พระศรีอาริย์เจ้าโลก บทที่ ๑๒ วันโลกาวินาศจากตํานานของฝ่ายมหายาน

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย วสุธรรม, 10 ธันวาคม 2018.

  1. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    SriarayaFeature12.jpg

    หนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก รวบรวมโดยรหัสยญาณ
    เรื่องราวของวันโลกาวินาศ และพระศรีอาริย์ลงมาโปรดโลกนี้ มีปรากฏเด่นชัดมากในตํานานของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน โดยมีการเล่าถึงวันนี้ไว้ในลักษณะ ที่คล้ายกับในตํานานของศาสนา คริสต์มาก เช่นที่บอกว่าจะเกิดมหาวิบัติจากภัยธรรมชาติและภัย สงครามที่รุนแรงสาหัสสากรรจ์เหลือเกิน จนโลกใบนี้ของเราถึงแก่ สูญสิ้นไป มีโลกใหม่บังเกิดขึ้นมาแทน มีผู้คนในโลกล้มตายไปมากมาย และจะมีพระศรีอาริย์เทียมเท็จมาเกิดพร้อมๆกับพระศรีอาริย์ตัวจริง เป็นต้น ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่จะได้นํามาให้อ่านต่อไปนี้ ได้

    มาจากหนังสือเรื่อง “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ” ซึ่งท่านผู้ ใช้นามปากกา “ศุภนิมิต” ได้เรียบเรียงจากต้นฉบับที่เป็นภาษาจีน อีกที่หนึ่ง สาระของเรื่องได้ถ่ายทอดจากการรับรู้ของเด็กหญิง ผู้วิเศษชื่อ “เทียนไฉ” ที่ประเทศมาเลเซียโดยการประทับทรง สิ่งศักดิ์สิทธิ์และจากการถอดจิตขึ้นไปสู่โลกเบื้องบนไปรู้ไปเห็นมา หลายครั้งหลายหนของนาง ดังนี้

    galaxy_2-1200x675.jpg

    เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า : วันที่ฟ้าดินมืดมิด

    ๑. ก่อนหน้า “เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า” วันฟ้าดินมืดมิดสอง สามวัน บรรยากาศของโลกดูสงบเงียบไปทั่ว เหมือนไม่มีอะไรเกิด ขึ้น แต่ความเงียบสงัดก่อนพายุฝนจะกระหน่ํา มักจะเป็นความ เงียบที่น่ากลัวเสมอ แล้วทันใดนั้น ท้องฟ้าก็เปลี่ยนจากสีฟ้าสว่างเป็นแดงฉาน และกลายเป็นสีเทาขาว จนกระทั่งมืดมิดลง ลมมหาประลัยทําลายสิ่งปลูกสร้าง คน และ สัตว์ทั้งหมด ให้กลายเป็นจุณมหาจุณในพริบตา

    ๒. โลกทั้งโลกตกอยู่ในความมืดมิด จนมองไม่เห็น สิ่งใดเลย ไม่มีแสงสว่างจากดวงไฟใดๆทั้งสิ้น พลังงานไฟฟ้าจาก เครื่องมือวิทยาศาสตร์ทุกอย่างใช้การไม่ได้ผล ต่อจากนั้นก็จะเกิดพายุและลมฝน เสียงฟ้าร้องและสายฟ้า ฟาดไม่ขาดสาย ห่าฝนเมฆสีแดงจะเทลงมาจากฟากฟ้า โลกจะตก อยู่ในความมืดมิดของรัตติกาล นานถึงสี่สิบเก้าวัน

    ๓. มีเพียงโคมไฟสามดวงในพุทธสถานเท่านั้นที่ให้ แสงสว่างได้ รอบนอกสถานธรรม ได้ถูกห่อหุ้มปกป้องด้วยรัศมีสี ม่วงโดยทั่ว

    เมื่อนั้น คนที่บําเพ็ญโดยแท้จริง และคนดีที่ยังไม่ได้รับการ ถ่ายทอดวิถีธรรม ก็จะได้รับการดลใจ ชักนําให้เข้ามาหลบภัยใน พุทธสถาน

    ในที่นั้น หากมีธรรมอธิการผู้อาวุโส (เฉียนเหยิน) (เอกสารหายไป1หน้า)

    ๖.เหล่าภูตสางนางไม้ในป่าเขาในบาดาล เหล่าพญา มารอสูรทั้งหลายก็จะแปลงกายเป็นพระศรีอาริย์ เป็นพระอวโล กิเตศวรโพธิสัตว์กวนอิม เป็นพระอาจารย์จี้กง หรือพระอริยเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย สําแดงอิทธิปาฏิหาริย์ เรียกลมเรียกฝน เสกหว่านเมล็ดถั่วให้กลายเป็นกองทัพ ฯลฯ จะอวดอ้างศักดา นุภาพว่าจะสามารถพาผู้คนให้พ้นจากลมมหาประลัย มุ่งคืนไปยัง สุทธาวาสเบื้องบนได้

    สิ่งเหล่านี้มีมาเพื่อหลอกล่อผู้ปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะ เมื่อ ถึงเวลานั้น ให้เราทั้งหลายจงตั้งมั่นอยู่ในศรัทธาจิตเช่นเดิมอย่าได้ โลภหลงตามไปเป็นอันขาด พอขยับใจไขว้เขวแม้เพียงขณะจิตหลง ติดตามไป บุญกุศลที่สร้างมาก็จะหมดไป ดังคําที่ว่า

    “ใกล้จะบรรลุธรรมยามเที่ยง แต่มาเพลี่ยงพล้ําเสียก่อน เมื่อตอนสาย”

    จะขึ้นหรือลงจึงอยู่ที่หัวเลี้ยวหัวต่อตรงนี้ ที่แอบอ้างตัวว่า เป็นพระบรรพธรรมาจารย์ มาเก็บงานธรรมอยู่ในขณะนี้นั้น เป็น เพียงมารเล็กๆเท่านั้น ไม่น่าแปลก ต่อเมื่อวันที่มหันตภัยเกิดแล้ว นั่นแหละจะน่ากลัว เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงพระองค์ต่างมุ่งอยู่ แต่งานซ่วยคนให้พ้นภัยพิบัติไม่มีเวลาจะมาแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ล่อใจใครให้กราบไหว้ได้เช่นนั้น

    พระพุทธตรัสไว้ว่า “แรงแห่งมารหาญกล้ากว่าพุทธะ” พระอาจารย์จี้กงก็กล่าวว่า

    “พระอาจารย์ปลอมมีอิทธิปาฏิหาริย์แกร่งกล้ากว่า พระ อาจารย์จริงเสียอีก หวังว่าหญิงชายทั้งหลายจะได้ร่วมกันบําเพ็ญ

    ธรรม อย่าลืม อย่าลืม คนที่บําเพ็ญด้วยความจริงใจ เมื่อถึงเวลานั้น หากจะสงบใจพิจารณาด้วยปัญญา ก็จะเห็นแจ้งว่าเป็นสิ่งศักดิ์ สิทธิ์จริงหรือปลอม”

    จะเห็นใบหน้าสีเขียวเขี้ยวโง้งของปีศาจในร่างของพุทธะได้ โดยไม่ต้องเทียบเคียง

    ๗. วันที่ทรมานที่สุด จะมีสองช่วง คือ

    (๑) วันที่ ๒๔, ๒๕, ๒๖ ของช่วง “เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน” เพราะช่วงนั้นอาหารที่สะสมไว้จะหมด คนที่กินเจจะยังอดทนต่อ ความหนาวเหน็บ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์จะทรมานมาก

    (๒) ช่วงนี้จะอยู่ระหว่างวันที่ ๕๐ ถึง ๗๐ เพราะสรรพสิ่ง ทั้งหลายจะถูกเคลือบด้วยพิษของกัมมันตภาพรังสีซากศพเกลื่อน กลาด คนเคราะห์ดีที่ยังมีชีวิตอยู่ยังจะต้องทําหน้าที่ฝังศพ คนที่กิน เจจะยังมีกําลังอยู่ได้ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์จะอยู่ได้อย่างไร ดังนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จึงได้ประทานพระโอวาทคําเตือนไว้นานมา แล้วว่า

    “หลังจากมหันตภัยกวาดล้างโลกนี้กลายสภาพเป็นตมไปแล้ว จะเหลือแต่พระอรหันต์เดินดินที่ไม่กินเนื้อสัตว์”

    เป็นคําเตือนที่ชัดเจนแน่นอนที่สุดที่เดียว

    ๘.หลังการกวาดล้างแล้ว ก็จะเป็นการสร้างบ้านสร้าง เมืองใหม่ มนุษยชาติจะเริ่มเบิกดิถีด้วยอารยธรรมใหม่ นั่นคือมี คุณธรรมและมีคุณสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อจดจําบทเรียนที่ได้รับ จากภัยพิบัติ

    ปรัชญาความคิดของท่านบรมครูขงจื้อและเพิ่งจื้อ จะเป็นที่ เทิดทูนศรัทธาทั่วโลก ความจริงใจรักใคร่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะเป็นปฏิญญาที่ทุกคนรักษาไว้ร่วมกัน

    – สําหรับผู้บําเพ็ญอนุตตรธรรมที่บุญกุศลไม่เพียงพอศาสนิก ชนของศาสนาต่างๆ จะคงอยู่เป็นเผ่าพันธุ์ของโลกใหม่ในธรรม กาลยุคขาวต่อไป

    ส่วนผู้บําเพ็ญอนุตตรธรรมที่บุญกุศลสูงส่ง และศาสนิกชน ของศาสนาต่างๆที่ได้บําเพ็ญได้ดียิ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์และทูตสมเด็จจะ มาต้อนรับกลับคืนสู่อนุตตรแดนนิพพานร่วมงานฉลองอริยะ “หลง ฮว่า” เสวยสุขแห่งชาวสวรรค์ร่วมกัน

    ๙. พระศรีอริยเมตไตรย จะเสด็จสู่โลกมนุษย์อีก ครั้ง หนึ่งในศุภวาระนี้ จะทรงเปิดเผยให้เห็นฉากสําคัญอันศักดิ์สิทธิ์ ของพระอรหันต์แห่งธรรมกาลยุคขาวนี้ จะทรงประทานอริยฐานะ ตามระดับมรรคผลบุญกุศล

    จากนี้โลกแห่งสันติสุขเยี่ยงสมัยพระเจ้า “เหย่าซุน” หรือ โลกพระศรีอาริย์ก็ได้เบิกวิถี ณ บัดนั้น

    ภาพเมื่อโลกถูกระเบิดนิวเคลียร์ทําลาย

    ในหนังสือ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาส” ศุภนิมิต ถอดความไว้ว่า : เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๑ เวลา ๑๗. ๑๐ น. เด็กหญิง “เทียนไฉ” จิตออกจากร่างติดตามพระอาจารย์จี้กง ขึ้นไปเหนือเมฆ มองดูภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าสภาพอันน่า เวทนาเมื่อเวลาระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดขึ้น มีดังนี้

    ระเบิดนิวเคลียร์ลูกหนึ่ง ได้ยิงไปตกลงยังเมืองๆหนึ่ง หัว ระเบิดได้ระเบิดขึ้นกลางอากาศเกิดเปลวไฟและแสงสว่างอันแรงกล้า แล้วทันใดนั้นมันก็ทําลายสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ทั้งหมดชั่วพริบตา พร้อมกับเสียงดังกัมปนาทและแรงสะเทือนอย่างรุนแรงจากแรงระเบิด

    ความกดอากาศเปลี่ยนแปลงทันที คนและสัตว์ทั้งหลาย บาดเจ็บและล้มตายลงนับจํานวนไม่ถ้วน ทุกหนทุกแห่งเห็นแต่ ภาพน่าอนาถ กลุ่มควันที่เหมือนเมฆสีดํารูปดอกเห็ด ขยายตัวขึ้น สู่ท้องฟ้าสีดํามืด และมีกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ อากาศในขณะนั้น ให้ความรู้สึกอึดอัด เหมือนกําลังจะขาดใจตาย บริเวณที่ได้รับ ความเสียหายกว้างไกลออกไปถึงร้อยกว่ากิโลเมตร

    ส่วนกัมมันตภาพรังสีนั้น ครอบคลุมไปไกลถึงหลายร้อย กิโลเมตร คนที่ไม่ตายด้วยไฟและแสงหรือจากแรงระเบิด ก็วิ่งพล่าน กระเจิดกระเจิงไป เสียงเรียกพ่อ เรียกแม่ กรีดร้องก้องฟ้า เป็นที่ น่าเวทนา หาที่เปรียบไม่ได้เลย

    ทันใดนั้น เมฆบนท้องฟ้าก็เคลื่อนไหวม้วนตัวอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีแดงเรื่อๆเป็นสีแดงคล้ําแล้วกลับกลายเป็น สีเทาขาว แล้วในทันใดก็เปลี่ยนเป็นสีเทาดําและดํามืด

    ถึงตอนนั้นแม้จะชูมือขึ้นตรงหน้าก็มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าได้ คนที่ยืนอยู่ต่อหน้ากัน ก็มองไม่เห็นกัน พระอาจารย์จี้กงตรัสไว้ว่า นั่นคือ “เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า” วันอันยาวนานที่รัตติกาลมาสู่โลก เวลา อันน่าสะพรึงกําลังเริ่มแล้ว ณ บัดนี้

    วันที่ ๒๐ มกราคม เวลาเช้า 9.00 น. อันเป็นเวลาฝึกสมาธิ ดรุณีน้อยเอี้ยน (เทียนไฉ) ก็ได้ถอดจิตติดตามพระ อาจารย์จี้กง ไปดูสถานที่เกิดเหตุมหันตภัยต่อไป ดังนี้ :

    ขณะนั้น ลมมหาประลัย โหมมาทั้งสี่ทิศพร้อมกันตึก ใหญ่ๆที่ยังมิได้พังทลายทั้งหมด ท่ามกลางแรงระเบิดและแสงไฟ โชติช่วงได้พังครืนลงมาหมด เสียงดังสนั่นหวั่นไหว

    แม้แต่ต้นไม้ขนาดสิบคนโอบรอบ ก็ถอนรากถอนโคน ล้ม ระเนระนาด ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตา ล้วนเป็นสภาพที่น่า เวทนายิ่งนัก

    แล้วเธอก็ได้เห็นหมู่บ้านใหม่แห่งหนึ่งตรงกลางเป็นพุทธสถาน บ้านเรือนที่อยู่ในรัศมีโดยรอบหลายร้อยเมตร ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสี ม่วงเรืองรอง ผู้คนที่อยู่ในพุทธสถานและภายใต้การห่อหุ้มของ แสงสีม่วงพันภัยโดยทั่วกัน ส่วนที่อยู่ห่างไกลออกไปแต่เป็นคนมี จิตใจดี ดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลใจให้เขาวิ่งเข้ามาหลบภัยใน พุทธสถานด้วย

    โลกภายนอกมืดมิดไปทั่ว ไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้าหรือดวง ไฟจากสิ่งใดเลย สายฟ้าแลบพร้อมกับฟ้าคะนอง

    หยดน้ําสีแดงๆเหมือนสายฝน แต่มิใช่ โกรกลงมาจากฟ้า แต่ละหยดมีน้ําหนักเหมือนเศษแก้ว กลิ่นเหม็นเอียนจัด เหมือน ยาพิษร้ายแรง มันทะลุผ่านอิฐ หิน ปูน เหล็กกล้าและทุกอย่างแต่ ที่น่าอัศจรรย์ก็คือ เมื่อมันหยดลงมาบนรัศมีครอบที่เป็นสีม่วง มัน จะสลายตัวหายไปจนหมดสิ้น

    ในตําหนักพระมีพระพุทธประทีป ๓ ดวง บนแท่นบูชาสาด ส่องประกายไฟอยู่สว่างไสว

    ไม่นานต่อมา เธอก็แลเห็นพื้นดินแยกออกเป็นร่องลึกใหญ่ ทั่วไป ผีนรกทั้งหลายกรูกันออกมาจากรอยแยกเหล่านั้นทุกคนดู กระเหี้ยนกระหือรือ พอเห็นศัตรูคู่อาฆาตลูกหนี้ในชาติก่อนของเขา ก็ฉุดกระชากลากตัวลงไปในร่องลึกใต้ดินทันทีโดยไม่มีการพูดจา ต่อรองใดๆ เป็นภาวะที่ผีครวญคร่ําสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่ําร้องโดยแท้ สยองขวัญยิ่งนัก

    พระอาจารย์บอกหนูเอี้ยนอี้ว่า นั่นคือ การหักล้างบัญชีครั้งใหญ่ ในรอบหกหมื่นปีที่ผ่านมา

    วันที่ ๓๑ มกราคม เวลาบ่าย คณะผู้ปฏิบัติธรรมกําลัง เดินทางโดยรถยนต์จะไปยังพุทธสถานที่คาเมรอน ไฮแลนด์ ดรุณี “ซันไจ” ทั้งสามก็เดินทางร่วมไปด้วย

    เวลา ๑๔.๕๐ น. ระหว่างการเดินทาง เทพธิดาน้อย “อขึ้นไฉ่เซียนจือ” ก็ประทับทรง แล้วพระอาจารย์จี้กง ก็นําหนู เอี้ยน ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคที่ยังค้างอยู่ต่อไป

    ทันใดนั้น เธอก็เห็นสถานที่แห่งหนึ่ง ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสี ม่วงเหมือนกัน แผ่รัศมีรอบวงค่อนข้างมัวหมองเหมือนถ้ํา และ เหมือนบ้านเก่า ภายในบริเวณไม่มีแท่นที่บูชาพระมุมหนึ่งใน บริเวณนั้นมีไหวางเรียงอยู่หลายใบ ไหทุกใบมีฟองเหมือนน้ําและ เหมือนน้ํามันผุดขึ้นจนล้นออกมา ฟองเหล่านั้นมีแสงเรื่อๆ ให้ ความรู้สึกที่ไม่สบายใจเลย บนผนังบ้านติดยันต์เต็มไปหมด ดู อึมครึมน่ากลัว

    พระอาจารย์บอกว่า ที่นั่นเป็นเมืองในม่านเมฆจอมปลอม เป็นถ้ํามารที่ปีศาจมารร้ายจําแลงไว้ล่อใจคนโลภหลงให้เข้าไปติดกับ ไม่นานนักเธอก็ เห็นพระศรีอาริย์ลอยลงมาจากฟากฟ้า หัวร่อร่าร้องเรียกผู้บําเพ็ญ อนุตตรธรรมและคนทั้งหลาย ที่ยังไม่ทันได้ไปหลบภัยในพุทธ สถานที่แท้จริงว่า ให้ติดตามเรามา เจ้าจะหลบเลี่ยงภัยพิบัติได้ อีก ทั้งแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ให้แสงสีม่วงห่อหุ้มพวกคน ให้พ้นจาก การทําลายของฝนพิษได้

    เท่านั้นยังไม่พอ ยังมาตะโกนเรียกผู้บําเพ็ญอนุตตรธรรมที่ หลบภัยอยู่ในตําหนักพระภายใต้ครอบแสงสีม่วงให้ตามไป จะได้ ยกระดับและมอบหมายตําแหน่งงานธรรมขั้นสูงให้

    ใครก็ตามที่หลงเชื่อตามไปในครั้งนี้ ก็จะไม่มีวันได้ผุดได้ เกิดอีกต่อไป

    โดยแท้จริงแล้ว คนที่เข้าพุทธสถานแล้ว ภัยพิบัติมิอาจเข้า มาทําลายได้เลย เมื่อถึงเวลานั้น คนที่บําเพ็ญอนุตตรธรรม จงพึงระวังตัวให้ รอบรอบที่เดียว

    เพื่อให้รู้แน่ว่า พระศรีอาริย์องค์ไหนจริงหรือปลอมอย่างไร พระอาจารย์จี้กงสอนให้หนูเอี้ยนอี้สงบใจแล้วท่านก็ใช้พัดวิเศษโบกไป พระศรีอาริย์นั้นก็เผยโฉมเดิมให้เห็นทันที กลายเป็นร่างผอมเกร็ง เหมือนผีดิบ นัยน์ตาโปนเหมือนปลาทอง ลูกใหญ่เท่ากระดิ่ง จมูก มีแต่รูโหว่ ผมตั้งชัน เขี้ยวโง้งออกมาจากปากกว้างสีเลือดมือหนึ่ง ถือมีดปลายแหลมอันยาวอีกมือหนึ่งถือยันต์ หน้าตาท่าทางน่ากลัว เห็นชัดว่าไม่ใช่พระศรีอาริย์องค์มหาเมตตาธรรมแน่ ๆ

    วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ เวลาบ่ายสองโมงโดยประมาณพระ อาจารย์จี้กงพาหนูเอี้ยน ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป

    แม้จะผ่านช่วงสี่สิบเก้าวันอันยาวนานและน่าสะพรึงกลัวไป ได้แล้วก็ตาม แต่โลกก็ยังตกอยู่ในความมืดมิด ต่อมาจึงค่อยๆ สว่างขึ้นทีละน้อย เห็นศพเกลื่อนกลาดกองพะเนิน มีแต่หัวขาด ขาขาด แขนขาด หรือตัวขาดเป็นท่อน จนแทบไม่มีศพเต็มร่างเลย โลหิตสีดําคล้ํานองไหลมารวมกัน จนเหมือนแม่น้ําเลือดกลิ่นเหม็น คาวคละคลุ้งไปทั่วจนอยากอาเจียน

    พูดได้ว่า มันคือนรกในโลกมนุษย์จริงๆ

    พระอาจารย์จี้กงของเราเจ็บปวดรวดร้าวใจ น้ําตาไหล จน ชุ่มจีวรที่ขาดวิ่นของท่าน

    ไม่นานต่อมา แสงสีม่วงที่ครอบพุทธสถานก็ค่อยๆจางไป ญาติธรรมทั้งหลายพากันออกมาภายนอกได้แล้วโลกทั้งโลกเงียบสงัด สัตว์ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้มีเพียงประเภทเดียว คือสัตว์ที่กินหญ้า หรือกินผักเป็นอาหาร คือ กระต่าย แกะ วัว ควาย และม้า เท่านั้น

    จากนี้คือความทุกข์ยากหลังจากวันเกิดมหันตภัย

    วันที่ห้าสิบถึงเจ็ดสิบ คนที่ไม่ได้ถือศีลกินเจมาก่อน ยากที่ จะผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ เพราะทุกแห่งในโลกล้วนอาบไปด้วยพิษ ของกัมมันตภาพรังสี พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่มีอะไรเหลือเลย ผู้ที่ ทนความอดอยากไม่ได้ ผู้ที่กินเจเฉพาะวันหรือไม่ได้กินเจ แต่โชค ดีที่รอดพ้นสี่สิบเก้าคืนมาได้ ภายในร่างกายของเขายังมีสิ่งสกปรก หลงเหลืออยู่ อีกทั้งอารมณ์โหดจะเกิดขึ้น พวกคนเหล่านั้นจะฉีก

    เนื้อกระต่าย แกะ วัว ควาย หรือม้ากินดิบๆได้ และไม่นานต่อมา เขาก็จะต้องตายเพราะสารพิษ

    พระอาจารย์ได้โปรดเมตตาบอกว่า มีแต่คนที่กินเจเท่านั้น ที่จะอยู่รอดจากความอดอยากหลังจากภัยพิบัติใหญ่แล้วจริงๆ

    วันที่ ๕ กุมภาพันธุ์ เวลาเที่ยง พระอาจารย์จี้กงก็ได้โปรด นําหนูเอี้ยนอี้โปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป

    ขณะนั้นท้องฟ้าสว่างแล้ว ทุกสิ่งบนพื้นโลกมีแต่ซากที่ถูก ทําลายล้าง แผ่นดินที่แยกออกปิดเข้าหากันแล้ว เหลือแต่รอยแยก เป็นทาง ๆ แม่น้ําเลือดที่ไหลนองก็แห้งลงและซึมลงไปในดิน ทุก อย่างที่เห็นมีแต่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน น่าสมเพชเวทนา น่าอนาถใจ

    คนถือศีลกินเจทั้งหลาย เริ่มจะลงมือเก็บฝังหรือเผาซาก ศพกันอย่างเป็นงานเป็นการ เมื่อหิวกระหายก็เพียงแต่ใช้นิ้วจุ่มน้ํา ทิพย์ที่บูชาแตะลงที่ปลายลิ้น แล้วคนเหล่านั้นก็ประทังชีวิตอยู่กัน ต่อไปได้อย่างไม่เดือดร้อน

    คนที่ยังไม่เคยกินเจตลอดเสมอมา จะไม่กล้าเดินออกนอก ตําหนักพระเลยแม้สักก้าวเดียว

    พระอาจารย์จี้กงเห็นสภาพเช่นนี้แล้ว น้ําตาที่เหมือนสาย เลือดก็ไหลท่วมท้นออกมาอีก

    วันที่ 4 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง หนูเอี้ยนอี้ก็ติดตามพระ อาจารย์จี้กงไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคฉากสุดท้ายต่อไป

    ขณะนั้น ทั้งการเก็บฝังและเก็บเผาซากศพจะแล้วเสร็จไป เสียส่วนใหญ่

    จากนั้นฟ้าดินก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของธรรมชาติตาม ปกติ ตะวัน เดือน ออกมาส่องแสงเช่นเดิม มีลม มีฝน แม่น้ํา ลําคลองก็เต็มไปด้วยน้ําใสไหลล่อง ผู้คนเริ่มสร้างบ้านเรือนเป็นที่ พักอาศัยหลบฝน และเริ่มงานทําไร่ไถนากันอย่างขะมักเขมัน เช้าก็ ออกไปนา เย็นก็กลับมาบ้าน ชีวิตแม้จะไม่ว่างทางแรงกายแต่ก็ มั่นคงเป็นสุขใจ

    ผู้คนต่างอยู่ร่วมกันด้วยอัธยาศัยไมตรี ช่วยเหลือซึ่งกันและ กัน ไม่มีการวิวาทบาดหมาง แย่งชิง โลกทั้งโลกเต็มเปี่ยมด้วยพลัง ของชีวิต และเป็นระเบียบแบบแผนอันดีงามเหมือนโลกใหม่โดยแท้
     
  2. ศาสนาพระศรีอาริย์

    ศาสนาพระศรีอาริย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +2
    เรียนทุกท่าน เริ่มศึกษาศาสนาพระศรีอาริย์ เพื่อทุกท่านจะได้มีเวลาเตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆในทางที่ดีที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานจากนี้ (หลักการศาสนากลาง ) สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและศาสนาได้จริง ศึกษาหลักการศาสนากลาง รับหลักการศาสนากลางเพื่อความอยู่รอดอย่างมั่นคงสงบสุขของมวลมนุษยชาติ (ฉบับเริ่มศึกษาเบื้องต้น)


    https://cloud.mail.ru/public/N6Bv/t2jf5F2LM

    ข้อมูลพื้นฐานสำหรับการเรียนและศึกษาเรื่องราวต่างๆ

    ติดต่อข้าพเจ้า ส่งข้อความผ่านเพจดังนี้ข้อความจะไม่สูญหาย

    http://mymfb.com/Thanont/

    https://vk.com/id536238610

    https://ok.ru/profile/579159166157

    nbesasada@inbox.ru--nbesasada@163.com
     
  3. ปุถุชน

    ปุถุชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +715
    ผู้เขียนกระทู้ นามว่า " ศาสนาพระศรีอาริย์ " ข้างบนนี้
    เขียนว่า " เริ่มศึกษาศาสนาพระศรีอาริย์...."
    ผมจึงเข้าไปไล่อ่านใน ลิงค์ ต่าง ๆ ที่เขียนไว้
    จึงไปพบนี่ครับ
    แกเขียนว่า
    "
    …..ข้าพเจ้าทำหน้าที่นบี อีซา พระศรีอาริย์ (ไม่ได้ทำหน้าที่พระเยซูเพราะยังไม่มีกองทัพถึง1000000 เขาบอกแบบนั้น) ต่อไปจะทำสารถึงกลุ่มการเมืองข้าราชการ และหน่วยงานศาสนาทั่วไป ให้รับหลักการศาสนาและตรวจสอบ ซึ่งจะส่งรายละเอียดข้อมูลที่ครบถ้วน
    หากผู้ไดปฎิเสธถือว่า ปฎิเสธพระเจ้า ก็จะผ่านไป
    หากผู้ไดรับรู้ศึกษาแล้วเข้าใจแนวทางพระเจ้า ถือว่าและรับหลักการศาสนากลาง

    ถือว่าเห็นพระเจ้า การพิพากษา ขั้นแรกคือการสอบสวนความจริง ขั้นต่อไปคือการชี้ผิดถูก ข้าพเจ้าทำหน้าที่แค่เสนอชี้ผิดถููก ผู้ใช้กำลังดำเนินงานเป็นตำรวจคืออิหม่ามมฮ์ดี….

    …..ปัจจุบันข้าพเจ้าทำหน้าที่ศาสดาและมีหน้าที่พิเศษกว่าศาสดาท่านอื่นๆ
    คือ รับหน้าที่ล่ามของพระเจ้า และมีหน้าที่แปลภาษาทิพย์ในพระคัมภีร์ต่างๆ ของโลก
    ในคำพยากรณ์ที่หาผู้พยากรณ์ไม่ได้นั้นเป็นข้อมูลของมัลอิกะ บริวารของพระเจ้า…..

    ….การมาของข้าพเจ้านบี ในยุคปัจจบัน พระเจ้าได้แจ้งไว้แล้วในคัมภีร์ต่าง ๆ และจุดมุ่งหมายคือ ทำงานตามโองการของพระเจ้านิรันดร์หรือพระอัลเลาะห์ทุกประการ….

    ….ข้าพเจ้าผู้นำหลักการศาสนากลางมาของพระเจ้าสู่โลกมนุษย์
    ย่อมถูกต้องชอบธรรมทุกประการ

    เหตุเพราะว่า หากข้าพเจ้านำหลักการมาผิด พระเจ้า ของทุกศาสนา และศาสดาทกพระองค์ คือผู้กระทำผิดพลาดทั้งหมดเพราะว่าศาสนาปัจจุบันต่างแตกแยกรบราฆ่าฟันกัน

    ….ประการที่ 4. พระองค์จะมอบการปกครองที่แข็งแกร่งและเป็นนิรันดร์แก่พวกเขา
    (คืออิหมามอัลมะฮ์ดี หตุเพราะว่าศาสนาหลักการอิสลามคือหลักการสูงสุดบนโลกนี้

    .......ดังนั้นผู้ที่จะอยู่บนโลกนี้และคอยสอนศาสนิกชน
    และควบคุมปกครองคืออิหมามอัลมะฮ์ดี


    และการสอนรวมศาสนานี้เป็นสิ่งชอบธรรมและถูกต้องซึ่งอนาคตหลักการศาสนากลางจะแข็งแกร่งและเป็นนิรันดร์ไม่มีผู้ไดปฏิเสธได้เลย….

    ผมเคยอ่านเรื่อง "แปลงสาร " พวกนี้ซึ่งมีมาในประเทศไทยเราตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยกลุ่มคริสเตียนระดับปัญญาชน ซึ่งทั้งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และสมเด็จพระบรมพงษ์โพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตร ก็โดน "แปลงสาร" เป็นผู้รับใช้ "พระเจ้า" ไปแล้ว

    มาคราวนี้ พิเคราะห์ดู "ผู้เขียนกระทู้" แกคงหมดทางไปแล้ว
    จึงไปขอยืมวิธีของคริสเตียนกลุ่มนั้นมาใช้ เอาเป็นว่าให้ทราบกันนะครับว่า บัดนี้

    เขาเอาพระอนาคตวงศ์ องค์ที่ ๕ ของพุทธ ในภัทรกัปนี้ ไปรับใช้อิสลามเสียแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...