

  1. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle> </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 1
    พระมาลัยเทวะเถระโปรดยมโลก
    ซึ่งพระยายมและนายนิริยะบาลไต่สวนผู้ตาย
    เปิดบัญชีดู ถ้าทำบุญส่งสวรรค์ ทำบาปส่งนรก


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>[font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ณ ตามพปัณณิทวีป ซึ่งปัจจุบันคือเกาะลังกา มีพระเถระองค์หนึ่งชื่อ "พระมาลัย" ท่านเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ มีบุญญานุภาพ และฤทธิ์เดชเกริกไกร มีเกียรติคุณแผ่ไพศาล เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในทวีปนี้


    พระมาลัยอาศัยบ้านกัมโพชะ ซึ่งเป็นชนบทเล็กๆ เป็นที่โคจรบิณฑบาต และอยู่จำพรรษามาเป็นเวลาช้านาน ท่านมีอุปการคุณแก่บรรดามนุษย์

    ในหมู่บ้านแห่งนี้มาก โดยนอกจากจะเป็นเนื้อนาบุญให้ชาวบ้าน ได้ทำบุญสุนทานกันแล้ว ท่านยังเข้าฌาณสมาบัติชำแรกแผ่นดินไปเมืองนรกบ่อยๆ และทุกครั้งที่ท่านไปถึง ท่านจะสำแดงฤทธิ์บันดาลไฟที่กำลังลุกโชนโชติช่วง

    เผาไหม้บรรดาสัตว์นรกอยู่อย่างบ้าคลั่งนั้นให้ดับ พร้อมกับให้ฝนเทลงมาตกต้องร่างแสนจะร้อนเร่าจนเกือบจะสุกเกรียมของสัตว์ผู้ยาก เป็นการใหญ่ ขณะเดียวกัน ก็บันดาลลมให้กระพือพัดต้นงิ้วและภูเขาไฟ รวมทั้งอีกาปากเหล็กทั้งหลาย

    ให้กระจัดกระจายพลัดพรายไปจนหมด เสร็จแล้วบันดาลให้น้ำที่กำลังเดือดพล่านในกระทะทองแดง กลายเป็นน้ำเย็น และมีรสหวานปานน้ำผึ้ง ให้พวกสัตว์นรกเหล่านั้นได้ดื่มกินกันอย่างสำราญ

    ต่อจากนั้นก็แสดงธรรมโปรดให้เป็นที่เอิบอาบซาบซึ้งใจทั่วกัน พวกสัตว์นรกทั้งหลายเมื่อได้ฟังเทศน์จบแล้ว ต่างพากันยกมือไหว้แล้วร้องสั่งท่านว่า

    "พระคุณเจ้าขอรับ ได้โปรดเวทนาพวกข้าพเจ้าด้วย เมื่อพระคุณเจ้ากลับไปถึงโลกมนุษย์แล้ว

    ขอได้แวะไปบ้านนั้น เมืองนั้น บอกญาติของข้าพเจ้าชื่อนั้น ให้เร่งทำบุญ แล้วอุทิศส่วนบุญมาให้ข้าพเจ้าด้วยเถอะ ข้าพเจ้าจะได้พ้นกรรมเร็วๆ เจ้าข้า"

    ฝ่ายพระมาลัยครั้นกลับมาถึงโลกมนุษย์ ก็นำความตามที่สัตว์นรกพวกนั้นสั่งมาบอกแก่ ญาติ พี่ น้อง ตามตำบลที่ระบุไว้ทุกประการ บรรดาญาติ ครั้นได้ฟังท่านบอก ก็ทำบุญให้ทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ โดยไม่รั้งรอ สัตว์นรกผู้เสวยกรรม เมื่อได้อนุโมทนาส่วนกุศลแล้ว ก็พ้นกรรมไปเกิดบนสวรรค์ เสวยสมบัติทิพย์เป็นที่สำราญในทันที

    ต่อมา หลังจากที่ท่านไปโปรดสัตว์นรก ณ เมืองนรกแล้ว พระมาลัยก็ไปสวรรค์บ้าง ครั้นได้เห็นเทพบุตร เทพธิดาเสวยสุขสำราญในสวรรค์ ก็กลับมาบอกชาวบ้านให้เร่งทำบุญสุนทาน เพื่อจะได้ไปเกิดในสวรรค์อย่างเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นบ้าง ทำให้ชาวบ้านเกิดเลื่อมใส ศรัทธา ทำบุญให้ทานเป็นการใหญ่ และเมื่อสิ้นชีวิตลงไปก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์เสวยสุขสำราญตามควรแก่ ผลบุญของตน ด้วยประการเช่นนี้

    ต่อมาวันหนึ่ง พระมาลัยผู้มีฤทธิ์ได้ชำแรกแผ่นดินลงมาเยี่ยมเมืองนรกอีกคำรบหนึ่ง เพื่อจะได้ไปนำข่าวคราว การเสวยผลกรรมของบรรดาสัตว์นรก ที่ยังเหลือมาบอกแก่ชาวบ้านต่อไป

    พอดีคราวนี้ จะเป็นการบังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ท่านได้พบบรรดาสัตว์นรกทั้งหลาย กำลังถูกผู้คุมเอาหอกทิ่มแทงอย่างไม่ปรานีปราศรัยแทงซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างไม่เลือกที่ จนเลือดทะลักไหลนองท่วมพื้น และบรรดาสัตว์ผู้น่าสงสารเหล่านั้น ต่างก็ร้องโอดโอยลั่นขึ้นด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ท่ามกลางการนั่งมองอย่างชอบอกชอบใจของยมพบาล เจ้าแห่งนรก ท่านจึงแวะเข้าไปถามยมพบาลว่า

    "นี่แน่ะท่าน ท่านคือยมพบาลใช่ไหม?"

    "ถูกแล้ว พระคุณเจ้า" ยมพบาลตอบ "ข้าพเจ้าคือพระยายมราช หรือที่ใครๆเรียกกันติดปากว่ายมพบาลนั่นแหละขอรับ"

    "อาตมาอยากจะถามท่านสักหน่อยว่า ทำไมท่านโหดเหี้ยมเหลือร้ายนัก พวกผู้คุมลงโทษสัตว์นรกอย่างไม่ปรานีปราศรัย แต่ท่านกลับนั่งดูเฉย ไม่เห็นห้ามปรามอะไรเลยยังงี้เล่าท่าน"

    ยมพบาลหัวเราะ ราวกับว่าคำถามนั้น ทำให้เขาขบขันเสียเต็มประดา "พระคุณเจ้าถามอะไรก็ไม่ทราบ ความจริงข้าพเจ้าไม่ได้โหดร้ายอะไรเลยสักนิด มีแต่เมตตาปรานีอย่างมากที่สุด"

    "ท่านพูดเป็นเล่นไปได้" พระมาลัยหัวเราะออกมาด้วยความขบขันเหมือนกัน "นี่นะหรือคนที่มีเมตตาปรานี เห็นคนถูกเฆี่ยนตีทิ่มแทงจนเลือดท่วมตัว ดิ้นรนทุรนทุรายเหมือนปลาถูกทุบหัวเช่นนี้ กลับนั่งเฉยเหมือนเป็นทองไม่รู้ร้อน อาตมาว่าท่านใจดำเป็นหมึกมากกว่านะท่านนะ"

    "ขอพระคุณเจ้าอย่าได้เข้าใจผิดอย่างนั้นเลยขอรับ" ยมพบาลอธิบาย "ทุกอย่างมันเกิดจากกรรมที่สัตว์พวกนั้นก่อไว้เองทั้งนั้น พระคุณเจ้า และกรรมนั่นเองแหละที่ทำร้ายตัวเขาอยู่ขณะนี้ ใครจะห้ามปรามหรือคัดค้านทัดทาน ช่วยเหลืออย่างไรก็ไม่ได้หรอก ใครทำไว้อย่างไร ต้องได้อย่างนั้นขอรับ"

    "ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ได้เรียกว่าท่านมีเมตตาปรานีอย่างที่สุดอยู่ดี" พระมาลัยติดใจสงสัยเรื่องความเมตตาปรานีของยมพบาลอยู่ "เพราะเมื่อท่านช่วยเหลืออะไรเขาไม่ได้ แล้วทำไมต้องคุยว่ามีเมตตาปรานีด้วยเล่า?"

    "อ๋อ! ข้อนั้นข้าพเจ้ายังไม่ได้อธิบายถวายพระคุณเจ้า" ยมพบาลรีบสาธยายต่อไป "ความจริงตามกฎของนรกระบุไว้ว่า เมื่อคนที่ตายมาแล้วถึงที่นี่ ข้าพเจ้าจะให้สุวานเปิดดูบัญชีความดี ความชั่วที่เขาทำไว้ ใครทำความดีไว้มากก้จะส่งไปบนสวรรค์

    แต่ถ้าใครทำความชั่วไว้มาก ก็จะส่งไปลงโทษตามสถานความผิดทันที โดยไม่มีการลดหย่อนหรือปรานีใดๆทั้งสิ้น แต่กระนั้นก็ดี ข้าพเจ้ายังให้โอกาสซักถามเขาถึงความดี และเทวฑูตทั้งห้าประการอีกหลายครั้ง เพื่อจะให้เขาได้สติ ระลึกนึกถึงความดีบางสิ่งบางอย่างที่เขาทำไว้บ้าง จนกระทั่งเห็นว่าเขานึกไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ จึงจะส่งตัวไปลงโทษ และถ้าตอนนั้นเกิดมีใครนึกขึ้นมาได้ ก็จะส่งตัวไปสวรรค์ทันที"

    "ท่านถามเขายังไง คงยากไปกระมังถึงตอบไม่ได้"

    "ไม่ยากดอกขอรับ-เรื่องความดี ข้าพเจ้าถามว่าเมื่ออยู่เป็นมนุษย์ ได้ทำบุญให้ทาน หรือช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากบ้างไหม ที่ไหน เท่านี้แหล่ะ" "แล้วเรื่องเทวฑูตล่ะ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2005
  2. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle> </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 2
    โปรดนรกปาณาติบาต
    คือผู้ขาดเมตตา กระทำปาณาติบาต
    ฆ่าสัตว์ผู้มีคุณโดยตรงหรือโดยอ้อมเป็นต้น ให้เสวยกรรม


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>[font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    "ข้าพเจ้าก็ถามทุกข์ ที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามจะพึงได้รับ คือ ทุกข์ตอนเกิด ทุกข์ตอนแก่ ทุกข์ตอนเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์ตอนตาย แล้วก็ทุกข์ในการ เวียนว่ายตายเกิดนั่นแหละขอรับ ข้าพเจ้าเคยถามว่า ตอนเจ้าเป็นมนุษย์เห็นเด็กเล็กๆ นอนอยู่ในผ้าอ้อมเลอะเทอะจมขี้จมเยี่ยวบ้างไหม


    ครั้นเขาตอบว่าเห็น ข้าพเจ้าก็ซักต่อไปว่าเจ้าเห็นแล้วคิดยังไงบ้าง เขาตอบว่า ไม่ได้คิดอะไรเลย ข้าพเจ้าพยายามซักถามอีกสองสามครั้ง เพื่อจะให้เขาเกิดความสังเวชในชาติทุกข์ มีสติระลึกถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ เขากลับย้อนเอาว่า กะแค่เห็นเด็กเล็กเด็กแดง จะต้องคิดให้เป็นกังวลทำไม เสียเวลาเปล่าๆ ข้าพเจ้าเห็นว่า เขาผู้นี้ไม่มีสติ มีความประมาทในชาติธรรม เป็นคนใช้ไม่ได้

    แต่กระนั้นยังให้โอกาสเขาต่อไปอีกว่า เจ้าเห็นคนแก่หนังเหนียว เดินถือไม้เท้างกๆ เงิ่นๆ บ้างไหม? เขากลับย้อนถามเอาอีกว่า จะไปคิดให้เสียเวลาทำไม ข้าพเจ้าเห็นว่า เขาผู้นี้ไม่มีสติ ประมาทในชราธรรม เป็นคนใช้ไม่ได้อีกตามเคย

    ข้าพเจ้าได้ให้โอกาสถามเขาต่อไปอีกว่า เจ้าเห็นคนป่วยบ้างไหม และเห็นแล้วคิดอะไรบ้าง? เขาก็ตอบอย่างฉะฉานตามเคยว่า คนป่วยนะหรือ เคยเห็นมาเสียนับไม่ถ้วน แต่เห็นแล้วจะให้คิดถึงทำไม ขยะแขยงเต็มทน ตกลงเขาผู้นี้ก็ยังไม่มีสติ ประมาทในพยาธิธรรมอีกอย่างหนึ่ง

    ข้าพเจ้าได้ถามเขาต่อไปว่า เจ้าเคยเห็นคนตามบ้างไหม และเห็นแล้วคิดอะไรบ้าง? เขาตอบว่า เห็นนะเห็นหรอก แต่จะไปคิดทำไมให้เสียเวลา มีแต่กลัวจะมาหลอกเอาเท่านั้น ตกลงเขาก็ยังไม่มีสติ ประมาทในมรณธรรม อีกประการหนึ่ง

    ข้าพเจ้าได้ถามเขาต่อไปเป็นครั้งสุดท้ายว่า เจ้าเคยเห็นคนถูกลงโทษเฆี่ยนตีประหารบ้างไหม? เขาตอบอย่างเหนื่อยหน่ายว่า โอ๊ย! เห็นมาแยะ แต่จะให้คิดถึงนะหรือ ป่วยการ นอกจากจะสมน้ำหน้ามันเท่านั้นเอง

    ก็เป็นอันว่า เขาไม่มีสติพิจารณาสังขารธรรมให้เกิดความสังเวชใจ มัวแต่ประมาทมองไม่เห็นภัยในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และการเวียนว่ายตายเกิดประการใดเลย เขาถูกบาปหนา ปิดบังดวงปัญญาไว้ คนเช่นนี้จะปรานีไม่ได้ ควรที่จะโยนลงกระทะทองแดง เอาหอกแหลมแทงให้ดิ้นพล่านไปทันทีดีกว่า จริงไหม? พระคุณเจ้า?"

    พระมาลัยพยักหน้า "ก็จริงอยู่หรอก แต่ทว่า เท่าที่ท่านบอกทั้งหมด ยังไม่เห็นตอนไหนบ่งบอกว่าท่านมีเมตตาปรานี ดังที่คุยไว้เลย มีแต่แสดงความโหดร้าย หาแง่จะลงโทษเขาอยู่ท่าเดียวเท่านั้นเอง"

    "พระคุณเจ้าจะกรุณาอธิบายหน่อยได้ไหมว่า เมตตาปรานี มีลักษณะอย่างไร?" ยมพบาลย้อนถาม

    "ลักษณะความเมตตาปรานีก็คือ การสำรวมจิตมั่นอยู่ในความรักใคร่ สนิทสนมเอ็นดู สงสารในสัตว์ไม่เลือกหน้า อย่างมั่นคงนะสิท่าน" "ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้ามีความรักใคร่สัตว์นรกอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้วนี่ พระคุณเจ้า"

    "แต่ท่านเอาแต่สั่งลงโทษสัตว์นรก อย่างนี้จะเรียกว่าความรักใคร่ได้อย่างไร? มันขัดกันอยู่นะท่านยมพบาล"

    ยมพบาลหัวเราะ พลางตอบอย่างฉะฉาน

    "พระคุณเจ้ายังเข้าใจข้าพเจ้าผิดอยู่นั่นเอง เอาละทีนี้จะยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ตามธรรมดาย่อมรักใครในบุตร และลูกศิษย์มาก พยายามเลี้ยงดูอย่างทะนะถนอม และสั่งสอนวิชาการให้อย่างดี แต่เมื่อบุตรนั้น ประพฤติผิดก็ดุด่าเฆี่ยนตี-อย่างนี้ พระคุณเจ้าจะตำหนิว่า พ่อแม่ ครูอาจารย์พวกนั้น ขาดเมตตาปรานีหรือเปล่าของรับ?"

    "เปล่าหรอกท่าน พ่อแม่ครูอาจารย์พวกนั้นทำไปด้วยความรักใครเมตตาปรานีต่างหาก"

    "ข้าพเจ้าก็เหมือนกัน สัตว์นรกพวกนี้กระทำผิดก็จำต้องลงโทษ เพื่อให้สำนึกตัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยความเมตตาปรานีพวกเขาแท้ๆ ข้าพเจ้าจึงทำ"

    พระเถระได้ฟังเหตุผลของเจ้านรก ก็หมดสิ้นความสงสัย ไม่พูดว่ากระไรต่อไป จนยมพบาลถามขึ้น

    "พระคุณเจ้าลงมาเมืองนรกนี่ ได้เดินตรวจดูทั่วหรือยังขอรับ?"

    "ยังเลยท่าน เพียงแต่ผ่านๆสามสี่แห่งเท่านั้น หากท่านจะพาเดินชมให้ทั่วสักหน่อย ก็จะเป็นการดีมาก อาตมาจะได้บันดาลให้ชาวโลกข้างบนเห็นด้วย"

    "แหม! ถ้ายังงั้นก็วิเศษขอรับ พระคุณเจ้า เอาละ ข้าพเจ้าจะพาพระคุณเจ้า ไปตระเวณให้ทั่วเดี๋ยวนี้แหละ และยังไงก็ขอให้พระคุณเจ้าช่วยเปิดให้ชาวโลกเห็น จนครบถ้วนให้ได้ พวกเขาจะได้กลัว ไม่กล้าทำบาปกันต่อไป มนุษย์เดี๋ยวนี้ก็ดื้อด้านกันเหลือเกิน พระคุณเจ้า"

    "อ้าว! แล้วท่านไม่กลัวว่างงานหรือ?" พระมาลัยแกล้งย้อน

    "อ๋อ! ว่างงานเพราะไม่มีคนตกนรกน่ะหรือพระคุณเจ้า?" ยมพบาลหัวเราะร่วน "ข้าพเจ้าจะไปกลัวทำไม ในเมื่อไม่มีคนมาตกนรก จนนรกต้องล้มเลิกไป ข้าพเจ้าก็ได้ขึ้นสวรรค์หมดกรรมเท่านั้นเอง"

    "หมายความว่าทุกวันนี้ท่านยังมีกรรมเวรยังงั้นหรือท่าน"

    "นั่นมันของตายขอรับ พระคุณเจ้า ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ามีทั้งกรรมเวรและมีทั้งบุญกุศล ครึ่งหนึ่งเป็นเทวดา อีกครึ่งเป็นสัตว์นรก พระคุณเจ้ารู้ไว้เสียด้วยเถอะ"

    "ท่านพูดยังงี้ ทำให้อาตมางงใหญ่ โปรดอธิบายต่ออีกสักหน่อยเถอะ"

    "ก็หมายความว่า ข้าพเจ้ามีความสุขเยี่ยงเทวดาทั้งหลายเพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งต้องมาวุ่นวาย ทรมานสังขารสอบสวนคดีความ ตัดสินลงโทษสัตว์นรกอยู่ในดินแดนโลกันต์อย่างนี้แหละท่าน"

    "อ๋อ! ยังงั้นเองหรอกหรือ?" พระมาลัยเพิ่งจะถึงบางอ้อตอนนี้ "เอาละ ขอให้อาตมาได้รบกวนถามเพียงเท่านี้เถอะ ต่อไปนี้ช่วยพาอาตมาไปเที่ยวชมนรกดีกว่า อาตมามาที่นี่หลายครั้ง แต่ไม่เห็นทั่วสักที"

    ยมพบาลว่าพลางลุกขึ้น จากแท่นออกเดิดนำหน้า พาพระเถระจากเมืองมนุษย์เที่ยวชมเมืองนรกโดยไม่รอช้า

    ดินแดนลงโทษสัตว์นรกแห่งแรกที่ยมพบาลพาพระมาลัยไปชมนั้น เป็นภูเขาหินลูกใหญ่สองลูกเป็นเครื่องหมาย ซึ่งภายในภูเขาลูกนี้ มีเครื่องยนต์กลไกอยู่ภายใน สามารให้เคลื่อนมากระทบบดขยี้ สัตว์นรกที่เข้าไปอยู่ในระหว่างกลาง ให้แหลกละเอียด ได้อย่างน่าอัศจรรย์ หากจะเปรียบง่ายๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับหีบ ที่หีบอ้อยสดให้น้ำอ้อยไห้อ้อยออกมานั่นเอง

    ในช่วงเวลาที่ยมพบาลพาพระเถระไปถึงนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่สัตว์นรก ผู้ตกเป็นทาสกรรมหลายต่อหลาย กำลังถูกผู้คุมจับพุ่งเข้าไปในภูเขายนต์ และถูกภูเขาเคลื่อนมาบดขยี้เนื้อตัวอย่างไม่ปรานีปราศรัย ต่างก็ส่งเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว แสนสาหัส จนกระทั่งร่างแหลกเหลวเป็นจุณวิจุณไป ไม่มีเสียงที่จะร้องต่อไปนั่นแหละ ภูเขาทั้งสองจึงเคลื่อนตัวออกจากกัน แล้วผู้คุมก็จับคนใหม่พุ่งเข้าไปแทน เช่นนี้เรื่อยไป เป็นที่เสียวไส้ สยดสยอง ขนลุกขนพอง แก่ผู้ที่ได้พบเห็นอย่างมากทีเดียว

    นี่เองชีวิตของผู้ตกเป็นหนี้กรรม ต้องยอมเสวยทุกขเวทนาชดใช้ไป แม้ว่าความทุกขเวทนาดังกล่าว จะแสนสาหัสยิ่งกว่ากรรมที่ตนทำไว้เพียงใดก็ตาม ทางเดียวคือ ยอม-ยอมก้มหน้ารับมันต่อไป จนกว่าจะหมดสิ้น

    "ที่นี่เรียกยันตปสาณนรก พระคุณเจ้า" ยมพบาลเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น หลังจากที่ปล่อยให้พระมาลัย นิ่งมองด้วยความสมเพชเวทนาอยู่เป็นเวลานาน "เป็นนรกย่อยๆ ที่ใช้ลงโทษสัตว์นรกผู้มีกรรมเล็กๆ น้อยๆ ขอรับ"

    "กรรมเล็กๆ น้อยๆ ?" พระมาลัยทวนคำ "หมายความว่ากรรมประเภทไหนล่ะท่าน?"

    "ก็จำพวกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ด้วยการใช้เครื่องทรมานนี้ประการต่างๆ เช่น จับสัตว์ใส่เครื่องบดทั้งๆ ที่ยังเป็นๆ อยู่นั่นแหละ พระคุณเจ้า" ยมพบาลตอบ "คนพวกนี้เห็นชีวิตสัตว์อื่นเป็นเครื่องเล่น การร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดของสัตว์อื่น แทนที่จะก่อให้เกิดความเวทนาสงสาร กลับทำให้พวกเขา เกิดความครึกครื้น สนุกสนาน ประการหนึ่งว่า ได้ฟังเสียงดนตรีอันไพเราะ ครั้นตัวเขาตาย จึงมาพบกับความทุกขเวทนาเช่นนี้ ขอรับ"

    "แหม! น่าสงสาร นี่เป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขาแท้ๆ" พระมาลัยครางเสียงเศร้า "แล้วนี่ เมื่อไหร่พวกเขาจะพ้นกรรมเสียทีเล่า ท่าน"

    "ก็หลายปีขอรับ ทั้งนี้ต้องแล้วแต่กรรมที่เขาทำไว้ มากหรือน้อยเท่าใดเป็นเกณฑ์ ใครทำไว้มากก็ต้องรับโทษนาน ใครทำน้อยก็รับโทษไม่นาน โดยการตายแล้วเกิด มาถูกโยนเข้าไปในภูเขายนต์อีกเช่นนี้อยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นกรรม เออ นิมนต์ไปดูที่อื่นเถอะขอรับ ยังมีอีกแยะเดี๋ยวจะไม่ทั่ว"

    ยมพบาลว่าพลางเดินนำหน้าพระมาลัย ไปยังแดนทรมาณแห่งต่อไป

    สักครู่ก็มาถึงหน้าประตูบานใหญ่ ซึ่งปิดสนิทอยู่ ตรงกลางกำแพงเหล็กมหึมา ที่ล้อมรอบบริเวณภายในประตูนั้นไว้อย่างมิดชิด และมั่นคงแข็งแรงทั้งสี่ด้าน หลังจากกำปั้นอันใหญ่ของยมพบาลเคาะกึกๆ ที่บานประตูสองครั้ง บานเหล็กใหญ่ก็เผยออกต้อนรับ และทันทีที่ยมพบาลก้าวนำหน้าเข้าไป ปิศาจร่างผอมกระหร่องผิวดำสนิท ราวกับถ่าน ซึ่งเฝ้าอยู่ด้านในประตู ก็ผุดลุกขึ้นแสดงความเคารพเจ้าแห่งนรกอย่างรวดเร็ว

    ยมพบาลพยักหน้านิดหนึ่ง แล้วเดินนำหน้าพระมาลัยเข้าไปข้างใน ชั่วครู่ก็มาถึงขอบสระน้ำอันกว้างใหญ่ และเปี่ยมด้วยน้ำใสสะอาดดุจตาตั๊กแตน พอดีขณะนั้น ปิศาจร่างใหญ่สองสามคน กำลังจับสัตว์นรกลงกลางสระอย่างไม่ปรานีปราศรัย สัตว์นรกได้แต่ร้องโอดโอยเรียกให้ช่วยลั่น ครั้นแล้วเมื่อร่างของมันโครมลงน้ำ เสียงร้องก็เงียบหายไป และสักครู่ร่างของมันก็ลอยทื่อขึ้นมาอยู่บนผิวน้ำอย่างไร้ชีวิตจิตใจ

    มิใช่แต่เพียงเท่านั้น ยังมีอีกหลายตนซึ่งถูกจับโยนลงในสระ และดับดิ้นสิ้นใจ พาร่างลอยขึ้นมาเหนือน้ำเช่นเดียวกัน

    "ที่นี่เรียก สีตละนรก พระคุณเจ้า" ยมพบาลอธิบาย "หมายถึงนรกที่มีน้ำเย็นที่สุดกว่าแห่งใดทั้งสิ้น หากจะเรียกให้ทันสมันหน่อยก็ว่า แดนน้ำเย็นมหาภัย ขอรับ

    "แล้วพวกสัตว์นรกทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มารับโทษที่นี่เล่า?" พระมาลัยซักต่อไป

    "สัตว์นรกพวกนี้ เมื่อชาติก่อน ชอบผลักคนหรือสัตว์ให้ตกไปจมน้ำตาย โดยเห็นเป็นของสนุกสนาน หรือเกมกีฬา อย่างใดอย่างหนึ่งนั่นแหล พระคุณเจ้า" ยมพบาลตอบ แล้วพาพระเถระออกจากแดนน้ำเย็นมหาภัย ไปดูที่อื่นต่อไป

    ชั่วเวลาต่อมา ยมพบาลก็พาพระเถระ มายืนอยู่หน้าประตูเหล็กมหึมา ที่ปิดสนิทอยู่ตรงกลางกำแพงเหล็กหนา รายล้อมปิดอาณาบริเวณภายในไว้ทั้งสี่ด้าน อย่างเดียวกับแดนน้ำเย็นมหาภัย ซึ่งเพิ่งจากมาเมื่อครู่นี้ จะแตกต่างไปก็เพียงแต่ใหญ่และสูงกว่าเล็กน้อยเท่านั้น

    หลังจากที่ยืนรีรอการเปิดรับ จากข้างในเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย ฉับพลันทันใด ที่บานประตูเหล็กมหึมานั้น เปิดอ้าออก เจ้าแห่งนรกก็พาพระเถระ เดินผ่านประตูเหล็กอีกชั้นหนึ่ง เข้าไปถึงสนามหญ้าเขียวขจี ซึ่งมีเป็นลานกว้างใหญ่อยู่ข้างใน และถัดไปเป็นสระน้ำใสสะอาด ดารดาษด้วยดอกบัวชูช่อไสว มีฝูงปลาตัวน้อยใหญ่ แหวกว่ายอยู่ ดูน่ารื่นรมย์และสมควรที่จะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ มากกว่าจะเป็นแดนอันหฤโหด

    ดูเหมือนจะไม่ช้านานเท่าใดนัก ที่พระมาลัยถูกพามาหยุดยืนอยู่ริมสระนั้น ท่านก็สังเกตเห็นสัตว์นรก รูปร่างผอมโซเหลือแต่กระดูก ราวกับอดอยาก มานานนับปีฝูงหนึ่ง วิ่งกรูกันมาจากห้องขังใหญ่ที่มุมสนามหญ้าด้านโน้น และพอมาถึงสระน้ำ ต่างก็แย่งกันกระโจนลงกินน้ำ อย่างคนกำลังกระหายหิวเป็นที่สุด เพียงครู่เดียว เมื่อต่างคนต่างได้อื่มน้ำจนอื่มแปล้พุงกลางสมอยากแล้ว ก็พากันขึ้นจากสระมานอนแผ่หรา อยู่สนามหญ้ารอบๆ เป็นการพักเหนื่อยเอาแรง ไม่มีใครรู้ว่าน้ำที่ตนดื่มกินเข้าไปนั้น จะกลับกลายเป็นสิ่งทำลายตนในภายหลัง
     
  3. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle> </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 3
    โปรดนรกอทินนาทาน
    คือผู้โลภประพฤติอทินนาทาน เช่นลัก ขโมยของพระสงฆ์
    หรือฉ้อโกงและทำลายทรัพย์สินผู้มีคุณเป็นต้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>[font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    และขณะที่พระคุณเจ้าจากเมืองมนุษย์ กำลังนิ่งมองด้วยความสนใจนั้น เสียงร้องโอดโอยอย่างคนได้ครับความเจ็บปวดแสนสาหัสของสัตว์นรกตนหนึ่ง ซึ่งนอนแซ่วอยู่เบื้องหน้าก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างของมันกระโดดถลาไปดิ้นทุรนทุราย เกลือกกลิ้งตามพื้นหญ้าอย่างน่าเวทนา และในชั่วอึดใจต่อมา ไส้น้อยใหญ่และตับไตของมัน ก็ไหลทะลักออกมาทางทวารเบื้องต่ำ พร้อมด้วยเมล็ดแกลบที่กำลังลุกเป็นไฟ เผาไหม้อย่างไม่หยุดหย่อน


    ถูกแล้ว! น้ำที่ดื่มเข้าไปอัดไว้ในท้องเมื่อครู่ ได้กลายเป็นแกลบ และลงมือทำงานเผาผลาญขึ้นแล้ว ไม่เพียงแต่เท่านี้ สัตว์นรกอีกหลายต่อหลายตน ซึ่งนอนแผ่หราอยู่ในบริเวณนั้น พอคนแรกด่าวดิ้นสิ้นใจไป คนต่อมา ที่สอง ที่สาม สี่ ห้า จนกระทั่งถึงคนสุดท้ายที่มีอยู่ ต่างร้องโอดโอยและกระโดดถลาไปดิ้นทุรนทุราย เหมือนคนแรกหมด ตามลำดับ ท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของผู้ที่ได้พบเห็น

    "ที่นี่เรียก ธุสนรก พระคุณเจ้า" ยมพบาลอธิบาย "แดนแห่งนี้เป็นแกลบเพลิงที่เหล่าสัตว์นรกเห็นเข้าแล้วนึกว่าน้ำ สวาปามดื่มกินเข้าไปในท้อง สุดท้ายก็ทำลายตับไตไส้พุงของพวกมันเสียป่นปี้ และก็ผู้ที่จะมาเสวยทุกข์ทรมานในนรกแห่งนี้ ส่วนมากเมื่อชาติก่อน เอายาพิษใส่ในอาหารหรือน้ำดื่ม ให้คนอื่นกินขอรับ"

    "แหม! น่าสังเวชเหลือเกินท่าน" พระมาลัยครางออกมาด้วยความสังเวชสลดใจ มันเป็นเรื่องเวรกรรม พระคุณเจ้า กรรมที่เขาทำไว้นั่นแหละ จะตามมาสนองเขาเอง ไม่มีใครทำให้เลย นิมนต์ไปดูที่อื่นต่อเถอะ ขอรับ" ยมพบาลรีบตัดบท พาพระเถระออกจากที่นั้นไปโดยเร็ว

    อีกครู่ต่อมา เจ้าแห่งนรกก็พาพระเถระมาถึงแดนนรกอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ถึดกันไปไม่ถึงยี่สิบก้าว และดูเหมือนนรกแห่งนี้ จะแปลกกว่าสองสามแห่งที่ผ่านมาไม่น้อยทีเดียว โดยไม่มีกระทะครอบ หรือประตูเหล็กปิดกั้น กำแพงล้อมใดๆทั้งสิ้น

    พอไปถึง ก็มองเห็นเป็นลานกว้าง ปูด้วยหินอ่อนสีเขียวอย่างราบเรียบ เป็นเงาวาววับคล้ายแผ่นกระจก ถูกแล้วมันน่าจะเป็นที่ประชุมสโมสร บริษัทบริวาร หรือมิฉะนั้นก็เป็นที่เล่นกีฬากลางแจ้ง ของผู้ยิ่งใหญ่คนใดคนหนึ่งมากกว่าอย่างอื่น

    ยมพบาลคงจะพาพระเถระจากเมืองมนุษย์ มาดูความกว้างของลานหินอ่อนอย่างนี้ไม่มีปัญหา?

    "พระคุณเจ้าอย่าเพิ่งคิดว่า ที่นี่เป็นสนามกีฬาหรืออื่นใด" ยมพบาลเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้มือไปยังมุมสุดเบื้องหน้า ซึ่งปรากฏเป็นมีลูกกลิ้งหินมหึมาเท่าภูเขาลูกหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ "โน่นขอรับ ลูกกลิ้งหินที่เห็นอยู่นั่นแหละ คือสิ่งแปลกประหลาดอัศจรรย์ที่สุด

    มิใช่มีลูกเดียวนะ ข้างหลัง และซ้ายขวา ยังมีอีก รวมเป็น 4 ลูกด้วยกัน ลูกหิ้นทั้งสี่นี้เป็นลูกกลิ้งไฟ มีไว้สำหรับกลิ้งมาบดสัตว์นรกที่วิ่งเข้าไปยืนบนลานหินนี้ พระคุณเจ้า"

    พอดีกับที่ขณะนั้น เสียงผีเท้าของใครต่อใครวิ่งมาอย่างสับสน พร้อมกับเสียงหวดแส้ดังวื้ดว้าด และเสียงกรีดร้องโอดโอยติดตามมาทางเบื้องหลัง

    ทั้งยมพบาลและพระเถระหันขวับมาดูพร้อมๆกัน มันจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากฝูงสัตว์นรก ที่กำลังถูกเหล่าผู้คุมไล่ต้อนเข้าเครื่องบดชดใช้กรรมนั่นเอง ตัวไหนที่พูดกันรู้เรื่องง่าย และวิ่งเร็วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตรงกันข้าม ตัวไหนพูดยากและวิ่งช้า แส้เหล็กอันใหญ่ยาวราวกับสายบรรทัด ก็ซัดโครมๆ เข้าที่เนื้อตัวอย่างไม่เลือกที่และปรานีปราศรัย

    แม้จะเกิดเป็นรอยแผลแตกเลือดทะลักออกม และมันจะส่งเสียงร้องครวญครางขอความเวทนาสงสารสักปานใด ก็เหมือนยั่วยุให้พวกผู้คุมกระหน่ำแส้เหล็กเข้าให้หนักขึ้น จนในที่สุด แม้จะถึงกับลุกไม่ขึ้น ก็ต้องพยายามคลานรุดหน้าไปตามคำสั่ง

    เหล่าสัตว์นรกวิ่งทยอยล้มลุกคลุกคลาน และกระเสือกกระสน หนีออกหน้าซ้ายขวากันให้อลหม่านไปหมด แต่จนแล้วจนรอด ก็หนีไปไหนไม่พ้น นอกจากจะถูกต้อนไปนอนแซ่วหมดสติเรี่ยวแรง อยู่บนลานหินอ่อนเบื้องหน้านั่นเอง ไม่มีใครกระเสือกกระสนหนีต่อไปอีก ราวกับรู้ชะตาตนเองฉะนั้น

    ชั่วขณะนั้นเอง ก็บังเกิดมีไฟลุกแดงวาบขึ้นและโชติช่วงไปทั่วลูกกลิ้งหินเหล่านั้น ราวกับปาฏิหารย์ ขณะเดียวกัน ลูกกลิ้งแต่ละลูกก็ผันออกจากที่เข้ามาสู่กลางถนน ซึ่งเหล่าสัตว์นรกทั้งหลาย กำลังนอนรอความตายอยู่ ด้วยความเร็วราวกับลูกธนู และเสียงดังราวกับฟ้าลั่น

    ครืน! ครืน! ครืน! พริบตาเดียวก็ถึงตัว บังเอิญมีสัตว์นรกบางตัวรู้สึก เบิกตาโพลงขึ้น ครั้นมองเห็นภัยกำลังจะมาถึงตัว ก็ส่งเสียงร้องให้คนช่วย

    "โอย! ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! พร้อมกันนั้น ต่างถลันลุกขึ้นจะตะเกียกตะกายหนี แต่ช้าไปเสียแล้ว ลูกกลิ้งทั้งสี่ครืนเข้ามาทับ และบดขยี้พร้อมๆกัน ไม่ต่างอะไรกับรถบดถนน ท่ามกลางเสียงร้องโอดโอย ให้ระงมไปหมด เลือดสดๆ กระจายไปทั่วลานหินอ่อน จนมองเห็นเป็นสีแดงทั้งผืน

    "ที่นี่เรียก ปิสสกปัพพตนรก ขอรับ พระคุณเจ้า พวกที่ชอบทรมาณสัตว์ด้วยการเอาเหล็ก หรือหินเผาไฟนาบ หรือบดตามเนื้อตัวสัตว์ทั้งหลายอย่างสนุกมือนั่นแหละ เมื่อตายแล้วจะมาเสวยผลกรรมอยู่ในนรกแห่งนี้ขอรับ" ยมพบาลกล่าวแล้วพาพระเถระเดินออกจากที่นั้น ตรงไปยังแดนนรกแห่งอื่นทันที

    สักครู่ก็มาถึงศาลาใหญ่ตั้งอยู่ โดดเดี่ยวบนเนินสูง และดูเหมือนนอกจากจะมีบันไดเหล็กเล็กๆ มีรูปร่างไม่ต่างจากบันไดลิงทอดขึ้นไปจากข้างล่างเพียงอันเดียวแล้ว ก็ไม่มีกำแพงเหล็กหรือประตูใหญ่ใดๆทั้งสิ้น

    ฉับพลันทันใดที่ถูกพาไต่ขึ้นไปยืนอยู่หน้าศาลาหลังนั้น พระมาลัยก็เหลือบไปเห็นมีถาดอาหารอันโอชารส ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ตั้งเรียงรายอยู่เต็มตามความกว้างขวางและโอ่โถงของมัน

    ซึ่งอาหารเหล่านี้จัดไว้สำหรับใคร ไม่สามารถจะทราบหรือเดาได้ถูก และชั่วขณะที่เต็มไปด้วยความแปลกใจสงสัย ของพระเถระนั่นเอง ก็มีสัตว์นรกรูปร่างผอมโซฝูงหนึ่ง วิ่งกรูกันเข้ามาในศาลานั้น โดยไม่ทราบว่ามาจากทิศทางใด และสัตว์พวกนั้นต่างพากันตรงเข้าหาสำรับกับข้าว ที่ตั้งเรียงรายอยู่นั้น ตัวไหนที่ล้าหลังมาไม่ทัน ต้องใช้วิธียื้อแย่งจากเพื่อน ปราศจากความเกรงอกเกรงใจใดๆทั้งสิ้น

    ฝ่ายตัวที่ถูกแย่งก็พยายามต่อสู้ป้องกัน มิให้ถ้วยชามอาหารซึ่งตน กำลังกินอยู่อย่างเอร็ดอร่อยนั้นหลุดลอยไปจากมือเป็นการใหญ่ แต่ยิ่งต่อสู้ป้องกันเท่าใด เหมือนยิ่งยุ อ้ายตัวนักแย่งยิ่งรุกหนักขึ้น เอาไปเอามาเกิดศึกชิงอาหาร สัตว์นรกเหล่านั้นต่างแย่งถ้วยชามขึ้นขว้างปา และโผนเข้าทุบต่อยเตะตีกันอุตลุด

    ฝ่ายยมพบาลเมื่อเห็นเหตุการณ์รุนแรงเช่นนั้น ก็ส่งให้ผู้คุมเข้าห้ามปรามอย่างทันควัน

    หลังจากหวดแส้และประเคนฆ้อนเหล็กตัวนั้นตัวนี้อยู่ชั่วขณะ ศึกชิงอาหารก็สงบราบคาบลงด้วยการลงไปหมอบราบคาบแก้ว เป็นแถว อยู่กับภาคพื้นของเหล่าสัตว์นรกผู้อดโซ ทั้งสองมือที่ยกขึ้นพนกศีรษะและเนื้อตัวของพวกมัน ตกอยู่ในอาการสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวต่อโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ เพราะความผิดครั้งนี้ เป็นที่สุด

    กล่าวกันว่า กฎหมายในเมืองนรกนั้น มีการลงโทษสัตว์นรกอย่างหนึ่ง สำหรับความผิดที่บังอาจไปก่อขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการลักขโมย แย่งชิงวิ่งราวข้าวของกัน หรือทะเลาะวิวาทต่อตีกัน ไม่ว่าหนักหรือเบา น้อยหรือมาก นอกเหนือไปจากโทษทัณฑ์ที่จะพึงได้รับจากผลกรรมแล้ว

    นั่นก็คือ วิธีที่พวกผู้คุมจับมามัดแล้วใช้ฆ้อนเหล็กทุบตี จนกระทั่งทนเจ็บปวดทรมานไม่ไหว สลบไปแล้วเอาน้ำรดให้ฟื้นคืนมา และกระหน่ำตีต่อไปจนสลบไปอีก

    ทำอย่างนี้ถึงสามครั้ง ฟื้นสาม-สลบสาม เรียกกันว่า "สามสลบ" ถูกแล้ว อันวิธีสามสลบนี้ เหล่าสัตว์นรกต่างเข็ดขยาด หวาดกลัวกันเหลือเกิน บางรายถึงบอกว่า ถ้าจะให้เปลี่ยนเอาอย่างอื่นที่หนักหนากว่านี้ เช่นกรอกน้ำทองแดง หรือเข้าเครื่องบด มันยินดีทีเดียว

    เพราะถึงแม้วิธีเหล่านี้จะทำให้มันตายวายชีวาไป ก็ยังดีกว่าอยู่แบบเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสเช่นนี้

    ในช่วงเวลาที่เต็ฒไปด้วยอาการสั่นสะท้านหวาดกลัวของสัตว์นรกพวกนั้น ดูเหมือนจะไม่มีสัตว์นรกตัวใด ที่ไม่นึกวิงวอนขอความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า บนสวรรค์ ตลอดจนกระทั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างในสากลโลก จงช่วยดลบันดาลอย่าให้เหล่าผู้คุมใช้วิธีสามสลบนี้กับตน ยังไงๆก็ขอให้ใช้อย่างอื่นเถอะ แม้ว่ามันจะหนักหนายิ่งกว่านี้สักเพียงใด

    อนิจจา! เหล่าสัตว์นรกผู้น่าสงสาร บางทีการวิงวอนขอความเมตตา จากพระผู้เป็นเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสัตว์นรกเหล่านั้น จะช่วยพวกมันได้จริงก็เป็นได้ และเป็นได้ยิ่งกว่าที่วิงวอนขอนั้นอีก-มันช่างเป็นความปรานีที่เอิบอาบซาบซ่านใจ อย่างไม่นึกไม่ฝันอะไรเช่นนั้น

    ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดรวดร้าว อันเนื่องมาแต่การถูกเหล่าผู้คุมเข้าไปห้ามทุบตีเมื่อครู่นี้ ตลอดจนกระทั่งอาการสั่นสะท้าน หวาดกลัวทั้งหลายจะเหือดหายไปราวกับปลิดทิ้ง เหล่าสัตว์นรกที่หมอบราบคาบแก้ว ณ ที่นั้นต่างโดดผลุงลอกยขึ้นด้วยความปิติยินดีในทันใด

    เมื่อได้ยินเสียงยมพบาลร้องสั่งลูกน้องขึ้นว่า "พอ-พอทีเถอะไม่ต้องทุบตีอะไรพวกนี้อีก แค่นี้มันก็แสนสาหัสพอแล้ว ไป-ไปจัดสำรับกับข้าวมาให้พวกมันกินใหม่ดีกว่า"

    "ไชโย ขอให้ท่านยมพบาล เจ้านายของเราจงเจริญ" ปากคอที่กำลังระริก แสนเต็มตื้นด้วยความปิติยินดีของสัตว์นรกเปล่งเสียงไชโยโห่ร้องขึ้นพร้อมกัน

    ก่อนที่กังวานเสียงของยมพบาลจะขาดห้วงลง และแล้วพวกมันก็พากันกรูเข้ามาหมายจะกราบกราน แสดงความซาบซึ้งดีใจครั้งนี้อย่างที่สุด แต่ "ไม่ต้องเข้ามาหรอก พวกแกนั่งลงตามเดิมดีกว่า" ยมพบาลโบกมือห้ามเสียก่อน "เดี๋ยวพวกนั้น ก็จะยกสำรับกับข้าวมาให้กิน และหวังว่ายังไงเสียคราวนี้คงจะไม่เกิดการตะลุมบอนกันอย่างเมื่อกี้เป็นแน่"

    "ไม่เกิดแน่ขอรับ พวกข้าพเจ้าขอรับรอง" พวกสัตว์นรกร้องตอบขึ้นพร้อมกันอย่างทันควัน "เออ! ดีมาก" ยมพบาลตอบในที่สุด

    ในช่วงเวลาต่อมานั้นเอง สำรับกับข้าวชุดใหม่โอชารสที่กำลังส่งกลิ่นหอมกรุ่นฟุ้ง ไม่แพ้ชุดก่อนก็ถูกนำมาตั้งไว้เป็นที่เรียบร้อยตามคำสั่งของยมพบาลทุกประการ และเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว เหล่าสัตว์นรกผู้อดโซ ก็พากันลงมือตักข้าวปลาอาหารใส่ปากอย่างไม่รีรอ แต่ระมัดระวัง ไม่ให้มือไม้ของตน เผลอไปยื้อแย่งกันและกันอย่างเมื่อกี้เป็นที่สุด เดี๋ยวจะเกิดศึกชิงอาหารถึงขั้นตะลุมบอนกันขึ้นอีก อย่างไรก็ดี ตลอดเวลาที่กำลังตักข้าวปลาอาหารกินนั้น พวกมันต่างนึกขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เมตตาช่วยดลบันดาลให้เหตุการณ์ครั้งนี้ เปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี แทนที่จะถูกลงโทษทัณฑ์ แต่กลับได้กินอาหารอย่างดีโอชารสเช่นนี้
     
  4. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle> </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 4
    โปรดนรกกาเม
    คือบุพพกรรมสัตว์ที่กระทำกาเมสุมิจฉาจารไว้
    ย่อมเสวยผลกุศลกรรมนั้นตามโทษ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>[font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ครั้นแล้ว โดยไม่มีใครนึกฝันว่าเหตุการณ์ที่เปลี่ยนจากร้ายกลายมาเป็นดีแล้วนั้น จะย้อนกลับมาเป็นร้าย และร้ายยิ่งกว่าเดิมอีก พอข้าวปลาอาหารเหล่านั้นถูกเคี้ยวกลืนเข้าไปในท้องเพียงครู่เดียว ก็กลับกลายเป็นก้อนเหล็กแดงไหม้ เอาไส้พุงขาดกระจุยกระจายออกมา ท่ามกลางความเจ็บปวดและร้องครวญคราง อย่างสุดเสียงของพวกมัน จนในที่สุดต่างก็หงายตึงลงฟาดพื้นสิ้นใจไป อย่างน่าสมเพทเวทนา ทิ้งไว้แต่ชามข้าวที่พึ่งจะกินเข้าไปไม่ทันไร


    นี่เอง ความเมตตาปรานีที่เอิบอาบซ่านใจ ซึ่งพวกมันคิดว่าได้รับจากพระผู้เป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความจริง มันเป็นการใช้ไม้นวม เพื่อหลอกให้พวกมันกินข้าวปลาอาหารเข้าไป จะได้ไหม้ไส้พุงแตกทลายออกมา ตามความประสงค์ของยมพบาลโดยแท้

    "ทำไมท่านโหดร้ายอย่างนั้นเล่า ยมพบาล?" พระมาลัยท้วง "ท่านรู้ว่าอาหารเหล่านี้เป็นก้อนเหล็กแดง ยังอุตส่าห์หลอกให้พวกนี้กินเข้าไปได้?"

    "มิใช่ข้าพเจ้าหลอกพวกเขาดอกขอรับ" ยมพบาลตอบ "กรรมแต่ชาติก่อนต่างหากหลอกพวกเขา-ชาติก่อนนี้ พวกเขาเป็นข้าราชการ ทำงานเพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน แต่กลับทุจริตคิดมิชอบ ฉ้อฉลเอาทรัพย์สินตลอดจนข้าวปลาอาหาร จากประชาชน มาบำรุงกระเพาะตนเอง โดยมิได้คำนึงถึงความเดือดร้อนของใคร เขาถือว่ายังไง ขอให้เราได้กินอิ่มไปตลอดชาติก็แล้วกัน ในที่สุดเลยต้องมาอดอยากปากแห้ง มองเห็นก้อนเหล็กแดงเป็นอาหารโอชะไปเช่นนี้แหละ พระคุณเจ้า"

    ยมพบาลพูดจบ ก็รีบพาพระเถระเดินออกจากที่นั่นไปทันที ไม่ยอมให้ท่านได้ถามอะไรอีกต่อไป เพราะเวลามีน้องเกรงจะไปไม่ทั่ว

    ไม่ช้าก็มาถึงสวนใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยต้นมะม่วงนานาชนิด และต้นสูงใหญ่ และดกหนกด้วยกิ่งใบ ต่างกับมะม่วงธรรมดา เรียงรายเป็นทิวแถว ยาวสุดลูกหูลูกตา อยู่ในอาณาบริเวณอันโล่งเตียน เป็นระเบียบสวยงาม ราวกับผู้หนึ่งผู้ใดมาตกแต่งไว้ และไม่ผิดอะไรกับสวนมะม่วงของพระราชามหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองมนุษย์โดยแท้

    และนอกไปกว่านั้น ทั่วกิ่งใบมะม่วงทุกต้น กำลังสะพรั่งด้วยผลอันสุกงอม แต่ละลูกมีขนาดเท่าฟักแฟงแตงไทยของเรา และส่งกลิ่นหอมน่ากินมากทีเดียว

    ในฉับพลันที่ยมพบาลพระเถระไปถึงนั่นเอง ก็มีสัตว์นรกกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาทางเบื้องหน้า ด้วยกิริยาท่าทางที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี รายกับมันวิ่งเข้ามาเห็นป่า ยิ่งกว่านั้น พวกเขายิ่งส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวมาแต่ไกล

    "สบายแล้ว พวกเรา ที่นี่เป็นสวนมะม่วงดังที่คิดไว้จริงๆ แหม! มันกว้างใหญ่ร่มรื่นเหลือเกิน และโอ! ต้นมะม่วงเหล่านี้กำลังมีลูกสุกงอมเสียด้วยสิ คราวนี้ต้องฟาดให้หมดทั้งสอนเลย มาพวกเราเร็วเข้า"

    และโดยไม่ยอมปล่อยเวลาให้ผ่านไป พวกมันต่างพากันปีนป่ายขึ้นต้นมะม่วงหมายเขย่าผล ให้หล่นร่วงลงมา จะได้เก็บกินให้สมใจ และสมกับความหิวกระหาย ที่กำลังทวีความรุนแรงหนักขึ้นอยู่ในขณะนี้

    แต่ยังมิทันที่จะได้ถึงคาคบ ก็บังเกิดมีลมพัดแรงขึ้นอย่างกำหนด หมายไม่ได้ว่ามาจากทิศทางใด มันพัดมาต้องใบมะม่วงทั้งหลายให้ร่วงหล่นลงมา กลับกลายเป็นหอกดาบอันคมกล้า พุ่งลงมาเสียบหน้าเสียบหลังสัตว์นรกพวกนั้นอย่างรวดเร็ว ราวกับห่าฝน

    ยังผลให้พวกมันหกคะเมนลงมาสู่ภาคพื้น พร้อมทั้งส่งเสียงร้องลั่น ด้วยความเจ็บปวด ตัวไหนที่ยังไม่ขาดใจ พอทรงกายลุกขึ้นได้ ก็พยายามตะเกียกตะกายหนีอย่างสุดแรง บางตัวที่ยังมีแรงมากกว่าเพื่อนหน่อย ก็ร้องตะโกนมาบอกพรรคพวก ซึ่งอยู่เบื้องหลังว่า "หนีเร็ว พวกเรา ไอ้ใบมะม่วงนี่ กลายเป็นหอกดาบเล่นงานเราเสียแล้ว เร็วหนีเร็ว"

    ปากตะโกนพลาง เท้าจ้ำอ้าวกลับไปตามทางที่เข้ามา หมายจะให้พ้นจากสวนมะม่วงอุบาทว์นี้โดยเร็วที่สุด ฝ่ายพรรคพวกผู้อยู่เบื้องหลังที่ยังไม่ได้สติสตัง พอได้ยินเช่นนั้น ก็รีบถลันลุกพรวดพราดวิ่งตามมา บางตัวแม้จะแขนขาดด้วนไป เพราะหอกดาบแล่นมาต้อง แต่ก็ยังพยายามยันกายวิ่งมาด้วย

    อย่างไรก็ดี ยังมิทันที่สัตว์นรกผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นจะพ้นไปจากสวน ในขณะนั้น บังเกิดมีกำแพงเหล็กใหญ่ลุกโชนด้วยเปลวไป ผุดขึ้นมาจากพื้นดินขวางหน้า พวกมันไว้อย่างฉับพลัน ไม่ผิดอะไรกับฝูงสัตว์น้อยใหญ่ ในป่าที่ถูกนายพรานผู้ฉลาด สกัดกั้นการหนีของพวกมันไว้ด้วยวิธีเผาป่า ให้ลุกลามขึ้นข้างหน้า ในขณะที่ให้พวกของตนคนหนึ่งคนใดไล่ยิงมาฉะนั้น

    หมดสิ้นกันที สำหรับหนทางจะวิ่งหนีไป ครั้นจะย้อนกลับมาอีก หอกดาบก็ยังพุ่งตามมาราวกับห่าฝน ดูเหมือนชั่วขณะนั้น เหล่าสัตว์นรกผู้น่าสงสารจะมองไม่เห็นวิธีใด ดีไปกว่าการตะเกียกตะกายเลียบไปตามกำแพงเหล็กมหึมานั้นต่อไป เพื่อบางทีจะได้พบช่องทาง พอโผล่พ้นออกไปจากสวนมะม่วงอุบาทว์นี้บ้าง แม้ว่า ความยาวของกำแพงจะเหยียดยาวออกไปจนสุดลูกหูลูกตา และมองหาที่สุดไม่ห็นก็ตามที

    แต่ฉับพลันนั้นเอง เหตุการณ์ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าที่เกิดขึ้นแล้ว ก็อุบัติขึ้น สุนัขตัวใหญ่ขนาดเท่าช้างสาร มีเขี้ยวยาวโง้งออกมาจากปาก นัยน์ตาทั้งสองโตเท่าไข่ห่านนั้น ลุกวาวอย่างน่ากลัว ๕ ตัวพอดิพอดี วิ่งมาจากทิศทางใดไม่ทันเห็น

    และทั้งหมดทะยานเข้าใส่สัตว์นรกพวกนั้น เหมือนเสือร้าย ที่กำลังกระหายหิว ต่างตัวต่างกระโดยเข้าขย้ำค้ำคอเหยื่อของมันให้ด่าวดิ้นลงสู่ภาคพื้น และกัดกินเลือดเนื้ออย่างเอร็ดอร่อย ท่างกลางเสียงร้องโอดโอย และพยายามดิ้นรนทุรนทุราย หนีพวกสัตว์นรกอย่างสุดแรงเกิด

    ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาต่อมาไม่ถึงอึดใจ ยังมิทันที่สุนัขพวกนั้นจะกินอิ่ม ก็มีแร้งใหญ่ขนาดเท่าเรือนเกวียนโถมถลาลงมาจากอากาศ ขับไล่สุนัขทั้งหมด ให้หนีไป แล้วจิกทิ้งกินเนื้องสัตว์นรกเหล่านั้นจนเหลือแต่กระดูกในพริบตา

    "ที่นี่มีชื่อว่า แดนหอกดาบร่วง ขอรับ พระคุณเจ้า" ยมพบาลสาธยาย "สัตว์นรกต้องมาเสวยทุกข์ทรมาณอยู่ในดินแดนนี้ แต่ชาติก่อนได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตด้วยการเป็นพลานล่าเนื้อ ไล่ต้อน ทิ่มแทงสัตว์อื่น ด้วยหอก และเอาไฟเผาป่า ครอกสัตว์ตายอย่างทารุณโหดร้าย พระคุณเจ้า"

    "แหม! น่าอัศจรรย์แท้" พระมาลัยพึมพำเบาๆ

    "ยังมีที่น่าอัศจรรย์กว่านี้มากขอรับ นิมนต์ตามข้าพเจ้ามาเถอะ ข้าพเจ้าจะพาไปดู" ว่าพลางยมพบาลก็รีบเดิน ออกหน้าพระเถระไปยังแดนอื่นโดยไม่รอช้า ต่อมา ก็มาถึงที่โล่งแห่งหนึ่ง ซึ่งแลเห็นแม่น้ำเหยียดยาวขวางกั้น เป็นเส้นขนานอยู่เบื้องหน้า ทั้งสองฟากฝั่งมีเครือหวายอันใหญ่มหึมา เท่าต้นมะพร้าวขนาดเขื่องขึ้นสลับซับซ้อน และเกี่ยวพันกันเต็มไปหมด แทบจะไม่มีเถาวัลย์ หรือ พันธุ์ไม้ใดๆเจือปน ราวกับมีคนหนึ่งคนใด จงใจมาปลูกไว้ฉะนั้น
     
  5. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle> </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 5
    โปรดนรกมุสาวาท
    คือเหล่าสัตว์นรกที่มักกล่าวเท็จ หลอกลวง
    และด่าว่าบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์เป็นต้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>[font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    แต่ยังมิทันที่จะได้ถึงคาคบ ก็บังเกิดมีลมพัดแรงขึ้นอย่างกำหนด หมายไม่ได้ว่ามาจากทิศทางใด มันพัดมาต้องใบมะม่วงทั้งหลายให้ร่วงหล่นลงมา กลับกลายเป็นหอกดาบอันคมกล้า พุ่งลงมาเสียบหน้าเสียบหลังสัตว์นรกพวกนั้นอย่างรวดเร็ว ราวกับห่าฝน ยังผลให้พวกมันหกคะเมนลงมาสู่ภาคพื้น


    พร้อมทั้งส่งเสียงร้องลั่น ด้วยความเจ็บปวด ตัวไหนที่ยังไม่ขาดใจ พอทรงกายลุกขึ้นได้ ก็พยายามตะเกียกตะกายหนีอย่างสุดแรง บางตัวที่ยังมีแรงมากกว่าเพื่อนหน่อย ก็ร้องตะโกนมาบอกพรรคพวก ซึ่งอยู่เบื้องหลังว่า "หนีเร็ว พวกเรา ไอ้ใบมะม่วงนี่ กลายเป็นหอกดาบเล่นงานเราเสียแล้ว เร็วหนีเร็ว"

    ปากตะโกนพลาง เท้าจ้ำอ้าวกลับไปตามทางที่เข้ามา หมายจะให้พ้นจากสวนมะม่วงอุบาทว์นี้โดยเร็วที่สุด ฝ่ายพรรคพวกผู้อยู่เบื้องหลังที่ยังไม่ได้สติสตัง พอได้ยินเช่นนั้น ก็รีบถลันลุกพรวดพราดวิ่งตามมา บางตัวแม้จะแขนขาดด้วนไป เพราะหอกดาบแล่นมาต้อง แต่ก็ยังพยายามยันกายวิ่งมาด้วย

    อย่างไรก็ดี ยังมิทันที่สัตว์นรกผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นจะพ้นไปจากสวน ในขณะนั้น บังเกิดมีกำแพงเหล็กใหญ่ลุกโชนด้วยเปลวไป ผุดขึ้นมาจากพื้นดินขวางหน้า พวกมันไว้อย่างฉับพลัน ไม่ผิดอะไรกับฝูงสัตว์น้อยใหญ่ ในป่าที่ถูกนายพรานผู้ฉลาด สกัดกั้นการหนีของพวกมันไว้ด้วยวิธีเผาป่า ให้ลุกลามขึ้นข้างหน้า ในขณะที่ให้พวกของตนคนหนึ่งคนใดไล่ยิงมาฉะนั้น

    หมดสิ้นกันที สำหรับหนทางจะวิ่งหนีไป ครั้นจะย้อนกลับมาอีก หอกดาบก็ยังพุ่งตามมาราวกับห่าฝน ดูเหมือนชั่วขณะนั้น เหล่าสัตว์นรกผู้น่าสงสารจะมองไม่เห็นวิธีใด ดีไปกว่าการตะเกียกตะกายเลียบไปตามกำแพงเหล็กมหึมานั้นต่อไป เพื่อบางทีจะได้พบช่องทาง พอโผล่พ้นออกไปจากสวนมะม่วงอุบาทว์นี้บ้าง แม้ว่า ความยาวของกำแพงจะเหยียดยาวออกไปจนสุดลูกหูลูกตา และมองหาที่สุดไม่ห็นก็ตามที

    แต่ฉับพลันนั้นเอง เหตุการณ์ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าที่เกิดขึ้นแล้ว ก็อุบัติขึ้น สุนัขตัวใหญ่ขนาดเท่าช้างสาร มีเขี้ยวยาวโง้งออกมาจากปาก นัยน์ตาทั้งสองโตเท่าไข่ห่านนั้น ลุกวาวอย่างน่ากลัว 1-2-3-4-5 ตัวพอดิพอดี วิ่งมาจากทิศทางใดไม่ทันเห็น

    และทั้งหมดทะยานเข้าใส่สัตว์นรกพวกนั้น เหมือนเสือร้าย ที่กำลังกระหายหิว ต่างตัวต่างกระโดยเข้าขย้ำค้ำคอเหยื่อของมันให้ด่าวดิ้นลงสู่ภาคพื้น และกัดกินเลือดเนื้ออย่างเอร็ดอร่อย ท่างกลางเสียงร้องโอดโอย และพยายามดิ้นรนทุรนทุราย หนีพวกสัตว์นรกอย่างสุดแรงเกิด

    ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาต่อมาไม่ถึงอึดใจ ยังมิทันที่สุนัขพวกนั้นจะกินอิ่ม ก็มีแร้งใหญ่ขนาดเท่าเรือนเกวียนโถมถลาลงมาจากอากาศ ขับไล่สุนัขทั้งหมด ให้หนีไป แล้วจิกทิ้งกินเนื้องสัตว์นรกเหล่านั้นจนเหลือแต่กระดูกในพริบตา

    "ที่นี่มีชื่อว่า แดนหอกดาบร่วง ขอรับ พระคุณเจ้า" ยมพบาลสาธยาย "สัตว์นรกต้องมาเสวยทุกข์ทรมาณอยู่ในดินแดนนี้ แต่ชาติก่อนได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตด้วยการเป็นพลานล่าเนื้อ ไล่ต้อน ทิ่มแทงสัตว์อื่น ด้วยหอก และเอาไฟเผาป่า ครอกสัตว์ตายอย่างทารุณโหดร้าย พระคุณเจ้า"

    "แหม! น่าอัศจรรย์แท้" พระมาลัยพึมพำเบาๆ

    "ยังมีที่น่าอัศจรรย์กว่านี้มากขอรับ นิมนต์ตามข้าพเจ้ามาเถอะ ข้าพเจ้าจะพาไปดู" ว่าพลางยมพบาลก็รีบเดิน ออกหน้าพระเถระไปยังแดนอื่นโดยไม่รอช้า

    ต่อมา ก็มาถึงที่โล่งแห่งหนึ่ง ซึ่งแลเห็นแม่น้ำเหยียดยาวขวางกั้น เป็นเส้นขนานอยู่เบื้องหน้า ทั้งสองฟากฝั่งมีเครือหวายอันใหญ่มหึมา เท่าต้นมะพร้าวขนาดเขื่องขึ้นสลับซับซ้อน และเกี่ยวพันกันเต็มไปหมด แทบจะไม่มีเถาวัลย์ หรือ พันธุ์ไม้ใดๆเจือปน ราวกับมีคนหนึ่งคนใด จงใจมาปลูกไว้ฉะนั้น

    และดูเหมือนตลอดฟากฝั่งที่มาถึงนั้น จะมีที่ซึ่งเครือหวายเหล่านั้น ยอมเว้นว่างให้เพียงช่องทางเล็กๆ พอเดินเข้าไปในอาณาบริเวณของแม่น้ำได้ช่องเดียวเท่านั้นเอง

    "ที่นี่คือ แดนเครือหวาย ขอรับพระคุณเจ้า" ยมพบาลแนะนำขณะที่พาพระเถระ ไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำแห่งนั้น ตลอดสองฝั่งแม่น้ำ มีต้นหวายขึ้นแต็ม ทั้งเครือทั้งหนามของมันคมยิ่งกว่ามีดโกน สามารถบาดร่างกายของสัตว์นรกให้ขาดสะบั้นหั่นแหลก เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ได้ดีทีเดียว

    "สัตว์นรกที่มาได้รับกรรม ณ แดนนี้ เพราะทำความชั่วอะไรไว้หรือท่าน?" พระมาลัยซัก

    "ส่วนมาก็เป็นพวกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ด้วยการเอาเครื่องดักวาง ซุ่มซ่อนลวงไว้นั่นแหละขอรับ สัตว์อื่นๆ ที่เดินผ่านมา ไม่ทันได้ระวังตัว ก็ติดเครื่องดักของเขาเข้าจนได้ รับความทรมาณอย่างแสนสาหัส"

    "คงจะเป็นพวกพรานดักนก หนู เก้ง กวาง นั่นกระมัง?"

    "ใช่ขอรับ พระคุณเจ้า และนอกไปกว่านั้นก็ยังมีพวกพรานดักคนไปขายเป็นสินค้าอีก เพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนทรมาณของคนอื่น เลยต้องมารับกรรมเช่นนี้แหละ ขอรับ"

    พอดีขณะที่ยมพบาลพูดจบนั่นเอง มีสัตว์นรกพวกหนึ่ง กำลังเดินมาด้วยท่าทางระโหยโรยแรงเต็มที ครั้นเหลือบเห็นแม่น้ำอยู่เบื้องหน้าเช่นนั้น ก็มีความปิติยินดี ขยับฝีเท้าวิ่งเข้ามาโดยไม่รั้งรอ ด้วยหวังที่จะดื่มน้ำดับความกระหายให้สมใจ และโดยไม่ได้มองเห็นเครือหวายที่กีดกั้นใดๆทั้งสิ้น พวกมันพุ่งตัวโครมหมายจะลงสู่แม่น้ำทันทีทันใด

    แน่นอน! ไม่มีตัวใดจะไม่ปะทะเข้ากับเครือหวายเบื้องหน้า ต่างก็พากันถูกเครือและหนามหวายบั่นร่างกาย ขาดเป็นท่อนน้อยใหญ่ในฉับพลัน พวกมันได้แต่ส่งเสียงร้องโอดโอย และดับดิ้นสิ้นใจไปอย่างน่าสยดสยอง และน่าสมเพชเวทนาเป็นที่สุด

    มีบางตัวที่วิ่งมาข้างหลัง พอเห็นเพื่อนร่วมทุกข์ประสบกับอันตรายอย่างร้ายแรงเช่นนั้น ก็ตื่นตระหนกตกใจกลัว และหันหลังวิ่งกลับไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่ขณะเดียวกัน ผู้คุมซึ่งคอยดูแลอยู่แถวนั้นเหลือบมาเห็น ก็ฉวยค้อนเหล็กอันใหญ่ กระโจนไล่กวดติดตามไปในฉับพลัน คว้าไหล่ของมันไว้ พร้อมกับดึงเข้ามาประเคนค้อนเหล็ก ลงกลางกระหม่อมเต็มเหนี่ยว

    "โอย! ช่วยด้วย"

    สัตว์นรกผู้เคราะห์ร้ายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว เหมือนศีรษะจะแตกทลายไปในบัดดล แต่ยิ่งร้อง ค้อนเหล็กในมือของผู้คุม ยิ่งกระหน่ำลงอย่างมันมือ และเพียงไม่กี่โป๊ก สัตว์นรกตนนั้น ก็พาร่างที่โชกด้วยเลือด ทรุดฮวบม่อยกระรอกไป ครั้นแล้ว ผู้คุมก็คว้าร่างที่ปราศจากสติสตังนั้น โยนกลับมายังกองหวาย ร่างขาดสะบั้นหั่นแหลกไปทันใด

    อนิจจา! ช่างน่าสงสาร

    หลังจากที่ออกจากแดนเครือหวายแล้ว ยมพบาลก็พาพระเถระ ตระเวนต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แดนต่อไป คือ แดนขี้เถ้า ซึ่งอยู่ถัดแดนเครือหวายเพียงเล็กน้อย

    แดนขี้เถ้าดังกล่าวนี้ มีกองขี้เถ้าใหญ่ ที่เต็มไปด้วยความร้อนดังไฟ สามารถเผาผลาญสัตว์นรก ซึ่งถูกจับโยนเข้าไปให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา แม้ว่ามันจะมีเพียงสองสามกอง และราบเรียบ อยู่ในแอ่งเหล็กใหญ่หนา มองดูไม่ต่างอะไรกับขี้เถ้าธรรมดา แต่ความร้อนของมันก็แรงระอุอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัตว์นรกเป็นร้อยเป็นพัน ต่างดับดิ้นสิ้นร่างไปอย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว

    สำหรับสัตว์นรกที่ต้องมาตกระกำลำบากในแดนแห่งนี้ ก็เพราะเหตุที่เมื่อชาติก่อน ชอบเอาสัตว์อื่น จับหมกขี้เถ้าร้อนๆทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง แห่งต่อมาคือ แดนหลุมคูถ ทั่วทั้งอาณาบริเวณสี่เหลี่ยมจตุรัสภายในกำแพงเหล็กอันใหญ่หนานั้น เต็มไปด้วยหลุมคูถอันกว้างใหญ่ และลึกขนาดท่วมศีรษะ ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งตลบอบอวล เรียงรายอยู่ต่อๆกันไป รวมทั้งหมดประมาณ ๑๐ หลุมเห็นจะได้
     
  6. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle> </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 6
    โปรดนรกสุรา
    คือพวกสัตว์นรกที่เสพย์สุราเป็นอาจิณ ดื่มแล้วด่าว่า
    บิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์องคเจ้า ทำร้ายฆ่าฟันเป็นต้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>[font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ภายในหลุมคูถแต่ละแห่ง มีหนอนตัวใหญ่เท่าช้าง แหวกว่ายกันเป็นหมู่ๆ อยู่ในหลุมนั้น ต่างตัวต่างคอยจ้อง ปากที่แหลมดังเข็ม คอยเหยื่ออย่างหิวกระหายตลอดเวลา พอเหล่าผู้คุม จับสัตว์นรกโยนทิ้งลงไป พวกมันก็กรูกันเข้ารุมล้อมกัดกินเนื้อสัตว์นรกเป็นการใหญ่ ตัวไหนที่ฉลาดว่องไวกว่าเพื่อน ก็ล้วงเข้าไปในปาก ทึ้งตับไตไส้พุงออกมากินอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อเนื้อตัวหมดตับไตไส้พุง ก็ฟาดกระดูกเข้าอีก จนราบเรียบไม่มีเหลือหรอ


    ไม่มีหนอนที่ไหนจะร้ายเท่านี้!

    ต่อจากนั้น ยมพบาลก็พาพระเถระมาดูหม้อกระทะเหล็กอันใหญ่เท่าภูเขาลูกมหึมา ซึ่งกำลังตั้งเดือดพล่านอยู่บนเตาไฟ เหล่าสัตว์นรกผู้เป็นเชลยกรรม ต่างถูกจับโยนลงในกระทะเหล็กนั้น ไปด่าวดิ้นปลิ้นไป อยู่ในน้ำร้อน ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ถูกโยนในหม้อนน้ำร้อนทั้งเป็น

    ที่นี่มีชื่อเรียกว่า โลหะกุมภี หรือเรียกง่ายๆว่า แดนกระทะเหล็ก ผู้ที่ชอบลักลอบข่มขืนลูกเมียเขาโดยไม่เลือกหน้า มักจะมาเสวยกรรมอยู่ ณ โลหะกุมภีนี้ทั้งนั้น

    ถัดจากโลหะกุมภีนี้ไปเพียงเล็กน้อย ก็เป็น แดนกระทะทองแดง ซึ่งแดนนี้นอกจากจะมีหม้อกระทะใบใหญ่ต้มน้ำทองแดง และแทรกด้วยก้อนกรวดเหล็กเดือดพล่านอยู่บนเตาไป เช่นเดียวกับโลหะกุมภีแล้ว ณ ภาคพื้นตรงหน้า ยังมีแผ่นเหล็กหนา กำลังลุกโชนด้วยเปลวไฟติดไว้เป็นแท่น ที่สำหรับจับสัตว์นรก มานอนหงายแล้วตักน้ำทองแดงในกระทะ มากรอกปาก ให้ปากคอและท้องไส้ ถูกเผาไหม้แตกพังทลายตายไปในที่สุด

    แดนกระทะทองแดงนี้ เป็นแหล่งลงโทษนักดื่มเหล้าคอทองแดงทั้งหลาย พวกที่เช้าเมาเย็นเมา ระวังไว้ให้ดีเถอะ ตายไป จะถูกนำตัวไปนอนหงายกรอกน้ำทองแดง ณ แดนนี้จนได้

    และทันทีที่เดินผ่านหม้อกระทะทองแดงนั้นไป ก็มาถึงป่างิ้วใหญ่ ซึ่งมีต้นงิ้วสูงยิ่งกว่าต้นไม้ใด ในเมืองมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละต้นมีหนามแหลมคม เป็นเหล็กยาวชี้ออกมา พร้อมด้วยเปลวไฟติดโชนอยู่ทั่วทุกอัน

    นี่คือ ดงต้นงิ้ว ที่บรรดาชายหญิง ผู้ไม่รู้จักอิ่มในรสสวาท เที่ยวนอกใจผัวนอกใจเมีย ไปเสพสุขกับคนที่เขามีเจ้าของอื่นๆ พากันกลัวนักกลัวหนา ถึงกับบางคน ก่อนจะตาย ได้สั่งให้ญาติเอาขวานใหญ่ใส่ในโลง จะได้เอาขวานนั้นไปโค่นต้นงิ้วในเมืองนรกเสียนั่นเอง

    พอดีขณะนั้น ผู้คุมในแดนนี้ กำลังไล่ให้สัตว์นรกตัวเมีย ป่ายปีนขึ้นไปตามความสูงลิบลิ่ว ของต้นงิ้วนั้น และไล่ตัวผู้ขึ้นตามไป ครั้นขัดขืนก็เอาหอกแทงส่งขึ้นไป ทั้งตัวเมียตัวผู้ถูกหนามงิ้วทิ่มแทงทั่วร่าง ร้องเจ็บปวดครวญครางออกมาไม่ขาดระยะ

    แต่ดูเหมือนจะยิ่งร้องครวญครางเท่าใด เหล่าผู้คุมก็ส่งขึ้นไปด้วยหอกคู่มือเท่านั้น และพอแข็งจิตแข็งใจขึ้นไปได้ครึ่งต้น ก็มีกาปากเหล็กตัวใหญ่ โผถลาเข้ามาจิกเนื้อกินเป็นพัลวัน ทั้งตัวเมียและตัวผู้ต่างก็สู้ทนความเจ็บปวดต่อไปไม่ไหว เลยปล่อยร่างหงายผึ่งลงมาสิ้นใจอยู่เบื้องล่าง

    ทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะอวสานเพียงแค่นั้น แต่ในทันทีนั้นเอง มีสุนัขตัวใหญ่เท่าช้างหลายต่อหลายตัว ซึ่งคอยทีอยู่เบื้องล่าง พอเห็นร่างของสัตว์นรกเหล่านั้นหงายผึ่งลงมา ก็โจนฟัดเนื้อหนังกิน จนเหลือแค่กระดูก

    ความจริง อันรสสวาทนั้นจะก่อให้เกิดความชื่นมื่นได้ก็เพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่ทว่า หากเป็นการละเมิดต่อ "ของต้องห้าม" ผลลัพธ์ของมันช่างสยดสยองเสียจนเทียบกันไม่ติดเลยจริงๆ

    เมื่อออกจากป่างิ้วแล้ว ยมพบาลก็พาพระเถระมาดูพวกผีดิบ ที่ถูกขังอยู่ภายในอาณาบริเวณ ล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็กใหญ่หนา และมีเปลวไฟลุกโชนติดไปโดยตลอด

    อันผีดิบพวกนี้ มีรูปร่างผอมกระหร่อง แลเห็นซี่โครงเป็นแถบๆ พวกมันมีเล็บมือเล็บเท้าเป็นดาบ เป็นจอบเสียมอันคมกล้า กำลังก้มหน้าก้มตาถากเนื้อหนังของมันกินเป็นอาหารอย่างน่าเวทนา บางตัวหมดเนื้อหนังที่จะถากกิน ก็จัดแจงงัดกระดูกซี่โครงของมันมาทดแทน แก้ความกระหายหิวต่อไปโดยไม่ยอมอดตาย แต่วาระสุดท้าย มันก็ต้องพาร่างฟาดตึงลงสิ้นใจจนได้

    ยังมีอีกพวกหนึ่ง ซึ่งพวกนี้มีเพียงนิ้วมือเป็นหอกดาบอย่างเดียว แต่ดูเหมือนจะร้ายยิ่งกว่าพวกก่อนเป็นไหนๆ โดยมิได้ใช้น้ำมือที่เป็นหอกดาบนั้นถากเนื้อเถือหนังของตนกิน หากใช้ไล่ทิ่มแทงพรรกพวกมันเองอย่างบ้าดีเดือด และไม่ยอมนึกถึงใคร

    นอกไปกว่าความเคียดแค้นต่อกันและกัน ซึ่งไม่ทราบมีมาแต่ปางใด พอเห็นหน้ากันเข้า ก็โจนเข้าใส่กันทันทีทันใด ราวกับพวกเจ้ายุทธจักรในหนังกำลังภายใจยังไงยังงั้น ที่ตายก็ตายไป แต่ที่ยังอยู่ก็ต้องเป็นศัตรูคอยสังหารผลาญชีวากันต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด นี่เขาเรียกว่า ผีดิบอันธพาล ล่ะ

    กล่าวกันว่า สัตว์นรกพวกนี้ เมื่อชาติปางก่อนเป็นอันธพาล คอยเกะกะรังควาน ความสุขสงบของชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา ครั้นตายจึงถูกส่งมาเป็นอันธพาล ณ แดนแห่งนี้

    อีกแดนหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไปอีกไม่เท่าไร แดนนี้ทั้งลึกทั้งกว้าง มีกำแพงล้อมรอบถึงสองชั้น ชั้นนอกเป็นกำแพงเหล็กอย่างที่ผ่านมา แต่ชั้นในเป็นภูเขาเหล็กใหญ่ ลุกโชนด้วยเปลวไฟ และบนพื้นแผ่นเหล็กเหล่านั้น มีขวากเหล็กแหลมปักเรียงรายอยู่เต็ม พอสัตว์นรกถูกไล่หนีขึ้นไปบนภูเขานั้น ก็มีลมกรดพดขวากเหล็กมาเสียบหน้าเสียบหลังของพวกมัน ล้มตายกันเกลื่อนกลาด ไม่มีทางใด จะรอดพ้นไปได้แม้แต่ตัวเดียว

    แดนประหารแหล่งสุดท้าย ใหญ่กว่าทุกแดนในนรก ล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็กเป็นเปลวไฟ และภายใน มีเปลวไฟ ลุกไหม้สัตว์นรกอยู่ตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน ทนได้ก็ทนไป หารทนไม่ไหว ก็ตายไปเท่านั้นเอง

    "พระคุณเจ้าขอรับ ที่นี่แหละ คือ โลกันตนรก หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า อเวจี ล่ะ" ยมพบาลเอ่ยขึ้นภายหลังที่พระมาลัย ตระเวณดูทั่วทุกแดนแล้ว "แดนนี้เป็นแดนที่ยิ่งใหญ่และมีความหฤโหดทารุณที่สุด พระคุณเจ้า"

    "งั้นก็เป็นแดนสุดท้ายแล้วซีท่าน?" พระเถระย้อนถาม

    "ถูกแล้วขอรับ แดนนี้เป็นแดนสุดท้าย หมดสิ้นเมืองนรกเพียงแค่นี้"

    "แหม! น่าชมมิใช่เล่นนะท่าน เออว่าแต่ นรกทั้งหมดนี่ เมื่อรวมแล้ว มีกี่แดนด้วยกัน ท่านยมพบาล?"

    "มีมากแดนเหลือเกินขอรับ เฉพาะแดนใหญ่ๆ ก็มี ๘ แดน และแต่ละแดนยังแยกออกเป็นแดนเล็กๆน้อยๆ เรียกว่า แดนบริวาร อีก ๑๖ แดน เบ็ดเสร็จทั้งแดนเล็กแดนใหญ่ ดูเหมือนจะมีไม่น้อยกว่า ๑๓๖แดน แล้วก็ยังมีแดนปลีกย่อย สำหรับลงโทษสัตว์นรก ผู้มีโทษน้อย นับไม่ถ้วน พระคุณเจ้า"

    "แล้วทำยังไง ท่านจึงสามารถดูแลทั่วถึงได้เล่า?" พระมาลัยซักต่อไป

    "ข้าพเจ้าดูแลโดยใช้ผู้ช่วยหลายคนขอรับ พระคุณเจ้า โดยเฉพาะแดนใหญ่ๆ แต่ละแดน ข้าพเจ้ามีผู้ช่วยถึง ๔ คน รวมทั้งหมด ๓๒ คน และผู้ช่วยของข้าพเจ้าแต่ละคน มีสุวานคอยทำหน้าที่ จดรายงานถึง ๔ คนด้วยกัน รวมแล้ว มีสุวานถึง ๑๒๘ คน"

    "หมายความว่า ผู้ช่วยของท่านทุกคน ต้องคอยรายงานการลงโทษสัตว์นรก ผู้มีกรรมให้ท่านทราบอยู่เสมอยังงั้นหรือ?"

    "ถูกแล้วขอรับ พระคุณเจ้า และโดยรายงานของผู้ช่วยพวกนี้แหละ ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า คนไหนได้รับโทษครบถ้วนตามกรรมที่ตนทำไว้หรือยัง? หรือว่ายังมีเศษกรรมใดๆตกค้างอยู่อีก แต่หมดหน้าที่ของเมืองนรกแล้ว ข้าพเจ้าก็สั่งให้เขาไปเกิดเป็นเปรต ชดใช้หนี้กรรมนั้นต่อไปในโลกมนุษย์"

    พระคุณเจ้าจากโลกมนุษย์ ฟังยมพบาลอธิบายดังกล่าวนั้น ก็เข้าใจเป็นอันดี และครั้นจะถามต่อไปอีก ก็เห็นว่ารบกวนเจ้านรกมาพอสมควรแล้ว จึงกล่าวขอบอกขอบใจและอำลากลับ "ไว้วันหน้า อาตมาจะมารบกวนท่านยมพบาลอีก" พระเถระกล่าวในที่สุด

    ยมพบาลกระพุ่มมือไหว้แสดงความเคารพ

    "นิมนต์ได้ทุกเมื่อขอรับ พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าจะคอยต้อรับถวายคำอธิบายแก่พระคุณเจ้าด้วยความยินดีเสมอ"

    "ขอบคุณท่านมาก อาตมาลาก่อน" ว่าแล้ว พระเถระจากเมืองมนุษย์ ก็นั่งเข้าจตุตถฌาน แผลงฤทธิ์ชำแรกแผ่นดิน ขึ้นไปยังโลกมนุษย์ทันที
     
  7. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle> </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 7
    สัตว์นรกสั่งพระมาลัย
    เพื่อจดจำความทุกข์ทรมานของตน
    นำไปบอกแก่ญาติให้ทำบุญแล้วกวาดน้ำ อุทิศกุศลส่งไปให้ด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>[font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    วันหนึ่งพระมาลัยออกจาริกภึกขาจารเพื่อโปรดสัตว์ตามพุทธประเพณี ณ บ้านกัมโพชคามตามปกติ ลำดับนั้นยังมีมาณพเข็ญใจยากไร้ผู้หนึ่งอยู่กับมารดาด้วยบิดาถึงแก่กรรม มาณพผู้นี้ออกจากบ้านเข้าป่าหาเก็บผักหักฟืนเพื่อนำมาขายเลี้ยงชีพ


    ครั้นเมื่อเห็นว่าได้ปริมาณมากพอควรแล้วจึงเดินทางกลับ ในระหว่างทางพบสระโบกขรณีมีน้ำใสเย็นเดียรดาษด้วยเหล่ากออุบลอันชูดอกบานสะพรั่งน่ารื่นรมย์ มาณพผู้นั้นจึงลงอานน้ำให้หายคลายเหนื่อย เมื่อยล้า ครั้นขึ้นมาจึงเด็ดดอกบัวนั้นมาด้วยจำนวนแปดดอกออกเดินทางกลับ

    ในระหว่างนั้นพระมาลัยเถรเจ้ากลับจากบิณฑบาตออกจากหมู่บ้านหมายกลับยังอาวาสแห่งตนตามมรรคาวิถี มาณพหนุ่มผู้นี้เดินสวนทางมา เห็นกิริยาแห่งพระเถรเจ้าสงบสำรวมน่าเสื่อมใสจึงได้ตรงเข้าไปนมัสการแล้วถวายดอกอุบลอันตนเก็บมานั้น แล้วออกปากตั้งมโนปนิธานปรารถนาว่า

    " ดูกรพระคุณเจ้า อันตัวข้าพเจ้าเกล้ากระหม่อมฉันถวายดอกบุษบันในครั้งนี้ด้วยหวังอยากให้มั่งมีซึ่งทรัพย์สินศฤงคารอันร่ำรวยทันตาเห็น ความปราถนาของกระหม่อมฉันนั้นจักสำเร็จผลหรือไม่ "

    ครั้นพระมาลัยเถรเจ้าได้สดับตรับฟังยังมโนปนิธานของมาณพเข็ญใจผู้นั้นอันแสดงกถาปุจฉามาดังนั้น จึงเจรจาด้วยวาทีอันเอื้อเอ็นดูว่า

    " ดูกรมาณพผู้นี้ ตัวท่านมีมโนปนิธานอันพ้นวิสัย ด้วยทานที่จักให้ผลทันตาเห็นนี้มีได้เฉพาะก็ต่อเมื่อถวายแด่พระอรหันต์อันออกจากนิโรธสมาบัติมาใหม่เพียงเท่านั้น อันว่าอาตมาภาพนี้มิได้ออกจากนีโรธสมาบัติเห็นจักโปรดท่านให้สำเร็จผลดังปรารถนาไม่"

    มาณพเข็ญใจจึ่งย้อนปุจฉาด้วยถ้อยวาจาว่า " เกล้ากระหม่อมเคยสดับรับฟังมาว่า หากกระทำบุญกับพระอรหันต์ผลของทานย่อมบันดาลให้เกิดผลทันตาเห็นมิใช่ฤา หรือไม่เป็นดังเช่นที่เขาเล่าลือมาพระคุณเจ้า "

    พระมาลัยเถรอรหันต์ผู้ประเสริฐได้สดับถ้อยกถาจึงเอ่นสุนทรวาจาแก้ปัญหาข้อสงสัยข้องใจของมาณพให้เข้าใจในการถวายทานว่า " ดูกรมาณพเอ๋ย อันผลของทานนี้มีเร็วมีช้าขึ้นอยู่กับว่าองค์ประกอบอื่นด้วย ตามพุทธดำรัสตรัสเอาไว้ดังนี้ ทานที่จักมีผลทันตาเห็นต้องประกอบด้วย องค์ ๔ คือ ถึงพร้อมด้วยผู้รับทานอันนับตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ ถึงพร้อมด้วยวัตถุทานไทยธรรมอันบริสุทธิ์หามาโดยสุจริต ถึงพร้อมด้วนเจตนาที่จะให้ทาน ถึงพร้อมด้วยว่าพระอรหันต์ผู้มากด้วยคุณธรรมยินดีในนิโรธสมาบัติมีเจตนาจะโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์จึงไปหา แต่ว่าตัวท่านนี้มิได้ถึงพร้อมทั้งหมดดังที่กล่าวมาจะให้สำเร็จผลทันตานั้นมิได้ "

    ครั้นมาณพเข็ญใจได้ฟังก็ให้อัดอั้นตันใจด้วยตนมิได้สมปรารถนาจึงถามพระเถรมาลัยอรหันต์ว่า "ดูกรพระมหาเถรผู้ประเสริฐ แล้วเกล้ากระหม่อมฉันจักทำเช่นไรจึงจักได้รับหิตานุประโยชน์อันสูงสุดในการถวายทานในครั้งนี้ "

    พระมาลัยอรหันต์มีจิตคิดเอ็นดูกรุณาใคร่จะโปรดมาณพนี้จึงมีบัญชาว่า " ดูกรมาณพเอ๋ย ท่านจงเอาดอกบัวนี้ขึ้นจบอธิษฐานถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อันเป็นการถวายทานแด่พระรัตนตรัย ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วว่า ข้าพเจ้าขอบูชาดอกไม้นี้แด่พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า เพียงเท่านี้ก็จะมีอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ให้ผลดังปรารถนา " มาณพเข็ญใจจึงได้กระทำตามนัยอุบายที่พระเถระเจ้าแนะนำ พร้อมกระทำสัตยอธิฐานปรารถนาว่า

    "ด้วยเดชบุญกุศลผลทานของกระหม่อมฉันในครั้งนี้ มิว่าข้าพเจ้าจะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสังสารนานเท่าใดจักเกิดในชาติภพไหนก็ดี ขึ้นชื่อว่าความยากไร้เข็ญใจไม่มีทรัพย์เหมือนดั่งชาตินี้แล้วขออย่าได้มีมาปรากฏแก่ข้าพเจ้าเกล้ากระหม่อมฉันนี้เลยเป็นอันขาด ตลอดกาลนานเทอญ " พระมหาเถรเจ้าจึงดำรัสอนุโมทนาประสาทพรว่า "เอวัง โหตุ ขอความประสงค์ของท่านจงสำเร็จดังปรารถนานั้นเทอญ " แล้วจึงดำเนินกลับสู่อาราม ฝ่ายมาณพเข็ญใจก็เดินกลับยังเคหาสถานแห่งตน
    <CENTER>พระมาลัยพิจารณาสังเวชนียสถาน </CENTER>

    เมื่อพระมาลัยเถรเจ้ากลับเข้าอารามขึ้นสู่กุฎีฉันภัตตาหาร ทำภัตตกิจสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว จึงดำริตริตรึกนึกในหทัยว่า " อันบรรดาธรรมสังเวช ๗ สถานของพระศาสดาสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าอันมี ที่ประสูติ ที่ตรัสรู้ ที่แสดงพระปฐมเทศนาธรรมจักร ที่แสดงยมกปาฏิหารย์สังกัตคีรี ที่ปรินิพพาน ที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาททั้ง ๕ แห่งนั้น อาตมาภาพได้ไปกระทำการสักการะบูชาอยู่เป็นนิจ ยังขาดแต่พระเจดีย์จุฬามณีสถานอันเป็นที่สถิตประดิษฐานพระเกศาธาตุมุ่นพระโมลีและพระเขี้ยวแก้วมณีแห่งพระสมเด็จชินสีห์พุทธเจ้า ณ ดาวดึงสาสวรรค์อันไกล้โพ้น อาตมาจำต้องเอาดอกอุบลทั้งแปดนี้ไปถวายเป็นพุทธบูชาดูสักครั้ง "

    ครั้นดำริแล้วพระมาลัยเถรเจ้าก็เข้าจตุตถฌาณโดยวสีภาวะอธิษฐานบันดาลให้ร่างของต้นเหาะล่วงพ้นจากมนุษยโลก มุ่งตรงไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทันทีโดยมิช้าเพียงแค่ลัดมือเดียว ก็ถึงลานพุทธเจดีย์จุฬามณีสถานอันไพบูลย์โอ่อ่าโอราฬิกสำเร็จแล้วด้วยแก้วอินทนิลที่ฐาน องค์พระเจดีย์นั้นเป็นสุวรรณนพเก้าอันสุกสว่างประดับด้วยแก้วอัญมณีรัตนเจ็ดประการ ส่องแสงสว่างรุ่งเรืองแพรวพราววาววับจับท้องฟ้าเมืองสวรรค์

    อันพระเจดีย์จุฬามณีนี้มีความสูงถึงแปดหมื่นวา รายล้อมด้วยกำแพงแก้วทองคำล้วนถ้วนทั่วทั้งแปดทิศแต่ละด้านหนึ่งแสนหกหมื่นวานับว่าใหญ่โตโอฬาริกเป็นที่สุด ตั้งอยู้เบื้องทิศาอาคเนย์ของมหาปราสาทไพชยนต์วิมานอันเป็นที่สถิตขององค์อัมรินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นนี้ พระมาลัยเถรเจ้าจึงประนมหัตถ์ขึ้นเหนือเศียรเกล้ากระทำพุทธบูชานมัสการพระจุฬามณีทั้งแปดทิศ บูชาด้วยดอกอุบลทั้งแปดดอกกระทำประทักษิณ ๓ รอบ พร้อมทั้งยอบหมอบกราบลงนมัสการทั้งแปดทิศ เสร็จสรรพกิจเป็นพุทธบูชาแล้วจึงปลีกตัวมานั่งลงมุมหนึ่ง ณ ข้างพระเจดีย์นั้นแล
     
  8. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle> </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 8
    กะทาชายถวายดอกบัว 8 ดอกงามโสภา
    ปรารถนาพ้นความเข็ญใจ พระมาลัยเทวะเถระจึงนำไปบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ลำดับนั้นองค์สมเด็จอัมรินทราธิราชท้าวเธอประทับอยู่ในทิพยวิมานไพชยนต์มหาปราสาท ท้าวเธอก็ดำริในพระหฤทัยว่าวันนี้ไซร้เป็นวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเราจักออกไปนมัสการถวายเครื่องสักการบูชาพระมหาเจดีย์จุฬามณีตามประเพณีที่เคยปฏิบัติ จึงมีเทวโองการบัญชาให้เหล่าเทพบุตร เทพธิดานารีทั้งหลายทราบว่าจักออกไปกราบนมัสการพระเจดีย์


    เหล่าเทพบุตรเทพนารีต่างเสด็จออกเป็นขบวนห้อมล้อมท้าวสักกบดี มีจำนวนมากมายรัศมีกายเรืองรุ่งพลุ่งโชติช่วงสว่างไสว แหนแห่ไปยังพระมหาเจดีจุฬามณีสถาน พากันกระทำประทักษิณสิ้นสามรอบ จอมเทวราชสหัสนัยน์ไตรตรึงษาจึงวางเครื่องสักการบูชาเป็นลำดับแรก แล้วจึงแยกออกมา ณ มุมด้านหนึ่งของพระเจดีย์ เพื่อให้เทพบุตรเทพนารีบริวารทั้งหลายได้เข้าไปวางเครื่องสักการบูชาโดยสะดวก

    ขณะนั้นพลันสายพระเนตรเหลือบไปเห็นพระมาลัยเถระนั่งสงบสำรวมอินทรีย์อยู่ ณ มุมพระเจดีย์ด้านขวา ท้าวเธอก็เกิดความสนพระทัย เออหนอพระคุณเจ้าเหล่ากอของพระชินสีห์รูปนี้มาจากที่ใดจึงได้มายังสถานที่นี้ ดำริแล้วจึงเสด็จเข้าไปหานมัสการแล้วปฏิสันถารถามไถ่ " ดูกรพระคุณเจ้า ท่านมาจากสถานที่ใดจึ่งได้มายังสถานที่แห่งนี้ " พระมาลัยจึงมีวาทีตอบถ้อยคำถาม " อาตมภาพมาจากชมพูทวีปอันไกลโพ้น มหาบพิตร " [​IMG]

    สมเด็จองค์อัมรินทร์จึงดำรัสตรัสถามนามของพระเถระ พระมาลัยจึงวิสัชนาตอบวาที " ดูกรมหาบพิตร อาตมภาพมีนามว่า มาลัย ด้วยเกิดในหมู่บ้านไม้จันทน์แดง แห่งเกาะมาลัย จึงได้ชื่อตามเกาะ "

    พระอินทร์จึงถามต่อว่ามาได้โดยวิธีใดด้วยที่นี่อยู่ไกลพ้นวิสัยมนุษย์ธรรมดาสามัญจะมาได้ พระมาลัยจึงตอบว่า " อาตมภาพมาด้วยอานุภาพแห่งฌานสมาบัติ มหาบพิตร " พระมาลัยวิสัชนาพลางตั้งข้อปุจฉาบ้าง " ดูกรมหาบพิตร ตั้งแต่สนทนากันมาอาตมายังไม่ทราบนามของท่านเลยสักนิด ว่าท่านนี้คือผู้ใด "

    ท้าวสักกเทวราชตรัสตอบโดยสุนทรวาจา " ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพเจ้านี้มีมากมายหลายชื่อสุดแท้แต่จะเรียกขานรวมแล้วประมาณ ๗ ชื่อใหญ่ ๆ ด้วยกันคือ มาฆะ ปุรินทะ สักกะ วาสวะ สหัสสักขะ สุชัมบดี แลเทวานมินทร์ ด้วยเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์เดินดินมีชื่อว่า มฆมานพ เมื่อได้มาเกิดบนสรวงสวรรค์จึงได้ชื่อว่า มาฆะ

    เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์อยู่นั้นข้าพระองค์เป็นผู้เริ่มให้ทานก่อนใครในโลกเป็นคนแรกจึงได้ชื่อว่า ปุรินทะ เมื่อเวลาข้าพระองค์จะให้ทานก็ให้ด้วยความเคารพจึงได้ชื่อว่า สักกะ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์อยู่นั้นได้ให้ที่พักอาศัยแก่หมู่ชนคนเดินทางใกล้ไกลจึงได้ชื่อว่า วาสวะ ด้วยว่าข้าพระองค์ สามารถดำริตริตรึกถึงข้อความตั้งพันข้อโดยครู่เดียวจึงได้ชื่อว่า สหัสสักขะ ข้าพระองค์เป็นสวามีของนางสุชาดาธิดาของอสูรจึงได้ชื่อว่า สุชัมบดี และตัวข้าพระองค์นี้เป็นใหญ่กว่าเทพดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นดาวดึงนี้จึงมีชื่อว่า เทวานมินทร์ "

    เมื่อพระมาลัยเถระได้สดับคำวิสัชนาก็สนใจใคร่รู้จึงถามไถ่ยังเบื้องหลังการประกอบกุศลผลบุญอย่างไรจึงได้มามาเกิดเป็นพระอินทราธราชเพื่อจักนำไปประกาศเทศนาบอกชาวมนุษย์ให้ประพฤติตามเยี่ยงอย่างอันดี ท้าวสุชัมบดีจึงวิสัชนาว่า " ข้าแต่พระคุณเจ้า อันตัวข้าพระองค์นี้ทำบุญให้ทานมากมายหลายอย่าง หากแต่วัตตบท ๗ ประการอันมี เลี้ยงดูบิดามารดาหนึ่ง อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้มีอายุหนึ่ง มีวาจาไพเราะสละสลวยหนึ่ง มีวาจาไม่ส่อเสียดว่าร้ายใส่ความใครหนึ่ง ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวหนึ่ง เป็นผู้ดำรงตนอยู่ในความสุจริตซื่อตรงไม่คิดคดโกงใครหนึ่ง และเป็นผู้ไม่โกรธ ถึงแม้นมีความโกรธเกิดขึ้นในใจก็รีบระงับดับเสียหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้ามาบังเกิด ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้
     
  9. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle> </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 9
    พระมาลัยเทวะเถระโปรดสวรรค์
    จดจำวิมานเทพบุตร เทพธิดา เมื่อเป็นมนุษย์รักษาศีล
    สร้างพระไตรปิฎก โบสถ์ วิหารเป็นต้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>[font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ลำดับนั้นพระมาลัยเถรอรหันต์ต้องการจักใคร่ทราบรายละเอียดของดาวดึงสาพิภพแห่งท้าวสหัสนัยน์จึงให้ท้าวเธอพรรณนาอาณาเขตบริเวณแห่งสวรรค์ชั้นนี้


    องค์สมเด็จเทวนมินทร์ท้าวเธอก็ยินดีปรีดาแถลงสุนทรวาจาพรรณนาดังนี้ " ดูกรพระเถระเจ้า อันดาวดึงส์หมายความว่า มีเทวดาถือกำเนิดเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ๓๓ องค์ อันได้แก่ข้าพระองค์และเทวสหายจึงได้ชื่อเช่นนี้ มหานครแห่งนี้มีความกว้างยาว หนึ่งหมื่นโยชน์ รายล้อมด้วยกำแพงแก้วแวววับจับตาสูงขึ้นมาจากพื้นรวมได้ ๑๖ โยชน์ทั้งสี่ด้าน มีประตูเข้าออกนั้น ๑,๐๐๐ แห่ง เหนือประตูเมืองแต่ละแห่งมีปราสาทอันงดงามอยู่ด้านบนทุกแห่งไป

    เมื่อจักเปิดประตูเมืองคราใดจะปรากฏเสียงทิพยดนตรีมโหรีพิณพาทย์อันไพเราะเสนาะโสตกังวานซ่านจับใจไปทุกครั้ง ภายในมหานครแห่งนี้ยังมีอุทยานรุกขชาติอันเดียรดาษด้วยพรรณพฤกษาแลผกาบุปผชาติอยู่ ๔ แห่งในแต่ละทิศ ณ เบื้องบูรพาตะวันออกมีอุทยานชื่อว่า นันทวัน เบื้องปรัศจิมตะวันตกนั้นมีชื่อว่า จิตรลดาวัน เบื้องทิศอุดรฝ่ายเหนือนั้นมีชื่อว่า สักกวัน เบื้องทักษิณฝ่ายใต้นั้นมีชื่อว่า ผรุกวัน อันเป็นสถานที่เที่ยวเล่นเด็ดดมชมผกา

    หมู่พฤกษารุกขชาติที่บานดอกออกผลเกลื่อนกล่นของเหล่าเทพเทวดา แล้วยังมีสระโบกขรณีอันมีน้ำใสดุจดั่งแผ่นกระจกแก้วอัญมณี มีอุบลบานดอกออกฝักมากมาย โดยรอบขอบสระมีก้อนศิลาอันมีรัศมีเรืองโรจน์แต่งประดับ มีแท่นประทับสำหรับเทพบุตรเทพธิดามานั่งเล่นชมสวนสวรรค์สำราญอิริยาบท

    ใจกลางแห่งมหานครนี้มีมหาปราสาทอันใหญ่โตโอฬารนามว่า ไพชยนต์มหาปราสาทอันเป็นที่ประทับของข้าพระองค์แลมิ่งมเหสี บรรจงสร้างด้วยแก้วมณีเจ็ดประการแต่ละด้านสูงพันโยชน์ ภายในปราสาทยังมีวิมานทองผ่องอำไพสูงใหญ่ได้ ๗๐๐ โยชน์ประดับประดาด้วยแก้วมณีอันเป็นที่รโหฐานของข้าพระองค์ ภายนอกยังคงมีปรางค์ปราสาทแก้วมณีมีจำนวนทั้งสิ้น ๓๒ หลังอันเป็นที่อยู่อาศัยของเทวผู้เป็นสหายของข้าพระองค์

    ที่ตรงนี้คือพระเจดีย์จุฬามณีสถานอันเป็นที่สถิตประดิษฐานของมุ่นมวยพระโมลีเกศาธาตุของพระบรมศาสดาเมื่อคราเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ปลงผมแล้วโยนขึ้นกลางนภากาศ ตั้งสัตย์อธิษฐานว่าหากได้บรรลุพระโพธิญาณขออย่าได้ตกลงมา ข้าพระองค์จึงนำเอาพานทองคำนำไปรองรับกลับมาเนรมิตรพระเจดีย์นี้ไว้ และยังได้พระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อคราวปรินิพานอันเตโชธาตุผลาญเผาพระวรกาย เหลือไว้แต่พระบรมสารีริกธาตุ ครั้นเมื่อโทนพราหมณ์ตวงแบ่งแล้วแอบฉวยเอาซ่อนไว้ในมวยผมแห่งตน ข้าพระองค์จึงอาราธนาอัญเชิญมาไว้ยังพระเจดีย์นี้ด้วยบารมีของโทนพราหมณ์มีไม่พอที่จะได้ไว้

    <CENTER>[color=darkgold,direction=-35);]พระเจดีย์นี้ก่อด้วยแก้วอินทนิลเป็นส่วนฐาน [/color]</CENTER>

    ส่วนกลางนั้นเป็นทองแท้ นพคุณจรดยอดประดับประดาสถาพรด้วยแก้วมณีเจ็ดประการ ความสูงนั้นได้แปดหมื่นวา กำแพงแก้วกาญจนายาวถ้วนแสนหกหมื่นวาในแต่ละด้าน สองข้างนั้นประดับด้วยธงทิว ธงชาย ธงตะขาบหลากสีสรร พระเจดีย์นั้นเป็นที่สักการบูชาของเหล่าเทพยดาทั้งฉกามาวจรภพจรดโสฬสพรหมโลก

    นอกมืองแห่งนี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือยังมีอุทยานใหญ่ชื่อว่าปุณฑริกวันมีกำแพงกั้นโดยรอบทั้งสี่ด้าน ใจกลางสวนนั้นมีต้นปาริชาตอันเป็นไม้ทิพย์ประจำทวีปพิภพดาวดึงส์ สูงจากโคนต้นจรดยอดได้ ๑๐๐ โยชน์

    วัดโดยรอบต้นได้ ๑๖ โยชน์ จากโคนต้นถึงคาคบ ๕๐ โยชน์ มีกิ่งอันใหญ่แผ่ไปยังสี่ทิศอันไกลได้กิ่งละ ๕๐ โยชน์ มีกำหนดบานดอกต้องครบ ๑๐๐ ปี ครั้นเมื่อคลี่บานรัศมีแห่งดอกปาริชาตนี้รุ่งเรืองไปไกลได้ แปดแสนวา

    เมื่อเวลาพระพายพัดไปทางใดกลิ่นของดอกไม้นี้จักฟุ้งตระลบอบอวลไปถ้วนทั่วสวรรค์ เหล่าเทพบุตรเทพธิดานั้นจะมาชมดอกไม้อยู่ไม่ขาด กลิ่นปาริชาตจะทำให้รำลึกถึงอดีตชาตหนหลังในทันที แม้นมีใครต้องการดอกปาริชาตนั้นก็ไม่ต้องเด็ดต้องสอย ดอกปาริชาตจักลอยหลุดจากขั้วลงมาให้จนถึงมือ แม้นไม่ยื่นยื้อมืออกไปรับจับเอาดอกไม้นั้นก็หาได้ตกถึงพื้นไม่ ยังลอยไว้เช่นนั้นแล

    ใต้ต้นปาริชาตนี้จักมีแท่นศิลาสีแดงดั่งดอกชบา กว้าง ๕๐ โยชน์ ยาว ๖๐ โยชน์ หนาได้ ๑๕ โยชน์ นามว่าบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ อันเป็นแท่นประทับของข้าพระองค์ เวลานั่งลงจักยุบอ่อนลงนิ่มพอดีหากข้าพระองค์นี้ลุกออกมาแท่นศิลานี้จักเต็มคืนดังเก่า หากคราวใดนั่งลงไปไม่ยุบกลับแข็งแกร่งกระด้างจักเป็นลางบอกว่าผู้มีบุญญาธิการเกิดอุปัทวันตรายร้ายกาจทำให้ข้าพระองค์ต้องลงไปช่วยเหลือ

    ไม่ห่างไกลจากต้นปาริชาตพรรณพฤกษามีศาลาอยู่หนึ่งหลังอลังการงามตระหง่านชื่อว่า ศาลาสุธรรมาเทวสถานพื้นศิลาลาดด้วยแก้วผลึกและแก้วอินทนิล กว้างยาวทั้งสิ้น ๓๐๐ โยชน์ วัดโดยรอบทั้งหมดได้ ๙๐๐ โยชน์พอดี ภายนอกมีสวนรายล้อมศาลามีพรรณบุปผาสวรรค์นามนั้น อสาพตี ถ้วน ๑,๐๐๐ ปีจักบานดอกหนึ่งครั้งความหอมยังมากกว่าดอกปาริชาตฟุ้งสะพัดไปทั่วทั้งหมดสวรรค์

    อันศาลาสุธรรมานี้ใช้เป็นที่ประชุมเทวดาทุกวันธรรมเสวนะ เมื่อเทพดาทั้งหลายมาประชุมสโมสรสันนิบาต จักมีพรหมกุมารเสด็จมาจากพรหมโลกเพื่อแสดงธรรม หากแม้นท่านนี้มิได้มาก็จะมีองค์ปาฐกอื่นมาแสดงแทน หากแม้นเป็นคราประชุมครั้งใหญ่ของเทวสภา ข้าพระองค์จะเป็นประธานอ่านชื่อมนุษย์ผู้บำเพ็ญกุศลผลทานจากแผ่นสุพรรณบัตร ทวยเทพก็จักแซ่ซ้องสาธุการเอิกเกริกปิติยินดีจับระบำรำฟ้อนทุกครั้งไป หากคราใดมีน้อยเหล่าทวยเทพก็จะเงื่อนหงอยด้วยโทมนัสาว่า มนุษย์ทั้งหลายนี้ยินดีในทางวิบัติหันไปสู่อบายภูมิเป็นเบื้องหน้า อันตัวข้าพระองค์นี้มีมเหสีอยู่ ๔ นาง ชื่อ สุธรรมา สุจิตรา สุนันทา แลสุชาดา มีนางฟ้าปริจาริกาสองโกฏิกับอีกห้าล้านนาง อันเกิดจากบุญแต่ปางบรรพ์ของข้าพระองค์ที่ได้สร้างสมมาตั้งแต่เมื่อคราเป็นมนุษย์นั้นแล
     
  10. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle> </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 10
    พระมาลัยบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี
    สนทนากับพระอินทร์ และพระศรีอารย์
    ถึงกุศลของเทพยดา ตลอดถึงศาสนาพระศรีอารย์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>[font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    เมื่อพระมาลัยเถระเจ้าได้สดับพระอินทร์เล่าพรรณนาถึงความเป็นมาของดาวดึงสวรรค์ก็อัศจรรย์ใจกล่าวว่า " อโห! มหาบพิตร อาตมานี้จักใคร่ทราบอดีตชาติปางหลังของท่านว่าทำการกุศลอื่นใดนอกจากวัตตบท ๗ ประการ อันเป็นเหตุที่มาแห่งทิพยสมบัตินี้ แลยังทราบว่ามีช้างเอราวัณอีกด้วยเล่าชาวสวรรค์มีสัตว์ด้วยหรืออย่างไร "


    ครานั้นองค์อัมรินทราธิราชท้าวเธอก็ประกาศเล่าถึงอดีตชาติแห่งตนแต่หนหลังว่า " เมื่อข้าพเจ้าเป็นมนุษย์นั้นโลกยังว่าจากพระศาสนามีชื่อว่า มฆมาณพ ได้ชักชวนสหาย ๓๒ คน ทำถนน สร้างศาลา ขุดสระปลูกต้นไม้ใหญ่ ภายใต้สร้างแท่นศิลา เพื่อว่าคนเดินผ่านไปมาจะได้อาศัยโดยสะดวก กุศลที่สร้างศาลาจึงทำให้มีมหาปราสาทไพชยนต์วิมานอันงดงามนี้ อานิสงส์ปลูกต้นไม้ทำให้มีต้นปาริชาต [​IMG]

    อานิสงค์สร้างแท่นศิลานั้นทำให้มีแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ส่วนภริยาทั้งสี่นางนั้นก็มีน้ำใจเลื่อมใสเป็นอันดี นางสุจิตราปลูกสวนดอกไม้ข้างอาศรมศาลา นางสุนันทาขุดสระไว้สำหรับให้ผู้คนชนเดินทางสัญจรไปมาเมื่อได้พักศาลาได้ลงอาบชำระร่างกายให้สำราญอุรา

    นางสุธรรมาได้สร้างช่อฟ้าเติมแต่งศาลาให้งดงามทำป้ายชื่อว่า ศาลาสุธรรมา นางสุชาดารักษาศีลโดยเคร่งครัด ครั้นเมื่อทำกาลกิริยาจึงมาบังเกิดเสวยทิพยสมบัติร่วมกันกับข้าพระองค์ อานิสงส์ของนางสุจิตราจึงได้มาซึ่งสวนอันชื่อว่า จิตรลดา กว้างยาง ๕๐๐ โยชน์ ด้วยกุศลอันปลูกต้นไม้ดอกไม้นั้น นางสุนันทามีสระโบกขรณีมีขนาดกว้างยาวได้ ๕๐๐ โยชน์ ด้วยกุศลอันขุดสระให้มหาชนได้ใช้สอย นางสุธรรมามีศาลาหลังใหญ่ใช้เป็นที่ประชุมของเทวดา ชื่อศาลาสุธรรมา ด้วยกุศลที่สร้างช่อฟ้าจารึกชื่อมาสมทบ

    อันว่าช้างเอราวัณนั้นปัจจุบันเป็นเทพบุตร ด้วยกุศลผลบุญที่กระทำร่วมกันมา ด้วยว่าช้างตัวนี้มีจิตเลื่อมใสในการกุศล เมื่อครั้งสร้างศาลาข้าพระองค์ก็ได้ใช้ลากไม้มาสร้างศาลาจนแล้วเสร็จ โดยกำหนดว่าในศาลาปูไม้กระดาน ๓๓ แผ่น แต่ละแผ่นมีเจ้าของคือของข้าพระองค์กับสหาย

    ข้าพระองค์จึงสั่งไว้ว่าถ้าชนผู้ใดมาขึ้นนั่งในศาลาบนแผ่นไม้กระดานของผู้ใด ก็จักให้ช้างเชือกนี้เป็นผู้พาไปยังบ้านของผู้นั้น ให้เจ้าของบ้านได้ทำการเลี้ยงดูจนอิ่มหนำสำราญ ช้างตัวนี้กระทำอยู่ดังนั้นเป็นนิจตราบจนสิ้นอายุขัย ครั้นตายลงก็ตรงมาเกิดเป็นเทพบุตรพร้อมกับพวกข้าพระองค์และสหาย มีวิมานอยู่สุขสบายตามกำลังแห่งกุศลผลทานที่ได้กระทำมา [​IMG]

    หากแต่เวลาข้าพระองค์จักเสด็จไปทางใด เอราวัณเทพบุตรนี้ไซร้จะเนรมิตกายให้เป็นช้างสูงใหญ่ได้ หนึ่งล้านสองแสนวา หากว่าไปพร้อมกันทั้ง ๓๓ องค์ ช้างนี้ก็จักเนรมิตเศียรขึ้น ๓๓ เศียร ให้ข้าพระองค์นี้นั่งตรงกลางที่เหลือทั้งสองฟากข้างจึงเป็นของเหล่าเทวสหาย หากเสด็จไปผู้เดียวไซร้จักลดลงเหลือ ๓ เศียร

    อันช้างนี้มี ๓๓ เศียร เศียรละ ๗ งา แต่ละงายาวถึง สี่แสนวา ภายในมีสระโบกขรณีอยู่ ๗ สระ แต่ละสระมีกอบัวอยู่ ๗ กอ แต่ละกอบัวมีดอกอยู่ ๗ ดอก แต่ละดอกมีอยู่ ๗ นางฟ้า แต่ละนางฟ้านั้นมีนางบริวารอยู ๗ นางจับระบำรำฟ้อนอยู่เป็นที่ครึกครื้นโกลาหลเป็นยิ่งนักพระคุณเจ้า " ครั้นเมื่อพระมาลัยเถระเจ้าสดับรับทราบแจ้งถ้วนกระบวนความแล้วจึงปรารภถึงพระศรีอาริยเมตไตรบรมโพธิสัตว์เจ้าแห่งเรานี้ว่าท้าวสักกบดีรู้เห็นบ้างหรือไม่ ท้าวอัมรินทราธิราชวิสัชนาว่า " ดูกรพระคุณเจ้า อันสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าพระศรีอาริยเมตไตรหน่อพุทธางกูรนี้ทุกทีจะเสด็จมานมัสการพระจุฬามณีเดือนหนึ่งมี ๓ หน คือวันธรรมสวนะ ๘ ค่ำหนึ่งหน ๑๔ ค่ำหนึ่งหน แล ๑๕ ค่ำหนึ่งหน แต่วันนี้ยังหาถึงเวลาที่พระองค์ท่านจะเสด็จไม่ ขอนิมนต์ให้พระคุณเจ้ารออยู่อีกสักครู่เถิด "
     
  11. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle> </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 11
    ยุคมิคสัญญี
    ก่อนศาสนาพระศรีอารย์ มนุษย์จะไร้ศีลธรรม
    มุ่งประหัสประหารกันไม่เลือกหน้า จะรอดตายแต่ผู้จำศีลภาวนา

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>[font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ในขณะที่พระมาลัยคอยพบพระศรีอาริยเมตไตยและได้สนทนากับพระอินทร์อยู่นั้นก็มีขบวนของเทพบุตรองค์หนึ่งพร้อมด้วยนางเทพอัปสรบริวารประมาณ ๑๐๐ นางเหาะเคลื่อนคล้อยลอยมาในอากาศครั้นเมื่อถึงพระเจดีย์ก็พากันกระทำประทักษิณสิ้นสามรอบแล้วเข้านมัสการพระเจดีย์ ท้าวสักกบดีเห็นพระมาลัยเถรทัศนาด้วยความสนใจ จึงบอกว่า "มิใช่พระบรมโพธิสัตว์ดอกพระคุณเจ้า เทพบุตรผู้นั้นเป็นเพียงเทวสามัญธรรมดา


    อดีตชาติกาลก่อนเป็นคนยากไร้เข็ญใจไปรับจ้างเที่ยวเกี่ยวหญ้าขายเลี้ยงชีพไปวัน ๆ มีอยู่วันหนึ่งนั้นครั้นถึงเวลากินข้าวกลางวัน เขานั้นแก้ห่อข้าวออกหมายจะเปิบเข้าปาก หากสายตาเขาแลเห็นกาตัวหนึ่งบินมาจับต้นไม้ข้างๆ ท่าทางหิวเต็มที่ บรุษนี้มีความสงสารว่าคงจะหิวทรมานเหมือนกับตน จึงปั้นข้าวโยนให้กาไปกินหนึ่งก้อน ล่วงนานไปครั้นใกล้จะตายระลึกได้ถึงทานในครั้งนี้ เมื่อสิ้นใจจึงได้เป็นเทวบุตรมีนางฟ้า ๑๐๐นางเป็นบริวาร อันเกิดจากกุศลผลทานอันให้ข้าวแก่กาซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานเพียงครั้งเดียวในชีวิตนั้นแล ขอรับพระคุณเจ้า "

    เมื่อเทพบุตรนั้นกระทำการสักการเสร็จสิ้นก็เคลื่อนคล้อยถอยออกไปนั่งยังฝั่งทิศตะวันออกของพระเจดีย์ ลำดับนั้นยังมีขบวนเทพบุตรองค์หนึ่งพานางเทพอัปสรจำนวน ๑,๐๐๐ ทรงพัสตราอาภรณ์เครื่องประดับอลงกรณ์งดงามยิ่งมีรัศมีรุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาลน่าทัศนา เทวบุตรนั้นเหาะลอยมาบนอากาศเข้ากระทำประทักษิณนมัสการพระเจดีย์ ท้าวสักกบดีเห็นพระเถรเจ้าสนใจจึงบอกว่า [​IMG]

    " นี่ก็มิใช่องค์พระบรมโพธิสัตว์ พลางตรัสถึงบุพกรรมของเทพบุตรผู้นั้นว่า เมื่อครั้งเขายังเป็นมนุษย์เป็นเด็กเลี้ยงควายตามท้องนา วันหนึ่งถึงเพลาจะกินข้าวกลางวัน เขาก็แบ่งข้าวที่ห่อมานั้นออกแจกแบ่งให่เพื่อนเขากินด้วยตามประสาเด็กบังเกิดใจเมตตา ครั้นทำกาลกิริยาจึงมาบังเกิดเป็นเทพบุตรผู้นี้มีนางเทพนารีเป็นบริวารจำนวน ๑,๐๐๐ อันเกิดจากกุศลผลทานกับมนุษย์ปุถุชนผู้ไม่มีศีล ขอรับพระคุณเจ้า " เทพบุตรองค์นั้นกระทำการสักการนมัสการเสร็จก็พาขบวนเคลื่อนคล้อยถอยออกมานั่งยังด้านตะวันตกของพระเจดีย์

    ลำดับนั้นยังมีเทพบุตรองค์หนึ่งแต่งกายด้วยอาภรณ์อันงดงามอลังการประดับสายสังวาลอัญมณีมีรัศมีอันรุ่งเรืองยิ่งกว่าเทพบุตรองค์ก่อน ๆ หน้า ลอยเลื่อนมากลางนภากาศพร้อมนางบริวารจำนวนหมื่นน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนักเข้าประทักษิณพระเจดีย์กระทำนมัสการ ท้าวสักกบดีเห็นพระเถรมีความสนใจจึงดำรัสอธิบายถึงบุพกรรมว่า "

    เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์เทพบุตรผู้นี้กระทำการถวายทานใส่บาตรให้แก่สามเณรเพียงครั้งเดียวในชีวิตเมื่อถึงกาลกิริยาก็มาบังเกิดในสวรรค์ชั้นนี้มีนางบริวารประดับบารมีนับหมื่น อันเกิดจากกุศลผลทานกับสามเณรในครั้งนั้น อันข้าพระองค์ก็ไม่แน่ใจว่าสามเณรนั้นไซร้ถือศีลถ้วนบริสุทธหรือไม่ หากแต่เข้าใจว่าคนผู้นั้นให้ทานโดยไม่พิจารณาเลื่อมใสอย่างเต็มที่ผลจึงบังเกิดมีเพียงเท่านี้ ขอรับพระคุณเจ้า " [​IMG]

    ลำดับนั้นยังมีเทพบุตรองค์หนึ่งพร้อมด้วยนางบริวารจำนวนสองหมื่นเหาะลอยมาในอากาศรัศมีพวยพลุ่งรุ่งเรืองกว่าเทพบุตรองค์ก่อนหน้าร่อนลงมากระทำประทักษิณสิ้นสามรอบแล้วกระทำการนมัสการองค์พระเจดีย์ ท้าวสักกบดีจึงกล่าวว่า " นี่ก็ยังมิใช่พระบรมโพธิสัตว์

    เมื่อชาติก่อนเขานั้นได้ถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระภิกษุซึ่งเที่ยวภิกขาจารตามสถานมรรคา ครั้นทำกาลกิริยาจึงมาบังเกิดเป็นเทพบุตรผู้นี้ มีบริวารประดับบารมีสองหมื่นตามแรงกุศลผลทาน ขอรับพระคุณเจ้า "

    ลำดับนั้นยังมีเทพบุตรอีกองค์หนึ่งเสด็จมาทางอากาศพร้อมด้วยบริวารถึงสามหมื่นรัศมีสกนธ์กายสว่างไสวเป็นยิ่งนักมากกว่าเทพบุตรองค์ก่อน ๆ สัญจรมากระทำประทักษิณนมัสการพระเจดีย์ ท้าวสักบดีจึงตรัสถึงบุพกรรมของเทวบุตรผู้นี้ว่า " นี่ก็ยังไม่ใช่พระบรมโพธิสัตว์ ชาติเดิมของเขานั้นเป็นช่างหูกแลช่างชุนอยู่ในเมืองอนุราธบุรีแห่งลังกา เขารักษาศีลให้ทานเจริญเมตตาภาวนา กระทำฌาปนกิจศพไม่มีญาติอยู่เนืองนิจ ครั้นสิ้นใจจึงมาบังเกิดในสวรรค์กุศลผลบุญบันดาลให้มีบริวารถึงสามหมื่น ขอรับพระคุณเจ้า "

    ลำดับนั้นยังมีเทพบุตรอีกองค์หนึ่งพาบริวารจำนวนสี่หมื่นเหาะมาจากอากาศรัศมีสว่างไสวอำไพรุ่งโรจน์โชติชัชวาลกว่าเทพบุตรองค์ก่อนๆหน้า ตรงเข้ามากระทำประทักษิณนมัสการพระเจดีย์ ท้าวสักกบดีจึมีวาทีแถลงถึงบุพกรรมของเทพบุตรองค์นี้ว่า " แต่เดิมเขานี้เป็นมหาเศรษฐีบ้านหริตาลคามในลังกา มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ถวายจตุปัจจัยไทยทานมั่นคงในศีลแปดตลอดมา ครั้นทำการกิริยาจึงมาบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ กุศลผลบุญบันดาลให้มีบริวารถึงสี่หมื่น ขอรับพระคุณเจ้า "

    ลำดับนั้นยังมีขบวนเทพบุตรอีกองค์หนึ่งพาบริวารห้าหมื่นลอยมาในอากาศรัศมีสว่างไสวไพบูลย์ไปยิ่งกว่าองค์ก่อน ๆ หน้า ตรงเข้ามากระทำประทักษิณนมัสการพระเจดีย์ ท้าวสักกบดีจึงตรัสว่า " นี่ก็มิใช่พระบรมโพธิสัตว์ เทพบุตรองค์นี้คือกษัตริย์สัทธาดิสพระอนุชาของพระเจ้าอภัยทุฏฐคามินีที่เสวยราชสมบัติในกรุงอนุราชธานี พระองค์มีพระราชศรัทธากระทำการกุศล ครั้นสวรรคตจึงมาบังเกิดเป็นเทพดามีบริวารถึงห้าหมื่นขอรับพระคุณเจ้า " ลำดับนั้นมีเทพบุตรองค์หนึ่งเหาะเลื่อนลอยมาพร้อมนางฟ้าจำนวนหกหมื่นนางรัศมีสว่างไสวกว่าเทพบุตรองค์ก่อน ๆ มากระทำประทักษิณนมัสการพระเจดีย์ ท้าวสักกบดีจึงงกล่าววาทีกลับพระมาลัยเถระว่า " นี่ก็มิใช่พระบรมโพธิสัตว์ นั่นคือกษัตริย์อภัยทุฏฐคามินีผู้ครองกรุงอนุราชบุรี มีศรัทธาในพระศาสนาได้สร้างพระเจดีย์เหมาลิกขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จากนั้นก็ทำนุบำรุงพระภิกษุสงฆ์และพระราชบิดาพระราชมารดาเป็นอย่างดีเสมอมา ครั้นสวรรคตก็มาบังเกิดในสวรรค์กุศลผลบุญบันดาลให้มีบริวารถึงหกหมื่น ขอรับพระคุณเจ้า "
     
  12. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle> </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 12
    เกิดต้นกัลปพฤกษ์
    ในศาสนาพระศรีอารย์ ผู้ใส่บาตร ถวายไตรจีวร
    สร้างพระพุทธรูป ทอดกฐินเป็นต้น จะไปเกิดนึกอะไรก็สอยเอาได้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>[font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ลำดับนั้นยังมีเทพบุตรอีกสี่องค์พาบริวารจำนวนมากเหาะตรงมายังลานพระเจดีย์ แต่ละองค์นี้เฉิดฉายด้วยรัศมีที่เปล่งออกมาจากกายส่องสว่างไสวไปทั่วทั้งลานพระเจดีย์ดังจะกลบรัศมีของทวย เทพที่มาก่อนให้ดับสิ้นไป ท้าวสักกบดีจึงตรัสกับพระมาลัยว่า


    " ดูกรพระคุณเจ้า เทพบุตรเหล่านี้หาใช่พระศรีอริยเมตไตยไม่เป็นแต่เพียงเทพบุตรสามัญ เหตุที่มีบริวารแลรัศมีบุญญาอันสว่างไสวนั้นมาแต่บุญในเบื้องบรรพกาลของพวกเขาดังนี้

    องค์แรกนั้นก่อนหน้านี้ได้บรรพชาเป็นสามเณรในพระศาสนา ตั้งมั่นอยู่ในพระไตรสรณคมณ์เป็นอันดี มีศีลสิบสำรวมเป็นอย่างยิ่ง ปรนนิบัติพระภิกษุสงฆ์ด้วยน้ำร้อนน้ำเย็นมิได้ขาดตกบกพร่อง ปัดกวาดวิหารลานพระเจดีย์มิได้ขาด ครั้นถึงกาลกิริยาก็มาบังเกิดเป็นเทพบุตรนี้ มีบริวารเจ็ดหมื่นด้วยผลของบุญที่เขาได้กระทำแล้วนั้น

    องค์ที่สองก่อนหน้านั้นเขาเกิดอยู่ในกรุงอนุราชบุรีในลังกา ได้เป็นไวยาวัจกรแก่ภิกษุสงฆ์ในพระศาสนา เมื่อเวลาพระภิกษุเที่ยวบิณทบาตภิกขาจารในหมู่บ้านถึงเคหสถานบ้านเรือนใด หากเจ้าของเรือนนั้นไซร้ไม่รู้ว่าพระภิกษุมายืนอยู่หน้าบ้าน เขาก็จะทำการป่าวประกาศร้องบอกว่า " พ่อแม่ทั้งหลายบัดนี้มีพระสาวกผู้สืบสายในพระศาสนาเป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐเลิศกว่าสิ่งใดได้มาโปรดสรรพ สัตว์แล้วในเวลานี้ ขอจงอย่ารอรีเนิ่นช้าจงรีบออกมาทำบุญทำทานโดยเร็วเถิด " เขากระทำเช่นนี้เป็นนิจกาล ครั้นถึงมรณกาลก็มาบังเกิดในสวรรค์มีบริวารมากถึงแปดหมื่นดังนี้

    องค์ที่สามนั้นก่อนหน้านี้เป็นมาณพผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในกรุงอนุราชบุรีในลังกา วันหนึ่งเขานำดอกกรรณิการ์กำหนึ่งไปยังลานพระเจดีย์อันเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุของพระศาสดา ครั้นไปถึงบริเวณลานพระเจดีย์จึงถวายดอกกรรณิการ์บูชาพระเจดีย์ด้วยความเลื่อมใส มีดวงใจเปี่ยมด้วยความปีติปราโมทย์เป็นอย่างยิ่งรำลึกไว้ในหทัยอยู่เป็นนิจ ครั้นสิ้นบุญวาสนาในโลกมนุษย์ก็ได้มาเกิดเป็นเทพบุตรองค์นี้มีบริวารถึงเก้าหมื่นด้วยอำนาจบุญของเขาดังนี ้

    องค์ที่สี่นี้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์เป็นคนยากไร้เที่ยวเกี่ยวหญ้าขายเลี้ยงชีวิตเสมอมา ครั้นวันหนึ่งเขาไปเกี่ยวหญ้าริมหาดทรายชายฝั่งน้ำมหานที เขานี้เห็นทรายสีขาวสะอาดตาจึงกวาดทรายนั้นมารวมกันเป็นกองเข้า เขากระทำให้เป็นพระเจดีย์ทรายประดับประดาด้วยดอกไม้มีสีต่างๆดูงดงาม เสร็จแล้วเขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นกระทำการนมัสการกราบไหว้ระลึกถึงพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า

    ครั้นเมื่อเขาถึงแก่กาลกิริยาก็มาบังเกิดเป็นเทพบุตรองค์นี้ มีบริวารถึงสิบหมื่นถ้วนอันล้วนเกิดแต่บุญที่เขาสร้างพระเจดีย์ทรายถวายในพระศาสนาระลึกถึงพระพุทธคุณแห่ง พระศาสดานั้นแล พระคุณเจ้า "

    ครั้นเมื่อพระมาลัยเถระได้สดับวาจาท้าวสักกบดีที่ตรัสถึงบุพกรรมของเหล่าเทพบุตรทั้งหลายได้อย่างว่องไวไม ่ติดขัดจึงสงสัยว่าทราบได้อย่างไรจึงปุจฉาไปดังนี้ " ดูกรมหาบพิตร อันว่าบุพกรรมของเทวบุตรเหล่านี้ที่กระทำไว้มหาบพิตรรู้แจ้งได้อย่างละเอียดนั้นไซร้ มหาบพิตรรู้ได้ด้วยทิพยญาณหรืออย่างใดฤา "

    ฝ่ายองค์อัมรินทราธิราชครั้นได้รับข้อปุจฉาจึงวิสัชนาแก่พระมาลัยว่า " ดูกรพระคุณเจ้า เหตุที่ข้าพระองค์ล่วงรู้ถึงบุพกรรมของเหล่าเทพบุตรเหล่านี้เพราะมีผู้บอกตามหน้าที่ ข้าพระองค์มีพระปัญจสิงขรเทพบุตรเป็นผู้กำหนดจดจารไว้ในแผ่นสุพรรณบัตรข้อกุศลผลบุญนั้นท้าวจตุโลกบาลทั้ง สี่มีบัญชาให้เสมียนเที่ยวไปนานาประเทศ เมื่อประสบเหตุแห่งการทำกุศลของผู้ใดก็จดไว้นำไปส่งที่ภูมิเทวดาเจ้าที่เพื่อจักได้รายงานแก่ท้าวจตุโลกบา ล ครั้นท้าวจตุโลกบาลได้มาก็จะนำส่งให้ท้าวปัญจสิขรเทพบุตร ครั้นถึงวันอุโบสถเข้าประชุมเทวสภาก็จะนำมาบอกกล่าวให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อให้ทวยเทพทั้งหลายนั้นร่วมอนุโมทนายินดี ขอรับพระคุณเจ้า "
     
  13. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle> </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 13
    คนเกิดในศาสนาพระศรีอารย์
    คนกตัญญูให้ทาน รักษาศีล บวชพระเณร
    สร้างศาลากุฎีเป็นต้น จะได้ไปเกิดเป็นสุขยิ่ง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>[font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ลำดับนั้นปรากฏขบวนของเทพบุตรองค์หนึ่งนำเหล่าเทพบริวารอันมีจำนวนมากมายมโหฬารนับประมาณมิได้ลอยเลื่อนเคลื่อนมาจากขอบฟ้าอันไกล รัศมีแห่งเขาเหล่านั้นไซร้สว่างไสวอำไพยิ่งกว่าเหล่าเทพยดาที่มาขบวนก่อน ๆ หน้า ค่อย ๆ ลอยเข้ามายังลานพระเจดีย์จุฬามณี ขบวนที่นำหน้ามานี้เหล่าเทพบุตรเทพธิดาทั้งหลายก็ล้วนทรงพัสตราอาภรณ์แลเครื่องประดับก็ล้วนขาวบริสุทธิ์รัศมีแห่งกายของเขาเหล่านั้นก็เลื่อมประภัสร


    ขบวนทางด้านขวานั้นก็ทรงพัสตราอาภรณ์เครื่องประดับแลรัศมีกายเป็นสีเหลืองทองผ่องอำไพสว่างไสวเหมือนดังสุวรรณอันต้องแสงแห่งพระสุริยฉาย ขบวนทางด้านซ้ายก็ล้วนทรงพัสตราอาภรณ์แลเครื่องประดับตลอดจนรัศมีกายเป็นสีแดงระเรื่อดุจทับทิมเนื้อดี ขบวนทางด้านหลังนั้นมีสีสรรนานาอันมีสีม่วง สีเขียว สีฟ้า สีแสด เรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นลำดับไม่ระคนปนกัน รัศมีแห่งเทพยดาเหล่านั้นส่องสว่างเรืองรุ่งโอฬารตระการตาเป็นยิ่งนัก

    อนึ่งเทพบุตรที่เป็นหัวหน้านั้นก็รูปร่างลออตาหาผู้ใดในสามโลกธาตรีมิมีเทียบเทียมได้ รัศมีแห่งวรกายของพระองค์นั้นสว่างไสวไพโรจน์โชติช่วงเป็นยิ่งนักดังจักกลบรัศมีแห่งเทพยดาเทพนารีทั้งมวล ให้อับแสง แลสว่างไปทั่วทั้งพิภพดาวดึงสา เหล่าเทพยดาที่มาก่อนๆหน้าพากันอับรัศมีมิอาจจะแข่งบารมีได้ดั่งหิ่งห้อยอับแสงไม่อาจแข่งรัศมีแห่งแสงจันทรา แต่รัศมีแห่งเทพบุตรองค์นี้มิอาจพรรณนาได้ด้วยว่าสว่างไสวมากกว่านับหมื่นนับแสนเท่า

    ฝ่ายพระมาลัยเถระแลท้าวสักกบดีครั้นเมื่อเห็นขบวนของเทพบุตรองค์นี้เสด็จมา สมเด็จอัมรินทราธิราชจึงเสวนาการกับพระมาลัยว่า " ดูกรพระเถระ ขบวนที่กำลังมานั่นคือขบวนของพระบรมโพธิสัตว์ เทพบุตรที่อยู่ตรงกลางรัศมีสว่างไสวไพบูลย์กว่าเทพยดาใดๆคือพระศรีอาริยเมตไตยหน่อพุทธางกูรในอนาคต บรรดาเหล่าเทพบุตรเทพธิดาที่นำหน้าทรงพัสตราอาภรณ์แลเครื่องประดับตลอดจนรัศมีสรีรกายก็ล้วนเป็นสีขาว ด้วยเหตุว่าเขาทั้งหลายในชาติก่อนนั้นครั้นถึงวันอุโบสถก็พากันนุ่งผ้าขาวห่มผ้าขาว สมาทานศีลแปดอย่างเคร่งครัด ครั้นเวลาทำบุญนั้นวัตถุทานก็ทำด้วยข้าวของสีขาวอันสะอาดตาด้วยว่าใจรักในสีขาวนี้ ส่วนที่มีสีอื่นๆก็กระทำดุจเดียวกันครั้นเมื่อถึงกาลกิริยาก็ได้มาบังเกิดเป็นบริวารของพระศรีอาริยเตไตย ในสวรรค์ชั้นดุสิต ขอรับพระคุณเจ้า "

    ขณะที่พระมาลัยจะไต่ถามพระอินทร์ต่อก็พอดีกับพระศรีอาริยเตไตยได้พาขบวนเทพบริษัทมาถึงลานพระเจดีย์กระทำ ประทักษิณสิ้นสามรอบแล้วเข้าไปถวายเครื่องสักการบูชานมัสการกราบไหว้เป็นปฐมก่อน แล้วจึงถอยออกมาเพื่อให้เหล่าเทพยดาบริวารพากันเข้าไปนมัสการบ้างตามลำดับ ก็พลันทอดพระเนตรเห็นพระมาลัยแลท้าวสักกบดีที่ประทับอยู่ตรงมุมพระเจดีย์จึงเสด็จเข้าไปหาเพื่อนมัสการ

    ครั้นนมัสการแล้วจึงประทับนั่ง ในฉับพลันอัศจรรย์ก็บังเกิดมีสุวรรณบัลลังก์ปรากฏขึ้นมารองรับในทันที สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยจึงมีปฏิสันถารกับพระมาลัยว่า " ดูกรพระคุณเจ้า พระคุณเจ้ามาจากที่ใดขอรับ " พระมาลัยวิสัชนาว่า " ดูกรมหาบพิตร อาตมามาจากชมพูทวีป " เมื่อทราบว่าพระเถระมาจากชมพูทวีปจึงดีพระทัย รับสั่งถามข่าวคราวของมนุษย์ทั้งหลายว่า " ดูกรพระคุณเจ้า ชมพูทวีปขณะนี้พวกมนุษย์พากันทำมาหากินอย่างไรกันบ้างขอรับพระคุณเจ้า "

    พระมาลัยจึงวิสัชนาว่า " บางพวกก็ค้าขาย บางพวกก็เข็ญใจไร้ทรัพย์ บางพวกก็ทำการเกษตรกสิกรรม บางพวกก็ทำการประมงหาเลี้ยงชีพที่สุขสบายก็มี ที่เดือดร้อนทุกข์เข็ญก็มากโข มหาบพิตร " สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยจึงมีปุจฉาต่อว่า " ดูกรพระคุณเจ้า แล้วส่วนมากพวกเขาทำบุญทำทานการกุศลกันบ้างหรือไม่ หรือจักทำแต่เรื่องบาปหยาบช้า ขอรับพระคุณเจ้า"

    พระมาลัยจึงวิสัชนาว่า " ดูกรมหาบพิตร พวกที่ทำบุญทานการกุศลนั้นมีน้อย ส่วนคนถ่อยบาปหยาบช้ากลับมีมากนับไม่ถ้วน "

    ลำดับนั้นสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยใคร่จักทราบถึงวิธีการทำบุญของเหล่าชาวชมพูทวีปจึงขอให้พระมาลัยวิสัชนา พระมาลัยจึงกล่าวว่า " มนุษย์บางพวกก็ให้ทานรักษาศีล บางพวกก็จัดให้มีพระธรรมเทศนาพร้อมกับป่าวประกาศให้ชาวประชามารับฟัง บ้างก็สร้างวัดวาอารามศาลากุฎี บ้างก็สร้างสถูปเจดีย์แลพระพุทธรูปไว้ในพระศาสนา บ้างก็ถวายเสนาสนะคิลานเภสัชแด่พระภิกษุสงฆ์ บ้างก็มีเจตจำนงถวายภัตตาหารบิณฑบาตตลอดจนสบงจีวรแด่พระภิกษุ บ้างก็เป็นบุตรกตัญญูเลี้ยงดูบำรุงบิดามารดา บ้างก็สร้างพระคัมภีร์ไตรปิฎก สุดแท้แต่กำลังแห่งทรัพย์แลปัญญาของตน มหาบพิตร "

    เมื่อสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยได้ทราบถึงวิธีการทำบุญกุศลของชาวชมพูทวีปแล้วพระองค์จึงถามถึงมโนปนิธานในการทำบุญนั้นว่าหวังผลในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือนิพพานสมบัติ พระมาลัยตอบว่า " ดูกรมหาบพิตร อันมนุษย์ทั้งหลายที่หมายทำบุญกุศลด้วยมิได้หวังผลในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือนิพพานสมบัติแต่อย่างใดกลับมุ่งหมายให้ได้เกิดทันศาสนาของพระองค์ทั้งนั้นเป็นส่วนใหญ่ ที่หมายใจเป็นอย่างอื่นกลับมีน้อยเป็นอย่าง "

    เมื่อพระศรีอาริยเมตไตยทรงสดับเช่นนั้นก็มีพระดำรัสตรัสฝากพระมาลัยไว้ว่า "ถ้าพวกเขาเหล่านั้นอยากเกิดทันศาสนาของข้าพระองค์ ก็จงอุตส่าห์ฟังธรรมมหาเวสสันดรชาดกให้จบทั้งหมดในวันเดียว แล้วบูชาด้วยธูปเทียน ดอกไม้อย่างละพันฉัตร อันประกอบด้วยดอกบัวหลวง ดอกบัวเขียว ดอกบัวขาว ดอกสามหาวอย่างละพัน ถ้าทำได้ดังนั้นก็จะพบกับศาสนาของข้าพระองค์

    เมื่อข้าพระองค์ไปตรัสรู้ผู้นั้นได้ฟังพระธรรมเทสนาก็จะได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัทภิทา ส่วนคนบาปหยาบช้าหนาหนัก เช่นกระทำปิตุฆาต มาตุฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้า แลทำสังฆเภทให้หมู่สงฆ์เกิดการแตกแยกแตกความคิดไม่สามัคคี ทำลายพระเจดีย์แลพระพุทธรูป ตลอดจนคนที่ตระหนี่ถี่เหนียวไม่รู้จักทำบุญให้ทาน ไม่รู้กาลเทศว่าบาปบุญคุณโทษ ดำรงตนอยู่ในความประมาท คนพวกนี้มิได้มีโอกาสพบศาสนาของข้าพระองค์เป็นแน่แท้ " เมื่อพระมาลัยได้ฟังดังนั้นก็กำหนดจดจำไว้ในใจเพื่อว่าจะได้นำไปเทศนาสั่งสอนชาวประชาทั้งหลายให้ได้ปฏิบัติ แต่ยังมีข้อข้องขัดในใจจึงปุจฉาไปดังนี้ " ดูกรมหาบพิตร เมื่อชนทั้งหลายได้รู้ข้อวัตรปฏิบัติอันจะทำให้ได้ไปบังเกิดกำเนิดทันพระศาสนาของพระองค์แล้วไซร้ อาตมาภาพใคร่ขอความกระจ่างว่าเมื่อใดที่พระองค์จะไปตั้งพระศาสนาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อกาลเวลาใดเล่า มหาบพิตร "
     
  14. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle> </TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 14
    พระมาลัยแจ้งข่าวนรกสวรรค์
    ที่ท่านพบเห็นและรับสั่งมาแก่บรรดาญาติ
    ให้ละบาป ตั้งใจทำบุญแผ่บุศลส่งไปให้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=middle>[font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เมื่อพระศรีอริยเมตไตยได้ฟังปุจฉาของพระมาลัยเถระถามถึงเรื่องการจะมาตรัสรู้ของพระองค์ในอนาคตกาลข้างหน้า จึงมีพระวิสัชนาดำรัสตรัสว่า " อีกไม่นานดอกพระคุณเจ้า เมื่อครบถ้วนห้าพันปีสิ้นศาสนาของพระพุทธโคดมแล้ว


    ครั้งนั้นพวกสัตว์ทั้งหลายจะหน้ามืดตามัวประพฤติชั่วไม่รู้จักทำบุญกุศลสุจริต มีแต่จะคิดกระทำกรรมอันบาปหนาหยาบช้า ขาดหิริโอตตัปปะมิรู้จักละอายต่อบาปกรรม แม่กับลูกจะอยู่กินด้วยกันเป็นสามีภรรยา พี่สาวกับน้องชาย พี่ชายกับน้องสาว พี่ป้าน้าอาลุงหลานก็จะสมสู่อยู่กินกันเป็นสามีภรรยามิรู้ว่าลูกเขาเมียใคร เมามัวในกามา ใจบาปหยาบช้าเต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ประพฤติชั่วนานานัปการอันล่วงละเมิดศีลห้า ด้วยว่ามิมีผู้ใดจะดำรงทรงจำไว้ได้พระสัจธรรมเสื่อมหาย พระสงฆ์ทั้งหลายคนก็มิรู้จัก ด้วยมักละเมิดพระวินัยบัญญัติตัดนั่นเติมนี่ในที่สุดก็มีความประพฤติดังเช่นฆราวาสผู้ครองเรือน ผ้าเหลืองแปดเปื้อนเป็นมลทินจึงเปลื้องออก ครั้นเมื่อมีกิจทางศาสนาจึงนำมาห่มคลุมเพื่อหากิน

    ในที่สุดก็ลืมสื้นในวิธีการครองผ้าจึงฉีกบางส่วนออกมามัดไว้ที่คอ ข้อมือเพื่อหมายให้รู้ว่ามีอาชีพเป็นนักบวช ครั้นนานเข้าก็ขาดเปื่อยไปสิ้นคิดขี้เกียจสรรหามาใหม่ในที่สุดแล้วไซร้ก็หมดซึ่งสีของผ้ากาสาวพัสตร์ ความชั่วกำเริบหนักหนาอายุของสรรพสัตว์ก็จะลดน้อยถอยลงตราบจนเหลือ ๑๐ ปี เด็กเกิดมาได้เพียง ๕ ปี ก็มีระดูแต่งงานได้ อาหารทั้งหลายจะถอยถดหมดลงไป

    ข้างฝ่ายเทพยดาพากันเอ็นดูหมู่สัตว์มีวิบากทั้งหลายก็จำแลงแปลงกายเป็นคนเสียสติบ้านุ่งผ้าแดงร้องบอกแก่สรรพสัตว์กลางตลาดร้านถิ่นว่าจักเกิดมิคสัญญีว่าวันนั้นคืนนั้นจะมีการเข่นฆ่ากัน [​IMG] โดยบอกก่อนล่วงหน้าเป็นเวลา ๗ วัน ผู้ใดมีคุณธรรมแลสติปัญญาก็พากันจดจำหลีกหนีไปเสียได้เพียงแต่เล็กน้อย เข้าไปคอยอาศัยอยู่ในถ้ำภูผากลางป่าเขา เหลือแต่เหล่าพวกหยาบช้าพากันไม่เชื่อถือในคำพูดของเทพยดาก็พากันเยาะเย้ยถากถางเข้ารุมกระทำอันตรายหมายจะเข่นฆ่า เทพยดาเจ้าก็เร้นกายหายวับกลับวิมานอันเป็นสถานที่อยู่แห่งตน

    ครั้นเมื่อถึงวันกำหนดคนทั้งหลายพากันหิวกระหายออกหากินเป็นปกติวิสัย ครั้นเห็นหน้ากันไซร้ก็เข้าใจว่าเป็นเนื้อเป็นปลา จับอะไรได้เป็นต้นว่าท่อนไม้ผุก็กลับกลายเป็นหอกดาบอาวุธศาสตรา เข้าทำการเข่นฆ่าไล่ทิ่มแทงกันจนล้มตายเป็นอันมากเหลือจะประมาณได้กลายเป็นมิคสัญญีกลียุควุ่นวายเป็นหนักหนาจนเข่นฆ่ากันหมดสิ้น

    ข้างฝ่ายพวกที่มีสติปัญญาวิชาความรู้ซ้อนเร้นอยู่ตามเถื่อนถ้ำเงื้อมผาป่าดงลึกสุด ครั้นเมื่อมนุษย์บ้าดีเดือดทั้งหลายฆ่าฟันกันจนหมดสิ้น ก็พากันออกจากที่ซ่อนกำบัง ครั้นมาพบกันเข้าก็ดีใจเหลือกำลังสวมกอดกันเข้าว่าเรานี้หนายังมีสหายรอดตายเหลืออยู่ ต่างก็พากันปรึกษาหารือกันว่า

    อันความฉิบหายที่เกิดแก่พวกเราในครั้งนี้ก็เพราะมีความประมาทพลาดพลั้งในกรรมดี มีแต่ก่อบาปหยาบช้าเป็นส่วนใหญ่ แต่นี้ต่อไปในเบื้องหน้าพวกเราจงอุตส่าห์กระทำแต่กรรมดีมีศีลธรรมเว้นจากการฆ่าสัตว์ ประหัตประหารกัน เว้นเสียจากการลักขโมยฉ้อฉลหลอกลวงกัน เว้นเสียจากการผิดลูกผิดเมียไม่มัวเมาในกาเมมิจฉาจารปราศจากการพูดเท็จ งดเว้นจาการพูดคำหยาบช้า ไม่พูดจาส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ เว้นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเห็นที่ผิดจากธรรมนองคลองธรรม เมื่อคนมีสติปัญญาปรึกษากันแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญบุญกุศลมีให้ทานรักษาศีลเป็นต้น ครั้นคนเหล่านี้มีลูกหลานสืบสายตระกูล ลูกก็จะอายุยืนได้ ๓ ปี มีหลานหลานก็อายุยืนขึ้นเป็น ๕ ปี จะเจริญไปดังนี้เป็นลำดับ ตราบเท่าอายุมนุษย์เจริญได้ถึงอสงไขยหนึ่งความแก่แลความตายไม่ปรากฏให้เห็นซึ่งหน้า ครานี้มนุษย์ก็จะมีความประมาทไม่ตั้งมั่นในความดี อายุของเขาเหล่านี้ก็จะเสื่อมถอยลงมาเป็นลำดับดังนี้ เหลือเพียงแปดหมื่นปีครานี้ก็จักเข้าสู่ยุคของข้าพระองค์ ขอรับพระคุณเจ้า "
     
  15. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER>[color=darkgold,direction=-35);]ยุคพระศรีอารีย์ [/color]</CENTER><CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="93%" border=0></CENTER>

    เมื่อสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ตรัสถึงกลียุคจนถึงมนุษย์อายุเสื่อมถอยน้อยลงมาถึงแปดหมื่นปีแล้วจึงตรัสต่อว่า " ครั้นเมื่ออายุมนุษย์ลดน้อยถอยลงได้แปดหมื่นปีตอนนั้นจักมีฝนตกทุกๆ ๑๕ วัน แลส่วนมากนั้นจักตกแต่เพลาใกล้รุ่งทำให้มนุษย์มีความชุ่มชื่นใจพื้นดินกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์ แม่น้ำลำคลองมีกระแสน้ำไหลขึ้นข้างหนึ่งไหลลงข้างหนึ่ง เต็มเปี่ยมเพียบฝั่งไม่มีพร่อง ไม่มีล้นเป็นอยู่อย่างนี้เสมอ ดอกไม้นานาพรรณผลิดอกออกช่อบานสะพรั่งตลอดกาล

    บ้านเรือนจะปลูกอยู่ใกล้ๆกันพอไก่บินถึง ปราศจากโจรผู้ร้าย บริบูรณ์ไปด้วยน้ำแลข้าวปลาอาหาร ผัวเมียจะไม่รู้จักวิวาทกัน ผู้ชายไม่ต้องทำไร่นาค้าขาย ผู้หญิงก็ไม่ต้องทอหูกปั่นฝ้าย ผ้านุ่งผ้าใช้ล้วนแต่เป็นของทิพย์ อำมาตย์ข้าราชการตั้งมั่นอยู่ในความสุจริตธรรมไม่เบียดเบียนอาณาประชาราษฎร์ให้เดือดร้อน พระมหากษัตริย์จะไม่มีความกริ้วโกรธถือโทษลงพระราชอาญา มีน้ำพระทัยรักใคร่กรุณาแก่ประชาชนทวยราษฎร์

    บรรดาสรรพสัตว์ที่เป็นศัตรูกันทั้งหลายเช่นกากับนกเค้า แมวกับหนู งูกับพังพอน หมีกับไม้สะคร้อ ทั้งหมดก็จะแผ่เผื่อเมตตาจิตต่อกันเลิกเป็นคู่เวรคูกรรมต่อกัน สรรพสัตว์อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เครื่องใช้ไม้สอยมีอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง แผ่นดินใหญ่กว้างล้วนราบเรียบเป็นหน้ากลอง ไม่มีหลักตอเสี้ยนหนาม คนทั้งหลายรูปงามเหมือนกันหมด ไม่มีคนใบ้บ้า คนหูหนวกตาบอดง่อยเปลี้ยเสียขาพิกลพิการก็ไม่มีแต่อย่างใด ทุกคนปราศจากโรคภัยเบียดเบียน เห็นกันเข้าก็มีแต่รักใคร่ไมตรีอันดีต่อกันหาศัตรูหรือรู้จักโกรธให้กันก็ไม่มี ในครั้งนี้บุรุษจะมีภรรยารักคนเดียว สตรีก็จะมีสามีคนเดียวกลมเกลียวรักใคร่ปองดองกัน ไม่มีการล่วงประเวณี แลคนในยุคนี้มีแต่ความผาสุขสมบูรณ์มากไม่ต้องลำบากในการหากิน เพียงตั้งภาชนะปิดฝาเอาไว้ครั้นอยากกินสิ่งไรเปิดภาชนะก็ได้กินสิ่งนั้น [​IMG]

    ครั้นว่าบริโภคโภชนากระยาหารอิ่มหนำสำราญแล้วอาหารนั้นก็อันตรธานหายไปไม่ต้องเก็บต้องล้าง ข้าวของทุกอย่างใช้สอยแต่เครื่องทิพย์ มีกิจอยู่แต่นั่งกับนอนฟังเสียงอันเป็นทิพย์ไพเราะนักหนาอันเกิดจากเวลาลมพัดต้องหมู่ไม้ใบพฤกษาก็สั่นไหว เป็นเสียงทิพยดนตรีมีความไพเราะเป็นหนักหนา ทุกคนถ้วนหน้ามีสมบัติเหมือนกันหมด ปราศจากกำพร้าอนาถา ปราศจากคนชราหรือเข็ญใจไร้ทรัพย์สมบัติ อันเหตุวิวาทแก่งแย่งชิงเอาบ้านเรือนไร่นาของกันและกันนั้นไม่มีเลย แลยุคนั้นนี้มีพืชข้าวกล้าเพียงเม็ดเดียวหากตกลงเหนือพื้นแผ่นดินแล้วก็งอกขึ้นเป็นต้นเป็นลำเป็นปล้องเป็นหน่อ แลเป็นกอใหญ่ๆออกไปได้หลายร้อยเท่าพันทวี ทั้งหมดเป็นดังนี้ก็เพราะข้าพระองค์ได้สร้างสมบุญบารมีเอาไว้มาก



    ในศาสนาของข้าพระองค์ไม่มีคนบ้า คนใบ้ ด้วยเหตุที่ข้าพระองค์ไม่เคยพูดเท็จหลอกลวงใครๆ ไม่มีคนตาบอดเพราะข้าพระองค์มองสมณะผู้มีศีลแลยาจกวนิพกเข็ญใจด้วยนัยน์ตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักใคร่สงสาร ไม่มีคนง่อยเปลี้ยเสียขาเพราะเวลาทำบุญทานข้าพระองค์ยืนตรงเสมอ ไม่มีคนเจ็บไข้ได้ป่วยไร้โรคาพยาธิ์ก็เพราะข้าพระองค์ถวายยาเป็นทานอยู่เสมอเนืองนิจ ไม่มีมารผจญเพราะข้าพระองค์ไม่เคยทำให้คนหรือสัตว์นั้นตกใจ ในศาสนาของข้าพระองค์ไม่มีใครขี้ริ้วขี้เหร่ มีแต่คนรูปงามเพราะยามข้าพระองค์ให้ทานให้แต่ของอันเป็นที่รักแก่ยาจกวนิพกตลอดจนสมณพราหมณ์เสมอ [​IMG]

    ในศาสนาของข้าพระองค์ทุกคนได้ไปสวรรค์ทุกคนเพราะข้าพระองค์ให้ช้างม้าราชรถยวดยานพาหนะเป็นทาน ในศาสนาของข้าพระองค์นั้นแผ่นดินราบเรียบเสมอกันหมดเพราะข้าพระองค์แผ่เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์เสมอ คนในศาสนาของข้าพระองค์มั่นคงสมบูรณ์ด้วยทัพย์สินโภคาเพราะเหตุว่าข้าพระองค์ให้ทานแก่ผู้ยากไร้เข็ญใจด้วยทรัพย์สิ่งของเงินทองตามที่เขาปรารถนาอยู่เนืองนิตย์โดยทั่วถึง

    ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพระองค์บำเพ็ญบารมีมาช้านานถึง ๑๖ อสงไขยแสนกัป บารมี ๓๐ ทัศนั้นก็ได้บำเพ็ญมาอย่างพร้อมมูลแล้ว ข้าพระองค์จะลงไปเกิดในโลกมนุษย์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเพื่อโปรดสัตว์ทั้งหลาย โดยจะเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาลอันบริบูรณ์ด้วยสมบัติ พระบิดานั้นทรงพระนามว่า สุพรหมพราหมณ์

    เป็นปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิราช พระมารดานั้นทรงพระนามว่า เหมวดีพราหมณี พระอัครสาวกเบื้องขวามีนามว่า พระอโสกเถระ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายมีนามว่า พระสุพรหมเถระ พระอัครสาวิกาเบื้องขวามีนามว่า พระปทุมาเถรี พระอัครสาวิกาเบื้องซ้ายมีนามว่า พระสุมนาเถรี อุบาสกพุทธอุปัฏฐากมีนามว่า สุทัตตคหบดีคนหนึ่ง แลนามว่า สังฆหบดีคนหนึ่ง อุบาสิกาพุทธอุปัฏฐากมีนามว่า ยสปวดีอุบาสิกาคนหนึ่ง แลนามว่า สังฆอุบาสิกาคนหนึ่ง

    มีไม้กากะทิงเป็นไม้ที่ตรัสรู้ ขนาดลำต้นจากพื้นไปถึงคาคบ ๑๒๐ ศอก จากคาคบไปถึงยอด ๑๒๐ ศอก รวมจากพื้นถึงยอดปลายสุด ๒๔๐ ศอก ไม้นี้มีกิ่งใหญ่ ๔ กิ่งทอดออกไปในทิศทั้ง ๔ มีความยาวกิ่งละ ๑๒๐ ศอก มีดอกเท่ากงล้อรถแต่ละดอกมีเกสรได้ทันานหนึ่ง มีกลิ่นหอมฟุ้งขจรไปไกลถึง ๕๐๐ โยชน์ ตอนที่ข้าพระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นมีพระวรกายสูงได้ ๘๘ ศอก จากพื้นพระบาทถึงพระชานุ ๒๒ ศอก จากพระชานุถึงพระนาภี ๒๒ ศอก จากพระนาภีถึงพระรากขวัญ ๒๒ ศอก จากพระรากขวัญถึงพระอุณหิส ๒๒ ศอก พระชนมายุได้แปดหมื่นปีจึงปรินิพพาน ศาสนาของข้าพระองค์นั้นยืนยาวได้ ๘,๐๐๐ ปีจึงหมดสิ้นขอรับพระคุณเจ้า"



    <TBODY></TBODY></TABLE>
     
  16. หนุมาน

    หนุมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +281
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER>[color=darkgold,direction=-35);]กาลที่พระศรีอาริยเมตไตยจะลงมาโปรดสัตว์ [/color]</CENTER><CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="93%" border=0></CENTER>

    เมื่อพระมาลัยเถระได้สดับคำวิสัชนาของพระมหาโพธิสัตว์ตรัสถึงชีวิตความเป็นอยู่ในยุคสมัยของพระองค์แล้วก็ มีใจสงสัยด้วยว่ายังไม่กำหนดกาลเวลาว่าจะลงมาโปรดสัตว์เมื่อใด จึงปุจฉาไปดังนี้ว่า ดูกรมหาบพิตร อาตมภาพได้สดับตามที่พระองค์ทรงเล่ามายังกำหนดไม่ได้ว่าพระองค์จะลงไปโปรดมนุษย์เมื่อใด

    สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยจึงตอบไปดังนี้ว่า " ดูกรพระคุณเจ้า ก็ตอนที่ข้าวสาลีเม็ดเดียวบังเกิดเป็นข้าวสารร้อยเจ็ดสิบเม็ด จุเต็มสองเล่มเกวียนกับสิบหกสัดใหญ่ ๆ เท่ากับสองกระบุงเมื่อใด ก็เมื่อนั้นแลพระคุณเจ้าที่ข้าพระองค์จะลงไปเกิดในโลกมนุษย์ โดยครั้งแรกจะเป็นมนุษย์ธรรมดาก่อน

    กระทำสัตตสดกมหาทานบริจาคลูกเมียเป็นทานเหมือนพระเวสสันดรก่อน แล้วจะกลับขึ้นมาเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตสิ้นระยะหนึ่ง จนถึงเมื่อสัตว์ทั้งหลายมีอายุไขยน้อยลงไปจากอสงไขยเหลือเพียงแปดหมื่นปี ชมพูทวีปนี้กลับบริบูรณ์มีเม็ดข้าวสาลีเพียงเม็ดเดียวแต่ให้ผลมากมายดังก่อน ก็ตอนนั้นแลข้าพระองค์จะลงไปบังเกิดในโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่งเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โดยเหล่าเทพยดาในหมื่นจักรวาลมีท้าวมหาพรหมเป็นประธานมาอัญเชิญให้ไปจุติ

    ***การกระทำสัตตสดกมหาทาน คือการบริจาคสิ่งของเป็นทานเจ็ดอย่าง อย่างละ ๗๐๐ มี

    ๑. ช้าง ๗๐๐ ตัว ๒. ม้าอาชาไนย ๗๐๐ ตัว ๓. โคนม ๗๐๐ ตัว ๔. ทาสหญิง ๗๐๐ คน ๕. ทาสชาย ๗๐๐ คน ๖. ราชรถ ๗๐๐ คัน ๗. นางสนม(หญิงผู้ดีมีสกุล) ๗๐๐ นาง

    อ่านว่า สัต-ตะ-สะ-ดก-มะ-หา-ทาน มาจากคำว่า สัตตะที่แปลว่า เจ็ด สดก มาจากคำว่า สตกะ ที่แปลว่า ๑๐๐ อีกคำหนึ่งอ่านว่า ปิ-ยะ-ปุต-ตะ-ทา-ระ-ทาน ปิยะแปลว่า ผู้เป็นที่รัก ปุตตะ แปลว่า ลูก ทาระ แปลว่าเมีย***


    เมื่อข้าพระองค์นี้ได้สดับรับฟังคำอัญเชิญของเทพยดาทั้งหลาย ก็จะใช้ทิพยญาณเล็งเห็นโลกด้วยเหตุห้าประการ คือ กาลอันเหมาะสม ๑ ประเทศที่เหมาะสม ๑ ทวีที่เหมาะสม ๑ ตระกูลมารดาที่เหมาะสม ๑ แลสัตว์ทั้งหลายอีก ๑ ตามเยี่ยงอย่างพระบรมโพธิสัตว์แต่ก่อนมาพิจารณาตามธรรมเนียมประเพณีก่อนที่จะมาจุติ ด้วยที่พิจารณาดูกาลอายุสัตว์ในครั้งนั้นว่าไม่มากกว่าแสนปีขึ้นไป ไม่น้อยกว่าร้อยปีลงมา เพราะถ้าสัตว์มีอายุมากกว่าแสนปี ก็ความแก่ความตายนี้จะไม่ค่อยบังเกิดปรากฏให้เห็น สรรพสัตว์ฟังพระธรรมเทศนาแล้วไม่เห็นว่าสังขารเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแต่อย่างใดก็จะไม่เชื่อถือในพระสัจธรรม มรรคผลก็จะไม่บังเกิดขึ้น พระธรรมเทศนาก็จะไร้ประโยชน์

    อีกประการหนึ่งถ้าสัตว์อายุน้อยกว่าร้อยปีลงมาก็หาเป็นการสมควรที่พระพุทธเจ้าจะลงไปตรัสรู้ไม่ เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายพวกนี้ยังมีกิเลสหนากล้านักจักรับโอวาทเพียงต่อหน้าลับหลังมาก็จะพากันละทิ้งเสียไม่ผิดอะไรกับขีดรอยในน้ำก็จะกลับคืนดังเก่า ดังนั้นเล่ากาลที่เหมาะสมสำหรับการไปตรัสรู้จึงอยู่ในระหว่างแสนปีลงมาและมากกว่าร้อยปีขึ้นไป

    ประการที่สองก็คือพิจารณาทวีปใหญ่ทั้งสี่มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารนั้นก็เห็นว่าโดยพุทธประเพณีอันพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะมีพระประสูติกาลทุกพระองค์นั้นจะไปบังเกิดในชมพูทวีปแห่งเดียวอันเป็นมัชฌิมประเทศที่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอสีติมหาสาวก พระเจ้าจักรพรรดิราช แลชนผู้มีบุญญาธิการมากมักลงมาเกิดเป็นส่วนมาก

    ประการที่สามพิจารณาประเทศอันเป็นสถานที่กำเนิด ในครั้งนั้นกรุงพาราณสีจะมีชื่อนครว่ามัณฑารนคร กว้างใหญ่ได้สิบสองโยชน์พวกมนุษย์ถอยถดอายุจากอสงไขยด้วยความประมาทเหลือเพียงแปดหมื่นปี แลกรุงมัณฑารนี้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เกตุมบดีนคร จักบริบูรณ์สถาพรด้วยวัตถุสิ่งของทั้งปวง จึงควรที่จะบังเกิดในกรุงเกตุมบดีนครนี้

    ประการที่สี่พิจารณาถึงตระกูลอันสมควรตามประเพณีที่สมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไปบังเกิดในตระกูลอันชาวโลกนับถือ คือตระกูลกษัตริย์ ตระกูลพราหมณ์ตามที่เคยมีมา ก็ตอนนั้นแลถือกันว่าตระกูลพราหมณ์ประเสริฐเลิศที่สุด จึงสมควรที่จะลงไปบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ซึ่งเป็นปุโรหิตผู้ใหญ่ของพระเจ้าสังขจักร

    ประการที่ห้าสุดท้ายพิจารณาว่าผู้ใดควรจะเป็นพุทธบิดาพุทธมารดาที่บำเพ็ญบารมีนับเนื่องกัน ก็รู้ว่าสุพรหมพราหมณ์นั้นควรเป็นพุทธมารดา นางเหมวดีพราหมณีควรที่จะเป็นพุทธมารดา ขอรับพระคุณเจ้า ส่วนนางอนุลาเทวีเป็นคู่สร้างบารมีของข้าพระองค์จะได้เป็นอัครมเหสีมีนามว่า นางจันทมุขี โอรสคือเจ้าสาลีพระโอรสแห่งพระเจ้าอภัยทุฏฐคามินีสร้างบารมีร่วมกันมาจะได้เป็นโอรสมีนามว่า พรหมวดีกุมาร

    กาลที่ข้าพระองค์จะออกผนวชนั้นจะมีเทวฑูตสำแดงบุพนิมิต ๔ ประการ คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แลนักบวช ปราสาทที่อยู่ของข้าพระองค์จักลอยไปกลางอากาศ เมื่อข้าพระองค์ผนวชแล้วบำเพ็ญเพียรประมาณเจ็ดวันตกวันที่เจ็ดจะไปนั่งที่ควงไม้กากะทิงแล้วได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อโปรดสัตว์ ขอรับพระคุณเจ้า "

    ครั้นพระบรมโพธิสัตว์ตรัสมาถึงตรงนี้ก็มีพระราชดำรัสอันเป็นปัจฉิมสมัยว่า " ข้าแต่พระคุณเจ้า ครั้นเมื่อกลับไปยังโลกมนุษย์แล้วจงบอกแก่ชาวชมพูทวีปด้วยว่า อย่าได้สร้างเวรทั้งห้า คืออย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่าคิดหรือลักขโมยข้าวของเงินทอง อย่าล่วงหรือปองผิดประเวณีลูกเมียผู้อื่น อย่าได้ฝืนกล่าวลวงโป้ปดมดเท็จ อย่าได้เสพสุราเมรัย ให้สมาทานในพระอุโบสถศีล ละเว้นอนันตริยกรรมทั้งห้าประการ ให้หมั่นสร้างกุศลผลทานแล้วจะได้พบพานศาสนาของข้าดังประสงค์ ขอพระคุณเจ้าจงสั่งสอนเขาดังนี้ตามที่ข้าพระองค์บอกเอาไว้เถิด ขอรับพระคุณเจ้า "

    ครั้นเมื่อสั่งเสร็จองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ก็นมัสการลาพระเถระ ลุกขึ้นกระทำอภิวาทประทักษิณพระเจดีจุฬามณีเจดีย์แล้วเสด็จกลับพร้อมด้วยเหล่าบริวาร [​IMG] เหาะลอยผ่านท้องฟ้าขึ้นสู่นภากาศตรงไปยังดุสิตพิภพอันเป็นที่อยู่ของพระองค์ ส่วนพระมาลัยก็ถวายพระพรลาพระอินทราธิราช ถวายอภิวาทนมัสการพระเจดีย์จุฬามณีกระทำประทักษิณสิ้นสามรอบแล้วจึงกลับลงมาสู่โลกมนุษย์ดังเดิม

    ครั้นเมื่อวันต่อมาเวลาพระเถระออกโปรดสัตว์รับบิณฑบาตชาวบ้านกัมโพชคามตามปกติ ก็สั่งสอนชาวบุรีทั้งหลายตามที่ได้รับมอบหมายมาจากพระศรีอาริยเมตไตย ฝ่ายมหาชนทั้งหลายครั้รได้ฟังคำบอกเล่าของพระเถระก็ตั้งหน้ามุ่งมั่นในการทำบุญกุศลมากขึ้นเป็นทวีคูณ ครั้นสิ้นบุญก็ได้ไปกำเนิดในสวรรค์โดยทั่วกันแล

    <CENTER>[color=darkgold,direction=-35);]ปัจฉิมบทส่งท้าย
    นายมานพเข็ญใจไปเกิดเป็นเทวดา
    [/color]
    </CENTER>

    ครั้นเมื่อมานพเข็ญใจถวายดอกบัวแปดดอกแก่พระมาลัยเมื่อกลับไปถึงบ้าน เขานั้นก็ล้มป่วยเป็นไข้อันหนักเมื่อรู้ตัวว่าจักไม่รอดจากเงื้อมหัตถ์ของพระยามัจจุราช เขานั้นพลันรำลึกถึงดอกบัวที่เขานั้นได้ถวายแก่พระมาลัยเถระเจ้าก็เฝ้าปลื้มปีติยินดีในผลทานครั้งนี้จนสิ้นใจ [​IMG] ในที่สุดก็ได้ไปอุบัติในสวรรค์ชั้นดาวดึงสาพิภพเป็นเทพบุตรมีปราสาทอันประดับด้วยดอกบัวหลังใหญ่มีนางฟ้าเป็นบริวารจำนวนมาก ปราสาทนี้สร้างด้วยแก้วเจ็ดประการงามตระการเลิศเป็นยิ่งนัก ครั้นเมื่อเทพบุตรนี้เยื้องยักก้าวเท้าไปทางใดไม่ว่านอกในของปราสาท ก็ปรากฏดอกบัวทิพย์อันพิลาศผุดขึ้นมารองรับเท้าของเขานั้นทุกก้าวไป กลิ่นกายเขานั้นไซร้หอมฟุ้งจรุงใจไปทั่วทั้งสวรรค์อันเหมือนกลิ่นของดอกบัว

    ชาวสวรรค์ถ้วนทั่วต่างก็ประหลาดใจด้วยเมื่อวานนี้ไซร้ไม่ปรากฏเหตุประหลาดจึงพากันยกขบวนไปหาท้าวสักกบดีเทวราชผู้เป็นใหญ่ให้วินิจฉัยถึงสาเหตุ ครั้นท้าวเธอทราบมูลเหตุจึงเสด็จออกไปหาเทพยดาที่จุติใหม่ ถามไถ่ถึงที่มาของกลิ่นเทพบุตรจึงบอกความนัยจนหมดสิ้นว่าเกิดจากการถวายดอกบัวแด่พระมาลัยเถระเจ้า ครั้นชาวสวรรค์ทราบก็ชอบใจพากันเก็บดอกบัวในสระสวรรค์ไปถวายพระเจดีย์จุฬามณีทุกวัน เทพบุตรองค์นั้นก็ได้ชื่อว่า อุบลเทวบุตร ด้วยมูลเหตุแห่งการถวายดอกบัวดังนี้แล.....

    *.*คุยกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนจบเรื่อง....^.^

    จะเห็นได้ว่ามูลเหตุแห่งการฟังเทศมหาชาตินั้นมีที่มาจากเรื่องพระมาลัย และในการมัดตราสังศพก็นิยมใส่ดอกบัวหรือกรวยดอกไม้เพื่อให้คนตายนำไปไหว้พระจุฬามณี และชาวพุทธรุ่นเก่าที่นิยมชมชอบอธิษฐานว่าขอให้ได้ไปเกิดในพระศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตยก็เพราะหวังในความสะดวกสบาย แต่ในสมัยนี้หาเด็กวัยรุ่นรู้จักพระศรีอารีย์ ฯ น้อยเต็มที พื้นฐานประเพณีของคนไทยมีผูกไว้กับวรรณคดีทางพุทธศาสนาคือ ไตรภูมิพระร่วง พระมาลัย พระเวสสันดรชาดก และรามเกียรติ์เป็นหลักใหญ่ แต่ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่นั้นไม่ค่อยสนใจเพราะเห็นว่าเหลวไหลไร้สาระ ด้วยประสบการณ์ที่เคยสอนเด็ก ๆ มาก็ไม่มีเด็กคนใดให้ความสนใจสู้พวกนักร้อง นางแบบดารา ภาพยนตร์ฝรั่งมังค่าไม่ได้น่าอนาถเต็มทีเหนื่อยใจครับ ขอบ่นนิดๆคงไม่ว่ากันนะครับ

    <CENTER>** จากคุณหนอนหนังสือ**</CENTER>

    <TBODY></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...