พระศรีอาริย์เจ้าโลก บทที่๑ กัปป์แห่งลัทธิพุทธและภัททกัปป์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย วสุธรรม, 10 ธันวาคม 2018.

  1. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    SriarayaFeature01.jpg

    บทที่ ๑
    กัปป์แห่งลัทธิพุทธและภัททกัปป์


    กัปป์แห่งลัทธิพุทธและภัททกัปป์ ซึ่งทรงพระพุทธเจ้าได้ ๕ องค์ เพื่อสร้างโลกแห่งความเสรีไว้ให้สัตว์ได้รับความอิสรภาพ กล่าวคือโลกพระนิพพาน ในบทนี้จะได้กล่าวโดยเฉพาะกัปป์ใน ทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น กัปป์ในทางพระพุทธศาสนามีอยู่ ๒ ชนิดคือ: –

    ๑. สุญญกัปป์ (ไทย) สุญญกปป (บาลี) ศูนยกลุป (สัน สกฤต) แปลว่า กัปป์ที่ไม่ทรงพระสัพพัญญพุทธเจ้า พระปัจเจก พุทธเจ้า และพระเจ้าบรมจักรผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ

    ๒.อสุญญกัปป์ (ไทย) อสุญญกปป (บาลี) อศุนยกลุป (สัน สกฤต) แปลว่า กัปป์ผู้ทรงผู้วิเศษ ๓ จําพวกไว้ คือพระสัพพัญญ พุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าบรมจักร

    อนึ่ง ภัททกัปป์ หมายถึง กัปป์แห่งความเจริญรุ่งเรืองหรือ จะเรียกว่ากัปป์แห่งวัฒนธรรม ก็ไม่ผิดความจริงนัก เช่น สรรพ วัตถุที่เกิดโดยทางวิทยาศาสตร์ในทุกวันนี้ก็เป็นพยานชี้ให้เห็นว่า เป็นความเจริญจริงๆ และก็เป็นกัปป์ที่เสื่อมจริงๆ ตามไปด้วย


    อสุญญกัปป์ ยังแบ่งออกไปอีก ๕ อย่าง คือ: –
    ๑. สารกัปป์ ทรงพระสัพพัญญพุทธเจ้าไว้พระองค์เดียว

    ๒. มัณฑกัปป์ ทรงพระสัพพัญญพุทธเจ้าไว้ ๒ พระองค์

    ๓. วรกัปป์ ทรงพระสัพพัญญพุทธเจ้าไว้ ๓ องค์

    ๔. สารมัณฑกัปป์ ทรงพระสัพพัญญพุทธเจ้าไว้ ๔ พระองค์

    ๕. ภัททกัปป์ ทรงพระสัพพัญญพุทธเจ้าไว้ ๕ พระองค์

    2-300x225.jpg

    อนึ่ง คําว่ากัปป์นี้หมายถึง มหากัปป์ มหากัปป์นี้แบ่งออก เป็น ๒๐ อันตรากัปป์ อีกตําราหนึ่งแบ่งเป็น ๖๔ อันตรากัปป์ หมายถึง แผ่นดินที่ตั้งขึ้นครั้งหนึ่งๆ แล้วทําลายไป คือตั้งขึ้นและ ดำรงอยู่นั้นเรียกว่ามหากัปป์ แต่ได้แบ่งย่อยๆ ออกเป็น ๖๔ กัปป์หรืออันตรากัปป์ และคําว่ากัปป์ก็คือคําว่าอสงไขยนั้นเอง จะเรียกกัปป์ก็ถูก จะเรียกว่าอสงไขยก็ถูก สุดแต่จะอนุโลมใช้



    จัตตาริ อะสังเขยยาน อสงไขยหรือกัปป์นั้นแบ่งอีก อย่างหนึ่งมี ๔ ประการคือ: –

    ๑. สังวัฏฏะอสงไขย แปลว่า ระยะเวลาอันฉิบหายนั้นนับ เป็นอสงไขยทีเดียว

    ๒. สังวัฏภัฏฐายีอสงไขย แปลว่า ระยะเวลาอันฉิบหายนั้น ตั้งอยู่นานเป็นอสงไขยทีเดียว

    ๓. วิวัฏฏะอสงไขย แปลว่า ระยะเวลาอันบังเกิดความเจริญ

    ๔. วิวัฏฏฐายีอสงไขย แปลว่า ระยะเวลาอันตั้งอยู่แห่ง ความเจริญตลอดกาล

    สําหรับสังวัฏฏอสงไขยนั้น แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะคือ: –

    ๑. เตโชสังวัฏฏะ หรือกัปปวินาสัคคิ แปลว่า กัปป์วินาศ ด้วยไฟ – ไฟจะไหม้ขึ้นไปจนถึงอาภัสสราพรหมเป็นกําหนดเขต

    ๒. อาโปสังวัฏฏะ หรือ กัปปวินาสาโป แปลว่า กัปป์วินาศ ด้วยน้ํำ – น้ํำจะท่วมขึ้นไปจนถึงเบื้องใต้ชั้นสุภกิณหกาพรหมโลก ลงมาเป็นกําหนดเขต

    ๓. วาโยสังวัฏฏะ หรือ กัปปวินาสวาโย แปลว่า กัปป์วินาศ ด้วยลม-ลมจะพัดโลกวินาศตั้งแต่เบื้องใต้ชั้นเวหัปผลาพรหมโลก ลงมาเป็นกำหนดเขต

    ตัสมิง วินัสสันเต เมื่ออาณาเขตแสนโกฏิจักรวาลนั้น ฉิบหายแล้ว ชาติเขตจักรวาลทําลายไปพร้อมกัน มิใช่จะวินาศไป เฉพาะจักรวาลอันเดียวหรือชาติเขตอันเดียวก็หามิได้

    มูลเหตุแห่งความฉิบหาย ๓ อย่างในสังวัฏฏอสงไขย: –
    ๑. มนุษย์หนาด้วยโทสะ เป็นเหตุให้บังเกิดเตโชสังวัฏฏะหรือ กัปปวินาสัคคิ คือ กัปป์วินาศด้วยไฟ

    ๒. มนุษย์หนาด้วยราคะ เป็นเหตุให้บังเกิดอาโปส่งวัฏฏะ หรือกัปปวินาสาโป คือกัปป์วินาศด้วยน้ํำ

    ๓. มนุษย์หนาด้วยโมหะ เป็นเหตุให้บังเกิดวาโยสังวัฏฏะ หรือกัปปวินาศวาโย คือ กัปป์วินาศด้วยลม

    โลกนี้บังเกิดขึ้นจากผลบุญของสัตว์ แต่แล้วก็วินาศจากผล บาปของสัตว์ด้วยดุจกัน อะกุสะละมูลัง อกุศลมูลทั้ง ๓ เป็นเหตุให้ เกิดกัปป์ทั้ง ๓ ในวิวัฏฏฐายี อสงไขย แม้ว่าในอสงไขยนี้จะเป็นยุค แห่งความเจริญสักเพียงใดก็ตาม ผลบาปของสัตว์ทั้งหลายอันหนา ด้วยอกุศลมูลทั้ง ๓ ก็ยังอาจบันดาลให้โลกนี้เกิดกัปป์ทั้ง ๓ ได้อีก



    กัปป์หรือยุคทั้ง ๓ เป็นไฉน? เกิดจากอะไร?
    ๑. โมหมูล เป็นเหตุให้บังเกิด โรคันตรกัปป์ คือ เกิดโรค ระบาดร้ายแรง มีกําหนด ๗ เดือนจึงระงับ

    ๒. โทสมูล เป็นเหตุให้บังเกิด สัตถันตรกัปป์ คือ เกิด สงครามร้ายแรง มีกําหนด ๗ วันจึงระงับ

    ๓. โลภมูล เป็นเหตุให้บังเกิด ทุพภิกขันตรกัปป์ คือเกิด ฉาตกภัยอดอยากอาหารตายอย่างร้ายแรง มีกําหนด ๓ เดือนจึง ระงับ



    1.jpg

    ภัททกัปป์เริ่มตั้งมาแต่เมื่อใด? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรรู้ใน ทํานองรู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม คือเริ่มมาแต่มัณฑกัปป์ซึ่งทรง พระพุทธเจ้าไว้ ๒ พระองค์ คือพระพุทธสิขี กับพระพุทธเวสสภู มีเรื่องย่อๆ ดังต่อไปนี้:

    ๑. พระพุทธสิขี เป็นโอรสของพระเจ้าอรุณวัตตราชพระ นางประภาวดีแห่งกรุงอรุณวดี พระสิขี่เสด็จออกทรงผนวชโดย เศวตกุญชร (ช้างเผือก) ซึ่งเป็นพาหนะชั้นเยี่ยมในยุคนั้นเป็นราชยาน พร้อมด้วยบริวารประมาณ ๒ หมื่นคน ตรัสรู้ภายใต้ต้นมะม่วงขาว (ทุ่มบก) กระทําความเพียรอยู่ ๑๕ วัน พระพุทธสิขี้มีพระกายสูง ๗๐ ศอก พระชนม์ ๗ หมื่นปี จึงเสด็จเข้าสู่พระนิพพาน

    ๒. ในมัณฑกัปป์อันเดียวกันนี้ เมื่อสิ้นพระศาสนาของพระ พุทธสิขีแล้ว อายุของมนุษย์ก็ขัยลงไปจาก ๒ หมื่นปีจนเหลืออยู่ เพียง ๑๐ ปี แล้วขัยขึ้นไปเป็นลําดับจนถึง ๖ หมื่นปี พระพุทธ เวสสภูจึงมาตรัสในโลก พระองค์เป็นโอรสพระเจ้าสุปติตถะราช พระนางยสวดีแห่งพระนครอโนปมะ เสด็จออกทรงผนวชโดยสิวิกากาญจนา(วอทอง) เป็นราชยาน พร้อมด้วยบริวาร ๓ หมื่นคน กระทําความเพียร ๖ เดือนก็ทรงตรัสรู้ ณ ภายใต้ต้นรังใหญ่ พระ องค์มีพระกายสูง ๖๐ ศอก พระชนม์ ๖ หมื่นปี จึงเสด็จเข้าสู่พระ นิพพาน

    พระพุทธเจ้าทั้ง ๒ พระองค์นี้ มาตรัสในระหว่าง ๓๑ กัปป์ (อันตรากัปป์) ในมัณฑกัปป์ (มหากัปป์) ดังกล่าวแล้ว เมื่อ มัณฑกัปป์ล่วงไปแล้ว ก็บังเกิดภัททกัปป์อันนี้ขึ้น ซึ่งมีเวลานาน ทั้งหมด ๒๙ กัปป์ (อันตรากัปป์) และได้มีพระพุทธเจ้ามาตรัส ๕ พระองค์ คือ: –

    (๑) พระพุทธกกุสันธะ

    (๒) พระพุทธโกนาคมนะ

    (๓) พระพุทธกัสสปะ

    (๔) พระพุทธสมณะโคดม

    (๕) พระพุทธอริยเมตตัยยะ

    สําหรับองค์ที่ ๕ ยังเป็นพุทธอนาคตวงศ์ คือจะได้มาตรัส ในภายหน้า ส่วนองค์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ ได้ตรัสเป็นพระโปรดโลกไปแล้ว เป็นลําดับมา สําหรับองค์ที่ ๔ คือพระพุทธสมณะโคตมะเจ้าของ เราในปัจจุบันนี้ พระองค์ทรงดับขันธ์นิพพานไปแล้ว ๒๕๕๑ ปี ใน ปีที่เขียนนี้ พุทธมามกะจําพวกหน้าไหว้หลังหลอก กําลังพากันรุม ถลุงพุทธศาสนาให้พินาศไปโดยมิรู้สึกตัว

    ในตอนต่อไปนี้ จะได้นําเอาเรื่องกัปป์วินาศ และการตั้ง กัปป์ใหม่ในทางศาสนาพุทธ มีไฟไหม้และน้ํำท่วมโลกเหมือนกัน แต่ไม่มีพระเจ้าสร้างโลก-ทําลายโลก แต่ทว่าโลกมันเกิดขึ้นมาเอง

    โดยธรรมชาติบันดาลให้เกิดขึ้นหมายถึงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ํำ ไฟ ลม เป็นผู้ทําลายโลก และในแง่ตรงข้าม มันก็พยายามสร้างโลกให้เกิด ขึ้นใหม่ ซึ่งมีสาธารณกรรมของสัตว์คอยหนุนหลัง ในทํานองสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งครองโลก และเป็นสิ่งที่ลี้ลับอันมนุษย์เราจะทราบไม่ได้ ว่า อะไรและอย่างไร?

    เทวะโลเก ปะฏิลัทธญานะวะเสนะ มัณฑะกัปเป วินาเสติ เมื่อมัณฑกัปป์ ซึ่งทรงพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์จะวินาศนั้น สัตว์โลกนี้ตายจากมนุษยโลกแล้วก็ขึ้นไปบังเกิดในชั้นฉกามาพจรภพ ได้ซึ่งฌานแล้ว จึงจุติขึ้นไปบังเกิดในพรหมโลก ตะถาหิโดยแท้จริง อย่าสงสัยเลย!

    ฉะกามาวจรเทวา ยังมีเทวดาในฉกามาวจรองค์หนึ่ง มีนาม ว่า โลกายุหะ โดยอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวแล้วเข้าดลใจให้รู้ ความจริงว่า “อีกแสนปี จะบังเกิดกัปป์วินาศ”

    มุตตะสิโร เทวดาโลกายุหะ ก็สลัดมวยผมกระจุยกระจาย วิกิณณะเกสา มีผมอันสยาย อัสสุธารา มีน้ํำพระเนตรหลั่งไหล ทุกข์เทวศปริเทวนาการขนานใหญ่ พระหัตถ์ทั้งสองทุบถองพระทรวงร่ําไห้แทบชีวาจะบรรลัยลงรอนๆ

    อะติวิยะ วิรูปะเวสะธาริโน มีพระวรกายอันวิกลด้วยความ โศกสุดทวีเป็นที่น่าสังเวชยิ่งนัก โลกายุหเทพมิอาจทนอยู่ได้ ก็ได้ ท่องเที่ยวไปในโลกมนุษย์ และร้องประกาศให้ทราบว่า

    “มาริสา ดูก่อนชาวเราทั้งหลาย อะยัง โลโก วินาสันติ โลก นี้จะฉิบหาย ตั้งแต่นี้ต่อไปอีกเพียงแสนปีจะบังเกิดกัปป์วินาศ…”

    Fire300x272-300x272.jpg
    “อะยัญจะ มะหาปะฐะวี แผ่นพระธรณีและสิเนรุราชจะถูกไฟประลัยกัลป์เผาผลาญเป็นพัศมธุลี ตลอดถึงอาภัสสราพรหม โลก..”

    “เมตตัง ภาเวถะ ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท จงชักชวน กันเจริญเมตตาพรหมวิหาร ๔ เป็นอาทิ จงอุปัฏฐากบิดามารดา, กุลเชฏฐ์ และผู้มีคุณทั้งหลายเถิด อย่ามีความประมาท”

    ฝ่ายฝูงมนุษย์ทั่วแสนโกฏิจักรวาล ที่มีใจสุภาพและเชื่อฟัง ก็รีบบําเพ็ญการกุศล มีเมตตาพรหมวิหาร เป็นต้น ตายแล้วก็ขึ้น ไปบังเกิดในพรหมโลก บางพวกก็ไปเกิดในฉกามาวจรภพก่อน แล้วบําเพ็ญฌานในที่นั้น จึงจุติขึ้นไปเกิดในพรหมโลกสิ้นทุกรูปทุกนาม

    เมื่อมัณฑกัปป์ ซึ่งทรงพระพุทธเจ้าสิขี และเวสสภูจะสิ้นนั้น ได้บังเกิดไฟไหม้โลก โดยมีพระอาทิตย์ขึ้นถึง ๗ ดวงมีความร้อน ร้ายแรงมาก ที่เรียกกันว่าไฟประลัยกัลป์ ไหม้แผ่นดินและภูเขา แตกละเอียดเป็นพัศมธุลี ไหม้สูงขึ้นไปถึงอาภัสสราพรหม (เตโชสังวัฏฏะ) ตั้งแต่อาภัสสราพรหมลงมาเป็นที่ว่างเปล่าเป็น อากาศหาที่สุดมิได้ แล้วก็มีมหาเมฆตั้งขึ้น กลายเป็นฝนตกลงมา ในครั้งแรกเป็นละอองปรมาณูและอณู เป็นน้ําค้างและโตขึ้นๆ ขนาดเท่าปลายเมล็ดข้าวสาร เมล็ดถั่วเขียว เท่าผลพุทรา เท่า มะขามป้อม และโตขึ้นเท่าผลน้ํำเต้า เท่าผลฟัก โตขึ้นๆ เท่าภูเขา เม็ดโตขนาดครึ่งโยชน์ หนึ่งโยชน์ จนถึงพันโยชน์ แล้วน้ํำท่วมไปทั่ว แสนโกฏิจักรวาล สูงขึ้นๆ จนถึงอาภัสสราพรหม ฝนจึงเหือดหาย ตรงกับพระสัตยพรตบรรทุกคนและสัตว์ด้วยเรือสําเภาตามคัมภีร์ มัสยุปราณะของพราหมณ์ และโนอาห์นําเรืออาร์คมาบรรทุก ครอบครัวและสัตว์หนี น้ํำท่วม ตามคัมภีร์เยเนซิสของยิวและคริสต์

    ตามคัมภีร์โบราณของอิสลามก็มีเรือบรรทุกคนและสัตว์หนีน้ํำดุจกัน ส่วนนิยายกรีกโบราณก็มีเรื่องน้ํำท่วมโลก และทวีปแอตแลนติส จมหายลงไปในมหาสมุทรเงียบไปเลย มีคนรอดตายมาได้คนเดียว คนๆ นั้นมีนามว่า เดอูคาลิโอน คนๆ นี้ก็ได้ลงเรือของพระเจ้าที่ส่ง มารับเช่นเดียวกับพระสัตยพรต และอื่นๆ หนีรอดน้ํำท่วมโลกไป ได้อย่างหวุดหวิด

    สําหรับทางศาสนาพุทธที่กําลังกล่าวอยู่นี้ ไม่กล่าวถึงพระ เป็นเจ้าส่งมารับ แต่ได้กล่าวว่า เมื่อฝนหายแล้ว ลมได้พัดดันไว้ ทางด้านขวาง ตะล่อมเข้าไว้โดยรอบ เมื่อลมหายแล้ว น้ํำก็เลย กลายเป็นแท่งเช่นน้ํำแข็ง แล้วแตกละลายลงมาเป็นลําดับ เมื่อถึง ที่ตั้งสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตวดี นิมมานรดี ดุสิต ยามาทั้ง ๓ สวรรค์นี้ได้ตั้งขึ้นเป็นลําดับลงมา ส่วนชั้นดาวดึงส์ และจาตุมหา ราชิกา ทั้ง ๒ ชั้นนี้ ยังไม่ตั้งขึ้นในระหว่างนั้น ด้วยเหตุว่าสวรรค์ทั้ง ๒ นี้เกี่ยวเนื่องด้วยพื้นโลก เมื่อโลกมนุษย์นี้ตั้งแล้ว สวรรค์ทั้ง ๒ ชั้นจึงตั้งขึ้นในภายหลัง

    เมื่อน้ำงวดลงๆ จนถึงที่ตั้งแผ่นดินนี้แล้ว จึงบังเกิดลมจํา พวกหนึ่ง ตะล่อมน้ํำนั้นเข้าไว้มิให้ไหลไปมาได้ ปรมาณูแท่งน้ํำก็ อัดตัวเข้าเป็นอณู และมีจุดกลางของปรมาณู เป็นบ่อเกิดของแผ่น ดิน จุดกลางหรือนิวเคลียสนั้นก็ขยายกว้างออกไปเป็นลําดับจน กลายเป็นแผ่นดิน มีสภาพอันแข็งแกร่งและมีลักษณะคล้ายใบบัว ลอยอยู่ในน้ํำ มีสีดังดอกกรรณิกา มีกลิ่นหอม มีรสอร่อยดุจแผ่น ดินทิพย์ ถ้าจะเปรียบก็เท่ากับพื้นหน้าของข้าวมธุปายาสซึ่งปราศ จากน้ํำ (ข้าวชนิดหนึ่งหุงเจือด้วยน้ํำนม น้ํำผึ้ง น้ํำอ้อย ถั่ว งา และเครื่องเทศ) ได้กล่าวแล้วว่าภัททกัปป์นี้ทรงพระพุทธเจ้าไว้ ๕ พระองค์ เพราะฉะนั้นจึงเกิดปทุมชาติขึ้นกอหนึ่งพร้อมด้วยดอกบัว ๕ ดอก แสดงว่า พระพุทธเจ้าจะมาตรัส ๕ พระองค์

    69.jpg



    ปฐวีสีเส ที่ตรงใดเคยเป็นที่ตั้งรัตนบัลลังก์ของพระพุทธเจ้า ในอดีต ที่ตรงนั้นเวลาโลกจะฉิบหาย ก็ย่อมจะฉิบหายภายหลัง และเวลาโลกตั้งขึ้นใหม่ ก็ย่อมจะตั้งขึ้นก่อนทุกกัปป์เสมอไป และ เรียกที่ตรงนั้นว่า ศีรษะปฐพี (ปฐวีสีเส) ซึ่งเป็นที่เริ่มเป็นนิวเคลียส คือเป็นจุดกลางแผ่นดินในครั้งแรกนั้นเอง

    อนึ่ง จํานวนดอกบัวที่เกิดขึ้นย่อมจะเกิดตามกัปป์ ซึ่งทรง พระพุทธเจ้าเท่าใด เช่น สารกัปป์ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสองค์เดียว ดอกบัวก็เกิดเพียงดอกเดียว มัณฑกัปป์ มีพระพุทธเจ้า ๒ องค์ ดอกบัวก็เกิด ๒ ดอก วรกัปป์ มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ดอกบัว ก็เกิด ๓ ดอก สารมัณฑกัปป์ มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ดอกบัว ก็เกิด ๔ ดอก และภัททกัปป์ มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ดอกบัว ก็เกิด ๕ ดอก

    ในกาลนั้น พระอริยพรหมทั้งหลาย ซึ่งพระอนาคามีบุคคล ขึ้นไปเกิดอยู่แล้วในชั้นสุทธาวาสมหาพรหม ก็ชวนกันลงมาดูโลก ตั้งใหม่ๆ ถ้าเห็นแต่กอบัวไม่มีดอก ก็พากันเสียใจ เพราะเป็น สุญญกัปป์ไม่มีสัพพัญญพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระเจ้า บรมจักรซึ่งทรงคุณอันประเสริฐ มาเกิดในโลกนี้ ต่างก็พากันปรับ ทุกข์กันว่า:“อะโห วะตะ! ชาวเราทั้งหลายนี้หนอ ครั้งนี้โลกจะมืดมน เสียสิ้นแล้ว เทวโลกและพรหมโลกจะว่างเปล่า ยมโลกจะเต็มไปด้วยสัตว์ผู้มีกรรมอันลามก”

    แต่ถ้าชาวสุทธาวาสนั้น มองเห็นดอกบัวแม้แต่ดอกเดียว ขึ้นไปก็พากันชื่นชมยินดี เพราะสัตว์ทั้งหลายจะได้ฟังธรรมเทศนา ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เทวโลกและพรหมโลกก็จะเต็มไป ด้วยเทพเจ้า ยมโลกก็จะบางเบาจากสัตว์ใจบาป แต่ในภัททกัปป์นี้ ชาวสุทธาวาสเห็นดอกบัวเกิดขึ้นถึง ๕ ดอก ก็ทราบได้ตระหนักว่า กัปป์อันนี้จะทรงพระพุทธเจ้าไว้ถึง ๕ พระองค์ ต่างก็พากันยินดี ปีติอย่างล้นเหลือ และตั้งใจลงมาฟังธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ด้วย ความไม่ประมาท

    obr470.jpg

    ในครั้งแรก พวกอาภัสสราพรหม ที่เกิดอยู่ในสมัยก่อน น้ํำท่วมโลกนั้น บางพวกสิ้นอายุ บางพวกสิ้นบุญ ต่างก็จุติลงมา เอากําเนิดเป็นอุปปาติกะ คือ ลอยเกิด โดยอาศัยกรรมนิยม เมื่อ เกิดก็เป็นตัวตนโดยเพศพรหมในทันทีและมีรัศมีรุ่งโรจน์แต่ทว่าได้ เพศหญิงและเพศชายทุกคน (พรหมไม่มีเพศ) ทั้งมีเสื้อผ้าอาภรณ์ อันเป็นทิพย์ จะไปไหนมาไหน ก็เหาะเหินเดินอากาศ ไม่ต้อง อุ้ยอ้ายเหมือนมนุษย์ในสมัยต่อมา การเลี้ยงชีวิตก็ไม่ต้องบริโภค อาหารธรรมดา พรหมบนพื้นโลกในยุคนั้น เอิบอิ่มอยู่ด้วยปีติ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในชั้นอาภัสสราพรหมโลก

    พรหมบนพื้นแผ่นดินยุคโลกตั้งใหม่ (ไม่มีพระเจ้าสร้างดุจ พราหมณ์ ยิว คริสต์ และอื่น ๆ) ต่างก็ลอยไปลอยมาอยู่บนพื้นโลก จนลืมตัว ขี้เกียจบําเพ็ญฌานหนักๆเข้าก็ซักฟุ้งซ่านรําคาญใจ ผล ฌานก็เสื่อมสูญไปหมดสิ้น การเหาะเหินเดินอากาศก็อ่อนแอลง ต่างก็ยืนเดินนั่งนอนอยู่บนพื้นแผ่นดินในทํานองพรหมเตะฝุ่น แต่ยังไม่ถึงขั้นมนุษย์เตะฝุ่นและต็อกดุจทุกวันนี้ ในครานั้นเจ้า พรหมบางรูปเกิดคะนองมือคะนองปากขึ้นมาบ้าง แล้วก็ลองหยิบ เอางัวนดิน (โอชาของดินที่มีรสหวาน) นั้นขึ้นมาใส่ปากลิ้มดู ง้วน ดินนั้นก็ซาบซ่านไปทั่วทุกเส้นประสาท เกิดอร่อยขึ้นมาจนลืมตัว ดุจนักบวชซึ่งบําเพ็ญพรตอยู่นานปี เมื่อเปลื้องผ้าเหลืองออกมา ครองกามก็ลืมตัวได้ง่าย เมื่อพรหมคนแรกกินง้วนดินเข้าไปแล้ว ก็ ชวนพรหมอื่นเสพรสแผ่นดินนั้นตามกันไป ในทํานองสัญชาติ ญาณที่อ่อนแอย่อมตามกันไปเป็นฝูง ๆ ตัณหาอาสวะก็เริ่ม ครอบงําสันดานพวกพรหมเหล่านั้นจนหมดสิ้น

    เมื่อหนักๆเข้า รัศมีอันสว่างซึ่งเกิดจากเครื่องสรรพาภรณ์ เหล่านั้น ก็อับแสงไปทุกตัวพรหม หรี่ลงๆจนกลายเป็นมืดมน อนธการ โลกนี้ก็เต็มไปด้วยราตรีกาลอยู่ตลอดกาล บรรดาพรหม ผู้หนาด้วยอวิชชาตัณหาอุปาทาน ก็พากันตกใจจนขวัญบิน ถัด จากนั้นมาก็ได้มีดวงอาทิตย์เกิดขึ้นส่องโลก พวกพรหมกินง้วนดิน เหล่านั้น ก็พากันดีใจและให้นามดวงอาทิตย์ซึ่งให้ความสว่างแก่ โลกนั้นว่า สุริยเทพบุตร โดยเข้าใจว่าเป็นองค์พระเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ มาโปรดพวกตนแล้ว แต่ก็ไม่ตั้งอยู่นาน เมื่อครบกําหนดวาระอัน หนึ่งแล้วก็อับแสงไป พรหมทั้งหลายก็พากันตกใจกลัวจะมืดทึบ เหมือนในครั้งก่อนอีก อํานาจจิตที่ต้องการแสงสว่างของบรรดา พรหมปลอมเหล่านั้น สามารถเหนี่ยวรั้งเอาความสว่างมาได้อีก ชนิดหนึ่ง คือระหว่างที่ตั้งจิตปรารถนา และเจรจาวิพากย์วิจารณ์ กันอยู่อย่างจอแจนั้น ก็ได้มีดวงจันทร์เกิดขึ้นมาเป็นบริการของ ชาวโลก มีรัศมีสว่างเย็นเป็นที่ชอบใจของชาวโลกใหม่เป็นที่ยิ่ง

    ต่างก็เปล่งเสียงเป็นอันเดียวกันว่าพระเจ้าองค์ใหม่มาโปรดเราอีกแล้ว และขนานนามว่าพระฉันทะเป็นเจ้า (พระเจ้าแห่งความพอใจ) เรียกกันไปเรียกกันมาเลยกลายเป็นพระจันท (บาลี) จันทร (สัน สฤกต) มาจนบัดนี้

    เมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์เกิดขึ้นแล้ว ดวงนักขัตฤกษ์ทั้ง หลายก็เกิดขึ้นในที่ว่างๆ ตลอดทั่วไปแสนโกฏิจักรวาล วัน-คืน ขึ้น-แรม สัปดาห์ ปักษ์ และเดือน-ปี ก็นับกันเป็นระเบียบ ประเพณีสืบเนื่องกันต่อมาจนบัดนี้

    image1.jpg

    โลกที่ตั้งขึ้นใหม่ ย่อมสูงต่ําไม่เสมอกัน ดุจฟองที่เกิดจาก หม้อข้าวเดือด ที่สูงเป็นขอบโดยรอบนั้นเป็นเขาจักรวาลที่สูงเป็น จอมขึ้นที่ตรงกลางโลกนั้นเป็นเขาพระสุเมรุ ที่เป็นจอมต่ํำๆ ลงมา เป็นลําดับนั้น เป็นเขาสัตตปริภัณฑ์ทั้ง ๒ และเขาใหญ่น้อยทั่วไป ที่ลุ่มลึกที่สุดเป็นมหาสมุทรและทะเลน้อยใหญ่ทั้งปวง ที่เป็นแผ่น ดินใหญ่ๆ นั้นเป็นทวีปใหญ่น้อย เป็นเกาะแก่งและแม่น้ํำ ลําคลอง ไหลผ่านอยู่ทั่วไป ภายใต้แผ่นดินลงไปเป็นที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่ประมาณ ๕๐๐ โยชน์มาก เป็นพิภพนาคราช

    ชาวโลกใหม่ ต่างก็มีมานะและมีอกุศลมูลหนาแน่นขึ้นเป็น ลําดับ รูปพรรณสัณฐานก็ผิดแผกแตกต่างกันออกไปทุกที การดู หมิ่นและริษยาแก่กันก็หนักยิ่งขึ้น โอชาแผ่นดินก็อันตรธานหายไป ตามอกุศลกรรมของชาวโลกในยุคหลังๆ นั้น

    ง้วนดินใหม่มีรูปร่างคล้ายดอกเห็ด เมื่อชาวโลกใหม่มี อารมณ์ผันแปรไปโดยอํานาจกิเลสหมุนเวียน ง้วนดิน (รสดิน) ก็ บังเกิดขึ้นใหม่ มีรูปพรรณสัณฐานคล้ายดอกเห็ด มีสิ่งามมีกลิ่นหอม มีรสชาติอร่อย ชาวโลกก็เลี้ยงชีวิตด้วยง้วนดินที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น เป็นเวลานาน แต่แล้วรสดินอันโอชะนั้นก็หดหายไปเสียอีก เพราะ ฝูงมนุษย์เย่อหยิ่งจองหอง เหยียดหยามกันยิ่งขึ้น อุปกิเลส ๑๖ เข้าครอบครองสันดานหนาแน่น

    ชาวโลกใหม่บริโภคเครือดิน หรือพืชในตระกูลไม้เลื้อย มีรูปเหมือนผักบุ้งและแพงพวยเป็นอาหาร เมื่อง้วนดินอันมี สัณฐานดังดอกเห็ดอันตรธานหายไปหมดแล้ว จึงบังเกิดเครือดิน หรือไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายผักบุ้งและแพงพวยบังเกิด มาเป็นอาหารของชาวโลกใหม่เหล่านี้ พืชที่ว่านั้นมีพรรณอันงาม มีกลิ่นหอมและมีรสอร่อยดีอีกเหมือนกัน แต่อาหารชนิดนี้ก็ได้ อันตรธานหายไปอีก เพราะอุปกิเลส ๑๖ ของชาวโลกหนาแน่นขึ้น กว่าในยุคอาหารดอกเห็ดกระโน้น

    มนุษย์ในยุคข้าวสาลีไม่มีเปลือก ในสมัยต่อมาก็ได้ บังเกิดข้าวสาลีขึ้นบนแผ่นดิน โดยมิได้ไถและหว่านประการใด คือ เมื่อข้าวสาลีนั้นเป็นต้นเป็นรวงขึ้นมาโดยปราศจากเปลือกและ แกลบ มีรวงอันใหญ่มีเมล็ดอันขาวบริสุทธิ์ มีกลิ่นอันหอม เมื่อ ชาวโลกต้องการบริโภคเมื่อใด ก็ไปเกี่ยวเอามา บริโภคสิ้นไปเท่าใด ข้าวก็งอกขึ้นมาเป็นบริการแก่ชาวโลกในยุคนั้นมิได้บกพร่อง และ ภาชนะที่จะหุงจะใส่อาหารในเวลานั้นก็เกิดขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องไป สร้างมันขึ้นเหมือนมนุษย์ในสมัยต่อมา เมื่อเอาภาชนะนั้นตั้งลงบน แผ่นศิลาราบๆ เปลวเพลิงก็บังเกิดขึ้นในแผ่นศิลาที่ว่านั้น ไม่ต้อง ไปก่อให้ลําบากเช่นทุกวันนี้ เปลวเพลิงที่เกิดนั้นไม่มีควันและถ่าน เมื่อข้าวสาลีสุกแล้วก็ดับไปเอง ข้าวสาลีที่สุกนั้นมีสีดุจดอกมะลิอันบานงาม เมื่อจะบริโภคก็ไม่ต้องไปหากับแกล้ม ปรารถนาจะให้ เกิดรสเปรี้ยวหวานจืดเค็มประการใด ข้าวสาลีนั้นก็บังเกิดรสขึ้นมา ตามความปรารถนา แต่โภชนาหารอันสําเร็จขึ้นโดยข้าวสาลีนั้น หยาบกว่างัวนดินและเครือดิน ดังกล่าวมาแล้ว

    มนุษย์บริโภคข้าวสาลีอันเป็นอาหารหยาบนั้น จึงบังเกิด ทวารหนักทวารเบาสําหรับถ่ายกากอาหารอาหารหยาบย่อยมีกาก เพราะฉะนั้น ธรรมชาติจึงต้องแปรสภาพอวัยวะบางส่วนให้มีช่อง ทางสําหรับถ่ายเทเศษอาหารที่เหลืออยู่ในร่างกายมนุษย์ให้ออก มาเสมอๆ เมื่อถ่ายเทออกมาได้แล้วร่างกายก็สบายขึ้น และเขา เรียกเจ้าสิ่งเหล่านี้ว่ามูตร คูถ และลมเสีย ถ้ามนุษย์ยังไม่บริโภค อาหารหยาบคือข้าวสาลีแล้ว ทวารหนัก ทวารเบา และแก๊สเสีย ก็ยังไม่เกิดแก่ฝูงมนุษย์ ส่วนว่าโรคภัยไข้เจ็บก็คงยังไม่เกิดแก่ มนุษย์ในยุคนั้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่านี้ ได้บังเกิดแก่มนุษย์เป็น ลําดับมาจนทุกวันนี้

    cupid10.jpg
    เพศหญิงและเพศชายบังเกิดขึ้นแก่มนุษย์อีกแล้ว เมื่อชาว อาภัสสราพรหมจุติลงมาคลานงุ่มง่ามและหลงเสพง้วนดินเครือดิน และข้าวสาลี จนเกิดช่องทวารหนักทวารเบาทุกตัวบุคคลแล้ว ฝูง มนุษย์เหล่านั้นก็มีใจหยาบและเกิดอุปกิเลสหนาแน่น อาสวะซึ่ง เคยสงบมาแล้วในสมัยเมื่อเป็นพรหมอยู่ในอาภัสสรา เพราะผล ของอุปจารฌานสนับสนุนในครั้งกระโน้นก็พินาศลงจนหมดสิ้น พอ อาสวะเริ่มคืนตัว เพศหญิงและเพศชายก็ ปรากฏขึ้น เป็นรูปร่าง อิตถีลึงค์ ปุงลึงค์ ตามลําดับ

    คัมภีร์จุฬสัททนิคติ ยืนยันไว้ว่า “เพศหญิงเกิดก่อน และเพศชายเกิดภายหลัง” แต่คัมภีร์ชนาลังการ นั้น ยืนยันไว้ว่า “เพศ หญิงและเพศชายนั้นเกิดพร้อมกัน” น่าจะวิจารณ์ได้ว่า ถ้าเพศ หญิงเกิดก่อน ก็ย่อมแสดงว่า กามราคะของฝ่ายหญิงแรงกว่าฝ่าย ชาย แต่ถ้าเพศทั้งสองเกิดพร้อมกัน ก็ย่อมแสดงว่า กามราคะของ หญิงและชายมีปริมาณเท่ากัน นอกจากจะใช้จิตตานุภาพฝ่ายวิมุติ สังหารเท่านั้น จึงจะหย่อนกว่ากันหรือหมดสิ้นไป และว่าเพศหญิง และชายเกิดพร้อมดวงอาทิตย์

    เมื่อเพศหญิงและชายบังเกิดแก่ฝูงมนุษย์ในโลกใหม่นั้น แล้วต่างก็ก่อกองกิเลสและเพ่งเล็งของใหม่และแปลกประหลาดใน กันและกัน กามราคะก็ลุกฮือขึ้นในร่างของหญิงชายที่ว่านั้น เมื่อ ทนไม่ไหวแล้วก็ร่วมเสพสังวาสในกันและกัน ไม่ว่าในที่ลับที่แจ้ง ดุจสัตว์เดียรัจฉานในทุกวันนี้ ฝ่ายมนุษย์ที่มีวิญญาณสูง มีใจเป็น บัณฑิต เพราะผลฌานยังมีเศษเหลือติดสันดานอยู่บ้าง ก็รู้สึก เกลียดชังการเสพสังวาสของคนเหล่านั้น จึงกล่าวตักเตือนขึ้นว่า “สูอย่าเล่นสกปรกอย่างนั้น ไม่ดี น่าเกลียดออกจะตายไป เล่นอะไรกันไม่รู้”

    เมื่อเจ้าพวกสกปรกเหล่านั้นไม่ฟังเสียง เขาจึงจับไม้ค้อน ก้อนดินไล่ขว้างและทุบตี หนีเตลิดไปทุกทิศทุกทาง ทั้งเจ็บทั้งกลัว ตายเป็นที่ยิ่ง แต่ก็ยังไม่เข็ดหลาบ พยายามก่อสร้างกระท่อมที่พัก ชั่วคราว เพื่อหลบซ่อนเสพสังวาสในกันและกัน ตามวิสัยของผู้ กระหายกามรส และก็ได้มีผู้เอาอย่างทั่วๆกันไป ครั้นแล้วก็คลอด บุตรเป็นหญิงเป็นชาย ในลักษณะอวชาตบุตร อนุชาตบุตรและ อภิชาตบุตร สืบเครือเถาเหล่ากอต่อๆ กันมาจนถึงทุกวันนี้

    คัมภีร์ชนาลังการ ยังหยอดไว้อีกว่า เมื่อชาวโลกใหม่ เหล่านั้นเกิดตัณหาสวะรุนแรงถึงแก่เสพเมถุนสังวาสกัน จนมีบุตร ธิดาทั่วแผ่นดินไปแล้ว ก็วิตกวิจารณ์ถึงเรื่องเครื่องนุ่งห่มขึ้นมาอีก อํานาจของจิตตานุภาพอันเจือปนด้วยกุศลกรรมในอดีต ติดตาม มาสนองในกาลนั้นกัปปะรุกขาก็บังเกิดต้นไม้กัลปพฤกษ์เป็นอันมาก แต่ละต้นเต็มไปด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ต่างๆ พร้อมด้วยสรรพสิ่งของ นานาชนิด จะปรารถนาอะไรก็สมด้วยความปรารถนาทุกประการ และว่าต้นไม้กัลปพฤกษ์นี้ เกิดพร้อมกับดวงอาทิตย์เหมือนกัน

    ในคัมภีร์นี้ ยังหยอดไว้อีกว่า บรรดาพฤกษชาติทั้งหลาย ที่ ทรงดอกออกผลเป็นต้นว่า ไม้หว้า ไม้มะม่วง ไม้ขนุน และกล้วย อ้อย ตลอดจนเครือลดาวัลย์ อันทรงดอกออกผลทั้งหลาย บรรดา ที่เคยมีอยู่ในกัปป์ก่อนๆ ซึ่งพืชพันธุ์ของมันสาบสูญไปแล้ว ก็กลับ มาเกิดขึ้นอีกบังเกิดจากอุตุนิยมและกรรมนิยมของชาวโลกใหม่ นั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยทั้งสิ้น ข้อความเหล่านี้ขัดแย้งกับคัมภีร์ พราหมณ์ตลอดทั้งคัมภีร์ผิว และคริสต์ทุกอย่าง เพราะมนุษย์และ พืชทุกชนิดเกิดขึ้นมาเอง ไม่มีผู้สร้างใดๆ สักอย่างเดียว แต่มี สภาพตรงกับกฤตยุค และไพล่ไปคล้ายคลึงกับเรื่องสัตว์และมนุษย์ ภูมิศาสตร์ ๔ สมัย ในสมัยที่ ๓ ยังไม่มีพืชยืนต้นที่มีใบกว้าง เช่น ขนุน มะม่วง ฯลฯ แต่ไม้เหล่านี้มาเกิดขึ้นในสมัยที่ ๔ ทีหลัง ไดโนเสาร์

    ในสมัยต่อมา มนุษย์มีนิสัยกักขฬะและเกียจคร้าน พร้อม ด้วยโลภโมโทสัน ไปเก็บเกี่ยวเอาข้าวสาลีมาไว้ในบ้านเป็นอันมาก พากันสร้างกุ้งฉางกักตุนกันไว้ทุกหลังคาเรือน อํานาจของความโลภบันดาลให้ข้าวสาลีที่ไร้เปลือกและแกลบมาแต่ก่อนๆ กลาย เป็นมีเปลือกและแกลบห่อหุ้มเมล็ดทุกเม็ด ลําบากแก่การหุงหา เป็นที่สุด ทั้งที่เก็บเกี่ยวแล้วเคยงอกงามขึ้นมาแทนก็ไม่งอกเสียอีก และในเวลาต่อมาฝูงมนุษย์ก็แสดงอาการหวงแหนข้าวสาลีทุกแห่ง ทุกที่ จึงต้องแบ่งปันกันเป็นเขตๆ ไป และต้องหาพันธุ์มาปลูกกัน ไว้ทุกครัวเรือน ในที่สุดก็เกิดการโจรกรรมข้าวสาลีกันขึ้นรําไร เมื่อ แรกๆ ก็มีการต่อว่ากันบ้างเล็กน้อย หนักๆ เข้าก็เกิดทะเลาะเบาะ แว้งและทุบตีกันเบาะๆ ขว้างหัวกันด้วยก้อนหิน และทุบตีกันด้วย ไม้เล็กๆ แต่เมื่อหนักๆ เข้าก็เลื่อนมาเป็นไม้ใหญ่ และบางครั้ง ก็ถึงแก่ล้มลุกคลุกคลานและคางเหลืองคางบอบช้ํากันบ่อยๆ เพราะไร้มนุษยธรรมขึ้นทุกที จะหาศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ได้ยาก เป็นลําดับมา

    ครั้นแล้ว ประชาชนก็ได้เลือกประมุขขึ้นปกครองบ้านเมือง เรียกว่าขัตติยราช หรือปุรุราช เป็นโอรสของท้าวยะยาติกับนาง สุรมิชตา มีในคัมภีร์มหาภารตะ และฤคเวท ส่วนในคัมภีร์ปฐม สมโพธิ เรียกว่า สมมุติราช ในคัมภีร์พิงคราชวงศ์ปกรณา ต้น พงศาวดารนครเชียงใหม่เรียกว่า สมันตมหาราช สําหรับในคัมภีร์ ที่ปวงศ์ พงศาวดารลังกาเรียกว่า สมันตราชแต่ก็เป็นบุคคลเดียวกัน และสืบเชื้อสายแพร่หลายไปเต็มโลก กษัตริย์ผู้เป็นต้นตระกูลแห่ง โลกผู้นี้ ปรากฏเป็นภาษาบาลี ในคัมภีร์โลกสัณฐาน พระคันถรจนาจารย์ กล่าวไว้ดังต่อไปนี้

    อาทิจจะกุละสัมภูโต สุวิสุทธะคุณะกะโร มะหานุภาโว ราชาสิ มะหาสัมมุตติ นามะโก โส จักขุภูโต โลกัสสะ คุณะรังสิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...