พระยอดขุนพลเพชรกลับ ครูบากฤษดา และ เบี้ยแก้ รอยมือ รอยเท้า หลวงพ่อทรง

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย G.sis.t, 15 กรกฎาคม 2013.

  1. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    เบี้ยแก้ หลวงพ่อทรง วัดศาลาดิน

    รายการนี้ทุกๆท่านรู้จักกันดีนะครับ สำหรับพุทธคุณ หรือ อิทธิคุณ ในเบี้ยแก้ของหลวงพ่อทรง เป็นที่ทราบกันดีว่า ใช้ได้ 108 ทั้งรุก และทั้งรับ ในการกระทำใดๆก็ตามครับ แล้วแต่ปัญญาของผู้ใช้จะพลิกแพลงกันไป และ สำหรับของสิ่งนี้ ก็มักจะไม่ทำให้ผิดหวังนะครับ

    ประสบการณ์ที่เด่นๆที่ผมเคยใช้คือ เรียกเงิน เรียกทอง กันของ แก้ปวด โดยเฉพาะ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเอว นี้ เบี้ยหวงพ่อทรงท่านใช้แทนหมอได้เลยครับ และ ยังดูดพิษ กันสัวต์มีพิษ ทั้งตะขาบ งู แมงป่อง ฯลฯ

    อ่อ เบี้ยนี้เป็นกายสิทธิ์นะครับ มีตัวมีตน และสั่นได้นะครับถ้าเตือนภัย เคยเจอกับตัวเองมาหลายครั้งมาก ป้องกันได้ทุกอย่าง พกติดตัว มีโชคมีลาภ และปลอดภัยครับ แล้วแต่จะใช้ตามปัญญาครับผม

    สำหรับเบี้ยตัวนี้ แท้รับประกัน ชันโรงแท้ เบี้ยแท้ แผ่นปิดมีลายมือ เล่นได้ ดูได้ รับประกันครับ และมีโค้ต ท หยดน้ำนะครับ(แต่ต้องตัดข้ามไปเพราะยังไม่ทำลาย) อย่างไรก็ดูสีของชัน และลายมือ ออกครับ ทั้งที่มาที่ไปก็ดีมาก เชื่อถือได้ เบี้ยตัวนี้เดิมเป็นของผู้ที่เคยไปวัด และไปบ่อยมาๆมากๆครับ เชื่อใจ และ ที่มาที่ไปดีมากครับ รับประกันแท้แน่นอนครับ

    แบ่งบูชาที่ 5,500 ครับ



    ทุกรายการติดต่อโทร 089 793 2434 ครับ
    รายละเอียดการโอนเงินแจ้งทางพีเอ็ม หรือทางข้อความโทรศัพท์ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2013
  2. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    พระลักษณ์หน้าทอง เนื้อผง หลวงพ่อเงิน วัดเกาะแก้ว

    หลวงพ่อเงิน กตสาโร วัดเกาะแก้ว อ.ดงเจริญ จ.พิจิตร เป็นพระเกจิที่ทรงอาคมขลังที่สุดของพิจิตรในขณะนี้ เพราะท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเขียน แห่งสำนักขุนเณร พระอรหันต์วาจาศิต ผู้มีฤทธิ์อภิญญายอดยิ่ง หลวงพ่อเขียนรักมาก บวชให้ สอนวิชาให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีบิดบังอำพราง จนหลวงพ่อเขียนท่านบอกก่อนมรณภาพว่า “ต่อไปท่านเงิน เขาจะแทนหลวงพ่อน่อ” เพราะเมื่อหลวงพ่อเขียนชราภาพมาก ท่านสั่งให้หลวงพ่อเงินทำแทนทุกอย่าง ทั้งเสกน้ำมนต์ อาบน้ำมนต์ ช่วยทำตะกรุด ทำผ้ายนต์ เรียกได้ว่า ท่านเป็นแขนขวาของหลวงพ่อเขียนเลยทีเดียว

    อีกทั้งท่านยังเรียนวิชาสำคัญของหลวงพ่อทบ เทพเจ้ายอดคงกระพัน มหาอุตต์หยุดลูกปืน แห่งชนแดนเมืองมะขามหวาน เพชรบูรณ์ จนสามารถเสกซังข้าวโพดให้เพื่อนลองยิง จนปืนแตกมาแล้ว ด้วยความที่หลวงพ่อเงิน สมัยเป็นหนุ่มมุ่งเจริญกสินมาก หลวงพ่อทบ จึงฝากพระมาเตือนหลวงพ่อเงินว่า อย่าเล่นกสินมากนัก แก่ไปตาจะไม่เห็นรุ่งเหมือนท่าน มาวันนี้ด้วยวัย 83 ปี แม้ตานอกจะไม่เห็นรุ่ง เหมือนกับคำหลวงพ่อทบพยากรณ์ไว้ แต่ตาในกลับใสสะอาด สว่าง ผนวกกับพลังจิตอันอัศจรรย์ของหลวงพ่อเงิน กลับทำให้ท่านกลายเป็นที่พึงของศิษย์ที่ไกล และใกล้ เป็นผู้บันดาลโชคลาภ ร่ำรวย มั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ให้แก่ลูกศิษย์

    พระลักษณ์หน้าทอง ที่สร้างจากทองกลางหน้าผากพระลักษณ์ แรงและทรงพลังทางด้านเมตตามหาเสน่ห์อย่างสูงสุด ผสมกับผงวิเศษทางมหาเสน่ห์ มหาเมตตา จึงมีพุทธคุณในด้านมหาเสน่ห์ มหาเมตตาอย่างแรง สุดจะต้านทานได้ เป็นที่รักใคร่ของชาย หญิงทั่วไป และที่เราหมายปอง เข้าไปที่ไหนมีแต่คนรักใคร่ เมตตาเราหมด ไม่มีใคร อยากเป็นศัตรูกับเรา หรือคิดอิจฉา ริษยา มีแต่คนเมตตา รักใคร อยากให้ความช่วยเหลืออุปถัมภ์ค้ำชู ติดตาตรึงใจอยู่เสมอ อยู่เหนือใจคนทั่วไป


    มาพร้อมกล่องเดิมๆเลยครับ

    ราคา 1350 ครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    หลวงพ่อคง สุวัณโณ วัดวังสรรพรส ต.บ่อ อ.ขลุง จ.จันทบุรี ที่ได้รับสมญานามว่า "เทพเจ้าแห่งเขาสมิง"

    "หลวงพ่อคง" เป็นชาวหมู่บ้านตาพราย ต.สะตอ อ.เขาสมิง จ.ตราด (เขตติดต่อต.วังสรรพรส อ.ขลุง จ.จันทบุรี) เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 20 ก.ย. 2445 โยมบิดาชื่อ นายส้อง โยมมารดาชื่อ นางโอง นามสกุล "ฑีฆายุ"
    ท่านเป็นบุตรคนหัวปี มีพี่น้องชายหญิงอีก 11 คน ครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรม วัยเด็กเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัดชมพูทราย จบชั้นประถมปีที่ 3 เมื่อพ.ศ.2462 และช่วยทางบ้านหาสมุนไพรของป่าออกมาขาย เมื่ออายุ 21 ปี เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดชมพูทราย อ.เขาสมิง จ.ตราด มีพระอธิการผูก วัดสลัก จ.ตราด เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาธรรมว่า "สุวัณโณ" แปลว่า "ผู้มีผิวพรรณงามดุจทองคำ" หลังจากบวชแล้วได้ขยันหมั่นเพียรเล่าเรียนพระธรรมวินัย พระไตรปิฎก ประเพณีทางศาสนา 12 เดือน ตลอดจนวิชาไสยศาสตร์โบราณต่างๆ ที่ตกทอดกันมาจากครูบาอาจารย์ชาวเขมร และจากพระภิกษุผู้คงแก่เรียนชาวพื้นบ้าน
    ปีพ.ศ.2500 ชื่อเสียงของท่านเริ่มเป็นที่รู้จักกันทั่วไป พิธีพุทธาภิเษกต่างๆ จะต้องนิมนต์ไปร่วมนั่งปรกแทบทุกงาน ปีพ.ศ.2503 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดวังสรรพรส อ.ขลุง จ.จันทบุรี พ.ศ.2513 รับตำแหน่งพระอธิการ พ.ศ.2522 รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโทที่ "พระครูอาคมวิสุทธิ์" วันที่ 25 ก.ย. 2532 เวลาเช้าประมาณ 10.15 น. ท่านได้ถึงแก่มรณภาพด้วยความทรุดโทรมแห่งสังขาร สิริอายุได้ 87 ปี พรรษาที่ 67

    หลวงพ่อคงนั้นนับเป็นผู้คงแก่เรียนรูปหนึ่ง โดยมีครูบาอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้มากมาย ทั้งพระสงฆ์และฆราวาส หลวงปู่จง ปู่แท้ๆ ของท่าน, หลวงพ่อเม วัดมาบไผ่, หลวงพ่ออุก-หลวงพ่อเจาะ วัดโปร่งเซ็น, หลวงพ่ออ่ำ วัดสะตอน้อย, หลวงพ่อหริ่ง พ่อครูเต๋า ฆราวาสจอมคาถา, พ่อครูตาสด ฆราวาสจอมขมังเวท, หลวงคีรีเขตต์ ตาแท้ๆ ของท่าน รับราชการดูแลหัวเมืองตราด-จันทบุรี ผู้มีคาถาอาคมขลัง วิชาที่ได้ร่ำเรียนมีหลายแขนง ทั้งคาถาหัวใจ 108 คาถาคงกระพันชาตรีต่างๆ การเขียนอักขระเลขยันต์ภาษาขอม การเขียนลบผงอิทธิเจ ปถมัง การปลุกเสกเครื่องรางของขลัง วิชาแพทย์แผนโบราณ วิชาการหาสมุนไพรของป่า การหาว่านคงกระพัน การสักยันต์ วิชาย่นระยะทาง การเดินจงกรม และการฝึกจิตฝึกสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน เข้านิโรธสมาบัติ ซึ่งปฏิบัติไปตามขั้นตอนตามที่พระอาจารย์หลายรูปได้สั่งสอนมา รวมทั้งสุดยอดวิชา "เสือสมิง" ซึ่งเป็นวิชาหนึ่งที่ชาวบ้านป่านิยมเรียนกัน เพื่อให้เข้าป่าโดยปลอดภัย


    เหรียญนี้สวยมากครับ ราคาไม่แรง สนใจพีเอ็มสอบถามได้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    รูปเหมือนนั่งเสือหลังฝังข้าวสารดำ หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส

    ข้อมูลประวัติ เกิด วันที่ 20 กันยายน 2445 เดิมชื่อ คง ฑีฆายุ บิดาชื่อ นายส้อง มารดาชื่อนางโอง อุปสมบทครั้งแรก พ.ศ.๒๔๖๖ อายุได้ ๒๑ ปี อุปสมบทครั้งที่ ๒ เมื่อวันอังคารที่ ๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๗ ขณะอายุได้ ๓๒ ปี ณ วัดชมพูราย จ.ตราด โดยมี พระอธิการผูก วัดสลัก เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "สุวณฺโณ"

    ท่านได้ศึกษาธรรมะและวิชาคาถาอาคมขลัง อักขระเลขยันต์จากโยมตาชื่อ หลวงคีรีเขตุ ซึ่งเป็นผู้มีวิชาทางคงกระพันเป็นเลิศ ตลอดจนพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่าน อาทิ หลวงพ่อเม วัดมาบไผ่ ต.มาบไพ อ.ขลุง จ.จันทบุรี (หลวงพ่อเม ท่านมีวิชาขนาดเหาะเหินเดินอากาศได้ครับ), หลวงพ่ออ่ำ วัดสะตอน้อย ต.ตกพรม อ.ขลุง จ.จันทบุรี ,หลวงพ่ออุก หลวงพ่อเจาะ วัดโป่งโรงเซ็น ต.โป่งโรงเซ็น อ.มะขาม จ.จันทบุรี ,หลวงปู่วง (ปู่ของท่าน) ,หลวงพ่อหริ่ง ,ครูเต๋า ,และครูตาสด ฯลฯ

    วิชาที่ได้ร่ำเรียนมีหลายแขนง ทั้งคาถาหัวใจ 108 คาถาคงกระพันชาตรีต่างๆ การเขียนอักขระเลขยันต์ภาษาขอม การเขียนลบผงอิทธิเจ ปถมัง การปลุกเสกเครื่องรางของขลัง วิชาแพทย์แผนโบราณ วิชาการหาสมุนไพรของป่า การหาว่านคงกระพัน การสักยันต์ วิชาย่นระยะทาง การเดินจงกรม และการฝึกจิตฝึกสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน เข้านิโรธสมาบัติ ซึ่งปฏิบัติไปตามขั้นตอนตามที่พระอาจารย์หลายรูปได้สั่งสอนมา โดยหลวงพ่อคงได้ออกเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ ตลอดจนข้ามไปทางฝั่งประเทศพม่า กัมพูชา เพื่อฝึกฝนวิชาที่ท่านได้ร่ำเรียนมา โดยเฉพาะวิชา เสือสมิง ท่านมีความเชี่ยวชาญชำนาญเป็นพิเศษ ดังจะเห็นได้ว่า วัตถุมงคลของท่านแทบทุกรุ่น จะต้องมีรูปเสือสมิง ปรากฏอยู่ด้วย

    หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส นั้นท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ร่วมสมัย หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ท่านอาจจะอายุน้อยกว่าแต่เรื่องอาคมนั้นท่านไม่เป็นรองใคร ท่านได้รับไปร่วมพิธีพุทธาภิเษก ในพิธีใหญ่ๆ พร้อมๆกับเกจิร่วมสมัยอยู่หลายครั้ง พระเครื่องของท่านนั้น เด่นทั้งด้านเมตตามหานิยม และ คงกระพันชาตรี


    หลวงพ่อคงมีจริยาวัตรงดงามมาก บุคคลต่างๆ รวมทั้งลูกศิษย์ลูกหาจากทั่วประเทศเดินทางมากราบไหว้ท่าน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หลวงพ่อคงใจดี มีเมตตา ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนมาโดยตลอด ไม่ลำเอียง ใครเจ็บป่วยมาหาท่าน ท่านจะเมตตาช่วยเหลือตลอดทุกคนเสมอไป หลวงพ่อคงมีแต่ให้กับให้ ใครมาขออะไรก็ให้ทั้งนั้น แม้กระทั่งเงินและวัตถุมงคล ตลอดระยะเวลาในการอุปสมบทของท่าน ท่านได้ปฏิบัติตามกฏของสงฆ์อย่างเคร่งครัดมีการครองผ้าสวดมนต์ ทำวัตรเช้า เย็น ตลอดมามิได้ขาด จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูอาคมวิสุทธิ์ ซึ่งแปลว่า พระผู้ซึ่งมีอาคมขลังเป็นที่สุด

    หลวงพ่อคงได้อนุญาตให้ลูกศิษย์สร้างวัตถุมงคลทั้งที่เป็นประเภท เหรียญ รูปหล่อ และพระเนื้อผง มากมายหลายสิบรุ่น ส่วนวัตถุมงคลประเภทเครื่องราง
    อาทิ ผ้ายันต์ ตะกรุด รวมทั้งปลัดขิก และเขี้ยวเสือต่างๆ หลวงพ่อคงได้สร้างเองก็มีหลายแบบ ล้วนแล้วต่างมีประสบการณ์มากมายและส่วนมากวัตถุมงคลของท่านจะทำการปลุกเสกเดี่ยวจนครบไตรมาส จึงจะเอามาออกแจกใครได้รับต่างก็หวงแหน

    ปลายชีวิตหลวงพ่อคง ในช่วงท้ายของชีวิตหลวงพ่อคงได้อาพาธเป็นไข้หวัดใหญ่ และปอดบวม มีโรคแทรกซ้อน เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2532 ลูกศิษย์ได้ส่งหลวงพ่อคงไปรักษาที่ รพ.ตากสิน จันทบุรี จนพอทุเลา ท่านก็ขอกลับมาที่วัดวังสรรพรส และต่อมาอีกไม่กี่วัน ท่านก็ได้จากพวกเราไปอย่างสงบ ณ วัดวังสรรพรส ในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2532 เวลา 10.15 น.รวมสิริอายุได้ 87ปี พรรษาที่ 55 ก่อนที่จะท่านมรณะภาพ หลวงพ่อคง สุวณฺโณได้ปรารถ กับศิษยานุศิษย์ว่า ให้เก็บร่างท่านไว้ มิฉะนั้นต่อไปจะไม่มีคนมาวัด

    หลังจากทีท่านมรณภาพไปแล้ว เล็บมือ เล็บเท้า เส้นเกศาของท่านจะยาวออกมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

    สำหรับ หลวงพ่อคง รูปเหมือนนั่งเสือหลังฝังข้าวสารดำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบารมีอำนาจ ที่จะช่วยส่งผลในด้านความอุดมสมบูรณ์ ความมีโชคลาภแก่ผู้นำมาบูชา ซื่งจะพบว่าเกจิดังในยุคที่เข้าใจศาสตร์ศิลป์ของความศักดิ์สิทธิ์ข้าวสารดำ ก็จะใช้พลังอำนาจที่มีอยู่ในวัตถุนั้นประกอบกับผงพุทธคุณและพุทธมนต์ต่างๆ อาทิเช่น พระหลวงปู่ทวด พระของหลวงพ่อทบ หลวงพ่อกวย หลวงปู่คร่ำ เป็นต้น


    พุทธคุณแรงมากๆเด่นด้านมหาอำนาจ สะกดคน เป็นมหาจังงัง ละลวย ครับ องค์นี้พิเศษ เห็นเกษาชัดๆๆๆๆ ครับ

    บูชา 1,000 ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    พระปิดตายันต์กลับ เนื้อผง อายุครบ 88 ปี หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน จ.นนทบุรี จัดสร้าง ปี พ.ศ.2545 มีขนาดสูง 2.7 x 2.2 ซ.ม. ฝังตะกรุด ตอกโค๊ตใต้ฐาน สภาพสวยสมบูรณ์ มาพร้อมกล่องเดิมจากวัด

    หลวงปู่แย้ม ปิยวณฺโณ (พระครูปิยนนทคุณ) เจ้าอาวาสวัดตะเคียน ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เจ้าของตำนาน ตะกรุดคอหมา อันโด่งดัง โดยมีที่มาจากหลวงปู่แย้มท่านเป็นคนที่มีเมตตาต่อสรรพสัตว์สูง ท่านได้เลี้ยงหมาไว้หลายตัว บางครั้งหมาที่ท่านเลี้ยงไว้อาจไปทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านใกล้ๆ วัดบ้าง ทำให้หมาของท่านถูกทำร้ายด้วยการปาก้อนหิน หรือรุนแรงจนถึงขั้นใช้ปืน ใช้มีดดาบทำร้าย ทำให้หมาบางตัวได้รับความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก

    ครั้นหลวงปู่จะไปห้ามโยมไม่ให้ตีหมา ทำร้ายหมา ก็คงไม่เป็นผลอะไร คิดดังนั้นแล้ว จึงจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำตะกรุด ด้วยพิธีกรรมที่ไม่เหมือนใคร คือ ท่านจารตะกรุดในน้ำ ด้วยสมาธิจิตอันแน่วแน่ของท่าน เมื่อทำเสร็จแล้วจึงนำไปผูกคอหมาที่ท่านเลี้ยงไว้จนครบทุกตัว หลังจากนั้น หมาของท่านก็ไม่เคยได้รับความรุนแรงใดๆ อีกเลย ทำให้ชาวบ้านแถวนั้นเกิดความสงสัย ก็สอบถามกันไปสอบถามกันมาได้ความว่า หลวงปู่แย้มได้ผูกตะกรุดวิเศษไว้ที่คอหมาทุกตัว ตะกรุดคอหมาก็เลยทำให้บรรดานักเลงแถวนั้นเกิดอยากลองของ ว่าจะแน่สักแค่ไหน ก็นำปืนมาลองยิงหมาดู ปรากฏว่าปืนแตก จึงเป็นเหตุให้เกิดความฮือฮาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คนที่ต้องการตะกรุดแบบเร็วๆ ก็แย่งเอาที่คอหมา คนที่มีศีลธรรมดีหน่อยก็ไปบอกกล่าวขอจากหลวงปู่เอง กิตติศัพท์ของหลวงปู่ก็กระฉ่อนแต่นั้นมา จนชาวบ้านเรียกขานท่านว่า "ปู่แย้ม ตะกรุดคอหมา"

    การดำน้ำเพื่อจารตะกรุด ตะกรุดคอหมา ยันต์ที่จารมีตัวเดียว คือ "ยันต์มหาเบา" เป็นตำราจาก หลวงพ่อสาย วัดหนองสองห้อง กับ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อุปเท่ห์การใช้ ตะกรุด หลวงพ่อแย้ม นอกจากข้อห้ามเรื่องด่าพ่อด่าแม่แล้ว สมัยก่อนยังห้ามลอดราวตากผ้า แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยถือกันแล้ว เพราะบ้านยังมีการปลูกกันเป็นหลายๆ ชั้น อันนี้ยกเว้นไปได้ สิ่งสำคัญ คือ อย่าทำความชั่ว และอย่าไปด่าพ่อด่าแม่เขา ไม่เช่นนั้นความขลังของตะกรุดจะเสื่อมทันที และไม่คุ้มครอง

    พุทธคุณของยันต์มหาเบา นั้น มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ทหารที่ออกทัพจับศึก รวมทั้งเสือร้ายที่ออกปล้นชาวบ้าน เมื่อถึงคราวเกิดเหตุจวนตัว จะใช้หัวแม่เท้าจิกลงบนพระแม่ธรณี (พื้นดิน) แล้วเขียนเป็นวงกลม เป็นยันต์มหาสูญ ระหว่างที่เขียนก็บริกรรมคาถามหาอุด (อุดธังอัดโท หรือ โทอุดธังอัด) แล้วตามด้วยคาถาหัวใจพระแม่ธรณี (เม กะ มุ อุ) หากมีจิตที่เข้มแข็ง และสงบนิ่ง เท่านี้ก็สามารถแคล้วคลาดจากอาวุธของศัตรูได้


    องค์นี้มีกล่องเดิมๆเลยครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    ชุดสุดคุ้ม สาม ตะกรุด หนึ่งเบี้ยแก้ และแบงค์โภคทรัพย์

    เริ่มด้วยตะกรุดทั้งสามดอก ประกอบไปด้วย
    ๑.ตะกรุดเจ้าเงาะ เน้นเรื่องการหาเงิน หาทองเข้ามา เจ้าเงาะนี้สำเร็จวิชาเรียกเนื้อเรียกปลา มีกินไม่วันหมด มิหนำซ้ำยังมีเสน่ห์กับนางรจนา อีกด้วย ตะกรุดนี้ทำยากพอสมควร เนื่องจากมีเคล็ดหลายๆอย่างครับ
    ๒.ตะกรุดจินดามณี มหามนต์แห่งโภคทรัพย์ครับ เป็นยอดมหายันต์แห่งโภคทรัพย์ครับ มีไว้เงินไหลเข้าและเก็บรักษาเงินไว้ได้ ยันต์นี้ทำยากมากครับ ต้องหาฤกษ์ยาม กว่าจะเสกและอัดพลังเข้าไป
    ๓.ตะกรุดแมงวันคำ สุดยอดแห่งวิชาพิศดารล้ำลึก ทำให้เกิดตำนานตบ ๓ ทีรู้เรื่องครับ ขันครูแปลกมากครับ วิชาแมงวันคำเป็นวิชาทางเสน่ห์ชั้นสูง ที่คนศึกษาศาสตร์ล้านนาต้องรู้จักครับ ไปที่ไหนรู้เรื่องที่นั่นครับ

    รายการต่อมาเป็นเบี้ยแก้รุ่นแรก ตัวจริงเสียงจริง หายากหาเย็นครับรุ่นนี้
    บี้ยแก้ พระอาจารย์พรสิทธิ์ วัดสว่างอารมณ์
    เริ่มต้นจากความที่ตะกรุดกันสะท้อนของท่านเป็นที่ต้องการของลูกศิษย์และผู้เคารพศรัทธาอย่างมาก ผมจึงอยากได้เบี้ยแก้ที่เสกโดยท่านบ้าง จึงได้จัดหาวัสดุถวายและเหมือนเดิมผมก็ขอท่านทำเผื่อให้ผู้ที่ศรัทธาในท่านและท่านที่ชื่นชอบเบี้ยแก้ได้มีไว้ครอบครองด้วย จึงสำเร็จเป็นเบี้ยแก้มาให้ทุกท่านได้บูชากัน

    เบี้ยแก้ชุดนี้ ใช้หอยเบี้ยแก้ขนาดยาว 3 ซ.ม. บรรจุปรอท 1 บาท อุดด้วยชันโรงจารอักขระ ฝังตะกรุดคู่ พระอาจารย์กล่าวไว้ว่า "อาจารย์จะเสกให้เต็มที่เลย"

    - ปรอทที่บรรจุ ผสมหัวเชื้อปรอทเบี้ยครูหลวงพ่อทรงและหัวเชื้อปรอทเบี้ยแก้วัดโพธิผักไห่ (เสกกันมาหลายพิธีหลายครา)
    - บนชันโรง พระอาจารย์จารหัวใจพระคาถาแก้ของ
    - พระอาจารย์เสก 3 ครั้ง
    ....+ ครั้งแรกเสกใน เพชฌฆาตฤกษ์
    ....+ อีกสองครั้งเสกใน ภูมิปาโลฤกษ์
    - ครั้งสุดท้ายที่เสก ท่านเสกครอบจักรวาล
    - นอกนั้นท่านใช้วิธีสวดมนต์ให้
    - เบี้ยแก้นี้ดีทางคงกระพัน คลาดแคล้วด้วย
    - ห้ามต่ำกว่าเอว

    รายการสุดท้าย
    รายการสุดท้าย แบงค์มหาโภคทรัพย์ เป็นแบงค์ที่ท่านตั้งใจจารให้เด่นด้านเรียกเงินเรียกทอง ข้าวของมากมายครับ หายาก ออกให้บูชาสมัยท่านเปิดตัวใหม่ๆ

    หลังไมค์สอบถามนะครับไม่แพงจริงๆครับชุดนี้ นานๆมาทีคุ้มมากครับ

    อ้างอิงข้อมูลจากกระทู้ ของพี่ NR ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    เหรียญพุทธนิมิต ที่จัดสร้างโดย อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร

    อาจารย์เทพ สาริกบุตร เกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2462 และถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2536 สิริรวมอายุ 74 ปี ท่านได้ศึกษาเวทยศาสตร์และโหราศาสตร์มาอย่างเอกอุ ทั้งจากญาติผู้ใหญ่ที่สืบสายพุทธาคมและโหราศาสตร์ กับเกจิอาจารย์ และปรมาจารย์ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันดี อาทิ สายหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่สี วัดมณีชลขันธ์ หลวงปู่ผาด และหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว โดยเฉพาะเจ้าคุณศรี(สนธ์) วัดสุทัศน์ ที่นับได้ว่าเป็นศิษย์รักของท่านเจ้าคุณศรี(สนธ์)เลยทีเดียว นอกจากนั้นท่านยังได้ศึกษาเพิ่มเติมจากสำนักวัดประดู่ทรงธรรม อยุธยา จึงเป็นเหตุให้ได้พบปะแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับ หลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราช หลวงปู่อั้น วัดพระญาติการาม และยังได้แลกเปลี่ยนวิชา กับหลวงปู่รอด วัดวังน้ำวน และที่สำคัญคือท่านเป็นสหธรรมิกกับ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี และหลวงพ่อทองอยู่ วัดหนองพะองค์ ซึ่งได้ร่วมปลุกเสกเหรียญพุทธนิมิต และเหรียญรายณ์แปลงรูปนี้ด้วย

    อาจารย์เทพเชียวชาญในพิธีกรรมและฤกษ์ยามมาก จึงได้รับเชิญเป็นเจ้าพิธีในการจัดสร้าง และกำหนดฤกษ์ยาม ในการจัดสร้างวัตถุมงคลต่างๆมากมาย ซึ่งล้วนแต่โด่งดังข้ามฟ้าข้ามภพ อาทิ เป็นเจ้าพิธี พิธีจักรพรรดิพุทธาภิเษก ปี 2515 พิษณุโลก (นเรศวร) พิธีกริ่งจอมสุรินทร์ พิธีกริ่งเอกาทศรถ พิธีกริ่งจิตคุตโต(หลวงปู่ผาง) แต่ที่น้อยคนจะนึกถึง ก็คือการให้ฤกษ์จุดเทียนชัยของหลวงปู่ทิม ชุดพระกริ่งชินบัญชร อันลือลั่นสนั่นวงการพุทธศาสตร์ นอกจากนั้นก่อนหน้านี้ ท่านก็ได้สร้างพระเครื่องบางอย่างบางชนิด ทั้งเมื่อบวชอยู่ที่วัดปรินายก ก็โด่งดังเป็นนิรันดร์มาจนบัดนี้ อาทิ กริ่งวัดปรินายก กริ่งปวเรศน้อย วัดช่องลม กริ่งนวโกฎิ เหรียญพุทธนิมิต ได้จัดสร้างขึ้นเมื่อปี 2521 พุทธาภิเษกในปี 2522 จำนวนการจัดสร้างเพียง 2 พันเหรียญ ท่านได้ปลุกเสกเดี่ยวเป็นเวลานาน และได้จัดพิธีพุทธาภิเษกที่วัดตะเคียน(มหาพฤฒาราม) โดยมีหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี หลวงพ่อทองอยู่ วัดหนองพะองค์ ร่วมปลุกเสก เนื้อหาของเหรียญ เป็นทองแดงผสมด้วยชนวนศักดิ์สิทธิ์มากมาย ที่อาจารย์เทพ ได้ไปเป็นเจ้าพิธีต่างๆ ซึ่งท่านเก็บสะสมไว้ แล้วนำมาหล่อหลอมขึ้นใหม่ หากมองเพียงผิวเผิน บางท่านอาจจะเห็นว่ากระดำกระด่าง แต่ในสายตาของนักนิยมสะสมพระเครื่องย่อมทราบดีว่า นี่ เนื้อหาแทบจะเทียบชั้นนวะโลหะแล้ว ที่เห็นเป็นริ้วเนื้อดำนั้น ล้วนเป็นชนวนนวะชั้นดีทั้งสิ้น ความจัดจ้านของเนื้อหาจึงปรากฎ และแล้วสรรพศาสตร์ความรู้แห่งพระเวทย์มนตรา ดาราศาสตร์ ฤกษ์ผานาทีที่อุดม ก็ได้ถูกรังสรรค์ขึ้นเป็นองค์พระ “พุทธนิมิต” อันน่าอัศจรรย์ ด้วยเพียงกระดูกยันต์และอักขระเลขยันต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ จึ่งกลายเป็นองค์พระปฎิมาดังปรากฏเป็นเจ้าแรก แล้วบรรจงประดับด้วยพระเวทย์ที่นับถือกันมาแต่โบราณ กล่าวคือ

    ด้านหน้าเหรียญ บรรจงล้อมรอบองค์พระพุทธนิมิตด้วย ยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า(อิติปิโสเรือนเตี้ย) ขอบเหรียญล้อมรอบด้วยยันต์ นะปถมังพินธุ ประดุจครอบแก้ว กำแพงแก้ว กอบกั้น ประดุจดังผู้อาราธนาใช้ ถูกครอบไว้ด้วยมนตราอันศักดิ์สิทธิ์ แผ่ฤทธิ์แห่งความเมตตามหานิยม อุดมลาภยศสรรเสริญ เจริญด้วยอายุวรรณะสุขะพละ และธนสารสมบัติ มีความสงบร่มเย็นเป็นนิรันดร์

    ด้านหลังเหรียญ บรรจงประจุด้วยยันต์ อสิสติ (ยันต์คู่ชีวิต)อันเป็นยันต์แต่โบราณกาล ที่มีค่าควรเมือง กล่าวกันว่า เพียงลงยันต์นี้เสร็จสิ้น แม้ยังมิได้ปลุกเสก ยิงเอาเถิดก็ไม่เกิดผล หลวงพ่ออาคม วัดดาวนิมิต เพชรบูรณ์ ผู้สืบทอดยันต์นี้จากปรมาจารย์รุ่นเก่าในสายบูรพาจารย์ของท่าน ได้ลงตะกรุดด้วยยันต์นี้ แล้วขนานนามตะกรุดว่า “ตะกรุดคู่ชีวิต” หลวงพ่ออาคมได้ออกให้บูชาในราคาดอกละ 5 พันบาท พร้อมทั้งประกาศว่า ท่านผู้ใดที่ได้เช่าหา ตะกรุดคู่ชีวิต ไป แล้วประสบอุบัติเหตุอันใด มีเหตุให้ต้องเสียชีวิตไป(ตายโหง) หลวงพ่อจะรับเป็นเจ้าภาพจัดงานศพให้โดยตลอด เมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้ว เหรียญพุทธนิมิต แม้จะไม่ใหญ่มาก มีขนาดประมาณ 3.5 ซม. กำลังงาม แต่ท่านทราบไหม ว่าบรรจุด้วยอักขระเลขยันต์อันศักดิ์สิทธิ์ถึงประมาณ 300 ตัว รวมหน้าหลัง ที่น่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งก็คือ บางท่านถือว่าเป็นเครื่องราง อย่างหนึ่ง เพราะแม้จะมองเป็นเหรียญพระพุทธ แต่ก็มีข้ออ้างว่า องค์พระพุทธที่ปรากฏให้เห็นนั้น รังสรรค์ขึ้นจากอักขระเลขยันต์ทั้งสิ้น จึงสมกับคำที่ว่า “พุทธนิมิต” เป็นอย่างยิ่ง

    ดังนั้นคาถาที่จะอาราธนาเหรียญนี้ จึงเหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะใช้คาถาที่ปรากฏในตัวเหรียญ เป็นการปลุกเหรียญไปในตัว

    คาถาที่จะอาราธนาเหรียญนี้ จึงเหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะใช้คาถาที่ปรากฏในตัวเหรียญ เป็นการปลุกเหรียญไปในตัว
    อิ ติ ปิ โส วิ เส เส อิ - อิ เส เส พุท ธะ นา เม อิ - อิ เม นา พุท ธะ ตัง โส อิ - อิ โส ตัง พุท ธะ ปิ ติ อิ (มงกุฎพระพุทธเจ้า)
    เหรียญนารายณ์แปลงรูป ต่อมาในปี 2526 อาจารย์เทพ ได้รังสรรค์เหรียญนารายณ์แปลงรูปขึ้นมาอีกเหรียญหนึ่ง ด้วยจำนวนการสร้างที่น้อยนิด เพียง 800 เหรียญ เหรียญนารายณ์แปลงรูป เป็นอีกวิชาหนึ่งของอาจารย์เทพ ที่จะฝากในวงการพระพุทธศาสนา ที่เน้นในทางทำมาหากิน เป็นเมตตามหานิยมอย่างสูง เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ให้เป็นที่นิยมชมชอบ เปลี่ยนแปลงพลิกผันสรรพเรื่องราว สรรพสิ่งไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งชีวิต อาชีพการงาน และสิ่งอวมงคลทั้งหลาย ให้กลายกลับเป็นดี ให้สมกับคำว่า “นารายณ์แปลงรูป” สำหรับเหรียญนารายณ์แปลงรูปนี้ มีวิธีใช้ และคาถาอาราธนากำกับมาแต่เดิม ซึ่งกล่าวไว้ ดังนี้
    คาถาใช้เหรียญนารายณ์แปลงรูป ของอาจารย์เทพ สาริกบุตร
    นะโม 3 จบ เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว จะท่องกี่จบก็ได้ หรือท่องตามกำลังวันได้ยิ่งดี แล้วอธิฐานตามความปรารถนา เมื่อสำเร็จตามที่ปรารถนาแล้ว ควรจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่านด้วย
    ใช้ทำน้ำมนต์ประพรมของค้าขาย หรือทำน้ำมนต์ล้างหน้าให้บังเกิดสง่าราศี เป็นที่รักของคนทั้งหลาย ให้ทำดังนี้ หาน้ำสะอาดมา 1 แก้ว หรือตามจำนวนที่ต้องการวางตรงหน้าพระ ใส่เหรียญลงไป ระลึกถึงคุณพระทั้ง 5 ให้จงดี คือ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ ระลึกถึงอาจารย์เทพเป็นที่สุด (ถ้าศรัทธาครูบาอาจารย์องค์ใด ก็ให้ยึดถือองค์นั้น แล้วเพิ่มอาจารย์เทพเข้าไปด้วย) ตั้งใจให้ดีทำใจให้สงบว่า นะโม 3 จบ อธิษฐานสิ่งที่ต้องการปรารถนา ว่าคาถาดังนี้
    “เตชะสุเนมะ ภูจะนาวิเว มะอะอุสิวังพรหมมาจิตตัง มานิมามา นะพามานะ นะชาลิติ”
    คาถาเสกน้ำล้างหน้า “นะเมตตาจะมหาราชา อะเมตตาจะมหาเสนา อุเมตตาจะมหาชนา สัพพะเสน่ห์หังจะปูชิตัง สัพพะสุขังจะมหาลาภัง สัพพะสิทธิภะวันตุเม” กำลังวันมีดังนี้ จันทร์-15 , อังคาร-8 , พุธ-17 , พฤหัส-19 , ศุกร์-21 , เสาร์-10 , อาทิตย์-6 ,วันราหู(พุธกลางคืน)-12
    ในฐานะที่พวกเรา เป็นนักสะสมนิยมพระเครื่อง ซึ่งแต่ละท่านก็ย่อมมีประสบการที่ยาวนานแตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องตรงกันก็คือ การมุ่งหาพระเครื่องหรือวัตถุมงคล ที่มีพุทธคุณเป็นที่พึ่งได้จริง จึงได้ศึกษาค้นคว้าและแสวงหา ตามความรู้ความสามารถของแต่ละคน จนประจักษ์และเชื่อมั่นแล้ว ก็นำมาบูชาพึ่งพาพุทธคุณ เพื่อความสำเร็จเป็นสุข และเจริญด้วยจตุรพรชัยมงคล

    อ้างอิงข้อมูลมาจากกระทู้พี่หนุ่ม เมืองแกลง ครับ

    ราคาพีเอ็มสอบถามนะครับ
    เหรียญนี้ที่มาที่ไปดีมากครับ และเหรียญจริงสภาพบูชา สวยมากจริงๆ รับรองได้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    รูปหล่อรัตติกาล (นกฮูกนำโชค) เนื้อเงิน

    อุดสีผึ้งเขียว.หลวงพ่อพิณวัดคลองหวายโป่ง จ.ระยอง

    นกฮูกรุ่นแรกของท่านนั้นสุดจะหายาก มีประสบการณ์ มีอภินิหารทั้งเมตตาแคล้วคลาดปลอดถัย ประกอบธุรกิจการงานการค้าขาย เจริญรุ่งเรือง พนันขันแข่ง เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง ลูกน้องรักใคร่ ผู้ใหญ่เมตตา
    มีอยู่ท่านหนึ่งได้มาเล่าให้ลูกศิษย์ของหลวงพ่อฟังว่าเมื่อบูชารูปหล่อรัตติกาลไปแล้ว ยามค่ำคืนนิมิตฝันได้ยินเสียงร้องบอกโชคลาภ ซื้อหวยรวยมาแล้วนะจะบอกให้ ท่านที่ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้ ก็คงมิรู้หรอกไม่อยากจะเล่า เนื้อเงินรุ่นแรก นิยมเล่นหาองค์ละเป็นหมื่นใครมีก็สุดรักสุดหวงเก็บไว้บูชา เนื่องจากจัดสร้างไว้จำนวนน้อยตั้งแต่รุ่นแรก ถึงรุ่นสามก็ล้วนมีผู้นิยมเช่าบูชาเป็นส่วนมาก รุ่นนี้เป็นรุ่นสี่ ล้อพิมพ์รุ่นแรกแต่มีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย
    ชนวนโลหะแต่ละชนิดก็ล้วนมีความหมาย มีคุณค่าสง่างามภายในตัวเองเป็นมงคลโดยแท้

    รายการจัดสร้าง
    ๑. ช่อเนื้สัมฤทธิ์ยอดเงิน ๙ องค์ สร้าง ๒๐ ช่อ
    ๒. เนื้อเงิน สร้าง ๑๐๐ องค์
    ๓. เนื้อนวโลหะ สร้าง ๒๐๐ องค์
    ๔. เนื้อสัมฤทธิ์ผิวขัด สร้าง ๕๓๐ องค์
    วัตถุมงคลตอกโค้ดพร้อมหมายเลขตามลำดับ
    ๕. ผ้ายันต์พัดโบก สร้างตามตำรายันต์โบราณท่านพ่อทาบ สร้าง ๑,๒๐๐ ผืน ปั๊มยันต์พร้อมเลขตามลำดับ

    **ใต้ฐานอุดมวลสารและสีผึ้งท่านพ่อทาบ**

    เครื่องรางรูปหล่อ "รัตติกาล" ฐานอุดสีผึ้งเขียว "ท่านพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง" จัดสร้างปลุกเสกเดี่ยวโดย
    "หลวงพ่อพิณ พรหมวัณโณ" วัดคลองหวายโข่ง จ.ระยอง

    "ท่านพ่อ เข้าลือกันว่า ท่านพ่อทำสีผึ้งได้ขลังมีพุทธคุณในด้านเมตตาเป็นเลิศนั้น ท่านพ่อใช้ฤกษ์มงคลอะไร
    เป็นเคล็ดสำคัญเพื่อจัดสร้างหรือครับ"
    "เราจะบอกให้ แล้วท่านจงจำไว้ให้ดีให้ขึ้นใจนะ เมื่อปี พ.ศ.ใด ฤกษ์เช่นนี้ ท่านจะคิดทำพระหรือเครื่องมงคล
    ต่างๆ เอาไว้เถิด ประเสริฐมากเป็นมงคลดีแท้ ที่เขาลือกันว่า เสาร์ห้า เดือนห้า ขึ้นห้าค่ำ นั้นดีแล้ว ก็ยังไม่อาจ
    ที่จะสู้ฤกษ์มงคลอันนี้ได้เลย" นี่เป็นคำสนทนาถามตอบของหลวงพ่อพิน พรหมวัณโณที่ท่านได้สนทนากับ
    ท่านพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง ในคราวไปขอเรียนตะกรุด เพื่อบอกฤกษ์ในการจัดสร้างวัตถุมงคล ฤกษ์ปลุกเสก
    และในปีะนี้มีฤกษ์ตรงตามที่ท่านพ่อทราบ ได้บอกเอาไว้ หลวงพ่อพิณ พรหมวัณโณ จึงได้จัดสร้างเครื่องราง
    "รูปหล่อรัตติกาล" ก้นอุดผงอาถรรพณ์ดินว่าน ผสมสีผึ้งเขียวของท่านพ่อทาบ อันเป็นสุดยอดสีผึ้งสุดยอด
    ในด้านเมตตาที่ท่านได้รับมาหนึ่งตลับซึ่งก็เป็นที่รู้ๆ กันทั่วไปว่า สีผึ้งเขียวนั้นไม่เคยมีใครจะได้จากท่านมาก
    ท่านจะมอบให้เพียงแค่ "หัวไม้ขีดไฟ" เท่านั้น นับว่าเราท่านโชคดี ที่วันนี้หลวงพ่อพิณ นำสีผึ้งเขียว ที่มีอยู่
    หนึ่งตลับ ซึ่งท่านเก็บมาหลายสิบปีนำมาผสมผงต่างๆ อุดบรรจุไว้ใต้ฐานรูปหล่อ "รัตติกาล" อันมีพุทธานุภาพ
    ต่างต่างมากมายหลายด้าน ****ทั้งเมตตา ปกป้องรักษาคุ้มครองให้พบกับความผาสุขสวัสดี ที่ปีกสองด้าน
    บรรจุคาถาหัวใจพระสิวลีคือ "นะชาลีติ" อันเป็นคาถาในทางโชคลาภอุดมสมบูรณ์ เพราะพระสิวลีเถระเจ้า
    เป็นดุจดังทัพหน้าที่บิณฑบาตรูปเดียวสามารถได้ข้าวปลาอาหาร นำมาเลี้ยงพระรูปอื่นๆ ถึง 500 รูป 1,000 รูป
    พระพุทธเจ้าของเราทรงยกย่องว่าเป็นเลิศในทางลาภมากกว่าพระอรหันต์รูปอื่นๆ สุดที่จะเกินกล่าวคุณวิเศษของท่านได้

    รัตติกาล (นกฮูกนำโชค) หลวงพ่อพิน วัดคลองหวายโป่ง ระยอง
    รัตติกาล คือเครื่องรางมงคลแห่งราตรีกาล
    มีความหมายอันเป็นมงคลในด้านเมตตา โดยเฉพาะผู้ที่อับโชคในด้านความรักอันเป็นมหาเสน่ห์ด้วยสีผึ้งเขียว
    ปกป้องคุ้มครองภัย มีดวงตาอันประกายแสงในยามราตรี ทำมาหากินสุขสมบูรณ์ หากนกฮูกอยู่ ณ ทิศทางใด
    เวลาไหน บริเวณนั้นจะสุขสมบูรณ์อุดมไปด้วยอาหารเป็นแหล่งทรัพย์บริบูรณ์โชคลาภเงินทอง ทำมาค้าขายขึ้น
    เพราะเล็บของรัตติกาลจับติดเกาะติดคือทำอะไรก็ขึ้น ก็ดี มีปัญญาเป็นปราชญ์ ทางความคิดความอ่าน มีความสุข
    เจริญรุ่งเรืองดีแท้

    วัตถุมงคลรัตติกาล ได้อุดผงว่านมงคล 38 ชนิด เช่น ดอกรักซ้อน ดอกกาหลง ดอกเกสรบัวหลวง กฤษณา
    กะลำพักดินไพร ดอกสวาท ใบหิงหายอาถรรพณ์ ใบไม่รู้นอน 7 สิ่ง ดอกชงโค มหาระงับ ว่านเพชรน้อย
    จันทร์ขาว จันทร์แดง ดอกสารภี ทรงบาดาล สะท้านธรณี โขมด พราย นางล้อม เป็นต้น บดผสมรวมกัน
    จึงนำมาอุดไว้ที่ฐานรูปหล่อและบรรจุด้านหลังหน้ากากรัตติกาลช แถมยังได้เพิ่มสีผึ้งเขียวของท่านพ่อทาบ
    ที่บรรจุอยู่ในตลับไม้ที่หลวงพ่อพิน เก็บไว้เป็นชุดสุดท้าย ซึ่งต่อไปจะไม่มีอีกแล้ว หลวงพ่อบอกแบบนั้น

    ราคาพีเอ็มสอบถามครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    เหรียญพระนิพพาน เนื้อทองเหลืองผสมชนวน หลวงปู่บุญศรี วัดใหม่

    สนใจพีเอ็มสอบถามได้ครับ

    ประสบการณ์ พุทธคุณหลายๆท่านที่ได้เข้ามาในกระทู้นี้คงรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วครับ ครบเครื่องหายห่วงครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    เหรียญโภคทรัพย์ หลวงพ่อตัด วัดชายนา เป็นรุ่นโภคทรัพย์โดยหลวงพ่อตัด ปวโร ท่านปลุกเสกตลอดไตรมาส ปี 51 สำหรับการปลุกเสกครั้งสุดท้ายก่อนออกให้บูชา หลวงพ่อตัด ท่านปลุกเสก ในโบสถ์ ช่วงเวลาเย็นๆ พิธีเรียบง่าย น่าศรัทธา

    วัตถุมงคลชุดนี้ จำนวนการสร้างน้อย แกะพิมพ์สวยงาม ตอกโค้ด และหมายเลขกำกับ มีการทำลายบล็อก โดยพระเลขาทำต่อหน้าหลวงพ่อตัดที่กุฏิหลวงพ่อ หลวงพ่อตัดท่านปลุกเสกเดี่ยวนานมากตลอดไตรมาส ออกให้บูชา วันที่ 10 ตุลาคม 2551 ในโอกาสที่หลวงพ่อตัดอายุครบ 77 ปี

    เหรียญโภคทรัพย์ หลวงพ่อตัด วัดชายนา เนื้ออัลปาก้า รุ่นโภคทรัพย์ องค์นี้ตอกโค้ด และหมายเลขกำกับ น่าบูชาเก็บไว้มาก เพราะขณะนี้หายากแล้ว และเป็นพระที่สวยมีเอกลักษณ์มาก เพราะ หน้าแกะได้เหมือนหลวงพ่อตัดท่านมากๆครับ

    มีกล่องเดิม องค์จริงสวยมากครับ

    บูชา 1,000 บาทครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    พ.ศ.2553 หลวงพ่อโฉม มีอายุครบ 72 ปี คณะศิษย์ได้จัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นมารุ่นหนึ่ง เป็น "เหรียญโภคทรัพย์"

    หลวงพ่อโฉม ได้จัดพิธีพุทธาภิเษกอีกครั้ง ตามฤกษ์วันเสาร์ห้า ตรงกับวันที่ 20 มีนาคม 2553 หลังจากปลุกเสกเดี่ยวมาตลอดไตรมาส ซึ่งพระเกจิอาจารย์ ที่เข้าร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสกในถ้ำอันศักดิ์สิทธิ์วัดเขาปฐวี ประกอบด้วย พระราชสุทธิโสภณ (หลวงพ่อประทวน) วัดปากคลองมะขามเฒ่า เจ้าคณะจังหวัดชัยนาท, พระครูอุทิศธรรมรส (หลวงพ่อโฉม) วัดเขาปฐวี เป็นต้น

    เหรียญโภคทรัพย์ เป็นเหรียญปั๊ม เนื้ออัลปาก้า ลักษณะเป็นเหรียญรูปไข่ มีหูห่วง สร้างเพียงจำนวน 7,200 เหรียญ เท่านั้น หลวงพ่อโฉมตั้งใจจัดสร้างขึ้น ในโอกาสอายุครบ 72 ปี ได้ปลุกเสกเดี่ยวและประกอบพิธีพุทธาภิเษกในวันเสาร์ห้า อันเป็นอุดมมงคลฤกษ์สำหรับการสร้างวัตถุมงคล

    ด้านหน้าของเหรียญ มีขอบนูนรูปไข่ ตรงกลางมีรูปนูนต่ำหลวงพ่อโฉมครึ่งองค์ รอบเหรียญมีตัวหนังสือเขียนว่า พระครูอุทิศธรรมรส (หลวงพ่อโฉม ฐิติญาโณ) พ.ศ.๒๕๕๓ อายุ ๗๒ ปี" และเหนือไหล่ขวาของหลวงพ่อโฉม ตอกโค้ด "อุ" 1 ตัว

    ด้านหลังของเหรียญ มีสันขอบ ตรงกลางเป็นรูปยันต์ห้า บรรจุอักขระขอมภายในว่า "นะโมพุทธายะ" มียันต์อุณาโลม 3 ยันต์ กำกับยอดยันต์ห้า และด้านล่างยันต์ห้ามีอักขระขอมเขียนว่า "นะชาลีติ" ถัดลงมาอีกแถวเขียนว่า "โภคทรัพย์" เหนือขอบเหรียญด้านล่าง เขียนว่า "วัดเขาปฐวี ต.ตลุกดู่ อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี"

    เหรียญโภคทรัพย์รุ่นนี้ จัดว่าเป็นเหรียญยอดนิยม ที่มีความคม-สวย พุทธคุณเด่นด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม

    สำหรับ 'หลวงพ่อโฉม ฐิติญาโณ' หรือ 'พระครูอุทิศธรรมรส' พระเกจิชื่อดัง ที่บรรดาคณะศิษยานุ ศิษย์ผู้ใกล้ชิด ต่างเลื่อมใสศรัทธา รวมไปถึงวงการนักนิยมสะสมวัตถุมงคล รู้จักนามพระเกจิอาจารย์เรืองวิท ยาคมแก่กล้า

    ท่านเป็นพระสงฆ์ที่เคร่งครัดและเปี่ยมด้วยคุณธรรม เป็นที่พึ่งของชาวบ้านและสาธุชนโดยทั่วไป มีจิตที่เปี่ยมด้วยเมตตา ธรรมสูง

    หลวงพ่อโฉม มีโอกาสศึกษาวิทยาคมจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังและฆราวาสหลายท่าน อาทิ หลวงปู่ธูป เจ้าอาวาสวัดเขาปฐวี, หลวงพ่อมา วัดมะพร้าวสูง หลวงปู่เภา วัดถ้ำตะโก, หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า, หลวงพ่อแกร วัดส้มเสี้ยว, หลวงพ่อสว่าง วัดคฤหบดี สงฆ์, หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์, หลวงพ่อปุย วัดหนองสระ, หลวงพ่อพลอย วัดห้วยขานาง และพระอาจารย์ขาว จ.พัทลุง ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์สายเขาอ้อด้วย

    ปัจจุบัน หลวงพ่อโฉม สิริอายุ 73 ปี พรรษา 52 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเขาปฐวี ต.ตลุกดู่ อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี

    ข้อมูลจาก ข่าวสดออนไลน์


    เหรียญนี้เนื้อเงิน มีรอยจารของหลวงพ่อโฉม เป็นตัว อุ อยู่ด้านขวา ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    เหรียญรุ่น5 (รุ่น 85มหามงคล) หลวงพ่อฉาบ มังคโล วัดศรีสาคร จ.สิงห์บุรี
    สาเหตุและวาระการสร้างเนื่องด้วยทางคณะกรรมการวัดศรีสาคร ได้ขออนุญาติ หลวงพ่อฉาบ มังคโล วัดศรีสาคร
    ขอจัดสร้างวัตถุมงคล ขึ้นมา หนึ่งรุ่น คือรุ่น 85มหามงคล
    วัตถุประสงค์ในการจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้ ทางคณะกรรมการวัดศรีสาครเห้นว่าทางวัดศรีสาคร
    ยังขาดปัจจัย เพื่อ ตั้งมูลนิธิ หลวงพ่อฉาบ วัดศรีสาคร โดยหลวงพ่อฉาบท่านมีดำริ ว่าจะหาทุนสักก้อนเพื่อ่
    ตั้งเป็นทุนมูลนิธิของวัด เพื่อนำดอกผลมาใช้เป็นทุน ค่าน้ำค่าไฟ และการจัดการต่างๆภายในวัด หรือสิ่งที่
    หลวงพ่อและคณะกรรมการวัดเห็นควรว่าจะนำดอกผลไปเป็นทุนระยะยาวคู่กับวัด และสิ่งต่างๆที่เห็นสมควร

    ประวัติหลวงพ่อฉาบ มังคโล

    ดศรีสาคร ตั้งอยู่เลขที่ 70 หมู่ 8 ตำบลด้นโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัด สิงห์บุรี วัดศรีสาครเป็นวัดเก่าแก่ ถ้าคำนวณอายุการสร้างจากพระประธานในพระอุโบสถ น่าจะเป็นวัดที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา และอาจถูกทิ้งรกร้างมานานเป็นระยะเวลาหนึ่ง ตามประวัติที่ได้ทราบแน่นอนจากหลวงพ่อฉาบนั้น เจ้าอาวาสองค์แรกคือหลวงพ่อศรี ท่านเป็นผู้ก่อสร้างวัด เป็นชาวพุกามไทยใหญ่ หลวงพ่อศรีท่านได้ออกธุดงค์ตามที่ต่างๆ และ อาศัยล่องซุงมาจากทางภาคเหนือ ผ่านมาบริเวณวัดปัจจุบันนี้ เห็นว่าเป็นที่สงบร่มเย็น และเหมาะจะเป็นที่บำเพ็ญเพียรภาวนา ท่านจึงได้แวะพักปักกรดบำเพ็ญเพียรวิปัสสนากรรมฐาน อยู่ต่อมาชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงได้เห็นหลวงพ่อศรี เป็นพระที่ปฏิบัติดี และบำเพ็ญเพียรรอย่างมาก จึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งชาวบ้านได้พร้อมใจกันสร้างเป็นวัดขึ้นมาให้หลวงพ่อศรีได้ปฏิบัติ ตั้งชื่อตามหลวงพ่อศรีว่า วัดขรัวศรี ซึ่งในขณะนั้นได้ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลหมื่นหาญ ขึ้นกับอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ต่อมาวัดได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดศรีสาคร แต่ไม่มีการบันทึกไว้ว่า วัดได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปีพ.ศ.ใด แต่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 29 พฤษจิกายน ปีพ.ศ. 2481 เป็นต้นมา โดยมีเขตวิสุงคาม กว้าง 4 เมตร ยาว 8 เมตร ปัจจุบันมีเนื้อที่ 24 ไร่ 1 งาน 22 ตารางวา

    ตั้งแต่การจัดตั้งเป็นวัดมา มีเจ้าอาวาสที่ปกครองวัดมาแล้วจำนวน 10 รูปคือ
    1.หลวงพ่อศรี หรือ ขรัวดาศรี
    2. หลวงพ่อสา (เป็นน้องชายของหลวงพ่อศรี)
    3. หลวงพ่อสน
    4. หลวงพ่อเพ็ชร
    5. หลวงพ่อปั้น เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านมาก ได้มีการหล่อรูปท่านไว้บูชา หลังจากท่านมรณภาพลง ปัจจุบันยังอยู่ที่วัด
    6. หลวงพ่อเกิด
    7. หลวงพ่อเชื้อ
    8. พระอาจารย์ดี
    9. หลวงพ่อฉาบ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 จนถึงปัจจุบัน

    หลวงพ่อฉาบท่านได้พัฒนาวัดศรีสาครเรื่อยมาตามกำลังปัจจัย ที่ญาติโยมได้ทำบุญ แต่ท่านเป็นพระที่สมถะ จะสร้างในสิ่งที่เห็นสมควรสร้าง ไม่ใหญ่โตโอ่อ่า และไม่ยึดติดกับวัตถุ ปัจจุบันวัดยังไม่มีกำแพงรองวัด ไม่มีประตูวัดเป็นเขตวิสุงคาราม แต่มีกฏิ พระอุโบสถสำหรับประกอบพิธี พระเมรุ ศาลาการเปรียญ แลที่สำคัญ หลวงพ่อท่านได้พัฒนาโรงเรียนวัดศรีสาครให้มีอาคารเรียน อยู่ในบริเวณวัด ท่านได้สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมซึ่งเปิดสอนเมื่อปีพ.ศ. 2540 เป็นต้นมา จะเห็นว่าหลวงพ่อท่านสร้างเพื่อประโยชน์ ไม่งดงามใหญ่โต สร้างตามกำลังศรัทธาของญาติโยม

    ต่อมาในปีพ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นปีปัจจุบันที่ผู้เขียนได้พยายามรวบรวมอัตตะชีวประวัติของท่าน ท่านได้ตกลงใจสร้างกุฏิใหม่ทั้งหมด 12 หลังซึ่งทรุดโทรมตามสภาพการ สร้างอาคารโรงเรียนเพิ่มเติม และที่สำคัญ ท่านได้สร้างกำแพงรอบวัด เพื่อระบุเขตและเป็นแนวรั้วเขตวิสุงคสีมาของวัดศรีสาคร


    ชีวประวัติของหลวงพ่อฉาบ พระครูมงคลนวการ

    หลวงพ่อฉาบเป็นคนพื้นเพจังหวัดสิงห์บุรี ท่านเกิดที่สิงห์บุรี เป็นบุตรชายนโตของนายเน่า แบะนางสมบุญ นามสกุบ ด้วงดารา
    หลวงพ่อฉาบเกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2471 ณ บ้านเลขที่ 27 ต.หมื่นหาญ อ.พรมบุรี จ.สิงห์บุรี ปัจจุบันตำบลหมื่นหายเปลี่ยนเป็น ตำบลต้นโพธิ์ อ.เมือง จังหวัดสิงห์บุรี หลวงพ่อมี่พี่น้องร่วมอุทรทั้งหมด 6 คน คือ

    1. หลวงพ่อฉาบ
    2. นายเอิบ
    3. นายสังวาล
    4. นายประสงค์
    5. นายถวิล
    6. นายปุ่น
    7. นางสมนึก

    ครอบครัวของหลวงพ่อค่อนข้างจะมีฐานะ มีที่นามากมายให้ชาวบ้านได้เช่าอาศัยทำกิน เมืองสิงห์ในสมัยนั้น โจรชุม มีทั้งก๊กเล็ก ก๊กใหญ่ ทำให้มีการปล้นฆ่ากันอยู่บ่อยๆ ทางการก็ยังมาไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึงในสมัยนั้น เช่นเดียวกับเขตสุพรรณบุรี ชัยนาท
    พวกโจรหรือชุมเสือต่างๆในสมัยก่อน เวลาจะเข้าปล้นบ้านใคร จะบอกให้เจ้าของบ้านรู้ตัวก่อน ไม่ว่าจะเขียนป้ายปักไว้หรือทำเครื่องหมายด้วยสีไว้ที่ต้นไม้ หรือข้าฝาเรือน เป็นการบอกล่วงหน้าว่าอีกไม่เกิน 7 วันจะเข้าปล้นบ้านนั้น บ้านนี้เพื่อให้เจ้าของบ้านได้ตระเตรียมข้าวของไว้ให้พอเพียง โจรบางชุมถึงกับบอกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่าต้องการข้าวของอะไรบ้าง โจรบางชุมก็มีคุณธรรมไม่คร่าชีวิตของเจ้าทรัพย์ แต่ชุมที่ไม่มีคุณธรรมก็จะข่มขืนและฆ่า โจรที่มีชื่อส่วนใหญ่ที่เคยได้ยินกันมามักมีคุณธรรม จะไม่ข่มเหงเจ้าทรัพย์ หวังแต่ทรัพย์สิน โจรเหล่านั้นมักมีของดีของหลวงพ่อองค์ใดองค์หนึ่งที่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ อย่างเช่นเสือฝ้าย เสือมเหศวร ก็ยังนับถือและฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อมุ่ยวัดดอนไร่ จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งก็เป็นหนึ่งในดินแดนโจรชุมที่หนึ่งเหมือนกัน โจรเหล่านั้นมักจะมีวิชา และของดีติดตัว และมักจะอยู่ยงคงกระพัน มีวิชากำบัง อำพรางตัวได้ ตำรวจมักจะจับไม่ได้
    ครอบครัวหลวงพ่อก็เป็นครอบครัวที่มีฐานะดี มีอันจะกิน จึงไม่พ้น ที่จะเป็นบ้านเป้าหมายของบรรดาโจร และก็จริง มีอยู่วันหนึ่งครอบครัวหลวงพ่อก็ได้รับสัญญานโดยเป็นการปักบ้ายจะเข้าปล้น การได้รับสัญญานการเข้าปล้นครั้งนั้น ทำให้ครอบครัวของหลวงพ่อได้รับความทุกข์และหวาดกลัว ก็ได้ตระเตรียมข้าวของไว้ในจำนวนที่คิดว่าน่าจะเพียงพอสำหรับโจร และเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อ หลังจากตระเตรียมข้าวของไว้รอรับการปล้นของโจรชุมนี้แล้ว ครอบครัวของหลวงพ่อก็ได้แต่รอ ภายในเวลา 7 วัน ของการมาปล้นของโจร และในที่สุด 3-4 วันผ่านไป โจรก็ได้เข้าปล้นบ้านของหลวงพ่อจริงๆ ขณะนั้นหลวงพ่อยังแบเบาะอยู่เลย บิดาและมารดาของหลวงพ่อก็ได้แต่คอยดู โจรได้กวาดทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก แต่เคราะห์หามยามร้าย ด้วยเวรกรรมตามกันมาแต่ชาติปางก่อนเห็นจะใช่ นอกจากทรัพย์สินมีค่าที่โจรได้กวาดไปแล้ว มันเหลือบเห็นเด็กน้อยที่ร้องอุแว้ๆ อยู่ ทันใดนั้นหัวหน้าโจรได้หันกลับมาคว้าตัวแด็กน้อยซึ่งคือหลวงพ่อที่ยังวัยแบเบาะแล้วก็เผ่นหนีกันไปอย่างรวดเร็ว บิดามารดาของท่านได้รับความทุกข์แสนสาหัสจากการปล้นครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะทรัพย์สิน แต่กลับเป็นลูกน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่กี่มากน้อย มาถูกโจรใจร้ายพรากลูกรักไปจากอก เป็นใครก็ใจสลาย แต่ด้วยบุญญาธิการและตบะเดชะของหลวงพ่อที่คงจะบำเพ็ญเพียรมาหลายชาติกลับเกิดปาฏิหาริย์ที่ไม่น่าเชื่อ ห่างไปประมาณ 2-3 วัน โจรกลุ่มนั้นได้อุ้มเอาหลวงพ่อมาส่งคืนให้มารดาท่านโดยไม่รู้สาเหตุ ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ได้แต่อุ้มมาคืน แต่ที่มหัศจรรย์ไปมากกว่านั้นก็คือ โจรคนที่อุ้มเอาหลวงพ่อมาส่งคืนให้มารดาท่าน ได้วางพระไว้ที่หน้าอกหลวงพ่อไว้องค์หนึ่งซึ่งหลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ต่อมาท่านได้รู้ว่าพระองค์นั้นคือพระของหลวงปู่สุก วัดปากคลองมะขามเฒ่านั่นเอง เรื่องนี้หลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังราวๆปี พ.ศ.2550 และนี่เป็นแค่ส่วนน้อยในบรรดาเรื่องราวของเจ้าประคุณหลวงพ่อฉาบ ผู้เป็นที่รักและเคารพอย่างมิสงสัยซึ่งจะกล่าวในลำดับต่อไป

    หลังจากที่โจรได้อุ้มหลวงพ่อมาคืนพร้อมกับให้พระหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ครอบครัวก็มีปกติสุขเรื่อยมา หลวงพ่อก็ได้แขวนพระองค์นั้นมาตลอดจนโต เมื่อเติบวัยเข้าเรียน หลวงพ่อได้รับเข้าเรียนรับการศึกษาที่วัดศรีสาครจนจบชั้นประถมศึกษา เมื่อจบประถมแล้ว หลวงพ่อท่านตัดสินใจออกมาช่วยบิดามารดาท่านทำมาหากิน เนื่องจากยังมีน้องๆอีก 6 คน หลวงพ่อท่านได้เสียสละออกมาเพื่อเป็นอีกเรียวแรงในการดูแลครอบครัว หลวงพ่อฉาบเป็นผู้ที่มีนิสัยจริง เป็นคนจริงจังเมื่อทำอะไร เป็นที่รู้กันว่ามีอุปนิสัยตรงไปตรงมา เป็นคนพูดจาโผงผางเสียงดัง ทำอะไรทำจริงตามคำพูด จนได้รับการยกย่องจากเพื่อนๆในรุ่นเดียวกันว่า ท่านเป็นคนจริง

    เมื่อหลวงพ่ออายุย่างเข้า 14 ปี ได้มีเหตุแห่งกรรมที่จะนำพาท่านไปตามผู้ที่ลิขิตไว้ วัดศรีสาครในขณะนั้นได้มีการจัดพิธีต้อนรับพระผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นพระเกจิที่ได้รับความเคารพนับถือเป็นอย่างมากในย่านแถบภาคกลาง พระเกจิรูปนั้นก็คือหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ท่านได้รับกิจนิมนต์มาที่วัดศรีสาคร ด้วยเหตุใดมิทราบ แต่เข้าใจว่าหลวงพ่อแช่มท่านมีความสนิทสนมกับท่านเจ้าอาวาสวัดศรีสาครในขณะนั้น ซึ่งน่าจะเป็นสมัยหลวงพ่อปั้นที่เป็นที่นับถือของชาวบ้านละแวกวัดศรีสาคร และละแวกแถวนั้นเป็นอย่างมาก อาจด้วยเหตุนั้น หลวงพ่อแช่มจึงได้แวะไปมาหาสู่ที่วัดศรีสาครในระยะนั้น

    จะขอกล่าวถึงหลวงพ่อแช่มอีกสักเล็กน้อยว่า หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้ององค์นี้เป็นพระธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก ท่านศักด็สิทธิ์มาก พลังจิตสูงมาก เป็นพระที่ดุองค์หนึ่ง และมักทำอะไรแปลกๆ แต่ท่านเป็นพระเกจิที่มีอาคมขลังมากในสมัยนั้น ท่านสามารถย่นระยะท่างได้ เวลาไปไหนมาไหน วัตถุมงคลของท่านเป็นที่ต้องการของชาวจังหวัดนครปฐมและจังหวัดใกล้เคียง เพราะประสบการณ์ทางอยู่ยงคงกระพัน มหาอุดนั้นไม่ต้องสงสัย

    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อแช่ม ได้พาทายก ทายิกาแถบลุ่มแม่น้ำนครชัยศรีมาทอดกฐินที่วัดศรีสาคร หลวงพ่อฉาบซึ่งในขณะอายุ 14 ปี ได้มีอกาสได้เข้าไปปรนนิบัติหลวงพ่อแช่ม เนื่องจากเป็นศิษย์โรงเรียนวัดศรีสาคร ซี่งอยู่ในบริเวณวัด หลวงพ่อแช่มท่านเห็นเด็กชายฉาบซึ่งเข้ามาปรนนิบัติท่านเป็นอย่างดี ก็เกิดมีเมตตาต่อหลวงพ่อฉาบเป็นอย่างมาก ท่านได้ถามหลวงพ่อฉาบว่า อยากเรียนวิชาอาคมบ้างไหม ถ้าสนใจอยากเรียนจะสอนให้มีวิชาติดตัวไว้บ้าง หลวงพ่อฉาบครั้นได้ยินหลวงพ่อแช่มถามเช่นนั้น ท่านมิได้มีความลังเลใจแม้แต่น้อย ท่านตอบรับทันทีว่า สนใจขอรับ พร้อมกันนั้นหลวงพ่อฉาบได้ก้มลงกราบหลวงพ่อแช่มด้วยความปิติ ที่หลวงพ่อแช่มเมตาท่าน และได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแช่มตั้งแต่อายุได้ 14 ปี หลวงพ่อแช่มท่านก็รับท่านเป็นศิษย์ และได้ถ่ายทอดวิชาอาคมพื้นฐานให้ตั้งแต่นั้นมา หลังจากที่หลวงพ่อฉาบได้เข้าสู่สมเพศต่อมา หลวงพ่อฉาบก็ยังคงเดินทางไปศึกษากับหลวงพ่อแช่มที่นครชัยศรีอยู่เป็นประจำ
    การอุปสมบท

    หลวงพ่อได้ใช้ชีวิตฆราวาส ประกอบสัมมาอาชีพช่วยเหลือบิดา มารดาของท่านเลี้ยงดูครอบครัว จนกระทั่งอายุเข้าวัยอุปสมบท ท่านซึ่งมีจิตใจฝักใฝ่ในพระศาสนา อยู่ใกล้ชิดกับพระศาสนามาตลอด และได้รับแรงบันดารใจครั้งเมื่อได้ปรนนิบัติหลวงพ่อแช่ม ด้วย ท่านจึงขออนุญาตต่อบิดา มารดาของท่าน เพื่อบวชเรียนเข้าสู่ร่มกาสวพัทธ์ และได้ทำการอุปสมบทที่วัดศรีสาคร เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2461 โดยมีหลวงพ่อทรัพย์ ญิตปญโญ เจ้าอาวาสวัดสังฆราชาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ (ซึ่งต่อมาหลวงพ่อทรัพย์ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์เป็น พระสิงหวรมุนี ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี) มีพระอาจารย์ประทุม เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีหลวงพ่ออ่ำ เจ้าอาวาสวัดตึกราชาวาสเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า “มงฺคโล” หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอุปสมบทแล้ว คำแรกที่หลวงพ่อได้เอ่ยกับโยมพ่อโยมแม่ของท่านหลังจากครองจีวรว่า “เมื่อฉันได้มีโอกาสได้บวชเรียนแล้ว จะขอรับไช้พระพุทธศาสนาไปตลอดชีวิต และหามีบุญวาสนาฉันก็ปรารถนาที่จะเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสาครของเราสืบต่อไป” โยมพ่อโยมแม่ของท่านเมื่อได้ฟังก็มิได้ขัดข้องประการใด และไม่ได้ตั้งเวลากำหนดเร่งรัดให้สึกออกมาเป็นกำลังช่วยเลี้ยงหาครอบครัวแต่อย่างใด แต่ตรงกันข้าม ท่านทั้งสองกลับอนุโมทนาบุญด้วย


    การศึกษาวิชาและครูบาอาจารย์


    หลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง
    หลวงพ่อฉาบ ท่านมีพระอาจารย์องค์แรกคือหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ตามที่กล่าวมาตามประวัติของท่าน หลังจากที่หลวงพ่อเข้าอุปสมบท ท่านก็ยังไปมาหาสู่กับวัดตาก้องจนกระทั่งหลวงพ่อแช่มท่านมรณภาพลง หลังจากนั้นท่านก็ออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ไปถึงพม่า คาดว่าท่านคงพบอาจารย์ที่เมตตาสอนวิชาให้ท่านในขณะออกธุดงค์ด้วย แต่อย่างไรก็ดี ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าท่านได้ไปเรียนวิชาจากอาจารย์ท่านใดอีก เพราะหลวงพ่อท่านไม่เคยเล่าให้ใครฟังมากมายนักเกียวกับพระอาจารย์ของท่าน

    หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ
    มีเรื่องเล่าจากยพยานบุคคลว่าท่านได้ธรรมกายจากหลวงพ่อสดมาด้วย เข้าใจว่าหลวงพ่อท่านก็เป็นศิษย์สายธรรมกายด้วย โยมอุปฐากย์ท่านคนหนึ่งที่ดูแลรับใช้หลวงพ่อมาตลอดไนช่วงหลัง มาถูกุฏิและล้างห้องน้ำให้หลวงพ่อทุกๆวันตอนเช้ามืด ได้เล่าให้ผมฟังว่า หลวงพ่อได้ไปศึกษาวิชาธรรมกายจากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำด้วย ยังมีรูปถ่ายศิษย์สายธรรมกายซึ่งมีรูปหลวงพ่ออยู่ในนั้นด้วย เสียดายไม่มีรูปถ่ายนั้นมาเป็นหลักฐานยืนยัน แต่คิดว่าน่าจะใช่ เพราะหลวงพ่อเองก็เคยให้ตำราธรรมกายกับพี่ท่านนั้นซึ่งได้ศึกษาวิชาธรรมกายมาตลอด15 ปี และในที่สุดก็ได้ธรรมกาย ติดขัดตรงไหนก็เรียนปรึกษาหลวงพ่อ และท่านก็แก็ไขให้ได้จนสำเร็จธรรมกาย ผมเคยเอาพระเครื่องต่างๆมาให้พี่ท่านนั้นจับพลัง พี่ท่านนั้นก็จับได้จริงๆ บอกได้เลยว่าหลวงพ่อองค์นี้องค์นั้นขึ้นมาเต็มองค์หรือไม่ และเด่นทางด้านไหน คงกระพัน หรือเมตตามหานิยม

    เรื่องสำเร็จวิชาธรรมกายนี้ พี่ที่คอยรับใช้หลวงพ่อท่านนั้นได้ยืนยัน และเล่าให้ผมฟังว่า มีพระเครื่องรุ่นมงคลนวการ79 เมื่อครั้งฉลองอายุท่านครบ 79 ปีนั้น มีศิษย์สายวัดพิกุล ที่หลังจากหลวงพ่อแพท่านได้มรณภาพลง ก็หันมากราบและเคารพนับถือหลวงพ่อฉาบ และขอจัดสร้างพระเครื่องชุดนี้ขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการหาเงินช่วยวัดศรีสาคร จัดสร้างกำแพงรอบวัดและ กุฏิพระใหม่ทั้งหมด 13 หลัง ครั้งเมื่อหลวงพ่อแพยังมีชีวิตอยู่ท่านได้ติดต่อกันกับหลวงพ่อฉาบอยู่เสมอๆ ตามเรื่องที่ได้รับฟังมามากมาย ท่านสามารถติดต่อกันท่างสมาธิจิต ครั้งหนึ่ง มีพระเครื่องบางรุ่นที่ศิษย์สายหลวงพ่อแพนำมาให้หลวงพ่ออธิษฐานจิตเพิ่ม หลวงพ่อฉาบบางครั้งก็ทำให้ บางครั้งก็ไม่ทำให้ ที่ทำให้ท่านก็บอกว่า หลวงพ่อแพท่านอนุญาตแล้ว กลับมาที่พระเครื่องรุ่นมงคลนวการ 79 คุณบู้บอกผมว่าพระชุดนี้พิเศษกว่าชุดอื่นเพราะหลวงพ่อบรรจะธรรมกายลงไป โดยทั่วไปคุณบู้ถ้าได้จับพลังก็จะรู้เลยว่าเป็นพระของหลวงพ่อหรือเปล่า คุณบู้เคยเล่าให้ผมฟังพระเครือ่งของหลวงพ่อจะมีเอกลักษณ์ของพลังไม่เหมือนใคร พระของหลวงพ่อจะขึ้นเต็มองค์ตลอด ไม่ใช่ขึ้นมาครึ่งองค์หรือมาแต่หน้าท่าน พระเกจิที่สามารถเสกพระได้เต็มองค์นั้นต้องมีพลังจิตที่สูงมากเท่านั้นถึงทำได้ นั่นคือพระอภิญญษ หรือโสดาบันขึ้นไป
    เรื่องพลังจิตอันสูงของหลวงพ่อนั้นจะกล่าวต่อไปในภาคปาฏิหาริย์

    พระอาจารย์ทางกาญจนบุรี

    ผมไปกราบหลวงพ่อฉาบเกือบทุกอาทิตย์ และวันที่ผมว่างมีเวลา เมื่อไปกราบท่าน ท่านก็จะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง ผมเคยได้ยินจากปากท่านว่า ท่านเคยไปเรียนวิชากับพระอาจารย์ท่านที่กาญจนบุร๊ ไปๆมาๆอยู่หลายปี แต่หลวงพ่อไม่เคยบอกว่าเป็นพระอาจารย์ท่านใด ผมเห็นรูปพระเกจิองค์หนึ่งซึ่งหลวงพ่อแขวนไว้บนหัวนอนท่าน และท่านจะบูชาอาจารย์ด้วยพวงมาลัย เพราะเห็นพวงมาลัยอยู่เสมอๆ คาดว่าอาจารย์องค์นี้ อาจแป็นอาจารย์องค์สุดท้ายของท่าน

    นอกจากอาจารย์ทางวิปัสสนากรรมฐานและครูบาอาจารย์ทางคาถาอาคมต่างๆ หลวงพ่อท่านก็เป็นเรื่องยาสมุนไพรด้วย เพราะที่วัดมีน้ำมันเสกรักษาโรคด่างๆที่หลวงพ่อทำขึ้นเอง นอกจากนี้หลวงพ่อยังเคยเมตตาบอกสูตรยารักษาโรคมะเร็งให้กับศิษย์คนหนึ่งด้วย
    และนั่นเป็นการยืนยันว่า หลวงพ่อท่านได้เรียนวิชาสมุนไพรโบราณมาจากอาจารย์ที่ไม่ทราบนามท่าน

    วัตรปฏิบัติของหลวงพ่อ

    หลังจากที่หลวงพ่อได้ออกธุดงค์ไปที่ต่างๆมากมาย แต่ตอนนั้นท่านได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีสาครแล้ว บางปีหลวงพ่อจะออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ บางทีออกธุดงค์นานถึง 2-3 พรรษา ก็จะกลับมาที่วัด ท่านได้ฝากให้พระลูกวัดดูแลวัดแทนท่าน จนมาระยะเมื่อ 30 ปีก่อน ตอนนั้นท่านอายุเข้า 50 ปลายๆท่านก็อยู่ประจำวัด ท่านก็ได้บำรุงศาสนสถานของวัดท่านเท่าที่จะสามารถทำได้ ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดมากในศีลจรรยาวัตรปฏิบัติ พระลูกวัดก็ต้องอยู่ในกฎ และตั้งใจปฏิบัติตามท่านอย่างเคร่งครัด หลวงพ่อท่านดุมากครับตามที่ได้ยินมา สมัยก่อนนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่ง ชาวบ้านเรียกท่านว่าหลวงพ่อเสือ พระลูกวัดที่ทำไม่ดีทำตัวเหลวไหล เป็นอันต้องเจอดีแน่ หลวงพ่อท่านเป็นพระดุและจริงจัง เสียงดังฟังชัด ดังนั้นพระลูกวัด และชาวบ้านละแวกนั้นจะให้ความเคารพยำเกรงท่านมาก ไม่กล้าทำอะไรไม่ดี เพราะท่านเป็นพระจริง ไม่มีใครกล้าโกหกท่านตอนที่อยู่ต่อหน้าท่าน ที่จริงแล้วต้องพูดว่าไม่มีใครโกหกท่านได้ ท่านรู้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตอนที่เดินเข้ามาหาท่าน ท่านก็รู้แล้วว่าบุคคลนั้นประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม หรือเป้นคนเลว หรือไปช่อโกงเอารัดเอาเปรียบใคร หรือแม้กระทั่งใครมาการาบท่านแต่โดนของมา เรื่องต่างๆเหล่านี้หากเป็นศิษย์ใกล้ชิดมากราบท่านบ่อยๆ ท่านจะเล่าให้ฟังเสมอว่า เมื่อสักครู่มีคนโดนของมานั่งกราบท่าน ใครเป็นอะไรมา คนๆนั้นเป็นคนอย่างไร

    เรื่องที่หลวงพ่อเป็นพระที่ดุมากนั้นถ้าทำอะไรที่ไม่ดีมา เป็นเรื่องจริงครับ ลูกศิษย์ท่านและชาวบ้านละแวกอำเภอปากบาง และจังหวัดสิงห์บุรีจะเคารพนอบน้อมท่านมาก ท่านเป็นพระที่ตบะเดชะสูงจริงๆครับ เอาเป็นว่าไม่มีใครกล้าลองดีกับหลวงพ่อสักคน เท่าที่ผมสัมผัสมา ครั้งหนึ่งหลวงพ่อเคยเล่าให้ผมฟังว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งเป้นเศรษฐีนี เข้ามากราบหลวงพ่อที่กุฏิ หลวงพ่อโดยญานรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนไม่ดี ชอบเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านมาก และเข้ามาก็พูดจาไม่ดี แต่วันนั้นนำเงินสดไม่ได้ใส่ซอง เข้ามาถวายหลวงพ่อ แกพูดอะไรไม่เข้าหูหลวงพ่อ เท่านั้นแหละหลวงพ่อท่านไล่ให้กลับไป แล้วโยนเงินกลับคืนไปให้ แล้วพูดว่าเอาเงินคืนไป ฉันไม่อยากได้หรอก เงินสกปรก ผู้หญิงคนนั้นต้องรีบเผ่นออกจากกุฏิท่านแทบไม่ทัน

    หลังจากที่หลวงงดออกธุดงค์แล้ว หลวงพ่อก็ประจำอยู่ที่วัด ทำนุบำรุงวัดศรีสาครเรื่อยมา หลวงพ่อเกิดอาพาธเป็นโรคทางไสยศาสตร์ ซึ่งทำให้หลวงพ่อเจ็บปวดทุกอณูของร่างกายแต่ท่านก็ยังปฏิบัติของท่านไม่เคยหยุด ผมไม่แน่ใจว่าพอหลวงพ่อท่านอยู่ประจำที่วัดแล้ว ท่านได้ปวรณาตัวไม่ลงจากกุฏิของท่านตลอดชีวิตหรือเปล่า แต่หลวงพ่อท่านไม่ลงจากกุฏิของท่านเลย นอกจากจะไปรักษาตัว ซึ่งในปีพ.ศ. 2549 ตั้งแต่ผมได้มากราบและรู้จักท่าน ท่านไม่ไปรักษาที่ไหนอีกแล้ว ท่านฉัน จำวัด และต้อนรับญาติโยมบนกุฏิของท่าน เท้าไม่แตะพื้นมานานนันสิบๆปี จนกระทั่งมีอยู่แค่วันเดียว ที่เป็นวันบวงสรวงเพื่อก่อสร้างกำแพงรอบวัด และกุฏิ 13 หลัง ท่านลงมาจากกุฏิเพื่อเข้าร่วมพิธี ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมากที่เห็นหลวงพ่อลงจากกุฏิ หลังจากเท้าท่านไม่แตะพื้นดินมาเป็นระยะเวลาไม่น่าจะต่ำกว่า 20 ปีเห็นจะได้ จากปากคำบอกเล่าของกรรมการวัด

    เป็นเรื่องแปลกมากที่หลวงพ่อท่านไม่ลงมาเหยียบพื้นดินเลยเป็นเวลาสิบๆปี ท่านไม่ดูทีวี ไม่ดูหนังสือพิมพ์ แต่ท่านรู้ทุกอย่าง พูดได้อย่างไม่ติดขัดเกี่ยวกับความเป็นไปของบ้านเมือง และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจังหวัดสิงห์บุรีและละแวกใกล้เคียง ท่านสามารถวิเคราะห็ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรถูกอะไรไม่ถูก น้ำจะท่วมหรือไม่ท่วม ท่านทราบทั้งเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบันและในอนาคต เพียงแต่ท่านจะพูดหรือเมตตาเล่าให้ฟังหรือไม่ สำหรับผม ไปกราบหลวงพ่ออยู่บ่อยๆ ก็สามารถลอกได้เลยว่าหลวงพ่อท่านหยั่งรู้ในทุกๆเรื่อง เพราะท่านเมตตาพูดและเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง บางอาทิตย์ผมแทบจะไม่ได้พูดเลย หลวงพ่อท่านเล่าองค์เดียวเลย

    ส่วนวัตรปฏิบัติของท่าน ท่านจะลุกขึ้นมาประมาณตีสอง หรือตีสามทุกเช้า หลังจากนั้นท่านก็นั่งสมาธิสวดมนต์ของท่านจนรุ่งเช้า คุณบู้ก็จะมากวาดถูกุฏิ และล้างห้องน้ำ ให้ท่าน หลังจากนั้นท่านก็ออกมารับแขกญาติโยมที่มีเรื่องเดือดร้อนหรือมากราบ

    กุฏิหลวงพ่อ

    เมื่อต้อนรับและโปรดญาติโยมและบรรดาศิษย์จนถึงเวลา 10.30 เช้า หลวงพ่อก็จะฉัน หลวงพ่อท่านฉันมื้อเดียว หลวงพ่อไม่ฉันสัตว์ใหญ่ และไม่ฉันอะไรที่ทำจากเลือดสัตว์ หลวงพ่อจะฉันปลาเป็นส่วนใหญ่ ท่านถือวัตรฉันมื้อเดียวมาตลอด ท่านจะฉันแระมาณหนึ่งชั่วโมง ฉันไปก็จะสั่งสอนศิษย์ที่รับใช้ท่านไป เมื่อฉันเสร็จ หลวงพ่อก็จะสวดให้พรแก่ญาติโยมทที่นำอาหารคาวหวานมา และแผ่เมตตาให้ศิษย์ทุกๆคน เวลาหลวงพ่อสวด หลวงพ่อจะสวดชัดถ้อยชัดคำ เหมือนมีพลังอัดลงไปในคำสวดของท่านทุกคำของภาษาบาลี ท่านจะว่าช้าๆและชัดทุกคำ เมื่อใครได้ยินได้ฟังก็จะรู้สึกได้ครับว่า ท่านตั้งใจมาก และบุญกุศลก็ได้รับจากท่านเต็มที่เหมือนกัน นั่นคือความรู้สึกที่ได้รับ เมื่อท่านสัพพีตีโยฯ

    หลังจากฉันเสร็จ วัตรปฏิบัติของท่านก็เรียบง่าย ถ้าท่านรู้สึกแข็งแรงดี และมีญาติโยมเดือดร้อนมาหา ท่านก็จะสงเคาระห์อีกสักพัก แต่ถ้าไม่มี เป็นที่รู้กัน ว่าหลังเที่ยงกุฏิของท่านจะปิดลงทันที ลูกศิษย์ใกล้ชิดที่ปรนนิบัติท่านก็จะปิดกุฏิ และให้หลวงพ่อได้อยู่องค์เดียว เวลาหลังจากนั้นจนรุ่งเช้าของวันใหม่ ไม่มีใครรู้ว่าหลวงพ่อทำอะไรบ้าง แต่ท่านจะอยู่องค์เดียว เข้าใจว่าท่านคงนั่งสมาธิสวดมนต์ และปลุกเสกของที่มีศิษย์สร้างถวายมาให้ ทุกอย่างดูเงียบสงัด จนกระทั่งทุกอย่างเริ่มใหม่เหมือนเดิมในเช้าวันถัดไป

    พูดถึงเรื่องการปิดกุฏิของหลวงพ่อ บางครั้งท่านจะบอกให้ลูกศิษย์รีบปิดทันที ท่านบอกกำลังมีคนมา ท่านอาจไม่อยากพบ แต่บางครั้งท่านก็รอพบคนที่กำลังมา โดยบอกให้ศิษย์รอ อย่าเพิ่งปิด ท่านรู้โดยฌานของท่าน เรื่องนี้เป็นี่รู้กันโดยชัดแจ้งและกลายเป็นเรื่องธรรมดาของศิษย์ที่รับใช้ใกล้ชิดท่าน และเมื่อประตูกุฏิปิดลง ต่อให้เป็นใครใหญ่มาจากไหน ท่านก็ไม่รับแขก หลวงพ่อปฏิบัติกับศิษย์ของท่านเท่าเทียมกัน ไม่ต้องมีกรรมการวัดมาคอยกัน หรือต้องมาบอกว่าหลวงพ่ออนุญาติ หลวงพ่อองค์เดียวเท่านั้น ทุกๆคนเหมือนกันหมด เว้นเสียแต่ว่าศิษย์คนไหนมีเรื่องเดือดร้อนจริงๆ ท่านก็จะเมตตาสงเคราะห์ให้ เรื่องการปิดกุฏิและหลวงพ่อทำอะไรหลังจากเทียงวันจนถึงรุ่งเช้าวันใหม่ ไม่มีใครรู้ และไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง แต่ท่านทำของท่านอย่างนี้มาเป็นสิบๆปี โดยไม่เคยลงจากกุฏิตามที่กล่าวมาข้างต้น


    เรื่องที่หลวงพ่อท่านไม่เคยออกไปไหนและไม่ลงจากกฏินั้น ปรากฏเรื่องราวปาฏิหาริย์มหัศจรรย์ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ จนเป็นที่พูดถึงกัน ปากต่อปาก เรื่องก็มีอยู่ว่า หลวงพ่อท่านปรากฏไปบิณฑบาตตามที่ต่างๆเสมอ มีพยานยืนยันว่าหลวงพ่อท่านไปบิณฑบาตที่นครสวรรค์ สุพรรณบุรี หรือไกลถึงเชียงใหม่ก็มี เรื่องราวนี้ปรากฏแก่ศิษย์ใกล้ชิด เพราะคนที่ตักบาตรหลวงพ่อได้ถามว่าหลวงพ่ออยู่วัดไหน หลวงพ่อท่านก็บอกว่าอยู่วัดศรีสาคร อำเภอปากบาง จังหวัดสิงห์บุรี โยมที่ตักบาตรหลวงพ่อท่านก็ตามมาหา แล้วก็มาบอกหลวงพ่อว่าได้เคยตักบาตรหลวงพ่อที่นครสวรรค์ แล้วหลวงพ่อบอกว่าอยู่ที่วัดนี้ ก็ตามมากราบหลวงพ่อ หลวงพ่อได้แต่ยิ้มๆ ไม่เคยพูดอะไร แล้วก็สนทนากันตามอัทยาศรัย ลูกศิษย์ใกล้ชิดรู้เรื่องโดยตลอดเพราะเวลาหลวงพ่อท่านรับแขก ศิษย์รับใช้ใกล้ชิดก็จะคอยดูว่าท่านต้องการอะไรหรือไม่ หรือไม่ก็กำลังเตรียมสำรับภัตราหารไว้ให้หลวงพ่อฉันตอน 10.30 น เรื่องการบิณฑบาตรต่างจังหวัดหลวงพ่อนี้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่ง เพราะหลวงพ่อท่านไม่เคยลงจากกุฏิเลย และหลวงพ่อท่านอยู่รับแขกทุกวันตอนเช้า ศิษย์ใกล้ชิดก็เจอท่านอยู่ที่กุฏิทุกวัน ไม่รู้ทันไปได้อย่างไรและตอนไหน เวลาเปิดกุฏิท่านคือประมาณ 5.30น แต่หลวงพ่ออาจยังไม่ออกมา แล้วแต่ ท่านอาจนั่งสมาธิถอดร่างไปบิณฑบาตตามที่ต่างๆเพื่อโปรดญาติโยมตามหน้าที่ เรื่องนี้ไม่ใช่ได้ยิน หรือมีคนที่ตักบาตรหลวงพ่อตามมากราบท่านเพียงคนเดียวหรือจังหวัดเดียว ปรากฏว่ามีมาหลายจังหวัดดังกล่าวข้างต้น

    สมัยก่อนมีศิษย์ใกล้ขิดท่านคนหนึ่งจะคอยนอนเผ้าท่านที่กุฏิ แต่นั่นนานมากแล้ว ตกกลางคึกเงียบสงัด ศิษย์ใกล้ชิดคนนั้นได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ภายในกุฏิท่าน ซึ่งจริงๆแล้วอยู่ที่เดียวงกันกับหลวงพ่อ แต่อยู่คนละฟาก ตรงกลางจะเป็นที่ตั้งพระพุทธรูปที่ใหญ่มาก ศิษย์คนนั้นเล่าให้ผมฟังว่า เสียงดังเหมือนมีระเบิดลงกลางกุฏิ เสียงกระจกสั่นไหวเหมือนแผ่นดินไหว หลังจากสิ้นเสียงดังและเสียงสั่น ก็มีเสียงหลวงพ่อตามมาว่า เสียงมันดังจังเลยนะ ไม่มีอะไรหรอก ฉันลองคาถาหัวใจเปรตเท่านั้น ไม่มีอะไร ทำเอาลูกศิษย์คนนั้นงงและอึ้งไปกันใหญ่เลย

    อ้างอิงข้อมูลจากhttp://www.sittloungpormhui.com/boar...p?topic=3216.0



    แบ่งบูชาเหรียญล่ะ 3500 ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    เหรียญรุ่น5 (รุ่น 85มหามงคล) หลวงพ่อฉาบ มังคโล วัดศรีสาคร จ.สิงห์บุรี
    สาเหตุและวาระการสร้างเนื่องด้วยทางคณะกรรมการวัดศรีสาคร ได้ขออนุญาติ หลวงพ่อฉาบ มังคโล วัดศรีสาคร
    ขอจัดสร้างวัตถุมงคล ขึ้นมา หนึ่งรุ่น คือรุ่น 85มหามงคล
    วัตถุประสงค์ในการจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้ ทางคณะกรรมการวัดศรีสาครเห้นว่าทางวัดศรีสาคร
    ยังขาดปัจจัย เพื่อ ตั้งมูลนิธิ หลวงพ่อฉาบ วัดศรีสาคร โดยหลวงพ่อฉาบท่านมีดำริ ว่าจะหาทุนสักก้อนเพื่อ่
    ตั้งเป็นทุนมูลนิธิของวัด เพื่อนำดอกผลมาใช้เป็นทุน ค่าน้ำค่าไฟ และการจัดการต่างๆภายในวัด หรือสิ่งที่
    หลวงพ่อและคณะกรรมการวัดเห็นควรว่าจะนำดอกผลไปเป็นทุนระยะยาวคู่กับวัด และสิ่งต่างๆที่เห็นสมควร

    ประวัติหลวงพ่อฉาบ มังคโล

    ดศรีสาคร ตั้งอยู่เลขที่ 70 หมู่ 8 ตำบลด้นโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัด สิงห์บุรี วัดศรีสาครเป็นวัดเก่าแก่ ถ้าคำนวณอายุการสร้างจากพระประธานในพระอุโบสถ น่าจะเป็นวัดที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา และอาจถูกทิ้งรกร้างมานานเป็นระยะเวลาหนึ่ง ตามประวัติที่ได้ทราบแน่นอนจากหลวงพ่อฉาบนั้น เจ้าอาวาสองค์แรกคือหลวงพ่อศรี ท่านเป็นผู้ก่อสร้างวัด เป็นชาวพุกามไทยใหญ่ หลวงพ่อศรีท่านได้ออกธุดงค์ตามที่ต่างๆ และ อาศัยล่องซุงมาจากทางภาคเหนือ ผ่านมาบริเวณวัดปัจจุบันนี้ เห็นว่าเป็นที่สงบร่มเย็น และเหมาะจะเป็นที่บำเพ็ญเพียรภาวนา ท่านจึงได้แวะพักปักกรดบำเพ็ญเพียรวิปัสสนากรรมฐาน อยู่ต่อมาชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงได้เห็นหลวงพ่อศรี เป็นพระที่ปฏิบัติดี และบำเพ็ญเพียรรอย่างมาก จึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งชาวบ้านได้พร้อมใจกันสร้างเป็นวัดขึ้นมาให้หลวงพ่อศรีได้ปฏิบัติ ตั้งชื่อตามหลวงพ่อศรีว่า วัดขรัวศรี ซึ่งในขณะนั้นได้ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลหมื่นหาญ ขึ้นกับอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ต่อมาวัดได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดศรีสาคร แต่ไม่มีการบันทึกไว้ว่า วัดได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปีพ.ศ.ใด แต่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 29 พฤษจิกายน ปีพ.ศ. 2481 เป็นต้นมา โดยมีเขตวิสุงคาม กว้าง 4 เมตร ยาว 8 เมตร ปัจจุบันมีเนื้อที่ 24 ไร่ 1 งาน 22 ตารางวา

    ตั้งแต่การจัดตั้งเป็นวัดมา มีเจ้าอาวาสที่ปกครองวัดมาแล้วจำนวน 10 รูปคือ
    1.หลวงพ่อศรี หรือ ขรัวดาศรี
    2. หลวงพ่อสา (เป็นน้องชายของหลวงพ่อศรี)
    3. หลวงพ่อสน
    4. หลวงพ่อเพ็ชร
    5. หลวงพ่อปั้น เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านมาก ได้มีการหล่อรูปท่านไว้บูชา หลังจากท่านมรณภาพลง ปัจจุบันยังอยู่ที่วัด
    6. หลวงพ่อเกิด
    7. หลวงพ่อเชื้อ
    8. พระอาจารย์ดี
    9. หลวงพ่อฉาบ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 จนถึงปัจจุบัน

    หลวงพ่อฉาบท่านได้พัฒนาวัดศรีสาครเรื่อยมาตามกำลังปัจจัย ที่ญาติโยมได้ทำบุญ แต่ท่านเป็นพระที่สมถะ จะสร้างในสิ่งที่เห็นสมควรสร้าง ไม่ใหญ่โตโอ่อ่า และไม่ยึดติดกับวัตถุ ปัจจุบันวัดยังไม่มีกำแพงรองวัด ไม่มีประตูวัดเป็นเขตวิสุงคาราม แต่มีกฏิ พระอุโบสถสำหรับประกอบพิธี พระเมรุ ศาลาการเปรียญ แลที่สำคัญ หลวงพ่อท่านได้พัฒนาโรงเรียนวัดศรีสาครให้มีอาคารเรียน อยู่ในบริเวณวัด ท่านได้สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมซึ่งเปิดสอนเมื่อปีพ.ศ. 2540 เป็นต้นมา จะเห็นว่าหลวงพ่อท่านสร้างเพื่อประโยชน์ ไม่งดงามใหญ่โต สร้างตามกำลังศรัทธาของญาติโยม

    ต่อมาในปีพ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นปีปัจจุบันที่ผู้เขียนได้พยายามรวบรวมอัตตะชีวประวัติของท่าน ท่านได้ตกลงใจสร้างกุฏิใหม่ทั้งหมด 12 หลังซึ่งทรุดโทรมตามสภาพการ สร้างอาคารโรงเรียนเพิ่มเติม และที่สำคัญ ท่านได้สร้างกำแพงรอบวัด เพื่อระบุเขตและเป็นแนวรั้วเขตวิสุงคสีมาของวัดศรีสาคร


    ชีวประวัติของหลวงพ่อฉาบ พระครูมงคลนวการ

    หลวงพ่อฉาบเป็นคนพื้นเพจังหวัดสิงห์บุรี ท่านเกิดที่สิงห์บุรี เป็นบุตรชายนโตของนายเน่า แบะนางสมบุญ นามสกุบ ด้วงดารา
    หลวงพ่อฉาบเกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2471 ณ บ้านเลขที่ 27 ต.หมื่นหาญ อ.พรมบุรี จ.สิงห์บุรี ปัจจุบันตำบลหมื่นหายเปลี่ยนเป็น ตำบลต้นโพธิ์ อ.เมือง จังหวัดสิงห์บุรี หลวงพ่อมี่พี่น้องร่วมอุทรทั้งหมด 6 คน คือ

    1. หลวงพ่อฉาบ
    2. นายเอิบ
    3. นายสังวาล
    4. นายประสงค์
    5. นายถวิล
    6. นายปุ่น
    7. นางสมนึก

    ครอบครัวของหลวงพ่อค่อนข้างจะมีฐานะ มีที่นามากมายให้ชาวบ้านได้เช่าอาศัยทำกิน เมืองสิงห์ในสมัยนั้น โจรชุม มีทั้งก๊กเล็ก ก๊กใหญ่ ทำให้มีการปล้นฆ่ากันอยู่บ่อยๆ ทางการก็ยังมาไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึงในสมัยนั้น เช่นเดียวกับเขตสุพรรณบุรี ชัยนาท
    พวกโจรหรือชุมเสือต่างๆในสมัยก่อน เวลาจะเข้าปล้นบ้านใคร จะบอกให้เจ้าของบ้านรู้ตัวก่อน ไม่ว่าจะเขียนป้ายปักไว้หรือทำเครื่องหมายด้วยสีไว้ที่ต้นไม้ หรือข้าฝาเรือน เป็นการบอกล่วงหน้าว่าอีกไม่เกิน 7 วันจะเข้าปล้นบ้านนั้น บ้านนี้เพื่อให้เจ้าของบ้านได้ตระเตรียมข้าวของไว้ให้พอเพียง โจรบางชุมถึงกับบอกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่าต้องการข้าวของอะไรบ้าง โจรบางชุมก็มีคุณธรรมไม่คร่าชีวิตของเจ้าทรัพย์ แต่ชุมที่ไม่มีคุณธรรมก็จะข่มขืนและฆ่า โจรที่มีชื่อส่วนใหญ่ที่เคยได้ยินกันมามักมีคุณธรรม จะไม่ข่มเหงเจ้าทรัพย์ หวังแต่ทรัพย์สิน โจรเหล่านั้นมักมีของดีของหลวงพ่อองค์ใดองค์หนึ่งที่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ อย่างเช่นเสือฝ้าย เสือมเหศวร ก็ยังนับถือและฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อมุ่ยวัดดอนไร่ จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งก็เป็นหนึ่งในดินแดนโจรชุมที่หนึ่งเหมือนกัน โจรเหล่านั้นมักจะมีวิชา และของดีติดตัว และมักจะอยู่ยงคงกระพัน มีวิชากำบัง อำพรางตัวได้ ตำรวจมักจะจับไม่ได้
    ครอบครัวหลวงพ่อก็เป็นครอบครัวที่มีฐานะดี มีอันจะกิน จึงไม่พ้น ที่จะเป็นบ้านเป้าหมายของบรรดาโจร และก็จริง มีอยู่วันหนึ่งครอบครัวหลวงพ่อก็ได้รับสัญญานโดยเป็นการปักบ้ายจะเข้าปล้น การได้รับสัญญานการเข้าปล้นครั้งนั้น ทำให้ครอบครัวของหลวงพ่อได้รับความทุกข์และหวาดกลัว ก็ได้ตระเตรียมข้าวของไว้ในจำนวนที่คิดว่าน่าจะเพียงพอสำหรับโจร และเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อ หลังจากตระเตรียมข้าวของไว้รอรับการปล้นของโจรชุมนี้แล้ว ครอบครัวของหลวงพ่อก็ได้แต่รอ ภายในเวลา 7 วัน ของการมาปล้นของโจร และในที่สุด 3-4 วันผ่านไป โจรก็ได้เข้าปล้นบ้านของหลวงพ่อจริงๆ ขณะนั้นหลวงพ่อยังแบเบาะอยู่เลย บิดาและมารดาของหลวงพ่อก็ได้แต่คอยดู โจรได้กวาดทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก แต่เคราะห์หามยามร้าย ด้วยเวรกรรมตามกันมาแต่ชาติปางก่อนเห็นจะใช่ นอกจากทรัพย์สินมีค่าที่โจรได้กวาดไปแล้ว มันเหลือบเห็นเด็กน้อยที่ร้องอุแว้ๆ อยู่ ทันใดนั้นหัวหน้าโจรได้หันกลับมาคว้าตัวแด็กน้อยซึ่งคือหลวงพ่อที่ยังวัยแบเบาะแล้วก็เผ่นหนีกันไปอย่างรวดเร็ว บิดามารดาของท่านได้รับความทุกข์แสนสาหัสจากการปล้นครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะทรัพย์สิน แต่กลับเป็นลูกน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่กี่มากน้อย มาถูกโจรใจร้ายพรากลูกรักไปจากอก เป็นใครก็ใจสลาย แต่ด้วยบุญญาธิการและตบะเดชะของหลวงพ่อที่คงจะบำเพ็ญเพียรมาหลายชาติกลับเกิดปาฏิหาริย์ที่ไม่น่าเชื่อ ห่างไปประมาณ 2-3 วัน โจรกลุ่มนั้นได้อุ้มเอาหลวงพ่อมาส่งคืนให้มารดาท่านโดยไม่รู้สาเหตุ ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ได้แต่อุ้มมาคืน แต่ที่มหัศจรรย์ไปมากกว่านั้นก็คือ โจรคนที่อุ้มเอาหลวงพ่อมาส่งคืนให้มารดาท่าน ได้วางพระไว้ที่หน้าอกหลวงพ่อไว้องค์หนึ่งซึ่งหลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ต่อมาท่านได้รู้ว่าพระองค์นั้นคือพระของหลวงปู่สุก วัดปากคลองมะขามเฒ่านั่นเอง เรื่องนี้หลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังราวๆปี พ.ศ.2550 และนี่เป็นแค่ส่วนน้อยในบรรดาเรื่องราวของเจ้าประคุณหลวงพ่อฉาบ ผู้เป็นที่รักและเคารพอย่างมิสงสัยซึ่งจะกล่าวในลำดับต่อไป

    หลังจากที่โจรได้อุ้มหลวงพ่อมาคืนพร้อมกับให้พระหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ครอบครัวก็มีปกติสุขเรื่อยมา หลวงพ่อก็ได้แขวนพระองค์นั้นมาตลอดจนโต เมื่อเติบวัยเข้าเรียน หลวงพ่อได้รับเข้าเรียนรับการศึกษาที่วัดศรีสาครจนจบชั้นประถมศึกษา เมื่อจบประถมแล้ว หลวงพ่อท่านตัดสินใจออกมาช่วยบิดามารดาท่านทำมาหากิน เนื่องจากยังมีน้องๆอีก 6 คน หลวงพ่อท่านได้เสียสละออกมาเพื่อเป็นอีกเรียวแรงในการดูแลครอบครัว หลวงพ่อฉาบเป็นผู้ที่มีนิสัยจริง เป็นคนจริงจังเมื่อทำอะไร เป็นที่รู้กันว่ามีอุปนิสัยตรงไปตรงมา เป็นคนพูดจาโผงผางเสียงดัง ทำอะไรทำจริงตามคำพูด จนได้รับการยกย่องจากเพื่อนๆในรุ่นเดียวกันว่า ท่านเป็นคนจริง

    เมื่อหลวงพ่ออายุย่างเข้า 14 ปี ได้มีเหตุแห่งกรรมที่จะนำพาท่านไปตามผู้ที่ลิขิตไว้ วัดศรีสาครในขณะนั้นได้มีการจัดพิธีต้อนรับพระผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นพระเกจิที่ได้รับความเคารพนับถือเป็นอย่างมากในย่านแถบภาคกลาง พระเกจิรูปนั้นก็คือหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ท่านได้รับกิจนิมนต์มาที่วัดศรีสาคร ด้วยเหตุใดมิทราบ แต่เข้าใจว่าหลวงพ่อแช่มท่านมีความสนิทสนมกับท่านเจ้าอาวาสวัดศรีสาครในขณะนั้น ซึ่งน่าจะเป็นสมัยหลวงพ่อปั้นที่เป็นที่นับถือของชาวบ้านละแวกวัดศรีสาคร และละแวกแถวนั้นเป็นอย่างมาก อาจด้วยเหตุนั้น หลวงพ่อแช่มจึงได้แวะไปมาหาสู่ที่วัดศรีสาครในระยะนั้น

    จะขอกล่าวถึงหลวงพ่อแช่มอีกสักเล็กน้อยว่า หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้ององค์นี้เป็นพระธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก ท่านศักด็สิทธิ์มาก พลังจิตสูงมาก เป็นพระที่ดุองค์หนึ่ง และมักทำอะไรแปลกๆ แต่ท่านเป็นพระเกจิที่มีอาคมขลังมากในสมัยนั้น ท่านสามารถย่นระยะท่างได้ เวลาไปไหนมาไหน วัตถุมงคลของท่านเป็นที่ต้องการของชาวจังหวัดนครปฐมและจังหวัดใกล้เคียง เพราะประสบการณ์ทางอยู่ยงคงกระพัน มหาอุดนั้นไม่ต้องสงสัย

    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อแช่ม ได้พาทายก ทายิกาแถบลุ่มแม่น้ำนครชัยศรีมาทอดกฐินที่วัดศรีสาคร หลวงพ่อฉาบซึ่งในขณะอายุ 14 ปี ได้มีอกาสได้เข้าไปปรนนิบัติหลวงพ่อแช่ม เนื่องจากเป็นศิษย์โรงเรียนวัดศรีสาคร ซี่งอยู่ในบริเวณวัด หลวงพ่อแช่มท่านเห็นเด็กชายฉาบซึ่งเข้ามาปรนนิบัติท่านเป็นอย่างดี ก็เกิดมีเมตตาต่อหลวงพ่อฉาบเป็นอย่างมาก ท่านได้ถามหลวงพ่อฉาบว่า อยากเรียนวิชาอาคมบ้างไหม ถ้าสนใจอยากเรียนจะสอนให้มีวิชาติดตัวไว้บ้าง หลวงพ่อฉาบครั้นได้ยินหลวงพ่อแช่มถามเช่นนั้น ท่านมิได้มีความลังเลใจแม้แต่น้อย ท่านตอบรับทันทีว่า สนใจขอรับ พร้อมกันนั้นหลวงพ่อฉาบได้ก้มลงกราบหลวงพ่อแช่มด้วยความปิติ ที่หลวงพ่อแช่มเมตาท่าน และได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแช่มตั้งแต่อายุได้ 14 ปี หลวงพ่อแช่มท่านก็รับท่านเป็นศิษย์ และได้ถ่ายทอดวิชาอาคมพื้นฐานให้ตั้งแต่นั้นมา หลังจากที่หลวงพ่อฉาบได้เข้าสู่สมเพศต่อมา หลวงพ่อฉาบก็ยังคงเดินทางไปศึกษากับหลวงพ่อแช่มที่นครชัยศรีอยู่เป็นประจำ
    การอุปสมบท

    หลวงพ่อได้ใช้ชีวิตฆราวาส ประกอบสัมมาอาชีพช่วยเหลือบิดา มารดาของท่านเลี้ยงดูครอบครัว จนกระทั่งอายุเข้าวัยอุปสมบท ท่านซึ่งมีจิตใจฝักใฝ่ในพระศาสนา อยู่ใกล้ชิดกับพระศาสนามาตลอด และได้รับแรงบันดารใจครั้งเมื่อได้ปรนนิบัติหลวงพ่อแช่ม ด้วย ท่านจึงขออนุญาตต่อบิดา มารดาของท่าน เพื่อบวชเรียนเข้าสู่ร่มกาสวพัทธ์ และได้ทำการอุปสมบทที่วัดศรีสาคร เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2461 โดยมีหลวงพ่อทรัพย์ ญิตปญโญ เจ้าอาวาสวัดสังฆราชาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ (ซึ่งต่อมาหลวงพ่อทรัพย์ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์เป็น พระสิงหวรมุนี ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี) มีพระอาจารย์ประทุม เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีหลวงพ่ออ่ำ เจ้าอาวาสวัดตึกราชาวาสเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า “มงฺคโล” หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอุปสมบทแล้ว คำแรกที่หลวงพ่อได้เอ่ยกับโยมพ่อโยมแม่ของท่านหลังจากครองจีวรว่า “เมื่อฉันได้มีโอกาสได้บวชเรียนแล้ว จะขอรับไช้พระพุทธศาสนาไปตลอดชีวิต และหามีบุญวาสนาฉันก็ปรารถนาที่จะเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสาครของเราสืบต่อไป” โยมพ่อโยมแม่ของท่านเมื่อได้ฟังก็มิได้ขัดข้องประการใด และไม่ได้ตั้งเวลากำหนดเร่งรัดให้สึกออกมาเป็นกำลังช่วยเลี้ยงหาครอบครัวแต่อย่างใด แต่ตรงกันข้าม ท่านทั้งสองกลับอนุโมทนาบุญด้วย


    การศึกษาวิชาและครูบาอาจารย์


    หลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง
    หลวงพ่อฉาบ ท่านมีพระอาจารย์องค์แรกคือหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ตามที่กล่าวมาตามประวัติของท่าน หลังจากที่หลวงพ่อเข้าอุปสมบท ท่านก็ยังไปมาหาสู่กับวัดตาก้องจนกระทั่งหลวงพ่อแช่มท่านมรณภาพลง หลังจากนั้นท่านก็ออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ไปถึงพม่า คาดว่าท่านคงพบอาจารย์ที่เมตตาสอนวิชาให้ท่านในขณะออกธุดงค์ด้วย แต่อย่างไรก็ดี ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าท่านได้ไปเรียนวิชาจากอาจารย์ท่านใดอีก เพราะหลวงพ่อท่านไม่เคยเล่าให้ใครฟังมากมายนักเกียวกับพระอาจารย์ของท่าน

    หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ
    มีเรื่องเล่าจากยพยานบุคคลว่าท่านได้ธรรมกายจากหลวงพ่อสดมาด้วย เข้าใจว่าหลวงพ่อท่านก็เป็นศิษย์สายธรรมกายด้วย โยมอุปฐากย์ท่านคนหนึ่งที่ดูแลรับใช้หลวงพ่อมาตลอดไนช่วงหลัง มาถูกุฏิและล้างห้องน้ำให้หลวงพ่อทุกๆวันตอนเช้ามืด ได้เล่าให้ผมฟังว่า หลวงพ่อได้ไปศึกษาวิชาธรรมกายจากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำด้วย ยังมีรูปถ่ายศิษย์สายธรรมกายซึ่งมีรูปหลวงพ่ออยู่ในนั้นด้วย เสียดายไม่มีรูปถ่ายนั้นมาเป็นหลักฐานยืนยัน แต่คิดว่าน่าจะใช่ เพราะหลวงพ่อเองก็เคยให้ตำราธรรมกายกับพี่ท่านนั้นซึ่งได้ศึกษาวิชาธรรมกายมาตลอด15 ปี และในที่สุดก็ได้ธรรมกาย ติดขัดตรงไหนก็เรียนปรึกษาหลวงพ่อ และท่านก็แก็ไขให้ได้จนสำเร็จธรรมกาย ผมเคยเอาพระเครื่องต่างๆมาให้พี่ท่านนั้นจับพลัง พี่ท่านนั้นก็จับได้จริงๆ บอกได้เลยว่าหลวงพ่อองค์นี้องค์นั้นขึ้นมาเต็มองค์หรือไม่ และเด่นทางด้านไหน คงกระพัน หรือเมตตามหานิยม

    เรื่องสำเร็จวิชาธรรมกายนี้ พี่ที่คอยรับใช้หลวงพ่อท่านนั้นได้ยืนยัน และเล่าให้ผมฟังว่า มีพระเครื่องรุ่นมงคลนวการ79 เมื่อครั้งฉลองอายุท่านครบ 79 ปีนั้น มีศิษย์สายวัดพิกุล ที่หลังจากหลวงพ่อแพท่านได้มรณภาพลง ก็หันมากราบและเคารพนับถือหลวงพ่อฉาบ และขอจัดสร้างพระเครื่องชุดนี้ขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการหาเงินช่วยวัดศรีสาคร จัดสร้างกำแพงรอบวัดและ กุฏิพระใหม่ทั้งหมด 13 หลัง ครั้งเมื่อหลวงพ่อแพยังมีชีวิตอยู่ท่านได้ติดต่อกันกับหลวงพ่อฉาบอยู่เสมอๆ ตามเรื่องที่ได้รับฟังมามากมาย ท่านสามารถติดต่อกันท่างสมาธิจิต ครั้งหนึ่ง มีพระเครื่องบางรุ่นที่ศิษย์สายหลวงพ่อแพนำมาให้หลวงพ่ออธิษฐานจิตเพิ่ม หลวงพ่อฉาบบางครั้งก็ทำให้ บางครั้งก็ไม่ทำให้ ที่ทำให้ท่านก็บอกว่า หลวงพ่อแพท่านอนุญาตแล้ว กลับมาที่พระเครื่องรุ่นมงคลนวการ 79 คุณบู้บอกผมว่าพระชุดนี้พิเศษกว่าชุดอื่นเพราะหลวงพ่อบรรจะธรรมกายลงไป โดยทั่วไปคุณบู้ถ้าได้จับพลังก็จะรู้เลยว่าเป็นพระของหลวงพ่อหรือเปล่า คุณบู้เคยเล่าให้ผมฟังพระเครือ่งของหลวงพ่อจะมีเอกลักษณ์ของพลังไม่เหมือนใคร พระของหลวงพ่อจะขึ้นเต็มองค์ตลอด ไม่ใช่ขึ้นมาครึ่งองค์หรือมาแต่หน้าท่าน พระเกจิที่สามารถเสกพระได้เต็มองค์นั้นต้องมีพลังจิตที่สูงมากเท่านั้นถึงทำได้ นั่นคือพระอภิญญษ หรือโสดาบันขึ้นไป
    เรื่องพลังจิตอันสูงของหลวงพ่อนั้นจะกล่าวต่อไปในภาคปาฏิหาริย์

    พระอาจารย์ทางกาญจนบุรี

    ผมไปกราบหลวงพ่อฉาบเกือบทุกอาทิตย์ และวันที่ผมว่างมีเวลา เมื่อไปกราบท่าน ท่านก็จะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง ผมเคยได้ยินจากปากท่านว่า ท่านเคยไปเรียนวิชากับพระอาจารย์ท่านที่กาญจนบุร๊ ไปๆมาๆอยู่หลายปี แต่หลวงพ่อไม่เคยบอกว่าเป็นพระอาจารย์ท่านใด ผมเห็นรูปพระเกจิองค์หนึ่งซึ่งหลวงพ่อแขวนไว้บนหัวนอนท่าน และท่านจะบูชาอาจารย์ด้วยพวงมาลัย เพราะเห็นพวงมาลัยอยู่เสมอๆ คาดว่าอาจารย์องค์นี้ อาจแป็นอาจารย์องค์สุดท้ายของท่าน

    นอกจากอาจารย์ทางวิปัสสนากรรมฐานและครูบาอาจารย์ทางคาถาอาคมต่างๆ หลวงพ่อท่านก็เป็นเรื่องยาสมุนไพรด้วย เพราะที่วัดมีน้ำมันเสกรักษาโรคด่างๆที่หลวงพ่อทำขึ้นเอง นอกจากนี้หลวงพ่อยังเคยเมตตาบอกสูตรยารักษาโรคมะเร็งให้กับศิษย์คนหนึ่งด้วย
    และนั่นเป็นการยืนยันว่า หลวงพ่อท่านได้เรียนวิชาสมุนไพรโบราณมาจากอาจารย์ที่ไม่ทราบนามท่าน

    วัตรปฏิบัติของหลวงพ่อ

    หลังจากที่หลวงพ่อได้ออกธุดงค์ไปที่ต่างๆมากมาย แต่ตอนนั้นท่านได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีสาครแล้ว บางปีหลวงพ่อจะออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ บางทีออกธุดงค์นานถึง 2-3 พรรษา ก็จะกลับมาที่วัด ท่านได้ฝากให้พระลูกวัดดูแลวัดแทนท่าน จนมาระยะเมื่อ 30 ปีก่อน ตอนนั้นท่านอายุเข้า 50 ปลายๆท่านก็อยู่ประจำวัด ท่านก็ได้บำรุงศาสนสถานของวัดท่านเท่าที่จะสามารถทำได้ ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดมากในศีลจรรยาวัตรปฏิบัติ พระลูกวัดก็ต้องอยู่ในกฎ และตั้งใจปฏิบัติตามท่านอย่างเคร่งครัด หลวงพ่อท่านดุมากครับตามที่ได้ยินมา สมัยก่อนนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่ง ชาวบ้านเรียกท่านว่าหลวงพ่อเสือ พระลูกวัดที่ทำไม่ดีทำตัวเหลวไหล เป็นอันต้องเจอดีแน่ หลวงพ่อท่านเป็นพระดุและจริงจัง เสียงดังฟังชัด ดังนั้นพระลูกวัด และชาวบ้านละแวกนั้นจะให้ความเคารพยำเกรงท่านมาก ไม่กล้าทำอะไรไม่ดี เพราะท่านเป็นพระจริง ไม่มีใครกล้าโกหกท่านตอนที่อยู่ต่อหน้าท่าน ที่จริงแล้วต้องพูดว่าไม่มีใครโกหกท่านได้ ท่านรู้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตอนที่เดินเข้ามาหาท่าน ท่านก็รู้แล้วว่าบุคคลนั้นประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม หรือเป้นคนเลว หรือไปช่อโกงเอารัดเอาเปรียบใคร หรือแม้กระทั่งใครมาการาบท่านแต่โดนของมา เรื่องต่างๆเหล่านี้หากเป็นศิษย์ใกล้ชิดมากราบท่านบ่อยๆ ท่านจะเล่าให้ฟังเสมอว่า เมื่อสักครู่มีคนโดนของมานั่งกราบท่าน ใครเป็นอะไรมา คนๆนั้นเป็นคนอย่างไร

    เรื่องที่หลวงพ่อเป็นพระที่ดุมากนั้นถ้าทำอะไรที่ไม่ดีมา เป็นเรื่องจริงครับ ลูกศิษย์ท่านและชาวบ้านละแวกอำเภอปากบาง และจังหวัดสิงห์บุรีจะเคารพนอบน้อมท่านมาก ท่านเป็นพระที่ตบะเดชะสูงจริงๆครับ เอาเป็นว่าไม่มีใครกล้าลองดีกับหลวงพ่อสักคน เท่าที่ผมสัมผัสมา ครั้งหนึ่งหลวงพ่อเคยเล่าให้ผมฟังว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งเป้นเศรษฐีนี เข้ามากราบหลวงพ่อที่กุฏิ หลวงพ่อโดยญานรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนไม่ดี ชอบเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านมาก และเข้ามาก็พูดจาไม่ดี แต่วันนั้นนำเงินสดไม่ได้ใส่ซอง เข้ามาถวายหลวงพ่อ แกพูดอะไรไม่เข้าหูหลวงพ่อ เท่านั้นแหละหลวงพ่อท่านไล่ให้กลับไป แล้วโยนเงินกลับคืนไปให้ แล้วพูดว่าเอาเงินคืนไป ฉันไม่อยากได้หรอก เงินสกปรก ผู้หญิงคนนั้นต้องรีบเผ่นออกจากกุฏิท่านแทบไม่ทัน

    หลังจากที่หลวงงดออกธุดงค์แล้ว หลวงพ่อก็ประจำอยู่ที่วัด ทำนุบำรุงวัดศรีสาครเรื่อยมา หลวงพ่อเกิดอาพาธเป็นโรคทางไสยศาสตร์ ซึ่งทำให้หลวงพ่อเจ็บปวดทุกอณูของร่างกายแต่ท่านก็ยังปฏิบัติของท่านไม่เคยหยุด ผมไม่แน่ใจว่าพอหลวงพ่อท่านอยู่ประจำที่วัดแล้ว ท่านได้ปวรณาตัวไม่ลงจากกุฏิของท่านตลอดชีวิตหรือเปล่า แต่หลวงพ่อท่านไม่ลงจากกุฏิของท่านเลย นอกจากจะไปรักษาตัว ซึ่งในปีพ.ศ. 2549 ตั้งแต่ผมได้มากราบและรู้จักท่าน ท่านไม่ไปรักษาที่ไหนอีกแล้ว ท่านฉัน จำวัด และต้อนรับญาติโยมบนกุฏิของท่าน เท้าไม่แตะพื้นมานานนันสิบๆปี จนกระทั่งมีอยู่แค่วันเดียว ที่เป็นวันบวงสรวงเพื่อก่อสร้างกำแพงรอบวัด และกุฏิ 13 หลัง ท่านลงมาจากกุฏิเพื่อเข้าร่วมพิธี ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมากที่เห็นหลวงพ่อลงจากกุฏิ หลังจากเท้าท่านไม่แตะพื้นดินมาเป็นระยะเวลาไม่น่าจะต่ำกว่า 20 ปีเห็นจะได้ จากปากคำบอกเล่าของกรรมการวัด

    เป็นเรื่องแปลกมากที่หลวงพ่อท่านไม่ลงมาเหยียบพื้นดินเลยเป็นเวลาสิบๆปี ท่านไม่ดูทีวี ไม่ดูหนังสือพิมพ์ แต่ท่านรู้ทุกอย่าง พูดได้อย่างไม่ติดขัดเกี่ยวกับความเป็นไปของบ้านเมือง และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจังหวัดสิงห์บุรีและละแวกใกล้เคียง ท่านสามารถวิเคราะห็ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรถูกอะไรไม่ถูก น้ำจะท่วมหรือไม่ท่วม ท่านทราบทั้งเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบันและในอนาคต เพียงแต่ท่านจะพูดหรือเมตตาเล่าให้ฟังหรือไม่ สำหรับผม ไปกราบหลวงพ่ออยู่บ่อยๆ ก็สามารถลอกได้เลยว่าหลวงพ่อท่านหยั่งรู้ในทุกๆเรื่อง เพราะท่านเมตตาพูดและเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง บางอาทิตย์ผมแทบจะไม่ได้พูดเลย หลวงพ่อท่านเล่าองค์เดียวเลย

    ส่วนวัตรปฏิบัติของท่าน ท่านจะลุกขึ้นมาประมาณตีสอง หรือตีสามทุกเช้า หลังจากนั้นท่านก็นั่งสมาธิสวดมนต์ของท่านจนรุ่งเช้า คุณบู้ก็จะมากวาดถูกุฏิ และล้างห้องน้ำ ให้ท่าน หลังจากนั้นท่านก็ออกมารับแขกญาติโยมที่มีเรื่องเดือดร้อนหรือมากราบ

    กุฏิหลวงพ่อ

    เมื่อต้อนรับและโปรดญาติโยมและบรรดาศิษย์จนถึงเวลา 10.30 เช้า หลวงพ่อก็จะฉัน หลวงพ่อท่านฉันมื้อเดียว หลวงพ่อไม่ฉันสัตว์ใหญ่ และไม่ฉันอะไรที่ทำจากเลือดสัตว์ หลวงพ่อจะฉันปลาเป็นส่วนใหญ่ ท่านถือวัตรฉันมื้อเดียวมาตลอด ท่านจะฉันแระมาณหนึ่งชั่วโมง ฉันไปก็จะสั่งสอนศิษย์ที่รับใช้ท่านไป เมื่อฉันเสร็จ หลวงพ่อก็จะสวดให้พรแก่ญาติโยมทที่นำอาหารคาวหวานมา และแผ่เมตตาให้ศิษย์ทุกๆคน เวลาหลวงพ่อสวด หลวงพ่อจะสวดชัดถ้อยชัดคำ เหมือนมีพลังอัดลงไปในคำสวดของท่านทุกคำของภาษาบาลี ท่านจะว่าช้าๆและชัดทุกคำ เมื่อใครได้ยินได้ฟังก็จะรู้สึกได้ครับว่า ท่านตั้งใจมาก และบุญกุศลก็ได้รับจากท่านเต็มที่เหมือนกัน นั่นคือความรู้สึกที่ได้รับ เมื่อท่านสัพพีตีโยฯ

    หลังจากฉันเสร็จ วัตรปฏิบัติของท่านก็เรียบง่าย ถ้าท่านรู้สึกแข็งแรงดี และมีญาติโยมเดือดร้อนมาหา ท่านก็จะสงเคาระห์อีกสักพัก แต่ถ้าไม่มี เป็นที่รู้กัน ว่าหลังเที่ยงกุฏิของท่านจะปิดลงทันที ลูกศิษย์ใกล้ชิดที่ปรนนิบัติท่านก็จะปิดกุฏิ และให้หลวงพ่อได้อยู่องค์เดียว เวลาหลังจากนั้นจนรุ่งเช้าของวันใหม่ ไม่มีใครรู้ว่าหลวงพ่อทำอะไรบ้าง แต่ท่านจะอยู่องค์เดียว เข้าใจว่าท่านคงนั่งสมาธิสวดมนต์ และปลุกเสกของที่มีศิษย์สร้างถวายมาให้ ทุกอย่างดูเงียบสงัด จนกระทั่งทุกอย่างเริ่มใหม่เหมือนเดิมในเช้าวันถัดไป

    พูดถึงเรื่องการปิดกุฏิของหลวงพ่อ บางครั้งท่านจะบอกให้ลูกศิษย์รีบปิดทันที ท่านบอกกำลังมีคนมา ท่านอาจไม่อยากพบ แต่บางครั้งท่านก็รอพบคนที่กำลังมา โดยบอกให้ศิษย์รอ อย่าเพิ่งปิด ท่านรู้โดยฌานของท่าน เรื่องนี้เป็นี่รู้กันโดยชัดแจ้งและกลายเป็นเรื่องธรรมดาของศิษย์ที่รับใช้ใกล้ชิดท่าน และเมื่อประตูกุฏิปิดลง ต่อให้เป็นใครใหญ่มาจากไหน ท่านก็ไม่รับแขก หลวงพ่อปฏิบัติกับศิษย์ของท่านเท่าเทียมกัน ไม่ต้องมีกรรมการวัดมาคอยกัน หรือต้องมาบอกว่าหลวงพ่ออนุญาติ หลวงพ่อองค์เดียวเท่านั้น ทุกๆคนเหมือนกันหมด เว้นเสียแต่ว่าศิษย์คนไหนมีเรื่องเดือดร้อนจริงๆ ท่านก็จะเมตตาสงเคราะห์ให้ เรื่องการปิดกุฏิและหลวงพ่อทำอะไรหลังจากเทียงวันจนถึงรุ่งเช้าวันใหม่ ไม่มีใครรู้ และไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง แต่ท่านทำของท่านอย่างนี้มาเป็นสิบๆปี โดยไม่เคยลงจากกุฏิตามที่กล่าวมาข้างต้น


    เรื่องที่หลวงพ่อท่านไม่เคยออกไปไหนและไม่ลงจากกฏินั้น ปรากฏเรื่องราวปาฏิหาริย์มหัศจรรย์ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ จนเป็นที่พูดถึงกัน ปากต่อปาก เรื่องก็มีอยู่ว่า หลวงพ่อท่านปรากฏไปบิณฑบาตตามที่ต่างๆเสมอ มีพยานยืนยันว่าหลวงพ่อท่านไปบิณฑบาตที่นครสวรรค์ สุพรรณบุรี หรือไกลถึงเชียงใหม่ก็มี เรื่องราวนี้ปรากฏแก่ศิษย์ใกล้ชิด เพราะคนที่ตักบาตรหลวงพ่อได้ถามว่าหลวงพ่ออยู่วัดไหน หลวงพ่อท่านก็บอกว่าอยู่วัดศรีสาคร อำเภอปากบาง จังหวัดสิงห์บุรี โยมที่ตักบาตรหลวงพ่อท่านก็ตามมาหา แล้วก็มาบอกหลวงพ่อว่าได้เคยตักบาตรหลวงพ่อที่นครสวรรค์ แล้วหลวงพ่อบอกว่าอยู่ที่วัดนี้ ก็ตามมากราบหลวงพ่อ หลวงพ่อได้แต่ยิ้มๆ ไม่เคยพูดอะไร แล้วก็สนทนากันตามอัทยาศรัย ลูกศิษย์ใกล้ชิดรู้เรื่องโดยตลอดเพราะเวลาหลวงพ่อท่านรับแขก ศิษย์รับใช้ใกล้ชิดก็จะคอยดูว่าท่านต้องการอะไรหรือไม่ หรือไม่ก็กำลังเตรียมสำรับภัตราหารไว้ให้หลวงพ่อฉันตอน 10.30 น เรื่องการบิณฑบาตรต่างจังหวัดหลวงพ่อนี้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่ง เพราะหลวงพ่อท่านไม่เคยลงจากกุฏิเลย และหลวงพ่อท่านอยู่รับแขกทุกวันตอนเช้า ศิษย์ใกล้ชิดก็เจอท่านอยู่ที่กุฏิทุกวัน ไม่รู้ทันไปได้อย่างไรและตอนไหน เวลาเปิดกุฏิท่านคือประมาณ 5.30น แต่หลวงพ่ออาจยังไม่ออกมา แล้วแต่ ท่านอาจนั่งสมาธิถอดร่างไปบิณฑบาตตามที่ต่างๆเพื่อโปรดญาติโยมตามหน้าที่ เรื่องนี้ไม่ใช่ได้ยิน หรือมีคนที่ตักบาตรหลวงพ่อตามมากราบท่านเพียงคนเดียวหรือจังหวัดเดียว ปรากฏว่ามีมาหลายจังหวัดดังกล่าวข้างต้น

    สมัยก่อนมีศิษย์ใกล้ขิดท่านคนหนึ่งจะคอยนอนเผ้าท่านที่กุฏิ แต่นั่นนานมากแล้ว ตกกลางคึกเงียบสงัด ศิษย์ใกล้ชิดคนนั้นได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ภายในกุฏิท่าน ซึ่งจริงๆแล้วอยู่ที่เดียวงกันกับหลวงพ่อ แต่อยู่คนละฟาก ตรงกลางจะเป็นที่ตั้งพระพุทธรูปที่ใหญ่มาก ศิษย์คนนั้นเล่าให้ผมฟังว่า เสียงดังเหมือนมีระเบิดลงกลางกุฏิ เสียงกระจกสั่นไหวเหมือนแผ่นดินไหว หลังจากสิ้นเสียงดังและเสียงสั่น ก็มีเสียงหลวงพ่อตามมาว่า เสียงมันดังจังเลยนะ ไม่มีอะไรหรอก ฉันลองคาถาหัวใจเปรตเท่านั้น ไม่มีอะไร ทำเอาลูกศิษย์คนนั้นงงและอึ้งไปกันใหญ่เลย

    อ้างอิงข้อมูลจากhttp://www.sittloungpormhui.com/boar...p?topic=3216.0

    เหรียญนี้ทรงเสมา ครับ สร้างสองแบบ เหรียญไข่ กับ เสมา

    แบ่งบูชาเหรียญล่ะ 3500 ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. goden

    goden เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +1,322
    เข้ามาเยี่ยมชมครับ
     
  15. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    เหรียญรุ่น 5 หลวงพ่อฉาบ วัดศรีสาคร เนื้อทองแดง

    แบ่งบูชาเหรียญล่ะ 400 บาทครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    ปรกฤาษีจ้อยชุบน้ำมันงา หลวงปู่ปัญญา วัดหนองผักหนาม จ.ชลบุลี

    ปรกฤษี องค์ จ้อย รุ่นแรก

    หลวงปู่สร้าง ฤาษีรุ่นแรก เป็นปรกมะขามขนาดประมาณได้ว่าเล็กกว่าเหรียญสลึง
    วิชาฤษีเป็นวิชาที่หลวงปู่ไปเรียนในดงบนเขาในถ้ำ จากฤษี เริ่งตั้งแต่ภูเขาควาย หลวงปู่ไม่เคยสร้างฤษี เพราะท่านบอกทำยาก ครูฤษีจริงๆแล้ว แรง มีอาถรรพณ์ และครูแบบพิศดารมาก ครูฤษีนี้เวลาเสก ต้องทำพิธีเชิญท่าน ทั้ง 108 ว่ากันตั้งแต่ ท่าน ฤษีอิศวร พรหม ฤาษีเพชรฉลูกรรณ ฤาษีนารอด นารทฤาษี เทพฤาษี ฤาษีกไลยโกฏิ ฤาษีภรตมุนี ฤาษีวสิษฐ์ ฤาษีวิศวามิตร พอเสกทั้ง 108 องค์แล้วก็เชิญองค์ครูครอบ ให้ใช้เทียนส่องเบิกเนตร อย่างนี้ พ่อปูฤษี ที่สร้างจะแฝงญาณ ฤษี เรื่องฤษีนี้หลวงปู่บอกว่า พระนี่เสกไม่ขลังหรอก ต้องเชิญมา 108 องค์นี้แหละถึงจะขลัง รุ่นแรกรุ่นนี้ ท่านเสกในน้ำมันงา น่าประหลาดที่หลวงปู่กำหนดจิตชักลูกประคำปลุกเสกเท่านั้นน้ำมันงานี้เดือดปุดปุด แสดงถึงอนุภาพ เล่นฤทธิ์ กสิณของหลวงปู่ ปรกนี้ มีคนไปลองแล้ว เล็กๆอย่างนี้แรงมาก คนตลาดมีนบุรีนิ้วติดในเครื่องบดหมู นิ้วจะขาดอยู่แล้ว เครื่องดับเองน่าฉงน มีปรกหลวงปู่คล้องคออยู่องค์เดียวครับ

    ประสบการณ์เยอะครับรุ่นนี้

    บูชา 1,000 ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    สมเด็จชานหมาก หลวงพ่อแสวง วัดสว่างภพ


    ประวัติโดยสังเขปของพระครูปทุมกิจโกศล หลวงพ่อแสวง อริโย
    หลวงพ่อแสวง อริโยเกิดในตระกูลเจ้าพระยา เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 4 ปีชวด พ.ศ. 2567 ตรงกับ วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2467 ร.ศ.143 จ.ศ. 1286

    โยมปู่ชื่อหลวงเจนกระบวนทิศ(ต้นนามสกุลเจนกระบวน) เป็นเชื้อสายชาวมอญที่เป็นแม่ทัพนายกอง ซึ่งมีวิทยาคมสูงส่ง เจ้าของตำราผงสิบสองนักกษัตริย์ พูดถึงผงสิบสองนักกษัตริย์หลายท่านอาจจะงง แต่ถ้าพูดถึงหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ จ.ปทุมธานี และหลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกระฌอ จ.ชลบุรี ท่านคงจะหายสงสัย เพราะสมเด็จรุ่นแรกของหลวงปู่เทียน ที่ผสมผงสิบสองนักกษัตริย์ และสมเด็จรุ่นแรกของหลวงพ่อเริ่ม ก็มีราคาแพงเป็นที่ใฝ่หาของผู้ที่ดวงตก กำลังหาวัตถุมงคลเสริมดวง(รายละเอียดผงสิบสองนักกษัตริย์ หาอ่านได้ในประวัติหลวงปู่เทียนและหลวงพ่อเริ่ม) ผงสิบสองนักกษัตริย์นี้ การสร้างจะคล้ายๆกับผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ถ้าอยากทราบครั้งหน้าผมจะอธิบายรายละเอียดการทำผงสิบสองนักกษัตริย์ให้ฟัง

    ไปฝากตัวกับพระเถราจารย์รุ่นเก่าอีกมากมายนับไม่ถ้วน พระเถราจารย์ที่หลวงพ่อแสวงได้ศึกษามีดังนี้
    1. หลวงพ่อเลื่อน วัดไผ่ จ.อยุธยา
    2. หลวงพ่อสมบุญ วัดสว่างภพ หลวงพ่อแสวงได้รับการถ่ายทอดวิชาแพทย์แผนโบราณ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492 – 2500 จนมีความรู้ความสามารถทางการแพทย์แผนโบราณเป็นอย่างดี
    3. หลวงพ่อโป๋ วัดวังแดง จ.อยุธยา
    4. หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ จ.อยุธยา หลวงพ่อแสวงได้รับการถ่ายทอดมาหลายวิชา
    5. หลวงพ่ออุ่ม วัดเจ้ากอ จ.อยุธยา
    6. หลวงพ่ออู๊ด วัดหัตถสาร จ.ปทุมธานี
    7. หลวงพ่ออ่ำ วัดวงฆ้อง จ.อยุธยา
    8. หลวงพ่อโอภาส วัดพระศรีไกรน้อย บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา เก่งมากทางสักยันต์ คงกระพันชาตรี
    9. หลวงพ่อจง พุทธสโร แห่งวัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา
    10. อาจารย์คง เป็นฆราวาสและเป็นศิษย์หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม
    11. อาจารย์หลำ เป็นฆราวาสมีอาคมแก่กล้าทางด้านคงกระพันชาตรี
    12. อาจารย์และพระเกจิอาจารย์ท่านอื่นๆอีกมากมาย

    ประวัติพระสมเด็จเนื้อชานหมาก

    พระชุดเนื้อชานหมากนี้ หลวงปู่แสวงได้ใส่ผงพุทธคุณของหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก จ.พระนครศรีอยุธยา ครั้นเมื่อหลวงปู่จงได้มาเสกพระเครื่องชุดพระผงพิมพ์หลวงปู่จง ทั้ง 3 พิมพ์ คือ พิมพ์พระสมเด็จ พิมพ์หลวงปู่จง(กลีบบัวหรือหยดน้ำ) พิมพ์หลวงปู่จง(นิ้วมือ) ทั้งความเข้มขลังผงวิเศษหลวงปู่จง(อาจารย์)และความตั้งใจในการสร้างของหลวงปู่แสวง(ศิษย์) เรียกได้ว่าเป็นพระเครื่องที่สมบูรณ์และสุดยอดพุทธคุณ หลวงพ่อแสวงท่านตั้งใจทำชุดเนื้อชานหมากนี้เป็นอย่างมากครับ โดยที่หลวงพ่อต้องจารใบพลู จารหมาก จารปูน แล้วเสกทั้ง 3 สิ่ง แล้วถึงเคี้ยว แล้วบริกรรม ภาวนาจนเสร็จแล้วท่านจะนำชานหมากนี้มาตำ และจึงพิมพ์เป็นพระเครื่องชุดนี้ครับ ท่านทำอย่างนี้จนกระเพาะท่านอักเสบ เนื่องจากปูนได้ไปกัดกระเพาะหลวงปู่ครับเพราะปกติหลวงปู่ไม่เคี้ยวหมากเลยครับ แม้สุขภาพท่านไม่แข็งแรง คุณหมอโรงพยาบาลนวนครได้ขอให้ท่านพักผ่อนให้มากๆก็ตาม แต่ท่านตั้งใจทำจนสำเร็จตามประสงค์ ท่านยังได้บอกกับศิษย์คนสนิทว่า พระชุดนี้ดี หลวงปู่หนู วัดชีปะขาว ได้มานิมิตให้เห็นแล้วบอกให้หลวงปู่แสวงได้สร้างพระเนื้อชานหมากนี้ขึ้นมาครับ จึงเป็นที่มาของพระเครื่องชุด เนื้อชานหมากนี้ครับ


    อ้างอิงข้อมูลจาก พี่ โชคแสนดี กระทู้สืบสานบูรพาจารย์หลวงปู่แสวง อริโย ครับ
    รูปขนาดเล็ก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    หนุมาน หลวงพ่อแสวง วัดสว่างภพ

    ที่มาที่ไปของวัตถุมงคลชุดนี้ อันเนื่องมาจากวันหนึ่งหลวงปู่แสวงท่านมีดำริที่จะสร้างหนุมานขึ้นมาให้ลูกศิษย์ได้มีไว้ใช้กันซึ่งเป็นวิชาที่ท่านได้ร่ำเรียนมานานแล้ว แต่ยังไม่ได้สร้างขึ้นมาเป็นรูปธรรมเลยสักทีเพราะท่านได้บอกว่าหนุมานนี้มีฤทธิ์มากเหลือประมาณ ซึ่งหลวงปู่ท่านได้เมตตาเล่าให้ฟังว่าในย่านเมืองปทุมธานีนี้ ไม่มีท่านใดสร้างหนุมานปิดตาได้เข้มขลังเหมือนหลวงพ่อเฮง วัดบางขันเป็นที่ขึ้นชื่อในเวลานั้น ซึ่งวิชาหนุมานปิดตาเป็นวิชาทางสายเขมรที่ได้รับการถ่ายทอดมาโดยที่หลวงพ่อเฮงกับหลวงปู่แสวงรู้จักกันดี หลวงปู่แสวงท่านบอกว่าการทำนั้นไม่ยากเท่าไหร่ แล้วหลวงปู่ก็ยิ้ม แล้วบอกว่าต้องเตรียมว่าน 108 ซึ่งจะมีว่านตัวสำคัญที่ขาดไม่ได้อยู่สองสามชนิด จากนั้นต้องใช้ความไวและความอดทนในการไปยืนใต้ต้นโพธิ์เพื่อที่จะรอใบโพธิ์ที่กำลังร่วงลงมา ห้ามตกลงพื้นโดยเด็ดขาด เมื่อได้ใบโพธิ์มาแล้วให้ลงอักขระเลขยันต์ในทุกๆใบแล้วทำการเสกแล้วนำไปเผาให้ได้ขี้เถ้าพอที่จะนำมาปั้นแล้วทำการตั้งธาตุ หนุนธาตุ ให้เป็นตัวหนุมาน แล้วทำการเสกให้มีอำนาจมีฤทธิ์ตามกำลังครับ ในตอนนั้นสุขภาพหลวงปู่ไม่ค่อยดีเลยและอีกอย่างกว่าจะได้หนุมานหนึ่งตัวก็คงไม่ทันใจลูกศิษย์เป็นแน่ จึงได้ขออนุญาตท่านลดขั้นตอนลงมาให้สะดวกขึ้น โดยที่ได้นำไม้พะยุงมาแกะเป็นลิง ซึ่งหลวงปู่ท่านก็อนุญาตให้กรรมการวัดสร้าง แต่ต้องลงอักขระตามที่ท่านกำหนดเท่านั้น โดยที่ขาดไม่ได้ต้องลง นะครูทั้งสาม อุณาโลมที่หน้าผากและอักขระบนหลักให้เปรียบเสมือนอาวุธของหนุมาน จากนั้นหลวงปู่ท่านก็ทำการอธิฐานจิต เสกตามสูตรโบราณจนเป็นที่มั่นใจของหลวงปู่ท่าน จึงให้นำมาไว้บูชากัน หลวงปู่ท่านจะไม่เรียกว่าลิงจับหลัก แต่ท่านจะเรียกว่าหนุมานเพราะท่านได้ทำให้เป็นหนุมานเต็มสูตรแล้ว ผู้ที่ได้นำไปติดตัวต่างพูดกันในทำนองเดียวว่าคล่องตัวดีมากๆ โดยเฉพาะด้านเจรจาพาที เข้าหานาย ลูกค้า และสตรีชน ว่าแรงมากๆเหมือนที่เราๆท่านๆก็รู้ว่าหนุมานเวลาเกี้ยวพาราศีใคร เคยพลาดบ้างไหมครับ คงไม่ต้องบรรยายอะไรเพิ่มนะครับ ถือว่าเป็นของดีที่ไม่ควรมองข้ามเลยครับ

    อ้างอิงข้อมูลจาก พี่ โชคแสนดี กระทู้สืบสานบูรพาจารย์หลวงปู่แสวง อริโย ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    รายการต่อมาสีผึ้งหลวงปู่บุญศรี วัดใหม่ จ.นครสวรรค์ นะครับ หายาก แท้ทั้งตลับ ที่มาที่ไปดีครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    สีผึ้งจันทร์เพ็ญ อาจารย์ธรรมนูญ บุญธรรม สำนักสักยันต์บัวแปดกลีบ ชลบุรี

    สีผึ้งของอาจารย์ธรรมนูญนั้นทำขึ้นจากวัสดุธรรมชาติล้วนๆ และเป็นมงคลอย่างยิ่ง
    มิได้สร้างขึ้นจากวัตถุอาถรรพ์ที่อาจมีโทษมีอันตรายเมื่อภายหลังได้ เพราะสำนักของท่านปู่พ่วงใช้แต่พระพุทธคุณ
    ไม่มีส่วนผสมของกระดูกผี ขี้เถ้าศพ น้ำมันพราย อะไรทำนองนี้

    ตำรับการทำสีผึ้ง ของสำนักท่านมีพิธีกรรมและขั้นตอนการทำที่ยุ่งยากมาก
    โดยในปี 2552 จู่ๆ ท่านก็นึกอยากทำสีผึ้งขึ้น
    ก็เริ่มเตรียมการตั้งแต่ซื้อหม้อใหม่มาลงอักขระเลขยันต์
    แล้วลงยันต์ในกระดาษสาวางที่ก้นหม้ออีกทีหนึ่ง

    หลังจากนั้นก็นำต้นเทียนชัยยาวเป็นวา ที่อาจารย์เก็บรักษาไว้จากงานพุทธาภิเษกของวัดเครือวัลย์
    ซึ่งเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงพ่อแก้ว ผู้สร้างพระปิดตาอันโด่งดังไปทั้งประเทศ
    อาจารย์ได้เอาเทียนชัยต้นนั้นมาผ่าเอาไส้เทียนออกแล้วแผ่ให้แบน
    จากนั้นลงจารพระยันต์ที่ล้วนแล้วแต่เป็นเลิศทางเมตตามหานิยม และโชคลาภโดยเฉพาะ อาทิ
    ยันต์สุกิตติมา ที่หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ยกย่องว่าเป็นเลิศ
    ยันต์ช้างประสมโขลง ที่พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทองบอกว่าเมตตาไม่มีใดเทียม
    ยันต์เทพรำลึก
    ยันต์เทพรัญจวน
    ยันต์นะฤาชัย ยันต์นะฤาชา
    ยันต์มหาละลวย ฯลฯ
    แต่ที่จะขาดเสียมิได้คือ ยันต์นะหน้าสิงห์ และยันต์นะหน้าทอง

    จากนั้นก็นำเทียนชัยที่ลงอักขระเลขยันต์ไว้แล้วมาทำการเสกจนแน่ใจ
    แล้วนำไปเคี่ยวประสมกับขี้ผึ้งแท้และน้ำมันมะพร้าว
    โดยต้องเคี่ยวกลางแดดเมื่อเที่ยงตรงเพราะอาศัยฤกษ์ให้ทรงฤทธาว่าเขาย่อมมีใจกับเราอย่างเที่ยงตรงดี ไม่คด ไม่โกง
    ไม้พายที่ใช้กวนสีผึ้งทำจากไม้กาหลง แล้วต่อด้ามด้วยไม้รักซ้อน ส่งผลให้ผู้คนทั้งหลงใหลและรักแล้วรักอีกซ้ำซ้อนเหมือนชื่อไม้
    ทั้งหม้อบรรจุ เตาไฟ และไม้ฟืน (ต้องเป็นไม้มะยมกับไม้รักเท่านั้น) ก็ล้วนลงอักขระเลขยันต์ตามตำรับตำราไว้ถ้วนทั่ว
    จะหาเครื่องประกอบยาแม้สักชิ้นหนึ่งที่มิได้ลงอักขระพระยันต์ไม่มีเลย

    เมื่อเคี่ยวกวนยามเที่ยงวันแล้ว ครั้นตกถึงเที่ยงคืนอันเป็นวันศุกร์ยอดแห่งความเย็น
    ทั้งยังเป็นเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง เดือนสิบสอง ปี 2549
    อาจารย์ก็นำหม้อสีผึ้งมาเคี่ยวบริกรรมภาวนากลางแจ้งรับแสงจันทร์เพ็ญ ให้ซึมซาบเอิบอาบความเยือกเย็นและผ่องอำไพ
    เป็นเคล็ดว่าเมื่อใครเห็นหน้าก็ดูสดใสชวนให้หลงใหลเหมือนได้มองพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญนั่นแล

    ในขั้นตอนการทำสีผึ้งของสำนัก
    อาจารย์ธรรมนูญเล่าให้ฟังว่า ถ้าจะให้เข้มขลังเอกอุจะต้องหุงถึง 3 ไฟ
    ซึ่งอาจารย์ได้เล่าให้ฟังว่า ตัวท่านเป็นคนโลภมาก ทำอะไรก็อยากทำให้ดี มีวิชาอะไรก็ใส่ไปหมด
    ดังนั้นสีผึ้งนี้ท่านจึงทำถึง 3 ไฟ ด้วยกัน คือ

    ไฟแรก จะต้องหุงและบริกรรมจนเกิดเป็นรูปนิมิตผู้หญิงห่มสไบลอยขึ้นมาเหนือสีผึ้งที่กำลังหุงอยู่
    ซึ่งแค่ไฟแรกนี้ก็ถือว่าขลังใช้ได้แล้ว และหาคนที่จะหุงให้สำเร็จแบบนี้ได้ก็ยากเต็มที
    ไฟที่สอง ต้องบริกรรมหุงไปจนกระทั่งรูปนิมิตดังกล่าวเปลื้องผ้าสไบออกหมด
    ไฟที่สาม ท่านเล่าให้ฟังว่าต้องเพ่งจิตให้หนักเข้าจนรูปนิมิตนั้นเดินเข้ามากอดตัวเรา จึงจะถือว่าสำเร็จ เป็นเมตตามหานิยมชั้นสูง

    สีผึ้งนี้มีอานุภาพทางเมตตาอย่างร้ายกาจ ขนาดที่ลูกศิษย์อาจารย์สีปากไปทำงานในโรงงาน นั่งกินข้าวอยู่กับเพื่อนร่วมงาน
    พอดีเจ้านายเรียกจึงลุกพรวดพราดออกไป ทิ้งขันน้ำดื่มซึ่งตนเองดื่มไว้โดยที่ปากยังมันแผล็บจากสีผึ้ง
    มันจากสีผึ้งก็ลงไปลอยเป็นฝ้าอยู่ในน้ำ ปรากฏเจ้ากรรมผู้หญิงในโรงงานมาพอดีหยิบขันน้ำขึ้นกินทั้งสาวทั้งแก่
    ทีนี้แหละตามลูกศิษย์ตัวดีมาเป็นภรรยาตั้ง 2-3 คน


    อ้างอิงข้อมูลจากกระทู้พี่หมออานุภาพครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...