เหรียญชินราชคุ้มเกล้า หลังภปร.พ.ศ. 2521

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 8 พฤษภาคม 2019.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เหรียญหลวงพ่อวิริยังวัดธรรมมงคล ปี 2536
    ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    ลพ.วิริยัง1.jpg ลพ.วิริยัง1หลัง.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    kb-phromma-00.jpg

    นามเดิม : - พรหมา พิมสาร

    กำเนิด : - วันอังคารที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ (เดือน ๑๒ เหนือ ปีจอ พ.ศ. ๒๔๔๑) ณ บ้านป่าแพ่ง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน (ป่าซางปัจจุบัน)

    บิดา - มารดา : - พ่อเป็ง พิมสาร และแม่บัวถา พิมสาร มีพี่น้องร่วมกัน ๑๓ คน ท่านเป็นคนที่ ๗ คือ

    ๑. พ่อน้อยเมือง พิมสาร

    ๒. เป็นเด็กหญิง

    ๓. แม่อุ้ย หล้าดวงดี

    ๔. พ่อหนานนวล พิมสาร

    ๕. พ่อหนานบุญ พิมสาร

    ๖. พระสุธรรมยานเถร (ครูบาอินทรจักรรักษา)

    ๗. พระสุพรหมยานเถร (ครูบาพรหมมา)

    ๘. พระครูสุนทรคัมภีรญาณ (ครูบาคัมภีระ วัดดอยน้อย)

    ๙. พ่อหนานแสง พิมสาร

    ๑๐. แม่ธิดา สุทธิพงศ์

    ๑๑. แม่นางหลวง ณ ลำพูน

    ๑๒. เด็กหญิงตุมมา พิมสาร (ถึงแก่กรรมตั้งแต่เด็ก)

    ๑๓. นางแสนหล้า สุภายอง

    kb-intajakraksa.jpg
    ครูบาอินทจักรรักษา วัดน้ำบ่อหลวง เชียงใหม่
    บิดามารดาเป็นผู้มีฐานะพอมีอันจะกิน มีอาชีพทำนา ทำสวน ประกอบสัมมาอาชีวะ ไม่มีการยิงนกตกปลา ไม่เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ และไม่มีการเลี้ยงหมูขาย มีความขยันถี่ถ้วนในการงาน ปกครองลูกหลานโดยยุติธรรม ไม่มีอคติ หนักแน่นในการกุศล ไปนอนวัดรักษาศีลอุโบสถเป็นประจำทุกวันพระ

    บิดาท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้ถึงแก่กรรมในสมณเพศเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔ อายุ ๙๐ ส่วนมารดาของท่านได้นุ่งขาวรักษาอุโบสถศีลทุกวันพระตลอดอายุ ได้ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗ อายุ ๗๐

    เมื่อเด็กชายพรหมาวัยพอสมควรได้ช่วยพ่อแม่ทำงาน ทำนา ทำสวน เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย งานประจำคือตักน้ำ ตำข้าว ปัดกวาดทำความสะอาดบ้านเรือนเป็นการตอบแทนบุญคุณของบิดามารดาเท่าที่พอจะทำได้ตามวิสัยของเด็ก

    ออกอยู่ป่าถือธุดงค์


    อาศัยความตั้งใจ และความนึกคิดเป็นแรมปี ลุถึงอายุ ๒๔ พรรษาที่ ๔ วันอังคารที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ เดือนเพ็ญ ๘ (เดือน ๑๐ทางเหนือ) ซึ่งเป็นวันเข้าพรรษา ครูบาพรหมาได้ตัดสนใจกราบลาพระอุปัชฌาย์ โยมพ่อ โยมแม่ พร้อมทั้งญาติพี่น้อง เพื่อออกไปอยู่ป่าบำเพ็ญสมณธรรม เมื่อเดินทางออกจากวัด ท่านได้มุ่งตรงสู่ดอยน้อย ซึ่งตั้งอยู่ฝากแม่น้ำปิง เขต อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ระยะทางประมาณ ๑๒ กิโลเมตร มีสามเณรอุ่นเรือน (ต่อมาเป็นพระอธิการอุ่นเรือน โพธิโก วัดบ้านหวาย) ติดตามไปด้วย วันต่อมาก็มีท่านพระครูพิทักษ์พลธรรม (ครูบาหวัน วัดป่าเหียง) ได้กรุณาติดตามไปอีกท่าหนึ่ง โดยได้พักจำพรรษาอยู่ในศาลาเก่าคนละหลัง บำเพ็ญสมณธรรมได้รับความอุปถัมภ์จากญาติโยมที่อยู่แถวนั้นเป็นอย่างดี

    พอออกพรรษาท่านครูบาพร้อมคณะที่ติดตาม ได้พากันเดินทางกลับมาคารวะพระอุปัชฌาย์ พักอยู่ ๓ คืนก็ได้กราบลาท่านพระอุปัชฌาย์เพื่อเดินทางสู่ป่า พอได้เวลาประมาณตี ๓ ก็ถือเอาบาตร จีวรกับหนังสือ ๒-๓ เล่ม พร้อมทั้งกาน้ำและผ้ากรองน้ำและออกเดินทางเข้าสู่ป่า เพื่อแสวงหา ความสงบ บำเพ็ญสมณธรรมให้เต็มความสามารถ น้อมจิตไปในทางปฏิบัติ

    ภัยธรรมชาติ

    การอยู่ป่าปีแรกรู้สึกว่าลำบากมาก เนื่องจากเวลานั้นในจังหวัดภาคเหนือ ยังไม่ปรากฏว่าจะมีพระรูปไหนออกอยู่ป่ามาก่อน จึงทำให้ประชาชนเกิดความสนใจแล้วพากันมาดู ถามนั่น ถามนี่ บางพวกก็พากันมานั่งจ้องมองดูเป็นเวลานานตั้งครึ่งวัน ทำให้เกิดความรำคาญไม่สงบ จึงต้องมีการโยกย้ายมาเพื่อหลีกเร้นหลบหน้าผู้คนอยู่เสมอ บางครั้งก็มีเพื่อนสหธรรมิกได้ติดตามไปหลายรูป

    kb-phromma46.jpg
    หลวงพ่อ (องค์ขวาสุด) ถ่ายเมื่ออายุ ๒๖ พรรษา ๖

    พ.ศ. ๒๔๖๖ ระหว่างการเดินธุดงค์

    ในตอนแรกก็มีพระน้องชายกับโยมบิดาซึ่งได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ได้ติดตามไปด้วย ในตอนหลังบางครั้งก็มีครูบาอาจารย์หลายๆ ท่าน อาทิ ท่านครูบาคำ คันธิโย วัดดงหลวงสิบลี้ เป็นต้น ได้กรุณาให้ความอบอุ่นไปอยู่ด้วย บางครั้งก็ได้ติดตามท่านครูบาภาวนาภิรัต (พี่ชาย) วัดวนารามน้ำบ่อหลวงไปเป็นครั้งเป็นคราว ตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงร้องของสัตว์ เช่น เสือ นกปู่ต๊ก (นกถึดทือ) เป็นต้น พอถึงฤดูใบไม้ร่วงก็ร้อนจนเกือบจะไม่มีที่จะกำบัง มีครั้งหนึ่งฝนตกพื้นดินชื้นแฉะนอนไม่ได้ ก็ขึ้นไปนอนตามขอนไม้ แต่แล้วพอตื่นขึ้นก็ปรากฏว่าลงไปนอนอยู่ตามพื้นดินกันหมด บางครั้งต้องนอนในน้ำเหมือนควายนอนปลัก

    มีครั้งหนึ่งท่านครูบาพรหมาพร้อมด้วยคณะได้ไปอาศัยอยู่ป่า ไกลจากหมู่บ้านห้วยปันจ้อย อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ประมาณ ๒ กิโลเมตร ก็เกิดมีฝนห่าใหญ่หลั่งไหลตกลงมา พระทุกรูปไม่มีกลดไม่มีร่ม ต่างก็พากันลุกขึ้นไหว้พระ เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งภาวนาอยู่ ในที่สุดก็นอนลง ทันใดนั้นก็มีน้ำป่าไหลหลากลงมา ทั้งฝนก็กระหน่ำตกไม่ขาดสาย พวกท่านก็ปล่อยเลยตามเลย นอนกันอยู่อย่างงั้น ก็เพราะต่างก็ง่วงเต็มแก่ พอตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาสว่าง ท่านครูบาพรหมาได้เหลือบตามองดูจีวรที่ห่มอันเปียกชุ่มว่ามันเป็นอย่างไร ปรากฏว่าเป็นดินทรายไปหมด ยกเกือบไม่ขึ้น น่าสังเวชใจในชีวิตของตนเป็นกำลัง นึกปลอบในตนเองว่าช่างมันเถอะ อะไรๆ ล้วนแต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งนั้น

    พอถึงเวลาภิกขาจารก็มีพวกศรัทธาชาวบ้านมากันมากหลายเพื่อตักบาตร พวกท่านก็เอาจีวรที่เปียกแฉะเป็นดินเป็นทรายนั่นแหละห่มคลุมไปบิณฑบาต ขณะนั้นมีคนแก่คนหนึ่งชื่อ พ่อพญาอักขระราชสาราจารย์ พอแกมองเห็นสภาพของพระธุดงค์เปียกม่อลอกเช่นนั้น แกก็ร้องไห้โฮออกมาด้วยความสงสารสภาพของพระธุดงค์ พลอยทำให้คนอื่นพลอยหลั่งน้ำตาลงด้วยเป็นแถว

    ครูบาท่านออกธุดงค์ ไปตามป่าเขาเกือบทุกจังหวัดในภาคเหนือ เดินทางเข้าไปเขตพม่า และจำพรรษาอยู่ในเขตพม่าเป็นเวลานาน ๕ ปี หรือตามหมู่บ้านกระเหรี่ยงชาวเขา จนท่านครูบาสามารถพูดภาษากระเหรี่ยงได้เป็นอย่างดี

    เมื่อคราวจำพรรษาอยู่ในที่ต่างๆ ท่านถือธุดงค์วัตร อยู่ป่าเป็นวัตร ออกบิณฑบาตเป็นกิจวัตร ฉันภัตตาหารวันละ ๑ มื้อ นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ภายหลังจากที่ท่านครูบาพรหมาได้ออกจาริกธุดงค์ไปตามป่า ตามนิคมต่างๆ หลายแห่งเป็นเวลา ๒๐ พรรษา ท่านได้ต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคได้รับความสุข ความทุกข์ ความลำบาก บางครั้งไม่ได้ฉันภัตตาหาร ๑-๒ วัน ท่านเพียรพยายามอดทนด้วยวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดที่สุด

    พระพุทธบาทตากผ้า

    wat-bird-eye-view.jpg
    วัดพระพุทธบาทตากผ้า
    หลังจากที่ท่านได้เดินธุดงค์ไปตามป่าและตามนิคมหลายที่หลายแห่ง เป็นเวลานานหลายสิบปี ได้รับความสุข ความทุกข์ทรมาน ได้ผ่านประสบการณ์มามากต่อมากแล้ว ท่านก็ได้มาพักอยู่วัดป่าหนองเจดีย์ ตำบลท่าตุ้ม อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นวัดร้างมาหลายร้อยปี ตามคำนิมนต์ของครูบาอาจารย์ญาติโยม ได้มาประจำอยู่ที่นั้น ๔ พรรษา หลังจากนั้นก็ได้ย้ายมาอยู่วัดพระพุทธบาทตากผ้า อันเป็นปูชนียสถานสำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นวัดร้างมาตั้งพันกว่าปีได้ อยู่ได้พรรษาเดียวก็ได้ย้ายไปอยู่ป่าม่อนมะหิน ประจำอยู่ที่นั่น ๒ พรรษาแล้วได้ย้ายไปอยู่วัดป่าหนองเจดีย์อีก ๒ พรรษา

    พ.ศ. ๒๔๙๑ ท่านจึงได้กลับมาจำพรรษา ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้า และได้จำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ท่านจะชราภาพและได้จำพรรษาในวัดเป็นประจำแล้ว แต่ท่านยังถือธุดงค์ศรัทธาเป็นประจำ ในฤดูแล้งปีไหนมีโอกาส ท่านก็อุตส่าห์พาภิกษุสามเณรไปเดินธุดงค์อยู่ตามป่าหรือป่าช้าเป็นครั้งคราว เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ทราบปฏิปทาในการเดินธุดงค์ แล้วกลับมาจำพรรษาที่วัดพระพุทธบาทตากผ้า บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ยังวัด

    ท่านได้อาศัยร่มไม้บุนนาคต้นหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่หน้ากุฏิเป็นที่นั่งบำเพ็ญสมณธรรม เป็นประจำมาทุกเช้า ตลอดฤดูแล้งและกลางพรรษา ท่านปกครองลูกศิษย์เหมือนพ่อปกครองลูก ไม่มีอคติ ยกย่องบุคคลที่ควรยกย่อง ติเตียนบุคคลที่ควรติเตียน ท่านพร่ำสอนลูกศิษย์ สอนแล้วสอนอีก ท่านจะค่อยๆ พูดช้าๆ หนักแน่น ชักเรื่องราวมาประกอบ พยายามให้ศิษย์เข้าใจและเป็นคนดี

    ท่านไม่เคยด่าว่าลูกศิษย์ด้วยคำหยาบคายเลยแม้แต่ครั้งเดียว อย่างหนักก็พูดด้วยความท้อใจว่า "คนนี้มันจากที่ไหนมาเกิดหนอ" เท่านั้น การเฆี่ยนตีศิษย์ก็ไม่เคยมี ท่านมีความเมตตากรุณา มีความเคร่งครัดในศีลวัต เป็นผู้ไม่สะสม มีความสันโดษ อนุเคราะห์ช่วยเหลือบำรุง ทั้งด้านความเป็นอยู่ และการศึกษาของพระภิกษุ สามเณร ตลอดจนถึงงานสาธารณกุศล สงเคราะห์คนยากจนโดยทั่วไป ได้ก่อสร้างถาวรวัตถุ เสนาสนะ สิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ภายในวัดพระพุทธบาทตากผ้าและที่อื่นๆ รวมถึงงานเผยแพร่แสดงพระธรรมเทศนา งานเขียนหนังสือธรรมะและหนังสือสุภาสิตคำสอนหลายเล่ม ตัวอย่างหนังสือของท่านเพียงบางส่วน

    ๑. หนังสือคำถามคำตอบเรื่องหนานตั๋นกับหนานปัญญา

    ๒. หนังสือสุภาษิตคำสอน

    ๓. หนังสือทาน ศีล ภาวนา

    ๔.หนังสือคำถามคำตอบเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา

    ๕. หนังสืออภิณหปัจเวกขณ์

    ๖. หนังสือเขมสรณาคมน์

    ท่านพร่ำสอนลูกศิษย์ลูกหาให้อยู่ในศีลธรรม จัดตั้งสำนักโรงเรียนพระปริยัติ นักธรรมบาลี จัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมวิปัสสนากัมมัฏฐาน พัฒนาวัดพระพุทธบาทตากผ้าให้เจริญรุ่งเรืองจนได้รับการยกย่องว่าเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีความสำคัญทางศาสนาแห่งหนึ่งของจังหวัดลำพูน และด้วยการสั่งสมบุญบารมี คุณงามความดีของท่านนี้เองทำให้ ท่านได้รับความเคารพศรัทธาจากพระภิกษุสงฆ์ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ศรัทธาประชาชนทุกเพศทุกวัยทั้งในประเทศ และนานาประเทศ พระครูบาเจ้าพรหมา พรหมจักโก ทรงไว้ซึ่งคุณแห่งพระสุปฏิปันโน พระอริยสงฆ์ ผู้มีความบริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิงมีจริยาวัตรอันงดงาม มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด มีปฏิปทาอันอุดมและมั่นคง บำเพ็ญสมณธรรมอยู่เนืองนิจ คือผู้นำประโยชน์ความสุข ความสงบให้เกิดแก่หมู่คณะ ทรงไว้คือสังฆรัตนะคุณควรบูชาสักการะแก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/kb-bhroma/kb-bhroma_hist.htm
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสุงครับ
    เหรียญครุบาพรหมจักรปี 2522
    ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    ครูบาพรหมจักร.jpg ครูบาพรหมจักรหลัง.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    a.jpg

    ประวัติหลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
    วัดบ้านกรวด เป็นวัดเก่าแก่ประจำ อำเภอ บ้านกรวด ตั้งขึ้นในปลายสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี มีอายุนับถึง ปัจจุบันไม่น้อยกว่า 120 ปี ได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 10 เมษายน พุทธศักราช 2469 มีประพุทธรูปศิลา อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นประธานในพระอุโบสถ มีเจ้าอาวาสครอง วัดติดต่อกันมานับถึงปัจจุบันรวม 4 รูปด้วยกัน เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันคือ พระครูวิบูลย์ปัญญาวัฒน์ หรือ หลวงปู่ผาด ฐิติปัญโญ .ซึ่งได้บวชเรียนมาตั้งแต่อายุได้ 22 ปี เป็นต้นมานับถึงปัจจุบัน 97 ปี นับพรรษา ได้ 76 พรรษา เมื่อครั้งอดีตสมัยท่านเป็นพระหนุ่มๆ ท่านได้ออกจาริกแสวงบุญไปยังที่ต่างๆ เพื่อศึกษาหาความรู้ทั้งทางพระเวทย์ วิชาแพทย์แผนโบราณต่างๆ ตามความเชื่อ และความนิยมของชาวพื้นบ้าน ในสมัยนั้น ได้ไปศึกษาเล่าเรียนเวทวิทยาอาคมที่จังหวัดอุดรมีชัย ถึง 3 ปี (ในสมัยนั้น จังหวัดอุดรมีชัย ยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย ) จากนั้นท่านได้จาริกไปศึกษาหาความรู้จากครูบาอาจารย์ต่างๆ แทบจะทุกภาคของไทยและประเทศใกล้เคียง เคยธุดงค์ไปศึกษาวิชาอาคมที่นครวัต ที่ประเทศเขมร เป็นเวลา 8 ปี จนมีความรู้เจนจบในไสยเวททุกแขนง แตกฉานในวิปัสสนากรรมฐาน อย่างแจ่มแจ้ง ต่อมาเมื่อท่านมีอายุมากขึ้น ท่านได้รับถวายที่ดินจากชาวบ้าน จากนั้นท่านก็ได้บูรณะจากพื้นดินที่ว่างเปล่า จนเป็น “วัดตาอี” ให้เห็นเป็นรูปธรรมในปัจจุบัน สืบต่อมา หลวงปู่หริ่ง เจ้าอาวาส วัดบ้านกรวด ได้มรณภาพลง ชาวอำเภอบ้านกรวด จึงได้นิมนต์ หลวงปู่ผาด มาเป็นเจ้าอาวาส แต่หลวงปู่ได้ปฏิเสธการเป็นเจ้าอาวาส วัดบ้านกรวด มาโดยตลอด แต่ในที่สุดท่านก็ทนแรงศรัทธาของญาติโยมไม่ไหว จึงต้องยอมรับ เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านกรวด และดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบันในที่สุด หลวงปู่ผาด ท่านได้พัฒนา วัดสาขาของท่านถึง 4 แห่ง ก็คือ วัดตาอี,วัดบ้านปราสาท,วัดบ้านบึงเก่า และวัดบ้านกรวด เป็นรูปเป็นร่างมาจน ถึงปัจจุบันนี้ หลวงปู่ผาด ท่านเป็นพระที่รักสันโดษ ไม่ยึดติดในลาภยศสรรเสริญ ท่านได้ปฏิเสธ ในการสร้าง วัตถุมงคล มาโดยตลอด แต่บรรดาศิษยานุศิษย์ได้รบเร้า หลวงปู่ว่า มีผู้เลื่อมใสศรัธา ในตัวหลวงปู่ ประสงค์อยากจะได้วัตถุมงคลของหลวงปู่ผาดไว้บูชา เพื่อเป็นสิริมงคล เป็นขวัญและกำลังใจในการดำเนินชีวิต หลวงปู่ท่านก็เลยอนุญาต ให้จัดสร้าง วัตถุมงคล ที่ออกมาภายใต้ชื่อ หลวงปู่ผาด จึงออกมาน้อยมาก ดังนั้นคนที่มีอยู่ต่างหวงแหน ไม่ค่อยหลุดออกมาให้เห็นกัน ทำให้วัตถุมงคลรุ่นเก่าๆ ของท่าน หายากขึ้นเป็นเงาตามตัว ด้วยหลวงปู่ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นเนื้อนาบุญของพุทธศาสนา โดยแท้ ทุกลมหายใจเข้าออกท่านกำหนดจิตด้วยกรรมฐานมีสติอยู่เสมอ วัตถุมงคล ที่ผ่านการอธิฐานจิตจากท่านจึงทรงความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งบุญญาฤทธิ์ และอิทธิฤทธิ์ ดุจมีแก้วสารพัดนึก ใครมีโอกาส ได้ครอบครอง ขอให้เก็บไว้บูชาดีๆ เพราะท่านเคยพูดกับศิษย์บ่อยๆ ว่า “อีกหน่อยพระของเราจะเป็นเพชร” จากอมตะวาจาของหลวงปู่อนาคตจึงไม่ต้องพูดถึง เพราะต่างทราบกันดีว่า หลวงปู่ท่าน “วาจาสิทธิ์” เป็นยิ่งนัก เอาเป็นว่าอนาคตอันใกล้คงต้องได้เห็นอย่างแน่นอน เดี๋ยวนี้ไม่ต้องรอนานเหมือนอดีต “ของดี”มีประการณ์ ประเดี๋ยวก็มีคนถามหากันเอง! หลวงปู่ผาด ท่านเป็นพระแท้ที่กราบไหว้ได้สนิทใจสมกับ “พุทธบุตร” โดยแท้ ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังพระภิกษุอย่างหลวงปู่ผาดไม่ควรจะเป็นของอำเภอบ้านกรวดเพียงอย่างเดียวควรเป็นของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป เปรียบดังช้างเผือกในป่า น่าจะมาเป็นช้างคู่บ้านคู่เมือง จึงจะถูกต้อง สมกับพระบารมีของท่านเป็นอย่างยิ่ง กิตติคุณความเป็นผู้ทรงวิทยาพุทธาคม แม้แต่ “นักบุญแห่งภาคอีสาน” จ้าวตำรับ “กูมึง” ขนานแท้ (แม้แต่พระองค์อื่นจะใช้บ้างก็ไม่น่าพิสมัยเท่าท่าน) ยังกล่าว ยกย่องเชิดชูกับคณะศรัทธาบุญจากอำเภอบ้านกรวด ที่ได้เดินทางไปกราบนมัสการท่านที่วัด เมื่อท่านสอบถามรู้ความว่าเดินทางมาจากอำเภอบ้านกรวด ท่านถึงกับออกปากพูดว่า “มึงจะมากราบมาเอาของกูทำไม มึงไปไหว้หลวงพ่อใหญ่วัดบ้านกรวดโน่นของท่านศักดิ์สิทธิ์กว่าของกูตั้งเยอะพวกมึงไม่จำเป็นต้องมาใช้ของกูเลยของดีอยู่กับท่านยังไม่รู้ค่าอีก” สำหรับประโยคคำพูดจากปากยอดพระเกจิอาจารย์ที่ประชาชนเคารพกราบไหว้ทั้งประเทศคงยืนยัน คุณวิเศษ ในองค์หลวงปู่ผาดได้อย่างดี เป็นแน่แท้พระระดับนี้ท่านยังเทิดทูนอภิวาทหลวงปู่ผาด แล้วเราๆท่านๆจะลังเลอยู่ไยล่ะครับ

    พระยอดขุนพลปฐมโพธิญาณ เป็นพระเครื่องชุดสำคัญอีกชุดหนึ่ง ที่ได้ผ่านการอธิฐานจิตแผ่พุทธคุณจาก หลวงปู่ผาด ท่านได้มอบพระชุดนี้ทั้งหมดให้วัดบ้านบึงเก่านำไปบูรณะวัด และวัดบ้านบึงเก่าเป็นวัด 1 ใน 4 วัดที่หลวงปู่ผาดดูแล และรับผิดชอบอยู่ ซึ่งมีพระอธิการชวน ชาครธัมโม เป็นเจ้าอาวาส และเป็นศิษย์เอกที่หลวงปู่ผาดไว้วางใจรูปหนึ่ง เมื่อความที่หลวงปู่ผาด ท่านเขียนวันปบงสังขารของท่านไว้ล่วงหน้าแล้วพับเก็บไว้ใต้หมอน บังเอิญพระที่ทำความสะอาดกุฏิหลวงปู่ผาดไปพบเข้า “ความแตก” ชาวบ้านร้องห่มร้องไห้กันระงม ขอให้หลวงปู่ผาดท่านอย่าด่วนละสังขาร ขอให้อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานต่ออีกเถอะ หลวงปู่ผาด ท่านก็รับปากบอกว่าจะอยู่ให้อีกระยะหนึ่ง ครั้งนั้นก็ได้ พระอธิการชวน เป็นกำลังสำคัญในการทำพิธีสืบชะตาของหลวงปู่ผาด สำหรับพระยอดขุนพลปฐมโพธิญาณเป็นพระเครื่องที่จัดสร้างเป็นครั้งแรกในรูปแบบองค์ สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่หลวงปู่ผาด อธิฐานจิตบรรจุเวทวิทยาคม เป็นปางแรกของพระพุทธองค์เมื่อตรัสรู อนุตตรโพธิญาณ พระพุทธองค์ท่านได้ยกมือพนมทำความเคารพ โลกุตระธรรม ที่ท่านพบจนสำเร็จเป็นมหาศาสดาเอก ซ้ายขวาเป็นพระอินทร์กับพระพรหม ที่เสด็จลงมาอนุโมทนาสรรเสริญ พระอินทร์เป่าสังข์ก้องกังวานไปทั่วอนันตจักรวาลทั้ง 3 ภพ ให้รับรู้ว่าบัดนี้ ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว บันดาลให้เกิดเหตุมหัศจรรย์บังเกิดขึ้น เกิดแผ่นดินไหวทั่วปฐพี เสียงกึกก้องกัมปนาท ลมพายุพัดแรงเสียงอื้ออึ้งสะท้านไปทั่วพิภพ สัตว์น้อยใหญ่ในป่าพนาไพรทั้งหลายที่เป็นศัตรูต่อกันก็พลันกลับกลายเป็นมิตรชิดเชื้อสนิทสนม มีจิตเมตตาไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เหล่าวิหกนานาชนิดต่างโผผินบินลอยละล่องเริงร่า ดาดาษกลาดเกลื่อนเป็นฝูงๆ เต็มท้องฟ้า ต่างบินวนเวียนเป็นทักษิณาวัตร เป็นรัศมีวงกลม แสดงอาการว่าได้ถวายบังคม พระบรมศาสดา ขณะนั้นพระวรกาย ก็บังเกิดฉัพพรรณรังสี 6 ประการ เปล่งประกายแผ่ขยายจากพระวรกายเป็นสายรุ้งมีรัศมีแผ่กว้างสว่างไสวไปทั่วทั้ง 3 โลก ต้นไม้น้อยใหญ่ ในป่าพงไพรก็ผลิดอกออกผลนอกฤดูกาล เบ่งบานเต็มต้น ทุกกิ่งก้าน ชูช่อสวยงามตะการตาเป็นยิ่งนัก เหล่าทวยเทพทั้งปวงในหมื่นโลกธาตุจักรวาล เปล่งปลั่งสำเนียงไพเราะอวยพรถวายพระพรชัย พร้อมโปรยปรายดอกไม้มณฑาทิพย์จากสรวงสรรค์ตกลงมาเต็มปริมณฑลท่วมท้นถึงรัตนะบัลลังก์ เป็นเหตุมหัศจรรย์ครั้งยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์ เป็นการเฉลิมฉลองแห่งการตรัสรู้แห่งพระพุทธรัตนะมหาอนันตชิน ปางนี้จึงเป็นปางสำคัญอีกปางหนึ่งของพระพุทธองค์ที่เราควรมีไว้อภิวาท เป็นปางสำเร็จเลื่อนจากมนุษย์สู่มหาศาสดา อิทธิคุณในพระยอดขุนพลปฐมโพธิญาณ น่าจะดีทางชัยชนะในกิจทั้งปวง ศรตรูเป็นมิตร เป็นที่เคารพรักใคร่ของมนุษย์ อมนุษย์และเทพเทวา ทำกิจอันใดก็เจริญรุ่งเรื่อง ฯลฯ ก่อนที่ พระอธิการชวน จะมอบพระชุดนี้ออกมาให้ประชาสัมพันธ์ หลวงปู่ผาด บอกท่านว่า “พระยอดขุนพล” นี้ มีเทวดารักษาทุกองค์ ให้บูชาดีๆ สวดมนต์ถวายทุกคืนได้ยิ่งดี เพราะเทวดาท่านโปรดการสวดมนต์ และให้สังเกตความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ท่านบอกมาอย่างนั้นจะจริงเท็จประการใด ผู้บูชาเท่านั้นที่รู้ กรรมวิธิปลุกเสก หลวงปู่ผาด ท่านอธิฐานบรรจุคุณพระ ในกุฏิของท่านเงียบๆ เพียงองค์เดียว หรือที่วงการพระเรียกว่า เสกแบบบินเดี่ยว เป็นเวลานานถึง 7 สัปดาห์ ว่ากันว่าเต็มที่อย่างจุใจ ไม่ต้องมารีบเสกรีบขายเหมือนหลายสำนักที่ทำกัน ดังนั้นวัตถุมงคลของท่านจึงเป็นของจริง สามารถพึ่งพิงได้อย่างอบอุ่นใจ ปลุกเสกแบบพระป่าบ้านนอกไม่มีปะรำ พิธี พิธีบรรจุพุทธคุณของหลวงปู่ผาด จึงต้องใช้กุฏิเป็นปะรำพิธีแทน และมีเพียงธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยเท่านั้น วัตถุมงคลที่ผ่านการอธิฐานแผ่พุทธคุณจากท่าน จะแรงและดีขนาดไหน ต้องลองไปถามชาวอำเภอบ้านกรวดดูได้ เพราะพวกเขามีโอกาส ใช้พระหลวงปู่ผาด ก่อนเราๆท่านๆ ความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลต่างๆใช่ว่าพระสวยพิธียิ่งใหญ่อลังการแต่อย่างใด ที่สำคัญคือ ตัวผู้เสกต่างหากว่าท่านเก่งจริงไหม? หลวงปู่ผาดท่านเป็นประเภทคมในฝัก หรือ ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ท่านเป็นพระบริสุทธิ์ น่าเคารพนับถือ เป็นครูบาอาจารย์ยิ่งนัก ขนาดท่านรู้วันปลงสังขารของตนเองล่วงหน้า “จะมีกี่รูปในแผ่นดินนี้” พระยอดขุนพลปฐมโพธิญาณ เกิดขึ้นจากมวลสารผงอิทธิเจ,ผงปัทมัง,ไม้โพธิ์นิพพานวันอังคาร ใบโพธิ์นิพพานหงายทิศตะวันออก 108 วัด,ว่าน 108 ,เกสร 108 ,ใบลานเผา,อิฐดอกจันทร์ค่ายบางระจัน,แร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย พระแม่ธรณีหน้าวิหารอาจารย์คง วัดแค,ศิลายอดปราสาท,ผงตะไบเกศพระพุทธรูปโบราณ ,ผงตะไบดาบโบราณ,ผงพระแตกหัก เทวรูปชำรุดต่างๆ,ว่านสบู่เลือด,ไพรดำ,เพชรหลีก ฯลฯ ด้วยความวิริยะอุสาหะของ พระอธิการชวน และบรรดาศิษย์ ที่ได้รวบรวม มวลสารต่างๆ มาจากทั่วสารทิศ ผงจากครูบาอาจารย์ทั่วประเทศ เพื่อนำมาทำวัตถุมงคล “พระยอดขุนพลปฐมโพธิญาณ” ครั้งนี้โดยเฉพาะ “ดีทั้งนอก ดีทั้งใน” พูดได้เต็มปาก ไม่ได้คิดหลอกให้ท่านกราบไหว้"ปูน” กัน ขนาดมีข่าวรำลือกันว่า คืนแรกที่ หลวงปู่ผาด ปลุกเสก พระยอดขุนพลปฐมโพธิญาณ มีชาวบ้าน ฝันว่า....เห็นพระอินทร์ พระพรหม เทพเทวดา นางฟ้า รัศมีสว่างไสวมากันเต็มวัด พร้อมยังมีนักรบโบราณทรงช้าง ทรงม้ากรีฑาทัพเข้ามากันกันในวัดอย่างเป็นระเบียบ สง่าน่าเกรงข่ามสวยงามยิ่งนัก ทุกคนใส่ชุดสีแดง อาวุธครบมือ ตนจึงเข้าไปถามว่า...มาวัดกันทำไม นักรบในชุดแดงบอกว่า ... จะมาช่วยหลวงปู่ผาด ทำพระอนุโมทนาบุญร่วมกับท่าน ถ้าท่านมีโอกาสก็อย่าลืมแวะไปกราบท่าน ผมมั่นใจว่าจะหาพระเก่งๆแบบนี้ยาก ผมกล้ายืนยันว่าท่านไม่เป็นสองลองใครในอีสานใต้


    https://palungjit.org/threads/ใครมี...บ้านกรวด-จ-บุรีรัมย์-เอามาแชร์กันครับ.494131/

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสุงครับ
    พระสมเด้จปรกโพธิ์หลวงปู่ผาดวัดบ้านกรวด เสกให้วัดสะแก ชัยนาท
    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    ลป.ผาดกล่อง.jpg ลป.ผาด.jpg ลป.ผาดหลัง.jpg
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    upload_2020-2-3_19-0-54.jpeg

    พระครูอินทคณานุสิชฌน์ หรือหลวงปู่เจ็ก (หลวงพ่อเจ็ก) อาจารสุโภ อดีตเจ้าอาวาสวัดระนาม หมู่ ๖ บ้านระนาม ตำบลชีน้ำร้าย อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ชาวจังหวัดสิงห์บุรีและจังหวัดใก้ลเคียงให้ความเคารพศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างมาก ท่านเปี่ยมไปด้วยความเมตตากับญาติโยมทุกๆ คนที่ไปหาท่านไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใดให้ความเมตตาเท่ากันหมด

    "นายทองอินทร์ สุขุม" เป็นชื่อและนามสกุลเดิมของหลวงปู่เจ็ก เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๐ ที่บ้านเดิมบางนางบวช อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี โยมบิดาชื่อ นายมะกล่ำ โยมมารดาชื่อ นางถุงเงิน มีพี่น้องทั้งหมด ๗ คน ท่านเป็นคนที่ ๖ โดยที่มาของชื่อ "เจ็ก" นั้น นอกจากตั้งตามเชื้อสายเป็นลูกชาวจีนแล้ว ยังตั้งตามความเชื่อที่ว่า "ถ้าชื่อเด็กไพเราะเพราะพริ้งจะเลี้ยงยาก ขี้โรค และถ้าตั้งชื่อลูกให้มีความหมายน่าเกลียดน่าชังเด็กคนนั้นๆ จะไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย จะเลี้ยงง่าย

    เมื่ออายุมากขึ้นทางบ้านเห็นว่าน่าที่จะต้องรู้หนังสือพออ่านออกเขียนได้ไว้บ้าง พี่สาวกับพี่เขยจึงฝากให้เรียนหนังสือกับหลวงพ่อปั้น และหลวงพ่อมา ที่วัดเสือข้าม ต.ประสบสุข อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี จนกระทั่งอายุครบ ๒๐ ปี ก็บวชเป็นพระที่วัดระนาม โดยมีหลวงพ่อใย อดีตเจ้าอาวาสวัดระนามเป็นพระอุปัชฌาย์ พระวินัยธรเขียว เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระใบฎีกาพรหม วัดบางคู เป็นพระอนุสาวนาจายร์ ได้ฉายาว่า "อาจารสุโภ" บวชได้ ๑ ปี ก็ถูกเกณฑ์เป็นหทาร เมื่อครบกำหนด ๒ ปี ท่านก็กลับไปบวชเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๗ โดยมีหลวงพ่อใย อดีตเจ้าอาวาสวัดระนามเป็นพระอุปัชฌาย์ พระคู่สวดก็รูปเดิม

    นอกจากศึกษาด้านปริยัติจนสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ หลวงปู่เจ็กยังเป็นศิษย์ของหลวงพ่อแบน วัดเดิมบาง (อาจารย์องค์หนึ่งของหลวงพ่อกวย) หลวงปู่ศรี วัดพระปรางค์ หลวงพ่อใย วัดระนาม หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อพรหม วัดบางปูน ซึ่งอาจารย์ของท่านที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นพระที่เป็นตำนานของสุดยอดพระเกจิทั้งสิ้น

    หลวงปู่เจ็ก เป็นพระอริยสงฆ์ที่ทรงอภิญญาสูงมาก ท่านอายุยืน ท่านมรณภาพนับอายุได้ร้อยกว่าปี และมีเมตตาเป็นปกติ ไม่ชอบความวุ่นวาย มีความเป็นอยู่เรียบง่าย สมถะเป็นที่สุด วันทั้งวันถ้าไม่มีกิจอะไรท่านจะนั่งภาวนาตลอด เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของสาธุชนทั่วประเทศ ฌานสมาบัติของท่านนั้นเยี่ยมยอดมากๆ หลายท่านเจอกับตนเอง เช่น ก่อนไปตั้งใจจะไปหาท่าน เพื่อให้ท่านสงเคราะห์เรื่องต่างๆ พอไปเห็นหน้าท่าน ท่านสามารถบอกได้หมดว่าต้องการให้ท่านสงเคราะห์เรื่องอะไร ทั้งๆ ยังไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย

    อย่างไรก็ตามเมื่อครั้งที่หลวงปู่เจ็กมีชีวิตอยู่มักมีผู้นิยมไปกราบไหว้ขอพร และยากได้ยินคำที่หลวงปู่เจ็กพูดว่า "ขอให้โชคดีนะโยม กลับบ้านให้มีเงินทองใช้มากมาย แต่อย่าลืมทำบุญนะ" ปรากฏว่าผู้ที่ได้รับพรจากหลวงปู่ไปเมื่อกลับมากราบหลวงปู่อีกครั้งกลับกลายเป็นคนมีฐานะดีกว่าที่มากราบหลวงปู่ครั้งแรก เรื่อวาจาสิทธิ์นี้เป็นที่กล่าวขานของคนจังหวัดสิงห์บุรีและใกล้เคียงมาถึงทุกวันนี้

    ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจากนายมนัส พันธุ์กลาง ผู้ที่สนใจข้อมูลการจัดสร้างพระหลวงปู่เจ็กวัดระนาม ทุกๆ รุ่น สอบถามข้อมูลได้ที่ โทร.๐๙-๐๘๐๔-๓๔๙๙


    หลวงปู่เจ็กศิษย์หลวงพ่อใย

    วัดระนาม เมื่อครั้งที่พระครูสิงหราชมุนี หรือหลวงพ่อใย พรหมสร อดีตเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี อดีตเจ้าวัดระนามนั้น ขึ้นชื่อว่าเจริญสุดขีด การศึกษาของวัดเจริญรุ่งเรืองมาก หลวงพ่อใยท่านเป็นนักส่งเสริมการศึกษาทั้งพระเณรและฆราวาส มีทั้งโรงเรียนมัธยม โรงเรียนทอผ้า ซึ่งเป็นแห่งแรกที่เป็นโรงเรียนทอผ้าผู้หญิง เปิดสอนครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑ โดยใช้ชื่อว่า “โรงเรียนช่างทอผ้าสิงห์บุรี” มีครู ๑ คน นักเรียน ๓๐ คน ณ สถานที่ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งสำนักงานเทศบาลเมืองสิงห์บุรี โรงเรียนมัธยมชื่อโรงเรียนประสิทธิวิทยา รวมทั้งโรงเรียนสิงหราชประชานุเคาะห์

    นอกจากนี้ยังตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมสอนให้พระเณรจบนักธรรม สอบบาลีได้มหาเปรียญมากมาย ในเรื่องของการสอนวิปัสสนากรรมฐานนั้น หลวงพ่อใยท่านก็เป็นพระนักปฏิบัติได้สอนวิปัสสนากรรมฐานอย่างสม่ำเสมอ ถึงกับได้ชื่อว่า "วัดระนามเป็นศูนย์กลางการผลิตนักเรียนนักศึกษาก้าวสู่โลกภายนอก"

    ลูกศิษย์ ๒ รูป ของหลวงพ่อใย คือ พระครูอุดม กับหลวงปู่เจ็ก จึงได้เรียนวิปัสสนากรรมฐานโดยปริยาย และด้วยเหตุที่วัดตั้งอยู่ใกล้ๆ กับวัดเสือข้าม จึงได้แลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกับพระเกจิ ๒ รูป แห่งวัดเสือข้าม คือ หลวงพ่อมาและหลวงพ่อปั้น

    หลวงพ่อใย เป็นศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพ่อโฉม วัดตาคลีใหญ่ ซึ่งท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองเวทย์ในยุคนั้น


    วัตถุมงคล ท่านสร้างใว้น้อยมากเพียงไม่กี่ชนิดท่านจะสร้างเฉพาะตามวาระสำคัญๆ เช่น ผ้าขาวตราโบสถ์แจกเมื่อคราวรับสมณศักดิ์เป็นพระครูอินทรภารพินิจ พ.ศ.๒๔๕๘ มีคุณวิเศษในทางป้องกันลมพายุใด้อย่างชะงัดนัก ต่อมาในคราวทำบุญอายุครบ ๖๐ ปี และเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๖ ใด้มีการสร้างวัตถุมงคลไว้แจกแก่ผู้มาร่วมงานแสดงมุทิตาจิต มีสองชนิดคือ เหรียญรุ่นแรกและพระปิดตามหาอุด จำนวนการสร้างไม่ทราบชัดประมาณว่าเหรียญสร้างไม่น่าเกิน ๒๐๐๐ เหรียญ ส่วนพระปิดตามีมากกว่าเล็กน้อย


    ปาฏิหาริย์แห่งพระหลวงปู่เจ็ก



    "ล็อกเกตทุกรุ่นของหลวงปู่เจ็กนี้ผู้ที่แขวนคอไว้ เมื่อประสบอุบัติเหตุทางด้านรถชนจะรอดตายทุกราย ในขณะที่เหรียญรุ่นหนึ่งที่เขาเรียกว่ารุ่น เง็ก มีอภินิหารมากจริงๆ เหรียญรุ่นนี้สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ มีหลายคนคิดว่าหลวงปู่นี้คงสร้างออกมาเฉยๆ คงไม่มีอภินิหารอะไร แต่ที่ไหนได้มีคนเอาใส่หมวกกันน็อกโยนขึ้นฟ้าแล้วเอาปืนยิงนับร้อยๆ นัด แต่ยิงไม่ถูก เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้พบเห็นอย่างมาก"

    นี่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าของพุทธคุณแห่งพระเครื่องที่จัดสร้างโดยหลวงปู่เจ็ก วัดระนาม พระอริยสงฆ์ ๕ แผ่นดิน แห่งเมืองสิงห์บุรี

    พระเครื่องและวัตถุมงคลขอหลวงปู่เจ็กขึ้นชื่อว่าพุทธคุณสูงมากๆ โดดเด่น ด้านแคล้วคลาด มหาอุด เมตตา โชคลาภยิ่งนัก เช่น เหรียญรุ่น ๑ ของหลวงปู่เจ็ก เป็นเหรียญที่เขียนชื่อท่านผิดไปจากคำว่า "เจ็ก" เป็นเง็ก" แต่เป็นที่นิยมของบรรดาศิษยานุศิษย์ และประชาชนทั่วไปเป็นอันมาก จนเหรียญรุ่นนี้หมดจากวัดเป็นเวลาอย่างรวดเร็ว ส่วนรูปหล่อเหมือนหลวงปู่เจ็กสำหรับติดหน้ารถนั้น เป็นรุ่น "ซ่อหอประชุม" มีอภินิหารมากเช่นกัน โดยในวันที่ผู้สร้างแบบมาขอถ่ายรูปหลวงปู่ ไม่ติดภาพหลวงปู่สักใบ ทั้งๆ ที่ฟิล์มถ่ายรูปก็ไม่เสียแต่อย่างใด

    https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/203100
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสุงครับ
    เหรียญหลวงปู่เจ๊ก วัดระนาม
    ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    ลป.เจ๊ก.jpg ลป.เจ๊กหลัง.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    297-d3e2.jpg

    พระครูเกษมธรรมนันท์ (หลวงปู่แช่ม ฐานุสฺสโก)

    สถิต ณ วัดดอนยายหอม ตำบลดอนยายหอม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม

    นามเดิม
    แช่ม อินทนชิตจุ้ย
    ฉายา
    ฐานุสฺสโก
    เกิด
    วันพุธที่ ๖ มีนาคม ๒๔๔๙ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเมีย
    อุปสมบท
    วัดดอนยายหอม ในวันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะ

    พระครูเกษมธรรมนันท์ (แช่ม ฐานุสฺสโก) วัดดอนยายหอม ตำบลดอนยายหอม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เชื่อกันว่าหลวงพ่อแช่มสำเร็จเตโชกสิณตั้งแต่พรรษายังน้อย บางคนเชื่อว่าท่านสำเร็จฌานอภิญญามีพลังจิตเข้มขลัง ปรากฏการณ์ที่ทำให้ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก็คือ สามารถอธิษฐานจิตปลุกเสกจนน้ำมนต์เทไม่ออก

    ชื่อเดิม
    แช่ม อินทนชิตจุ้ย

    ชาตะ
    วันพุธที่ ๖ มีนาคม ๒๔๔๙ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเมีย ที่บ้านหมู่ที่ ๑ ตำบลดอนยายหอม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายเนียม และนางอ่ำ อินทนชิตจุ้ย

    อุปสมบท
    ที่อุโบสถวัดดอนยายหอม ในวันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะ โดยมีพระครูอุตตรการบดี (สุข) วัดห้วยจรเข้ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูทักษิณานุกิจ (เงิน) วัดดอนยายหอม เป็นพระกรรมวาจารย์ และพระครูวินัยธร (ใย) วัดบางช้างใต้ เป็นพระอนุศาสนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “ฐานุสฺสโก”

    การศึกษา
    ในด้านพระปริยัติธรรม หลวงพ่อแช่ม สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ จากนั้นได้หันมาศึกษาด้านการปฎิบัติ โดยได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน และพระเวทวิทยาคมต่างๆจากหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม หลวงพ่อคง วัดบางกะพร้อม และพระครูอุตตรการบดี (สุข) วัดห้วยจรเข้

    สมณศักดิ์
    - ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นพระครูฐานานุกรมของพระราชธรรมาภรณ์ (เงิน) ในตำแหน่งพระครูปลัดแช่ม
    - ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนา ที่ พระครูเกษมธรรมานันท์
    - ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นพระอุปัชฌาย์
    - ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม
    - ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นเอก วิปัสสนา พัดพุฒตาลขาว ในราชทินนามเดิม

    ผลงานด้านการพัฒนา
    สมัยที่หลวงพ่อเงินยังมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อแช่มเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง สำคัญของหลวงพ่อเงินในการพัฒนาสร้างสรรค์สาธารณประโยชน์ต่างๆ มากมาย เมื่อหลวงพ่อเงินมรณภาพไปในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ หลวงพ่อแช่ม ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของหลวงพ่อเงินต่อไป
    ๑. การบูรณปฎิสังขรณ์เสนาสนะ กุฎิสงฆ์ และถาวรวัตถุต่างๆในวัดดอนยายหอม
    ๒. เป็นประธานอุปถัมภ์ในการสร้างวัดตะแบกโพรงสามัคคีธรรมที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
    ๓. สร้างโรงเรียนหลวงพ่อแช่มอุปถัมภ์ (ฉิมเกตุ อ่อนอุทิศ) ที่ตำบลคลองจินดา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
    ๔. สร้างตึกคนไข้ ๔ ชั้น ที่โรงพยาบาลศูนย์นครปฐม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
    ๕. จัดหาทุนสร้างหอประชุมอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม

    ชื่อเสียงกิตติคุณ
    เชื่อกันว่าหลวงพ่อแช่มสำเร็จเตโชกสิณตั้งแต่พรรษายังน้อย บางคนเชื่อว่าท่านสำเร็จฌานอภิญญามีพลังจิตเข้มขลัง ปรากฏการณ์ที่ทำให้ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก็คือ สามารถอธิษฐานจิตปลุกเสกจนน้ำมนต์เทไม่ออก วัตถุมงคลต่างๆที่ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสก มีพุทธคุณครบเครื่องทุกๆด้าน แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือ เมตตามหานิยม ปัจจุบันวัตถุมงคลชุดสำคัญๆของท่านเริ่มเป็นที่นิยมและสะสมกันมากขึ้น นอกจากพระเครื่องและวัตถุมงคลต่างๆแล้ว น้ำพระพุทธมนต์ แป้งเจิม มงคลสวมคอ การผูกหุ่นพยนต์ และสาริกาลิ้นทอง เป็นวิชาเฉพาะตัวที่หลวงพ่อทำได้ขลังยิ่งนัก

    มรณภาพ
    วันพฤหัสบดีที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ รวมสิริมายุได้ ๘๗ ปี พรรษา ๖๗

    พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา

    พุทธคุณในวัตถุมงคลของท่านเด่นทาง เมตตามหานิยม
    ข้อมูลอ้างอิงจาก : phuttha.com

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงปู่แช่ม วัดดอนยายหอม
    ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    ลพ.แช่ม.jpg ลพ.แช่มหลัง.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    783-897b-jpg.jpg

    พระราชธรรมเจติยาจารย์ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร)

    สถิต ณ วัดธรรมมงคล ถ.สุขุมวิท ๑๐๑ ซ.ปุณณวิถี แขวงบางจาก เขตพระโขนง กทม

    นามเดิม
    วิริยังค์ บุยฑีย์กุล

    ฉายา
    สิรินธโร

    เกิด
    เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๗ มกราคม ๒๔๖๓

    อุปสมบท
    ๒๒ พฤษภาคม ๒๔๗๘ ณ วัดสุทธิจินดา ต.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา

    พระราชธรรมเจติยาจารย์ เดิมชื่อ วิริยังค์ บุยฑีย์กุล เป็นบุตรขุนเพ็ญภาษชนารมย์ กับนางมั่น บุญฑีย์กุล (อุบาสิกามั่น ถึงแก่กรรม พ.ศ. ๒๕๒๐) เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๗ มกราคม ๒๔๖๓ ณ สถานีรถไฟปากเพรียว จังหวัดสระบุรี ต่อมาย้ายมาตั้งหลักฐานที่บ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมามีพี่น้อง.๗..คน

    วิริยังค์ สิรินธโร
    วัดธรรมมงคล
    ถ.สุขุมวิท ๑๐๑ ซ.ปุณณวิถี
    แขวงบางจาก เขตพระโขนง กทม

    ก่อนบวช
    พระราชธรรมเจติยาจารย์ เดิมชื่อ วิริยังค์ บุยฑีย์กุล เป็นบุตรขุนเพ็ญภาษชนารมย์ กับนางมั่น บุญฑีย์กุล (อุบาสิกามั่น ถึงแก่กรรม พ.ศ. ๒๕๒๐) เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๗ มกราคม ๒๔๖๓ ณ สถานีรถไฟปากเพรียว จังหวัดสระบุรี ต่อมาย้ายมาตั้งหลักฐานที่บ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมามีพี่น้อง ๗ คน

    วันหนึ่งขณะที่ท่าน มีอายุประมาณ ๑๓ ปี เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ชวนให้ไปวัดเป็นเพื่อน ขณะที่รอเพื่อนไป ต่อมนต์ (ท่องบทสวดมนต์) กับพระอาจารย์กงมา ท่านก็รออยู่ด้วยความเบื่อหน่ายเพราะไปตั้งแต่ ๒ ทุ่มกลับเที่ยงคืน จะกลับบ้านเองก็ไม่ได้ เพราะเส้นทางเปลี่ยวและกลัวผี ได้แต่คิดอยู่ในใจว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่มาอีกแล้ว ๆ ๆ ” ไม่ช้าก็เกิดความสงบขึ้น ตัวหายไปเลย เบาไปหมด เห็นตัวเอง มี ๒ ร่าง ร่างหนึ่งเดินลงศาลาไปยืนอยู่ที่ลานวัด มีลมชนิดหนึ่ง พัดหวิวเข้าสู่ใจ ้รู้สึกเย็นสบายเป็นสุขอย่างยิ่ง ถึงกับอุทานออกมาเองว่า “คุณของพระพุทธศาสนา มีถึงเพียงนี้เทียวหรือ” แล้วเดินกลับไปที่ร่าง กลับเข้าตัว พอดีเป็นเวลาเลิกต่อมนต์ จึงเล่าให้กับ พระอาจารย์กงมาฟัง พระอาจารย์ก็ว่า “เด็กนี่ เรายังไม่ได้สอนสมาธิให้เลยทำไม จึงเกิดเร็วนัก ” ตั้งแต่นั้นมาก็จึงเรียนรู้เกี่ยวกับการทำสมาธิ

    อยู่มาวันหนึ่งท่าน ทำงานหนักเกินตัวจึงล้มป่วยเป็นอัมพาต บิดาพยามหาหมอมารักษา แต่ก็รักษาไม่ได้ แพทย์แผนปัจจุบันบอกว่า หมดหวังในการรักษา ท่านได้แต่นอนอธิษฐานอยู่ในใจว่า

    ” ถ้ามีผู้ใดมารักษาให้หาย จากอัมพาตได้ จะอุทิศตน เพื่อพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ”
    ไม่นานก็ปรากฏว่ามีชีปะขาวหนวดรุงรังตนหนึ่ง มาถามบิดาของท่านว่า
    “จะรักษาลูกให้เอาไหม”
    บิดาก็บอกว่า “เอา”
    ชีปะขาวก็เดินมาหาท่านซึ่งนอนอยู่ พร้อมทั้งกระซิบถามว่า
    “อธิษฐานดังนั้นจริงไหม”
    ท่านก็ตอบว่า “จริง”

    จึงให้พูดให้ได้ยินดัง ๆ หน่อย ท่านก็พูดให้ฟัง ชีปะขาวก็เอาไพลมา เคี้ยว ๆ แล้วก็ พ่นใส่ตัวของท่านจนเหลืองไปหมด แล้วก็จากไป เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าท่านรู้สึกว่าจะ กระดิกตัวได้ ทดลองลุก ขึ้นเดินก็ทำได้เป็นที่อัศจรรย์ใจ

    ๗ โมงเช้า ปรากฏว่าชีปะขาว มายืนหลับตาบิณฑบาตอยู่ ที่ประตูบ้าน ท่านจึงนำอาหารจะไปใส่บาตร ชีปะขาว กลับขอให้ท่านพูดถึงคำ อธิษฐานของท่านให้ฟัง เมื่อพูดแล้ว จึงยอมรับบาตร แล้วบอกให้ท่านไปหาที่ ใต้ต้นมะขาม วัดสว่างอารมณ์ เมื่อไปถึงชีปะขาวก็ให้พูดคำอธิษฐาน ให้ฟังอีก แล้วก็พาเดินไปหลังวัด คว้าเอา มีดอันหนึ่งออกไปตัดหางควาย มาชูให้ดู แล้วก็ต่อหางคืนไปใหม่ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมกับถาม ว่า

    “ลุงเก่งไหม”
    ท่านก็ตอบว่า “เก่ง”

    ลุงจะสอนคาถาให้ แต่ต้องท่องทุกวัน เป็นเวลา ๑๐ ปีจึงใช้ได้ ท่านก็ได้เรียนคาถานั้น แล้วก็บอกว่าพรุ่งนี้ให้ เตรียมใส่บาตร วันรุ่งขึ้นปรากฏว่า ไม่พบ ตาชีปะขาวแล้ว ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ไม่ เคยพบกับตาชีปะขาวอีกเลย
    ในร่มกาวพัสตร์

    เมื่ออายุประมาณ ๑๕ ปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ก็ได้บวชเป็นผ้าขาว บรรพชาเมื่อ ๒๒ พฤษภาคม ๒๔๗๘ ณ วัดสุทธิจินดา ต.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา โดยพระธรรมฐิติญาณ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากบรรพชาได้ ๑๐ วัน ก็ตามพระอาจารย์กงมาออกธุดงค์ ตามป่าเขา ลำเนาไพร เพื่อแสวงหาที่วิเวก เมื่อพบที่สงบ ก็จะหยุดอยู่ทำความเพียร แม้บางครั้งอดอาหารกันอยู่หลายวัน บางครั้งเจอสัตว์ร้าย เจออันตราย หรือหนทางอันยาวไกล เช่นในบางวันเดินธุดงค์ข้ามเขาเกือบ ๕๐ กิโลเมตร ก็ไม่ย่อท้อ โดยถือคติที่ว่ารักความเพียร รักธรรมะมากกว่าชีวิต ครั้งหนึ่งเมื่อออกจากดงพญาเย็น พบโจรกลุ่ม หนึ่งมีอาวุธครบมือมาล้อมไว้ พระอาจารย์กงมาได้เทศน์ สั่งสอนโจร มีอยู่ตอนหนึ่งเทศน์ว่า

    ” พวกเธอเอ๋ย แม้พวกเธอจะมาหาทรัพย์ ตลอดถึง การผิดศีลของพวกเธอนั้น ก็เพื่อเลี้ยงชีวิตนี้เท่านั้น แต่ชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ของ พวกเธอเลย มันจะสิ้นกัน ไม่รู้วันไหน เป็นเช่นนี้ทุกคน ถึงพวกเธอ จะฆ่าไม่ฆ่าเขาก็ตาย เธอก็เหมือนกัน มีความดีเท่านั้นที่ใคร ๆ ฆ่าไม่ตาย อย่างเรานี้จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่อนาทรร้อนใจ เพราะความดีเราทำมามากแล้ว ”

    ปรากฏว่าพวกโจรวางมีด วางปืนทั้งหมด น้อมตัวลงกราบพระอาจารย์กงมาอย่าง นอบน้อม หัวหน้าโจรมอบตัว เป็นศิษย์ และได้บวชเป็น ตาผ้าขาวถือศีล ๘ เดินธุดงค์ไปด้วยกัน จนกระทั่งหมดลมหายใจ ในขณะทำสมาธิ

    ในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๘๔ ท่านมีอายุ ๒๑ ปี ได้อุปสมบท ณ วัดทรายงาม (อุทกสีมากลางทะเล) บ้านหนองบัว อ.เมือง จ.จันทบุรี โดยพระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาทองสุข สุจิตโต เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    หลวงพ่อได้เดินธุดงค์ติดตามพระอาจารย์กงมาไปในที่ต่าง ๆ เป็นเวลา ๘ ปี วันหนึ่ง พระอาจารย์กงมาก็พาท่านเดินธุดงค์จากจังหวัดจันทบุรีไปจังหวัดสกลนคร เพื่อไปพบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลวงพ่อวิริยังค์ได้รับเลือกให้เป็นอุปัฎฐากอยู่ ๔ ปี ได้เดินธุดงค์ร่วมกับพระอาจารย์มั่น เรียนธรรมะ อันลึกซึ้ง ได้จดคำสอนของหลวงปู่มั่นบางตอนไว้ (ปกติท่านห้ามผู้ใดจดเด็ดขาด เมื่ออ่านให้ท่านฟังภายหลัง ท่านกลับรับรองว่าใช้ได้) ต่อมาท่านได้เผยแพร่คำสอนนี้แก่สาธารณะชน ในหนังสือที่ชื่อว่า “มุตโตทัย”
    ผลงานของพระราชเจติยาจารย์
    ๑. สร้างวัด ๑๒ แห่งในประเทศไทย
    ๒. สร้างวัดไทยในประเทศแคนาดา ๖ แห่ง
    ๓. สร้างวิทยาลัยสงฆ์ ๒ แห่ง
    ๔. สร้างสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)ที่จังนครราชสีมา
    ๕. สร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ๓๐๐๐ กว่าแห่งทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายที่ ๗๐๐๐ แห่ง
    ๖. สร้างโรงพยาบาลจอมทอง
    ๗. สร้างที่ว่าการอำเภอจอมทอง
    ๘. สถาบันประถมศึกษาจอมทอง
    ๙. สร้างพระมหาเจดีย์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย วัดธรรมมงคล
    ๑๐. สร้างพระหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก วัดธรรมมงคล

    ประวัติหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร

    ตอน ฝึกหัดตนอยู่กับพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

    ที่มา : ชีวิตคือการต่อสู้ ประวัติและผลงาน

    พระราชธรรมเจติยาจารย์ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

    rosebar-2-gif.gif

    เมื่อ สามเณรวิริยังค์บรรพชาเป็นสามเณรประมาณเดือนเศษ พระอาจารย์กงมาฯ มีกิจนิมนต์ต้องไปกรุงเทพฯ ด้วยความเป็นห่วงท่านจึงนำ สามเณรวิริยังค์ไปฝากไว้ที่พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าศรัทธารวม อ.เมือง จ.นครราชสีมา เป็นวัดป่าที่อยู่ใกล้กองทหารและก็เป็นการฝึกฝนตนอีกครั้งหนึ่งกับพระอาจารย์ฝั้นฯ ของสามเณรวิริยังค์

    วันหนึ่ง สามเณรวิริยังค์ก็ต้องแปลกใจ เพราะเห็นแมวตัวหนึ่งเป็นตัวผู้สีขาวแดงใหญ่ เดินจงกรมตามพระอาจารย์ฝั้นฯ หลังจากท่านเดินจงกรมเสร็จ สามเณรวิริยังค์ได้เข้าไปคอยฟังโอวาท เสร็จแล้วก็ทำการบีบนวดถวาย

    สามเณรวิริยังค์ได้ถามว่า “ทำไมแมวมันจึงเดินตามท่านอาจารย์”

    ท่านอาจารย์ตอบว่า “สอนมัน”

    สามเณรวิริยังค์ทวนคำ สอนแมวไม่ใช่ของง่าย ไม่เหมือนสุนัข ถ้าเป็นสุนัข สามเณรวิริยังค์จะไม่สงสัย สามเณรวิริยังค์จึงถามต่อไปว่า “ทำไมท่านอาจารย์จึงสอนแมวได้”

    ท่านตอบว่า “เอาใจสอน”

    เป็นอันว่าสามเณรวิริยังค์เข้าใจ

    วันหนึ่ง สามเณรวิริยังค์คิดว่า พระอาจารย์ฝั้นฯ นี้ จะเก่งเท่ากับพระอาจารย์ของสามเณรริริยังค์หรือเปล่าหนอ แต่เห็นฝึกแมวได้ ชักเชื่อว่าเก่งพอสมควรทีเดียว สามเณรวิริยังค์นี้เป็นผู้ที่ได้ฝึกจิตมาพอสมควรแล้ว และตั้งใจว่าจะศึกษาไปให้มากที่สุด ดังนั้นเมื่อได้มาอยู่กับพระอาจารย์ฝั้นฯ สามเณรวิริยังค์ก็พยายามที่จะเข้าใกล้ชิดให้มากที่สุด จึงได้ขอเข้าทำการบีบนวดก็ให้โอกาส เป็นอันว่าสามเณรริริยังค์ได้อยู่ใกล้ชิดสมความตั้งใจ แม้จะเป็นระยะอันสั้น สามเณรริริยังค์ก็พยายามศึกษาอย่างเต็มที่

    อยู่มาวันหนึ่ง มันเป็นเวลาดึกแล้ว สามเณรวิริยังค์อยู่เพียงลำพังผู้เดียวที่คอยปฏิบัติท่าน เพราะสามเณรอื่นพากันขี้เกียจ กลับไปนอนหมด สำหรับสามเณรวิริยังค์นั้นเป็นผู้มาใหม่ รู้สึกว่าท่านจะเกรงใจบางอย่าง หรือท่านอาจจะเข้าใจในตัวท่านว่า เราฝึกศิษย์ไม่ดีพอจึงทำให้ศิษย์ของท่านไม่เอาใจใส่ท่าน อาจจะเข้าใจว่าสู้ศิษย์ของท่านอาจารย์กงมาฯ เช่นกับ สามเณรวิริยังค์ไม่ได้ ครั้นจะให้ สามเณรวิริยังค์ไปตามพวกเณรเหล่านั้นมา ก็รู้สึกว่ายิ่งจะเป็นการเสียหายต่อท่านมากขึ้น

    ขณะนั้น สามเณรวิริยังค์จำต้องแปลกใจเหลือหลายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นสมเณรท่านองค์หนึ่ง เดินขึ้นบันไดมาโดยอาการมึนงง ตาก็ลืมนิดๆ เดินตรงรี่เข้ามาหา สามเณรวิริยังค์แล้วมองไปที่อาจารย์ฝั้นฯ เห็นท่านยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วสามเณรรูปนั้น ก็เดินไปที่กระติกน้ำร้อน จัดการชงชาพร้อมทั้งยกถวาย ท่านพระอาจารย์ฝั้นฯ ก็รับ รับแล้วก็ฉัน สามเณรวิริยังค์ยิ่งงงยิ่งขึ้นเมื่อสามเณรรูปนั้นขณะที่ทำงานทุกอย่างตาก็ลืมนิดๆ บางทีตาลืมขึ้นมามากแต่ก็ไม่มองอะไร สามเณรวิริยังค์สังเกตดูตาช่างไม่มีแววเอาเลย เอ นี่มันยังไงกัน หลังจากสามเณรทำทุกอย่างเกี่ยวกับถวายน้ำชาและเก็บกาน้ำถวายชาล้างเรียบร้อยแล้ว สามเณรรูปนั้นก็ทำตาปรือๆ เดินกลับกุฏิไป

    ท่านอาจารย์ฝั้นฯ ก็เอนหลังลงให้ สามเณรวิริยังค์บีบนวดต่อไป สามเณรวิริยังค์ทนไม่ไหวที่เห็นอากัปกิริยาของสามเณรรูปนั้นทำแปลก ยังกับไม่มีชีวิตจิตใจ จึงถามท่านอาจารย์ฝั้นฯว่า

    “ท่านอาจารย์ทำยังไง เณรจึงทำท่าทางเหมือนไม่มีจิตใจอย่างนั้น”

    ท่านตอบว่า “มันอยากขี้เกียจ ต้องทรมานมันมั่ง”

    “ทรมาน” สามเณรวิริยังค์ทวนคำ

    “หมายความว่า ท่านอาจารย์สะกดจิตอย่างนั้นหรือ” สามเณรวิริยังค์ถาม

    “ใช่” แล้วท่านก็ไม่พูดอะไรปล่อยให้สามเณรวิริยังค์บีบนวดจนเกือบเที่ยงคืน

    เมื่อท่านอนุญาตให้กลับแล้ว สามเณรวิริยังค์ได้ไปที่กุฏิสามเณรรูปนั้นด้วยความสงสัยอยากรู้ พอเปิดประตูเข้าไปสามเณรรูปนั้นหลับเงียบ สามเณรวิริยังค์คิดว่าไม่รบกวนละ พรุ่งนี้จะถามแต่เช้าทีเดียว

    รุ่งเช้า สามเณรวิริยังค์รีบลุกขึ้นเข้าไปรออยู่หน้ากุฏิสามเณรรูปนั้น พอเห็นหน้า สามเณรวิริยังค์ถามทันทีว่า

    “เมื่อคืนนี้ทำไมสามเณรจึงทำสะลืมสะลือแล้วเดินไปชงชาถวายท่านอาจารย์ แล้วอยู่ๆ ก็กลับเฉยๆ อย่างนั้นเณรทำไมทำอย่างนั้น”

    สามรูปนั้นตอบว่า “อะไรกัน ผมไม่ได้ไปกุฏิท่านอาจารย์นา ผมก็นอนอยู่นี่ทั้งคืน”

    สามเณรวิริยังค์ยืนยันอีกครั้งบอกว่า “ผมเห็นเณรทุกอิริยาบถ เณรจริงๆ ที่ไป ผมยังยิ้มกับท่านอาจารย์เลย” สมเณรรูปนั้นยืนงง และพูดว่า “ผมไม่ได้ไป”

    แล้วสามเณรรูปนั้นก็ผละจาก สามเณรวิริยังค์ไปบิณฑบาต สามเณรวิริยังค์ชักงงใหญ่ นี่มันอะไรกัน สามเณรวิริยังค์รำพึงในใจว่า พลังจิตนี้สามารถบังคับคนนอนหลับเดินมารับใช้และบังคับให้กลับไปนอน แหละคนถูกบังคับก็ไม่รู้สึกตัวมันแปลกแท้ๆ นี่มันปรากฏแก่สายตาของสามเณรริริยังค์จึงจำเป็นต้องเชื่อ ต้องเชื่อ ๑๐๐% ถ้าใครมาเล่าให้สามเณรริริยังค์ฟังจะไม่เชื่อเด็ดขาด แต่นี่เห็นตำตา ยังไงสามเณรริริยังค์ขอบันทึกไว้ในความทรงจำคือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ พ.ศ. ๒๔๗๘ เวลา ๒๑.๓๐ น. เป็นวันที่สามเณรริริยังค์เกิดความเลื่อมใสท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร เพราะเหตุแห่งปาฏิหาริย์

    ซึ่งมันก็ยังไม่ทำให้ใจของสามเณรวิริยังค์เชื่อว่าจะดีกว่าอาจารย์ของสามเณรริริยังค์ แต่ทำเอาสามเณรวิริยังค์ต้องเชื่อเอามากทีเดียว

    ในตอนตีสาม (๐๓.๐๐) เป็นเวลาที่ผู้ปฏิบัติหัดตนอยู่กับพระอาจารย์ จะต้องปลุกตัวเองตื่นขึ้นนั่งสมาธิ และ สามเณรวิริยังค์แม้จะบวชใหม่ก็พยายามที่จะปลุกตัวเองเสมอเพื่อความก้าวหน้าของการปฏิบัติ และก็รู้ตัวดีที่ท่านเองก็ต้องลำบากหนักหนากว่าจะได้มาบวชกับเขา จึงทำให้ สามเณรวิริยังค์มุมานะอยู่ตลอดเวลา ถึงอย่างนั้นเจ้ากิเลสตัวการมันก็คอยเล่นงานสามเณรตลอดเวลา จึงทำให้การปลุกตัวเองให้ตื่นตอนตีสามนั้นต้องเสียไป โดยไม่ยอมตื่นเป็นบางวัน

    ในคืนวันหนึ่ง สามเณรวิริยังค์กำลังนอนเพลิน เวลาก็เลยตีสาม ไปแล้ว ท่านอาจารย์ฝั้นฯ ท่านทราบได้ยังไง ท่านเอาไม้เท้าเคาะกุฏิที่สามเณรริริยังค์กำลังนอนเพลินอยู่ ทำให้สามเณรริริยังค์ต้องตกใจสุดขีด ลุกขึ้นโดยพลัน พลางคิดว่า “เราผิด-เราผิด” ต้องขอบใจพระอาจารย์ฝั้นฯ อย่างยิ่งที่ท่านได้มาปลุกเรา ดีใจเพราะรับคำเตือนที่มีค่าที่สุด

    วันหนึ่งประมาณหนึ่งทุ่ม สามเณรวิริยังค์ได้ยินเสียงเรียกชื่อว่า “วิริยังค์ๆ ๆ มานี่เร็วๆ”

    ขณะนั้น สามเณรวิริยังค์กำลังเดินจงกรมอยู่ สามเณรวิริยังค์คิดว่าคงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น สามเณรวิริยังค์รีบออกจากจงกรม ตรงไปที่ท่านอาจารย์ฝั้นฯ เมื่อไปถึงท่านได้ชี้ไปที่นกตัวหนึ่ง (นกเค้า) กำลังนอนดิ้นพราดๆ อยู่ ท่านบอกให้ สามเณรวิริยังค์รีบไปช่วยมัน

    สามเณรวิริยังค์รีบจับนกตัวนั้นขึ้นมาเป่าก้นมัน เพื่อให้ฟื้น แต่ยิ่งเป่ามันก็ยิ่งตัวอ่อนลงๆ จนตาย สามเณรวิริยังค์ถามท่านอาจารย์ว่า "นกมันเป็นไร?"

    ท่านตอบว่า “เราเพ่งจิตใส่มันเพราะมันร้องหนวกหูไม่หยุด แต่เพ่งแรงไปหน่อยมันเลยตาย”

    สามเณรวิริยังค์ได้เดินกลับแล้วโยนนกนั้นทิ้งเข้าป่าไป แล้วมาคิดว่า “เอนี่ยังไงกัน มันเป็นความจริงหรือที่นกตายเพราะท่านอาจารย์เพ่งจิตหรือมีตัวอะไรกัดมันกระมัง” แต่มาคิดถึงตอนท่านสะกดจิตเณรมารับใช้คืนนั้น เลยเชื่อสนิทใจ คิดว่าท่านคงไม่โกหกเราและจะมาโกหกเราเอาประโยชน์อะไรกัน
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-phun/lp-phun-hist-07-01.htm

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสุงครับ
    พระสมเด็จเนื้อผงผสมไม้เท้าหลวงปู่มั่น วัดธรรมมงคล ปี 2541
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    189-03c8-jpg-jpg.jpg

    หลวงปู่โง่น โสรโย

    สถิต ณ วัดพระพุทธบาทเขารวก ต.วังหลุม อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร

    ฉายา
    โสรโย
    อุปสมบท
    พ.ศ. ๒๔๘๒ ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม จังหวัดนครพนม

    หลวงปู่โง่น โสรโย อุปสมบทเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม จังหวัดนครพนม โดยมี ท่านเจ้าคุณสารภาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครพนมเป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระมหาพรหมมา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่ออุปสมบทปีแรก พระอุปัชฌาย์ และ พระอาจารย์ผู้อุปการะคือ หลวงพ่อวัง ได้ร้องขอและส่งให้ไปอยู่กับพระสหายของท่าน คือ เจ้ายอดแก้ว บุญทัน บุปผรัตน์ ธมมญาโณ ที่วัดสุวรรณารามราชมหาวิหาร นครหลวงพระบาง ราชอาณาจักรลาว ซึ่งต่อมา เจ้าบุญทัน บุปผรัตน์ ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช แห่งราชอาณาจักรลาว ต่อมากรุงเวียงจันทน์แตกใน พ.ศ. ๒๕๑๘ พระองค์ได้เสด็จลี้ภัยเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. ๒๕๒๘

    พิธีพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่โง่น โสรโย
    ณ เมรุชั่วคราว วัดพระพุทธบาทเขารวก
    อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร
    จาก หนังสือโลกทิพย์ ฉบับที่ ๓๘๘ ปีที่ ๒๒ ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๕

    วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๕ คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนผู้มีความเคารพนับถือได้ร่วมกันประกอบพิธีใน การพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่โง่น โสรโย ณ เมรุวัดพระพุทธบาทเขารวก ตำบลทับคล้อ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จมาพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่โง่น โสรโย ในครั้งนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ มิตรญาติ อย่างหาที่สุดมิได้

    หลวงปู่โง่น โสรโย ได้อุบัติมาใช้ชีวิตในสมณเพศ บำเพ็ญประโยชน์และคุณูปการแก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนา ตลอดถึงสังคมทุกระดับอย่างดียิ่ง เป็นเนติแบบอย่างอันงดงามของผู้ที่จะบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองด้วย ความสะอาดบริสุทธิ์ยุติธรรม มีความกตัญญูกตเวทีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นชีวิตจิตใจ หลวงปู่มีอัธยาศัยเปี่ยมล้นด้วยเมตตา สันโดษ รักสงบ เสียสละ ตามวิสัยของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้ฉลาดในอุบายแนะนำสั่งสอนเหล่าประชากรโดยพุทธวิธี มีกุศโลบายในการรักษาตนให้พ้นจากภัยพิบัติทั้งภายนอกและภายใน มีทัศนวิสัยในการปฏิบัติที่สมสมัย มีจิตใจใฝ่รู้วิชาทุกแขนง นำมาแก้ไขดัดแปลงก่อให้เกิดประโยชน์โสตถิผล ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทำความแช่มชื่นให้แก่ผู้ที่ได้พบเห็น มีความเยือกเย็นเป็นสุขใจแก่ผู้เข้าใกล้ ด้วยเมตตาบารมีธรรมของท่านอย่างน่าอัศจรรย์

    หลวงปู่โง่น โสรโย อุปสมบทเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม จังหวัดนครพนม โดยมี ท่านเจ้าคุณสารภาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครพนมเป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระมหาพรหมมา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่ออุปสมบทปีแรก พระอุปัชฌาย์ และ พระอาจารย์ผู้อุปการะคือ หลวงพ่อวัง ได้ร้องขอและส่งให้ไปอยู่กับพระสหายของท่าน คือ เจ้ายอดแก้ว บุญทัน บุปผรัตน์ ธมมญาโณ ที่วัดสุวรรณารามราชมหาวิหาร นครหลวงพระบาง ราชอาณาจักรลาว ซึ่งต่อมา เจ้าบุญทัน บุปผรัตน์ ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช แห่งราชอาณาจักรลาว ต่อมากรุงเวียงจันทน์แตกใน พ.ศ. ๒๕๑๘ พระองค์ได้เสด็จลี้ภัยเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. ๒๕๒๘

    ส่วน หลวงปูโง่น โสรโยในขณะนั้นเป็นพระนวกะ ได้เรียนนักธรรมและบาลีแบบลาว ซึ่งเจ้ายอดแก้ว บุญทัน ทรงรักใคร่โปรดปรานมาก เพราะดั้งเดิมเป็นสายญาติกัน และใช้งานได้คล่อง พูดไทยได้เก่ง เว้าลาวได้ดี ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสก็อาศัยได้ เพราะในระยะนั้นประเทศลาว ยังเป็นอาณานิคม เมืองขึ้นของฝรั่งเศส ท่านจึงต้องการให้พระภิกษุที่เข้ากับชาวต่างชาติรู้เรื่อง อยู่ด้วย เมื่อเวลาว่างท่านให้เข้าป่าเพื่อแสวงหาต้นไม้ที่เป็นยาสมุนไพร เพราะพระองค์ท่านทรงสนใจรับรู้ในเรื่องยาสมุนไพรมาก ตอนเข้าไปในป่าถึงเขตทุ่งไหหิน โดนทหารลาวและทหารฝรั่งจับในข้อหาเป็นจารชนจากเมืองไทยไปสืบความลับ ถูกขังคุกขี้ไก่ ๓๐ วัน พร้อมพระลาว ๒ รูป กับเด็กอีก ๑ คน เด็กคนนั้น คือ เจ้าสิงคำ ซึ่งต่อมาก็คือ ท่านมหาสิงคำ ผู้ทำงานช่วยพวกลาวอพยพร่วมกับสหประชาชาติ อยู่ที่วัดยานนาวา กรุงเทพฯ ท่านจึงไปมาหาสู่บ่อย เพื่อขอความช่วยเหลือให้พี่น้องชาวลาว หลวงปู่โง่นก็ได้ช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่ความสามารถจะมี

    เรื่องการติดคุกขี้ไก่อยู่เมืองทุ่งไหหินนั้นสนุกมาก เขาเอาไก่ไว้ข้างบน คนและพระอยู่ข้างล่าง ไก่ขี้ใส่หัวตลอดเวลา เหม็นก็เหม็น ทรมานก็ทรมาน สนุกก็สนุก ได้ศึกษาธรรมไปในตัว ความทราบถึงเจ้ายอดแก้ว พุทธชิโนรสสกลมหาสังฆปาโมกข์ ท่านได้ร้องขอให้ปล่อยตัว แต่ทหารปล่อยเฉพาะพระลาว ๒ รูป กับเด็ก ๑ คน ส่วนหลวงปู่โง่นเขาไม่ปล่อย เพราะเข้าใจว่าเป็นคนไทย ด้วยเหตุที่พูดไทยได้เก่ง ทั้งนี้ ขณะนั้นเป็นช่วงระหว่างสงครามอินโดจีน ฝรั่งยุให้คนไทยกับคนลาวเป็นศัตรูกัน เห็นคนไทยก็จับขังหรือฆ่าทิ้งเสีย จึงมารู้ตัวเข้าคราวหลังว่า เรามันคนปากเสีย ปากพาเข้าคุก เพราะพูดภาษาไทย

    ภายหลังสมเด็จพระสังฆราชลาว ท่านออกใบสุทธิให้ใหม่ โอนเป็นพระลาวเป็นคนลาวไป เขาจึงปล่อยตัวออกมา แต่ก็ยังไม่พ้นสายตาของพวกนักสืบอยู่นั่นเอง จึงกราบทูลลาผู้มีพระคุณ หาทางมุ่งกลับเมืองไทย แต่ไม่รู้จะมาอย่างไร จึงตัดสินใจไปพบคนที่รู้จักรักใคร่คือ ท้าวโง่น ชนะนิกรซึ่งเป็นข้าราชการลาวอยู่ในระยะนั้น ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง มีแต่หลุมหลบภัยและเสียงปืน ที่พี่ไทยกับน้องลาวยิงกันไม่ขาดระยะ ต้องธุดงค์ปลอมแปลงตัว เดินเลียบชายฝั่งแม่น้ำโขงลงมาทางใต้ ถึงใกล้เมืองท่าแขก ได้รับความช่วยเหลือจากพระลาวที่รู้จักกัน คือ ครูบาน้อย หาทางให้ได้เกาะเรือของชาวประมงข้ามฝั่งมาไทย พอถึงแผ่นดินไทยก็โดนร้อยตำรวจเอกเดช เดชประยุทธ์ และ ร้อยตำรวจโทแฝด วิชชุพันธ์ จับในข้อหาเป็นพระลาวหลบเข้ามาสืบราชการลับในราชอาณาจักรไทย ถูกจับเข้าห้องขัง ฐานจารชน อยู่ ๑๐ วัน ร้อนถึงพระพนมคณานุรักษ์ ซึ่งเป็นอดีตเจ้าเมือง ได้เจรจาให้หลุดรอดออกมา

    พอพ้นจากห้องขังมาได้ ก็เข้ากราบพระอุปัชฌาย์คือ ท่านเจ้าคุณสารภาณมุณี สั่งให้ไปศึกษาปฏิบัติธรรมพระกรรมฐานกับ พระอาจารย์วัง ที่ถ้ำไชยมงคล ภูลังกา และไปหา พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ตอนเข้าพรรษา พระอุปัชฌาย์ให้มาจำพรรษาอยู่วัดอรัญญิกาวาส จังหวัดนครพนม

    เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ สอบได้นักธรรมตรี พ.ศ. ๒๔๘๖ สอบได้นักธรรมโท พ.ศ. ๒๔๘๗ สอบได้นักธรรมเอก ต่อมาหนีออกธุดงค์เข้าถ้ำ จำพรรษาที่ถ้ำบ้านยางงอย อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม กับอาจารย์สน อยู่ ๑ ปี พระอุปัชฌาย์รู้ข่าวเรียกตัวกลับ สั่งให้มาอยู่วัดอรัญญิกาวาส จังหวัดนครพนม โดยบังคับให้เป็นครูสอนนักธรรมโท อยู่วัดศรีเทพ ๒ ปี เพราะวัดทั้งสองอยู่ใกล้กัน ไปกลับได้สบาย ผลของการสอนได้ผลดีมาก นักเรียนสอบได้ยกชั้นทั้ง ๒ ปี พระอุปัชฌาย์ชมเชยมาก และปีต่อมาได้เปลี่ยนเป็นครูสอนนักธรรมเวลาเช้า ส่วนเวลาบ่าย หลวงปู่เป็นนักเรียนบาลีไวยากรณ์

    ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ สอบเปรียญธรรม ป.ธ.๓ แต่ต้องตกโดยปริยาย เพราะข้อสอบรั่วทั่วประเทศ จึงต้องสอบกันใหม่ เกิดความไม่พอใจในวิธีการเรียนแบบสกปรก จึงย้อนกลับไปพึ่งใบบุญของสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศลาว และได้ตั้งใจเรียนแบบลาว สอบเทียบได้เปรียญ ๕โดยสมเด็จพระยอดแก้วสกลมหาปรินายก ออกใบประกาศนียบัตรให้ จากนั้นท่านสั่งให้ไปเรียนต่อที่ประเทศพม่า พอดีขณะนั้นพระภิกษุสงฆ์ในพม่าพากันเดินขบวนขับไล่รัฐบาลของอูนุ มีการจับพระชาวต่างชาติเข้าคุก หลวงปู่โง่นก็พลอยโดนด้วย แต่โชคดีที่พระมหานายกของพม่า คือ ท่านอภิธชะมหา อัตฐะคุรุ ได้ขอร้องและทำใบเดินทางให้เข้าประเทศอินเดีย เลยเข้าไปเมืองฤๅษีเกษ แคว้นแคชเมียร์ ไปฝึกฝนอบรมวิชาโยคะ ๑ ปี เมื่อมีเพื่อนนักโยคะชักชวนขึ้นไปเมืองยางเซะ และเมืองลาสะ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศธิเบต เพื่อศึกษาภูมิประเทศ และหลักการทางพระพุทธศาสนามหายาน

    พ.ศ. ๒๔๙๔ กลับมาเมืองไทย ท่านเจ้าคุณรัชมงคลมุนี วัดสัมพันธวงศ์ ส่งให้ไปเป็นหัวหน้าก่อสร้างพระอุโบสถจตุรมุขหลังใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก ที่วัดสารนาถธรรมาราม อำเภอแกลง จังหวัดระยอง อยู่ได้ ๕ ปี พระอุโบสถจวนเสร็จ ขออำลาหนีไปพักผ่อนชั่วคราว ไปพักอยู่กับญาติๆ ที่เมืองอังกานุย ประเทศนิวซีแลนด์ แล้วไปอยู่แคนเบอร่า ประเทศออสเตรเลีย อยู่แห่งละ ๑ ปี แล้วไปอาศัยอยู่กับญาติโยมเก่า ที่เขาเคยอุปการะอยู่ประเทศลาว ที่เมืองรียอง ประเทศฝรั่งเศส

    พ.ศ. ๒๔๙๘ กลับเมืองไทย ไปช่วยท่านมหาโฮม คือ เจ้าคุณราชมุนี วัดสระประทุม ที่ปากช่อง จากนั้นเดินธุดงค์เข้าป่าเข้าถ้ำหลายแห่ง คือ ถ้ำเชียงดาว อำเภอเชียงดาว ถ้ำตับเต่า อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ แล้วล่องใต้ไปอยู่ถ้ำจัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ถ้ำขวัญเมือง อำเภอสวี จังหวัดชุมพร แล้วมาถ้ำมะเกลือ เหมืองปิล็อก จังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นขึ้นถ้ำฤๅษี (ถ้ำมหาสมบัติ) ถ้ำเรไร จังหวัดเพชรบูรณ์

    ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ หลวงพ่อแพร คือ ท่านเจ้าคุณเพชราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์องค์ก่อน ได้นิมนต์มาสร้างโรงเรียนประชาบาล วัดท่าข้าม และสร้างพระประธานใหญ่ ไว้ที่เขตอำเภอชนแดน แล้วท่านร้องขอให้ไปอยู่แคมป์สน เขตอำเภอหล่มสัก อยู่ได้ปีเดียว ท่านเจ้าคุณวิมลญาณเวที วัดมงคลทับคล้อ ซึ่งเป็นเครือญาติกันมาก่อน ขอให้มาสร้างฌาปนสถาน และบูรณะศาลาการเปรียญวัดมงคลทับคล้อ พอเสร็จเรียบร้อย ท่านร้องขอให้มาช่วยเหลือประจำอยู่วัดพระพุทธบาทเขารวก เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เพราะเป็นแดนทุรกันดาร หน้าแล้ง จะขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำใช้ ด้วยความเห็นชอบและเลื่อมใสของท่านเจ้าอาวาส ตลอดจนญาติโยม ได้ลงมือพัฒนาสถานที่นี้ให้ได้รับความสะดวกสบายขึ้นหลายอย่าง อาทิ ได้ขุดสระกักเก็บน้ำไว้ในบริเวณหมู่บ้าน เก็บน้ำให้ชาวบ้านไว้ใช้ตลอดปี สร้างถนนจากบ้านวังหลุมถึงเขารวก เป็นระยะทาง ๕.๕ กิโลเมตร และสร้างโรงเรียนประถมศึกษา เป็นอาคารชั้นเดียว ยาว ๕๐ เมตร มีห้องเรียน ๘ ห้อง อีกทั้งปั้นหล่อรูปสมเด็จพระปิยมหาราชไว้ที่หน้าเสาธง มีขนาด ๑ เท่าครึ่ง ตั้งอยู่ตลอดจนถึงทุกวันนี้ วันที่ ๒๓ ตุลาคม ของทุกปี จะให้มีพิธีถวายบังคมพระบรมรูป และแจกทุนการศึกษาแก่เด็กยากจนไม่น้อยกว่าปีละ ๑๐๐ ทุน ทุนละ ๑,๐๐๐ บาท ตลอดมาจนทุกวันนี้

    หลวงปู่ได้แปรผันสังขารของท่านเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๒ รวมสิริชนมายุได้ ๙๔ ปีเศษ นับว่ามีอายุมากในปัจจุบัน แต่สังขารของหลวงปู่ไม่แก่เฒ่าอย่างที่ทุกคนคิด เพราะท่านมีวิธีรักษาจิต เพื่อชะลอความแก่ไว้ด้วยธรรมสมบัติ มีธรรมสมบัติเป็นจิตใจ จึงเป็นใจที่สงบ อันใจที่สงบนั้น ย่อมไม่แก่ชราคร่ำคร่าดังพระพุทธภาษิต ว่า สตญฺจ ธมโม นชรํ อุเปติ ธรรมของผู้มีใจสงบนั้น ย่อมไม่เข้าถึงความแก่ชราคร่ำคร่า ก็คือการชะลอความแก่ไว้ด้วยธรรมสมบัตินั่นเอง

    คนส่วนมากมักปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม แต่หลวงปู่ท่านใช้ชีวิตของท่านเดินย้อนรอยกรรม โดยการนำตัวแฝงเข้ามาเป็นอุปกรณ์การเดินทางเพื่อย้อนรอยกรรม จึงทำให้ชีวประวัติของท่านโดดเด่น โลดโผน เป็นวรธรรมคติแก่ผู้ศึกษาและปฏิบัติได้เป็นอย่างดี

    อันปฏิปทาของหลวงปู่โง่น โสรโย นั้น ตรงกับคำว่า “ปะฐะ วิปปะภาโส” แปลว่า ผู้ยังพื้นปฐพีให้สว่างไสว เหมือนดวงอาทิตย์อุทัยที่เป็นดวงตาของโลก มีความชื่นชมยินดีเป็นที่รวมใจ มีรัศมีสีทองผ่องอำไพส่องโลกนี้ เป็นคาถาที่ปรากฏใน โมรปริตร์ ถ้าคิดถึงหลวงปู่ก็ให้เจริญมนต์บทนี้ จะได้รับความคุ้มครองจากธรรมสมบัติตามปฏิปทาบารมีของหลวงปู่โง่น โสรโย เหมือนท่านอยู่กับเราในฐานะตัวแฝง ตลอดไป
    (ข้อมูลจากหนังสือ พระราชทานเพลิงศพ)



    ข้อมูลอ้างอิงจาก : phuttha.com
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-ngon/lp-ngon-hist.htm
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ผ้ายันต์ลป.โง่น วัดพระพุทธบาทเขารวก ลป.ศรี หน้าพระลาน
    ประมาณ10นิ้ว*10นิ้วครับ ผ้าเช็ดหน้า
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    0-b9-82-e0-b8-87-e0-b9-88-e0-b8-99-e0-b8-a2-e0-b8-a5-e0-b8-9b-e0-b8-a8-e0-b8-a3-e0-b8-b5-jpg-jpg.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    0n-jpg.jpg
    พระครูวิโรจน์ธรรมาจารย์ – หลวงปู่มหาปิ่น ชลิโต
    ประวัติ
    หลวงปู่มหาปิ่น ชลิโต (ศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
    วัดอริยวงศาราม (หนองน้ำขาว)
    บ้านหนองน้ำขาว ต.ดอนกระเบื้อง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
    ———————————————————–
    พระครูวิโรจน์ธรรมาจารย์ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม หลวงพ่อมหาปิ่น ชลิโต พระเกจิชื่อดังแห่งวัดอริยวงศาราม (วัดหนองน้ำขาว) ต.ดอนกระเบื้อง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ผู้เป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวเมืองราชบุรี หลวงพ่อมหาปิ่น ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สายธรรมพระป่า แต่เดิมหลวงพ่อมหาปิ่น เป็นชาวนครปฐม เกิดเมื่อปี พ.ศ.2462 เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ บวชเป็นสามเณร ตั้งแต่อายุเพียง 13 ปี ที่วัด ท่าตำหนัก จ.นครปฐม โดยมีพระปฐมนครา จารย์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม เป็นพระอุปัชฌาย์ จนเมื่ออายุครบอุปสมบท ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ จากนั้นหลวงพ่อได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และถือวัตรปฏิบัติ เดินธุดงควัตรไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านทั่วทุกภาค หลวงพ่อมหาปิ่น ได้มรณภาพอย่างสงบ ณ วัดอริยวงศาราม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน 2524 สิริอายุ 62 ปี 40 พรรษา

    “พวกเธอจงจำไว้ พระป่านั้น เขามีคติอยู่ว่า ปฏิบัติธรรมเพื่อธรรมและทำงานเพื่องาน
    พระป่าโดยสายเลือดและวิญญาณเขามุ่งปฏิบัติมาทุกยุคทุกสมัย
    พระป่าหาใช่เพียงกิน ถ่าย นอน และนั่งหลับตาโดยมิได้ทำอะไรเลย
    พระป่าอาจโง่ในสายตาของผู้ที่เขาไม่ได้ “ปฏิบัติ” นั่งหลับตาศึกษาสัจธรรม
    พระป่าในเมืองไทยนี้นับแต่หลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น พระบุพพาจารย์เจ้าเหล่านี้ล้วนแต่เรียนรู้คำสั่งสอนของพระศาสดาด้วยการ ปฏิบัติด้วยกันทั้งสิ้นและท่านก็สามารถรู้แจ้งในสัจธรรม จนสามารถยังประโยชน์ตนและผู้อื่นได้ พวกเธอจงจำไว้”

    ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ชลิโต พื้นเพถิ่นกำเนิดของท่านอยู่ในจังหวัดนครปฐม ท่านเคยได้สมาธิตั้งแต่อายุ ๘-๙ ขวบเท่านั้น เพราะผู้หลักผู้ใหญ่คนพื้นบ้าน เขาชอบนั่งสมาธิไปดูนรก-สวรรค์กัน ในยุคที่ท่านยังเป็นเด็กนั้น ชาวบ้านนิยมกันว่า “ถ้าบุตรในตระกูลใด ได้บวชแล้วเที่ยวออกธุดงค์รุกขมูลไปในที่ต่าง ๆ จะได้รับการยกย่องนับถือในหมู่ชนต่าง ๆ”

    ดังนั้น ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดสัมประทวน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) วัดเทพศิรินทราวาส เป็นพระอุปัชฌาย์
    รสชาติของสมาธินั้น ยังตรึงจิตใจอยู่เสมอ ท่านได้ออกติดตามพระธุดงค์ตั้งแต่อายุครบ ๑๗ ปี ท่านได้ไปมาเกือบทั่วประเทศไทยตลอดจนถึงมาเลเซีย พม่า เขมร ลาว เป็นต้น

    อายุของท่านครบอุปสมบทก็ได้มาบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ณ วัดท่าตำหนัก เป็นวัดฝ่ายธรรมยุต โดยมีท่านเจ้าคุณพระเทพเจติยาจารย์ วัดเสน่หา เป็นพระอุปัชฌาย์จารย์ ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ชลิโต หรือท่านพระครูวิโรจน์ธรรมาจารย์ ท่านเคยดั้นด้นธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร จากภาคใต้มาถึงกรุงเทพ จากกรุงเทพไปถึงแม่ฮ่องสอน จากแม่ฮ่องสอนไปภาคอีสาน ก็ได้อาศัยเท้าทั้งสองเท่านั้น เดินเพื่อค้นคว้าหาความจริงในธรรมะ และความอดทนอันยอดเยี่ยม
    ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ชลิโต ท่านเป็นศิษย์องค์หนึ่งของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น เป็นที่เคารพบูชาของประชาชนทั่วประเทศ
    อันธรรมะที่ท่านเคยประพฤติปฏิบัติมานั้น ท่านได้นำมาถ่ายทอดแก่สาธุชนผู้ใคร่ในธรรมจนหมดสิ้น ลีลาการแสดงธรรมะของท่าน ท่านเฟ้นหาสาระเนื้อหาอันจับใจแก่ผู้ฟังธรรมเป็นอย่างยิ่ง

    ท่านเป็นกำลังสำคัญ ในกองทัพธรรม สายหลวงปู่มั่นองค์หนึ่ง ที่ได้เที่ยวเผยแพร่หลักธรรมความเป็นจริงขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ความดีงามของท่านนี้ ทำให้ชาวบ้านในภาคต่าง ๆ เช่น ภาคกลางและภาคใต้ ต่างก็ได้ร่วมกันช่วยสร้างสำนักสงฆ์อันเป็นสาขาได้ ๒๐ กว่าแห่ง
    ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ชลิโต แสดงให้เห็นถึงความพากเพียรพยายามอย่างแรงกล้าในการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา

    นอกจากนี้แล้วท่านเคยเล่าว่า…”เคยแอบมากรุงเทพฯ เหมือนกัน เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดบวรฯ วัดราชาฯ วัดราชบพิธฯ วัดมกุฎฯ เมื่อเรียนแล้วก็หนีเข้าป่าฝึกสมาธิภาวนาต่อไป

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้เล่าเรื่องการออกเผยแพร่ธรรมะปฏิบัติภาคใต้ว่า…
    “เมื่อได้ถวายเพลิงศพท่านอาจารย์มั่นแล้ว ก็มีความประสงค์จะเที่ยววิเวกทางภาคใต้ จึงพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หลายองค์ มีพระอาจารย์มหาปิ่น ชลิโต เป็นผู้ติดตามไปด้วย ไปพักที่วัดควนมีด จ.สงขลา และได้ออกหาสถานที่บำเพ็ญสมณธรรม จึงเดินทางต่อไปจนถึงจังหวัดพังงา รู้สึกอากาศถูกกับธาตุขันธ์อยู่มาก”

    ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ชลิโต ได้เล่าความเป็นมาทางภาคใต้ให้หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ฟังว่า
    “กระผมได้เคยผจญภัยมาแล้ว ณ เมืองภูเก็ต พังงา สองแห่งนี้ ก็ได้รบกับความเดือดร้อนต่าง ๆ อย่างมากมาย ด้วยคณะพระธรรมยุตนิกาย ไม่เคยมีเลยในครั้งนั้นจึงได้พาคณะพรรคพวกกลับมาเผชิญเหตุการณ์ร้าย ๆ นี้อีก
    กระผมดีใจที่ท่านพระอาจารย์มาเป็นประธาน ในการเดินทางในครั้งนี้ แม้จะมีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงน่ารังเกียจ อันผิดวิสัยของสมณะ! ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในเพศเดียวกันคอยกลั่นแกล้งทั้ง ๆ ที่นุ่งห่มสีเดียวกัน น่าละอาย

    เมื่อท่านอาจารย์มาเป็นประธานในการเผยแพร่ธรรมะ กระผมก็มีความหวังดีต่อพระพุทธศาสนา ขอร่วมด้วย เพื่อเป็นการช่วยกันฟื้นฟูธรรมปฏิบัติในเขตสองจังหวัดนี้ เป็นการดียิ่ง”
    การที่คณะเผยแพร่ธรรมะโดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้เป็นผู้นำแห่งกองทัพธรรม และมีท่านพระมหาอาจารย์มหาปิ่น ชลิโต ได้เข้าช่วยเหลือเผยแพร่ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าสู่จิตใจ ประชาชนได้เป็นอันมาก

    ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ชลิโต ได้ถูกกำหนดให้ไปอยู่จำพรรษาที่กระโสม โดยมีพระคณะละ ๑๖ องค์ ตลอดเวลา ได้ถูกพวกที่ไร้คุณธรรมบุกรบกวน เช่น เผากุฏิ เอาก้อนหินขว้างปาขณะออกเดินบิณฑบาต ลอบวางยาพิษ ต้องผจญกับความทุกข์ยากแสนสาหัส
    แต่ก็ได้รับการเตือนสติจากหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ให้พยายามรักษาศีลบริสุทธิ์ อย่าทิ้งสติการภาวนา พิจารณาให้เป็นธรรมอย่าเผลอสติ นับเป็นความอดทนเป็นที่ยิ่ง

    ในชีวิตของพระสุปฏิบัติเช่นท่าน คือ…ท่านพระมหาอาจารย์มหาปิ่น ชลิโต ท่านรักในความสันโดษวิเวกท่ามกลางป่าเขา
    ชีวิตธุดงคกรรมฐานของท่าน ได้เดินทางมาไกลแสนไกลบุกป่าฝ่าดง ปีนป่ายภูเขาลูกแล้วลูกเล่า จากลูกนี้สู่ลูกโน้น และในที่สุดท่านก็มาหยุด ณ ภูเขาลูกหนึ่ง รำพึงอยู่ที่เชิงเขา เป็น ภูเขาลูกย่อม มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ในสถูปองค์น้อย ณ ที่นั้นเราจึงเรียกว่า “พระธาตุเขาน้อย” หรือ วัดป่าพระธาตุเขาน้อย

    ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ชลิโต ท่านได้ก่อสร้างขึ้นเป็นวัดที่ถาวร เป็นเครื่องเตือนจิตเตือนใจให้ระลึกถึงท่านและพระธรรมคำสอนอยู่เสมอ
    แม้ว่าบัดนี้ท่านพระอาจารย์ท่านได้ละสังขารจากพวกเราไปแล้วก็ตาม แต่คุณงามความดีนั้นหาได้เสื่อมสลายตามไปไม่ ท่านยังทิ้งรอย ให้พวกเราทั้งหลายได้ดำเนินชีวิตอันถูกต้อง ตามไปเบื้องหน้าตลอดกาลนาน และเป็นความสุขนิรันดรอย่างแท้จริง

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ


    เหรียญหลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลังหลวงพ่อมหาปิ่น
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    %E0%B8%AD-%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99-jpg.jpg 9%E0%B8%99%E0%B8%AD-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    วันนี้จัดส่ง EI638313486TH เชียงราย

    ขอบคุณครับ
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    https://www.faiththaistory.com/thep-kulchorn/

    หลวงปู่มัง มังคโล วัดเทพกุญชรวราราม วัดธรรมยุตกลางเมืองลพบุรี
    ท่านเป็นชาวลพบุรีโดยกำเนิด เกิดที่ตำบลท่าแค อำเภอเมืองลพบุรี เมือปี ๒๔๕๐ ในสกุล รัตนโสม เป็นบุตรคนโตของบ้าน..
    ท่านเป็นคนมีจิตใจงามมาแต่เยาววัย จนกระทั่งมีอายุได้ ๑๗ ปี ทางครอบครัวและญาติๆ ชักชวนให้ท่าน บรรพชาที่วัดสิริจันทรนิมิตร (วัดเขาพระงาม)
    ท่านจึงเข้าบรรพชาที่วัดเขาพระงาม โดยมี พระอมราภิรักขิต เป็นพระอุปัชฌาย์
    เมื่อท่านบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านก็เล่าเรียนทางธรรม คู่กับการ ปฏิบัติ..ท่านชอบทำปฏิบัติมากกว่า
    ท่านปฏิบัติภาวนาตามแนวทางของ ท่านเจ้าคุณอุบาลี.. และได้ติดตามท่านเจ้าคุณอุบาลี ไปและหลวงปู่อ่ำ(น้องชายท่านเจ้าคุณ) ไปปฏิบัติธรรมตามที่ต่างๆ
    ได้พบเจอครูอาจารย์สายพระป่าหลายท่าน และที่สำคัญท่านได้พบกบพระอาจารย์มั่น และได้รับการสอนสั่งแนวทางในการปฏิบัติ จากพระอาจารย์มั่นหลายอย่าง
    ท่านเดินทางกับท่านเจ้าคุณอุบาลีไปปฏิบัติ หลายแห่งโดยเฉพาะที่ลพบุรีนี่เกือบทั่ว (สมัยก่อนลพบุรีเป็นป่าเขา เหมาะกับการปฏิบัติธรรม พระป่าหลายท่านมักจะแวะมาปฏิบัติธรรมกันหลายท่าน)
    ปี 2479 มาอยู่วัดเทพกุญชร เป็นเจ้าอาวาส และที่สุดเป็นเจ้าคณะจังหวัดลพบุรี-สระบุรี (ธรรมยุต ) ท่านเป็นพระที่บริสุทธิ์เป็นที่เคารพเลื่อมใสของลูกศิษย์เป็นอย่างมาก ท่านสร้างพระมากมาย เป็นที่นิยมในจังหวัดลพบุรี วัตถุมงคลของท่านพุทธคุณเมตตาแคล้วคลาดแรงมากครับ ท่านได้ละสังขารเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2539 ครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ


    เหรียญหลวงปู่มัง วัดเทพกุญชรลพบุรี เนื้อเงิน
    ให้บูชา 800 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    ลป.มัง.JPG ลป.มังหลัง.JPG ลป.มังกล่อง.JPG
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    4-U0917433-635619607902294586-1.jpg

    http://forum.uamulet.com/view_topic.aspx?bid=4&qid=53311

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ล๊อคเก็ตอายุยืนหลวงปู่เล็กวัดทำนบ ออกวัดกุฎ
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    ลป.เล็ก.JPG ลป.เล็กหลัง.JPG ลป.เล็กกล่อง.JPG
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    ประวัติโดยสังเขปพระครูวิจิตรธรรมาจารย์ (ประสาร อรหปัจจโย)
    ชาติกำเนิด
    พระครูวิจิตธรรมาจารย์ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2471
    ที่บ้านโนนผึ้ง ตำบลโนนสัง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นบุตรของคุณพ่อใหญ่ คุณแม่พุก พลชัย มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 9 คน หลวงพ่อเป็นบุตรคนที่ 7 ชื่อเดิมของหลวงพ่อคือพระประสาร พลชัย จึงเป็นที่รู้จักในนาม อาจารย์ประสาร หรืออาจารย์สาร สนใจศึกษาวิทยาคมมาตั้งแต่สมัยยังเด็กครองเพศฆราวาส ชอบติดตามหลวงตาที่วัดโนนผึ้งไปธุดงค์ตามป่าเขาลำเนาไพรซึ่งไม่ไกลจากเขตอำเภอกันทรารมย์ , กันทราลักษณ์ , เดชอุดม , ภูสิงห์ ในละแวกนั้นเมื่อก่อนมีแต่ป่ารกทึบ ฝึกฝนวิชาที่ได้เรียนรู้จากท่าน จวบจนอายุใกล้บวชหลวงตาได้แวะที่วัดโนนค้อ และได้ฝากหลวงปู่ประสารให้กับหลวงปู่อ้วน วัดโนนค้อ ต่อมาหลวงปู่ประสารได้มีโอกาสไปเรียนวิชากับหลวงปู่อ้วนบ้าง แต่พอถึงฤดูทำนาก็ต้องกลับบ้าน จนเมื่ออายุครบบวชก็ได้อุปสมบทที่วัดโนนผึ้ง
    ประวัติด้านการศึกษาและเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
    เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลวงปู่ท่านก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำนา อยู่ประมาณ 2 ปี พวกพี่ๆพากันบวชหมดทุกคน หลวงปู่ท่านจึงคิดที่จะบวชบ้าง แต่หลวงปู่ท่านพูดเป็นธรรมนองว่า ถ้าได้บวชแล้วจะไม่ขอลาสิกขา ทางคุณพ่อคุณแม่จึงได้ให้หลวงปู่บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุย่างเข้า 17 ปี ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2488 ณ วัดบ้านดูน อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ
    โดยมีพระปลัดแสง กิตฺติญาโน เป็นพระอุปัชฌาย์ ในระหว่างเป็นสามเณรหลวงปู่ท่านได้เล่าเรียนศึกษาความรู้จากสำนักเรียน หลวงปู่ท่านเป็นคนเรียนเก่งและมีความจำที่ดีมากๆ และเป็นที่รักใคร่ของครูอาจารย์ และต่อมาเมื่อหลวงปู่อายุครบ 20 ปีจึงได้ขออาจารย์อุปสมบท ในวัน
    ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2491 ที่วัดโนนผึ้ง ตำบลโนนสัง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีพระปลัดแสง กิตฺติญาโน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการอ้วน โสภโน เป็นพระกรรมวาจารย์
    พระอธิการทา โกวิโท เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และมีฉายาว่า พระประสาร อรหปจฺจโย
    และเมื่อบวชเป็นพระแล้วหลวงปู่ท่านได้ศึกษาด้านเวชศาสตร์ และไสยศาสตร์
    จากหลวงปู่อ้วนจนจบหลักสูตร และหลวงปู่ท่านได้ศึกษาต่ออีกกับหลวงปู่มุม ที่วัดประสาทเยอ
    อำเภอไพรบึง และยังไม่พอเท่านั้นหลวงปู่ท่านยังได้ ไปฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่ฝาง ที่อำเภอ
    ปัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน บำเพ็ญเพียรจนช่ำชอง ต่อมาหลวงปู่ประสารมีโอกาสเข้าเมืองหลวง โดยจำพรรษาที่วัดหงส์รัตนาราม บางกอกใหญ่ และได้มีโอกาสศึกษาวิชากับอาจารย์หลายรูปในย่านฝั่งธนบุรี และ กทม. อยู่ที่วัดหงส์รัตนาราม ๓-๔ ปี จึงกลับวัดโนนผึ้ง เพราะต้องช่วยงานก่อสร้างเสนาสนะต่างๆภายในวัด และยังไปช่วยงานที่วัดบ้านโนนค้ออีกด้วย ช่วงที่หลวงปู่ดำเนินการก่อสร้างและบูรณะวัดนั้น ถึงช่วงจากการว่างเว้นการดูแลการก่อสร้าง ท่านจะเข้าไปในป่าซึ่งไม่ไกลจากวัดท่านเพื่อหาว่านต่างๆ ตามที่ท่านมีความรู้ซึ่งได้เคยศึกษามาจากบรรดาครูบาอาจารย์ของท่าน ครั้งหนึ่งหลวงปู่เดินเข้าไปเจอบริเวณลานดินกว้างมองเห็นเป็นเนินดินสูง มีต้นไม้ปกคลุม พอดีมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งเข้ามาหาของป่า อาสาถางต้นไม้และทำที่พักถวาย เพื่อเป็นสถานที่ปักกลดของหลวงปู่ ถึงยามกลางคืนเงียบสงบหลวงปู่เริ่มนั่งสมาธิสลับกับการเดินจงกรม ซึ่งคืนแรกนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ แต่มีบางอย่างบอกกับหลวงปู่ว่า สถานที่ที่ท่านใช้ปฏิบัติกรรมฐานอยู่นั้น มีอะไรพิเศษอยู่แน่นอน พอคืนที่สองท่านก็ได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่มาสะกิดใจท่าน นั่นก็คือท่านได้พบดวงไฟสว่างลอยจ้าขึ้นมาจากพื้นดินแล้ววนอยู่ใกล้ๆที่พัก สิ่งนั้นมองเห็นได้ด้วยสายตา ไม่ใช่เกิดจากนิมิต พอรุ่งเช้าชาวบ้านกลุ่มเดิมที่เคยมาจัดสถานที่ให้ท่านได้แวะมาหาท่าน หลวงปู่ไม่ได้เล่าอะไรให้พวกเขาเหล่านั้นฟัง แต่ท่านตั้งข้อสงสัยว่าชาวบ้านสามถึงสี่คนนี้จะต้องเข้ามาหาอะไรสักอย่างนอกเหนือจากหาของป่าทั่วไป ถึงคืนที่สามหลวงปู่ก็ได้พบเหตุการณ์เหมือนเดิมอีก คืนนี้ดวงไฟเปล่งประกายสีเหลืองสดใสมาก เมื่อมีเหตุชวนสงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านจึงตั้งจิตอธิฐานว่า ?ใต้พื้นแผ่นดินแห่งนี้ถ้ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ขอจงได้ปรากฏให้ทราบด้วยเถิด? จากนั้นท่านหลับตาทำสมาธิ จนในที่สุดจึงรู้ว่าใต้พื้นดินตรงนี้มีพระพุทธรูปอายุหลายร้อยปีฝังอยู่ เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นจริงหรือหลอก จึงเข้าไปสำรวจบริเวณนั้นจึงได้รู้ว่า บริเวณป่าที่ท่านนั่งสมาธินั้นเมื่อก่อนเคยเป็นวัด หรือสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนามาก่อน เพราะมีสิ่งก่อสร้างที่ถูกทับถมอยู่ใต้พื้นดิน พอขุดคุ้นดินลงไปก็เจออิฐก้อนใหญ่ ขุดตรงที่มีแสงสว่างลอยขึ้นมาพบว่าเป็นซุ้มครอบอะไรสักอย่าง และขุดกว้างจนพบพระพุทธรูปขนาดหน้าตักเกือบศอกองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนศิลปะลาว เนื้อหินทราย ท่านจึงได้อัญเชิญมาแล้วให้ช่างลงรักปิดทองตั้งไว้บูชาที่วัด กล่าวกลับไปถึงการเก็บว่านของหลวงปู่ แต่ละชนิดต้องใช้เวลานาน บางพื้นที่มีสองสามชนิดบางพื้นที่มีชนิดเดียว บางชนิดเคยเห็นผ่านตา แต่พอจะไปเก็บกลับหาไม่เจอ ดังนั้นพระเครื่องของท่านที่เป็นเนื้อว่านท่านจะทำเองเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่การเก็บว่านจนถึงการกดพิมพ์
    และวัตถุมงคลอีกชนิดที่โดดเด่นของท่านคือตะกรุดโทน ตะกรุดโทนของท่านทำจากแผ่นทองแดง ท่านทำชนิดที่คาดเอว ห้อยคอได้ หลวงปู่บอกว่าที่ลงนั้นเราลงอะไรก็ได้ที่เรียนมา สำคัญอยู่ที่จิตทั้งสิ้น จะลงมากตัวหรือน้อยตัว ถ้าลงมากสมาธิไม่ดีพอ จิตไม่แก่กล้า ก็ไม่ขลังอะไรเลย ของท่านที่ลงส่วนมากเป็นหัวใจธาตุทั้งสี่เป็นปฐม สาเหตุที่ตะกรุดหลวงปู่ประสานเป็นที่รู้จักในหมู่ทหาร ตำรวจ ก็เนื่องจากตะกรุดอันลือลั่นของหลวงปู่พั่ว วัดบ้านนาเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี ทหาร ตำรวจ มีศรัทธามาก พากันไปกราบขอตะกรุดจากหลวงปู่จนทำให้ไม่ทันแจก จึงได้บอกกับบรรดาศิษย์ว่าที่นำมาแจกนั้นบางส่วนหลวงปู่ได้นำแผ่นโลหะไปให้หลวงพ่อประสาร วัดบ้านโนนผึ้ง จารอักขระคาถาให้ หลวงปู่ประสารบอกว่า ?ของฉันห้ามลอง ให้ใจมั่นอย่างเดียวจะช่วยให้แคล้วคลาดอันตราย ถึงคราวสู้ต้องสู้ ถึงคราวหนีต้องหนี ยามหนีไม่ต้องกลัวภัยและอย่าด่าเป็นอันขาด รับรองได้เลยว่าปลอดภัยแน่ๆ?
    มีประวัติบางตอนของหลวงปู่ประสารที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน ต้องขอความอนุเคราะห์จากสมาชิกท่านที่มีข้อมูลช่วยกันเล่าต่อด้วยครับ ปัจจุบันหลวงปู่ประสาร อรหปัจจโย วัดบ้านโนนผึ้ง ได้ถึงแก่มรณภาพแล้ว และได้มีการพระราชทานเพลิงศพแบบโบราณอีสาน (นกหัสดีลิงค์) แล้วเมื่อปีที่ผ่านมา
    http://www.ubonpra.com/board/index.php?topic=314.0;

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อประสาร
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ
    ลพ.ประสาร.JPG ลพ.ประสารหลัง.JPG
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    14791_8728673547791529422_o.jpg?_nc_cat=107&_nc_ohc=ak1G3AzlxD4AX-wQHzu&_nc_ht=scontent.fbkk24-1.jpg

    หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๕๑ วันพฤหัสบดี ตรงกับวันวิสาขบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปี วอก ที่ตำบล ม่วงหมู่ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี โยมบิดา ชื่อ นายวิง พรหมวงษ์ โยมมารดา ชื่อ นางฟัก พรหมวงษ์ มีพี่น้องรวมกัน ๗ คน เป็นชาย ๒ คน เป็นหญิง ๕ คน หลวงปู่ใบ เป็นบุตรคนที่ ๕ ในตระกูลพรหมวงษ์ เรียนหนังสือที่วัดตึกราชา
    บรรพชาเป็นสามเณร
    พออายุได้ ๑๐ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร อยู่ที่วัดตึกราชาอยู่ ๖ พรรษา พออายุได้ ๑๕ ปีได้ลาสิกขาจากสามเณรไปช่วยบิดาทำนา
    การอุปสมบทครั้งแรก
    พออายุได้ ๒๑ ปี ได้อุปสมบทที่วัดตึกราชา โดยมี พระครูเกศีวิกรม (หลวงพ่อพูล) เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรีเป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อไป๋ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์แก้วนพคุณ เป็นกรรมการวาจาจารย์ หลวงพ่อช่วงเจ้าอาวาสวัดตึกราชา เป็นอนุสาวนาจารย์ ขณะที่อุปสมบทได้ศึกษาปริยัติธรรม และสอบได้นักธรรมชั้นตรี และนักธรรมชั้นโท กับได้เป็นครูปริยัติธรรมให้แก่พระภิษุสามเณร ในนักธรรมศึกษาชั้นตรี และชั้นโทด้วย
    ได้ไปศึกษาพระธรรมวินัย กับหลวงปู่ฉาย สุวรรณสโร ณ วัดป่าธรรมโสภณ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เป็นเวลา ๑ ปี
    ขณะอยู่ที่วัดตึกราชาได้ไปศึกษาวิชาหมอดูจากหลวงปู่สุดอยู่ 3 ปี หลวงปู่สุดนี้เป็นพระสงฆ์ที่มาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วมาจำพรรษาอยู่ที่วัดสังฆราชาวาส
    เมื่อหลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม อุปสมบทอยู่ได้ 5 พรรษาก็ต้องลาสิกขาออกมาช่วยบิดามารดาทำนา แต่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะอุปสมบทอีก โดยได้ไปทำการลาสิกขากับพระครูเกศีวิกรม เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี หลวงปู่พูดกับพระครูว่า “เมื่อผมมีความร่ำรวยผมจะใช้ตำราหมอดูนี้ช่วยเหลือประชาชน โดยไม่คิดเงินทอง” ในระหว่างที่มาช่วยบิดาทำนา ก็ได้รับประโยชน์มากอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นการทำนา หรือพืชไร่
    ชีวิตพ่อค้า
    ในระหว่างนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นเข้ามาอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก และเป็นช่วงที่เศรษฐกิจ บางอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลง หลวงปู่ใบได้ใช้เวลาว่างในระหว่างการหยุดทำนา เป็นพ่อค้าซื้อน้ำตาลจากห้วยกรด จำนวน ๖๐๐ ถึง ๗๐๐ ไห ราคาไหละ ๑ บาท บรรทุกเรือนำไปขายทางเทศเหนือ เช่นที่ คลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร ขายราคาไหละ หกสลึง หรือ เจ็ดสลึง ขายหมดแล้วเมื่อขาล่องก็ซื้อกล้วยไข่ประมาณ ๓,๐๐๐ หวี มีขี้ไต้ น้ำมันยาง บางครั้ง ก็ซื้อเรือล่องลงมาขายด้วย ปีหนึ๋ง ๆ ขายได้ประมาณ ๔ เที่ยว
    เมื่อมีเงินมากพอก็สามารถซื้อนาได้ ๓๗ ไร่ และปลูกเรือนขึ้นใหม่อีก ๒หลัง มีเรือไว้ใช้ ๓ ลำ หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม พูดเสมอ ๆ ว่าทำอะไร ๆ ได้มักได้ผล เกิดจากความมหัศจรรย์
    เมื่อทางบ้านมีหลักฐานมั่นคงแล้ว หลวงปู่ใบ คิดอุปสมบทอีกจึงบอกความประสงค์กับบิดา แต่บิดาไม่ยอมให้อุปสมบท โดยบิดาพูดว่า เจ้าเป็นคนสร้างฐานะให้พ่อแม่ต้องการให้หลวงปู่ใบเป็นผู้รักษาทรัพย์สมบัตินั้นต่อไป และต้องการให้หลวงปู่มีภรรยาเป็นหลักฐาน ต่อมาได้ทำการมงคลสมรสกับ นางสาวสังวาลย์ อายุ ๒๔ ปี ขณะนั้นหลวงปู่อายุ ๒๙ ปี มีบุตรหญิงหนึ่งคนชื่อ คุณมานะ ( พรหมวงษ์ )ต่อมาแม่สังวาลย์ พรหมวงษ์ ได้ถึงแก่ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ ได้ ๓๑ ปี ขณะนั้นหลวงปู่อายุได้ ๓๖ ปี
    ปลูกกระท่อมอยู่เพื่อความสงบ
    หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม (ขณะนั้นยังเป็นฆราวาสอยู่)ได้ปลูกกระท่อมอยู่ที่หางคลอง ขณะนั้นแม่สังวาลย์ พรหมวงษ์ ยังมีชีวิตแต่การที่ไปอยู่ที่นั่น เพื่อผลแห่งการปฏิบัติธรรม เพื่อความสงบของท่าน และเพื่อสะดวกกับบรรดาลูกศิษย์ และผู้ที่มีความประสงค์จะมาพบท่าน
    ทำบุญต่ออายุ
    เมื่อหลวงตามีอายู ๘๐ ปี (ยังเป็นฆราวาสอยู่) ได้มีการทำบุญต่ออายุ โดยมีมหาประมวลเจ้าคณะอำเภอเมือง เจ้าอาวาสวัดเจดีย์ พร้อมด้วยคณะลูกหลาน
    การอุปสมบทครั้งที่ ๒
    หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม ได้อุปสมบทที่วัดพิกุลทอง ตำบลพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๓๓ ขณะที่มีอายุ ๘๓ ปี
    โดยมีพระธรรมมุนี (หลวงพ่อแพ เขมังกโร) เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระครูสุจิตตานุรักษ์ (หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    พระครูโพธาภิวัฒน์(หลวงพ่อกลอ วัดโพธิ์ลังกา) เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม เมื่อได้อุปสมบทแล้วได้มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดตึกราชา ขณะนี้ร่างกายของหลวงปู่ใบชราลงมากแล้วแต่ยังช่วยผู้มีความทุกข์ ความเดือดร้อน ได้บ้างพอสมควร
    \
    \[​IMG]
    \
    หลวงตาอาพาธ
    ต่อมาหลวงปู่ใบมีอาการอาพาธหลายครั้ง บางครั้งต้องเข้าโรงพยาบาล ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๓๘ หลวงปู่ มีอาการอาพาธมากกว่าทุกครั้ง สาเหตุมาจากความชรา ช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ ต้องมีคนคอยพยาบาลช่วยเหลือ แต่หลวงปู่ใบมีสติดีตลอด และก็มีผู้มาเยี่ยมและผู้มาขอให้ช่วยเหลือมิได้ขาด โดยหลวงปู่ใบก็มิได้ปฏิเสธ พยายามช่วยเหลือทุกรายไป
    หลวงปู่ใบ ละสังขาร
    หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม ได้ละสังขารวันพฤหัสบดีที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ เวลา ๐๘.๔๗ น. การละสังขารของหลวงปู่ใบครั้งนี้นำความอาลัยเศร้าโศกมาสู่บรรดาศิษย์ และผู้ที่เคารพรักใคร่หลวงปู่เป็นอย่างมาก
    บำเพ็ญประโยชน์
    ในระหว่างที่หลวงปูใบมีชีวิต ได้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อพระพุทธศาสนา คือ
    ๑. จัดผ้าป่าสามัคคี ช่วยสร้างสะพานข้ามแม่น้ำในวัดบางพึ่ง และศาลาข้างสะพาน จ.ลพบุรี พ.ส. ๒๕๒๘ จำนวนเงิน ๑,๐๑๒,๔๒๙.๐๐ บาท
    ๒.เป็นประธาน สร้างสะพานข้ามแม่น้ำลพบุรี หน้าวัดตึกราชา ปี พ.ศ. ๒๕๓๙
    ๓.ที่วัดตึกราชา ได้บูรณะซ่อมแซมและก่อสร้างหลายสิ่งหลายอย่างเช่น ซ่อมแซมอุโบสถหลังเก่า และก่อสร้างเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ ทำถนนภายในวัด และรั้ว
    หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม ได้สร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ไว้ในวัดตึกราชา ตำบลม่วงหมู่ อำเภอเมือง จังหวัดลสิงห์บุรี สูง ๙ วา ๖ ศอก ๓ คืบ ที่ฐานประเจดีย์หล่อรูปเหมือนอดีตเจ้าอาวาสวัดตึกราชา จำนวน ๖ องค์ ไว้โดยรอบฐานพระเจดียนั้นหลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม ได้พูดว่าต้องใช้กระเเสจิตตรวจอยู่หนึ่งพรรษา เมื่อเข้ามาในกระเเสจิตดูว่าเป็นพระที่ไม่จับต้องเงินทองทั้งสิ้น เช่นเดียวกับ หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม หลวงปู่ใบก็ไม่จับต้องเงินทอง ผู้ใดจะทำบุญกับหลวงปู่ใบ หลวงปู่ใบจะใช้บาตรรับ หรือใครจะทำบุญหลวงปู่ก็ให้ใส่ลงในบาตร
    หลวงปู่ทั้ง ๖ องค์ ที่อยู่รอบฐานเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ คือ
    ๑. หลวงปู่ทวด เฒ่า
    ๒.หลวงปู่ทวด สุข
    ๓.หลวงปู่ทวด คำ
    ๔.หลวงปู่ทวด น้อย
    ๕.หลวงปู่ทวด ช้าง
    ๖.หลวงปู่ทวด บุญ
    หลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม เป็นประธานในการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุที่ยอดเจดีย์ เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๓๗ ก่อนบรรจุพระสารีริกธาตุ มีพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ และมีผู้มาร่วมส่งน้ำพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุ เป็นจำนวนมาก
    เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุนี้สิ้นค่าก่อสร้างไป ๑,๑๘๓,๔๑๘.- บาท (หนึ่งล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นสามพันสี่ร้อยสิบแปดบาทถ้วน) เป็นเงินที่ได้รับบริจาคจากศรัทธาของบรรดาศิษย์ และผู้ที่เลื่อมใสในหลวงปู่ใบ ฐิตธมฺโม โดยมิได้ประกาศเชิญชวนหรือแจกซองแต่อย่างใด
    เหรียญรุ่น๑ (ฆราวาส) เหรียญรุ่น๒ (พระภิกษุ)
    ขนาดเหรียญฆราวาส เล็กกว่าเหรียญตอนบวชเป็นพระภิกษุ
    วัตถุมงคลพระเครื่อง พระบูชา รูปหล่อ เหมือนหลวงปู่ใบ และยังมีพระเครื่อง ชนิดผงและชนิดเหรียญด้วย จากการร้องขอของลูกหลาน บรรดาศิษย์ยานุศิษย์ และผู้คนที่เคารพรักศรัทธาในตัวท่าน เพื่อเก็บไว้กราบไหว้บูชาตลอดไป
    ขอขอบพระคุณ
    อาจารย์หนุน ทำนอง
    ร้านเมืองพรหม ๒/๓ ถ.ประชาวิถี อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี โทร ๐๓๖๔๔๑๕๑๙
    จากหนังสือที่ระลึก งานประชุมเพลิง หลวงตาใบ ฐิตธมฺโม วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ณ วัดตึกราชา ตำบลม่วงหมู่ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
    คณะผู้จัดทำหนังสือประวัติหลวงตาใบ ฐิตธมฺโม
    คุณสมเกียรติ เหลืองดิลก
    อ.ดำรงค์ ปิ่นทอง
    อ.หนุน ทำนอง
    อ.นิด
    อ.หน่อง
    คุณสำราญ ทรงเดชะ
    เฮียเลิศ
    เฮียสุข
    เฮียหม่าน
    เพจ ตาใบ พรหมวงศ์
    ที่ให้ความอนุเคราะห์ข้อมูลในการเผยเเพร่ มาณ.ที่นี้ด้วยครับ
    http://www.baanjompra.com/webboard/thread-11240-1-1.html
    https://sitluangporguay.com/forum/index.php/topic,13651.0.html

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงตาใบ รุ่นแรก
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    ลต.ใบ.JPG ลต.ใบหลัง.JPG
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    ประวัติครูบาเจ้าเทือง นาถสีโล
    pict2.jpg
    ครูบาเจ้าเทือง นามสกุล หน่อเรือง ฉายา นาถสีโล (พระครูไพศาลพัฒนโกวิท)
    เกิดวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2508 ตรงกับวันเสาร์ แรม 4 ค่ำ เดือน 5 เหนือ ปีมะโรง
    ณ บ้านเลขที่ 73/1 บ้านหัวดง หมู่ 6 ตำบลขัวมุง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่
    ครูบาเป็นบุตรของคุณพ่อมูล และคุณแม่หล้า หน่อเรือง

    มีพี่น้องร่วมสายโลหิต 4 คน ได้แก่

    • นางสาวทับทิม หน่อเรือง

    • นายไพทูรย์ หน่อเรือง

    • ครูบาเจ้าเทือง นาถสีโล (หน่อเรือง)

    • นายสุทัศน์ หน่อเรือง
    ชีวิตในวัยเยาว์

    • ครูบาเจ้าเทือง นาถสีโล ได้เริ่มถือศีล 8 ตั้งแต่อายุ 9 ขวบเป็นต้นมา

    บรรพชา

    • จนกระทั่งอายุ 20 ปี ในวันที่ 28 เมษายน 2528 ณ วัดหัวดง หมู่ 6 ตำบลขัวมุง
      อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี

      - พระครูชัยสีลวิมล วัดพระนอนหนองผึ้ง เป็นพระอุปัชฌาย์

    อุปสมบท

    • อุปสมบทเมื่ออายุ 21 ปี ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2529 ณ วัดหัวดง โดยมี

    • - พระครูชัยสีลวิมล วัดพระนอนหนองผึ้ง เป็นพระอุปัชฌาย์

    • - พระครูปุญญาภิวัฒน์ วัดขัวมุง เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    • - พระครูอินสม ปภากโร วัดหัวดง เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    คติพจน์

    • "กตัญญูเป็นเลิศ ต้องเทิดศีลห้า ศรัทธาในพระรัตนตรัย"

    อมตะวาทะ

    • "คนจริง ทำจริง ย่อมรู้จริง"

    คติธรรม

    • "หื้อหลับเดิก ลุกเจ๊า หื้อหมั่นไหว้พระเจ้าภาวนา"

    • "ว่าดีจ๊างเต๊อะ ว่าเซ๊อะจ๊างเขา ขแนมตั๋วเฮา ศีลธรรมบ่เสิ้ง"
    ครูบาเจ้าเทือง นาถสีโล เป็นเกจิสหาย หรือ "ครูบาสองพี่น้อง"
    คู่กับกับ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสวโร เกจิดังแห่งสามเหลี่ยมทองคำ
    pict3.jpg
    ครูบาเทือง นาคสีโล หรือมีราชทินนามว่า "พระครูไพศาลพัฒนโกวิท" ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดเด่นสะหรีศรีเมืองแกน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ อายุ ๔๑ ปี พรรษา ๒๑ ซึ่งถ้าไม่ได้เข้าใกล้ชิด ไม่ได้เดินตามครูบา ก็จะรู้สึกว่าท่านเป็นพระหนุ่มรูปหนึ่ง ไม่มีอะไรพิเศษ แต่หากได้พบ ได้นมัสการได้ฟังข้อคิดจากครูบา จะบอกตรงกันว่า "ไม่ธรรมดา"

    แม้ว่าครูบาเทืองเป็นพระพรรษาไม่มาก แต่ท่านกลับมีปฏิปทาน่ากราบไหว้สงบเสงี่ยม หากจะประมวลภาพรวมความเป็นครูบาของท่านจะได้ดังนี้ "คูรบาอ่อนน้อมถ่อมตน ฝึกฝนปฏิบัติเคร่งครัดพระธรรมวินัย จิตใจสุขุมเยือกเย็น บำเพ็ญบารมีทำความดีเป็นนิจจิตเมตตาเสมอ"

    ครูบาบำเพ็ญบุญบารมี ตามรอยแห่งครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาบุญทุกประการ ถ้าพูดถึงงานการบริจาค ครูบาสามารถสร้างศาสนสถาน ถาวรวัตถุ ไม่เพียงแต่เฉพาะใน จ.เชียงใหม่เท่านั้น ทุกจังหวัดในภาคเหนือครูบาได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาอย่างทั่วถึงและมั่นคง ท่านสร้างทั้งโบสถ์ วิหาร เจดีย์ พระพุทธปฏิมา ศาลากุฏิสงฆ์ ฯลฯ

    ในด้านการปฏิบัติ ครูบานับเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่งที่เข้าถึงธรรม โดยวิธีปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง เคร่งครัด โดยเฉพาะวิปัสสนากรรมฐาน

    ในด้านการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม ครูบาเสียสละปัจจัยไทยธรรมที่มีผู้ถวายบริจาค ช่วยเหลือแก่ส่วนราชการ องค์กร ชมรม สโมสร ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะชาวไทยภูเขา ตั้งแต่ ปัจจัย ยา บ้าน การศึกษา น้ำประปา ไฟฟ้า ถนนหนทาง มากมายมหาศาล

    ครูบาถือคติว่า "เป็นพระต้องพูดจริง ต้องทำจริง และต้องรู้จริง" ผลจากความจริงที่ท่านบำเพ็ญเพียรภาวนา ทั้งปฏิบัติ ปฏิเวทเทศนา พัฒนาชุมชน บนพื้นฐานของข้อวัตรปฏิบัติที่ปราศจากการใส่ร้ายป้ายสี โจมตี ครูบารักษาศีล ไม่เห็นแก่กิน ไม่เห็นแก่นอน ฝึกสอนใจตนเองตลอดเวลา รวมทั้งการเสียสละ สร้างศรัทธา นำพาถูกต้อง ปรองดองให้เห็น ดีเด่นในคุณธรรม

    นำปฏิบัติเพื่อขจัดความเห็นแก่ตัว ครูบาจึงกลายเป็นพระหนุ่มที่ "ไม่ธรรมดา" ในเรื่องของวาสนาบารมี ที่เห็นด้วยตา ศึกษาด้วยสติปัญญาของผู้พบเห็น ที่วัดเด่นสะหรีศรีเมืองแกน ตั้งแต่วิหารที่สวย เจดีย์ที่สูง ต้นเงินสง่า ครูบาที่มีบารมี ล้วนแล้วแต่ได้มาเพราะดูดีทั้งสิ้น

    ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลก ทุกๆ วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ของทุกปี อันเป็นวันคล้ายวันเกิดของครูบา วัดเด่นสะหรีศรีเมืองแกน จึงเนืองแน่นไปด้วยคณะศรัทธา ทุกเพศทุกวัยทั้งชาวไทยและต่างประเทศ มารับการออกนิโรธกรรม มีทั้งข้าราชการผู้ใหญ่ นักการเมือง ทหาร ตำรวจ นายแพทย์ นักธุรกิจ พ่อค้า ประชาชน

    นอกจากนี้ยังมีชาวเขาทุกชนเผ่าใน จ.เชียงใหม่ ทุกอำเภอ รวมทั้งในจังหวัดภาคเหนืออื่นๆ มาร่วมงานหลายพันคน

    นอกจากนี้แล้วเหล่าบรรดาลูกศิษย์ที่เคารพนับถือและเลื่อมใสศรัทธาครูบา ได้นำอาหารและเครื่องดื่มร่วมตั้งโรงทานเลี้ยงผู้มาร่วมงาน มีทั้งหน่วยงานราชการ ภาคธุรกิจเอกชน คณะศรัทธาจากวัดในเชียงใหม่ และบุคคลทั่วไป จำนวนร้อยกว่ารายการ

    ครูบาเทืองได้ฝากข้อคิดถึงเหล่าบรรดาลูกศิษย์ที่ไปร่วมงานและไม่ได้ไปร่วมงาน ผ่าน "คม ชัด ลึก" ว่า

    "ให้ทุกคนยึดมั่นกตัญญู ต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยศีลห้า ต้องศรัทธาในพระรัตนตรัย วัตถุมงคลมีไว้เพื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ และพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า โดยให้สำนึกว่าวัตถุมงคลจะช่วยตัวตนเราได้ เราต้องช่วยตัวเราเองก่อน บนพื้นฐานของหลักการดังต่อไปนี้ แขวนของขลังไว้ที่คอพอคุ้มได้ แขวนของขลังไว้ที่ใจยิ่งได้ผล มุ่งอบรมบ่มศีลธรรมประจำตน เป็นมงคลแสนวิเศษพ้นเพศภัย"


    http://www.watbanden.com/frontend/web/index.php?r=site/abbotstory
    https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/816929
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระรอดเกษาครูบาเทือง รุ่นแรก
    ให้บูชาองค์ละ 200บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ มี2 องค์

    องค์ที่ 1

    ครุบาเทืองกล่อง.JPG ครุบาเทือง.JPG ครุบาเทืองหลัง.JPG

    องค์ที่2

    ครุบาเทือง1กล่อง.JPG ครุบาเทือง1.JPG ครุบาเทือง1หลัง.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2022
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    __1_395.jpg

    ประวัติและปฏิปทา
    พระเนกขัมมมุนี (หลวงปู่ก้าน ฐิตธมฺโม)

    วัดราชายตนบรรพต (วัดเขาต้นเกด)
    ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์


    พระเนกขัมมมุนี (หลวงปู่ก้าน ฐิตธมฺโม) มีนามเดิมว่า ก้าน ด้วงเด่น เกิดเมื่อวันพุธที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ ปีวอก ณ บ้านโผงเผง ต.โผงเผง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง โยมบิดาชื่อ เจียม ด้วงเด่น โยมมารดาชื่อ กุล ด้วงเด่น ท่านจบการศึกษาประถมศึกษาปีที่ ๓ จากโรงเรียนประชาบาล จ.อ่างทอง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๓ คน หลวงปู่เป็นคนกลาง ซึ่งต่อมาทั้งพี่ชายและน้องชายของหลวงปู่ต่างก็พากันออกบวช

    เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ โยมบิดา-มารดาได้ทำการอุปสมบทให้หลวงปู่ตามประเพณี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ณ พัทธสีมาวัดถนนสุทธาราม ต.โผงเผง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง

    ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ท่านสอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก

    ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ นายบักเซ้ง แซ่อื้อ ถวายที่ดินที่ครอบครองที่มีอยู่แต่เดิมให้หลวงปู่ก้าน

    วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๕ หลวงปู่จึงได้ขออนุญาตสร้างวัดให้ถูกต้องตามกฎหมาย และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ โดยเรียกขานอย่างเป็นทางการว่า “วัดราชายตนบรรพต” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “วัดต้นเกด” ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระปรมาภิไธยและพระนามาภิไธยของทั้งสองพระองค์ประดิษฐานไว้ที่หน้าบันอุโบสถ และทรงปลูกต้นศรีตรังไว้ที่หน้าอุโบสถ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ อีกด้วย หลังจากที่สร้างวัดเพื่อเป็นที่ปฏิบัติธรรมของหลวงปู่และเป็นของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปแล้ว หลวงปู่ก้านก็ไม่เคยย้ายไปอยู่ที่วัดอื่นใดอีกเลย

    หลวงปู่ก้าน เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีเมตตา เป็นที่เคารพศรัทธาของลูกศิษย์ที่เป็นสงฆ์และฆราวาส จะเห็นได้จากในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาจะมีพุทธศาสนิกชนพากันหลั่งไหลเข้าวัด เวียนเทียน ฟังเทศน์ ฟังธรรมจากหลวงปู่ ไม่เว้นแม้กระทั่งวันตรุษ วันประเพณีต่างๆ รวมไปถึงวันคล้ายวันเกิดและวันสำคัญต่างๆ ของหลวงปู่ก้านก็จะมีพระเถรานุเถระผู้ใหญ่ร่วมกันสวดมนต์ถวายพรแด่หลวงปู่เป็นประจำทุกปี

    สำหรับประวัติของหลวงปู่ก้านโดยละเอียดนั้น ค่อนข้างหาอ่านได้ยากเพราะท่านยังไม่อนุญาตให้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ แต่เราสามารถศึกษาประวัติของหลวงปู่ก้านได้ โดยผ่านประวัติของหลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม เนื่องจากท่านทั้งสองเป็นสหธรรมิกคู่บารมีกันค่ะ หลวงปู่ก้านท่านเดินทางไปมอบกายถวายตัวเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) จ.สกลนคร พร้อมกับหลวงปู่ฉลวย ก่อนที่ท่านทั้งสองจะได้ทำญัตติกรรมใหม่เป็นพระภิกษุธรรมยุติกนิกาย ณ พัทธสีมาวัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ เวลา ๒๐.๔๒ น. โดยมี ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ร่วมกัน และพระครูประสาทคณานุกิจ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ โดยได้รับนามฉายาว่า “สุธมฺโม” และ “ฐิตธมฺโม” ตามลำดับ ในขณะนั้นหลวงปู่ฉลวยมีอายุ ๔๒ ปีแล้ว
    หลวงปู่ก้าน ฐิตธมฺโม
    เมื่อครั้งยังเป็น พระครูวิศาลสมาธิวัตร


    นอกจากนี้หลวงปู่ก้านยังเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมกับหลวงปู่ฉลวยช่วยกันสร้างวัดป่ากลางโนนภู่ (เดิมชื่อ วัดป่าบ้านภู่ หรือวัดกลางบ้านภู่) บ้านกุดก้อม ต.ไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร สถานที่อันเป็นที่ตั้งของ “พิพิธภัณฑ์ศาลาที่พักอาพาธพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พ.ศ. ๒๔๙๒”

    หลังจากหลวงปู่ฉลวย-หลวงปู่ก้านได้ญัตติกรรมใหม่ในคณะธรรมยุติกนิกายแล้ว ท่านทั้งสองก็ได้พำนักจำพรรษาที่วัดป่ากลางโนนภู่ อีก ๑ พรรษา ได้สร้างเสนาสนะและเทศนาธรรมสั่งสอนชาวบ้านให้เกิดศรัทธาความเลื่อมใส ส่วนในการปฏิบัติภาวนานั้น หลวงปู่ฉลวยจะมีนิมิตภาพเจดีย์ของวัดใหญ่ชัยมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา ปรากฏอยู่เสมอ ท่านจึงเกิดความสงสัยว่าวัดใหญ่ชัยมงคลกับท่านนั้นมีความสัมพันธ์อะไรกันหนอ เมื่อออกพรรษาแล้วหลวงปู่ฉลวยจึงชักชวนหลวงปู่ก้านออกเดินธุดงค์กลับมายัง จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีสามเณรติดตามมาด้วยองค์หนึ่ง สำหรับวัดป่ากลางโนนภู่หลวงปู่ฉลวยได้นิมนต์ พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินโน มาเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา

    สำหรับ “พิพิธภัณฑ์ศาลาที่พักอาพาธพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พ.ศ. ๒๔๙๒” วัดป่ากลางโนนภู่ บ้านกุดก้อมนั้น เป็นอาคารไม้ซึ่งเป็นกุฏิที่ท่านพระอาจารย์มั่นใช้พักในคราวอาพาธระยะสุดท้าย เป็นเวลา ๑๐ วัน ก่อนจะไปมรณภาพที่วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร ในคืนเดียวกับที่ได้อาราธนาองค์ท่านมายังวัดป่าสุทธาวาส ภายในพิพิธภัณฑ์ศาลาที่พักอาพาธพระอาจารย์มั่นฯ มีการจัดแสดงบริขารของท่านพระอาจารย์มั่นที่องค์ท่านเคยใช้ในคราวมาพักอาพาธอยู่ที่วัดแห่งนี้ อันได้แก่ แคร่คานหามที่ได้ใช้อาราธนาองค์ท่านจากวัดป่าบ้านหนองผือ มาที่วัดป่ากลางโนนภู่แห่งนี้, เตียง, มุ้ง, กลด, ที่นอน, ประทุน ฯลฯ รวมทั้ง ยังได้จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับชีวประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ตลอดจนเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป, รูปหล่อเหมือนท่านพระอาจารย์มั่น, ภาพถ่ายประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าที่หาชมได้ยาก, พระบรมสารีริกธาตุ, อัฐิธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น, อัฐิธาตุของพ่อแม่ครูบาอาจารย์สายพระป่ากรรมฐาน, อัฐิธาตุของอดีตเจ้าอาวาส คือ พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน และพระอาจารย์กว่า สุมโน เป็นต้น

    เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) แห่งวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ได้เมตตามาเป็นองค์ประธานเปิดพิพิธภัณฑ์ศาลาที่พักอาพาธพระอาจารย์มั่นฯ และบรรจุอัฐิธาตุของท่าน พร้อมทั้งมารับผ้าป่าช่วยชาติในคราวเดียวกัน นับแต่นั้นมาพิพิธภัณฑ์ศาลาที่พักอาพาธพระอาจารย์มั่นฯ แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนาสืบต่อมา
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=29551
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงปู่ก้าน วัดเขาต้นเกตุ
    ให้บูชาองค์ละ 300บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    ลป.ก้าน.jpg ลป.ก้านหลัง.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2020
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    %B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3.jpg

    หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ศิษย์เอกของ "หลวงปู่ทิม
    อิสริโก" อดีตเกจิอาจารย์ ชื่อดังแห่งวัดระหารไร่ จ.ระยอง ต้นตำรับ
    "ขุนแผนผงพรายกุมาร" อันลือลั่นสนั่นวงการ พระเครื่อง
    ได้เมตตาให้สัมภาษณ์พิเศษ ทีมข่าวพระเครื่อง "คม ชัด ลึก" เกี่ยวกับการ
    สืบทอด วิชาคาถาอาคมต่างๆ จากหลวงปู่ทิม ตลอดจนการสร้างศาสนวัตถุ
    โดยเฉพาะ "พิพิธภัณฑ์ยันต์" แห่งแรก และแห่งเดียว ในเมืองไทย
    เชิญติดตามอ่าน กันได้โดยพลัน...
    ไม่ทราบว่า หลวงพ่อไปร่ำเรียนวิชากับ "หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่"
    ได้อย่างไรครับ?
    อาตมาเป็นคนที่นี่ (บ้านหนองกรับ อ.บ้านค่าย
    อยู่ห่างจากวัดระหารไร่ประมาณ 10 กิโลเมตร) ไปหาท่านครั้งแรก
    ตอนนั้นอาตมาอายุประมาณ 15 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยม
    ก็เข้าไปอยู่ที่วัดระหารไร่ ไปกินนอนที่วัดเลย ไปรับใช้หลวงปู่ทิม
    โดยได้ขออนุญาตจากทางบ้านแล้ว
    ตอนนั้น หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าหลวงปู่ทิมมีวิชาคาถาอาคมแก่กล้า
    เพราะหลวงปู่ทิมก็เพิ่งมีชื่อเสียงในช่วงที่ชราภาพมากแล้ว ซึ่งตอนที่
    หลวงพ่อได้เจอท่าน ตอนนั้น หลวงปู่ทิมก็ยังไม่แก่เท่าไหร่ ใช่มั้ยครับ
    อาตมาก็ดูจากที่ท่านปฏิบัติ อาตมาดู และเห็น เรื่องอย่างนี้
    มันขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณ ของแต่ละคน
    เมื่อตอนที่หลวงพ่อได้พบกับ "หลวงปู่ทิม" ครั้งแรก ตอนนั้นหลวงพ่อ
    รู้สึกอย่างไรบ้างครับ?
    ท่านปฏิบัติดี อาตมาเห็นแล้วก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา
    มีความรู้สึกว่าหลวงปู่ทิม ไม่ใช่พระธรรมดา
    จึงได้ฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน โดยโยมพ่อกับโยมแม่ได้
    ถวายอาตมาให้เป็น "บุตรบุญธรรม" ของหลวงปู่ทิม จากนั้น จะขออะไร
    จะเรียนอะไร ก็จะได้ทั้งหมด
    เพราะปกติท่านจะไม่ค่อยถ่ายทอดวิชาให้กับใคร
    ทำไม "หลวงปู่ทิม" จึงไม่ค่อยยอมถ่ายทอดวิชาให้ใครง่ายๆ ล่ะครับ
    ท่านกลัวว่าเมื่อถ่ายทอดวิชาให้คนที่เรียนไปแล้ว กลัวไม่เอาไปใช้จริง
    สมัยนั้น คงจะมีผู้คนมาขอเรียนวิชากับหลวงปู่ทิมเยอะสิครับ
    ก็เยอะ แต่หลวงปู่ท่านจะดูลักษณะคนด้วยว่า ใครจริงจังจะศึกษา
    คาถาอาคมก่อนเป็นอันดับแรก เพราะถ้าเรียนไปแล้วไม่เอาจริงไม่มีความสนใจ
    และไม่เอาไปใช้ มันทำให้เสียเวลาในการแนะนำหรือสอน ท่านก็จะหมดกำลังใจ
    คือ การที่ท่านจะท่องจำนั้นไม่ไหวแล้ว
    หรือบางครั้งเรียนไปแล้วไม่เอาไปใช้
    ก็ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงกับอาจารย์ผู้สอนไปด้วย ดังนั้น ท่านจะดูคน
    ถ้าคนไหนจะเอาจริงๆ ก็ต้องมีความเพียรจริงๆ
    นานมั้ยครับหลวงพ่อ กว่าที่หลวงปู่ทิมจะยอมถ่ายทอดวิชาให้หลวงพ่อ?
    ไม่นาน เพราะว่า ท่านดูจากลักษณะว่า มีแววเอาจริง
    มีแววอย่างไรครับ?
    ท่านคงเห็นว่าอาตมาเอาจริง และมุ่งมั่น โดยให้อาตมาไปเขียนผ้ายันต์มา 1
    บททุกวัน และก็บอกว่าให้ไปท่องจำ โดยจะต้องจำให้ได้
    พอท่องจำได้แล้วก็มาท่องให้ท่านฟัง
    จากนั้น ทำอย่างไรต่อครับ?
    เมื่อเขียนบทที่ 1 เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เริ่มเขียนบทที่ 2
    พอเขียนเสร็จแล้วก็มาทบทวนท่องให้ท่านฟังอีก ท่องจนกว่าจะจำได้
    ท่านก็จะให้ท่องจำทุกบท ทำอยู่อย่างนี้ประมาณ 4-5 ปี
    หลวงพ่อทำแบบนี้อยู่กี่ปีครับ
    จำไม่ค่อยได้ แต่รู้ว่านานหลายปีเลยทีเดียว
    ซึ่งตรงนี้ทำให้อาตมาจำคาถาได้เยอะ และทำให้อาตมาจำได้ดี
    แต่คาถามีอยู่เยอะมาก ก็จำได้ไม่ได้ทั้งหมดหรอก
    มันมากมายกว่าที่เราจะจำได้ จึงได้มีการซิกแซก
    อาจารย์เลยท้าพูดกันง่ายๆ เลย
    ทำอย่างไรครับหลวงพ่อ
    พออาจารย์เผลอเราก็แอบเอาตำราเข้าห้องเลย เพราะเรารู้ว่า
    ตำราเล่มไหนเราเขียนไปแล้ว เราก็จะไม่ เขียนซ้ำ จะเอาหยิบไปวางไว้เอง
    ท่านไม่รู้หรอก เราก็เขียน เล่มต่อไปอีก พออาจารย์เผลอ
    เราก็เอาไปไว้ที่เดิม แล้วเอาเล่มใหม่ มาเขียนต่ออีก
    แต่สิ่งที่เราเรียน และท่องจำ มาทั้งหมดนั้น เราเข้าใจทุกอย่างแล้ว
    พออาจารย์รู้ ท่านก็ถามว่าเอาตำราไปใช่ไหม
    เนื่องจากแกสังเกตจากกองที่ตั้งหนังสือ มันไม่เรียงกัน
    เราก็ยอมรับว่าใช่ แต่ก็ได้บอกท่านว่า ตำราที่เรียนกับอาจารย์
    ด้วยวิธีการท่องจำอย่างเดียวคงไม่ไหว เพราะมีมากมายเหลือเกิน
    จึงต้องลอก จากอาจารย์เก็บไว้ ท่านก็ไม่โกรธ
    เพราะว่าท่านเข้าใจว่าเราเอาไปก็ต้องได้ใช้ ในที่สุด ท่านก็บอกว่า
    ท่านก็เรียนมาแบบนี้เหมือนกัน (หัวเราะ) ถ้าอย่างนั้น
    เราก็ตีจบไปเลยว่า เราไม่ผิด (หัวเราะ)
    แล้วหลวงปู่ทิม ท่านไปเล่าเรียนวิชามาจากที่ไหนครับ?
    หลวงปู่สิม วัดบ้านซ่อง อำเภอวันทอง จังหวัดชลบุรี
    ที่เป็นศิษย์สายเดียวกับหลวงปู่ทิมก็มี หลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม
    และหลวงปู่ม่น วัดเนินตาหมาก
    หลวงปู่ทิมเคยพูดถึงเรื่องอภินิหาร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
    ให้หลวงพ่อฟัง บ้างมั้ยครับ
    อันนี้ ท่านไม่เคยพูดให้ฟังเลย
    แล้วหลวงพ่อไม่ถามหลวงปู่ทิมบ้างเลยหรือครับ ว่าวิชาคาถาอาคมต่างๆ
    ที่เรียนมานี้ มีความศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ อย่างไร?
    อาตมาก็ถามเหมือนกัน แต่ท่านไม่บอก ท่านบอกว่าก็ทำไปแล้วจะรู้เอง
    ขอให้ฝึกจิตใจของตัวเองไปให้สงบ เดี๋ยวก็รู้เอง คนอื่นจะรู้ด้วยไม่ได้
    นอกจากตัวเอง
    แล้วหลวงพ่อเคยเห็น "อภินิหาร" ของหลวงปู่ทิมบ้างไหมครับ?
    ไม่เคยมีนะ เห็นท่านเป็นพระธรรมดาๆ รูปหนึ่งเท่านั้น
    และท่านก็เป็นพระเงียบๆ แต่ก็พอคุยได้เหมือนกัน จริงๆ
    จะว่าไม่มีในเรื่องอภินิหารเลยก็ไม่ใช่นะ ก็มีเหมือนกัน
    มีอภินิหารอย่างไรครับหลวงพ่อ?
    ตอนนั้นเป็นเวลากลางวัน ประมาณบ่ายโมง แกเอาผ้าพาดบ่าไปสรงน้ำ
    สมัยก่อนวัดระหารไร่จะมีบึง และเป็นป่าเยอะ ไม่เหมือนปัจจุบัน
    แกก็ไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เราก็จะเข้าไปคุยด้วย
    เพราะเห็นว่าท่านนั่งตากลมอยู่คนเดียว
    จากนั้นก็ได้นั่งคุยกันไปคุยกันมาตามอัธยาศัย
    คุยกันเป็นชั่วโมงเหมือนกัน แล้วแกก็หยุดคุย จากนั้น
    แกก็เอามือแหย่ลงไปในน้ำแล้วก็ดีด 2-3 ครั้ง
    ครู่เดียวปลาก็วิ่งมาเป็นฝูงเลย
    ปลาวิ่งมาหาหลวงปู่ทิมเป็นฝูงเลยเหรอครับ
    ปลาหลายชนิดได้ว่ายมาหาแกนั่นแหละ อาตมาไม่ว่าอะไร ก็นั่งดูเฉยๆ
    ท่านก็ดีดอีก ปลาก็วิ่งเข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก
    ด้านหน้าที่มีแต่ปลาทั้งนั้น ท่านก็ไม่ว่าอะไรเฉยอย่างเดียว
    เสร็จแล้วสักพักก็ขึ้นไปบนศาลา อาตมาก็ไม่ได้ถามอะไรท่านในตอนนั้น
    หลังจากนั้นประมาณ 2-3 อาทิตย์ อาตมาจึงได้เข้าไปนั่งพูดคุย
    กับท่านด้านนอกกุฏิ ระหว่างคุยไปคุยมา พอได้จังหวะดี เห็นแกอารมณ์ดี
    ยิ้มแย้มแจ่มใส จึงได้ถามท่านว่า
    "หลวงพ่อวันที่ฉันได้นั่งคุยกับหลวงพ่อ อยู่ริมบึงวันนั้น
    เพราะเหตุใดปลาถึงวิ่งมาหาได้?" ท่านก็บอกว่า "มันมาดูเรามั้ง"
    ท่านก็ว่าอย่างนั้น (หัวเราะ) อาตมาก็ถามท่านต่อว่า
    ผมก็เดินมาหลายครั้ง แต่ไม่เห็นปลามันวิ่งมาดูเลย
    ผมว่าหลวงพ่อต้องมีอะไรสักอย่าง เมื่อคุยไปคุยมาท่าน
    ก็ว่าไม่มีอะไรหรอก แต่เราก็ตื้ออยู่นาน เมื่อถามไปถามมา ก็บอกว่ามี
    มีอะไรครับ
    ก็มีคาถา เป็นคาถาเรียกงูเรียกปลา จากนั้นก็คุยเรื่องอื่นต่อไป
    เพราะรู้แล้วว่ามีแน่ จากนั้น พออาตมาบวชมาได้ 2-3 พรรษา
    ก็ได้ขอวิชานี้กับท่าน ขอนับสิบครั้งเห็นจะได้ แต่ก็ไม่ให้
    ทำไมหลวงปู่ทิมจึงไม่ยอมถ่ายทอดวิชานี้ให้หลวงพ่อล่ะครับ?
    เพราะว่าคงหวงวิชา แต่ที่ขอแล้วก็เฉย ถ้าแกตอบว่า อย่าเอาเลย
    เราก็คงไม่ตอแยแน่ จนในที่สุด เมื่อแกใกล้จะมรณภาพ แกถึงบอกว่า
    วิชานี้อย่าเอาเลย ขอให้ติดตัวแกไป
    เพราะอะไรครับหลวงพ่อ
    ถ้าคนเอาไปใช้ไม่มีสัจจะ ก็จะอันตรายมาก
    เพราะวิชานี้ไม่ได้ใช้เรียกปลาเท่านั้น สัตว์ทุกชนิด ถ้าตั้งใจจะเอา
    ก็จะได้ทุกอย่าง แม้แต่คนก็สามารถเรียกมาได้ ถือเป็นคาถาที่อันตราย
    เพราะถ้านำใช้ไปในทางไม่ดี ก็อันตรายมาก สาเหตุนี้
    ท่านจึงไม่ยอมให้ใครเลย
    แกบอกว่าอย่าเอาเลย แต่อย่างอื่นแกให้ทุกอย่าง จริงๆ
    เราเสียดายก็เสียดาย แต่แกบอกอย่าเอาเลย พอตกกลางคืนก็เอาอีกนะ
    ถามแกว่า ไอ้วิชาที่ว่านี้มันเป็นอย่างไร
    ผมอยากรู้วิชาที่ดีมันว่าอย่างไร ถึงผมได้ ผมก็ไม่เอาไปใช้หรอก
    และจะไม่ให้ใครด้วย แกก็บอกว่า คนเราเอาแน่นอนที่ไหนได้
    อนิจจังของคนไม่แน่นอน ในยามถูกใจก็ดี ในยามไม่ถูกใจก็ดี
    แสดงว่าหลวงปู่ทิมกลัวจะมีคนนำคาถานี้ไปใช้ในทางไม่ชอบ?
    ใช่ อาจมีการนำไปใช้อย่างไม่ถูกไม่ต้อง ความมุ่งหมายของแกรู้
    ฉันก็แทงใจแกถูก (หัวเราะ) ถ้าให้ฉันแล้วเรื่องของเรื่อง คือ
    แกกลัวฉันจะสึก และมันมีเขียนไว้ในสมุดข่อย แกก็ทำลายทิ้งไป แต่เราเห็น
    ก็หยิบเอามาต่อกัน ผิดบ้าง ถูกบ้างแต่ก็อ่านไม่รู้เรื่อง
    แต่ฉันสันนิษฐานว่า คาถานี้ ไม่น่าจะเกิน 5 คำ
    แล้วพระ "ขุนแผนผงพรายกุมาร" ล่ะครับ หลวงปู่ทิมท่านทำอย่างไรครับ?
    ขุนแผนนี้ท่านได้มาสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2517
    ช่วงก่อนที่แกจะมรณภาพไม่กี่ปี ที่ทำก็เพราะมีไวยาวัจกรของวัด
    แกก็คิดว่าจะทำขุนแผน จึงไปปรึกษากับหลวงปู่จะทำอย่างไรดี แกก็ไม่บอก
    กลุ่มพวกนี้ก็หัวใสอยู่แล้ว
    ก็ไปเอาแบบที่จะสร้างขุนแผนมาให้ท่านดูว่าควรสร้างแบบไหนดี
    แบบนี้ได้ไหม แบบนั้นได้ไหม ในที่สุดก็จึงได้สร้างขุนแผนขึ้นมา
    เพื่อจะได้นำเงินมาก่อสร้างบำรุงวัด เนื่องจาก
    เมื่อก่อนบริเวณวัดแห่งนี้เป็นป่าทั้งนั้น
    หลวงปู่ทิมเป็นคนบอกให้ใช้ "ผงพรายกุมาร" มาทำใช่มั้ยครับ
    ไม่ใช่ แต่มาจากลูกศิษย์ อันนี้ ก็ได้ปรึกษาหารือกันแล้ว
    ว่าจะทำอย่างนี้ อย่างนี้นะ แล้วก็นำไปปรึกษาหารือกับหลวงปู่ทิม
    ว่าจะทำได้ไหม แกก็บอกว่าได้ ถ้ามีความสามารถทำมาได้ แกก็ทำให้ได้
    พวกลูกศิษย์ก็จึงไปจัดหากันมา เพราะคนตายสมัยนั้นเขาจะเอาฝังดิน
    ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ไม่มีการฝังแล้ว โยมปูน
    สัปเหร่อของวัดในสมัยนั้นก็เป็นคนไปเอาผงพรายกุมารมา ก็จะเป็น "ลิ้น"
    กับ "เส้นผม" ของเด็กที่อยู่ในท้องแม่ที่ตายท้องกลม
    แต่ไม่ได้เอาหัวกะโหลกอะไร
    ลูกศิษย์เป็นคนจัดการเองทั้งหมดเลยใช่ไหมครับ?
    ลูกศิษย์จัดการเอง โดยท่านไม่ได้บอก พวกนั้นได้ไปขุดหากันมา
    อย่างเส้นผมก็จะเอามาซอย ส่วนลิ้นก็จะเอาไปย่างแล้ว เอามาบด ให้ละเอียด
    แล้วก็เอามาให้ท่าน ซึ่งทางท่านก็มีส่วนผสมอยู่แล้ว
    เมื่อเอามาผสมกันแล้ว ก็ทำการปลุกเสก
    ที่จริง พลังจิตของท่านที่มีเจตนาเป็นกุศลแรง เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว
    ไม่จำเป็นต้องใส่ผงพรายกุมาร แต่ถ้ามีการใส่ผงพรายกุมารนี้ลงไป
    เขาบอกว่าถ้าทำอะไรผิดแหวกแนว คนใหม่ๆ มันชอบ มันก็เชื่อ เป็นอุปทานไป
    ตอนนั้น หลวงปู่ทิมปลุกเสกขุนแผนผงพรายกุมาร นานแค่ไหนครับ?
    ท่านปลุกเสกคนเดียว ประมาณ 1 อาทิตย์เศษๆ แล้วเขาก็เอาออกมาใช้กัน
    วิชาการสร้างขุนแผนผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม
    ก็ตกทอดมาถึงหลวงพ่อด้วยใช่มั้ยครับ?
    อาตมาก็ได้เรียนกับท่านมา และได้มาแบบท่านไม่ได้หวงเลย
    อาตมาไม่ได้อย่างเดียว คือ คาถาที่เรียกปลาเท่านั้นแหละ
    อย่างผงพรายกุมาร อาตมาก็ได้จากท่านมาบางส่วน
    ก็ขอท่านไว้หลังจากที่ท่านทำพิธีปลุกเสก เพราะตอนนั้น
    อาตมาก็ช่วยเขาทำอยู่ด้วย แต่ก็ได้มานิดเดียว ค่อนๆ ตลับยาหม่องเล็กๆ
    พออาตมาสร้างพระขุนแผน ก็เอาผงพรายกุมารที่ได้มาใส่เป็นเชื้อ
    แล้วก็จะหาผงอย่างอื่นเอามาผสมกัน
    วิชาเหล่านี้ นอกจากจะมีดีตามความเชื่อของแต่ละคนแล้ว
    จะมีผลที่ไม่ดีอะไรบ้างมั้ยครับ?
    อะไรที่เกี่ยวกับผี มันไม่ดีหรอก บอกได้เลยว่าไม่ดี
    ถ้าสมมติว่าเราทำให้ใครใช้ หากเราบังคับมันไม่อยู่ ไอ้คนใช้ก็จะอันตราย
    เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ฉันเรียนมาก็จริง แต่ตัวฉันไม่เอานะ
    เข้ากับผี ไม่ว่าจะเป็นกระดูกหรืออะไร
    หลวงพ่อก็ทำได้ แต่ไม่ทำ
    ทำได้ เนื่องจากวิชาเหล่านี้เรียนมาทั้งนั้น แต่ไม่ทำ
    อะไรที่เกี่ยวกับผีเป็นไม่เอา จะเป็นสีผึ้ง หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่เอา
    มันจะเป็นอันตรายที่เกิดขึ้นได้ เพราะถ้าทำไม่ดี คนๆ
    นั้นอาจถึงขั้นวิปริต เสียสติไปเลย
    ส่วนพระขุนแผน พวกผงพรายกุมารนั้น ต้องเรียกว่าคนทำ คือ
    หลวงปู่ทิมท่านเก่ง ท่านบังคับอยู่เลย ท่านเสกบังคับไว้เสร็จเลย ฉะนั้น
    คนที่จะทำต่อไป ถ้าไม่แน่จริงอย่าไปทำ มันเป็นอันตรายถือว่าเล่นกับผีนะ
    เดี๋ยวเสกบังคับไม่ได้ ก็ยุ่งเลย
    แล้วคาถาที่หลวงปู่ทิมเสกบังคับเอาไว้ ไม่มีเสื่อมบ้างหรือครับ
    มันไม่เสื่อมหรอก เหมือนโบราณเขาว่าไว้ว่า ถ้าทำได้แน่จริง ดีจริงๆ
    มันไม่เสื่อมหรอก เช่นเดียวกับเพชรที่ตกไปในตม
    เอาขึ้นมาล้างมันก็คือเพชร ไม่เสื่อมหรอก
    ได้ข่าวว่า ตอนนี้ หลวงพ่อกำลังจะสร้าง "พิพิธภัณฑ์ยันต์"
    ขึ้นมาที่วัดหนองกรับ ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรครับ?
    ก็จะสร้างเป็นอาคาร 3 ชั้น ชั้นล่างก็จะเป็นกุฏิ
    ไว้ต้อนรับญาติโยมที่เดินทางมาทำบุญที่วัด ชั้น 2 ก็จะทำเป็นพิพิธภัณฑ์
    ส่วนชั้น 3 จะใช้เป็นที่เก็บวัตถุมงคลต่างๆ ที่ได้ปลุกเสกแล้ว
    พิพิธภัณฑ์นี้จะใช้เวลาสร้างประมาณ 3 ปีได้ อาตมาคาดว่า
    เดือนพฤษภาคมปีนี้จะเสร็จสมบูรณ์
    พิพิธภัณฑ์ที่ว่านี้ เมื่อเสร็จแล้วจะเป็นแบบไหนครับ?
    จะทำเป็นที่เก็บเฉพาะ "ยันต์" เท่านั้น
    จะเป็นยันต์ขนาดใหญ่ที่ดูแล้วสวยงาม เป็นยันต์ที่อาตมาเขียนเองทั้งหมด
    ส่วนใหญก็เป็นยันต์ที่ได้เรียนมาจากหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ก็มียันต์
    หนุมาน ยันต์ชูชก และเป็นยันต์พวกดาวเดือน ฯลฯ ยันต์ต่างๆ
    ก็จะมีอยู่ในตำรา ลอกจากตำราแล้วเอาไปปั้นติดผนังเลย
    และคิดว่าถ้าปั้นจะแลดูขลังกว่า จะนูนออกมาสวยกว่า
    โดยจะมีการเขียนตัวหนังสือออกมาก่อน
    แล้วเอามาแกะตัวหนังสือทำแม่พิมพ์เลย แล้วเทเป็นตัวๆ ไปเลย ก ข ค ง จ ธ
    ท น ฯลฯ ไอ้เส้นยันต์เราก็เทเป็นร่องๆ ไป ประมาณ 40 ซม. หรือ 30 ซม.
    การเขียนยันต์ หลวงพ่อเรียนจากหลวงปู่ทิมท่านเดียวเลยเหรอครับ
    อาตมาก็ไปเรียนกับอาจารย์เรียง อยู่ที่กรมศิลปากรด้วย
    ก็ไปเรียนกับท่านตั้งแต่อายุประมาณ 15 ปี สมัยนั้น
    ท่านอาจารย์เรียงมาทำงานอยู่แถวชลบุรี
    ท่านก็เริ่มให้ฝึกตั้งแต่การแกะสลักไม้ หลังจากนั้นก็ได้ฝึกเขียนยันต์
    ส่วนใหญ่จะให้หัดเขียนเป็นลายไทย พวกลายกนกต่าง ๆ
    ก็เรียนอยู่กับอาจารย์เรียง ประมาณ 5 ปีเห็นจะได้
    ก็เป็นพื้นฐานในการเขียนยันต์ต่างๆ ในเวลาต่อมา
    เครื่องรางของขลังต่างๆ มีประโยชน์อย่างไรบ้างครับหลวงพ่อ
    ให้เป็นพุทธานุสติ ให้มีการระลึกถึงสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ คือพระพุทธ
    พระธรรม พระสงฆ์ ให้ระลึกนึกถึงคุณงามความดี
    ไอ้ประโยชน์ของเขามันมองไม่เห็น แต่กรณีฉุกเฉิน
    มันก็สามารถทำให้เราแคล้วคลาดจากอันตรายต่างๆ ไปได้
    หรือบางครั้งจากหนักก็ให้เป็นเบาได้ เรื่องแบบนี้พูดยาก
    ขึ้นอยู่กับความเชื่อ หรือคนต้องประสบเอง
    ในทางกลับกัน เครื่องรางของขลังต่างๆ มีโทษบ้างมั้ยครับ
    ถ้านำไปใช้ในสิ่งที่ผิด ก็จะเกิดโทษ เช่น คนที่ได้เครื่องรางของขลัง
    ไปแล้วคิดว่าตัวเอง ดีแล้ว เหนียวแล้ว คงกระพันแล้ว ก็เกิดความประมาท
    บางทีก็ไปหาเรื่องหาราวคนอื่น อย่างนี้ก็เป็นโทษ แต่ถ้าคนเรา
    เอาเครื่องราง ของขลังเอาไปใช้อย่างไม่ประมาท เอาไว้คุ้มครองตัวเอง
    เอาไว้เป็นที่ระลึก เป็นพุทธานุสติ คงไม่มีปัญหา
    ทีมข่าวพระเครื่อง "คม ชัด ลึก"
    (เน้นคำพูด-ตัวใหญ่)พระขุนแผนผงพรายกุมารนั้น ถ้าไม่แน่จริง อย่าไปทำ
    มันเป็นอันตราย ถือว่าเล่นกับผีนะ เดี๋ยวเสกบังคับไม่ได้ ก็ยุ่งเเลย
    อะไรที่เกี่ยวกับผี มันไม่ดีหรอก เพราะถ้าคนทำ เสกบังคับมันไม่อยู่
    ไอ้คนใช้ก็จะอันตราย"

    หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่
    จังหวัดระยองเป็นเกจิที่ประชาชนกำลังให้ความนิยมสูงสุดอยู่ในขณะนี้ท่านเป็นพระที่มีศิลลาจารวัตรงดงามและ

    มีพุทธาคมอันแก่กล้าไม่ว่าจะเป็นด้านคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม มหาลาภแคล้วคลาด
    ซึ่งปรากฏได้ประจักษ์มาแล้วในผู้ที่เคารพนับถือและมีวัตถุมงคลของ
    ลป.ทิมไว้บูชาซึ่งในปัจจุบันวัตถุมงคลของหลวงปู่เป็นที่เสาะแสวงหากันมากทั้งประชาชนทั่วไปและบุคคลในวงกา

    รพระเครื่อง
    ผู้ที่มีอยู่ต่างก็หวงแหนเพราะประสบการณ์ที่ประสบมาด้วยตัวเองจึงทำให้เกิดแรงศรัทธาอันสูงสุด
    แม้ลป.ทิมจะล้วงลับไปแล้ว แต่ความศักดิ์ก็ยังคงอยู่ ความศรัทธาจากประชาชนมิได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด
    เมื่อครั้งที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่มีลูกศิษย์ลูกหาหลวงปู่หลายท่านได้ถามหลวงปู่ว่า?หลวงปู่ครับ
    เมื่อสิ้นหลวงปู่แล้วพวกกระผมจะพึ่งพิงพระรูปใดได้บ้าง?หลวงปู่ทิมได้ชี้ไปที่พระหนุ่มรูปหนึ่ง
    ซึ่งในวันนั้นได้มาปฏิบัติหลวงปู่อยู่ด้วย?โน่น ท่านสาคร เขาเรียนของไว้เยอะ
    ท่านสาครที่หลวงปู่พูดถึง ก็คือหลวงพ่อสาคร มนุญโญ วัดหนองกรับศิษย์เอกหลวงปู่ทิม
    ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมไว้จนหมดสิ้น
    พระครูมนูญธรรมวัตรหรือหลวงพ่อสาครศิษย์เอกผู้สืบทอดพุทธาคมจากหลวงปู่ทิม อิสริโก
    เป็นผู้ฝักใฝ่ในด้านเวทย์มนต์คาถาอาคมและวิชาแพทย์แผนโบราณมาตั้งแต่เด็กๆ
    นามเดิมว่า สาครไพสาลี เกิดในกระกูลชาวไร่-ชาวนา เมื่อวันอังคาร แรม ๙ ค่ำ เดือน ๓ ตรงกับวันที่ ๓
    กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑ ซึ่งตรงตามคติโบราณที่ว่าบุคคลนั้นจะมีความพิเศษอยู่ในตัว
    หากถือปฏิบัติก็จะพบกับความสำเร็จเจริญยิ่งๆขึ้นไปหากร้ายก็จะร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้และบุคคลที่เกิด

    ในราศีนี้จิตจะฝักใฝ่ด้านไสยศาสตร์เวทย์มนต์คาถา
    โยมบิดาชื่อ นายกุ โยมมารดาชื่อนางนิด หลวงพ่อสาครเกิดที่บ้านท้ายทุ่ง หมู่สอง๒ ต.หนองกรับ อ.บ้านค่าย
    (บ้านท้ายทุ่งแห่งนี้เป็นสถานที่เดียวกับบ้านเกิดของลป.ทิม)
    หลวงพ่อสาครมีพี่น้องทั้งหมด๒คนคือ

    ๑.นางอยู่ ไพสาลี
    ๒.หลวงพ่อสาคร
    หลวงพ่อสาครได้เข้าศึกษาเบื้องต้นในชั้นประถมปีที่ ๑
    เมื่ออายุได้๕ปีที่โรงเรียนวัดหนองกรับจนจบชั้นประถมปีที่๔ เมื่อพ.ศ. ๒๔๙๐
    ได้ออกมาช่วยโยมบิดา-มารดาประกอบอาชีพทำนาและเมื่อมีเวลาว่างก็จะออกเดินทางไปบ้านละหารไร่
    เพื่อศึกษาวิชาไสยศาสตร์กับโยมหล่อและโยมทัต ซึ่งทั้งสองถือว่าเป็นผู้เรืองวิชาอาคมในสมัยนั้น
    และเข้าปฏิบัติหลวงปู่ทิมอยู่เป็นนิจ
    ซึ่งนับว่าเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่หลวงปู่ให้ความเมตตาเรียกใช้อยู่เสมอด้วยนิสัยและความสนใจด้านไสยศาสตร์ม

    าแต่เด็กและโตขึ้นจึงเป็นคนหนุ่มที่มีวิชาอาคมติดตัวแต่ก็ได้ใช้วิชาที่ได้ร่ำเรียนมาไปทำร้ายใครกลับมีแต

    ่ช่วยเหลือเพื่อนๆรุ่นเดียวกันมาตลอด
    เมื่ออายุครบ ๒๐ปี
    โยมมารดาและญาติพี่น้องจึงได้ร่วมกันจัดพิธีอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุที่วัดหนองกรับเมื่อวันพุธที่ ๔
    มิถุนายน ๒๕๐๑
    โดยมีพระครูจันทโรทัย(หลวงพ่อดิ่ง)เป็นพระอุปัชฌายะเป็นพระกรรมวาจาจารย์และพระอธิการเคียง


    วัดไผ่ล้อมเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า?
    มนูญโญ?เมื่ออุปสมบทแล้วได้เดินทางไปจำพรรษาที่วัดละหารไร่และได้ฝากตัวเป็นศิษย์ลป.ทิมเพื่อศึกษาพระธรรม

    วินัยและพุทธาคมจากหลวงปู่ทิมอย่างจริงจังจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆจากหลวงปู่ทิมจนหมดสิ้นโดยมิไ

    ด้ปิดบังแต่อย่างใดเรียกได้ว่าเรียนได้กระจ่างชัดรู้จริงสามารถปฏิบัติได้
    เมื่อมีความเชี่ยวชาญในวิชาอาคมที่เรียนแล้วด้วยใจรักในด้านนี้จึงได้เสาะแสวงหาศึกษาวิชาอาคมจากลพ.เพ่ง
    สาสโน วัดละหารใหญ่ ซึ่งหลวงพ่อเพ่งรูปนี้เดิมเป็นมหาดเล็กในเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรเขตดุดมศักดิ์ฯ
    จึงได้ศึกษาวิชาอาคมจากหลวงปู่ศุข
    วัดปากคลองมะขามเฒ่ามีวิชาด้านคงกระพันธ์เป็นเยี่ยมเขียนอักขระลงบนแผ่นตะกั่วเพียงตัวเดียวให้คนทดลองยิง

    ก็ยิงไม่ออกเมื่อหลวงพ่อสาครได้ศึกษาวิชาอาคมจากหลวงพ่อเพ่งเป็นอย่างดีแล้ว
    ก็ได้รับคำแนะนำจากหลวงปู่ทิมให้ไปศึกษาวิชาจากหลวงปู่หิน
    วัดหนองสนมซึ่งหลวงพ่อสาครก็ได้รับความเมตตาจากหลวงปู่หินถ่ายทอดวิชาให้เป็นอย่างดีหลังจากศึกษาวิชาอาคม

    จากหลวงปู่หินแล้วหลวงพ่อสาสรก็เดินทางไปศึกษาวิชากับหลวงปู่โสม วัดบ้านช่อง อ.พานทอง
    จ.ชลบุรีซึ่งเป็นพระที่มีวิชาอาคมแก่กล้าอีกองค์หนึ่งของภาคตะวันออกหลวงพ่อสาครก็ได้ศึกษาจนกระทั่งจบกระ

    บวนท่า ด้วยนิสัยใฝ่รู้หมั่นศึกษา
    หลวงพ่อสาครได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากบรรดาเกจิอาจารย์ต่างๆอีกหลายองค์ อาทิ
    พ. ศ. ๒๕๐๓ ได้เดินทางไปศึกษากับอาจารย์เชียงคำ ที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า
    พ.ศ. ๒๕๐๖ ศึกษากับอาจารย์สิน วัดนาวัง อ.บางละมุง ชลบุรี
    พ.ศ. ๒๕๑๘ เดินทางไปศึกษากับอาจารย์สุพจน์ ที่ประเทศเขมร
    พ.ศ. ๒๕๒๓ ศึกษากับพระอาจารย์สุมล คำเสียง ที่จังหวัดศรีษะเกษ
    พ.ศ. ๒๕๒๕ ศึกษากับหลวงพ่อบุญเย็น วัดแจ้งนอก จ.นครราชสีมา
    พ.ศ. ๒๕๒๖ ศึกษากับหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
    พ.ศ. ๒๕๒๗ ศึกษากับหลวงพ่ออาคม วัดดาวนิมิตร จ.เพชรบูรณ์
    พ.ศ. ๒๕๒๘ ศึกษากับหลวงพ่อบึม วัดปราสาทกิน จ.ปราจีนบุรี
    ฯลฯ
    หลวงพ่อสาครยังได้ศึกษากับเกจิอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านไสยเวทย์ต่างๆอีกหลายท่านทั้งพระภิกษุและฆราวาส


    ในปีพ.ศ. ๒๕๐๘ พระครูเกลี้ยงธรรมถีโยเจ้าอาวาสลำดับที่๙วัดหนองกรับได้มรณภาพลง
    ทายกทายิกาชาวบ้านหนองกรับได้เดินทางไปหาหลวงปู่ทิมที่วัดละหารไร่เพื่ออาราธนาหลวงพ่อสาคร มนูญโญ
    ให้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองกรับ หลวงปู่ทิมได้อนุญาต
    หลวงพ่อสาครจึงมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองกรับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    ถึงแม้ว่าท่านจะมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองกรับก็มิได้ทอดทิ้งหลวงปู่ทิมผู้เป็นอาจารย์ยังคงเดินทางไปกราบนมั

    สการดูแลหลวงปู่อยู่เสมอจนกระทั่งหลวงปู่ทิมได้มรณภาพลงในปี๒๕๑๘หลวงพ่อสาครก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ในก

    ารจัดบำเพ็ญกุศลศพหลวงปู่ทิมอย่างเต็มที่สมกับที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิอย่างแท้จริงจนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาอื่นๆ

    ของหลวงปู่ทิมกล่าวยกย่องชมเชยหลวงพ่อสาครกันทั่ว
    หลวงพ่อสาครนอกจากจะสนใจศึกษาวิชาอาคมต่างๆแล้วท่านก็มิได้ทอดทิ้งในด้านการศึกษาพระธรรมวินัย
    และเมื่อรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนองกรับซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุกว่า๒๐๐ปีและเคยถูกไฟไหม้เผากุฏิเสนา

    สงฆ์จนวอดวายท่านก็มิได้ดูดายเมื่อมาเป็นเจ้าอาวาสก็ได้บูรณะและสร้างเสนาสนะใหม่ขึ้นมาเพื่อให้ภิกษุสงฆ์

    สามเณรและพุทธศาสนิกชนได้ใช้ปฏิบัติศาสนกิจต่อไปด้วย
    ความสามารถพิเศษของหลวงพ่ออีกอย่างหนึ่งคือมีความชำนาญในด้านปฏิมากรรมและวิจิตรศิลป์
    การแกะสลัก,การปั้นลวดลายและวาดภาพฝาผนังตลอดจนการลงรักปิดทอง
    ท่านจึงได้ลงมือบูรณะและก่อสร้างเสนาสนะถาวรวัตถุต่างๆด้วยตัวท่านเอง
    ในปีพ.ศ.๒๕๒๔ ได้รับพระราชทานเป็นพระครูชั้นโท
    ?พระครูมนูญธรรมวัตร?หลวงพ่อสาครได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.๒๕๐๘
    มีด้วยกันสองพิมพ์พิมพ์แรกเป็นสมเด็จรัศมีมีเนื้อผงใบลานเก่าสีดำหลวงพ่อได้นำใส่บาตรแล้วเผาไฟทำให้มีเนื

    ้อแกร่งและอีกพิมพ์หนึ่งเป็นรูปปั้นหลวงปู่ทิมเนื้อผงใบลานสีดำเนื้อเดียวกับสมเด็จพิมพ์รัศมี
    หลวงพ่อสาครได้นำออกมาแจกแก่ญาติโยมครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ในงานทอดผ้าป่า
    พระชุดนี้ได้ก่ออภินิหารอย่างมากมายช่วยคุ้มครองชีวิตแก่ผู้นำติดตัวมาแล้วหลายราย
    ต่อมาในปี๒๕๒๔หลวงพ่อสาครได้นำผงปัถมัง,ผงอิทธิเจที่ท่านเขียนเลขยันต์อักขระต่างๆ
    ,ผงของของหลวงปู่.ทิม,ผงอิทธิเจหลวงพ่อเพ่ง วัดละหารใหญ่,ผงปัดตลอดอาจารย์ภูเมือง,ผงพุทธคุณหลวงพ่อสิม
    วัดถ้ำผาปล่อง,ผงพุทธคุณครูบาคำหล้า จ.เชียงใหม่,ผงพุทธคุณอาจารย์มั่น,ผงวิเศษหลวงพ่อจง
    วัดหน้าต่างนอกและผงของเกจิอาจารย์ต่างๆที่หลวงพ่อได้ไปศึกษามาหลวงพ่อสาครได้นำผงเหล่านี้มาสร้างเป็นสมเ

    ด็จพุทธนิมิตซึ่งเป็นพระประธานในอุโบสถวัดหนองกรับหลังจากสร้างออกมาแล้วก็เป็นที่ฮือฮาขึ้นมาอีกครั้งเมื

    ่อทหารนาวิกโยธินนายหนึ่งได้เหยียบกับระเบิดจนตัวลอยละลิ่วเมื่อเพื่อนๆวิ่งไปดูทหารคนนั้นไม่เป็นอะไรเลย

    ในคอคล้องสมเด็จพุทธนิมิตองค์เดียวเท่านั้นจึงยกโขยงมาขอสมเด็จพุทธนิมิตจากหลวงพ่อไปเป็นจำนวนมาก

    หลังจากนั้นหลวงพ่อได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นอีกหลายพิมพ์ซึ่งก็ล้วนมีประสบการณ์ทั้งสิ้นจนทำให้วัตถุมงคลเหล

    ่านี้หมดไปจากวัดอย่างรวดเร็ว
    ในปีเดียวกัน(๒๕๒๔)หลวงพ่อสาครได้รับพระราชทานเป็นพระครูชั้นโท
    หลวงพ่อได้สร้างเหรียญปิดตารุ่นฉลองสมศักดิ์ขึ้นด้านหลังเป็นยันต์ห้าเหรียญรุ่นนี้เป็นที่โจษขานกันมาอีก

    รุ่นหนึ่งในบรรดาพ่อค้าแม่ค้าในจังหวัดระยองเหราะทำให้มีฐานะดีขึ้นมาทุกวันนี้เพราะเหรียญปิดตาหลวงพ่อสา

    ครนี่แหละ

    หลวงพ่อสาครนับว่าเป็นที่เจริญรอยตามคณาจารย์โดยแท้ด้วยศิลลาจารวัตรที่งดงามอีกรูปหนึ่งท่านเป็นพระที่สม

    ถะที่มากด้วยพระธรรมวินัยมีอาคมอันแก่กล้า
    หลวงพ่อสาคร มนูญโญ วัดหนองกรับนับว่าเป็นเพชรน้ำเอกอีกรูปหนึ่งที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือ
    ท่านเป็นพระผู้สืบสานอาคมจากหลวงปู่ทิมผู้เป็นอาจารย์มิขาดตกบกพร่อง

    *จากหนังสือเนื่องในวาระครบ๕รอบหลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ*
    http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=9128.0

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงหลวงพ่อสาคร วัดวัเป่าหวาย
    ให้บูชาองค์ละ100บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    ลพ.สาครกล่อง.JPG ลพ.สาคร.JPG ลพ.สาครหลัง.JPG
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เบอร์บัญชีผมครับ
    เบอร์บัญชีธ.กรุงไทย KTB125-0-08923-9 supachai thu

    โอนเงินแล้วช่วยแจ้งวันเวลาที่โอนในกระทู้เพื่อง่ายในการตรวจสอบ หรือทางPMไม่ต้องโพสหลักฐานให้เสียเวลา สมัยนี้โลกออนไลน์ตรวจสอบง่ายหลอกกันยาก แล้วจะรีบดำเนินการจัดส่งEMSไปให้โดยด่วนนะครับ..หลายรายการก็ค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    ติดต่อได้ที่ 08..1.70..4..72..64
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    หลวงพ่อมหาอาคม อินทสโร พระผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “อาคมขลังเมืองมะขามหวาน”

    หลวงพ่อมหาอาคม วัดดาวนิมิตร จ.เพชรบูรณ์ ท่านเป็นเจ้าของตำรับ ตะกรุดโทนคู่ชีวิต ประสบการณ์สูงทางด้าน คงกระพัน มหาอุตม์ ...ท่านเก่งเรื่องตะกรุดมาก ขนาดหลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับศิษย์เอกหลวงปู่ทิม และหลวงพ่อออด วัดอับสรสวรรค์ เจ้าของตำรับ"ฝังตะกรุดทองวิ่งได้ " ยังไปขอเีรียนวิชาลงตะกรุดกับหลวงพ่อมหาอาคมเลยครับ


    พระครูอนุรักษ์วาปีพิสัย (หลวงพ่อมหาอาคม อินฺทสโร)


    ชื่อเดิม : ชื่อ อาคม ตระกูล ประทุมทอง
    บ้านเกิด : วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2467 ณ บ้านโนนแดง หมู่ที่ 20
    ต.หนองแปง อ.กมลาพิไสย จ.มหาสารคาม(ปัจจุบันเปลี่ยน
    เป็น ต.ลำชี อ.กมลาพิไสย จ.กาฬสินธุ์)
    เป็นบุตรโทนของนายเคน และนางแดง(เสียชีวิตแล้วทั้งสองท่าน)


    บรรพชา/อุปสมบท : ปี พ.ศ.2487 อุปสมบทต่อเนื่องจากการบรรพชา
    โดยมิได้สึกแต่อย่างใด ณ วัดบ้านโนนแดง(วัดบ้านเกิด)
    โดย พระสารคามมุณี เป็นพระอุปัชฌาย์
    ได้รับฉายา “อินทสโร”



    การปกครอง/สมณศักดิ์
    พ.ศ.2494 เป็นเจ้าอาวาสวัดบุ้งน้ำเต้า และเจ้าคณะตำบลบุ้งน้ำเต้า อ.หล่มสัก
    พ.ศ.2519 เป็นเจ้าอาวาสวัดราหุล อ.บึงสามพัน และได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
    พ.ศ.2525 เป็นพระครูสัญญาบัตรพัดยศ ชั้นโท ที่ “พระครูอนุรักษ์วาปีพิสัย” และเป็นเจ้าคณะอำเภอบึงสามพัน พร้อมทั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดดาวนิมิต
    พ.ศ.2530 เป็นเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
    เรื่องราวของ “หลวงพ่อมหาอาคม อินทสโร” พระผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “อาคมขลังเมืองมะขามหวาน” หากจะว่ากันให้ละเอียดแล้ว 2 ฉบับ ก็ไม่หมดเนื้อหา ดังนั้นต้องกราบขออภัยที่ต้องย่อเรื่องให้กระชับ แต่อย่างไรก็ตามผมจะพยายามให้รายละเอียดต่าง ๆ คงเดิม ตามที่ “ครูแดง” ให้ข้อมูลมาครับ


    กล่าวได้อย่างเต็มที่ว่า หลวงพ่อเป็นผู้ฝักใฝ่ในการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จะเห็นได้ว่าเมื่อเข้าเรียนขั้นมูลหรือชั้นประถมต้น เมื่อายุ 10 ขวบ พ.ศ. 2477 ณ โรงเรียนวัดโนนแดง ต.หนองแปง อ.กมลาไสย จ.มหาสารคาม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ใกล้บ้าน หลวงพ่อใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้นก็จบชั้นประถมปีที่ 4 ใน พ.ศ. 2480 และในปีรุ่ง พ.ศ.2481 ท่านก็ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านตูมชัย ต.หนองแปง ในแถบบ้านเกิดของท่าน ขณะนั้นท่านอายุเพียง 14 ปี


    และดังที่ได้เรียนไว้เบื้องต้น หลวงพ่อเป็นผู้ใฝ่การศึกษา ดังนั้นในการศึกษาพระปริยัติธรรม ท่านจึงพ้นอย่างสะดวกสบาย โดยในขณะอายุ 19 ปี ท่านก็สอบนักธรรมชั้นเอกเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนั้น ท่านยังได้เรียนบาลีไวยากรควบคู่ไปอีกจนแตกฉานกว่าสามเณรในวัยเดียวกัน และเพราะความที่ชอบในการศึกษา หลังช่วงว่างจากการศึกษาบาลีไวยากรแล้ว หลวงพ่อก็เริ่มศึกษาวิชาอาคมกับพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเขตจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งแต่ละเถรคณาจารย์จะเก่งทางด้านคงกระพันชาตรีและการขับภูติผีปีศาจ แก้คุณไสยต่าง ๆ อาทิ หลวงปู่ป้อ แห่งวัดบ้านเอียด ต.เขว้า อ.เมือง จ.มหาสารคาม แล

    24185-11364-jpg.jpg 24185-2dedb-jpg.jpg
    https://palungjit.org/threads/หลวงพ่อมหาอาคม-อินทสโร-วัดดาวนิมิต-จ-เพชรบูรณ์.269014/

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงหลวงพ่ออาคม วัดดาวนิมิต ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    upload_2019-11-24_19-58-42-jpeg.jpg

    หลวงพ่อสุวรรณ ธีรสัทโธ" แห่งวัดยาง ต.ห้วยไผ่ อ.แสวงหา จ.อ่างทอง พระเกจิอาจารย์เจ้าตำรับตะกรุดโทน ได้รับการยกย่องว่าเป็นเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้า เอกอุด้านวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว

    ได้รับสมญานามจากคณะศิษยานุศิษย์ที่เลื่อมใสศรัทธาว่าเป็น "เทพเจ้าแห่งแดนวีรชนใจกล้า"

    อัตโนประวัติ เกิดในสกุล บัวสรวง เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2487 ที่บ้านทับยา ต.บ้านไร่ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายอินและนางก้อย บัวสรวง ประกอบอาชีพกสิกรรมและค้าขาย

    ในช่วงวัยเยาว์ จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดบ้านไร่ ก่อนลาออกมาช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพ

    ย่างเข้าวัยหนุ่ม ได้ประกอบอาชีพเป็นตัวแทนขายเคมีภัณฑ์ตามที่ญาติแนะนำ

    กระทั่งอายุ 42 ปี เกิดความเบื่อหน่ายทางโลกและต้องการบวชทดแทนคุณบุพการี จึงเข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดคำหยาด อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง โดยมีพระครูเกษมจริยคุณ เจ้าคณะอำเภอเมืองอ่างทอง เจ้าอาวาสวัดไทรย์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูโฆสิษโชติคุณ เจ้าอาวาสวัดคำหยาด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระปลัดบุญยัง เขมปัญโญ วัดขุนอินทประมูล เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    เมื่ออุปสมบท ได้อยู่จำพรรษาที่วัดคำหยาด สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก และออกท่องธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศ ครั้งหนึ่งมีโอกาสไปพำนักที่วัดพรหมประกาสิต (ถ้ำสามพี่น้อง) ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ปฏิบัติกัมมัฏฐานบำเพ็ญเพียร

    เมื่อปฏิบัติธรรมสมหวัง จึงเดินทางมาจำพรรษาที่วัดคำหยาด ศึกษาร่ำเรียนสรรพวิทยาคมสายหลวงพ่อแป้น วัดบ้านไร่, หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี พระเกจิดัง ได้ถ่ายทอดวิชาให้อย่างครบถ้วน

    พ.ศ.2535 คณะสงฆ์จังหวัดอ่างทอง ได้มอบหมายให้ท่านบูรณปฏิสังขรณ์วัดยาง ต.ห้วยไผ่ อ.แสวงหา จ.อ่างทอง ตั้งอยู่ริมคลองห้วยไผ่ฝั่งตรงข้ามวัดโพธิ์เก้าต้น และอนุสรณ์สถานค่ายบางระจัน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี

    วัดยางถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่สมัยศึกบางระจัน เสนาสนะที่หลงเหลือมีเพียงวิหารฐานอ่อนโค้งอยู่ในสภาพปรักหักพัง ไม่มีหลังคา

    หลวงพ่อสุวรรณ ได้จัดสร้างตะกรุดเมตตามหานิยม แคล้วคลาดคงกระพัน เพื่อให้บูชารวบรวมจตุปัจจัย จนสามารถก่อสร้างอุโบสถ ศาลาการเปรียญ เมรุ กุฏิสงฆ์ หอสวดมนต์ อนุสรณ์สถานวีรชนไทยใจกล้า เป็นต้น

    หลวงพ่อสุวรรณ เป็นที่ยอมรับและศรัทธาของคณะศิษยานุศิษย์ เชื่อกันว่าท่านมีคาถาอาคมทรงพุทธคุณครอบจักรวาล โดยเฉพาะด้านเมตตามหานิยม และด้านมหาอำนาจปกป้องผองภัยสารพัด

    วัตถุมงคลของท่าน ล้วนแต่ได้รับความนิยมจากประชาชน เนื่องจากมีพุทธคุณครอบจักร วาล โดดเด่นหลายด้าน ที่ได้รับความนิยม คือตะกรุดที่ปรากฏปาฏิหาริย์แก่ผู้บูชา เอกลักษณ์เฉพาะสร้างตามตำราพิชัยสงคราม ยันต์จารมือธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ (นะ มะ พะ ทะ) และยันต์ถอด (ทะ พะ มะ นะ) จึงเท่ากับ 16 ตาราง คือ ยันต์พระเจ้า 16 พระองค์

    มียันต์อัครสาวกซ้ายขวา (ซ้าย อุมิ อะมิ) (ขวา นะมะ นะอา) และยันต์ถอด รวมทั้งยันต์แคล้วคลาด (สะ รา คา มิ) และยันต์ถอด จึงเป็นเจ้าตำรับตะกรุดโทนแห่งยุค

    นอกจากนี้ วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมยังมีเหรียญเสมา เหรียญมหาบารมี รูปหล่อเหมือน

    หลวงพ่อสุวรรณ ย้ำอยู่เสมอว่า วัตถุมงคลทั้งหลายล้วนเข้มแข็งด้วยอำนาจแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

    การเข้ากราบไหว้ขอพรจากหลวงพ่อสุวรรณ ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันหมด ไม่มีผู้ใดกีดกัน และท่านมักจะนำวิชาความรู้ด้านวิทยาคมเป็น กุศโลบายในการอบรมสั่งสอนศีลธรรมแก่ประชา ชนทั่วไป โดยให้ยึดหลักธรรมคำสั่งสอนตามแนว ทางพระพุทธศาสนา

    ตระกรุดหลวงพ่อสุวรรณยิงไม่เข้า

    ดาบหนังเหนียวแขวนตะกรุดยิงไม่เข้า
    ดาบตำรวจล่อซื้อยาบ้า ถูกคนร้ายใช้ปืนลูกซองกระหน่ำยิง ระยะห่าง 5 เมตร แค่ฟกช้ำ 40 จุด ส่วนเพื่อนบาดเจ็บ เจ้าตัวเชื่อเป็นเพราะบารมีตะกรุดหลวงพ่อสุวรรณ เกจิชื่อดังเมืองอ่างทอง ทำให้แคล้วคลาด

    เมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 1 ส.ค.50 เจ้าหน้าที่ตำรวจ นปพ.ภ.จว.อ่างทอง ปฏิบัติหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติด สืบทราบว่านายจักรพงศ์ แดงบุญเรือน อายุ 23 ปี อยู่บ้านไม่มีเลขที่ หมู่ 5 ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ลักลอบจำหน่ายยาบ้า จึงได้ทำการล่อซื้อยาบ้าจำนวน 400 เม็ด มูลค่า 54,000 บาท โดยเจ้าหน้าที่ได้นัดให้มารับส่งยาบ้า ที่บริเวณถนนคันคลองชลประทาน หลังสำนักงานที่ดิน ต.โพสะ อ.เมือง จ.อ่างทอง

    เมื่อถึงเวลานัดหมายนายจักรพงศ์ได้ขับรถกระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ สีขาว หมายเลขทะเบียน บป 9696 กทม.เข้ามา หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้รับยาบ้าก็ได้แสดงตัวเข้าจับกุม แต่นายจักรพงศ์พยายามขัดขืนและชักอาวุธปืนลูกซองขึ้นมายิงต่อสู้ ทำให้เกิดการยิงปะทะกัน จนทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ประกอบด้วย ด.ต.ขวัญใจ ฝั้นถา และ จ.ส.ต.บรรจง หมายหอมกลาง ผบ.หมู่ นปพ.ภ.จว.อ่างทอง ปฏิบัติหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติด ก่อนคนร้ายจะขับรถยนต์หลบหนี เข้าไปที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ภายในวัดท้องคุ้ง หมู่ 8 ต.โพสะ อ.เมือง จ.อ่างทอง จากนั้นนายจักรพงศ์ได้วิ่งลงจากรถและพยายามว่ายน้ำหลบหนีไปฝั่งตรงข้าม แต่คนร้ายได้หมดแรงและจมหายไปกลางแม่น้ำ โดยเจ้าหน้าที่พยายามค้นหานานกว่า 3 ชม. แต่ก็ไม่พบตัวคนร้าย

    ต่อมา พล.ต.ต.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ผบก.ภ.จว.อ่างทอง พ.ต.อ.รวีโรจน์ กองกันภัย ผกก.สภ.อ.เมือง จ.อ่างทอง ได้เดินทางเข้าเยี่ยม ด.ต.ขวัญใจ และ จ.ส.ต.บรรจง โดย จ.ส.ต.บรรจง ถูกยิงเข้าที่บริเวณจมูกและแขนซ้ายบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วน ด.ต.ขวัญใจ ได้รับบาดเจ็บเพียงฟกช้ำตามร่างกายประมาณ 40 จุด และไม่พบบาดแผลแต่อย่างใด

    ด.ต.ขวัญใจ เปิดเผยว่า ตนได้ทำการล่อซื้อยาบ้าจากนายจักรพงศ์จำนวน 400 เม็ด เมื่อเจ้าหน้าที่แสดงตัวจับกุม นายจักรพงศ์ได้ชักอาวุธปืนลูกซองยิงเข้าใส่ในระยะห่างประมาณ 5 เมตร ตนถูกยิงเข้าที่บริเวณลำตัว ก่อนที่ล้มลงกองกับพื้น ขณะนั้นตนคิดว่าคงต้องเสียชีวิตแล้ว แต่เมื่อพบว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ จึงได้ชักอาวุธปืนยิงต่อสู้ โดยยิงเข้าไปที่ยางรถยนต์ของคนร้าย จนยางแตกเพื่อสกัดการหลบหนี อย่างไรก็ตามที่ตนรอดชีวิตมาได้ในครั้งนี้ อาจเป็นเพราะบารมีของตะกรุดโทนหลวงพ่อสุวรรณ เจ้าอาวาสวัดยาง อ.แสวงหา จ.อ่างทอง ที่พกติดตัวเป็นประจำ ทำให้แคล้วคลาดจากภยันอันตรายต่างๆ มาได้
    โดย บ้านเมืองออนไลน์

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูง


    เหรียญรุ่น๑หลวงพ่อสุวรรณ วัดยาง อ่างทอง

    ให้บูชา 1000 บาทครับ

    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93-jpg.jpg E-%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    พระครูพิชัยณรงฤทธิ์ วัดสิตาราม หรือ วัดคอกหมู กรุงเทพ ผู้รับการถ่ายทอด วิชาการลง ทองนพเก้า จาก หลวงปู่ทอง อุทยญาโณ วัดราชโยธา ประเวศ กทม .เพียงรูปเดียว

    สมัยก่อนท่าน เคยลงข่าวหน้า หนังสือพิมพ์บางกอกไทมส์ พิธีการลงทอง แล้วใช้มีดพร้า คมๆ

    ( เล่มใหญ่) ฟันลง กลางหลัง ดัง แปร๊ก!!!
    ทันที เสียงเหล็กกระทบกระดูก หลังจาก
    ลงทองนพเก้า ครั้งที่2 เสร็จ
    ถึงไม่เข้า ก็เป็นรอย ยางบอน ช้ำ ด้านใน

    พระครูพิชัยณรงฤทธิ์ เป็นศิษย์หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา สมัย ตั้งแต่ยัง เยาว์วัย เนื่องจาก สมัยเด็กวิ่งเล่น ในวัด ท่านเป็นเด็กวัด วัดสามปลื้ม จักรรดิ์

    ซึ่งเป็นวัดที่ หลวงปู่ทอง ได้เดินทางไปมาหาสู่ กับ ท่านเจ้ามา วัดสามปลื้ม เป็นประจำ
    หนีความวุ่นวาย จากวัดราชโยธา ก็เอาเรือมาจอด จำวัด พักที่วัดสามปลื้ม 7 วันบ้าง เดือน1 บ้าง
    พระครูพิชัยฯท่านจึงได้ สนิทรู้จักมักคุ้น กับ ลป.ทอง วัดราชโยธา อย่างดี

    จนได้ครอบครองตะกรุดจารใต้น้ำ
    หลวงปู่ทองท่านจารให้ทำ เองกับมือ
    ตอนนั้น พระครู ยัง เด็ก ยังไม่รู้จัก ลป.ทอง
    หลวงปู่ทองท่าน เอ่ย ถามพระจันทร์ ตรงหัวหรือยัง ไอ้หนู พระครูพิชัย ตอบ ตรง แล้ว คับ หลวงปู่
    ลป.ทองท่าน กระโจน ลงน้ำ เป็นชั่วโมง ขึ้นมาจากท่าน้ำ จีวรไม่เปียก พร้อม แผ่น จารตะกรด
    สร้างความอัศจรรย์ แก่ พระครูพิชัยณรงค์ฤทธิ์ อย่างยิ่ง
    สุดท้าย จนได้ ไปเป็นศิษย์รับใช้
    ศึกษาเล่าเรียน วิชาพุทธเวทย์ ไสยเวทย์ ศาสตร์ลี้ลับ กับหลวงปู่ทอง เป็นเวลาถึง 3 ปี เต็มๆ
    วิชาการที่หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา ถ่ายทอด ให้หลวงพ่อพระครูพิชัยฯ นั้นมีมากมาย ทั้งทำตะกรุด รดน้ำมนต์ ถอดถอนคุณไสย วิชาเอกอุ โดดเด่น สำคัญ มาก คือ ลงทองนพเก้า

    การลงทองนพเก้า นั้น จะเป็นการลงทอง 9 แผ่น ไว้บริเวณต่างๆของร่างกาย คือ หน้า หน้าอก และหลัง ซึ่งหากจะลงให้สมบูรณ์ต้องลง 3 ครั้ง จะคุ้มครองตลอดชีวิต หากลง 1 ครั้ง คุ้มครอง 3 เดือน 2 ครั้ง คุ้มครอง 3 ปี ถ้าจะให้ ติดตัวตลอดไปต้อง 3 ครั้ง
    การลงทองนพเก้านี้ มิใช่เพื่อทางเมตตามหานิยม
    ดั่งลงนะหน้าทอง ทั่วไป เพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมไปถึง คงกระพัน แคล้วคลาด เมตตา มหานิยม อำนาจ อีกทั้งยังป้องกันคุณไสย และของที่เขากระทำมาอีกด้วย
    ดังคำที่อาจารย์ท่านให้ลูกศิษย์ พูดกำกับเวลาลงทอง ทุกครั้งว่า "อยู่ คง เหนียว สวย งาม มีอำนาจ"
    สมัยที่หลวงพ่อ พระครูพิชัยฯ
    ยังมีชีวิตอยู่นั้น ทั้งคนดัง ผู้มีอำนาจ นายทหาร แม่ทัพภาค สายพระราชสำนัก ในวัง
    ผู้คน ทุกสาขา เหล่าอาชีพ มาทั่วสารทิศ
    เพื่อ ลงทองนพเก้า นี่ละ ถึงได้มีเงินสร้างโบสถ์ จนทุกวันนี้

    เมื่อลงทอง เสร็จ ก็จะฟันหลังทันที มีดที่ฟัน ไม่ใช่มีดแบบปัจจุบัน แต่เป็นดาบแบบโบราณที่มี ความหนักและ คมอยู่ในตัวเอง ซึ่งการลงดาบที่หลังนั้นนักวิทยาศาสตร์ หลายคน" กระแดะ" ออกมา พูดว่า
    เป็นเพราะหนังตึงจึงมีความยืดหยุ่นให้จึงไม่เข้า ด้วยความคมของมีด จึงไม่กินเนื้อ
    ต้องเข้าใจ ว่าวิทยาศาสตร์ ชอบ นำมาหักล้าง เพื่อให้ฝ่ายตัวเองดูดี
    เคย ได้ร่วมวง เสวนา กับ นักดาบ เล่นมีด รุ่นใหญ่ มันก็ได้แต่บอกว่า "ลองให้พวก นักวิทย์ ที่ออกมาพูดว่าใช้มีดฟันแล้ว ตำแหน่งนี้ หนังตึง แข็ง มีแรงต้านทาน เลยไม่เข้า ความคมไม่ทำงาน
    มาสิ เดี๋ยวจัดให้ดูว่า แผลแหวะ หมอศัลยกรรม ไม่รับเย็บ เป็นยังงัย !!
    ทหารอาชีพ หมวกแดง ไบเล่ ลพบุรี บอกว่า เคส นี้ ฟันเข้า ล้านเปอร์เซ็น มีดกินแผลลึก ไม่ต้องสงสัย

    หลวงปู่ทอง อุทยญาโณ วัดราชโยธา ขณะนั้นหลวงปู่ทอง อายุ ร่วม100 ปี แล้ว
    จึงเรียกได้ว่ารุ่นพระครู พิชัย คง เป็นศิษย์ยุคสุดท้ายว่าได้

    พระครูพิชัยฯ เคยเล่าให้ฟัง

    ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ทอง ท่านได้แสดงวิชา ด้านคงกระพัน กับท่านพระครู ฯ
    โดยนำเอา หลาวแหลม ซัดพุ่งใส่ จนพระครูพิชัย เซ ถลา หัวคะมำด้วยความแรง แต่คมหลาวนั้น กลับไม่ ระคาย ร่องรอย แผลบนผิวหนัง ท่านพระครูพิชัย สักนิด เลย
    ด้านอิทธิปาฎิหารย์ ชื่อเสียง ของหลวงปู่ทอง นั้น ย่อมเป็นที่ ประจักษ์ แก่ หมู่ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ อาชีพเสี่ยง ตลอดจนถึง อาจารย์สัก เสก เลขยันต์ เวทมนต์คาถา เป็นอย่างดี

    อุปนิสัยส่วนตัว ท่านพระครูพิชัยฯ นั้น
    คนที่เคยเป็นศิษย์ ทันท่าน ตอนมีชีวิต
    ต่างรู้กันว่า ท่านเป็นพระพูดจาโผงผาง ไม่เกรงใจใคร
    ขนาดเคย เอากระโถนขว้างใส่ นายทหารก็มี

    ถ้า ใครพูดจาไม่เข้าหู รมย์ไม่ดี
    ไล่ลงกุฏิ เปิดแนบ ก็มี

    ท่าน เป็นพระร้อนวิชามาก สมัยนั้น ในการเข้าหา
    (เพราะอยากเรียนวิชา)
    แต่..บางครั้งด้วยความอยากรู้ ช่างซักถาม จนถึงโต้ตอบกับท่านพระครูฯ ทำเอาท่านพระครู ถึงกับ เอ่ยปาก..

    ..."เออ เอ็งใจถึงมาก เข้ามาใกล้ๆหน่อย
    จะได้ถีบ..ให้กระเด็น..."

    แค่ ลองใจ ที่จริง ท่านเป็น พระเมตตา ใจดี แต่คนเข้าหา ไม่เป็นเท่านั้นเอง
    วัตถุมงคล ของพระครูพิชัย มีประสบการณ์ ทุกรุ่น นะ ด้านคุ้มครอง แคล้วคลาด อย่ามองข้าม เก็บไว้ให้ดีละ ผ้าขี้ริ้วห่อทอง

    และ พระครูพิชัยณรงค์ฤทธิ์ อดีตเจ้าอาวาส
    เป็น ครู สำคัญ ของ พระอาจารย์ตู่ วรัญญูโต วัดคอกหมู ด้วย

    2-_nc_ohc-t_g1mhn4bioaqnqcusg6r1jfg9_uohllnoq-h8jaka9o7kvybdwn9v0hw-_nc_ht-scontent-fbkk24-1-jpg.jpg


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่ทอง วัดราชโยธาหลังอาจารย์พิชัยให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...