พระศรีอาริย์เจ้าโลก บทที่ ๗ นกยางไม่ร้องขอกเพราะปลาออก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย วสุธรรม, 10 ธันวาคม 2018.

  1. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    SriarayaFeature07.jpg

    หนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก รวบรวมโดยรหัสยญาณ

    IMG_0859-1024x682.jpg

    นกยางตัวใดเมื่อไม่มีปลาจะจับกิน ก็ชอบแต่จะจับเจ่าเหงา หงอยสงบเงียบอยู่ในพุ่มไม้ฉันใด การมาเกิดของพระศรีอาริย์ใน สมัยกลียุคนี้ ก็ต้องมาหลบลี้หนีเร้นเช่นเดียวกับนกยางดุจกัน ถ้อยคําของพระอิศวรเป็นเจ้ากล่าวไว้เป็นปัญหาในตํานานแต่โบราณ ดังนี้:

    ๑. “นกยางเฮย – ทําไมจึงร้องขอก?”

    นกยางว่า “ปลามันไม่ออก”

    ๒. “ปลาเฮย – ทําไมจึงไม่ออก?”

    ปลาว่า “หญ้ามันรกมาก”

    ๓. “หญ้าเฮย – ทําไมจึงรกมาก?”

    หญ้าว่า “วัวมันไม่กิน”

    ๔. “วัวเฮย ทําไมจึงไม่กินหญ้า?”

    วัวว่า “เจ้าของมันไม่ปล่อยข้า”

    ๕. “เจ้าของวัวเฮย – ทําไมจึงไม่ปล่อยวัว”

    เจ้าของวัวว่า “ข้าเจ็บท้องมาก”

    ๖. “ท้องเฮย ทําไมจึงเจ็บมาก”

    ท้องว่า “ข้ากินข้าวไม่สุก”

    ๗. “ข้าวเฮย – ทําไมจึงไม่สุก”

    ข้าวว่า “ไฟมันไม่ลุก”

    ๘. “ไฟเฮย – ทําไมจึงไม่ลุก” ไฟว่า

    “ฟื้นมันเปียก”

    ๙. “ฟื้นเฮย – ทําไมจึงเปียก”

    ฟื้นว่า“ฝนมันตกมาก”

    ๑๐. “ฝนเฮย – ทําไมจึงตกมาก”

    ฝนว่า “กบเขียดมันร้องนัก”

    ๑๑. “กบเขียดเฮย – ทําไมจึงร้องนัก”

    กบเขียดว่า งูมันไล่กินพวกข้า”

    ๑๒.”งูเฮย- ทําไมจึงไล่กินกบเขียด”

    งูว่า“กบเขียดมันเป็นอาหารของข้า”

    387151.jpg

    ปัญหา ๑๒ ข้อนี้ ท่านเฉลยว่า:
    ๑. นกยางไม่ร้องขอกนั้น, ได้แก่พระศรีอาริย์ไม่ปรากฏตัว เป็นพระบรมจักรธรรมิกราชให้โลกเห็นทันใจ

    ๒. ปลาไม่ออกนั้น ได้แก่ประชาชนพลโลกทั้งหลายไม่ ปรารถนาพบองค์พระศรีอาริย์ หรือผู้มีบุญอันประเสริฐ ที่จะมา เป็นที่พึ่งอันวิเศษ

    ๓. หญ้ารกมากนั้น ได้แก่ประชาชนทั้งหลายหนาแน่นไป ด้วยบาป กระทําความชั่วทั้งกายและวาจาใจ ด้วยอํานาจของโลภะ, โทสะ โมหะ, เข้าครอบงําสันดาน คือ ฆ่าสัตว์, ลักทรัพย์, ผิดลูก เมียท่าน, กล่าวเท็จ และฉ้อโกง ทั้งมึนเมาไปด้วยสุราเมรัย

    ๔. วัวไม่กินหญ้านั้น, ได้แก่ประชาชนทั้งหลายไม่ละความ ชั่ว,ประพฤติความดี, ไม่มีศีล ๕ กรรมบถ ๑๐, ไม่มีหิริโอตตัปปะ, ไม่เชื่อฟังคําสอนของพระเจ้า, เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม และชั่ว ช้าเลวทราม ๑๐๘ ประการ

    ๕. เจ้าของวัวไม่ปล่อยวัวนั้น ได้แก่ประมุขและรัฐบุรุษ ทั่วโลกไม่อบรมชีวิตจิตใจของพลเมืองให้เป็นพลเมืองที่ดีตามหลัก แห่งศีลธรรม ทั้งไม่ปลดปล่อยให้พลเมืองได้รับอิสรภาพและเสรีภาพ แต่ก็ได้ใช้บ่วงแห่งกฎหมายมัดคอพลเมืองให้กระชับแน่นเข้ากับ หลักแห่งลัทธิคลั่งชาติ

    ๖.เจ้าของวัวเจ็บท้องนั้น, ได้แก่รัฐบาลทั่วโลกเต็มไปด้วย โลภโมโทสัน เต็มไปด้วยความกระหายในอันที่จะกอบโกยเอา ทรัพย์สินเงินทองของประชาชนพลโลกแม้ว่าจะได้มากเท่ามากเพียงไร ก็ยังไม่พอกับความกระหาย ซ้ํายังจะดิ้นรนกระวนกระวายอยู่อีก

    ๗. กินข้าวไม่สุกนั้น, ได้แก่รัฐบาลทั่วโลกพยายามบีบคั้น พลเมืองในทุกแง่ทุกด้าน ทั้งในด้านภาษีอากร, ด้านกรรมกร, ด้าน ปรับสินไหม, และในด้านเศรษฐกิจอื่นๆทั่วไป ซึ่งแต่ละอย่างล้วน ใช้อํานาจบาตรใหญ่ (เพราะได้มาด้วยการบีบคั้นมิใช่อะลุ่มอล่วย) จึงเรียกว่า “กินข้าวไม่สุก”

    ๘. ไฟไม่ลุกนั้น, ได้แก่รัฐบาลทั่วโลกใช้อํานาจเป็นธรรม ไม่ใช่ใช้ธรรมเป็นอํานาจ บ้านเมืองจึงเสื่อมเศร้า และมืดมน อนธการเพราะเต็มไปด้วยโมหะ ไม่มีศีลธรรม ไม่มีแสงสว่าง, ไม่มี ความอะลุ่มอล่วยต่อพลเมือง จึงไม่เป็นที่ชอบเนื้อชอบใจแก้ผู้น้อย อนึ่ง ปัญญา แปลว่า “แสงสว่าง” ไฟไม่ลุก, จึงหมายความว่า รัฐบาลทั่วโลกหมดปัญญาที่จะปกครองบ้านเมืองโดยสันติวิธีได้ เสียแล้ว

    ๙. ฟื้นเปียกนั้น, ได้แก่ผู้ปกครองประเทศชาติศาสนา เต็ม ไปด้วยกิเลสและลาภยศ, ชุ่มโชกไปด้วยความสุขสมบูรณ์ และ เปียกปอนไปด้วยสุรานารีพาชีกีฬาบัตร “ฟื้นเปียก” จึงหมายความว่า ชีวิตของนักการเมืองและนักปกครอง เปียกชุ่มไปด้วยตัณหา ราคะ อาสวะกิเลส

    ๑๐. ฝนตกมากนั้น, ได้แก่นักการเมืองและนักปกครองแห่ง นานาชาติจําเป็นจะต้องใช้มติ และอํานาจส่วนรวมเพื่อบริหารการ ปกครองและการสัมพันธภาพระหว่างชาติต่อชาติ และระหว่าง สังคมภายในชาติของตน ปัญหานี้จึงหนักไปในด้านเศรษฐกิจและ การเงิน เพราะเมื่อความสัมพันธ์กับนานาชาติมีมากขึ้นเพียงใด เศรษฐกิจและการเงินก็ต้องมีงบประมาณเพิ่มขึ้นเพียงนั้น ตลอด จนอาวุธยุทธภัณฑ์ ซึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยของชาติ ก็แต่ล้วน เกี่ยวกับการเงินก้อนเบ้อเร่อ ขนาดปิดหีบไม่ลงทุกๆ ปี คราทีนี้ก็ จําเป็นจะต้องดีดลูกคิดบนรางแก้วหรือทํานาบนหลังราษฎรกันขึ้นอีก ปัญหานี้จึงหมายถึงรัฐบาลทั่วโลกใช้เงินเป็นห่าฝน คือว่า “ฝนตก มาก” ดังกล่าวแล้ว

    ๑๑. กบเขียดร้องนั้น ได้แก่ประชาชนพลโลกทั่วไป พากันเป็นเดือดเป็นแค้นถึงการหักหลังแห่งรัฐบาลของตน เมื่อจะก่อ กําเนิดเป็นลัทธิประชาธิปไตย นักปฏิวัติก็อ้างว่า จะกําจัดทุกข์ บํารุงสุขให้แก่พลเมือง (กบเขียด) เพื่อให้พลเมืองอยู่ดีกินดี จะไม่ ให้พลเมืองอดตายเหมือนระบอบเก่า จะเลิกทํานาบนหลังราษฎร จะบํารุงบ้านเมืองอย่างนั้นอย่างนี้ ประหนึ่งสร้างวิมานบนอากาศ ให้พลเมืองอยู่ ครั้นแล้วตัวและพรรคพวกก็ถลําเข้าไปนอนกอด หมอนเอ้เต้จันเย ในตึกในรามในอาคารใหญ่ ๆ อย่างหรูหรา ปล่อยให้พลเมืองนอนกับดินกินกับหญ้า และท้องหิวอยู่ตามถนน ตามเคย ส่วนภาษีอากรก็ต้องหาส่งให้แก่รัฐบาลจนตัวหกก้นขวิด เมื่อบ้านเมืองตกอยู่ในภาวะคับแค้นด้วยข้าวยากหมากแพง ก็ยิ่ง ทุรนทุรายและทุเรศทุรังหนักยิ่งขึ้น ผลสุดท้ายฝูงราษฎรก็กลับ กลายเป็นกบเขียดร้องระเบ็งเซ็งแซ่ไปทั่วทุกหัวระแหง และต่างก็ ชะเง้อคอเพื่อหานายใหม่กันทั่วไป

    ๑๒. งูไล่กินกบเขียดนั้น, ได้แก่รัฐบาลของโลกทั่วไป มีหน้าที่ แต่จะประชุมกันออกกฎหมายบนโต๊ะกลม เพื่อปกครองบ้านเมือง และบีบรัดพลเมืองในด้านต่าง ๆ ไม่มีเวลาจะทํามาหากินกับใคร ภาษีอากรจึงเป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐของรัฐบาลทั่วไป เมื่อเก็บ รวบรวมมาใส่หีบไว้ในคลังได้มากเท่าใด ก็เป็นรายรับอันวิเศษเท่านั้น แล้วประชุมกันทํางบประมาณรายจ่ายในปีต่อไปบางปีก็งบมากเกินไป ค่อนข้างจะปิดหีบไม่ลง ซึ่งจะให้งบมันน้อยลงไปน่ะไม่ค่อยจะมี รัฐบาลใดเขาทํากันดอก ตลอดพงศาวดารของโลก ด้วยเหตุนี้ เมื่อ ได้ยินเสียงกบเขียดมันร้องขรมถมทึกหนักยิ่งขึ้นในทํานอง “งูเฮยทําไมจึงไล่กินกบเขียด?” งูจึงตอบว่า “เพราะกบเขียดมันเป็นอาหารของตูข้า?” ปัญหาข้อนี้หมายถึง “ประชาชาติราษฎรเป็น ทาสของรัฐบาลทั่วโลก” จบเห่- เอวัง กันแล้วซี!!

    มูลเหตุ ๑๒ ประการดังกล่าวนี้เอง ซึ่งเป็นหมอกร้ายมา ปิดบัง มิใช่ผู้มีบุญอันประเสริฐ (นกยางขาว) มาปรากฏเป็นที่พึ่ง แก่โลกได้ ถ้าโลกนี้ยังไม่ถึงแก่ล่มจมแล้ว ฝูงมนุษย์ก็มัวเมาอยู่ใน กิเลสกามและวัตถุกามจนเงยหน้าอ้าปากไม่ขึ้น และไม่ปรารถนา จะพบผู้วิเศษใดๆอีก เมื่อไม่ถึงคราวจําเป็นแล้ว ผู้มีบุญที่กล่าวนี้ ก็ไม่มาให้เราเห็น ย่อมเป็นกฎเกณฑ์ธรรมดาในทุกยุคทุกสมัย บรมจักรธรรมิกราชที่จะมาในท่ามกลางศาสนานี้ พระพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ตามตํานานพระบาทพระธาตุ (ใบลาน) ผูก ๑๐ ว่า

    Avalo.jpg

    “มี บุญญาภินิหารล้ําเลิศกว่าอโศกมหาราช และอนุรุธมหาราชในพันปี ที่ ๑ และที่ ๒ นั้นมากมายนักหนา ทั้งสองมหาราชนั้นเป็นแต่ “ธรรมิกราชเทียม” หรือสมมุติเอาว่า “ธรรมิกราช” เท่านั้น ธรรมิกราชอันแท้จริงนั้นต้องถึงพร้อมด้วยสัตตรัตนะ คือ

    แก้ววิเศษ ๗ ประการ เป็นเจ้าโลกโดยอุปถัมภ์ค้ําชูฝูงมนุษย์ทั่วไปตลอดโลก แม้ในเกาะในแก่งในซอกหัวยรูดอย ก็ไม่ตกระกําลําบากเหมือนทุกวันนี้

    พระประชาธิปกแห่งรัชกาลที่ ๗ ได้เคยทรงเทศนาแก่เสือป่า เมื่อก่อนจะยุบเลิกเสือป่าไว้ใน “ราชกิจจานุเบกษา” ว่า “ตั้งแต่ โลกตั้งมาได้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสโปรดโลกไว้แล้ว ๔ พระองค์ ส่วนพระเจ้าบรมจักรพัตราธิราชนั้น ได้ปรากฏปราบยุคเข็ญของ โลกไปแล้วถึง ๑๒ พระองค์” และท่านได้พรรณนาถึงคุณสมบัติ ของพระเจ้าบรมจักรไว้มากมายหลายประการ

    ตามถ้อยคําในพระพุทธประวัตินั้นมีว่า “ผู้ซึ่งสมควรจะเป็นพระเจ้าบรมจักร ในพุทธกาล มีอยู่ ๓ พระองค์ คือ ที่ ๑ เจ้าชาย สิทธัตถะ ที่ ๒ ก็คือเจ้าชายนันทะ อนุชาต่างพระมารดาพระ สิทธัตถะ ที่ ๒ คือเจ้าชายราหุล โอรสพระสิทธัตถะ ทั้ง ๓ นี้ ถ้า องค์ใดองค์หนึ่งครองเพศฆราวาสธรรมดาอยู่ ก็จะได้ดํารงตําแหน่ง บรมจักพัตราธิราช เป็นองค์ที่ ๑๓ ในอดีตที่ล่วงไปแล้ว แต่ไม่ใช่ วิสัยปัจจัยของท่านทั้ง ๓ และไม่ใช่เวลาที่บรมจักรจะปรากฏใน ยุคนั้น เพราะเป็นยุคที่ฝูงมนุษย์ไม่ชั่วร้ายและโหดเหี้ยมดังเช่นใน ปัจจุบันนี้ แต่เป็นยุคที่จะต้องบังเกิดพระพุทธเจ้าเพื่อรื้อสัตว์ขน สัตว์ไปพระนิพพาน ส่วนในยุคนี้เป็นยุคที่เหี้ยมโหดขนาดสัตถันตระกัปป์ (อาวุธร้ายแรง) ฝูงมนุษย์จะทําลายล้างชีวิตกันจน หมดโลก จึงต้องมีพระเจ้าบรมจักรมาช่วยโลกดังกล่าวแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...