พระศรีอาริย์เจ้าโลก บทที่ ๘ ชีวประวัติ ตําหนิรูปพรรณ พระศรีอาริย์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย วสุธรรม, 10 ธันวาคม 2018.

  1. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    SriarayaFeature08.jpg
    ชาติและภูมิ ผู้เขียนได้พยายามค้นคว้าอยู่ถึง ๒๐ กว่าปี จึงได้พบหลักฐานจากตํานานต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วในตอนต้น แต่ละตํานานล้วนทํานายว่า:

    หนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก รวบรวมโดยรหัสยญาณ

    37743-1284432332-9659aa810a0d6e40db61e38b677c8b36.jpg

    ภาพโดยวัดถ่ำเมืองนะ​


    prasri3-188x300.jpg
    “ผู้มีบุญนั้นเป็นคนหลายชาติ มีทั้งไทย จีน รามัญ ผสมกัน เกิดในปีขาล บ้านเกิดอยู่ในปลายหล้าน้ํา หรือริมชายทะเล ที่เกิด นั้นมีเรือน ๓ หลัง ทางตะวันออกมีลําคลอง ทางตะวันตกมีภูเขา ลูกหนึ่งรูปร่างเหมือนครกตําข้าว อีกลูกหนึ่งมีรูปร่างเหมือนกระเดื่อง (ครกกระเดื่อง)

    บิดามารดาเป็นชาวนาและช่างทอหูก กําพร้าบิดา แต่อายุ ๗ ปี บิดามีอายุ ๕๐ ปี ก็สิ้นชีพ เมื่ออายุย่างเข้า ๔ ปี ก็ ไปอยู่วัดหนองใหม่ ตําบลบ้านหนองใหม่ เมืองซิดทองพะลิณ (เป็นภาษาพม่า) เริ่มศึกษาวิทยาการต่างๆตั้งแต่บัดนั้นมาบวชๆ สึกๆ อยู่ถึง ๓ ครั้ง เคยบวชเป็นฤาษีชีป่า เมื่อบวชอยู่เพื่อนนักบวชก็รุมซัง เมื่อสึกออกมาเป็นฆราวาส ฆราวาสก็รุมขัง สมณะ ชีพราหมณ์ตลอดจนฝูงท้าวพระยาที่มีใจหนาแน่นด้วยบาป ต่างก็ ไม่คบค้าสมาคม อยู่ที่ไหนก็มีแต่คนเกลียดชังและขับไล่ไสส่งเสมอไป อยู่ที่ไหนไม่แน่นอน อยู่ที่ไหนไม่มั่นพลันหนี เพราะมีศีลธรรมและ ความประพฤติผิดกับคนทั้งหลาย จึงคบค้าสมาคมกับคนที่ใจบาป หยาบช้าทั้งหลายไม่ได้นาน ทํานองแม่น้ําเดียวกันแต่ไหลขึ้นฝั่ง หนึ่งลงอีกฝั่งหนึ่ง ไม่ไหลตามกัน คือ “คนชั่วก็ไหลไปตามชั่ว คนดี ก็ไหลไปตามดี” เมื่อเป็นทารกนั้นนอนดังลิงลม เมื่อบวชเรียนอยู่ นั้นนอนดั่งนกกาน้ํา เมื่อสึกออกมาเป็นฆราวาสนั้นนอนดั่งช้างสาร และเมื่อปรากฏเป็นพระเจ้าบรมจักรธรรมิกราชแล้วนอนดั่งราชสีห์ เมื่อจะปรากฏเป็นที่พึ่งแก่ชาวโลกนั้นมีอายุได้ ๘๙ ปี ตํานานของ สมเด็จกรมพระยาดํารงฯ ว่าอายุ ๕๕ ปี และมีบุตรชาย ๒ คนมี บุตรหญิง ๒ คน ว่าจะปรากฏในปีขาล (ปีรอยยี) (ทํานายไว้ใน ตํานานพุกาม จอมฮดและธรรมิกราช)”

    ตําหนิรูปพรรณสัณฐาน มีรูปร่างอ้วนด้วดั่งครุฑ ใบหน้า เหมือนครุฑ มีจมูกเหมือนยักษ์ มีฟันเหมือนฟันม้า ตัวกลม ตาลึก ท้องใหญ่เล็กน้อย อกเต็ม ไหล่ขด มือและเท้ายาว นิ้วมือเบื้องซ้าย กิ่วคอดและเป็นแผล ๑ แห่ง ที่ไหล่ซ้ายมีขนยาว ๑ เส้น ในฝ่าเท้า เบื้องขวามีปานแดง บนศีรษะมีแผลเป็น ลักษณะไม่สูงไม่ต่ํา ไม่ดํา ไม่ขาว ตํารับหนึ่งว่า “ผิวเนื้อขาวเหลือง ยามเจรจามีเสียงแลบ ออกมาจากไรฟัน พูดจามั่นเที่ยง ไม่กลับกลอก กระแสเสียงแจ่มใส ไพเราะและก้องกังวาน”

    อิทธิปาฏิหาริย์ เมื่อบวชเรียนอยู่ในเพศบรรพชิตนั้น มีรัศมีพุ่งออกจากศีรษะเสมอ อยู่ที่ไหนก็มักมีดาวหางและแสง ประหลาดสีต่าง ๆ ปรากฏแก่สายตาประชาชนไม่ขาดสาย บางครั้ง เป็นดาวกลมขนาดเท่าผลมะพร้าวทั้งเปลือก บางครั้งเท่าผลส้ม บางครั้งก็พุ่งเป็นท่อยาว นอกจากนี้ก็มีเสียงดนตรี และฆ้องกลอง ประหลาดดังอยู่ตามบริเวณครื้มเครือ เสมอเรียกว่า “จักรวัติ โกลาหล”

    คุณธรรมพิเศษ มีปัญญาดั่งมโหสถบัณฑิต มีสัจจะดิ่ง วิธูรโพธิสัตว์ มีความเพียรดั่งมหาชนก มีขันติดั่งขันติวาที่ดาบส มี ศีลธรรมดั่งพญาจักร มีความกล้าหาญดั่งอสูร มีใจเบาและรวดเร็ว ดั่งลิงลม มีไมตรีรักคนใจบุญและสัตย์ซื่อ เมตตากรุณาต่อคนทุกข์ ไร้อนาถาไม่ถือตัว ไม่ถือชั้นวรรณะ แก่กล้าด้วยศีลและทานจนตก ทุกข์ได้ยาก มีเท่าใดให้ทานหมดเท่านั้น เมื่อปรากฏเป็นที่พึ่งแก่ ชาวโลกแล้ว จึงได้นามสมัญญาว่า “ทลิทกธรรมิกราช” คือ “พระ เจ้าทรงธรรมซึ่งเข็ญใจไร้ทรัพย์” แต่นามอันแท้จริงเมื่อปรากฏแล้ว นั้นว่า “สุวรรณธรรมิกราช” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงธรรม ซึ่งมีขุม ทองเป็นสมบัติ”

    Avalo.jpg

    มูลเหตุที่พระศรีอาริย์จุติ พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ต้องจุติหรืออวตารลงมาปรากฏตัวในรูปของมนุษย์ ในระหว่างจะ เข้าสู่ท่ามกลางพระพุทธศาสนานี้ (นารายณ์ปางที่ ๑๐) ก็เนื่อง ด้วยเหตุผลหลายประการ

    ๑. เหตุด้วยกรรมวิบากที่พระศรีสากยมุนีโคดม กับพระศรี อาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ได้สร้างบารมีผูกเวรกันมาในอดีตชาติ

    ๒. เหตุด้วยจะสนธิศาสนาพระโคดมเจ้ากับพระเมตไตรยเจ้าให้สัมพันธ์สืบต่อไปในอนาคต

    ๓. เหตุด้วยจะเปิดเผยบารมีทั้งหลาย มีทานบารมีและศีล บารมี เป็นต้นให้ปรากฏแก่โลก เพื่อประวัติศาสตร์และตัวอย่างแก่ มนุษย์ในเรื่องพุทธภูมิ เหมือนดังพระเวสสันดรโพธิสัตว์ได้กระทํา ไปแล้ว

    ๔. เหตุด้วยจะบําราบปราบอธรรม คือคนชั่วร้าย ให้กลับ ตัวและวางศีลธรรมอันวิเศษให้แก่โลกใหม่ ในทํานอง “กฤตยุค” ซึ่งบริบูรณ์ด้วยศีลธรรมโพ้น

    ๕. เหตุด้วยจะสงเคราะห์ฝูงมนุษย์ที่ยากไร้อนาถา ด้วย สมบัติบรมจักร เพื่อให้มนุษย์สมบูรณ์พูนสุข ด้วยเครื่องอุปโภค บริโภคสม่ําเสมอกัน

    ๖. เหตุจะชําระสะสางความมัวหมองของบรรดาพุทธบริษัท ซึ่งกําลังเสื่อมชํารุดหรือกิ่วคอดเหมือนคอสากอยู่นี้ให้เจริญถาวร สืบต่อไปจนสิ้นสุดพระพุทธศาสนา

    มูลเหตุกรรมวิบาก ซึ่งได้ผูกเวรสืบกันมาในอดีตชาตินั้น ปรากฏชัดในตํานาน “อธิษฐานดอกบัว” กล่าวไว้ดังนี้

    1166781712.jpg
    เอกัง สะมะยัง ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าโคตมะได้เสด็จ เลียบมาถึงแม่น้ําสายหนึ่งในแคว้นสุวรรณภูมิซึ่งไหลผ่านภูเขาดักกคีรี พระองค์ลงสรงน้ําเรียบร้อยแล้ว ก็เอาผ้าอาบตากไว้บนฝั่งแม่น้ํา จึงเสด็จขึ้นประทับอยู่บนภูเขาลูกนั้น มีลิงแม่ลูกอ่อนฝูงหนึ่งอุ้มลูก ออกมาจากชายป่า พลันก็ถ่ายอุจจาระของมันลงบนผ้าอาบของ พระองค์ เอาหว่านเล่นเสียเลอะเทอะ คงเหลืออยู่ชายเดียว ณ บัดนั้นก็ได้มีนกยางปอน (นกยางขาว) ตัวหนึ่งบินมาจับลงที่ศีรษะของแม่ลิงตัวหนึ่ง แล้วก็เหลียวหน้ามองไปโดยรอบทั่วทุกทิศ ใน ทันใดรัศมีซึ่งเป็นสีต่างๆ ได้พุ่งปราดออกจากพระเขี้ยวทั้งสี่ของ พระพุทธเจ้า พระอานนท์ผู้อุปัฏฐากจึงทูลถามเหตุการณ์อัน ประหลาดนั้น พระองค์ทรงตรัสพยากรณ์ว่า:​

    “ดูก่อนอานนท์ ผ้าอาบของตถาคต ได้แก่ศาสนาที่ตถาคต วางไว้ ลิงแม่ลูกอ่อนที่มาถ่ายมูลเลอะเทอะหมดถึง ๓ ชายนั้น ได้แก่กองทัพซึ่งจะมารบราฆ่าฟันกันตายเหลือที่จะคณานับ ศาสนา ของตถาคตจะเสื่อมทรุดไปถึง ๓ ใน ๔ ส่วนคงค้างอยู่แต่เพียงส่วน เดียว และนกยางขาวที่บินมาจับหัวแม่ลิงนั้น ได้แก่พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ จะมาปราบปรามอธรรม และสถาปนาศาสนา ของตถาคต เริ่มตั้งแต่ ๒๕๐๐ ปีขึ้นไปจนครบ ๕๐๐๐ ปี”

    “พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์กับตถาคต ได้สร้างกรรม กันไว้ในอดีตชาติ” พระองค์ทรงบรรยายต่อ “ในชาติอันหนึ่งเราทั้ง สองเป็นสหายกัน ได้เอาดอกบัวคนละดอกเข้าไปอธิษฐานกันใน วิหาร “ถ้าใครจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าก่อน ก็ขอให้ดอกบัวของผู้ นั้นบานก่อน” ในวันรุ่งขึ้นพระตถาคตได้เข้าไปดูดอกบัวนั้นแต่ยังไม่ ทันสว่างแจ้งเห็นดอกบัวพระเมตไตรยบานก่อน ด้วยความที่อยาก เป็นพระพุทธเจ้าก่อนพระเมตไตรย จึงลักเปลี่ยนดอกบัวของพระ เมตไตรยมาไว้ที่พระตถาคต สับเปลี่ยนกันเสีย เมื่อพระเมตไตรย เข้าไปดูภายหลังเห็นพระตถาคตลักเปลี่ยนเช่นนั้นจึงทํานายว่า “โอ! สหาย ท่านจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าก่อนเราจริง แต่ทว่าฝูง มนุษย์ในยุคนั้นจะเป็นคนขี้ลักขี้ล่ายและใช้เงินดํา เงินแดง เงินกระดาษ กันอย่างพร่ําเพรื่อ มนุษย์จะไม่สัตย์ซื่อต่อกัน จะทุจริตคิดมิชอบนานาประการฯลฯ เพราะกรรมที่ท่านได้สับเปลี่ยนดอกบัวของเรา ในครั้งนี้ ”

    พระพุทธเจ้าทรงเล่าอดีตนิทานจบลงแล้ว จึงพยากรณ์ เหตุการณ์สืบต่อไปอีก:

    “เมื่อพระเมตไตรยโพธิสัตว์จะมายกย่องศาสนาของพระ ตถาคตนั้น จะมีสรรพวัตถุทั้งหลายบังเกิดขึ้นแก่โลก อย่างแปลก ประหลาดเหลือจะคณานับ ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์นานาชนิด ก็จะไม่ได้ ปั่นและทอด้วยมือเหมือนดังในศาสนาของตถาคต จะมีแต่ผ้าเนื้อ บริสุทธิ์ ฝูงมนุษย์จะไม่ติเตียนว่าเป็นขี้หูขี้ตาเขาเท่าจะวัดวา (วัด หลาและเมตร) ก็จะมีในยามนั้น แม่หญิงจะนุ่งซิ่นเสื้อลายเหมือน หนังแย้ จะนุ่งเสื้อผ้าแขนกุดขาก้อม หญิงชายจะนุ่งผ้าเป็นอย่าง เดียวกัน จะว่าชายก็บ่จริง จะหญิงก็บ่แม่น แม่หญิงจะหวีผมปก หน้า จะใส่ต่างหูยาวหน้า (ผมบ๊อบดาวหางพ้นไปแล้วและกําลัง มาอีก) พ่อชายจะใส่หมวกหุ้มหน้า (หมวกทํานองคาวบอย) สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็จะได้รู้, สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น, พร้อมด้วย บุรพนิมิตอันชั่วร้ายต่าง ๆ ก็จะบังเกิดขึ้นแก่โลกมากมายยิ่งนัก ดังนี้:

    ๑. ราชภัย, ท้าวพระยาจะบังคับเบียดเบียนพลเมือง

    ๒. โจรภัย, จะบังเกิดโจรผู้ร้ายปล้นสะดมทั่วไป

    ๓. อัคคีภัย, ไฟจะไหม้บ้านเมืองไม่ขาดสาย

    ๔. อสุนีบาต, ฟ้าจะผ่าสัตว์และคนล้มตายบ่อยๆ

    ๕. เมทนีภัย, แผ่นดินจะไหวสะท้านไม่ขาดสาย

    ๖. วาตภัย, จะเกิดลมร้ายพัดบ้านเมืองพินาศ

    ๗. อุทกภัย, น้ําท่วมบ้านเมืองและเรือกสวนไร่นา

    ๘. ทุพภิกขภัย, จะเกิดข้าวยากหมากแพงและอดอาหาร

    ๙. พยาธิภัย, จะเกิดโรคระบาดคนและสัตว์ล้มตาย

    ๑๐. สัตถภัย, จะรบราฆ่าฟันกันล้มตายร้ายแรง

    ในขั้นสุดท้าย แผ่นดินจะไหวเดือนละหลายครั้ง จะมีสุริยคราส หรือจันทรคราสบ่อยครั้ง จะเห็นผีพุ่งไต้บ่อยๆ ดาวหางและแสงประหลาดจะบังเกิดให้เห็นไม่ขาดระยะ จะได้ยินเสียงดังใน อากาศคล้ายระเบิดและปืนใหญ่ แร้งกาจะลงบินเกาะบ้านเมือง อย่างผิดธรรมดา ฝูงมนุษย์จะเดือดร้อนและขวักไขว่กันไปมา จะบังเกิดสงครามฆ่าฟันกันตายเหมือนใบไม้ร่วงไปทุกหนทุกแห่ง ครั้นแล้วจะมีคนหัวขาวหนวดยาวขี่ม้าขาวเหาะลอยลงมายัง ท่ามกลางนครเชียงใหม่ นั่นคือองค์พระเมตไตรยโพธิสัตว์มา ปรากฏเป็นที่พึ่งแก่โลกแล้ว”

    พระศรีอาริยเมตไตรยเคยมาเกิดแล้ว ๔ ครั้ง

    ในพระพุทธศาสนาปัจจุบันนี้

    ตํานานกล่าวไว้ว่า “พระศรีอาริยเมตไตรยได้มาบังเกิดแล้ว ถึง ๔ ครั้ง ความเดิมว่า :

    เมื่อชาติก่อนเป็นกษัตริย์อยู่ในเกาะลังกา แห่งศาสนาของ พระพุทธเจ้ากัสสป ทรงเป็นนักเลงสุรานารีอย่างจอมบุรุษ เสพสุราและประพฤติผิดลูกเมียของอํามาตย์ราชเสวกเป็นอาจิณกรรม ฆ่าลูกแดงๆ แกงกินเพราะเมาสุราอย่างบ้าบิน มเหสีทราบความ ว่าสวามีฆ่าลูกกินอย่างยักษ์มาร ก็เลยคว้ามีดปลายแหลมแทงคอ ของตัวตายตามลูกไปด้วย กษัตริย์เมตไตรยเมื่อสร่างเมาก็พลัน รู้สึกตัว จึงเรียกหาลูกเมียอย่างน่าสงสาร มหาดเล็กผู้ใกล้ชิด จึงทูลบรรยายเหตุการณ์ให้ฟังว่า :

    “เมื่อวันวานนี้ พระองค์ทรงเสพน้ําจัณฑ์จนมึนเมาเกิน กําหนด พอได้ยินพระโอรสน้อยทรงกันแสงตามภาษาทารก พระ องค์ก็ทรงพระพิโรธว่า “อ้ายทารกน้อยคนนี้ร้องให้หนวกหูจริง เอา ตัวไปฆ่าแกงอ่อมมาให้กกินแกล้มเหล้าให้อร่อยสักทีเถอะหวา” พระองค์ทรงบังคับเอาแก่พนักงานห้องครัว แม้พระมเหสีจะทูล ทัดทานประการใดก็ไม่ทรงยอม ซ้ําจะฆ่าพระมเหสีเสียด้วย พระ มเหสีก็ทรงสลดพระทัยเพราะความอาลัยแก่พระโอรส จึงคว้ามีด น้อยแทงพระศอของตนเองสิ้นพระชนม์ตามลงไปอีกพระศพหนึ่ง พระเจ้าข้า! ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรด”

    เกิดครั้งที่ ๑ “โอ! ลูกเมียของฉันตายเพราะความชั่วของฉัน!” กษัตริย์ ผู้มีกรรมอันยิ่งใหญ่เปล่งอุทานขึ้นได้เพียงประโยคเดียวก็ล้มลงสิ้นสติ หายใจระรวยร่อแร่ ต่อมาอีก ๗ วัน ก็สิ้นพระชนม์ เพราะไม่เสวย พระกระยาหาร ลงไปบังเกิดอยู่ในขุมนรกใต้แผ่นดิน เป็นเวลานาน หลายพันปี เมื่อใกล้จะถึงศาสนาพระพุทธเจ้าโคตมะนี้ จึงพ้นจาก นรกมาบังเกิดเป็นนางยักขินีรูปร่างร้ายอยู่ที่ป่าไม้ใหญ่ริมแม่น้ำเอราวดีในประเทศพม่า เพราะผลกรรมที่กระทํากาเมสุมิจฉาจาร กับภรรยาผู้อื่น พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้สัพพัญญุตญาณแล้วเพียง ๓ พรรษา ก็ได้เสด็จมาโปรดนางยักขินีเมตไตรยที่ริมฝั่งแม่น้ําเอราวดี นั้น เมื่อนางยักขินีได้เห็นองค์พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเสด็จมายืน อยู่ในที่เฉพาะหน้าก็เข้ามาก้มลงกราบด้วยความเลื่อมใส แล้วดัด เอาเต้านมทั้งสองของนางออกมากระทําสักการบูชา แล้วปรารถนา เป็นบุรุษเพศในอนาคตกาลเพราะนางยักขินีเมตไตรยผู้นี้ได้ก่อสร้าง พุทธวิริยบารมีมาถึง ๔๐ อสงไขยแผ่นดิน (มหากัปป์) คือ ปรารถนาอยู่ในใจถึง ๓๖ อสงไขยแผ่นดิน ลั่นวาจาว่า จะเป็น พระพุทธเจ้าอีก ๒๘ แผ่นดิน เวลาต่อมาพระพุทธเจ้าพระองค์ หนึ่งทรงพระนามว่า “มหตชินสีห์” ได้ทรงพยากรณ์ว่า “ท่านจะ เวียนว่ายตายเกิดสืบต่อไปอีก ๑๖ อสงไขยแผ่นดิน ก็จะได้มาตรัส เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “พระศรีอาริยเมตไตรย” ใน อนาคตกาล”

    114897591.jpg

    ด้วยนางยักขินีเมตไตรย ได้ก่อสร้างบารมี ๓๐ ทัศมากมาย ดังกล่าวแล้ว จึงปลงใจเด็ดขาดตัดเอาเต้านมทั้งสองออกสักการ บูชาพระพุทธเจ้าได้ง่ายดาย พระพุทธเจ้าจึงทรงทํานายแก่นาง ยักขินีเมตไตรยว่า อานิสงส์ที่ท่านตัดเอาเต้านมทั้งสองมากระทํา สักการบูชาพระตถาคตครั้งนี้จะส่งผลให้ท่านพ้นจากอิตถีเพศ คือ ท่านจะเกิดเป็นหญิงแต่เพียงชาติเดียวเท่านั้น สืบต่อไปจนภายหน้า ท่านจะได้มาบังเกิดเป็นพญาจักรพัตราธิราช (พระเจ้าทรงธรรม) ในท่ามกลางพระพุทธศาสนานี้ และจะยกยอพระศาสนาของตถาคต ให้เจริญรุ่งเรืองจนตลอด ๕๐๐๐ ปี (จากตํานานมันดาเล)

    เกิดครั้งที่ ๒ เมื่อนางยักขินีตัดเอาเต้านมถวายแล้วก็ตายมาบังเกิดเป็น มหายักษ์ใหญ่อยู่ในถ้ําเชียงดาว ในแคว้นสุวรรณภูมิ (แผ่นดินแห่ง ทองคํา) พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณว่า แคว้นสุวรรณ ภูมิจะเป็นอาณาจักรสัมมาทิฏฐิในอนาคตเช่นเดียวกับมัชฌิมประเทศ ในอินเดีย จึงเสด็จจาริกเลียบมาทางประเทศพม่า ซึ่งขณะนั้นเป็น ที่อยู่ของพวกเม็งหรือรามัญ (มัลลชาติ) มาพบอลัชชีชาติเม็ง ๒ คน ที่ตําบลหนึ่ง แล้วทรงบวชให้ใหม่ และทํานายว่า “ที่ตรงนี้ในภาย หน้าจะเป็นมหานครอันยิ่งใหญ่ จะได้นามว่า “นครเชียงใหม่” อัน เนื่องจากบวชชีใหม่ (อลัชชีหมายถึงบรรพชิตที่ไม่บริสุทธิ์) และ ศาสนาของตถาคต จะมาเจริญรุ่งเรืองในดินแดนอันนี้ในภายหน้า” เมื่อพระองค์เสด็จมาตามลําดับจนถึงตําบลเชียงดาว ก็ได้พบมหา ยักษ์ใหญ่นั้นเข้า มหายักษ์นั้นไม่ทราบว่าเป็นองค์พระพุทธเจ้า จึง ไล่ขับเพื่อจะทําร้าย ครั้นแล้วก็ได้พ่ายแพ้พุทธาภินิหาร จึงคอตก กลับถ้ําซึ่งเป็นที่อยู่ของตน ได้นําเหตุการณ์ไปเล่าบอกแก่ภรรยา นากยักขินีมีความตกใจ เพราะรู้ดีว่ามนุษย์ที่มีร่างกายงดงามและ หุ้มห่อด้วยผ้ากาสาวพัสตร์นั้น หาใช่มนุษย์สามัญธรรมดาไม่ ที่แท้ คือองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าโดยตรง จึงแนะนําให้มหายักษ์สามีเอา ดอกไม้ธูปเทียนไปกระทําสักการบูชาโดยเคารพ พระพุทธเจ้าจึง ทรงเทศนาให้มหายักษ์นั้นละพยศร้ายแล้วตั้งอยู่ในศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ และได้ทรงทํานายดุจนัยที่ได้ทํานายไว้แก่นางยักขินีริมแม่น้ํา เอราวดีดังกล่าวแล้ว

    tnews_1499000155_1399.jpg

    เกิดครั้งที่ ๓ ถัดมาไม่นาน มหายักษ์เชียงดาว ก็กระทํากาลกิริยาตาย เพราะหมดกรรม มาบังเกิดเป็นมนุษย์ชาวไร่ กระทําไร่เลี้ยงชีวิต อยู่ที่ริมภูเขาตกคีรี ซึ่งเป็นภูเขาลูกเดียวกันกับที่ฝูงลิงถ่ายอุจจาระ ใส่ผ้าอาบของพระพุทธเจ้านั้นเอง ขณะที่เมตไตรยกระทาชายวิ่งไล่ ขับฝูงลิงที่ลงมากินแตงโมในไร่นั้น ก็เลยวิ่งถลําไปเหยียบเอาพระ ฉายคือเงาของพระพุทธเจ้าโดยไม่ทันสังเกตเห็น เมื่อเหลียวไปพบ องค์พระพุทธเจ้าเข้า ก็บังเกิดความเลื่อมใส จึงนําเอาแตงโมมาถวาย ๗ ลูก แต่อีกลูกหนึ่งนั้นมีรอยหนูกัดเป็นโพรง! พระพุทธเจ้าทรง รับแตงโมแล้วก็ทรงพยากรณ์แก่เมตไตรยกระทาชายนั้นว่า “ดู ก่อนกระทาชาย กุศลทานที่ท่านได้เอาแตงโม ๗ ลูกมาถวายพระ ตถาคต นี้ จะส่งผลให้ท่านไปบังเกิดเป็นพระยาจักรพัตราธิราช อันประเสริฐ ในหว่างกลางพระศาสนาของพระตถาคต และจะช่วย กระทําสังคายนา ชําระสะสางพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง สืบจาก ๒๕๐๐ จนถึง ๕๐00 ปี ส่วนวิบากที่ท่านได้เหยียบเงา ตถาคตนั้น เมื่อท่านได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก่อนที่จะมาปรากฏ เป็นพญาจักรธรรมิกราช ท่านจะมีรูปร่างหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ บน ศีรษะก็จะมีบาดแผล ดุจรอยหนูเจาะแตงโม แต่ในภายหลังท่านจะ มีผิวพรรณวรรณะสวยสดงดงามดั่งเทพบนสวรรค์ เพราะได้บริโภค ของวิเศษอันเป็นทิพย์ของพระอิศวรเทพเจ้า”

    2016-12-22_015251.jpg

    เกิดครั้งที่ ๔

    เมื่อกระทาชายนั้นตายแล้ว ก็ได้ไปเกิดเป็นอชิตกุมารโอรส กษัตริย์อชาตศัตรู ในแคว้นมคธแห่งอินเดีย แล้วออกบวชเป็น บรรพชิตในสํานักพระพุทธเจ้า พยายามประพฤติพรตพรหมจรรย์ และทรงจําพระไตรปิฎกได้แม่นยํา เมื่อมรณภาพจากบรรพชิตแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดในดุสิตเทวโลก ปรากฏอยู่ในคัมภีร์อนาคตวงศ์นั้นแล้ว เมื่อเวลาใกล้จะเข้าสู่ท่ามกลางพระพุทธศาสนา พระศรีอาริยเมต ไตรยโพธิสัตว์ ก็จะอวตารลงมาเป็นนารายณ์ปราบยุคเข็ญของโลก อีกครั้งหนึ่งเป็นคํารบ ๕ เมื่อเสร็จสิ้นการงานของโลกแล้ว ก็จะ กลับขึ้นไปบังเกิดในเทวโลกอีก ครั้นเวลาเข้าเขตพุทธกาลของพระ เมตไตรย จึงจะได้มาตรัสเป็นสัพพัญญโปรดโลกตามกําหนด ใน อนาคตอันไกลโพ้น “วัฏฏะโก โลโก” สรรพสัตว์ทั้งหลายมีภพทั้ง ๓ เหมือนแผ่นดิน, มีชาติเหมือนกงเกวียน, มีจิตเหมือนคุมเกวียน, มีบุญและบาปเหมือนกําเกวียน, มีตัณหาอุปาทานเหมือนวัวทั้งคู่ที่ ฉุดลากเกวียนให้หมุนเวียนไปบนพื้นดิน กล่าวคือภพทั้ง ๆ กระนั้นแหละ

    ศรีอาริยวงศ์กลางศาสนา เมื่อพระศรีอาริย์มาปรากฏเป็น พระบรมจักรพัตราธิราช ในท่ามกลางพระพุทธศาสนานี้ พระ อิศวรผู้เป็นเจ้าประกาศิตให้เทวดาลงมารักษาพระราชวังถึง ๕๐,000 องค์ ยักษ์อีก ๕๐,๐๐๐ ตน นาคและครุฑก็จะเป็นมิตรกัน และจะ มารักษาปราสาทราชวังด้วยเป็นจํานวนมาก เชื้อพระวงศ์ของพระ ศรีอาริย์ จะอุปถัมภ์ยกยอพระพุทธศาสนาสืบๆ ต่อกันไปจนอีก ๑๓๐๙ ปี คือลุ พ.ศ. ๒๔๕๐ ปีเศษ จึงสิ้นเชื้อสายพระศรีอาริย์ คนสุดท้ายมีนามว่า “เสารรัญญา” หรือ “พยาเสารราช” (ศรี อาริยวงศ์ 9000 ปี ในเล่มนี้ ไปตรงกับแผ่นดินของพระเจ้า ซึ่ง พระเยซูจะกลับมาปกครองโลกอยู่ ๑000 ปีเหมือนกัน เรียกว่า Millennium ภาษาอังกฤษเรียกว่า ศรีอารยะ (Sriaraya) ภาษาบาลีเรียกว่าสิริอริยะ (Siriariya) แม้กระนั้นก็ยังมีเทวดา, นาค, ครุฑ เฝ้าปราสาทราชมณเฑียรอยู่มาก เมื่อพ้นจากพญาเสารราช ไปแล้ว พระเสื้อเมืองทรงเมืองทั้งหลาย ก็ละทิ้งบ้านเมืองหลบหนี เข้าป่าไปหมดสิ้น ดังเช่นในยุคปัจจุบันนี้ เพราะอธรรมทั้ง ๒ และ อคติทั้ง ๔ เข้าครอบงําสันดานประมุขและรัฐบุรุษ จนบ้านเรือน เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า มหาภัย ๑๐ ประการ ก็คุกคามประชาชน พลเมืองอยู่ทั่วไป ครั้นแล้วก็จะบังเกิดพญาธรรมิกราชองค์ที่ ๔ มายอยกพระพุทธศาสนาอีก และจะเกิดที่นครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) จะทรงเกียรติขนาดอโศกมหาราช หาใช่บรมจักรพัตราธิราชดั่งเช่น พระศรีอาริย์ในท่ามกลางพระพุทธศาสนานี้ไม่​

    ในตํานานมันดาเลของพม่านั้นกล่าวว่า พระราชวังของพระ ศรีอาริย์ธรรมิกราชนั้นจะมีประตู ๘๐ ประตู จะมีฝูงเทวดาและยักษ์ รักษาแน่นขนัด จะเข้าออกได้แต่มนุษย์ที่มีศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น ปราสาทราชวังนั้นจะสว่างรุ่งโรจน์ด้วยแสงแก้วมณีโชติ กลางคืนจะ กลับกลายเป็นกลางวัน จะผิดกันก็แต่ว่า ความสว่างของแสงแก้ว นั้นจะเย็นตาเย็นกาย ไม่ร้อนระอุเหมือนแสงอาทิตย์ในเวลากลาง วันอย่างธรรมดา

    พิษณุเทพบุตร จะไปนําเอาผลมะม่วงกาซอ (ผลไม้โรทันตี)จากสวรรค์มาถวายพระศรีอาริย์ธรรมิกราช เมื่อเสวยแล้วรูปร่างก็ กลับกลายเป็นหนุ่มเหมือนอายุ ๒๐ เศษ จะมีพระมหาเถระ ๒๔ รูป เดินทางมาจากทิศต่างๆ เพื่อชมบารมีพระศรีอาริย์ธรรมิกราช​

    พระศรีอาริย์ธรรมิกราชจึงเอามะม่วงกาซอ (มะม่วงลอกคราบ) เข้าถวายพระผู้เฒ่าทั้ง ๒๔ รูป พระผู้เฒ่าทั้งหมดเมื่อฉันแล้วก็ ง่วงนอน และหลับไปด้วยความสบาย ครั้นตื่นขึ้นแล้วผิวพรรณก็ กลับกลายเป็นหนุ่มไปหมดทั้ง ๒๔ รูป รู้สึกว่ากระปี้กระเปร่า แข็งแรงขึ้นอย่างผิดธรรมดา พระศรีอาริย์จึงเอาเมล็ดมะม่วง ลอกคราบนั้นปลูกลงในดินริมปราสาท ก็พลันงอกงามเป็นต้นเป็นลํา และแตกกิ่งก้านสาขาขึ้นในทันที ประกอบด้วยช่อและดอกออกผล เต็มไปหมด โดยไม่ต้องรอเวลาหรือฤดูกาลใดๆ เลย ฝูงมนุษย์ก็ จะไหลมาเทมาเพื่อบริโภคมะม่วงลอกคราบอันวิเศษนั้น ครั้นแล้ว คนแก่ก็จะกลายเป็นหนุ่ม คนที่มีผิวพรรณไม่งามก็จะงาม คน อ่อนแอก็จะแข็งแรงไปทั่วทุกรูปทุกนาม โลกจะถึงความเป็นสวรรค์ ทั้งในด้านผิวพรรณและโภคทรัพย์ ฯลฯ และจะมีต้นไม้กาม พฤกษ์ทิพย์ถึง ๑,๖๐๐ ต้น (โรงทาน) ทั่วทั้งโลก

    อนึ่ง พระมหานครอันบรมสุข จะได้ถูกก่อสร้างตึกรามขึ้น ๓๖,000,000 หลัง จะเป็นที่อยู่ของพลเมืองที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งสิ้น และว่าในยุคนั้น จะมีผู้หญิงมากผู้ชายน้อย เพราะผู้ชายไปตายใน กองทัพถึง ๓ ใน ๔ ส่วน ผลสุดท้ายผู้ชายคนเดียวจะมีภรรยา ๙ คน ๑๐ คน ผู้หญิงจึงหาสามีที่โสดๆไม่ได้ง่ายนัก จริงเท็จอยู่กับตํารา (แจ้งอยู่ในใบลาน ๓-๔ ผูก)คําพยากรณ์ กับ คนสําคัญ เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อประสูติใหม่ๆ พราหมณ์ผู้เฒ่าชื่อว่า “ราธะ” ได้ยกนิ้วขึ้นสองนิ้ว พร้อมกับพยากรณ์ว่า “เจ้าชายนี้ทรง บุคลิกลักษณะเป็นมหาบุรุษ ถ้าครองเมืองเพศฆราวาส จะได้เป็น พระบรมจักรพัตราธิราช ปกครองโลกตลอดพื้นพิภพ ถ้าทรง ผนวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นบรมครูของเทวดา และมนุษย์ทั่ว๓ ภพ”​

    พราหมณ์หนุ่มชื่อว่า “โกณฑัญญะ” พยากรณ์ว่า “เจ้าชาย จะได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยแท้ จะเป็นอื่นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด” พร้อมด้วยการยกนิ้วขึ้นแต่นิ้วเดียวเท่านั้น ผลสุดท้ายเจ้าชาย สิทธัตถะก็ได้เป็นพระพุทธเจ้าตามคําพยากรณ์ของเขา เมื่อพระ ชนมายุได้ ๒๕ ปี

    ส่วนมหาบุรุษอื่น ๆ เช่นพระเยซู, พระมะหะหมัด, โซโร อัสเตอร์, เล่าจื้อ, ขงจื้อฯลฯ ซึ่งเป็นศาสดา ก็ย่อมได้รับคํา พยากรณ์จากผู้วิเศษด้วยกันทั้งสิ้น แม้มหาบุรุษชั้นนักรบหรือ กษัตริย์ทั้งหลาย เช่น อเล็กซานเดอร์มหาราช, อโศกมหาราช, นโปเลียนมหาราช, เจ๊งกิสข่าน, โอโกไตข่าน, กุบไลข่าน ฯลฯ ก็ ล้วนได้รับคําพยากรณ์จากผู้วิเศษว่าจะได้เป็นใหญ่เป็นโตด้วยกัน ทุกรูปทุกนาม​

    แม้ชั้นรองลงมาโดยเฉพาะคนไทยแห่งประเทศไทย เช่น พระเจ้าตากสิน, พระพุทธยอดฟ้า, พระประชาธิปก ก็ได้รับคํา ทํานายทายทักจากจีนผู้ชํานาญ มีหมอดูทองหยิน เป็นต้น เจ้าคุณพหลฯ (อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย) ซึ่งเรารู้จักกันดีแล้ว ก็ได้รับ คําทํานายจากหมอดูไพ่ป๊อกขณะที่อยู่ในเยอรมนี ว่าจะได้อยู่วัง ปารุสกวันจริงๆ เสียด้วย ฯลฯ

    พระศรีอาริย์ของข้าพเจ้าในเล่มนี้ ซึ่งจะได้มาปรากฏเป็น เจ้าโลกโดยธรรมอันวิเศษ ก็ย่อมได้รับคําทํานายทายทักจากเทพ และผู้วิเศษทั้งหลาย ตลอดจนรูปพรรณสัณฐาน แม้ขนเส้นเดียว อยู่ที่ไหน เขาก็ได้ทํานายไว้ ดังได้กล่าวมาแล้วนั่นเทียว​

    ศรีอาริยวงศ์แห่งอนาคต ก่อนที่จะได้กล่าวถึงเรื่องเชื้อพระวงศ์ของพระศรีอาริย เมตไตรย ซึ่งจะได้มาตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญู โปรดโลกในภายหน้า นั้น ก็จําเป็นจะต้องกล่าวถึงคนสําคัญในเกาะดัมพปัณณี หรือ ซีลอน (ศรีลังกาปัจจุบัน) ซึ่งคนเหล่านั้นจะได้กลับชาติไปเกิดเป็น เครือญาติของพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์เสียก่อน มิฉะนั้นผู้ อ่านก็คงจับเงื่อนเค้าไม่ถูกว่า ใครเป็นใครและอะไรเป็นอะไร ดังมี ข้อความดังต่อไปนี้ :

    เมื่อราวก่อน พ.ศ. ๓00 เพียงเล็กน้อย เกาะซีลอน (หรือ ศรีลังกาปัจจุบัน) มีนามว่าดัมพปัณณี (ในสมัยต่อมาเรียกอีกนาม หนึ่งว่า เกาะลังกา) พระเจ้าเทวานัมปิยดิสส์ ซึ่งเป็นพระสหายกับ พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย ได้ตั้งราชธานีอยู่ที่อนุราธปุระ ซึ่งเดี๋ยวนี้เรียกว่า “แคนดี (Kandy)” พระเจ้าเทวานัมปิยดิสส์ อนุชาทรงพระนามว่ามหานาค และดํารงตําแหน่งมหาอุปราช ว่า ราชการแทนพระเจ้าเทวานัมฯ ตลอดเกาะตัมพปัณณี เพราะขณะนั้นโอรสของพระเจ้าเทวานัมฯ ยังทรงพระเยาว์อยู่มาก พระมเหสี ของพระเจ้าเทวานัมฯ ทรงริษยามหานาคอุปราชในเรื่องราชสมบัติ จึงลอบใส่ยาพิษลงในของเสวย เพื่อปลงพระชนม์มหานาคอุปราช เสีย ราชสมบัติจะได้ตกแก่พระราชโอรสโดยตรง แต่บังเอิญโอรส ของพระนางแอบไปเสวยเสียเอง จึงเลยสิ้นพระชนแทนมหาอุปราช มหาอุปราชเมื่อได้ทราบเหตุการณ์ขึ้นเช่นนั้น จึงพามเหสีซึ่งมีนาม ว่าอนุลาราชเทวีหนีไปตั้งราชธานีใหม่ขึ้น ในที่แห่งหนึ่งเรียกว่า “นครโลหน” พระนางอนุลาราชเทวีประสูติโอรสองค์หนึ่งทรงพระ นามว่า ยัชชาลายกะดิสส์ เมื่อมหานาคผู้บิดาสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ได้ครองราชสมบัติแทน เมื่อยัชชาลายกะดิสส์สิ้นพระชนม์แล้ว พระโอรสทรงพระนามว่าโคธาภัย ก็ได้ครองราชสมบัติแทน เมื่อ โคธาภัยสิ้นพระชนม์แล้ว กากวัณณะดิสส์โอรสก็ได้ครองราชสมบัติ แทนสืบต่อมา​

    กากวัณณดิสส์ มีมเหสีทรงพระนามว่า พระวิหารเทวี และ มีพระโอรส ๒ องค์ องค์เป็นเชษฐามีพระนามว่าอภัยทุฏฐคามินี อนุชามีนามว่าสัทธาดิสส์ เมื่อพระเจ้าอภัยทุฏฐคามินีสิ้นพระชนม์ แล้ว พระเจ้าสัทธาดิสส์ก็เป็นใหญ่ ครองเกาะตัมพปัณณทั้งหมด ในยุคของพระเจ้าอภัยทุฏฐคามินีนั้น ได้มีเศรษฐีมหาศาลอยู่คนหนึ่ง มีนามว่ามณฑลจิตตกะ มหาเศรษฐีผู้นี้ มีบุตรชาย ๗ คน บุตร ชายมีนามว่าสังฆะ ได้เป็นเสนาบดีกระทรวงคลังของพระเจ้าอภัย ทุฏฐคามินี และบุตรอีกผู้หนึ่งมีนามว่าติสสะ ก็ได้เป็นอํามาตย์ใน ราชสํานักเดียวกันติสสะมีธิดาอยู่คนหนึ่ง

    พระเจ้าอภัยทุฏฐคามินี มีโอรสองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สาลีราชกุมาร และบุคคลที่กล่าวมาแล้วนี้ ส่วนมากจะได้ไปเป็นคน สําคัญในศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคต โดยเฉพาะ พระนางอนุลาราชเทวี มเหสีของพระเจ้ามหานาค ซึ่งเคยเป็น อุปราชของพระเจ้าเทวานัมฯ และเป็นพระปิตุจฉา (ย่าทวด) ของ พระเจ้าอภัยทุฏฐคามินี เธอได้บวชเป็นนางภิกษุณีและได้บรรลุ พระสกิทาคามีบุคคล หาใช่อนุฬาราชเทวีที่ฆ่าตัวตายหลายสิบ ชั่วคนนั้นไม่ เป็นอนุลาคนละคน และศักราชก็ห่างกันเกือบ ๒๐๐ ปี ผู้อ่านโปรดเข้าใจไว้ด้วย พระนางอนุลาราชเทวี จะได้กลับชาติไป เกิดเป็นนางจันทมุขี ซึ่งเป็นเทวีของพระศรีอาริยเมตไตรยใน อนาคต (ชาติสุดท้าย) คนสําคัญซึ่งปรากฏตามคําบาลีในคัมภีร์ สังคีติยวงศ์ หรือประวัติศาสตร์แห่งเกาะซีลอน ปริเฉท ๓ หน้า ๑๗๑ กล่าวไว้ดังนี้ :​

    ๑. กากะวัณณะติสสะราชา ปะนะ เมตเตยยัสสะ ภะคะวะโต ปิตา ภะวิสสะติ พระเจ้ากากวัณณดิสส์ จักเป็นพระพุทธบิดาแห่ง เมตไตรยเจ้า

    ๒. วิหาระเทวี ตัสสะ มาตา ภะวิสสะติ พระวิหารเทวีจัก เป็นพุทธมารดา

    ๓. อะยัง ทุฏฐะคามนี้ อะภะยะราชา ปะฐะมะสาวะโก พระเจ้าทุฏฐคามินี พระองค์จักเป็นปฐมสาวก

    ๔. กะนิฏโฐ ตุ สัทธาติสโสทุติยะสาวะโก พระเจ้าสัทธาดิสส์ ผู้น้อง จักเป็นทุติยสาวก

    ๕. รัญโญ ปิตุจฉา อะนุลาเทวี อัคคะมะเหสี พระนางอะนุลาราชเทวี ผู้เป็นพระปิตุจฉาของพระราชา จักเป็นอัครมเหสี

    ๖.อะภะยัสสะ รัญโญ ปุตโต สาลีราชะกุมาโร ปุตโต พระสาลีราชกุมาร โอรสของอภัยทุฏฐคามินี จักเป็นพระโอรส

    ๗. ภัณฑาคาริกะสังฆามัจโจ อัคคุปปัฏฐาโก นายคลัง สังฆะ จักเป็นอัครอุปัฏฐาก

    ๘. ติสสามัจจะธิตา อัคคุปปัฏฐายิกา ภะวิสสะติ ธิดาของ ติสสะอํามาตย์ จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา​

    ส่วนในคัมภีร์มาลัยสูตรนั้น กล่าวไว้ดังนี้คือ :

    ในสมัยที่พระศรีอาริยเมตไตรยจะได้ลงมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า นั้น พระเจ้ากากวัณณดิสส์แห่งซีลอน จะได้เป็นปุโรหิตาจารย์ ของ พระสังขจักพัตราธิราช ปกครองโลกโดยธรรมสม่ําเสมอ มีนามว่า สุพรหมพราหมณ์ปุโรหิตาจารย์

    ๑. พระเจ้ากากวัณณดิสส์ ซึ่งมีนามว่าสุพรหมพราหมณ์ จักเป็นพระพุทธบิดาของพระศรีอาริย์

    ๒. พระนางวิหารเทวี ซึ่งเคยเป็นอัครมเหสีของพระเจ้า กากวัณดิสส์นี้ จักไปเป็นพุทธมารดา

    ๓. พระเจ้าอภัยทุฏฐคามินี จักเป็นอัครสาวกเบื้องขวามี นามว่าพระโลกมหาเถระ

    ๔. พระเจ้าสัทธาดิสส์อนุชา จักเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายมี นามว่าพรหมมหาเถระ

    ๕. พระสีหเถระ จักเป็นพุทธอุปัฏฐาก

    ๖. นางปทุมาเถรี จักเป็นอัครสาวิกาเบื้องขวา

    ๗. นางสุมนาเถรี จักเป็นอัครสาวิกาเบื้องซ้าย

    ๘. นายคลังของพระเจ้าอภัยทุฏฐคามินี้ ซึ่งมีนามว่าสังฆะ จักเป็นพุทธอุปัฏฐากฝ่ายฆราวาส มีนามว่าสุธนะเศรษฐี

    ๙. ธิดานายคลังสังฆะนั้น จักกลับชาติไปเป็นพุทธอุปัฏฐา ยิกาฝ่ายหญิง ในคัมภีร์สังคีติยวงศ์ ว่าเป็นธิดาของติสสอํามาตย์ (หลานของนายคลังสังฆอํามาตย์ ยังขัดแย้งกันอยู่)​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2018
  2. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    คำทำนายบางคำทำนายก็เหมือนกับคำทำนายที่ถูกยกตัวอย่างมา
    ผิดกันแต่เนื้อหา เช่นคำทำนายที่เกี่ยวกับนกยางขาว

    พระพุทธเจ้าทำนายว่าพระศรีอาริย์จะมากอบกู้พระศาสนา
    ส่วนบางตำราก็ว่าเป็นพระธรรมิกราชโพธิญาณ

    = =

    ปุถุชนอย่างผมก็ได้แต่เชื่อมงคลตื่นข่าวไปล่ะครับ...
     
  3. ศาสนาพระศรีอาริย์

    ศาสนาพระศรีอาริย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +2
    เรียนทุกท่าน เริ่มศึกษาศาสนาพระศรีอาริย์ เพื่อทุกท่านจะได้มีเวลาเตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆในทางที่ดีที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานจากนี้ (หลักการศาสนากลาง ) สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและศาสนาได้จริง ศึกษาหลักการศาสนากลาง รับหลักการศาสนากลางเพื่อความอยู่รอดอย่างมั่นคงสงบสุขของมวลมนุษยชาติ (ฉบับเริ่มศึกษาเบื้องต้น)


    https://cloud.mail.ru/public/N6Bv/t2jf5F2LM

    ข้อมูลพื้นฐานสำหรับการเรียนและศึกษาเรื่องราวต่างๆ

    ติดต่อข้าพเจ้า ส่งข้อความผ่านเพจดังนี้ข้อความจะไม่สูญหาย

    http://mymfb.com/Thanont/

    https://vk.com/id536238610

    https://ok.ru/profile/579159166157

    nbesasada@inbox.ru--nbesasada@163.com
     
  4. ปุถุชน

    ปุถุชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +715
    ผู้เขียนกระทู้ นามว่า " ศาสนาพระศรีอาริย์ " ข้างบนนี้
    เขียนว่า " เริ่มศึกษาศาสนาพระศรีอาริย์...."
    ผมจึงเข้าไปไล่อ่านใน ลิงค์ ต่าง ๆ ที่เขียนไว้
    จึงไปพบนี่ครับ
    แกเขียนว่า
    "
    …..ข้าพเจ้าทำหน้าที่นบี อีซา พระศรีอาริย์ (ไม่ได้ทำหน้าที่พระเยซูเพราะยังไม่มีกองทัพถึง1000000 เขาบอกแบบนั้น) ต่อไปจะทำสารถึงกลุ่มการเมืองข้าราชการ และหน่วยงานศาสนาทั่วไป ให้รับหลักการศาสนาและตรวจสอบ ซึ่งจะส่งรายละเอียดข้อมูลที่ครบถ้วน
    หากผู้ไดปฎิเสธถือว่า ปฎิเสธพระเจ้า ก็จะผ่านไป
    หากผู้ไดรับรู้ศึกษาแล้วเข้าใจแนวทางพระเจ้า ถือว่าและรับหลักการศาสนากลาง

    ถือว่าเห็นพระเจ้า การพิพากษา ขั้นแรกคือการสอบสวนความจริง ขั้นต่อไปคือการชี้ผิดถูก ข้าพเจ้าทำหน้าที่แค่เสนอชี้ผิดถููก ผู้ใช้กำลังดำเนินงานเป็นตำรวจคืออิหม่ามมฮ์ดี….

    …..ปัจจุบันข้าพเจ้าทำหน้าที่ศาสดาและมีหน้าที่พิเศษกว่าศาสดาท่านอื่นๆ
    คือ รับหน้าที่ล่ามของพระเจ้า และมีหน้าที่แปลภาษาทิพย์ในพระคัมภีร์ต่างๆ ของโลก
    ในคำพยากรณ์ที่หาผู้พยากรณ์ไม่ได้นั้นเป็นข้อมูลของมัลอิกะ บริวารของพระเจ้า…..

    ….การมาของข้าพเจ้านบี ในยุคปัจจบัน พระเจ้าได้แจ้งไว้แล้วในคัมภีร์ต่าง ๆ และจุดมุ่งหมายคือ ทำงานตามโองการของพระเจ้านิรันดร์หรือพระอัลเลาะห์ทุกประการ….

    ….ข้าพเจ้าผู้นำหลักการศาสนากลางมาของพระเจ้าสู่โลกมนุษย์
    ย่อมถูกต้องชอบธรรมทุกประการ

    เหตุเพราะว่า หากข้าพเจ้านำหลักการมาผิด พระเจ้า ของทุกศาสนา และศาสดาทกพระองค์ คือผู้กระทำผิดพลาดทั้งหมดเพราะว่าศาสนาปัจจุบันต่างแตกแยกรบราฆ่าฟันกัน

    ….ประการที่ 4. พระองค์จะมอบการปกครองที่แข็งแกร่งและเป็นนิรันดร์แก่พวกเขา
    (คืออิหมามอัลมะฮ์ดี หตุเพราะว่าศาสนาหลักการอิสลามคือหลักการสูงสุดบนโลกนี้

    .......ดังนั้นผู้ที่จะอยู่บนโลกนี้และคอยสอนศาสนิกชน
    และควบคุมปกครองคืออิหมามอัลมะฮ์ดี


    และการสอนรวมศาสนานี้เป็นสิ่งชอบธรรมและถูกต้องซึ่งอนาคตหลักการศาสนากลางจะแข็งแกร่งและเป็นนิรันดร์ไม่มีผู้ไดปฏิเสธได้เลย….

    ผมเคยอ่านเรื่อง "แปลงสาร " พวกนี้ซึ่งมีมาในประเทศไทยเราตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยกลุ่มคริสเตียนระดับปัญญาชน ซึ่งทั้งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และสมเด็จพระบรมพงษ์โพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตร ก็โดน "แปลงสาร" เป็นผู้รับใช้ "พระเจ้า" ไปแล้ว

    มาคราวนี้ พิเคราะห์ดู "ผู้เขียนกระทู้" แกคงหมดทางไปแล้ว
    จึงไปขอยืมวิธีของคริสเตียนกลุ่มนั้นมาใช้ เอาเป็นว่าให้ทราบกันนะครับว่า บัดนี้

    เขาเอาพระอนาคตวงศ์ องค์ที่ ๕ ของพุทธ ในภัทรกัปนี้ ไปรับใช้อิสลามเสียแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...