พระหลักร้อย สะสมเก็บมา เอามาให้บูชา เชิญด้านใน

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย mummamman, 18 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    สวัสดีครับ ผมเอาของสะสมราคาไม่แพงหลักร้อย ออกมาให้บูชา

    สนใจ ถูกชะตาองค์ไหน หรือจะเก็บไว้สะสม บูชาได้ครับ

    ขอค่าจัดส่งคราวละ 50 บาทนะครับ

    สนใจโอนเงินเข้าบัญชี

    นายธนพล ตั้งพิเชษฐโชติ

    ธนาคารไทยพานิช

    เลขที่ 314-450-5350

    ออมทรัพย์

    สาขาคลองหลวง

    โทร 0891255815

    รับประกันแท้ทุกองค์ ไม่แท้คืนเงินเต็มครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2014
  2. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    ประวัติหลวงปู่หล้า อุตฺตโม
    อดีตเจ้าอาวาสวัดวังโพรงเข้
    (คัดลอกมาจากบันทึกของพระจำปี เผยแผ่โดยพระอาจารย์โทน เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน)




    นามเดิม ชื่อนายหล้า วารนุช เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๕ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่ออายุ ๒๑ ปี ได้นำฝูงควายเดินทางออกจากจังหวัดร้อยเอ็ด มากับนายบุญเพ็ง ที่เป็นหัวหน้าใหญ่ หรือที่เรียกกันภาษาท้องถิ่นว่า นายฮ้อย มุ่งหน้าสู่ภาคกลาง เป้าหมายที่จังหวัดลพบุรี เพื่อนำฝูงควายมาขายยังจังหวัดที่เป็นอู่ข้าวของประเทศ คือจังหวัดลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี อยุทธยา เป็นต้น

    เมื่อนำฝูงควายมาถึงดงพยาเย็น อันลือชื่อเรื่องโจรปล้นซึ่งทรัพย์ และก็ถูกโจรดงพยาเย็นปล้นตามธรรมเนียมที่เคยได้ยินได้ฟังมา จากนักเดินทางค้าควายรุ่นก่อน ๆ แม้จะเตรียมพร้อมกันมา อย่างเต็มที่ก็ไม่วายเสียทีให้พวกโจรแย่งเอาควายบางส่วนไปได้ และก็บังเอิญที่ควายส่วนใหญ่ ที่โจรแย่งเอาไปได้ เป็นควายของนายหล้า วารนุช เมื่อนำฝูงควายมาถึงอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ควายของนายหล้าส่วนที่เหลือ ก็ขายหมดพอดี นายหล้าจึงขอแยกทางกับกองคาราวานค้าควายเพื่อหางานทำอยู่ที่อำเภอโคกสำโรง และต่อมานายหล้าก็ได้ภรรยาชื่อ ระพี เป็นคนในหมู่บ้าน ถลุงเหล็ก ตำบลถลุงเหล็ก อำเภอโคกสำโรง จนมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ชื่อสำเภา วารนุช หลังจากบุตรได้ไม่นาน นางระพี ภรรยาของท่านก็เสียชีวิต และท่านก็ได้บวชเป็นภิกษุอุทิศกุศล ให้ภรรยาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๘ พอฌาปณกิจศพภรรยาและทำบุญ ๗ วัน ให้ภรรยาเรียบร้อยแล้ว

    ท่านก็เปลี่ยนใจไม่ลาสิกขา อยู่เป็นภิกษุตั้งแต่นั้นมาจนตลอดชีวิต ในปีนั้นหลวงปู่เหล้า อยู่จำพรรษาที่วัดถลุงเหล็ก ปี พ.ศ.๒๔๕๙ ท่านไปจำพรรษาที่วัดวังไต้ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ปี พ.ศ.๒๔๖๐ ท่านจำพรรษาที่วัดเกาะแก้ว อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี

    ปี พ.ศ.๒๔๖๑-๒๔๖๓ ท่านกลับไปจังหวัดร้อยเอ็ดบ้านเกิด เมื่อไปถึงบ้านปรากฏว่าบิดามารดาญาติพี่น้องของท่านได้ย้ายไปอยู่จังหวัดสุรินทร์ท่านจึงตามไปและจำพรรษาที่จังหวัดสุรินทร์ ๒ ปี และเรียนวิชชาอาคมที่นั้น ปี พ.ศ.๒๔๖๓ จำพรรษาที่จังหวัดศรีสะเกษ เรียนวิชชาอาคมต่อ

    ปีพ.ศ.๒๔๖๔ ท่านกลับมาที่วัดเกาะแก้วและย้ายมาจำพรรษาที่วัดโพรงเข้ ตำบลเกาะแก้ว และย้ายมาจำพรรษาที่วัดวังโพรงเข้ ตำบลเกาะแก้ว อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ท่านประจำอยู่เป็นเจ้าอาวาสวัดวังโพรงเข้ ตั้งแต่ปีนั้น จนตลอดอายุไข ท่านมรณภาพเมื่อปีพ.ศ.๒๔๙๙

    คุณวิเศษของหลวงปู่หล้า อุตฺตโม ความอัศจรรย์ของหลวงปู่หล้า ตามคำเล่าขาน จนเป็นตำนานคู่บ้านวังโพรงเข้ และหมู่บ้านใกล้เคียง เพราะไม่ใช้เป็นการบอกเล่าเพียงคน ๆ เดียว เป็นที่รู้กันทั้งหมู่บ้าน ในคุณวิเศษของหลวงปู่หล้า เรื่องราวของหลวงปู่ถูกกล่าวถึงอยู่เสมอ จึงเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของท่าน สู่คนรุ่นหลังโดยปริยายผู้เขียนจะนำมากล่าวเฉพาะที่คิดว่าสำคัญ และน่าอัศจรรย์จริง ๆ เท่านั้น ที่พอจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจในทางไสยศาตร์วิชาอาคมเรื่องราวของหลวงปู่หล้าที่กล่าวถึง ในระยะแรกไม่อาจจะอ้างอิงปี พ.ศ. ได้ เพราะไม่มีใครจดบันทึก เพียงแต่เล่าขานสืบต่อกันมาและเรียงลำดับเรื่องไม่ได้เรื่องไหนเกิดก่อนเกิดหลัง

    หลวงปู่หยุดรถสิบล้อ



    วันหนึ่งขณะที่หลวงปู่นั่งคุมสามเณรให้ท่องหนังสือสวดมนต์อยู่ที่ใต้ถุน กุฏิก็มีรถบรรทุกสิบล้อหัวตั๊กแตน มาบรรทุกข้าวชาวบ้าน วิ่งผ่านลานหน้าวัด ซึ่งเป็นรถเพียงคันเดียวที่เคยเข้ามาในหมู่บ้านและจะมาเฉพาะฤดูเก็บเกี่ยว เท่านั้น ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะใช้เกวียนเป็นยานพาหนะ พอรถวิ่งเข้ามาในลานวัดสามเณรต่างลุกขึ้นวิ่งไปดูรถ หลวงปู่คงกลัวสามเณรไม่ทันได้ดูรถ หลวงปู่จึงพูดว่า “เฮ้ยหยุดก่อนพวกเณรมันอยากเบิ่ง (รถหยุดก่อนพวกเณรอยากดู) ทันใดนั้นรถสิบล้อคันดังกล่าวก็ล้อฟรีอยู่กับที่ แม้คนขับจะเร่งเครื่องจนฝุ่นฟุ้งรถก็ไม่ไปจนคนขับต้องลงมาดูและงุนงงกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดินแห้งจนเป็นฝุ่นติดได้อย่างไร

    เผชิญหน้าเสือขาวขุนโจรชื่อดัง

    วันหนึ่งเสือสนิทลูกน้องเสือขาวจะเข้าปล้นบ้านนายโสภา ผาสี ซึ่งมีฐานะดีกว่าใครในหมู่บ้านวังโพรงเข้ และเป็นธรรมเนียมของโจรสมัยเก่าจะเข้าปล้นบ้านใครจะต้องปักป้ายบอกก่อน เมื่อเห็นป้ายประกาศปล้นชาวบ้านต่างพากันตกใจอกสั่นขวัญหาย โดยเฉพาะรายโสภาผู้ที่จะถูกปล้น จะหนีก็ตาย สู้ก็ตายต้องยอมอย่างเดียวจึงพอจะมีทางรอด นายโสภาจึงเตรียมเงินส่วนหนึ่งไว้ให้โจร ส่วนหนึ่งก็ขุดฝังดินไว้ ขณะที่รอเวลาโจรจะเข้าปล้น ด้วยความหวาดกลัวนายโสภาจึงมานิมนต์หลวงปู่ให้ไปอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อน หลวงปู่ก็ไปตามคำนิมนต์ พอพลบค่ำหลวงปู่ก็ให้นายโสภาก่อไฟและพูดว่าเดี๋ยวโจรมันมองไม่เห็นพระ กลัวมันยิงผิดตัว
    หลวงปู่พูดอย่างอารมณ์ดี

    ประมาณหนึ่งทุ่มเศษ ๆ เสือสนิท พร้อมสมุนโจรอีก ๗ คน ก็เข้าปล้นบ้านนายโสภา เมื่อมาเห็นพระ เสือสนิทไม่พอใจ จึงตะคอกใส่นายโสภา “มึงเอาพระมาทำไม” พร้อมกับยกปืนขึ้นเหนี่ยวไกใส่นายโสภาทันที แต่ปรากฏว่าปืนไม่ดัง ด้วยความตกใจ นายโสภาจึงกระโดดหลบอยู่ข้างหลังหลวงปู่ ปืนสามสี่กระบอกจากมือโจร จึงถูกยกขึ้นเล็งเป้าหมายไปยังหลวงปู่กับนายโสภาพร้อม ๆ กัน นายโสภาเล่าว่าพวกโจรยกปืนค้างอยู่ประมาณหนึ่งอึดใจ

    หลวงปู่ก็พูดว่า “ไป ๆ ให้ไกล ๆ”

    พอหลวงปู่พูดอย่างนั้นพวกโจรทั้งแปดคนก็เดินถือปืนกลับ ออกจากหมู่บ้านไปโดยไม่พูดจาอะไรเลย
    นายโสภาจึงรอดจากการถูกปล้นเพราะบารมีหลวงปู่ อีกสี่วันต่อมา เวลาประมาณบ่ายสี่โมงเย็น


    ขณะที่ชาวบ้านออกมาช่วยกันเลื่อยไม้ ที่วัดเพื่อสร้างกุฏิ หลวงปู่นั่งอยู่บนขอนไม้ใต้ร่มมะขาม ดูชาวบ้านเลื่อยไม้ ก็มีชายวัยฉกรรจ์สองคนขี่ม้าเข้ามาในวัดและหยุดผูกม้าไว้ที่ต้นก้ามปูห่าง จากต้นมะขามที่หลวงปู่นั่งอยู่ประมาณสิบกว่าวา เมื่อผูกม้าแล้วชายสองคนนั้นก็เดินเข้ามาหาหลวงปู่คนที่เดินตามหลังชาวบ้าน จำได้ดีคือเสือสนิท ส่วนคนที่เดินนำหน้าไม่มีใครรู้จัก พอมาถึงหน้าหลวงปู่ คนที่เดินนำหน้าก็ดึงปืนออกจากเอว ยิงใส่หลวงปู่ทันที “แชะ” เมื่อปืนเขาไม่ดังแทนที่เขาจะไม่พอใจ

    เขากลับยิ้มอย่างมีความสุข

    เอาปืนเก็บที่เอวด้านหลังนั่งลงกราบสามครั้งแล้วเดินเข่าเข้ามากอดขาสนทนากับหลวงปู่

    ผมเสือขาวเดินทางมาจากหนองโดน” (หนองโดนสระบุรี) ตั้งใจมากราบท่านอาจารย์โดยเฉพาะ

    แล้วเสือขาวก็ขอของขลัง หลวงปู่ให้เสือขาวเอาลูกปืนที่ลั่นไกไม่ดังเมื่อสักครู่นี้ ออกมาแล้วหลวงปู่เสกลูกปืนด้าน ลูกดังกล่าวให้เสือขาว และพูดกับเสือขาวว่า

    “โยมขาวขอของขลังอาตมาก็ให้แล้วอาตมาจะขออะไรโยมขาวบ้างได้ไหม”

    "ถ้าไม่เกินวิสัยยืนดีครับอาจารย์” เสือขาวตอบ หลวงปู่จึงขอว่า

    “อย่าเบียดเบียนชีวิตคน เรื่องสินทรัพย์อาตมาไม่ขอ เพราะมันเป็นอาชีพของโยม”

    “ได้ครับอาจารย์”

    เสือขาวตอบ เพราะเป็นสิ่งที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด ไม่สุด วิสัยจริงๆ ผมจะทำตามที่ท่านอาจารย์ขอ” เสือขาวสนทนากับหลวงปู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนไปเสือขาวให้หลวงปู่เสกลูกปืนให้อีกหลายลูก และให้เงินทายกไว้สร้างวัดหนึ่งถุง
    (ดูเหมือนเสือขาวจะรู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ เพราะแทนที่เสือขาวจะถวายเงินกับหลวงปู่ ก็กลับเอาเงินนั้นให้ทายกแทน เพราะเป็นเงินที่ไม่ควรแก่การถวายพระ)


    ชาวบ้านบอกว่าเสือขาวเป็นคนมือไม้อ่อนยิ้มแย้มแจ่มใสก่อนไปเดินทักทายชาว บ้านยังกับพวกนักการเมืองออกหาเสียง ที่นำมาเล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในคุณวิเศษของหลวงปู่หล้าเท่านั้น โอกาสหน้าหากมีจะนำมาเสนอใหม่

    วัตถุมงคล
    หลวงปู่หล้า อุตฺตโม (วาจาสิทธิ์)


    หลวงปู่หล้า วาจาสิทธิ์ เทพเจ้าแห่งตำบลเกาะแก้ว แดนแห่งไกปืนเทียงในสมัยนั้น เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ยังเป็นป่าดงดิบมีทั้งเสือสิงห์กระทิงช้างและสัตว์นานา ชนิด อาศัยอยู่มากมาย ในน้ำก็มีจระเข้ซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่แห่งสายน้ำ ดังคำที่ว่าจระเข้เจ้าแห่งนที อินทรีเจ้าแห่งเวหา พยัคฆาเจ้าแห่งพงษ์ไพร ในเขตตำบลเกาะแก้วมีลำน้ำอันเกิดจากธรรมชาติอยู่สายหนึ่ง เรียกชื่อว่าลำน้ำห้วยใหญ่ ลำห้วยสายนี้มีวังลึกอยู่ที่หนึ่ง ชุมชนในย่านนี้ เรียกวังน้ำแห่งนี้ว่า วังโพรงตะเข้ เพราะมีจระเข้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก


    ประมาณปี พ.ศ.๒๕๔๐ มีผู้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งอพยพมาจากตำบลสนามแจง อำเภอบ้านหมี่ มาตั้งรกรากประกอบสัมมาอาชีพ อยู่ข้างวังน้ำแห่งนี้ และตั้งชื่อชุมชนของตนเองว่า บ้านวังโพรงตะเข้ ต่อมาคำว่า ตะ หายไป ปัจจุบัน จึงเรียกว่าวังโพรงเข้เท่านั้น เมื่อชุมชนใหญ่ขึ้นเป็นธรรมดาของชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา สิ่งที่เป็นฉัตรแก้วของชุมชน ก็คือวัดราวปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ผู้นำชุมชน คือนายชื่น ได้เป็นผู้นำในการสร้างวัด และเรียกวัดตามชื่อของหมู่บ้าน เมื่อสร้างเสนาสนะบางส่วนสำเร็จแล้ว ก็ได้ไปนิมนต์พระจากวัดแห่งหนึ่ง ในตำบลสนามแจง อำเภอบ้านหมี่สองรูป ชื่อพระโฮม กับพระหนอมมาจำพรรษา วัดของชุมชนบ้านวังโพรงเข้ก็เจริญตามสภาพมาโดยลำดับ

    จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๔๖๔ หลวงปู่หล้า อุตฺตโม ก็มาจำพรรษาเป็นเจ้าอาวาส จนมรณภาพเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙
    ดังกล่าวมาแล้วในฉบับก่อน



    หลวงปู่หล้าตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านเปรียบเสมือนเทพเจ้าของประชาชนชาวตำบลเกาะแก้ว เพราะในสมัยนั้นทางการแพทย์ยังเข้าไปไม่ถึง เมื่อยามเจ็บป่วยไข้ชาวบ้านในย่านนั้น ก็ได้อาศัยยาสมุนไพร น้ำมนต์ เวทมนต์หลวงปู่เป็นที่พึ่งแทนหมอ ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อไม่ถึงที่ตายก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บที่มาเบียดเบียนหลวงปู่ จึงเป็นที่เคารพนับถือของชุมชนสำหรับเป็นที่พึ่งทางใจ


    ในยุคแรกหลวงปู่หล้าทำ ตะกรุดสามพันตึง แจกประชาชนเมื่อมีผู้ต้องการเป็นจำนวนมากจนหาโลหะทำตะกรุดไม่ทัน หลวงปู่จึงทำผ้ายันต์สามพันตึง ซึ้งวัตถุดิบหาง่ายกว่าแจกจ่าย จนพอเพียงแก่ความต้องการ ในปีต่อ ๆ มาเมื่อประชาชนต่างถิ่นได้ยินกิติศัพท์ของหลวงปู่หล้า และอภินิหารของตะกรุดสามพันตึง ประชาชนจึงพากันมาขอ หลวงปู่บอกว่าสร้างได้หนเดียว สร้างอีกไม่ได้ อาจารย์ห้าม แต่ผู้ที่ต้องการก็อ้อนวอนขอ หลวงปู่ทนอ้อนวอนไม่ได้ จึงสร้าง ตะกรุดหกพันตึง และ เก้าพันตึง แจกจ่ายตามลำดับ



    และต่อมาไม่ทราบปี พ.ศ. นายสำราญ เครือนิล ไม่ทราบยศตำแหน่งและปลัดแสวงไม่ทราบนามสกุล ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ให้มาปราบเสือขาวและสมุน นายร้อยสำราญ เครือนิล และปลัดแสวงได้นำไก่ฟ้าสีขาว มาถวายหลวงปู่คู่หนึ่ง และขอตะกรุดหลวงปุ่ พร้อมเล่าเรื่องที่เบื้องบนสั่งให้มาปราบเสือขาว ให้หลวงปู่ฟัง จึงมาขอของขลังไปคุ้มครองตัว หลวงปู่จึงทำ ตะกรุดโทนพญาไก่แก้ว ให้ท่านทั้งสอง และคนอื่น ๆอีกไม่ทราบจำนวน หลังจากได้ตะกรุด จากหลวงปู่ไปแล้วนาน นายร้อยสำราญ เครือนิล และ ปลัดแสวงพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ ก็ปะทะกับเสือขาวและสมุน ที่ป่าข้างคลองแห่งหนึ่งห่างจากตัวอำเภอโคกสำโรงไปทางทิศเหนือ ประมาณสามกิโลเมตร เสียงปืนการปะทะกันระหว่างขุนโจรกับเจ้าหน้าที่ดังสนั่นหวั่นไหวได้ยินไกล หลายกิโล ทั้งสองฝ่ายยิงต่อสู้กันประมาณ ๒๐ นาที ฝ่ายโจรก็ล่าถอย เมื่อเสียงปืนสงบลงเจ้าหน้าที่เข้าเคลียพื้นที่ ปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีใครเสียชีวิตและบาดเจ็บ เลือดสักหยดก็ไม่มีให้เห็นเมื่อ ข่าวการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและขุนโจรชื่อดัง แพร่สพัดไปว่าไม่มีใครเป็นอะไรและมา รู้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างเคยมาเอาวัตถุมงคลจากหลวงปู่หล้า ผู้คนที่ทราบข่าวนี้ต่างแห่กันมาขอวัตถุมงคลจากหลวงปู่เป็นจำนวนมาก หลวงปู่จึงสร้าง ตะกรุดมหารูดพญาไก่แก้ว แจกจ่ายแต่ผู้ที่ต้องการตะกรุดมีมากแต่ตะกรุดทำได้ช้าจึงไม่ทันแก่ความต้อง การ หลวงปู่จึงให้พระจำปีแกะพิมพ์พระขุนแผนด้วยหินลับมีดโกน และสร้าง พระขุนแผนประจัญบาน แจกจ่ายให้กับประชาชนที่ต้องการอย่างทั่วถึง

    บันทึกของพระจำปี

    เรื่องราวประวัติของหลวงปู่หล้าจากนี้ไป เป็นการบันทึกลงสมุดของพระจำปี ซึ่งนายสมหมายเชื้อชัยภูมิที่เคยบวชเป็นสามเณร ในสมัยหลวงปู่หล้ายังมีชีวิตอยู่ และบวชเป็นพระในสมัยพระจำปี เป็นเจ้าอาวาสวังโพรงเข้ ต่อจากหลวงปู่หล้า

    ปัจจุบันนายสมหมายอายุ ๖๖ ปี อยู่ที่จังหวัดสระแก้ว ได้นำสมุดที่บันทึกประวัติหลวงปู่หล้าในช่วงท้ายอายุของหลวงปู่มาให้พระครู วินัยธรยืมคัดลอก ซึ่งนายสมหมายกลับมาบ้านเกิด เพื่อร่วมงานผูกพัทธสีมาปิดทองฝังลูกนิมิต วัดวังโพรงเข้ระหว่างวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๘ – วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๙

    เมื่อมีโอกาสได้มานมัสการสนทนา กับพระครูวินัยธร นายสมหมายจึงได้พูดถึงสมุดบันทึกเล่มนี้ ให้พระครูวินัยธรฟัง พระครูวินัยธรจึงได้เอ่ยปากขอสมุดเล่นดังกล่าว นายสมหมายไม่ขอถวายแต่จะให้ยืมคัดลอก และได้เล่าถึงปาฏิหาริย์ของสมุดบันทึกเล่นนี้มากมาย โดยเฉพาะปี พ.ศ.๒๕๒๘ กระสุนปืนใหญ่ของเขมร ซึ่งสู้รบกันเองพลาดมาตกข้างบ้านนายสมหมาย ถึงสี่ครั้งแต่กระสุนปืนไม่ระเบิดทั้งสี่ครั้ง

    สมุดเล่มนี้มีทั้งคาถาอาคม และวิธีการทำวัตถุมงคลต่าง ๆ ของหลวงปู่หล้า และพิธีกรรมประเพณีพื้นเมืองอิสานมากมาย

    “ข้าพเจ้าชื่อว่าพระจำปี ปัญญาทีโป ได้สมุดมา ๑ หัว (หนึ่งเล่ม) และดินสอ ๑ แท่ง เมื่อวันที่ ๑๓ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๕ เมษายน พอศอ ๒๔๙๐ นบพระศก (นพศก) ปีกุน ปลัดแสวงถวายให้มา ตอนนี้เวลาใกล้จะ ยามต้น นั่งมองนอนมองสมุดและดินสอ อยู่อย่างภูมิใจ ไม่รู้จะเขียนอะไร เขียนเรื่องหลวงพ่อไว้ดีกว่า”

    (ผู้เขียนขออนุญาตเปลี่ยนคำบันทึกที่เป็นภาษาท้องถิ่น เป็นภาษากลางและเพิ่มบางคำให้เต็มประโยค เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น จะได้ไม่เสียเวลาวงเล็บ ส่วนที่เป็นบันทึกสั้น ๆ ของแต่ละวันผู้เขียนจะขอเล่าเรื่องเองตามบันทึกนั้น ๆ)

    อภินิหารสีผึ้งสัมพันธ์ตึง พระขุนแผนไก่แก่ฯ



    หลังจากหลวงพ่อสร้างพระขุนแผนประจัญบานแล้วก็ไม่สร้างอะไรอีกหลายปีและก็ ไม่รับแขกด้วย หลวงพ่อเข้าไปอยู่ในป่าห่างวัดหลายร้อยวา พระกับชาวบ้านต้องตามไปสร้างกุฏิให้ท่านที่ในป่าและผัดกันเอาข้าวปลาอาหารไป ถวาย

    ปี พ.ศ.๒๔๙๐ หลวงพ่อก็ออกจากป่ามาอยู่วัดตามปกติหลังจากหลวงพ่อออกจากป่ามาแล้วท่านก็ เปลี่ยนแนวการสร้างวัตถุมงคลทางคงกระพันชาตรี มาเป็นทางเมตตา ในปีดังกล่าวหลวงพ่อได้ทำ สีผึ้งสัมพันธ์ตึง และสร้าง พระขุนแผนไก่แม่ปลาช่อน แจกจ่าย

    เวลามีคนมาขอหรือบูชา สีผึ้งสัมพันธ์ตึงกับหลวงพ่อ ผู้หญิง หลวงพ่อจะให้รับสีผึ้งมือซ้าย ผู้ชายจะให้รับมือขวา เมื่อรับแล้วจะให้ยื่นมือข้างที่รับออกไปจนสุดแขน และให้ดมที่มืออีกข้างหนึ่งถ้าใครไม่ได้กลิ่นสีผึ้งหอมผ่านมาที่มืออีกข้าง หนึ่งไม่ต้องเอาไป แต่ก็ปรากฏว่าทุกคน ที่ได้รับสีผึ้งก็จะได้กลิ่นหอม ผ่านมือผ่านแขน มาอีกข้างหนึ่ง

    หลังจากหลวงพ่อแจกสีผึ้งสัมพันตึง และพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อนได้ไปประมาณสองเดือน ก็เริ่มมีญาติโยมมาต่อว่าหลวงพ่อ ถึงอภินิหารสีผึ้งสัมพันตึง และพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อน ซึ่งก้มีการต่อว่าซึ่งไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก โดยเฉพาะโยมผู้หญิงซึ่งไม่ชอบใจเลยกับสีผึ้งสัมพันตึง และขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อน มีโยมผู้หญิงหลายคนที่แอบขโมยสีผึ้ง และขุนแผนดังกล่าวของโยมผู้ชายมาคืนหลวงพ่อ และยิ่งนานวันก้อมีโยมผู้หญิงมาต่อว่ามากขึ้น จนวันหนึ่งคุณนายของท่านสำราญ เครือนิล และคุณนายปลัดแสวง นำภัตตาหารเพลมาถวายหลวงพ่อ และก้อต่อว่าหลวงพ่อถึงเรื่องความขลังของสีผึ้งสัมพันตึง กับพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อน เมื่อคุณนายทั้งสองกลับไปแล้ว หลวงพ่อก้อพูดกับผมว่า

    "คือสิบ่เข้าท่าแล้วละ เจ้าจำปีเอ๊ย บ่คึดว่ามันสิขลังปานนี่หน่ะ"
    <คงไม่ได้การแล้วนะเจ้าจำปี ไม่คิดว่ามันจะขลังขนาดนี้>


    และคืนวันนั้นหลังจากพระลูกวัดเข้าห้องจำวัดกันหมดแล้ว หลวงพ่อท่านก้อนั่งสมาธิหน้าพระประธานที่ใช้ทำวัดสวดมนต์ประจำ ผมรู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่เหนหลวงพ่อนั่งสมาธิตรงนั้น เพราะปกติหลวงพ่อจะนั่งสมาธิในห้องของท่าน



    พอตีสี่ผมก้อตื่นขึ้นมาตีระฆังทำวัตรเช้าตามกิจวัตรที่เคยปฏิบัติมา เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก้อมาจุดเทียนหน้าพระประธานที่ทำวัตรสวดมนต์ พอแสงไฟจาเเปลวเทียนสว่างขึ้น ผมต้องแปลกใจเมื่อเหนตลับสีผึ้งหลากหลายรูป แบบ และพระขุนแผนกองอยู่บนเสื่อ หน้าพระประธ่นที่หลวงพ่อนั่งสมาธิเมื่อคืนนี้เปนจำนวนมาก ผมจึงพูดกับพระลูกวัดด้วยกันว่า "หลวงพ่อเอาสีผึ้งกับพระขุนแผนมาจากไหนอีก ก้อแจกจ่ายไปหมดแล้วนี่นาทำไมเหลือมากขนาดนี้" แต่พอพิจารณาดูก้อรู้ว่าเปนสีผึ้งและพระขุนแผนที่แจกญาติโยมไปแล้วนั่นเอง ผมขนลุกไปทั้งตัวจนต้องยกมือขึ้นกุมหัว

    เหมือนคนหวาดเสียวสุดขีด<ขนลุกขนชัน>แม้ตอนเสือขาวยกปืนยิงใส่หลวง พ่อก้อไม่รู้สึกอย่างนี้ ตอนหลวงพ่อเรียกงัวโยมโสมขึ้นจากหล่มก้อไม่รู้สึกอย่างนี้ ตอนเอาไม้เท้าหวายทิ่มพุงโยมลาให้ฟื้นจากงูจงอางกัดก้อไม่รู้สึกอย่างนี้ ตอนช้างพวกอโยธยาจับควนฟาดกับพื้นและกระทืบซ้ำก้อไม่รู้สึกอย่างนี้ ตอนเรียกจระเข้ขึ้นจากสระก้อไม่รู้สึกอย่างนี้



    เมื่อหลวงพ่อออกจากห้องทำวัตรเช้าผมก็ถามหลวงพ่อว่า ทำไมหลวงพ่อเรียกของกลับคืนมาหมด ทำไมไม่ถอนอาคมเฉย ๆ หลวงพ่อตอบว่า วิชาอาคมที่ทำลงไปแล้วเขาไม่ถอนกันดอก ถ้าถอนของที่ทำไปแล้วทำครั้งต่อไปก็จะไม่ขลัง หรือของที่ทำแล้วและให้เขาไปหมดแล้ว
    ก็ไม่ต้องกลับไปทำซ้ำอีก ต้องทำอย่างอื่นไปเรื่อย ๆ ดัดแปลงเอาอันเก่านั่นแหละแต่ไม่ทำแบบเก่า ทำของพวกนี้มีพลังเท่าไหร่ต้องอักใส่ให้หมด หมดแล้วหมดเลย กลับไปทำอีกมันก็ไม่ขลัง เพราะมันหมดแล้วในจุดนั้น ๆ อย่าคิดกลับไปทำอีก นี้คือเคล็ดลับในการทำของขลัง

    (เคล็ดลับของแต่ละรูปอาจไม่เหมือนกัน * วินัยธร)

    เมื่อทำวัตรสวดมนต์เช้าเสร็จแล้วหลวงพ่อก็ให้ผมกับพระเอาสีผึ้งสัมพันธ์ตึง และพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อนไปฝัง พอได้อ่านบันทึกเรื่องนี้แล้ว พระครูวินัยธรจึงสืบหาพระจำปีและได้ทราบจากนายบุญมี บุญเกตุ อดีตเจ้าอาวาสวัดวังโพรงเข้ปี พ.ศ.๒๕๐๙ – พ.ศ.๒๕๑๓ ว่าพระจำปีได้ลาสิกขาไปเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ ปัจจุบันไปอยู่ที่บ้านหินตุ้ม อำเภอบ้านไร่จังหวัดอุทัยธานี พระครูวินัยธรจึงไปสืบหาและได้พบอดีตพระจำปีซึ่งมีอายุถึง ๘๒ ปี พระครูวินัยธร จึงถามถึงเรื่องสมุดบันทึกประวัติหลวงปู่หล้า ซึ้งปู่จำปียังจำได้ดีว่าท่านเคยบันทึกไว้จริง เมื่อถามถึงเรื่องหลวงปู่หล้าให้ฝังสีผึ้งกับพระขุนแผนปู่จำปีตอบว่าจริงและ บอกสถานที่ฝังคือโคนต้นมะขามที่เสือขาวทดลองยิงหลวงปู่หล้า พอกลับมาวัดพระครูวินัยธรจึงให้พระลูกวัดช่วยกันขุดดู ขุดลึกลงไปประมาณ ๖๐ เซนติเมตรก็พบพระขุนแผนและตลับสีผึ้งเป็นจำนวนมาก พระขุนแผนเกือบจะทั้งหมดแตกหักและเปื่อยยุ่ย ที่ยังสมบูรณ์อยู่มีเพียง ๓๔ องค์เท่านั้น ส่วนพระที่แตกหักรวมได้ประมาณสี่บาตร พระครูวินัยธรเอาฝังไว้ที่ฐานพระประธานโบสถ์รวมทั้งตลับสีผึ้งซึ้งเนื้อในมี สภาพเป็นดินหมดฝังรวมไว้ด้วยกัน ในโอกาสต่อไปอาจจะได้นำเอาพระขุนแผนที่สมบูรณ์ทั้ง ๓๔ องค์ขึ้นมาให้เช่าบูชา และพระขุนแผนที่แตกหักขึ้นมาบดทำใหม่ รวมทั้งจะกลั่นกรองเอาเศษสีผึ้งมาเป็นมวลสารในการทำสีผึ้งสัมพันธ์ตึงขึ้น ใหม่อีกด้วย
    ท่านที่สนใจชื่นชอบของเก่าคอยติดตามชมพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อนใน วัตถุอาถรรพ์ ซึ่งจะนำเสนอเร็ว ๆ นี้




    หลังจากหลวงปู่หล้าได้เรียกของคือพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อน และสีผึ้งสัมพันธ์ตึงกลับคืนมาเพราะเหตุแห่งปาฏิหาริย์ของวัตถุมงคลดังกล่าว สร้างความไม่สบายใจให้กับผู้เป็นพ่อเป็นแม่ที่มีลูกหญิงลูกชายที่ยังไม่ควร แก่การมีครอบครัว โดยเฉพาะคุณแม่บ้านที่มีอุดมการณ์อย่างหนึ่งที่เหมือน ๆ กันทั้งโลกคือ เสียทองท่วมหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร ต่างก็โล่งใจที่ได้ทราบข่าวนี้ ผู้คนก็ต่างพากันก็อัศจรรย์ใจในคุณวิเศษของหลวงปู่ ที่เรียกของคือพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อนและสีผึ้งสัมพันธ์ตึงนับพันชิ้น ซึ่งตกอยู่ทั่วสารทิศกลับคืนมาได้หมด การสร้างปาฏิหาริย์ของหลวงปู่หล้าในครั้งนี้ ทำให้ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงปู่แผ่กระจายไปทั่วเขตอำเภอโคกสำโรง แม้วัดหลวงปู่หล้าจะอยู่กลางป่าไม่มีถนนสำหรับวิ่งแต่ผู้คนในตัวอำเภอโคกโรง และอำเภอใกล้เคียงต่างก็ดั้นด้นเดินเท้า เพื่อมานมัสการขอของดีกับหลวงปู่เสมอตลอดมา

    ปาฏิหาริย์แห่งอริยสงฆ์




    เมื่อหลวงปู่เรียกพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลา ช่อนและสีผึ้งสัมพันธ์ตึงที่ตกไปอยู่ทั่วสาระทิศกลับคืนมา ผู้คนต่างพากันอัศจรรย์ใจในคุณวิเศษของหลวงปู่ ความอัศจรรย์ใจในครั้งนี้ไม่ได้น้อยไปกว่าการที่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องพระ อาจารย์รูปนั้นรูปนี้เหาะเหินเดินอากาศหรือย่นย่อระยะทางได้ หรือแม้กระทั่งบางรูปไปงานนิมนต์สองแห่งได้ในเวลาเดียวกัน (แยกร่าง)

    เรื่องปาฏิหาริย์ของพระอริสงฆ์เหล่านี้เป็นเรื่องเหลือเชื่อของคนนอกหรือ อยู่เปลือกนอกศาสนา แต่เป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้ที่นั่งใกล้พระศาสนา นอกจากปาฏิหาริย์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นกับตัวของพระผู้ทรงคุณวิเศษที่เราเคยได้ยินได้ฟังมาแล้วหลายต่อ หลายรูป วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสกอธิษฐานจิตไว้ก็สร้างปาฏิหาริย์ให้ได้ยินได้ฟังอยู่ เสมอ

    ในอดีตเช่นเรื่องทหารฝรั่งเศส ว่าทหารไทยเป็นทหารผียิงเท่าไหร่ก็ไม่ตาย ครั้งสงครามอินโดจีน ปีพ.ศ.๒๔๘๕ ก็เพราะทหารไทยมีพระชินราชของวัดสุทัศน์เป็นเครื่องป้องกันตัว หรือเมื่อ วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๙ ที่ผ่านมานี่เอง นายสมศักดิ์ ทุนนา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านวังโพรงเข้ ขับรถกระบะประสานงากับรถบรรทุกที่หน้ากรมที่ดินอำเภอโคกสำโรง รถนายสมศักดิ์ กระเด็นไปไกลหลายสิบเมตรสภาพรถพังยับจนซ่อมไม่ได้ ใครเห็นก็ว่าคนขับไม่รอด ผู้คนที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์พากันไปดูที่รถเพื่อจะช่วยเหลือ ปรากฏว่าไม่เห็นคนขับอยู่ในรถ จึงพากันเดินหาและเห็นนายสมศักดิ์นอนสลบเหมือบอยู่ร่องริมถนนห่างจากจุดที่ ถูกชนประมาณ ๕ เมตร ต่างพากันงงว่าคนขับหลุดออกจากรถได้อย่างไร แม้แต่ตัวนายสมศักดิ์เองพอรู้สึกตัวก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ว่าตัวเองหลุดออกจากรถตอนไหน จำได้แต่ว่าพอเร่งแซงรถคันหน้าก็เห็นรถบรรทุกวิ่งสวนมาอยู่ห่างกันไม่ถึง ๓๐ เมตร สุดวิสัยที่หลบเลี่ยงได้ รู้สึกตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกสุดท้ายได้ยินเสียงดังโครมจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย เมื่อเห็นนายสมศักดิ์ ไม่เป็นอะไร บาดแผลก็ไม่มี แต่มีรอยบวมช้ำที่ศรีษะซักขวากับข้อศอกและหัวเข่าขวาเท่านั้น ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันถามว่ามีของดีอะไร

    นายสมศักดิ์จึงดึงสร้อยคอออกจากเสื้อโชว์ พระปิดตาหยกคำหลวงปู่หอม และเหรียญหลวงปู่หล้าปี๒๕๓๗ ให้ดู ส่วนที่เอวก็มีตะกรุดชุดสามพันตึง หกพันตึง เก้าพันตึงของพระอาจารย์โทน (พระครูวินัยธรอุดร) ที่สร้างตามตำหรับหลวงปู่หล้าทุกอย่าง และในอดีตเมื่อเจ็ดสิบแปดสิบปีที่ผ่านมา วัตถุมงคลของหลวงปู่หล้าเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเขตอำเภอโคกสำโรง ในช่วงที่ชื่อเสียงของหลวงปู่หล้ากำลังจะขยายออกไปสู่ระดับจังหวัดหลวงปู่ หล้าท่านก็ได้มรณภาพเสียก่อน ชื่อเสียงของท่านจึงอยู่แค่ระดับอำเภอ บวกกับสมัยนั้นการสื่อสารไม่เหมือนปัจจุบันนี้ ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงปู่หล้าจึงหยุดอยู่แค่นั้น แม้ท่านจะมรณภาพไปถึง ๕๐ ปีแล้ว ก็ตามแต่คุณวิเศษของหลวงปู่หล้าและวัตถุมงคลของทานยังคงมีคนพูดถึงอยู่เสมอ

    นาย สำรายกับปลัดแสวงเอาไก่ฟ้ามาถวายหลวงพ่อ ท่านบอกว่าพญาไก่แก้วคู่บารมีเราเอง แล้วหลวงพ่อบอกให้สองคนนั้นแก้เชือกที่ผูกขาไก่ออก เขาบอกว่าเดี๋ยวมันก็บินหนีซิครับหลวงพ่อบอกว่าปล่อยดูก่อนซิจะได้รู้ว่ามัน จะหนีหรือไม่หนี ทั้งสองคนจำต้องปล่อยแล้วปรากฏว่าไก่สองตัวนั้นเดินมาหมอบอยู่ข้างเข่าหลวง พ่อข้างละตัว (ตัวหนึ่งหมอบอยู่ข้างเข่าซ้ายอีกตัวหนึ่งหมอบอยู่ข้างเข่าขวา)

    และในเวลาขณะที่หลวงปู่หล้าสิ้นลมหายใจ ไก่แก้วทั้งสองตัว ที่นายร้อยสำราญและปลัดแสวงเอามาถวาย ก็บินขั้นมาตรงที่หลวงพ่อมรณะ มันขันตัวละสามที่ แล้วมันก็บินออกทางหน้าต่าง หายไปในป่าทางเหนือวัด ตั้งแต่วันนั้นมันก็ไม่กลับมาอีกเลย




    วัตถุมงคลที่หลวงปู่หล้าสร้างไว้มีทั้งทางคงกระพันชาตรี ทางเมตตามหานิยม ในช่วงสุดท้ายใกล้มรณภาพหลวงปู่ได้สร้างวัตถุมงคลทางเมตตามหาลาภ และทางป้องกันภูตผีปีศาจคุณไสยมนต์ดำ ดังที่พระจำปีบันทึกไว้ว่า ปี พ.ศ. ๒๔๙๔

    วันหนึ่งคุณนายท่านปลัดแสวงพาเพื่อนที่เป็นแม่ ค้าขายข้าวสารและของอยู่ของกิน (อาหารแห้ง) มาหาหลวงพ่อเพื่อให้ช่วยเหลือเนื่องจากการค้าขายไม่ค่อยจะดี หลวงพ่อจึงเขียนยันต์ค้าขายใส่กระดานหินชวนให้ไป

    เมื่อได้ของจากหลวงพ่อไปไม่นานนัก กิจการการค้าของเพื่อนคุณนายท่านปลัดแสวงก็เจริญรุ่งเรือง ผู้ที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าทราบข่าวนี้ต่างก็พากันมาขอของค้าขายจากหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงสร้างแผ่นยันต์ค้าขายด้วยแผ่นทองเหลืองและทองแดงขึ้นสองชนิด คือ แผ่นยันต์พญาไก่แก้วกุกเหยื่อ สำหรับติดไว้หน้าร้าน และ แผ่นยันต์พญาไก่แก้วออกหากิน สำหรับพกติดตัวไปค้าขาย


    หลวงปู่หล้า ผู้รู้วาระจิตแห่งตน



    พอตกมาปี พ.ศ.๒๔๙๖ หลวงพ่อก็สร้าง มีดหมอพระกุมารด้วยตะปูเจ็ดป่าช้า ขนาดห้านิ้วทรงใบข้าวสร้างจำนวน ๙๙ เล่ม พอสร้างมีหมอพระกุมาร แล้วหลวงพ่อก็บอกผมว่า

    “หยุดสร้างแค่นี้ไม่สร้างอะไรอีกแล้ว”

    ส่วนใครจะสร้างอะไรมาให้เสกก็จะเสกให้

    " ผมจะอยู่ไม่ถึงกึ่งพุทธกาลขอหยุดทำกิจที่ควรทำ(กิจเพื่อหลุดพ้น) ในช่วงสองสามปีสุดท้ายของชีวิต”


    เมื่อพระสงฆ์และฆราวาสทั้งใกล้และไกลได้ทราบ เรื่องว่าหลวงพ่อจะอยู่ไม่ถึงกึ่งพุทธกาลต่างพากันเศร้าโศกเสียใจบางคนก็ถึง กับร้องไห้โฮเลยทีเดียว และต่อมาเมื่อปลัดแสวงทราบเรื่องนี้ท่านจึงมาเป็นประธารประชุมชาวบ้านเพื่อ สร้าง เหรียญรูปเหมือนหลวงปู่หล้า ไว้เป็นอนุสรณ์

    วันที่ ๔ กรกด จันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะแม สับตะสก ๒๔๙๘ ปลัดแสวงไปเรียนปกครองกว่าปีที่เมืองกรุง (วันจันทร์ที่ ๔ กรกฎาคม ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะแม สัปตศก พ.ศ.๒๔๙๘ ปลัดแสวงไปศึกษาหรืออบรมด้านการปกครองต่อที่เมืองหลวง) ได้กลับมาเยี่ยมหลวงพ่อและทำบุญวัยเข้าพรรษา เมื่อได้ทราบว่าหลวงพ่อจะอยู่ไม่ถึงกึ่งพุทธกาล ปลัดแสวงนั่งนิ่งน้ำตาซึมไม่พูดจาอยู่พักหนึ่ง เมื่อทำบุญเสร็จแล้วปลัดแสวงจึงชวนชาวบ้านสร้างเหรียญหลวงพ่อ ชาวบ้านทุกคนเห็นด้วยจึงตกลงกัน ดังนี้

    ปลัดแสวงออกเงิน ๓ ชั่ง นายโสภา ผาสี ๓ ชั่ง นายร้อยสำราญ ๓ ชั่ง (น่าจะเป็นคนเดียวกันกับนายสำราย เครือนิล ที่นำเจ้าหน้าที่ยิ่งต่อสู้กับเสือขาวที่กล่าวมาแล้วในฉบับก่อน) โยมกิมไล้ ๕ ชั่ง (น่าจะเพื่อนคุณนายปลัดแสวงที่มาขอของค้าขายกับหลวงปู่) และชาวบ้านคนละเล็กละน้อยอีกส่วนหนึ่ง เมื่อตกลงกันแล้วหลวงพ่อจึงบอกว่าให้เอาฆ้องแตกนี้ไปทำเดี๋ยวจะลงยันต์ให้

    พอตกกลางคืนหลวงพ่อก็ลงยันต์ที่ฆ้อง พอแจ้ปลัดแสวงก็เอาฆ้องลงยันต์และเอาคนมาถ่ายรูปหลวงพ่อไปแกะพิมพ์ทำเหรียญ ที่เมืองกรุง ในพรรษานั้นพระจำปีบันทึกว่า หลวงปู่แสดงธรรมเองทุกวันพระให้โยมฟังและแสดงนานกว่าทุกพรรษาที่ผ่านมา ตอนเย็นหลังจากทำวัตรเสร็จก็จะอบรมพระเณรและพานั่งสมาธินานกว่าทุก ๆ พรรษาเช่นกัน

    สิ้นแล้วร่มเงาไม้ใหญ่ แห่งโคกสำโรง



    วันที่ ๗ เมถุน พระฤาหัดสะบอดี แรม ๑๕ ค่ำ ปีวอก อัดถะศก อะธิกามาด ๒๔๙๙ (วันพฤหัสบดีที่ ๗ มิถุนายน แรม ๑๔ ค่ำ ปีวอก อัฐศก มีอธิกามาส พ.ศ. ๒๔๙๙) เวลาบ่ายสามโมงเย็นเศษๆ หลวงพ่อก็สิ้นใจมรณะ ในเวลานั้นมีทั้งญาติโยมบ้านใกล้และไกลร้อยเกิน (กว่าร้อยคน) พระสงฆ์วัดต่างๆ อีกสามสิบสี่สิบรูปพากันมาดูใจหลวงพ่อ แทบจะทุกคนพากันร้องไห้ และในเวลานั้นเองไก่แก้วสองตัวที่นายร้อยสำราญและปลัดแสวงเอามาถวาย ก็บินขั้นมาตรงที่หลวงพ่อมรณะ มันขันตัวละสามที่ แล้วมันก็บินออกทางหน้าต่าง หายไปในป่าทางเหนือวัด ตั้งแต่วันนั้นมันก็ไม่กลับมาอีกเลย

    เวลาเกือบห้าโมงเย็น ผู้คนหลายร้อยก็ร่วมกัน อาบน้ำศพหลวงพ่อ มีหลวงพี่หอมกับนายร้อยสำราญ เป็นหัวหน้า (เป็นประธาน) และในเวลานั้นเองฝนก็ตกลงมาอย่างไม่มีเค้ามาก่อน (ไม่มีเมฆหรือที่ท่าว่าจะ ตกมาก่อนหน้านี้) หลวงพี่หอมบอกว่าเทวดาร่วมสรงน้ำศพหลวงพ่อ ผู้คนได้ฟังอย่างนั้นก็พากันขนลุกขนชัน (ขนลุกด้วยอัศจรรย์ในปาฏิหาริย์) ฝนตกลงมาสองสามอึดใจก็หาย (ก็หยุด) พออาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนผ้าครองให้ท่านใหม่ ผ้าชุดที่หลวงพ่อใส่มรณา ทั้งพระทั้งโยมต่างแย่งกันจนวุ่นวาย หลวงพ่อหอมจึงต้องให้พระช่วยกันตัดเป็นชื้นเล็กๆ แจกให้ทั่วกันทุกๆ แล้วก็นำร่างไร้วิญญาณของหลวงพ่อใส่ในโรงไม้สักอย่างงามที่นายร้อยสำราญกับ โยมกิมไล้ เตรียมไว้เป็นเดือนแล้ว แล้วก็เอาโลงศพไปตั้งสวดที่ศาลา

    หลังจากหลวงพ่อมรณาได้ ๕ วันปลัดแสวงจึงมาจากเมืองกรุง มาถึงก็ร้องไห้โฮแบบไม่อายใครทำให้คนอื่นที่เคยร้องไห้ไปก่อนแล้ว พากันร้องไห้ตามปลัดแสวงอีก ตลอดหกวันหกคืนมีผู้คนมางานศพหลวงพ่อวันคืนละหลายร้อยคน พระมาเกินกึ่งร้อยทุกวัน วันที่ ๑๓ เมถุน พุด ขึ้น ๖ ค่ำ ปีวอก อัดถะศก อะธิกามาด ๒๔๙๙ (...) เวลาบ่ายสองโมงเศษ ก็ทำการเผาศพหลวงพ่อ ที่ลานวัดหน้ากุฏิ มีเจ้าคุณรามมาจากนพบุรี (ลพบุรี-พระเถระระดับจังหวัดในสมัยนั้น) เป็นหัวหน้าสงฆ์ หลวงบอวอนสัก นะอะโยธะยา (คนเดียวกันกับเจ้านายใหญ่ชื่อบวรศักดิ์ สุริยงค์ ณ อยุธยา) เป็นหัวหน้าฝ่ายโยม (ประธานฝ่ายฆราวาส) วันนั้นมีผู้คนมากมายจนแน่นลานวัดไปหมด คงใกล้จะกึ่งหมื่น (เกือบจะครึ่งหมื่น) พระสงฆ์อีกเกินร้อย กว่าผู้คนจะหมด ตะวันเกือบจะตกดิน จึงได้จุดไฟกองฟอน (เชิงตะกอน) เผาศพหลวงพ่อในตอนนั้นก็เหลืออยู่แต่หลวงพี่หอม ปลัดแสวง นายร้อยสำราญ โยมกิมไล้ พร้อมชาวบ้านอีกเกือบร้อยคน พอไฟไหม้โลงวอดไป ก็ต้องแปลกใจที่เห็นจีวร ห่มครองร่างหลวงพ่อไม่ยอมไหม้แล้วร่างหลวงพ่อจะไหม้หรือ... และในตอนนั้นเวลาใกล้จะสองทุ่มแล้ว ก็มีผู้หญิงขี่ม้าเข้ามาหานายร้อยสำราญกับปลัดแสวง

    ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเสือขาวขออนุญาตเข้ามา คารวะศพหลวงพ่อ ปลัดแสวงกับนายร้อยสำราญมองหน้ากันแล้วก็บอกผู้หญิงคนนั้นให้เสือขาวเข้ามา ได้ ผู้หญิงคนนั้นหายไปพักหนึ่งก็กลับเข้ามาพร้อมเสือขาวและสมุนอีกเกือบสิบคน พอมาถึงพากันคุกเข่ากราบศพหลวงพ่อที่ไปกำลังลุกไหม้อยู่พอกราบศพหลวงพ่อแล้ว เสือขาวก็มาไหว้หลวงพี่หอม ไหว้ผม แล้วก็ไปไหว้ปลัดแสวงกับนายร้อยสำราญ แล้วขุนโจรกับเจ้าหน้าที่ทั้งสองก็จับมือกัน เสือขาวพูดว่า

    “ขอบคุณท่านทั้งสองที่ ให้ผมได้มาคารวะพระอาจารย์ วันนี้เราเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน วันต่อไปท่านเจอผมขอท่านทั้งสองจงปฏิบัติตามหน้าที่ของท่านเถิด อย่าได้คิดว่าเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เลย”

    แล้วเสือขาวพร้อมสมุนก็ขึ้นม้าลาจากไปกับความมืดผม รู้สึกชอบน้ำใจเสือขาว ที่มีสัมมาคารวะให้ความเคารพยำเกรงต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่เข้ามาโดยภาระ การ ทั้งที่มีกำลังเหนือกว่าในเวลานั้น

    เมื่อสองสามปีที่ผ่านมามีข่าวว่าเสือขาวถูกเจ้าหน้าที่ยิงตายที่อะโยธะยา จึงไม่เป็นความจริง ตอนนั้นหลวงพ่อยังอยู่มีคนมาบอกว่าเสือขายตายแล้ว หลวงพ่อได้แต่หัวเราะ หึ ๆ แสดงว่าหลวงพ่อรู้แล้ว ว่าเสือขาวยังไม่ตายตามข่าวที่เขามาบอก แต่ตอนนั้นผมไม่เข้าใจที่หลวงพ่อหัวเราะ

    เมื่อเสือขาวพร้อมสมุนกลับไปแล้ว ก็ หันมาดูร่างหลวงพ่อที่อยู่ในกองไฟ และไม่มีทีท่าว่าไฟจะไหม้ร่างหลวงพ่อเลย หลวงพี่หอมจึงขวนผมและโยมสำเภา (ลูกชายหลวงปู่หล้า) ไปจุดธูปบอกวิญญาณหลวงพ่ออย่าให้เป็นอย่างนี้เลย ปล่อยให้ไฟไหม้ร่างไปเถอะจะได้ไม่อุจาด เมื่อเราสามคนจุดธูปบอกวิญญาณหลวงพ่อแล้วก็มานั่งดูตามเดิม ดูอยู่พักใหญ่จนไฟสิ้นเปลว เหลือแต่ถ่านแดง ๆ ที่ยังลุกโพลงร้อนระอุอยู่ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าร่างหลวงพ่อจะไหม้เลย ตอนนี้มีชาวบ้านออกมาดูกันเต็มไปหมด หลวงพี่หอมจึงชวนผม นายร้อยสำราญ ปลัดแสวง โยมสำเภา โยมกิมไล้ นายภา ทายกจำปา มานั่งปรึกษาหารือกันที่บนกุฏิว่าจะทำอย่างไรกันดีกับศพหลวงพ่อ ปลัดแสวงพูดว่าจะเก็บศพหลวงพ่อไว้ และจะไปซื้อโลงแก้วไร้อากาศ (สูญกาศ) มาใส่ศพหลวงพ่อเก็บไว้ หลวงพี่หอมไม่เห็นด้วย บอกว่าบ้านป่าเมืองดงเก็บไว้ก็ลำบาก จึงตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะเอาบันไดแม่หม้ายมาทำฟืนเผาดูอีกที (วิธีล้างอาถรรพ์ ตามความเชื่อโบราณ)



    วันรุ่งขึ้นชาวบ้านก็ช่วยกันหาฟืนมาทำกองฟอน (เชิงตะกอน) เพื่อเผาร่างหลวงพ่ออีกเที่ยวหนึ่ง พอใกล้จะเพลก็พร้อมที่จะทำกองฟอนใหม่ ชาวบ้านและพระก็ช่วยกันยกร่างหลวงพ่อออกจากกกองขี้เถ้า เพื่อจะเอาฟืนเข้าไปวางทำกองฟอนในที่เดิม พอเข้าไปจับร่างหลวงพ่อผ้าจีวรที่ห่อร่างหลวงพ่ออยู่ ก็กรอบเป็นขี้เถ้าไปหมด จึงต้องเอาจีวรผืนใหม่มาห่อร่างหลวงพ่อไว้อีก ไม่วายที่ผู้คนจะแย่งเอาขี้เถ้าจีวรหลวงพ่อ รวมทั้งตัวผมด้วย พอทำกองฟอนเสร็จ ก็เอาบันไดโยมเป้ที่เป็นแม่หม้ายวางบนกองฟอน แล้วก็เอาร่างหลวงพ่อวางบนบันไดนั้น แล้วก็ทำพิธีจุดไปเผาโดยหลวงพี่หอมเป็นคนจุด เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมงไฟลุกไหม้จนบันไดเป็นถ่านแดงจวนจะหมดแล้ว ร่างหลวงพ่อก็ยังอยู่เหมือนเดิม ถึงตอนนี้มีผู้คนบ้านอื่นมาดูกันเป็นจำนวนมาก เมื่อบันไดไม่สามารถล้างอาถรรพ์ได้ พ่อเฒ่าเหลี่ยมจึงให้พวกโยมผู้หญิง ที่เป็นแม่หม้ายไปเอาผ้าถุงมาคนละผืน เอามาแล้วก็เอาใส่ไฟลอบ ๆ กองฟอน โดยไม่ให้ถูกร่างหลวงพ่อ อึดใจเดียวไฟก็ไหม้ผ้าถุงหมด แต่ร่างหลวงพ่อยังอยู่เหมือนเดิม แม้แต่เส้นผมกับผ้าจีวรที่ห่มให้ใหม่ ก็ยังไม่ไหม้เหมือนเดิม จนใกล้จะห้าโมงเย็นกองฟอนก็เหลือแต่ขี้เถ้า ร่างหลวงพ่อยังอยู่เหมือนเดิม หลวงพี่หอมจึงตัดสินใจให้ฝังร่างหลวงพ่อไว้ที่ตรงเผานั้นเอง และก็ไม่มีใครขัด ชาวบ้านจึงช่วยกันขุดหลุม ใกล้จะสองทุ่มก็ขุดหลุมเสร็จ แล้วก็ทำพิธีฝังร่างหลวงพ่อไว้ตรงนั้น และตกลงกันว่าอีกสามปีจึงจะขุดเอากระดูก หลวงพ่อขึ้นมาทำบุญใส่ธาตุ (ใส่เจดีย์) ไว้บูชา พอวันรุ่งขึ้นชาวบ้านก็ออกมาร่วงกันทำบุญ ๗ วัน อุทิศส่วนกุศลไปให้หลวงพ่อตามประเพณี พอทำบุญเสร็จก็ช่วยกันทำรั้วล้อมตรงที่ฝังร่างหลวงพ่อไว้ แล้วก็เอาหญ้าแฝกและหญ้าแพรกมาปลูกที่หลุมศพหลวงพ่อตามประเพณีเช่นกัน

    หลวงปู่หล้า พระเกจิผู้มีพลังจิตล้ำลึก
    หลวงพ่อเดิมท่านยังยอมรับในพลังจิตของหลวงปู่หล้า
    ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้ากัน !!





    ครั้งหนึ่งคราวกาลก่อนนั้น หลวงพ่อเดิมท่านได้รับนิมนต์มาปลุกเสกวัตถุมงคล

    ณ.วัดแห่งหนึ่ง ใน จ.ลพบุรี

    เป็นที่ทราบดีว่าชื่อเสียงหลวงพ่อเดิมในยุคนั้นท่านโด่งดังมาก



    หลวงปู่หล้า..ท่านได้ให้คนในวังโพรงเข้

    นำเทียน(เล่มเล็กที่จุดบูชาพระ)ไปถวายให้หลวงพ่อเดิม

    เมื่อเดินทางไปถึงจึงรอเวลา เพราะช่วงหลวงพ่อเดิม ท่านพุทธาภิเษก

    แล้วเสร็จ จะมีผู้คนห้อมล้อมกราบนมัสการและขอของดีจากท่านมากมาย

    จนผู้คาเริ่มจะบางตา จึงเร่งนำเทียนไปถวายท่าน

    และเมื่อหลวงพ่อเดิม ท่านรับเทียน จากชายดังกล่าว

    ท่านก็มอบให้ผ้าไตรจีวร ให้กลับมา และไม่ได้กล่าวอะไรอีก

    การสื่อสารของพระอริยะ มันเป็นเรื่อง อจินไตย

    อย่างเมื่อครั้งหลวงปู่สาม วัดป่าไตรวิเวกฯ ท่านเดินทางไปเยี่ยม

    หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ตอนที่ท่านอาพาธ เมื่อเดินทางไปถึงท่านนั่ง

    สงบนิ่งอยู่หน้าห้องชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วท่านก็กราบหลวงปู่ดุลย์อยู่ที่หน้าห้อง

    แล้วท่านก็เดินทางกลับ และเมื่อมีคนถามท่านว่า หลวงปู่ทำไมไม่เข้าไปสนธนา

    กับหลวงปู่ดุลย์ ท่านตอบว่าเราพูดคุยกับท่านเสร็จแล้ว !!!!


    อย่างกรณี หลวงพ่อเดิม กับ หลวงปู่หล้า ท่านคงจะมีการสื่อสารกันแล้ว

    คนเก่าแก่แถววัดวังโพรงเข้ ต่างยืนยันตรงกันว่าหลวงปู่หล้าท่านไม่เคยพบกับ

    หลวงพ่อเดิม และไม่มีการติดต่อสื่อสารกันมาก่อนแต่อย่างไร

    นั้นเป็นเรื่องของทางโลก แต่ทางจิตวิญญาน ทางอาจจะสนิทสนมกันมาก

    เกินกว่ามนุษย์ปุถุชนคนเดินดินอย่างเราจะหยั้งลึก ที่จะเข้าใจ

    หลวงพ่อเดิมท่านคงยอมรับในคุณวิเศษ แห่งองค์หลวงปู่หล้า

    ท่านจึงได้มอบถวายผ้าไตรจีวรมาให้ท่าน



    หลวงปู่หล้า วาจาสิทธิ์
    เกินครึ่งศตวรรษมาแล้ว
    วาจาสิทธิ์ของท่าน
    ก็ยังคงแสดงปฎิหารย์ให้เห็นอยู่เสมอ




    เชื่อหรือไม่!! ที่โบสถ์วัดวังโพรงเข้
    ไม่มีนกมาเกาะที่หลังคาโบสถ์
    เกินครึ่งศตวรรษมาแล้ว !!
    ทั้งๆที่วัดข้างๆห่างไปไม่ถึงกิโลดี
    กลับมีนกเกาะอยู่เต็มหลังคาโบสถ์
    เหมือนเช่นทุกวัดทั่วไป


    รายการที่ 1 ไม้อาถรรพณ์พันชาติ เสาโบสถ์ หลวงปู่หล้า วัดโพรงเข้ แกะเป็นรูปครูบาศรีวิชัย ด้านหลังพระพุทธชินราช พร้อมกล่องเดิมจากวัด 450 บาทครับ ขอค่าส่งเพิ่ม 50 บาท

    ปิดแล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2014
  3. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รายการที่ 2 สมเด็จเศรษฐีทันใจ เสาร์ 5 พร้อมกล่องเดิมจากวัด หลวงพ่อเณร

    วัดทุ่งเศรษฐี ราม2 รุ่นนี้โภคทรัพย์ ออกมาราคาไม่แพงแต่หมดไปอย่างรวดเร็ว

    เพราะที่องค์พระรุ่นนี้ฝังพระธาตุที่เห็นเม็ดใสๆๆ ได้พระด้วยได้พระธาตุด้วยคุ้มมากครับ

    บูชา 250 บาท ค่าส่งเพิ่ม 50 บาท

    ปิดครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2014
  4. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รายการที่ 3 สมเด็จชมพู กฐินปี 53 วัดถ้ำแฝด สีชมพูนี้ไม่ได้ย้อมสีแต่เป็นดิน ปิดครับ

    ที่เอามาจากในถ้ำวัดถ้ำแฝด ที่เจ้าที่ที่นั่นให้เอามาทำวัตถุมงคล พระดีครับ

    มีผงเหล็กไหลตาแรดเป็นส่วนผสมด้วย ขึ้นชื่อเรื่องแคล้วคลาด

    บูชาไม่แพง 100 บาท ค่าส่ง 50 บาท สำหรับคนชอบสะสม พระคมสวยไม่มีรอยบิ่น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2014
  5. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รายการที่ 4 พระเศียรพรหม หลวงปู่ดู่ วัดสะแก เช่ามาจากวัดหลายปีแล้ว องค์นี้

    เห็นด้านหลังแปลกดีมีก้อนใสๆๆ ไม่ทราบว่าเป็นพระธาตุหรือไม่ บูชาไปราคาวัด

    เลยครับ ไม่ต้องนั่งรถไปที่วัด มาที่นี่ราคาเท่ากัน 300 บาทแถมกรอบสแตนเลส

    เอาไปใส่ได้เลยหรือจะเอาไปกำนั่งสมาธิก็ได้ ค่าส่งเพิ่ม 50 บาท

    ปิดครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2014
  6. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รายการที่ 4 เศียรฤาษี วัดหนองม่วง ปี 49 พร้อมกล่องเดิม ปิดครับ

    บูชาไม่แพง 150 บาท ค่าส่งเพิ่ม 50 บาทครับ

    สำหรับคนชอบฤาษีครับ รูปทรงโบราณดี ดูธรรมชาติ ขลังดีครับ

    ทำสิ่งใดขอให้ระลึกถึงครูอาจารย์ จะสำเร็จได้ดังใจหวังครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2014
  7. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รายการที่ 5 เหรียญมหาลาภเนื้อทองแดง ครูบาบุญทา วัดเจดีย์สามยอด ปิดครับ

    พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง "ครูบาบุญทา ยติกโร" เจ้าอาวาสวัดเจดีย์สามยอด อ.ป่าซาง จ.ลำพูน เชี่ยวชาญวิทยาคมได้รับการยกย่องในล้านนา

    วัตถุมงคลประเภทพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมาก

    บุคลิกที่โดดเด่นของครูบาบุญทา ในขณะอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลและเครื่องมงคลในสายล้านนาก็คือ มักจะนำเหรียญวัตถุมงคล ตั้งชูไว้ในมือและหันเหรียญไปรอบทิศหลายช่วงเวลาตลอดพิธี ซึ่งสร้างความประหลาดใจแก่ศิษย์ที่รับใช้ใกล้ชิด แม้ท่านบริกรรมพระคาถาปลุกเสกวัตถุมงคลอื่นใดที่ผู้มีจิตศรัทธานำมากราบขอบารมีท่าน เพียงแค่อึดใจศิษย์หลายคนต่างมั่นใจวัตถุมงคลนั้นๆ แล้ว

    หลังจากเสร็จพิธีท่านอธิบายอย่างย่อให้ศิษย์ฟังว่า "เพื่อรับพลังพุทธานุภาพ พรหมานุภาพ และเทวานุภาพ และโพธิสัตว์บารมีจากครูบาอาจารย์ที่ท่านเชิญมาร่วมพิธี ซึ่งอยู่รายล้อมรอบทิศทั่วบริเวณวัด"

    สำหรับวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงของครูบาบุญทา คือ เหรียญรุ่นแรก วัวแดง ยันต์หนีบ และตะกรุดปัญญาไว ซึ่งมีพุทธคุณที่เชื่อว่าจะทำให้เรียนหนังสือได้เก่ง ดังนั้น คณะศิษย์ที่มีความเลื่อมใสครูบาบุญทา มักจะนำไปมอบให้เด็กนักเรียนไว้ติดตัวเป็นสิริมงคล



    ทั้งนี้ ครูบาบุญทาอนุญาตอย่างเป็นทางการให้มูลนิธิพระอภิญญาจารย์ จัดสร้าง ด้วยวัตถุประสงค์เป็นอาจาริยบูชา ถวายวัดเจดีย์สามยอด นำออกให้บูชาสมทบทุนหารายได้สร้างเสนาสนะภายในวัด อีกทั้งมอบตอบแทนแก่ ผู้ร่วมบริจาคทรัพย์สมทบทุนมูลนิธิ ที่รับอุปถัมภ์มูลนิธิดังกล่าว



    วัตถุมงคลที่กำลังเป็นที่นิยมของนักนิยมพระขลังทั่วประเทศ ไล่เรียงตั้งแต่เหรียญรุ่นแรก รูปไข่ ครึ่งองค์ หลังยันต์แก้วมณีโชติ ที่สร้างเพียง 3 เนื้อ คือ เนื้อเงิน, เนื้อสัตโลหะ และเนื้อทองแดง เหตุที่ได้รับความนิยม เพราะ ครูบา ท่านปลุกเสกเหรียญด้วยพิธีเปิดโลก ตามแบบของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก เมื่อวันเสาร์ ที่ 5 เดือน 5 ปี 55 (วันฉัตรมงคล)



    ส่วนเหรียญวัดสร้าง อีกรุ่น ชื่อ "มหาลาภ" เป็นเหรียญทรงกลม รูปครูบาบุญทาครึ่งองค์ ช่างแกะแม่พิมพ์ได้เหมือนครูบาป่าซางเป็นที่สุด จัดพิธีปลุกเสกเมื่อวันพฤหัสที่ 26 ก.ค.2555 โดยครูบาบุญทาปลุกเสกเหรียญด้วยพิธีเปิดโลกอีกเช่นเคย



    การปลุกเสกแบบเปิดโลก เป็นการอธิษฐานพลังงานชั้นสูงให้ประสานกันหมด มาจากพุทธประวัติ ตอนพระพุทธเจ้าเปิดโลก หลังจากเสด็จโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พิธีอย่างนี้เคยมีครั้งหนึ่งตอนที่ "หลวงปู่ดู่" วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา ปลุกเสกเหรียญหลวงปู่ทวด รุ่นเปิดโลก โดยอัญเชิญบารมีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์, พระปัจเจกพุทธ, พระอรหันต์, พระโพธิสัตว์ และบารมีชั้นสูง ทุกรูปทุกนาม ประมวลกันเป็นพลังงานประจุในพระเครื่อง



    นี่จึงทำให้วัตถุมงคลของ "ครูบาบุญทา" มีพลังงานสูง เมื่อบูชาแล้วเป็นการเปิดโอกาส เปิดความเจริญก้าวหน้า เปิดสิ่งดีๆ ให้เข้ามาในชีวิตอย่างมากมาย เปิดยศถาบรรดาศักดิ์ เปิดทรัพย์สินเงินทองเข้ามา



    "เหรียญมหาลาภ" มีพุทธคุณในด้านเร่งลาภ เร่งผล เร่งโชค โภคทรัพย์ทั้งปวง ทำมาหากินคล่อง ทำมาหากินขึ้น หยิบจับอะไรเป็นเงินเป็นทองไปทุกอย่าง ข้าวเต็มล้นฉาง น้ำล้นคลอง เงินทองเต็มล้นบ้าน ซื้อง่ายขายคล่อง จึงร่ำรวยเร็ว เป็นเศรษฐีไว จัดสร้าง 2 เนื้อ คือ เนื้อเงิน จำนวน 488 เหรียญ มีโค้ด และหมายเลขกำกับทุกเหรียญ และเนื้อทองแดง สร้างจำนวน 5,000 เหรียญ



    นอกจากนี้ ยังมีเหรียญเนื้อทองแดง แจกกรรมการโดยพอกครั่งมดดำ และฝังพลอยเสกไว้ด้านหลังอีก 1,000 เหรียญด้วย

    บูชา 200 บาท ค่าส่ง 50 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2014
  8. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รายการที่ 5 เหรียญรุ่นแรก ครูบาบุญทา วัดเจดีย์สามยอด เนื้อทองชนวน

    แกะนูนสูง เหรียญใหญ่

    วัตถุมงคลดังกล่าว ท่านครูบาได้เมตตาแนะนำให้สร้างตามตำรับล้านนาโบราณ โดยให้ใช้ยันต์ “แก้วมณีโชติ” จากต้นตำรับล้านนาแท้ๆ ที่ท่านใช้เป็นยันต์ประจำตัว ไว้หลังเหรียญ เหรียญมีขนาดใหญ่ ประมาณ ๔ ซม.(ไม่รวมห่วงเหรียญ) ออกแบบโดยวิธีปั้นแบบพิมพ์ขนาดใหญ่ แล้วย่อลงเท่ากับขนาดเหรียญ ด้วยฝีมือช่างที่มีความละเอียดประณีต ทำให้เหรียญมีความคม นูนชัด และเหมือนตัวจริงท่านครูบามากที่สุด

    ในส่วนของเหรียญเนื้อสัตตโลหะนั้น มูลนิธิพระอภิญญาจารย์ ผู้จัดสร้างได้รวบรวมชนวนมวลสารที่สำคัญ เช่น ชนวนพระกริ่งชินราชเข่าลอย หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม, ชนวนพระกริ่งหลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง, ชนวนรูปหล่อหลวงพ่อทวด รุ่นสำคัญๆ หลายรุ่น, พระบูชาขอมโบราณ, ชนวนสำคัญของวัดสายกรรมฐาน และโลหะธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์อีกมากมาย นำมาหลอมรีดเป็นแผ่น ก่อนปั๊มเป็นเหรียญเนื้อสัตตโลหะที่มีผิวสีรุ้ง แบบโบราณ สวยงาม แปลกตา ทรงคุณค่ายิ่ง ส่วนแผ่นโลหะที่เหลือจากการปั๊มเหรียญสัตตโลหะ ได้นำมาเป็นชนวนผสมกับทองแดง ปั๊มเป็นเหรียญเนื้อทองชนวน

    เนื้อทองชนวน สร้างจำนวน 2,616 เหรียญ

    ขนาดความสูง 4.4 ซ.ม. กว้าง 3 ซ.ม. มีโค๊ด 1 โค๊ดกำกับทุกเหรียญ

    บูชา 500 บาท ค่าส่ง 50 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รายการที่ 6 หลวงพ่อไกร วัดลำพะยา จ.ยะลา พระบ้านได้มาไม่ทราบปี

    เจ้าของเดิมแกะทองที่เลี่ยมไปขายเหลือแต่พระกับกรอบพลาสติก

    สังเกตุกรอบพลาสติกเลี่ยมไม่มีหูห้อย

    พระคมสวยรายละเอียดเยอะครับ

    บูชา 350 บาท ค่าส่ง 50 บาทครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    เชิญสอบถามได้ครับ พระไม่แพง หลักร้อย แต่แท้ทุกองค์
     
  11. Sunny Moon

    Sunny Moon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,388
    ค่าพลัง:
    +1,760
    ของจองค่ะ
    รายการที่ 2 สมเด็จเศรษฐีทันใจ เสาร์ 5 พร้อมกล่องเดิมจากวัด หลวงพ่อเณร
    รายการที่ 4 พระเศียรพรหม ลป.ดู่ วัดสะแก
    ค่าส่ง 2 องค์เท่าไรค่ะ
     
  12. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    ค่าส่งครั้งละ 50 บาทครับ
     
  13. Sunny Moon

    Sunny Moon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,388
    ค่าพลัง:
    +1,760
    โอนเงินแล้วค่ะ
    ที่อยู่จัดส่งแจ้งทาง pm ค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      102.9 KB
      เปิดดู:
      65
  14. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รับทราบครับ จะจัดส่งให้พรุ่งนี้ครับ
     
  15. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รายการที่ 7 หลวงพ่อผินะ วัดสนมลาว พระสูตรพิมพ์เล็ก 500 บาท

    ในเมืองไทยนั้นมักมีเรื่องราวที่เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าพระภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นพระสงฆ์ที่ได้เจริญตามรอยแห่งพระพุทธเจ้าโดยแท้จริง หากได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดก็จะมีปรากฏการณ์มหัศจรรย์แห่งจิตเกิดขึ้น ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาที่เน้นเรื่องจิตวิญญาณเป็นหลักใหญ่ และให้ปล่อยวางสังขารทั้งหลายเสีย เพราะร่างกายสังขารเหล่านั้นย่อมเป็นไปตามกฏแห่งไตรลักษณ์ อันเกิดขึ้นตั้งอยู่แปรเปลี่ยนและดับไป และจิตนี้สามารถแสดงกฤษดาปาฏิหารย์ต่างๆได้อย่างเต็มพลัง

    หลายคนเคยได้ยินหรือเห็นเรื่องราวของ หลวงพ่อผินะ มาบ้างแล้ว ซึ่งชื่อนี้เพิ่งเริ่มมาปรากฏขึ้นตามสื่อต่างๆเมื่อสามปีที่แล้ว เพราะท่านเป็นพระที่นั่งสมาธิถอดจิตมรณภาพ และสังขารท่านไม่เน่าเปื่อย ท่านได้รู้วันมรณภาพของท่านก่อน อีกทั้งยังได้สั่งว่า “ จงเก็บร่างของฉันไว้ตรงนี้สิบปี อีกสิบปีข้างหน้าฟ้าจะผ่าที่นี่ แล้วให้ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ในเมืองไทยนั้นมีพระที่มรณภาพแล้วสังขารไม่เน่าเปื่อยมากมาย แต่ที่นั่งสมาธิมรณภาพเหมือนหลวงพ่อผินะแล้วสังขารไม่เน่านั้นมีไม่กี่รูป หลวงพ่อผินะได้มรณะภาพตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545 เป็นการนั่งสมาธิมรณภาพถอดจิตออกจากร่าง ในสมัยก่อนนั้นได้เคยมีรายการทีวีไปขอสัมภาษณ์ท่านแต่ท่านก็ปฏิเสธ การสร้างวัดของท่านก็ไม่เคยไปรบกวนญาติโยมให้เป็นที่เหนื่อยใจแก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหา ที่สำคัญท่านได้สร้างตามนิมิตที่เกิดขึ้น เหมือนดั่งจำลองสรวงสวรรค์ลงมาบนโลกมนุษย์ และได้ทำให้เป็นปริศนาธรรมเพื่อให้คนเรานั้นได้คิด มีแต่ว่าใครศรัทธาก็มาทำบุญกันไปตามกำลังอันควร แนวทางการสอนธรรมะของท่านก็เน้นเรื่องการแก้ไขสัญญาวิปลาสที่ยึดติดอยู่ในรูปร่างกายที่มักเห็นว่าเป็นของสวยงาม แต่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยรังแห่งโรค เป็นที่น่าสกปรก เน่าเสียเปลี่ยนแปลงไปทุกวันไม่คงที่ ซึ่งที่เราเรียกว่าอสุภกรรมฐาน นอกจากนี้ท่านยังได้แผ่บารมีช่วยเหลือลูกศิษย์ตามเรื่องเดือดร้อนของคนนั้นๆเป็นรายๆไป จนมีความเจริญรุ่งเรืองตามลำดับ ลูกศิษย์ของท่านมีตั้งแต่ตำรวจทหารที่มียศมีตำแหน่ง นายแพทย์ผู้มีชื่อเสียง ข้าราชการและพ่อค้า รวมไปถึงผู้ที่นิยมชมชอบเรื่องการนั่งกรรมฐาน



    หลวงพ่อผินะท่านได้เดินธุดงค์ไปห้าประเทศในเอเซียเป็นเวลาหลายสิบปี ได้เคยไปกราบท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระผู้เป็นแม่ทัพธรรมแห่งแดนอีสาน ได้รับคำแนะนำเรื่องการปฏิบัติธรรมจากครูบาอาจารย์หลายท่าน เชื่อกันว่าหลวงพ่อผินะนั้นเป็นผู้ที่สำเร็จกสิณต่างๆ เป็นผู้ที่มีจิตเข้มแข็งล่วงรู้อดีตและอนาคตได้ สามารถอธิษฐานจิตช่วยเหลือผู้ที่มีเคราะห์กรรมให้ผ่านพ้นไปได้ ที่สำคัญหลวงพ่อผินะได้สร้างวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังได้อย่างศักดิ์สิทธิ์เข้มขลังอย่างมาก วัตถุมงคลและเครื่องรางของท่านนั้นผู้ที่ได้ไปบูชาติดตัวอยู่ต่างก็รับรู้ถึงประสบการณ์ที่สามารถพิสูจน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุ้มครองแคล้วคลาด โชคลาภ เมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี กันเสนีดจัญไรคุณไสย์ต่างๆ เรียกได้ว่าครอบจักรวาลไม่เป็นที่สองรองใคร เพราะเครื่องรางยุคต้นของท่านนั้นได้ทำจากสิ่งที่เอาได้ยากของสตรี ผสมกับว่านสมุนไพรต่างๆที่ท่านได้รวบรวมตอนที่ท่านธุดงค์อยู่ในป่า และที่สำคัญอีกอย่างก็คือเครื่องรางของท่านมีเอกลักษณ์เป็นรูปเดือนและดาว เครื่องรางรูปดาวอาถรรพ์ นี้ถือว่าเป็นเครื่องรางที่สร้างขึ้นมาไม่เลียนแบบใคร ท่านได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นปริศนาธรรมตามนิมิต โดยด้านหนึ่งเป็นดาวห้าแฉกอันหมายถึงพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ของภัทรกัปป์นี้ อีกด้านเป็นดาวแปดแฉกอันหมายถึงพระอรหันต์แปดทิศที่คุ้มครองทิศทั้งแปด เครื่องรางดาวอาถรรพ์นี้สร้างน้อยมาก มีหลายเนื้อหลายพิมพ์ทั้งใหญ่และเล็ก เชื่อว่าแต่ละพิมพ์นั้นสร้างเป็นหลักสิบและหลักร้อยต้นๆเท่านั้น ที่สำคัญก็คือเป็นที่หวงแหนของลูกศิษย์เป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่จะอยู่กับผู้มีอันจะกินทั้งตำรวจทหารและนายแพทย์ ผู้ที่ได้ครอบครองก็มักจะได้รับรู้ถึงพลังที่หลวงพ่อผินะได้ประจุเอาไว้ หลวงผ่อผินะได้เรียกเครื่องรางชนิดนี้ว่า “แม่เนื้อหอม” ท่านมักจะให้ใช้น้ำหอมมาเป็นเครื่องบูชาและทำการอธิษฐานในเรื่องที่ตัวเองปรารถนาเอาไว้ นอกจากนี้ก็ยังบนบอกให้ช่วยเหลือก็ได้ มักจะได้รับความสำเร็จเป็นคราวๆไป ดาวอาถรรพ์ที่ถูกสร้างขึ้นในยุคต้นประมาณปี 2500 นั้น ตอนนี้กำลังเป็นที่เสาะหากันเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นของที่สร้างน้อยมาก และเมื่อมีคนนำไปใช้ก็เห็นผลเป็นอย่างมาก จึงทำให้ราคาในการที่จะได้มาก็หลายหมื่น เท่าที่ปรากฏเมื่อปลายปีที่แล้วได้แตะหลักสิบสองหมื่นไปแล้ว ซึ่งราคาในขณะนี้ยังคงขึ้นไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเป็นเครื่องรางที่แซงทางโค้งไล่คู่คี่ของพระผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิมมาติดๆ ส่วนรุ่นหลังๆราคาก็ยังคงไม่แพงนัก การใช้เครื่องรางยุคแรกที่เรียกว่าแม่เนื้อหอมนั้นหลวงพ่อผินะท่านไม่ให้แขวนรวมกับพระเครื่อง เพราะบางส่วนที่นำมาผสมนั้นเกี่ยวข้องกับสตรี ท่านได้ให้แขวนไว้แถวเอว แต่ถ้าแขวนเดี่ยวก็แขวนคอได้เลย ส่วนดาวอาถรรพ์ยุคหลังนั้นแขวนรวมกับพระเครื่องทั่วไปได้ ที่สำคัญ หลวงพ่อผินะท่านให้แขวนแบบเอียง ๆ หลวงพ่อท่านบอกว่าใจคนนั้นไม่ตรงเท่าไหร่ จะเห็นได้ว่าทุกอย่างที่ท่านได้บอกกล่าวนั้นล้วนแต่เป็นปริศนาธรรมทั้งสิ้นเพื่อให้ผู้มีปัญญาทั้งหลายได้ขบคิดตีความตามแนวทางเฉพาะตัวของท่านในการสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาเพื่อให้คนทั้งหลายมีดวงตาเห็นธรรม ยังมีอีกเรื่องที่มักปรากฏกับผู้ที่ได้รับแม่เนื้อหอมไปแล้ว ก็คือหากเก็บรักษาไม่ดีเท่าที่ควร แม่เนื้อหอมก็จะหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ บางทีก็เหลือแต่กรอบเปล่าก็มี คล้ายกับสมเด็จเสด็จกลับของหลวงปู่สุภาที่จังหวัดภูเก็ต

    นอกจากเครื่องรางรูปดาวอาถรรพ์แล้ว ยังมีเครื่องรางอีกประเภทคือ “คุณพ่อปลัด” ปลัดของหลวงพ่อผินะนั้นท่านได้ทำค่อนข้างใหญ่ ยาวเกินคืบ ต้องคนที่ใจรักจริงๆถึงจะพกได้ แต่ที่สำคัญนั้นคุณพ่อปลัดของท่านมีฤทธิ์มากโดยเฉพาะเรื่องเสน่ห์เมตตามหานิยม โชคลาภ หลายคนที่ได้ใช้และรู้วิธีใช้ก็ได้เห็นผลกันมามากแล้ว คุณพ่อปลัดของหลวงพ่อผินะนั้นมีสองแบบโดยรวม คือแบบหัวคนหรือที่เรียกว่าหัวหอม และแบบหัวชมด แบบหัวชมดนี้มีทั้งที่ฝังพลอยและไม่ฝังพลอย นอกจากนี้ยังมีลิ้นหลายแบบ เช่น ลิ้นทองแดง ลิ้นทองเหลือง ลิ้นเงิน ลิ้นทองคำ นอกจากนี้แล้วยังมีหลายขนาด มีทั้งแบบใหญ่มากสำหรับบูชาที่บ้านหรือแบบพกพา( ขนาดพกพาก็ยาวเป็นคืบ ) แต่ที่เป็นตัวเล็กๆจริงๆนั้นหายากมากมักไม่ค่อยได้เห็นกัน คุณพ่อปลัดของท่านได้สร้างจากหลายเนื้อไม้ ตั้งแต่แก่นของพญาไม้ ไม้พญาสัตบรรณ ไม้สัก ไม้งิ้วดำ ไม้กัลปังหา โดยเฉพาะที่ทำจากกัลปังหานั้นตอนที่เสกอยู่ก็ถึงกับกระโดดออกจากบาตรของท่าน คุณพ่อปลัดตอนนี้ถือว่าเป็นเครื่องรางที่แพงรองจากดาวอาถรรพ์ เป็นที่นิยมและต้องการของคนเป็นจำนวนมากเนื่องจากคำร่ำลือถืออานุภาพฤทธิ์ในด้านเมตตาและโชคลาภ คนที่ได้ไว้ต่างหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งรูปแบบของคุณพ่อปลัดที่ทำเป็นหัวชมดนั้นก็เป็นรูปแบบของเฉพาะตัวของตระกูลเครื่องรางตามแบบหลวงพ่อเช่นกัน ราคาของเครื่องรางตอนนี้ก็อยู่ที่หลายหมื่น การใช้เครื่องรางของท่านก็พิศดารคือ ที่ด้านท้ายของคุณพ่อปลัดนั้น ท่านทำรูเอาไว้สองรู รูล่างมักจะอุดด้วยว่านและผงที่ศักดิ์สิทธิ์ รูบนท่านจะให้เขียนชื่อนามสกุลวันเดือนปีเกิดใส่ไว้ เพื่อกำกับว่าให้คุณพ่อปลัดคุ้มครองแก่ดวงชะตาของผู้นั้นๆ และที่สำคัญต้องบูชาด้วยน้ำหอมเช่นเดียวกับดาวอาถรรพ์ ดาวอาถรรพ์นั้นถือว่าเป็นคุณแม่ ส่วนคุณพ่อปลัดนั้นถือว่าเป็นคุณพ่อ เป็นปริศนาที่ว่ามนุษย์นั้นต้องเกิดมาจากบิดาและมารดา ถ้าเป็นคนจีนก็ต้องบอกว่าเป็นธาตุหยินและหยางรวมกันจึงก่อเกิดได้ การเลือกคุณพ่อปลัดของหลวงพ่อผินะนั้นต้องดูให้ดี เพราะเห็นว่าเริ่มมีของปลอมระบาดมากขึ้น ควรเลือกแบบที่มีสองรูด้านท้าย ที่สำคัญรอยแกะที่เป็นอักขระคาถาของท่านนั้นก็เป็นวิชากำกับคุณพ่อปลัดของท่านโดยเฉพาะ การเลือกนั้นให้ระวังที่เป็นตัวเขียนเมจิก เพราะโดยส่วนใหญ่นั้นท่านจะแกะอักขระลงไปบนตัวของคุณพ่อปลัดเลย การจะเลือกซื้อต้องดูที่มาที่ไป และซื้อกับคนที่เชื่อถือได้เท่านั้น และต้องดูอักขระให้เป็นด้วย

    หลังจากที่ได้เขียนตอนที่หนึ่งเสร็จก็ได้รับการติดต่อสอบถามเรื่องราวของท่านเป็นอันมากจากผู้อ่าน และมีผู้มาเล่าในความศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้น แม้แต่ผู้เขียนเองก็ได้รับอานิสงค์จากพลังที่ท่านได้ประจุอยู่ในวัตถุมงคลของท่านเป็นอันมาก อีกทั้งได้รับข่าวสารเพิ่มเติมถึงประสบการณ์ของผู้ที่ได้ใช้วัตถุมงคลของท่าน เช่น เมื่อไม่นานมานี้ได้มีผู้บูชา พระปางธรรมจักร ของหลวงพ่อผินะไปติดอยู่ที่น่ารถได้ประสบอุบัติเหตุรถชนกันอย่างแรงท่านชลบุรี ปรากฏว่าคนที่อยู่ในรถที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อที่มีพระปางธรรมจักรอยู่หน้ารถนั้นไม่เป็นอะไรเลยรวมถึงคนที่นั่งมาทุกคนด้วย แต่รถของคู่กรณีพังยับเยินแถมมีคนบาดเจ็บอย่างหนัก พอเกิดเรื่องอุบัติเหตุนี้ก็เลยได้กลับมาเล่าให้ที่วัดฟังแถมมาบูชาวัตถุมงคลเพิ่มอีกด้วยความมั่นใจในปาฎิหารย์ศรัทธาที่เต็มเปี่ยมกับหลวงพ่อ ผินะ หลวงพ่อเคยบอกว่าพระของท่านคุ้มครองได้ 7 คนต่อองค์ ตอนนี้ที่วัดยังพอมีเหลืออยู่บ้าง การบูชาวัตถุมงคลที่วัดนั้นก็ถือว่าได้สร้างบุญไปด้วยเงินที่ได้มาก็ได้นำไปบูรณะวัด เพราะที่วัดนั้นกำลังเริ่มปรับปรุงอยู่ โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายนนี้จะมีการเททองหล่อรูปจำลองของหลวงพ่อผินะขึ้นมาเป็นครั้งแรกในวันที่ 10 มิถุนายน

    นอกจากเรื่องการคุ้มครองเรื่องอุบัติเหตุแล้วก็ได้มีอีกรายอยู่ที่จังหวัดเชียงรายได้บูชา พ่อปลัดแบบหัวชะมด ไปหนึ่งองค์ โดยทำบุญ 25,000 บาท เมื่อได้ไปลองใช้ตามคำแนะนำก็เกิดเห็นเป็นตัวเลขขึ้นมาเลยนำไปเสี่ยงโชคถูกหวยบนดินใต้ดินร่วมแสนกว่าบาทก็เลยได้กลับมาทำบุญบูชาแม่เนื้อหอมยุคแรกจากวัด 80,000 บาท ซึ่งเรื่องนี้สามารถสอบถามเจ้าอาวาสได้เลย จริงๆ แล้วอภินิหารอิทธิฤทธิ์ของท่านนั้นจะเล่าจริงๆ ก็คงไม่จบ เพราะมีทั้งมหาเสน่ห์ โชคลาภ แคล้วคลาด อีกทั้งยังสามารถพลิกดวงชะตาที่อับเฉาให้กลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้งอย่างน่ามหัศจรรย์ แต่ต้องมีวิธีใช้ตามแบบของท่านด้วย และสามารถบอกกล่าวได้ บางครั้งแสดงฤทธิ์แบบเป็นตัวเป็นตนได้อย่างชัดเจนอย่างที่ไดที่มีอาถรรพ์อยู่ในบางครั้งดาวก็จะบอกให้ล่วงรู้ อย่างเมื่อไม่นานนี้ก็ได้มีนักธุรกิจไปเที่ยวเมืองจีนซึ่งหนาวมากอุณหภูมิลบ 2 องศา พอเดินผ่านประตูเมืองจีนที่เขาใช้สัตว์หรือคนฝังทั้งเป็นตอนทำประตูเมืองในสมัยโบราณนั้นดาวก็แสดงฤทธิ์ร้อนวูบวาบตลอดเวลา อันเป็นการแสดงพลังเข้าคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของ พอกลับมาเมืองไทยเลยต้องหามาสะสมเพิ่มด้วยความเคารพศรัทธาแรงกล้า เพราะยังไม่เคยได้สัมผัสเครื่องรางที่ทรงพลังเช่นของหลวงพ่อผินะมาก่อน

    มีหลายคนถามถึงเรื่องวัตถุมงคลของท่านว่ามีอะไรบ้างนอกเหนือจาก ดาว และ คุณพ่อปลัด อีกทั้งยังอยากทราบรายละเอียดเรื่องดาวและปลัดเพิ่มเติมอีก ทำให้ผู้เขียนเองต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจากลูกศิษย์สายตรง จึงพอสรุปได้ว่าดาวของท่านน่าจะแบ่งเป็นสองประเภทคือ ดาวอาถรรพ์ และ ดาวมหามงคล ดาวอาถรรพ์ที่เป็นยุคแรกนั้นจะมีส่วนผสมของดีที่เห็นได้ง่ายแต่เอายากในสัดส่วนที่มาก ซึ่งท่านเริ่มทำตั้งแต่ราวๆ ปี 2500 ซึ่งดาวอาถรรพ์ในครั้งนั้นเราเรียกว่าดาวนายพล เพราะใส่ผงและน้ำมันอาถรรพ์มากจึงเรียกว่าดาวอาถรรพ์ จนกระทั้งหลวงพ่อท่านได้มาอยู่ที่วัดพระสนมลาว พ.ศ. 2527 ท่านก็ได้เริ่มทำดาวอาถรรพ์อีกครั้ง หลวงพ่อเรียกว่า แม่เนื้อหอม ซึ่งมีลักษณะคล้ายกลีบบัวสำหรับผู้ชายและหยดน้ำเล็กสำหรับผู้หญิง ราวๆ ปี พ.ศ. 2534 ผงดาวอาถรรพ์เริ่มลดน้อยลงหลวงพ่อท่านจึงอาศัยไม้มงคลต่างๆ 12 ชนิดมาผสม ส่วนผงอาถรรพ์นั้นใส่น้อยมากๆ ตรงนี้นี่เองทางวัดจึงเรียกว่า ดาวมหามงคล เพราะใส่ส่วนผสมของไม้มหามงคลมากและที่สำคัญพระของหลวงพ่อผินะโดยส่วนใหญ่นั้นเป็นเนื้อดินดิบผสมว่าน จะไม่ได้ผ่านการเผาแบบเนื้อดินเผา ซึ่งหลวงพ่อเคยกล่าวว่าที่ไม่ทำแบบดินเผาเพราะว่านไม้มงคลต่างๆ จะเสื่อมฤทธิ์ อยากให้คุณวิเศษทั้งหลายของว่านไม้ต่างๆ อยู่แบบเต็มร้อย เวลานำไปใช้จึงได้ผลคงความศักดิ์สิทธิ์ตลอดเวลา ดาวมหามงคลนี้จะมีรูปดาวกับเดือนที่เราเรียกว่าดาวเปาบุ้นจิ้น และมีแบบที่มีแปดแฉกห้าแฉกใหญ่และเล็ก หลวงพ่อท่านจะเรียกว่าแบบใหญ่ว่า นายร้อยนายพัน (สำหรับผู้ชายใช้ ตอนนี้ที่วัดยังมีเหลืออยู่เล็กน้อย) ส่วนแบบเล็กเรียกว่า นายสิบ (สำหรับผู้หญิงใช้ ตอนนี้ที่วัดยังมีเหลือเช่นกัน) นอกจากนี้ก็มี แบบติดดาว ซึ่งหลวงพ่อผินะจะติดให้เฉพาะผู้ที่มีอาชีพเป็นตำรวจและทหารเท่านั้น ส่วนการติดพลอยนั้นไม่ได้ติดทุกองค์เพราะติดไม่ทันกัน แต่ได้บรรจุเม็ดกริ่งทุกองค์ บางครั้งกริ่งจะขัดเขย่าไม่ดัง ดาวของท่านดีทุกทางจริงๆ ผู้เขียนเองยังไม่เคยเจอวัตถุมงคลที่มีพลังเช่นนี้มาก่อนเลย อีกทั้งของสิ่งนี้ก็ได้สร้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามนิมิตของท่านเอง ซึ่งหลวงพ่อพูดอยู่เสมอว่า เมื่อจิตสงบปัญญาก็เกิดเอง ปัญญานี้แหละที่ทำให้จิตเกิดความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

    วัตถุมงคลอีกอย่างของท่านก็คือ คุณพ่อปลัด จริงๆ แล้วท่านทำไว้หลายแบบมาก มีทั้งใหญ่และเล็ก แต่ที่เป็นที่นิยมได้แก่ปลัดที่แกะเป็นหัวคล้ายๆ สัตว์โดยให้คนที่แกะมีสี่คน ปลัดของท่านจึงมีสี่แบบ คือ หัวชะมด หัวสิงค์ หัวหนู หัวนาค บางครั้งหลวงพ่อท่านก็เรียกว่า พระอินทร์ โดยมีลิ้นแบบทองแดง ทองเหลือง เงิน ทองคำ ปลัดของท่านเป็นปลัดที่แพงที่สุดในโลกเพราะตอนที่ออกจากวัดในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ก็ให้เฉพาะผู้ที่ร่วมทำบุญ 15,000 บาท และที่สำคัญก็ยังต้องรอกันเป็นปีถึงจะได้ตอนนี้ที่ทราบก็คือ ที่เป็นองค์ครูยาวขนาดศอกที่ใช้บูชาที่บ้านมีคนตั้งราคาไว้ 300,000 (สามแสนบาท) ปลัดของท่านนั้นสามารถอธิษฐานส่งจิตให้เกอดความเมตตามหาเสน่ห์ไปเข้าฝันคนที่เราต้องการได้ สามารถบนบอกเรื่องราวต่างๆ ให้สัมฤทธิ์ผลได้จริงๆ ปลัดของท่านมีแบบรูเดียวและสองรู ถ้าแบบสองรูนั้นก็ให้ใส่ดวงปิดทองคำเปลว ก็จะสามารถใช้ได้ดังใจนึกปลัดของท่านมักจะมีขนาดใหญ่ค่อนข้างมากยาวร่วมคืบ บางทีใส่ในกระเป๋ากางเกงยังไม่ได้เลย ต้องใส่กระเป๋าเอกสารแทน ส่วนอีกแบบจะเป็นแบบหัวคนหรือหัวหอม ราคาจะถูกลงมามาก

    เครื่องรางอีกอย่างที่มีคนต้องการมากเช่นกัน แล้วก็หายากกว่าดาวอีกได้แก่ กะลาตาเดียวและกะลาไม่มีตานำมาแกะเป็นรูปพระราหูด้านหน้าส่วนด้านหลังก็แกะเป็นองค์กำเนิดของมนุษย์ หลายคนจึงเรียกว่า พระราหูองค์กำเนิด ราหูของท่านนั้นดีทางเมตตา กันคุณไสย์ โชคลาภ พวกที่เดินทางไปทำมาหากินที่ต่างแดนนิยมมาก บางคนส่งเงินมาจากญี่ปุ่นเพื่อขอบูชาพระราหูโดยเฉพาะ หลายคนเดินทางไปคาสิโนก็ได้กลับมากันเยอะ เพราะพระราหูท่านอยู่ด้านมืด จริงๆ แล้วพระราหูนั้นจะมีน้อยกว่า คุณพ่อปลัด ด้วยซ้ำ ราคาตอนนี้ก็เริ่มขยับมาเรื่อยๆ อีกหน่อยราคาจะแซงของวัดศรีษะทอง เพราะของมีน้อยชิ้น และประสบการณ์ดีจริงๆ เห็นผลทันใจ พระราหูนั้น ครูบาอาจารย์ท่านเอาไว้กลับดวงจากร้ายกลายเป็นดี ราหูยุคแรกๆ ของท่านจะเคี่ยวในน้ำมันอาถรรพ์ ยุคหลังไม่ทันได้เคี่ยวด้วยน้ำมันก็มีเช่นกัน และมีทั้งแบบแกะเป็นรูปและไม่ได้แกะก็มี ต้องระวังของปลอมนะจะบอกให้ แต่ถ้าทำจากงาช้างและแกะเป็นราหู ตอนนี้ราคา 200,000 (สองแสนบาท) ราคาเหล่านี้เป็นราคาจริงที่มีคนกล้าเปลี่ยนมือกัน เพราะมีความเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์เข้มขลังของหลวงพ่อ

    นอกจากนี้ก็ยังมี เครื่องรางที่ทำเป็นรูปดวงตา จริงๆ แล้วหลวงพ่อท่านสร้างมาในยุคต้นๆ พร้อมกับดาวอาถรรพ์ เนื่องจากเป็นสื่อความหมายของการมีดวงตาเห็นธรรม อันหมายถึงปัญญาสูงสุด แต่สิ่งซึ่งหลวงพ่อท่านได้นำมาผสมได้แก่ข้าวสารหินและข้าวสารดำ ท่านเคยกล่าวว่าท่านได้พบข้าววิเศษที่ผู้วิเศษแต่โบราณได้เสกไว้จนกลายเป็นหินหนักสามตันครึ่ง ท่านจึงนำมาเป็นส่วนผสมในการสร้างเป็นดวงตาและพระอื่นๆ ขึ้นมา สำหรับดวงตานี้ท่านได้บอกกับคนใกล้ชิดว่ามีตาทำให้เกิดเมตตาเอ็นดู และเม็ดตาทำให้เกิดปัญญาคล่องในการเรียนเขียนอ่าน ดวงตานี้หลวงพ่อท่านให้ใช้คู่กับพระหรือเครื่องรางแบบอื่นด้วยยิ่งดี ดวงตาจะมีสีออกดำหรือสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งสีดำจะแก่สมุนไพรว่านยาไม้มงคลและข้าวสารดำเป็นส่วนใหญ่ สีเหลืองจะเป็นข้าวสารหินแลไม้มงคล บางครั้งดวงตาก็จะติดเพชร หรืองบางทีไม่ติดก็มี แต่ที่แน่ๆ แม่เหล็กต้องดูดติด เพราะท่านได้สูตรการสร้างแบบเดียวกับที่น้ำพี้และได้เหล็กน้ำพี้ผสมเป็นเนื้อเอก บางคนลูกเรียนหนังสือไม่เก่งก็ลองให้แขวนดวงตาดูสักพัก เพราะท่านบอกเรื่องนี้ไว้ว่าสิ่งนี้จะช่วยให้เกิดปัญญาคล่องการเรียนเขียนอ่าน ดวงตานี้ดูเหมือนว่าหลวงพ่อท่านจะทำน้อยเช่นกัน จะมีสองขนาด แต่ถ้าไม่สังเกตุก็จะไม่รู้ถ้าสังเกตก็จะเล็กใหญ่หว่ากันเล็กน้อยเท่านั้น ท่านมักจะพูดเสมอว่าสิ่งนี้ดีจริง หาสิ่งเปรียบปานได้ยากเพราะทำด้วยข้าวศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว ข้าวคือตัวแทนของแม่พระโพสพ อันหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์อิ่มเอม ดังนั้นในพระอื่นหลวงพ่อจึงมีรูปแม่พระโพสพอยู่เสมอ

    จริงๆ แล้ววัตถุมงคลของท่านมีมากเหมือนกันแต่คนไม่ค่อยรู้ เท่าที่ผู้เขียนทราบก็มี ดาวอาถรรพ์และดาวมหามงคล คุณพ่อปลัด พระราหู ลูกประคำ มีดหมอ ตะกรุด พระสูตร พระวินัย พระปรมัต สมเด็จปรกโพธิ์ พระสมเด็จใหญ่หลังพระสังกัจจายน์ สมเด็จเล็กหลังเจ้าแม่กวนอิม พระปางโปรดดาวดึงส์ พระปางธรรมจักร ลูกอมปฐวีธาตุ ลูกอมเนื้อผงอาถรรพ์ พระปางเปิดโลก พระพิมพ์ขี่เต่า-วัว (พระปลดหนี้) พระพิมพ์ขี่ไก่-พญานาค (พระแคล้วคลาด) พระพิมพ์ขี่รางสีห์-วัว (พระค้าขาย) สีผึ้งมหาเสน่ห์ พระพิมพ์ท่านเจริญธรรมด้านหลังท่านอาจารย์มั่น (อาจารย์ของหลวงพ่อผินะ) รูปถ่ายเก่า รูปพระปางชมพูบดีใส่กรอบโบราณ นอกจากนี้ยังมีพิมพ์อื่นๆ อีก

    เรื่องราวของอภินิหารและจิตตานุภาพของหลวงพ่อผินะนั้น เป็นเรื่องที่ผู้คนกล่าวขานกันมาตลอด แต่ด้วยหลวงพ่อท่านเป็นผู้ที่ปฏิเสธสื่อต่างๆ คือไม่ยึดติดอยู่กับชื่อเสียงสรรเสริญเยินยอ ท่านจึงไม่ค่อยให้เผยแพร่แต่ก็มีบางคนที่ได้พบเห็นเรื่องราวที่เหนือธรรมชาติมากมายจากหลวงพ่อท่าน เช่น ท่านเคยเสกทรายเพื่อนำไปสะกดและขับไล่อาถรรพ์ในที่ของลูกศิษย์คนหนึ่ง โดยให้นำทรายมาใส่ในถังน้ำที่มีน้ำอยู่ แล้วท่านก็ใช้มือเปล่าจุ่มน้ำ แล้วใช้จิตดูดทรายเข้ามาที่ฝ่ามือทีละกำมือ เมื่อยกมือขึ้นพ้นน้ำปรากฏว่ามือท่านแห้งสนิท หลวงพ่อผินะท่านเสกทรายแบบนี้ทีละกำมือจนทรายหมดในถังน้ำ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นประมาณปีพ.ศ. 2542ได้รับการบอกเล่าจากลูกศิษย์สายตรงที่รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อ บางคนบอกว่าหลวงพ่อผินะนั้นมีพลังจิตที่พิเศษเข้มแข็งเหมือนกับ หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า จังหวัด ชัยนาท หรือบางคนก็ว่าเหมือนหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เครื่องรางของขลังหรือพระเครื่องต่างๆที่ท่านได้ปลุกเสกนั้นล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์เป็นอย่างมาก สามารถจะดลบันดาลให้เรื่องราวต่างๆประสบแต่เรื่องดีๆในชีวิต หลวงพ่อท่านพูดกับหลายคนเสมอว่าพระเครื่องและเครื่องรางของท่านต่อไปจะหายากพลิกแผ่นดิน ให้เก็บรักษาให้ดีๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้นถือว่าเป็นตัวช่วยที่เห็นผลจริงในนาทีนี้ หากไม่ฝืนกฏแห่งกรรมแล้วไซร้ ความเข้มขลังย่อมส่งผลแน่นอน

    เมื่อปีพ.ศ. 2536 หลวงพ่อผินะได้บอกคนใกล้ชิดหลายๆคนว่า ปีพ.ศ. 2540 เงินจะต่อเงิน แต่ให้ระวังความวุ่นวาย มีลูกศิษย์ของท่านบางคนหัวไวเลยซื้อเงินดอลล่าร์เก็บไว้เป็นจำนวนมาก พอปีพ.ศ.2540 ก็ได้มีการประกาศค่าเงินบาทลอยตัว จากราคาหนึ่งดอลล่าร์ยี่สิบสี่บาทกลายเป็นหนึ่งดอลล่าร์ห้าสิบบาท ปรากฏว่าลูกศิษย์คนนี้ได้กำไรมากพอที่จะนำเงินไปถวายท่านหนึ่งล้านบาทสดๆ เรื่องนี้ก็เป็นที่เลื่องลือกันในหมู่ลูกศิษย์ท่าน กล่าวขานกันว่าท่านมีอนาคตังสญาณคือการล่วงรู้อนาคตอย่างแม่นยำ มีหูทิพย์ตาทิพย์สามารถพูดคุยสื่อสารกับเทวดาและจิตวิญญาณต่างๆได้ เช่น ท่านสามารถสื่อสารกับเทพองค์หนึ่งในโลกทิพย์ได้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อ และคอยบอกกล่าวแนะนำการปฏิบัติของท่านให้เจริญก้าวหน้าขึ้นไปอีก เทพองค์นี้มีชื่อว่า ท่านเจริญธรรม

    เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้มีนักพัฒนาที่ดินที่ภูเก็ตท่านหนึ่งได้บูชาแม่เนื้อหอมและวัตถุมงคลอื่นๆไป เมื่อได้บูชาไปสามสัปดาห์ปรากฏว่านักธุรกิจท่านนี้ได้โทรมาเล่าขานประสบการณ์ให้ฟังว่า แม่เนื้อหอมนั้นดีมากรวมทั้งวัตถุมงคลอื่นๆก็เช่นกัน หลังจากได้ทำตามวิธีบูชาและสวดคาถาสมหวังแล้ว โครงการที่ติดขัดอยู่นั้นได้มีนายทุนอนุมัติเงินร่วมสามร้อยล้านบาททั้งๆที่ขอไปแค่สองร้อยล้านเท่านั้น ส่วนนายทุนอีกคนเสนอขอซื้อโครงการนี้เช่นกัน ส่วนนายทุนอีกคนก็มาขอร่วมลงทุนด้วย และยังมีคนอื่นๆเสนอเงื่อนไขดีๆมาให้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้จะพูดคุยกับใครก็ไม่มีคนสนใจหรือไปขอความช่วยเหลือกับใครก็มีแต่คนปฏิเสธ แต่เดี๋ยวนี้มีแต่คนดีๆเข้ามาช่วยเหลือทางธุรกิจสวนกระแสกับภาวะปัจจุบัน จริงๆแล้วยังมีตัวอย่างอื่นๆที่มีคนบูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่อผินะแล้วประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆมากมาย อย่างเรื่องการขายที่ดิน เมื่อเร็วๆนี้ก็มีคนขายที่ได้สิบกว่าล้านบาท หลังจากได้บูชาเครื่องรางและพระเครื่องของหลวงพ่อ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ความรัก แคล้วคลาด คุ้มครองในทุกๆด้าน พระของหลวงพ่อล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ทั้งสิ้น จากนี้จะกล่าวถึงพระเครื่องพิมพ์ต่างๆ ซึ่งหลวงพ่อตั้งชื่อตามหมวดของพระไตรปิฏก และเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา หลวงพ่อท่านได้นำมาใส่ในพระองค์เล็กๆได้อย่างเป็นปริศนาธรรมแฝงตัวไว้เช่นกัน

    พระสูตร ลักษณะเป็นพระปางมหาจักรพรรดิ์ถือจักรแก้วที่พระอุระ พระปางนี้ก็คือปางเดียวกันกับปางปราบพระยาชมพูบดี โดยที่พระพุทธเจ้าเนรมิตตัวท่านเองเป็นพระมหาจักรพรรดิ์ สื่อความหมายถึงความยิ่งใหญ่และความสำเร็จ ด้านล่างมีรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม อันหมายถึงการชนะอุปสรรคหมู่มารทั้งหลาย ส่วนอีกด้านเป็นรูปแม่พระโพสพ อันหมายถึงความอุดมสมบูรณ์เรื่องอาหารการกิน ส่วนด้านหลังเป็นรูปของพระสังกัจจายน์และมีหัวใจพระฉิมของพระสิวลี ด้านล่างเป็นเลขหนึ่งและสอง อันหมายถึงพระอาทิตย์และพระจันทร์ซึ่งเป็นตัวแทนของหยินกับหยางหรือกลางวันกลางคืน ส่วนเนื้อของพระจะมีสีดำเป็นเนื้อผงใบลานยุคแรกๆ ต่อมาจะเป็นเนื้อไม้มงคลผสมผงวิเศษผสมข้าวสารหินและที่สำคัญก็คือดินศักดิ์สิทธิ์จากน้ำพี้ เนื้อพระจะออกเป็นสีน้ำตาลเป็นดินดิบ และที่สำคัญก็คือหลวงพ่อเคยพิสูจน์ให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์โดยใช้ทรายกรอกตาแล้วเม็ดทรายไม่เข้าตาเลยสักนิด การเอาทรายกรอกตานั้นท่านให้เอามือถ่างตาไว้เลยแล้วภาวนาคาถาของหลวงพ่อผินะเอง ส่วนทรายที่นำมากรอกตานั้นก็ใช้ระยะห่างไม่เกินคืบ พอปล่อยทรายมาปรากฏว่าฝุ่นทรายไม่เข้าตาแม้แต่เม็ดเดียว พระพิมพ์นี้หลวงพ่อผินะท่านบอกว่าสามารถคุ้มครองคนใกล้ชิดได้เจ็ดคน โดยท่านลองให้คนนอนเรียงกันเจ็ดคน แต่มีเพียงคนเดียวที่มีพระพิมพ์พระสูตรนี้ แต่พอเอาทรายกรอกตาทั้งเจ็ดคนเม็ดทรายก็ไม่เข้าตาเลย หลวงพ่อยังเคยบอกว่าพระสูตรชื่อว่าราชาธิราช แคล้วคลาดจากภัยนาๆหากินคล่องเพราะมีหัวใจพระฉิม อยู่ในนั้นด้วย เป็นของที่คู่กับชายชาตรีโดยแท้ ไม่ควรยืมใช้กันเด็ดขาด พระพิมพ์นี้ยังคงไม่แพงนัก ยังคงพอหากันได้ไม่ยาก ที่วัดก็อาจพอมีอยู่เช่นกัน

    พระปรมัตถ์หรือสมเด็จพระยาปารมัตถ์ พระพิมพ์นี้มีสองพิมพ์ พิมพ์ที่หนึ่งท่านทำเหมือนพิมพ์พระสูตร แต่ขนาดเล็กเท่าองคุลีสุดท้ายของข้อปลายนิ้วก้อย ด้านหน้าเหมือนพระสูตร แต่ด้านหลังเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑส่วนอีกแบบจะเป็นรูปพระสังกัจจายน์ มีสองเนื้อคือสีดำเนื้อผงใบลาน อีกเนื้อสีน้ำตาลเป็นเนื้อดิน ส่วนอีกพิมพ์เป็นพิมพ์ที่สององค์ใหญ่ เราเรียกว่า A – A ด้านหน้าเป็นรูปพระปางปราบท้าวชมพูบดีข้างๆเป็นตัวหนังสือ A – A ด้านหลังเป็นปางมารวิชัยข้างๆมีตัวหนังสือ A – A พระปรมัตนี้หลวงพ่อผินะท่านนำมาห่อกับผ้าเช็ดหน้าแล้วม้วน เอาไว้ตีไล่ไข้ไล่โรค ปัดโรคภัยต่างๆ รวมไปถึงไล่คุณไสยศาสตร์ ขับผีสิงกันผีพลายเสนียดจัญไรทั้งหลาย และยังมีทางเมตตาเป็นหลักอีกด้วย พระรุ่นนี้หลวงพ่อบอกว่าใช้ได้ทั้งชายและหญิง แต่ไม่ควรยืมกันใช้เช่นกัน

    พระปางโปรดดาวดึงส์ เป็นช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เนื่องจากพอพระพุทธเจ้าประสูตรได้แค่เจ็ดวัน พระมารดาของท่านก็สวรรคต พระพุทธเจ้าเล็งเห็นว่าต้องตอบแทนบุญคุณของพระมารดา แต่ติดอยู่ที่ท่านขึ้นสวรรค์ไปแล้ว จึงต้องตามไปเทศน์โปรดบนสวรรค์อยู่สามเดือน ในระหว่างนั้นหมู่ชนทั้งหลายก็รู้สึกว่าขาดที่พึ่ง พระองค์จึงทรงอนุญาติให้ทำพระไม้แก่นจันทน์เป็นตัวแทนพระองค์ และได้อธิษฐานฉัพพรรณรังสีไว้เป็นพุทธนิมิตร หากใครมีข้อสงสัยเรื่องธรรมต่างๆก็สามารถถามจากพระไม้จันทน์นี้ได้ การไปโปรดพุทธมารดาคราวนั้นสามารถทำให้เหล่าเทวดาทั้งหลายมีดวงตาเห็นธรรมเป็นโกฏิ ได้สำเร็จพระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์เป็นลำดับ ถือว่าเป็นการโปรดสัตว์และมีผู้สำเร็จมรรคผลมากที่สุดในพุทธกาล ส่วนครั้งที่สองที่มีผู้มีดวงตาเห็นธรรมสำเร็จมรรคผลเป็นจำนวนนับแสนคนก็คือตอนที่ปราบท้าวชมพูบดี ที่ท่านทรมานท้าวชมพูบดีโดยเนรมิตรพระองค์เองเป็นพระมหาจักรพรรดิ์ พระพิมพ์นี้ด้านหน้าเป็นรูปพระสององค์ซ้อนกันอยู่ในท่านั่งสมาธิ แต่องค์เล็กทำเป็นรูปคล้ายพระสูตรคือเป็นทรงเครื่องถือจักรแก้วที่หน้าอก ส่วนด้านหลังเป็นพระยืนปางถวายเนตรอันหมายถึงพระประจำวันอาทิตย์ หรือหมายถึงแสงสว่าง ซึ่งก็คือ ปัญญาเป็นเปรียบดั่งแสงสว่างนั่นเอง ส่วนเนื้อพระก็เป็นพระเนื้อดินผสมว่าน บางทีก็มีสีทอง หรือเป็นสีดินเดิม หรือเป็นสีแดง พระพิมพ์นี้สามารถสำเร็จอธิษฐานในทุกๆด้าน เพราะเมื่อมีแสงสว่างก็หมายถึงเห็นช่องทางความจริงต่างๆรวมถึงทางที่ใช้แก้ปัญหา นอกจากนี้ยังดีในทางหนุนดวงชะตาวาสนาให้เจริญสูงส่ง ท่านใดที่ทำอะไรไม่ขึ้นก็ลองนิมนต์มาคล้องคอดูสักพัก รับรองว่าดวงท่านจะเปิดแน่นอน หยิบจับอะไรก็จะได้สำเร็จตามอธิษฐานที่ปรารถนาไว้

    พระปางเปิดโลก การเปิดโลกนั้นมีในพุทธประวัติถึงตอนที่พระพุทธเจ้ากลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในระหว่างนั้นเวลาได้ครบพรรษาคือสามเดือนพอดี ซึ่งก็คือช่วงออกพรรษานั้นเอง ท่านได้เสด็จกลับจากสวรรค์ ในระว่างนั้นทั้งเทพพรหมยมยักษ์เทวดาทั้งหลาย พระอินทร์พร้อมท้าวจตุโลกบาลก็เสด็จตามมาส่ง โดยเนรมิตบันไดทองบันไดแก้ว พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงปาฏิหาริย์เปิดสามโลกให้หมู่ชนทั้งหลายได้เห็นพร้อมกัน มนุษย์และสัตว์บนโลกสามารถเห็นเหล่าเทวดาทวยเทพทั้งหลายว่ามีรัศมีความงดงามเพียงใด รัศมีนั้นก็ไม่อาจเทียบรัศมีแห่งพระพุทธเจ้าได้ อีกทั้งเมืองบาดาลนาคพิภพทั้งหลายก็พากันขึ้นมาอนุโมทนาบุญในครั้งนี้ด้วย มนุษย์ก็สามารถเห็นนาคพิภพเช่นกันว่ามีความวิจิตรสวยงามเช่นไร หลวงพ่อดู่แห่งวัดสะแกอยุธยาเคยกล่าวกับผู้เขียนเสมอถึงการเปิดโลกของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อดู่ท่านว่าวันนั้นขนาดมดดำมดแดงที่ได้เห็นแสงฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เกิดจิตปรารถนาพุทธภูมิอยากเป็นพระพุทธเจ้ากับเข้าบ้างอย่างนับไม่ถ้วน พระพิมพ์นี้ด้านหน้าเป็นปางลีลาบนดอกบัว อันเป็นคติธรรมว่าพระพุทธเจ้าเสด็จไปไหนจะมีดอกบัวรองรับเสมอทุกพระบาท และกำลังเสด็จกลับจากดาวดึงส์ ส่วนพระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นอธิษฐานเปิดสามโลกให้พระแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้านหลังเป็นรูปพระปางจักรพรรด์ถือจักแก้ว ด้านล่างเป็นพระแม่ธรณี สื่อความหมายถึงการขจัดอุปสรรคต่างๆ อีกด้านเป็นรูปแม่พระโพสพถือรวงข้าว อันหมายถึงการทำมาหากินอุดมสมบูรณ์ พระพิมพ์นี้เป็นเนื้อดินดิบผสมว่าน เนื้อดินผสมเกสา เนื้อดินผสมพระธาตุ มีทั้งแบบทาสีเงินสีทอง หลวงพ่อท่านชอบทาพระเป็นสองสี คือเงินกับทอง อันเป็นสื่อของการให้พรว่าขอให้มีเงินมีทองตลอดเวลา พระปางเปิดโลกนี้จะดีมากกับเรื่องบริวาร การปกครองคน ใครดวงบริวารเสียๆก็ลองหามาบูชาติดตัวดูก็แล้วกัน

    กำลังมหาจักรพรรดิ์



    มีหลายคนสงสัยว่าหลวงพ่อท่านใช้วิชาอะไรหนอถึงได้สามารถทำให้เครื่องรางของขลังและวัตถุมงคลมีพลังมากจนกลายเป็นตัวช่วยเพื่อให้เกิดเรื่องดีๆกับผู้ที่ใช้และนับถือ เท่าที่ผู้เขียนสังเกตุดูก็ได้เคล็ดบางอย่างมาว่า ผู้ที่จะสร้างพระปางปราบพญาชมพูบดีได้นั้น โดยส่วนใหญ่ก็จะต้องสำเร็จวิชามหาจักรพรรดิ์ ซึ่งพลังของวิชามหาจักรพรรดิ์นี้ ผู้ที่สำเร็จได้จะต้องสามารถเชิญพลังของพระพุทธเจ้าตอนที่แปลงร่างเป็นมหาจักรพรรดิ์ลงมาสถิตย์ในวัตถุมงคลเครื่องรางต่างๆได้จริงๆ เพราะพระพุทธเจ้าเองก็เคยเกิดเป็นมหาจักรพรรดิ์นับชาติไม่ถ้วน ก็รวบรวมบารมีตอนเป็นมหาจักรพรรดิ์ทุกๆชาติเข้ามารวมกัน อย่าลืมว่าในหมู่ปุถุชนด้วยกันนั้น พระราชาเป็นใหญ่กว่าชนทั้งปวง และพระมหาจักรพรรดิ์ก็เป็นใหญ่กว่าพระราชาอีกที ดังนั้นผู้ที่ได้พลังจักรพรรดิ์นั้นจะต้องมีจิตที่ประภัสสรทรงพลังในเรื่องกสินและเข้าใจแตกฉานถึงวิธีการวางอารมณ์จริงๆในขณะที่ทำการอธิษฐานจิต พลังของจักรพรรดิ์นั้นสามารถบังคับธาตุทั้งสี่ให้กำเนิดขึ้นมาใหม่ได้ แต่ถ้าเป็นสายวิชาของหลวงพ่อดู่วัดสะแกที่เป็นไตรสรณาคมณ์นั้นท่านเรียกว่าได้ภูติพระเจ้า คือการบังคับมหาภูติทั้งสี่ให้กลับมาชุมนุมรวมกันอีกก็ได้ เพราะพระพุทธเจ้านั้นเมื่อครบห้าพันปีแล้ว พระธาตุของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็จะกลับมารวมกันเพื่อโปรดสัตว์ครั้งสุดท้ายและประกาศปิดพุทธันดรของพระองค์ พร้อมกับจะให้พุทธทำนายเรื่องของพระศรีอาริยเมตไตรในภายภาคหน้าเช่นกัน ดังนั้นวิชาของหลวงพ่อผินะน่าจะเป็นกำลังมหาจักรพรรดิ์เดียวกันกับครูบาอาจารย์ในยุคก่อนๆถึงได้มีพลังมากมายอย่างนี้

    เคยมีผู้ที่เป็นศิษย์ของท่านเล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่งที่ทางวัดต้องจำเป็นใช้ไม้ใหญ่ในพื้นที่วัดพระสนมลาวมาสร้างเสนาสนะ หลวงพ่อท่านได้เลือกต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไว้ ท่านก็ได้ไปแผ่เมตตากับรุกขเทวดา และได้ไปยืนบอกด้วยวาจาว่า ขอเชิญท่านรุกขเทวดาที่สิงสถิตย์ที่ไม้ต้นนี้ ทางวัดมีความจำเป็นที่จะใช้ไม้ที่ท่านได้สถิตย์อยู่ ขอให้ท่านได้ย้ายออกไปอยู่อีกต้น พร้อมกับชี้มือไปที่ต้นไม้อีกต้น และยังบอกอีกว่า อาตมาได้คุยกับเขาแล้ว เขาอนุญาติให้ท่านไปอยู่ด้วยได้ เมื่อยืนแผ่เมตตาสักพักก็ใช้ฝ่ามือตบฟาดไปที่ต้นไม้ที่อยากจะตัดอย่างแรงๆทีเดียว หลังจากนั้นสามวันปรากฏว่าต้นไม้ใหญ่นี้ได้ลู่กิ่งทิ้งใบเหมือนต้นไม้ที่ขาดน้ำยืนต้นตาย ทางวัดก็ได้ตัดไม้ต้นนี้ไปทำประโยชน์ตามที่ได้ขอไว้ เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความมีเมตตาจิตต่อรุกขเทวดาของท่าน และยังแสดงให้เห็นว่าหลวงพ่อผินะท่านสามารถสื่อสารกับเทพเทวาวิญญาณทิพย์ต่างๆได้จริงๆ

    อีกเรื่องที่พึ่งเกิดไม่นานนี้ก็คือเรื่องเด็กๆที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ มีครอบครัวหนึ่งได้ให้ลูกห้อยดวงตาที่หลวงพ่อทำไว้เป็นปริศนาของการมีดวงตาเห็นธรรมอันหมายถึงการมีสติปัญญาดี ปรากฏว่าปรกติแล้วเด็กคนนี้เรียนปานกลางไม่โดดเด่นเท่าไหร่ซึ่งทางบ้านก็ไม่ได้หวังอะไรมาก แต่ตอนสอบเอ็นทรานซ์ก็สามารถสอบติดมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง และได้คณะที่พอใช้ได้ ผลอันนำมาซึ่งความปลาบปลื้มกับพ่อแม่และญาติพี่น้องเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับเอ่ยปากกับผู้เขียนว่า ตัวเขาเองมั่นใจในบารมีของหลวงพ่อจริงๆ และคราวนี้ก็เชื่อว่าเป็นพลังของเครื่องรางที่เป็นรูปดวงตาแน่นอน หลวงพ่อผินะเคยบอกว่าดวงตานั้นมาจากปิตาและมาตา คือการเอาบารมีพ่อและแม่มารวมกัน ไปไหนมาไหนก็มีคนเมตตามีปัญญาเอาตัวรอดได้ไม่ต้องกลัวใคร

    เรื่องราวของผู้ที่ได้บูชาวัตถุมงคลของท่านไปแล้วมีประสบการณ์มากมาย ที่สำคัญเห็นผลไวมากๆถ้าเราได้เลื่อมใสปฏิบัติถูกต้อง แต่เมื่อก่อนไม่ค่อยมีคนได้รู้เนื่องด้วยหลวงพ่อผินะท่านไม่ใช่พระที่ชอบทำประชาสัมพันธ์ และวัตถุมงคลของท่าน ท่านก็ทำเอง ไม่ได้ไปจ้างวานใครตามโรงงานที่ทำออกมารุ่นเดียวเป็นหมื่นๆชิ้น อย่างดาวยุคต้นๆก็เคยมีผู้บันทึกคร่าวๆว่ามีแค่สี่ร้อยดวงเท่านั้นเอง และเป็นพิมพ์ที่หลากลาย หากแยกพิมพ์กันจริงๆแล้วแต่ละพิมพ์ในยุคต้นๆตั้งแต่ท่านอยู่ทางใต้และที่เพชรบูรณ์กับช่วงแรกของวัดพระสนมลาว คาดกันว่าแต่ละพิมพ์นั้นไม่น่าจะเกินหนึ่งร้อยดวง ยิ่งถ้าเป็นคุณพ่อปลัดก็นับชิ้นกันได้เลย อาจมีแค่หลักร้อยเช่นกัน เพราะถือว่าเป็นงานมาสเตอร์พีซเลยก็ว่าได้ ดูแล้วเกือบเหมือนกันแต่ก็ไม่เหมือนกันสักกะชิ้น ทีนี้เรามาดูเรื่องประเภทของวัตถุมงคลกันต่อดังนี้

    สมเด็จพิมพ์ใหญ่ด้านหลังเป็นรูปพระสังกัจจายน์ พระพิมพ์นี้หลวงพ่อผินะมักจะทำเป็นสองสีหน้าหลัง โดยส่วนใหญ่ด้านหน้าจะเป็นสีทอง ด้านหลังจะเป็นสีเงิน หรือบางองค์ก็จะเป็นสีแดงหรือสีนาค พระพิมพ์นี้ดีมากในเรื่องโชคลาภ เคยมีเรื่องเล่ากันว่ามีครั้งหนึ่งที่ลูกศิษย์หลวงพ่อที่ชอบไปเล่นไพ่มากราบหลวงพ่อ แล้วได้ถามถึงเรื่องของวัตถุมงคลว่าต้องบูชาพระอะไรขึ้นคอดี หลวงพ่อกลับไปหยิบพระสมเด็จพิมพ์นี้ให้ลูกศิษย์พร้อมกับบอกว่า “ เอาไปลองติดตัวดู เนี่ยนะสมเด็จไพ่ป๊อก ชอบไปเล่นไพ่นักไม่ใช่เหรอ ห้อยแล้วมีโชคนะ ” แต่หลวงพ่อผินะท่านก็อบรมเรื่องการเล่นการพนันว่ามันไม่ดีนะ เลิกเล่นได้ก็ดี ลูกศิษย์คนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะไปเล่นอีก แต่ก็มีโชคกลับมาทุกที แม้แต่ผู้ที่ผู้เขียนแนะนำให้ลองบูชาพระสมเด็จรุ่นนี้ ก็ถูกหวยติดกันมาเก้างวดแล้ว แต่ถูกแบบนิดหน่อยพอฟังเพราะไม่ได้ซื้อเยอะ พระสมเด็จรุ่นนี้มีส่วนผสมของดินจากเหล็กน้ำพี้ แม่เหล็กจึงดูดติด และท่านได้ผสมด้วยว่านและผงวิเศษต่างๆรวมทั้งข้าวสารหิน ดังนั้นพุทธคุณจึงหนักไปในทางดูดโชคลาภเงินทอง คุ้มครองแคล้วคลาด

    พระสมเด็จพิมพ์เล็กด้านหลังเป็นรูปเจ้าแม่กวนอิม พระสมเด็จพิมพ์นี้องค์จะย่อมกว่า ด้านหน้ามีลักษณะเดียวกันแต่ด้านหลังเป็นรูปเจ้าแม่กวนอิม พระสมเด็จพิมพ์นี้เป็นอิทธิพลมาจากลัทธิมหายานที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมซึ่งเป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์ที่เป็นที่นับถือกันทั่วโลก จะสังเกตุเห็นการทำรูปปั้นต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องราวเทพยดาในวัด ท่านพูดกับหลายคนเสมอว่าเจ้าแม่กวนอิมเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีมาก และยังคงแผ่พลังมาสู่ทุกผู้ทุกคนที่นับถือ พระพิมพ์นี้มีพุทธคุณดีมากในเรื่องความเมตตา การติดต่องานการต่างๆ และด้วยความที่เป็นขนาดเล็กพอดี จึงเหมาะกับสุภาพสตรีเป็นอย่างมาก

    พระพิมพ์สามเหลี่ยม บางคนก็เรียกว่า เป็นพระนางพญาพิมพ์ขี่สัตว์ต่างๆ ถ้าใครเคยเข้าไปที่วัดพระสนม ลาว ก็คงจะเคยเห็นที่หน้าจั่วของหอพระสูงๆ ทำเป็นรูปปูนปั้นของพระพุทธรูปและด้านล่างเป็นรูปของสัตว์ต่างๆ รูปที่จั่วปูนปั้นนี้ทำทั้งสี่ทิศแต่ละทิศมีรูปที่แตกต่างกัน ความจริงแล้วก็คือรูปของพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ในกัปป์นี้ อันได้แก่พระกุกุสันโท สัญลักษณ์เป็นรูปไก่ พระโกนาคมสัญลักษณ์เป็นรูปพญานาค พระกัสสโปสัญลักษณ์เป็นรูปเต่า พระสมณโคดมสัญลักษณ์เป็นรูปวัว พระศรีอาริยเมตไตรสัญลักษณ์เป็นรูปสิงห์ หลวงพ่อผินะได้นำบารมีแห่งพระพุทธเจ้าห้าพระองค์มารวมเป็นคู่ๆ เพื่อให้เกิดผลบารมีที่แตกต่างและอำนาจพุทธคุณก็จะต่างกันไปด้วย โดยหลวงพ่อผินะท่านได้ทำไว้สามพิมพ์ดังนี้ พระปลดหนี้ ว่าคาถา “ พุทธา” ด้านหน้าจะเป็นพระสามเหลี่ยมนั่งบนเต่า ด้านหลังเป็นพระสามเหลี่ยมนั่งบนวัว บางคนก็เรียกว่าพระเต่า-วัว พระแคล้วคลาด ว่าคาถา “ นะโม” ด้านหน้าเป็นพระสามเหลี่ยมนั่งบนสิงห์หรือราชสีห์ ด้านหลังเป็นพระสามเหลี่ยมนั่งบนวัว บางคนก็เรียกว่าพระราชสีห์-วัว พระค้าขาย ว่าคาถา “ยะธา” ด้านหน้าเป็นพระสามเหลี่ยมนั่งบนราชสีห์ ด้านหลังเป็นพระสามเหลี่ยมนั่งบนวัว พระพิมพ์สามเหลี่ยมทั้งสามพิมพ์นี้เป็นพระพิมพ์มาตรฐานของหลวงพ่อผินะ และโดยรวมแล้วมีแบบทั้งที่ปิดทองและไม่ปิดทอง แบบด้านหน้าเป็นสีเงินด้านหลังเป็นสีทองก็มี เนื้อขององค์พระจะเป็นเนื้อดินน้ำพี้ผสมผงมงคลเช่นข้าวสารหินและไม้ว่านมงคลที่หลวงพ่อเก็บรวบรวมตอนที่ธุดงค์อยู่ในป่า ดังนั้นพระของท่านจึงใช้แม่เหล็กดูดติด พุทธคุณก็อยู่ที่เราเลือกใช้เอา เพราะวัตถุมงคลของท่านไม่เป็นสองรองใครแน่นอน

    ตะกรุดโทนเนื้ออลูมีเนียม ตะกรุดของท่านแปลกกว่าคนอื่นๆแน่นอน หนึ่งเดียวจริงๆ เกจิอาจารย์ท่านอื่นใช้ทองแดงบ้าง ตะกั่วบ้าง หรือเนื้อเงินเนื้อทอง แต่ของท่านใช้โละอัลลอยด์ที่เราเรียกว่าอลูมีเนียมมาทำเป็นตะกรุด เหตุที่ใช้ก็คงเป็นเพราะเป็นสิ่งที่เหลือจากการรองซากของอสุภะกรรมฐานของท่าน และไม่น่าเชื่อว่าท่านเสกจนตะกรุดม้วนและแข็งมาก แต่มีน้ำหนักเบาเป็นที่สุด เคยมีคนลองเอามาคลี่ดู กว่าจะคลี่ออกได้เล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกันเพราะหลวงพ่อเสกจนแข็ง ยันต์ที่ท่านลงก็เป็นนะอกแตกหรือบางที่ก็เป็นพุทธหน้าทอง ซึ่งแสดงว่าตะกรุดของหลวงพ่อผินะดีทางคุ้มครองแคล้วคลาดและเมตตาเป็นหลัก ตะกรุดโทนของท่านเป็นเครื่องรางอีกชิ้นหนึ่งที่ถือได้ว่ามีประสบการณ์มากจริงๆ เป็นที่แสวงหากันมากในขณะนี้ ถ้าเจ้าของหวงๆละก็บุกกันเป็นหมื่นเหมือนกัน

    ลูกอม ท่านมีอยู่สองลักษณะที่ได้พบเห็นมาก็คือ อย่างแรกเป็นเนื้อผงแบบเข้มข้น เนื้อแบบนี้เป็นเนื้อเดียวกับแม่เนื้อหอม ซึ่งจะห่อกระดาษแก้วสีทองบ้างหรือไม่ห่อกระดาษก็ได้ ในบรรดาลูกศิษย์หวงกันมากจริงๆ เพราะหลวงพ่อได้ใส่ผงอาถรรพ์เยอะมาก มักมีประสบการณ์ในเรื่องความมีเสน่ห์เมตตาแก่ผู้พบเห็น ที่สำคัญก็คือมีจำนวนน้อย ลูกอมแบบนี้ตอนนี้มีคนเล่นหาเปลี่ยนมือกันในราคาร่วมหนึ่งหมื่นห้าพันบาทเมื่อต้นปี ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะขยับราคากันไปอีกเท่าใด ลูกอมแบบที่สองเท่าที่เห็นมาต้องเรียกว่าเป็นเม็ดปฐวีธาตุ เพราะเป็นเม็ดหินกลึงเป็นสีน้ำตาลอ่อน เท่าที่ดูน่าจะทำมาจากหินตระกูลหินพระธาตุ เม็ดปฐวีธาตุนี้มีน้อยมากๆเช่นกัน พุทธคุณน่าจะเป็นเรื่องของความคุ้มครองและเมตตาเป็นหลัก ลูกอมปฐวีธาตุนี้ได้ยินครั้งแรกก็จากท่านเจ้าคุณนรรัตน์วัดเทพศิรินทร์ ท่านให้คนไปเก็บที่บางบ่อ แล้วนำมาอธิษฐานจิตอีกที ต่อมาก็เป็นหลวงปู่คำพันนครพนม ท่านก็ให้คนเก็บหินจากแม่น้ำโขงแล้วนำมาเสกเช่นกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2014
  16. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รายการที่ 8 สมเด็จปู่ศรีสุทโธ รุ่นฉลองศาล วัดศิริสุทโธคำชะโนด อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ปิดครับ

    500 บาทครับ องค์นี้ด้านหลังมีคราบดินและมวลสารชัดเจน แถมเป็นริ้วๆๆเหมือนรอยงูเลี้อยผ่าน

    สำหรับคนที่นับถือปู่ศรีสุทโธครับ ไม่ควรพลาด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2014
  17. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    รายการที่ 9 พระยอดขุนพล รุ่นแรก หลวงปู่นาม วัดน้อยชมภู่

    เนื้อมหาขาวแก่ผงปัถมังเมตตามหานิยม นะหน้าทอง คนรักเทวดานิยมยินดี

    บูชา 650 บาทครับพร้อมซองเดิมจากวัด สวยๆๆไม่มีบิ่น

    พระยอดขุนพล รุ่นแรก หลวงปู่นาม วัดน้อยชมภู่ สุพรรณบุรี พระยอดขุนพล คือ พระที่มีอานุภาพทางการเป็นยอด คำว่า “ขุนพล” นี่ถือว่า เป็นยอดอยู่แล้ว นี่เป็นยอดยิ่งกว่า จึงเรียกว่า “ยอดขุนพล” พิมพ์เดิม ครั้งแรกสร้างปี 2497 โดย ท่าน อาจารย์ชุม ไชยคีรี และ ท่านพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช ร่วมกันสร้าง โดยอัญเชิญผงเก่า คือ เมื่อปี 2496 ท่านได้นิมิต ไปว่ามีหลวงปู่ องค์หนึ่งมาแนะนำ ให้ท่านสร้างพระคือ พระผงเทพนิมิต หลังจากนั้นหลวงปู่ องค์ที่ท่านเห็นในนิมิต ได้เข้าประทับทรง บอกว่าท่านคือ หลวงปู่คง วัดตาล (เดิมท่านอยู่วัดตาล แล้วย้ายมาอยู่วัดแค ) เป็นอาจารย์ของขุนแผน ผงนี้ขั้นหัวเชื้อ ปัจจุบัน เก็บอยู่ที่วัดศรีจันต์ อย่างที่บอกไปแล้ว และ นำมาสร้างพระยอดขุนพล รุ่นนี้แหละเป็นรุ่นที่ ๒ แบบพิมพ์ได้จำลองแบบเดิม เพิ่มเติมเอกลักษณ์ของเมืองสุพรรณคือ ปางป่าเลไลยก์ พระพุทธรูปคู่เมืองสุพรรณ ตรงที่เพิ่ม ลิงถวาย รังผึ้ง ช้างถวาย คบน้ำ ไว้ด้านซ้ายด้านขวา มีเทวดา ๒ องค์ พนมมืออัญชลีอยู่ด้านบน จึงเกิดพระยอดขุนพลตำรับดังเดิมที่มีคุณค่ามาก นอกจากผงศักดิ์สิทธิ์ ที่มีที่มาอันแสนอัศจรรย์แล้ว ท่านเจ้าอาวาสยังได้เอาผงพระเก่าที่หลวงปู่กล้าย วัดหงส์รัตนาราม ที่ท่านลบไว้ เมื่อปี 2498 และ มีประวัติ ว่าผ่านการปลุกเสกจากยอดเกจิอาจารย์ ดังมีบันทึก ของวัดศรีจันต์ ดังนี้ “ นายอุทัย วรรณธนบูรณ์ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว และนายอุดม วรรณธนบูรณ์สมัยยังเป็นเด็กเห็นหลวงปู่ กล้าย ทำผงพระ ได้นำผงกับพระเครื่องขอให้เกจิผู้ใหญ่ในสมัยนั้นที่หลวงปู่กล้ายรู้จักปลุกเสกให้คือ 1.หลวงพ่อสด วัดปากน้ำปลุกเสกด้วยวิชาธรรมกายพร้อมกับพระวัดปากน้ำรุ่น 3 2.เจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ปลุกเสกในปี 2501 3.หลวงพ่อแช่ม วัดนวลนรดิษ ปลุกเสกให้ 3 เดือน 4.หลวงปู่โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลี เสกให้เกือบ 1 ปีเต็ม 5.นอกจากนี้หลวงปู่กล้ายยังนำผงและพระไปให้หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว หลวงพ่อเต๋ คงทอง หลวงพ่อสม วัดดอนบุปผาราม หลวงพ่อหรุ่น วัดเสาธงทอง หลวงพ่อเปลื่อง วัดสุวรรณภูมิ หลวงพ่อกาพย์ วัดจรรย์ หลวงพ่อถิร วัดป่าเลย์ไลก์ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมก็ปลุกเสกให้ ยอดผงเก่านี้ นำมาสร้างพระยอดขุนพล รุ่นนี้”ผงดี รูปแบบดี เจตนาดี ที่สำคัญ หลวงปู่นามท่านสร้างเอง ปลุกเสกเอง และมอบให้วัดศรีจันต์นำไปสร้างถาวรวัตถุ พระยอดขุนพลนี้ จึงขอสรุปความดีความเด่นไว้ ณ ที่นี้ ๕ ประการ 1. พระดีเป็นยอดขุนพล ยอดคน ยอดพระ 2.ประวัติการสร้างดีเด่นจากวัดต้นตำรับผงเก่า จัดเป็นพระยอดขุนพล รุ่นแรกของเมืองสุพรรณ ที่ครบครัน ตามสูตร 3.ผงเก่า ขรัวปู่คง ยอดผง ที่หาที่ไหนไม่ได้แล้ว ผงขั้นหัวกระทิ หัวเชื้อ แรงทุกองค์ แม้ขุนแผน เองยังต้องใช้ผงนี้ 4.ผงเก่าของยอดเกจิขลัง จะหาแต่ละองค์ราคาเป็นแสน ถ้าจะเอาพุทธคุณ ก็ต้องยอดขุนพลองค์นี้ ได้เปรียบเพราะไม่ต้องห้อยเกจิหลายองค์ องค์เดียวเสกครบ 5.ยอดเกจิเมืองสุพรรณ หลวงปู่นาม เสกฟ้าลั่น สร้างและ ปลุกเสกในกุฏิเป็นเดือน พุทธคุณแรงที่สุด ต่อไปต้องพูดกันว่า “หาพระยอดขุนพล ต้องยอดขุนพล วัดศรีจันต์” พุทธคุณ เน้นหนักทางด้านเมตตาเป็นพิเศษ แคล้วคลาดคงกระพัน เป็นหัวหน้า เป็นเจ้าคน นายคน เป็นยอดคน มีบารมี เป็นมหาอำนาจ นี่แหละ ของดี ที่รอเวลาดัง สร้าง 2 เนื้อ

    1.เนื้อมหาว่านดำแก่ว่านหิ่งหาย (ดับทุกดับร้อน ดับภัย ดับอันตรายดับสิ่งไม่ดี) ธรรมดา สร้าง 3,500 องค์ , ฝังตะกรุดเงินคู่ สร้าง 900 องค์

    2. เนื้อมหาขาวแก่ผงปัถมังเมตตามหานิยม นะหน้าทอง คนรักเทวดานิยมยินดี ธรรมดา 3,500 องค์ , ฝังตะกรุดเงินคู่ สร้าง 900 องค์

    ขนาดความสูง 4.5 ซ.ม. กว้าง 4 ซ.ม.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...