พระองค์ทรงอุเบกขาอย่างยิ่ง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 27 พฤษภาคม 2018.

  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    33074620_1479745072137231_8747309314781216768_n.jpg





    หลวงพ่อสนทนาธรรมกับในหลวง(ตอนที่2)


    หลวงพ่อสรุปว่า นี่เป็นอันว่าน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ทรงสะเทือนในคำนินทาและสรรเสริญ ก็ทรงอุเบกขาเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นถ้าหากว่าวันนี้ อาตมาจะถวายพระพร ให้ทรงอยู่ในด้านของพรหมวิหาร ๔ ก็เห็นว่าจะไม่มีผล เพราะว่าความดี ๔ ประการนี้ พระองค์ทรงมีแล้วเรียบร้อยทุกประการ
    ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมมาพุทธเจ้าตรัสว่า “นัตถิ โลเก อนินทิโต” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “คนไม่ถูกนินทาเลย ไม่มีในโลกนี้”
    ฉะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงแม้ว่าจะมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ประชานิกรของพระองค์เพียงใดก็ตามที พระราชจริยาวัตรของพระองค์ ก็ย่อมไม่เป็นที่ที่ถูกใจของบุคคลบางพวก บางคณะ อาจจะมีอยู่

    ในครั้งหนึ่ง อาตมาได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ได้ปรารภกับพระองค์ถึงภารกิจที่อาตมาทำว่า
    “การทำการสงเคราะห์ ปวงชนชาวไทย ตามกำลังที่จะรวบรวมได้ จากบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ ทำการแจกอาหารการบริโภค ยารักษาโรค สร้างโรงเรียนตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ แต่การกระทำแบบนี้ กลับมีคนบางพวกบอกว่า อาตมาเป็นพระการเมือง”
    พระองค์ก็ตรัสว่า “ผมก็ทราบเหมือนกัน เขาว่าหลวงพ่อเป็นพระการเมือง”
    แต่พระองค์ก็ทรงถามว่า “หลวงพ่อมีความรู้สึกยังไง”
    ก็เลยถวายพระพรไปว่า “อาตมาไม่มีความรู้สึกอะไร เพราะถือว่าอาตมาไม่เคยสมัครสภาผู้แทนราษฏร และก็ไม่เคยอยากจะเป็นรัฐมนตรี เขาจะหาว่าการเมืองหรือการบ้านก็ช่าง ถือว่าเฉย ๆ ถือตามหลักพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่า “นินทา ปสังสา” ขึ้นชื่อว่า นินทาและสรรเสริญ เป็นของธรรมดาของโลก อาตมาไม่หนักใจในคำนินทาและสรรเสริญ เพราะไม่มีความสงสัย”
    ต่อนี้พระบาทมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ตรัสว่า “ผมก็เหมือนกันแหละขอรับ เมื่อก่อนนี้เขาลือว่าผมฆ่าพี่ แต่เวลานี้เขาลือกันว่าผมฆ่าพ่อตา”
    ความจริงช่วงหลัง อาตมาไม่ทราบจึงกราบทูลว่า “การลือที่ว่าฆ่าพ่อตานั้น มีความหมายเป็นยังไง”
    พระองค์ก็ตรัสบอกว่า “เขาลือกันว่าพ่อตาผมเป็นไข้ ผมเอาเหล้ากรอกปาก แล้วเลยพาพ่อตาไปวิ่ง พ่อตาก็เลยตาย”
    แล้วจึงได้ทูลถามพระองค์ว่า “แล้วมหาบพิตร มีความรู้สึกยังไง ในเมื่อคำนินทาปรากฏขึ้น”
    พระองค์ก็ตรัสว่า “เรื่อย ๆ ขอรับ”
    ก็หมายความว่า ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ความดีหรือความชั่วที่จะมีขึ้นได้อาศัยการกระทำเป็นสำคัญ แล้วเมื่อเราทำความดีแล้วใครจะว่าชั่ว เราก็ไม่ชั่วไปตาม ถ้าเราทำความชั่ว ใครจะสรรเสริญว่าดี เราก็ไม่ดีไปตาม
    นี่เป็นอันว่าน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ทรงสะเทือนในคำนินทาและสรรเสริญ ก็ทรงอุเบกขาเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นถ้าหากว่าวันนี้ (ประมาณปี ๒๕๓๓) อาตมาจะถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงอยู่ในด้านของพรหมวิหาร ๔ ก็เห็นว่าจะไม่มีผล เพราะว่าความดี ๔ ประการนี้ พระองค์ทรงมีแล้วเรียบร้อยทุกประการหลวงพ่อสนทนาธรรมกับในหลวง
    เคยพูดถึงพระราชินีกับลูกสาวท่าน ท่านหญิงสิรินธร
    “หรือลูกสิรินธรของผมก็เหมือนกัน เขาก็ทำอยู่ทุกวันในด้านเมตตาปรานี ปรารถนาการสงเคราะห์คนอื่น เมื่อคืนเขาต้องการพบหลวงพ่อ ผมจึงให้ฆราวาสเขาไปนิมนต์”
    แหม...คุยกันตอนดึกก็ดีเหมือนกัน
    ถาม “ทำไมถึงต้องการพบตอนดึก...?”
    บอก “เช้าเขาต้องรีบไปเข้าโรงเรียน”
    คือท่านสอนเจ้าฟ้าหญิง ตอนเช้าท่านต้องไปเข้าโรงเรียน ไปถึงมหาวิทยาลัย ๒ โมงเช้า เมื่อท่านต้องไปเข้ามหาวิทยาลัย ๒ โมงเช้าก็อยากจะพบกลางคืน
    ก็เลยบอกว่า “คืออาตมารู้เหมือนกัน ว่าพระองค์จะไปนิมนต์ตอนดึก อาตมาก็เลยรีบนอนซะตอน ๔ ทุ่มครึ่ง”
    ท่านถามว่า “ทำไม เป็นเพราะอะไร...?”
    ก็เลยบอก “ตอนดึกหนักๆ เข้าก็คุยไปคุยมาก็จะหลับคุยกัน หลับคุยกันก็ต้องฝันคุยกัน เพราะทราบอยู่แล้วว่า ถ้ามาก็ถึงสว่าง”
    ท่านก็เลยหัวเราะ ท่านเลยคุยถึงเรื่องการเจริญกรรมฐาน บอก ผมเวลาเมื่อป่วยหมอเขาห้ามออกกำลังกาย ผมก็เอาเทปอันนี้ ไอ้เทปที่ไม่มี ที่ยาวๆ ของท่านล่ะนะ ตอนนั้นท่านขอบันทึกเสียง ผมขออนุญาตบันทึกเสียงครับ บอก เอ้า! อนุญาต บันทึกไปก็ได้คุยกันเยอะ ท่านก็บันทึกเสียงไว้ด้วย
    บอกว่า “เวลาผมเดินๆ ไปรอบๆ ที่อยู่ ผมก็เอาเทปสะพาย แล้วก็คาสเซทของหลวงพ่อใส่ไปด้วย ผมเดินไปผมก็ฟังเรื่อยไป”
    เป็นอันว่าในวังเวลานี้ ทั้งข้าหลวงทั้งพระราชินี ทั้งเจ้าฟ้าหญิงทั้งในหลวง เห็นเขาบอกว่าได้ยินเสียงฉันอยู่เสมอ ถ้าว่างเป็นเปิดฟัง
    ท่านบอกว่า “เมื่อก่อนนี้ผมชอบฟังเพลง เดี๋ยวนี้ผมไม่เอา ฟังธรรมะดีกว่า”
    เปลี่ยนเป็นฟังธรรมะไป ท่านก็ปรารภ บางทีหลวงพ่อบอกว่าไม่รู้ใครมาเอาเทปไปถวาย เทปที่เราสอนๆ กันอยู่นี่ มีคนส่งไปถวาย ท่านฟังหมวดท้าย
    ถามว่า “มหาบพิตรมีเทปเท่าไร...?”
    บอกว่า “เทปของหลวงพ่อมากที่สุด เทปของคนอื่นมีอยู่บ้าง ทั้งหมดเห็นจะมีอยู่ ๑๐๐ คาสเซทได้มั้ง”
    โอ้โฮ! ไม่ใช่ก้อยเลยนะ ถามว่า ร้อยฟังหมด บอกว่า ฟังหมดครับ ท่านบอก ฟังซ้ำๆ ของหลวงพ่อ ถาม ทำไม บอก เข้าใจง่ายดี ท่านมีของหลวงปู่ฝั้น ถวายท่านมา ท่านบอกท่านฟังๆแล้วท่านก็ไม่เข้าใจ หลวงปู่ฝั้นบอกทำจิตให้สบาย ก่อนหน้าที่หลวงปู่ฝั้นท่านตายสักสองเดือน ท่านบอกเพิ่งเข้าใจตอนนั้น ท่านฟังมาตั้งหลายหน คืออารมณ์เข้าถึงในการฟังธรรมปฏิบัตินี่ ถ้าอารมณ์มันไม่ถึง มันฟังไม่รู้เรื่อง
    ก็คุยกันไปสักพักก็พอดีพระราชินีท่านเสด็จ เสด็จมาท่านก็บอกว่า
    “ฉันไม่ค่อยมีเวลาปฏิบัติธรรม เพราะทำไม่ค่อยได้ ได้แต่สวดมนต์”
    “แต่พระราชินีนี่ไม่ใช่เล่นนะ สวดมนต์เป็นชั่วโมงเลย และก็ชอบให้ทาน และก็ชอบฟังพระสูตร ขอหลวงพ่อบันทึกคาสเซทมาให้ฟังได้ไหม”
    บอกว่า “ได้ ไม่เป็นไร”
    ขอพระสูตร ในหลวงขอจริต ๖ จริต ๖ ท่านบอกว่าต้องการยังงี้ จริตละเทป หมายความคาสเซทหนึ่งชั่วโมงนี่สองด้านจริตละหนึ่งเทป เพราะอะไร เพราะว่าเพื่อนๆของท่าน เพื่อนที่ปฏิบัติร่วมกัน ถ้าเขาเห็นว่าเขามีจริตยังงี้ ก็เอาเทปนี่ให้เขาไป ให้เขาไปฟัง ถ้ามีจริตบวกเอาเทปบวกเข้าไป
    ท่านบอกว่า “ลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งหมด ผมวินิจฉัยแล้ว เข้าใจว่าเป็นคนที่มีศรัทธาจริตเป็นส่วนใหญ่ เห็นจะเป็นทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านหญิงวิภาวดีนี่ มีศรัทธาจริตอย่างแรงกล้า”
    ทั้งนี้ก็เลยถวายพระพร บอกว่า “คนที่มีศรัทธาจริตแรงกล้านี่ หรือหนักไปในศรัทธาจริตนี่ เขาได้กำไร”
    ท่านถามว่า “ได้กำไรยังไง”
    บอก “ตัวนี้บรรลุง่าย เพราะว่าสอนแล้วก็จำ แล้วก็เชื่อ แต่ว่าผลก็มีอยู่ว่า แต่ต้องคนนำไปในทางที่ถูก ถ้านำไปในทางที่ผิด กลุ่มคนประเภทนี้ก็เลยหลงไปเลย พัง! สำหรับท่านหญิงวิภาวดี อาตมาว่าไม่ใช่ศรัทธาจริตอย่างเดียว เพราะเป็นพุทธจริตด้วย”
    ท่านบอกว่า “ใช่...ใช่...”
    เลยบอกท่านว่า “อย่างนี้เขาเรียกจริตบวก คือมีกำลังกล้า จริตความจริงมันมีด้วยกัน ๖ อย่าง และว่าท่านหญิงวิภาวดีมีทั้งศรัทธาจริตและก็พุทธจริต และพุทธจริตนี่เป็นคนฉลาด ศรัทธาจริตที่มีขึ้นก็เป็นคนไม่ใช่คนหัวดื้อ ลักษณะคนหัวดื้อนี่มันเป็นพวกโมหะจริตกับวิตกจริต คนพวกนี้เอาดีไม่ได้ ให้สอนจนตายก็เอาดีไม่ได้ เพราะเป็นปทปรมะ บวชอยู่สักกี่พันพรรษาก็ตาม ตายแล้วก็มีหวังลงอเวจี เพราะว่ามีสันดานหยาบไม่รับคำสอน
    นักปฏิบัติก็เหมือนกัน ฆราวาสก็เหมือนกัน ถ้าเป็นโมหะจริตกับวิตกจริต อันนี้ไม่มีทางได้ดี เพราะพวกนี้มีสันดานหยาบ มักจะไม่รู้จักความเลวของตัว คอยจะไปมองดูคนอื่นแต่ตัวไม่ดู นี่เขาเรียกโมหะจริต ไอ้โมหะมันแปลว่าหลง หลงเข้าใจว่าตัวดี แต่ไอ้ที่ทำเลวไม่รู้ ถ้าคนมีอารมณ์ประเภทนี้ก็แสดงว่าเป็นเหยื่อของอเวจีมหานรก ทำไมรู้ไหม ก็มันไม่เอาดีก็ลงอเวจี เพราะรักษาเอาแต่ความชั่วเป็นอาจิณกรรม ได้แต่มองคนอื่นเขาว่าเขาชั่ว
    ไอ้การที่ไปมองคนอื่นว่าชั่วนี่ แต่ความจริงตัวนี่ชั่วมาก ถ้าตัวเองไม่ชั่วล่ะมันไม่มองความชั่วของคนอื่น เพราะการมองและเห็นว่าเขาชั่ว มุ่งจะดูความชั่วมันเป็นคนที่ขาดพรหมวิหาร ๔ มันเป็นความเลวของจิต แต่คนที่เขามีพรหมวิหาร ๔ ประจำใจนี่ เขามองเพื่อนด้วยความเมตตา และกรุณามุทิตาพร้อมๆกันไป เพราะอะไร เพราะถ้าเห็นว่าเพื่อนทำผิด เขาจะเตือนด้วยดีใช่ไหม นี่ต้องวินิจฉัยศัพท์ให้เข้าใจ ก็มีการตักเตือนกันด้วยความหวังดี ไม่ใช่คอยจะจับผิดคิดประทุษร้าย”
    นี่ก็เลยกราบทูลบอก “ท่านหญิงวิภาวดีก็ทรงตัวอยู่ได้ดีแบบนี้ เพราะอาศัยที่มีพรหมวิหาร ๔ มา ท่านเวลาปฏิบัติจึงใช้เวลาน้อยที่สุด ที่ ๘ เดือนนี่ ไม่ใช่มานั่งรับฟังทั้ง ๘ เดือน มานั่ง...แต่ไม่ใช่มานั่งรับฟังทุกวัน คือฟังครั้งสองครั้ง อาศัยศรัทธาจริต ศรัทธามีความเชื่อ ฟังแล้วก็เชื่อทันที พอเชื่อแล้วก็อาศัยความฉลาด พุทธจริตนี่เขาเป็นคนฉลาด พอเชื่อแล้วก็เอาไปคิด คิดแล้วก็ปฏิบัติตาม”
    เป็นอันว่าประวัติของท่านหญิงวิภาวดีนี่ รู้สึกลูกเต้าเข้าหน้าไม่ค่อยติดตามปกติ นี่ขอเล่าประวัติเก่านี่ พระเจ้าแผ่นดินท่านก็บอกเหมือนกัน บอก
    “ท่านหญิงวิภาวดีเป็นคนเจี๊ยวจ๊าว หมายความโมโหง่าย คนโมโหร้ายแสดงถึงว่าเป็นคนมีอารมณ์จิตรวดเร็ว เพียงแต่พอเริ่มไปปฏิบัติกับหลวงพ่อไม่ถึงเดือนผมเห็นแปลกไปถนัด ไอ้เรื่องเหตุที่ต้องว่าต้องดุต้องด่าใครหายไปหมด มีแต่อารมณ์ยิ้ม และก็คอยจะสงเคราะห์ คอยมองดูพวกชาววังก็ตามพวกข้างนอกก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกในวัง ถ้าใครเขาทำอะไรผิดพลาดไปนิดนึง บางทีท่านก็ไม่เตือนก่อน เรียกมากินขนมบ้างมาให้ของแจกบ้าง เขาคนนั้นรู้สึกว่าจะจิตน้อมลงมาถึง ๖ เดือน นี่เป็นลักษณะของพรหมวิหาร ๔ เตือนด้วยความหวังดี”
    และท่านก็เลย ตอนนี้พระราชินียิ้มออกมา
    พระราชินีท่านก็บอกว่า “ท่านไม่ถนัดในการนั่งสมาธิ มีอารมณ์ชอบรักษาศีลและก็สวดมนต์ และก็ชอบในการให้ทาน”
    เรื่องทานบารมีของท่านนี่หนักมาก พระเจ้าแผ่นดินท่านบอกไม่ใช่เท่านั้นอย่างเดียว
    ถาม “อะไรอีก...?”
    บอก “บางทีได้จังหวะเปรี๊ยวปร๊าวๆ”
    นี่ขัดคอกันตอนนี้น่ะ พระราชินีท่านก็ยอมรับ ท่านบอกว่าบางทีมันเผลอเอาเหมือนกัน แต่ส่วนอื่นของท่านก็ส่วนใหญ่ ไม่ใช่โมโหโทโสคนภายใน ถ้าเรื่องของคนรักชาตินี่ แหม...พอจะช่วยชาติขึ้นมาก็ต้องตั้งท่าจะเอาอย่างโน้นตั้งท่าจะเอาอย่างนี้ ทำท่าใหญ่โตต้องลงทุนมากมาย อีตอนนี้ท่านก็เลยบอกมันอดโมโหไม่ได้ คนจะช่วยชาติมันไม่ต้องทำใหญ่ ทำคนละเล็กละน้อย ทุกคนต่างคนต่างทำมันก็มากไปเอง อีตอนนี้ท่านก็หวังดีนั่นเอง ท่านก็เปรี๊ยวปร๊าวตอนนี้ นี่ท่านก็ยอมรับ
    พระเจ้าแผ่นดินท่านก็ตรัสว่า “นี่เขาไม่รู้หรอกว่าเขาทำดี”
    พระราชินีตรัสถามว่า “พระองค์เห็นหม่อมฉันทำดียังไง...?”
    ท่านบอก “ที่เธอนั่งสวดมนต์น่ะ เธอรู้เรื่องไหม รู้คำสวดไหม...?”
    พระราชินีบอก “ถ้าหม่อมฉันไม่รู้ หม่อมฉันนั่งสวดไปยังไง” บอก “รู้ทุกคำ”
    ท่านบอก “รู้ทุกคำนี่มันเป็นสมาธิ”
    แน่ะ! นี่ว่ากันเองนะตอนนี้น่ะ
    ท่านบอก “นี่มันเป็นสมาธิ”
    ท่านเลยถามว่า “เวลาที่จะสวดมนต์น่ะ นึกเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไหม...?”
    พระราชินีบอก “ถ้าไม่เคารพล่ะก็ จะสวดทำไมล่ะ เพราะเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงสวด”
    บอก “นี่ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำไมจึงว่าไม่ชอบทำสมาธิ การนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นการทำสมาธิ การติดใจในการสวดมนต์ก็เป็นการทำสมาธิ นั่นก็เป็นบุญเป็นกุศล และการให้ทาน เรื่องทานนี่ให้มาก เขาไม่มีเรื่องอื่น วันๆหนึ่งเขาก็นั่งนึก ถ้าเขาว่างจะทำอาหารไปถวายพระที่ไหน จะทำขนมถวายพระที่ไหน จะไปทำบุญที่ไหน จะสงเคราะห์ใคร ก็นั่งนึกชาวบ้านชาวช่องที่ไปเยี่ยม ไอ้คนหมู่บ้านนั้นก็ลำบาก คนหมู่บ้านนี้ก็ยากจน จะหาอะไรไปช่วย หาเงินที่ไหน หาของไปช่วยเขา อะไรเป็นที่ถูกใจของเขา นั่งนึกแบบนี้ ผมก็ว่านี่เขาก็ทำกรรมฐานอยู่เรื่อย”
    ท่านหันมาพูดนี่นะ! ก็เลยบอกว่า “อาตมาเห็นด้วย ว่านักเจริญกรรมฐานที่ดีเขาก็ไม่มุ่งในขั้นหลับตา ถ้าหลับตาดีก็ถือว่าดีไม่ได้ ทีนี้ถ้าอารมณ์จิตคิดอยู่เป็นปกติ อย่างนี้นะจึงชื่อว่าเป็นผู้ทรงฌานในด้านกรรมฐาน เพราะว่าฌานแปลว่าการเพ่ง เพ่งก็คือนึกไว้นั่นเอง นึกว่าเราจะทำความดีส่วนโน้นส่วน
    ไม่หวั่นไหวต่อคำนินทา
    หลวงพ่อสรุปว่า นี่เป็นอันว่าน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ทรงสะเทือนในคำนินทาและสรรเสริญ ก็ทรงอุเบกขาเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นถ้าหากว่าวันนี้ อาตมาจะถวายพระพร ให้ทรงอยู่ในด้านของพรหมวิหาร ๔ ก็เห็นว่าจะไม่มีผล เพราะว่าความดี ๔ ประการนี้ พระองค์ทรงมีแล้วเรียบร้อยทุกประการ
    ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมมาพุทธเจ้าตรัสว่า “นัตถิ โลเก อนินทิโต” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “คนไม่ถูกนินทาเลย ไม่มีในโลกนี้”
    ฉะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงแม้ว่าจะมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ประชานิกรของพระองค์เพียงใดก็ตามที พระราชจริยาวัตรของพระองค์ ก็ย่อมไม่เป็นที่ที่ถูกใจของบุคคลบางพวก บางคณะ อาจจะมีอยู่
    ในครั้งหนึ่ง อาตมาได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ได้ปรารภกับพระองค์ถึงภารกิจที่อาตมาทำว่า
    “การทำการสงเคราะห์ ปวงชนชาวไทย ตามกำลังที่จะรวบรวมได้ จากบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ ทำการแจกอาหารการบริโภค ยารักษาโรค สร้างโรงเรียนตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ แต่การกระทำแบบนี้ กลับมีคนบางพวกบอกว่า อาตมาเป็นพระการเมือง”
    พระองค์ก็ตรัสว่า “ผมก็ทราบเหมือนกัน เขาว่าหลวงพ่อเป็นพระการเมือง”
    แต่พระองค์ก็ทรงถามว่า “หลวงพ่อมีความรู้สึกยังไง”
    ก็เลยถวายพระพรไปว่า “อาตมาไม่มีความรู้สึกอะไร เพราะถือว่าอาตมาไม่เคยสมัครสภาผู้แทนราษฏร และก็ไม่เคยอยากจะเป็นรัฐมนตรี เขาจะหาว่าการเมืองหรือการบ้านก็ช่าง ถือว่าเฉย ๆ ถือตามหลักพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่า “นินทา ปสังสา” ขึ้นชื่อว่า นินทาและสรรเสริญ เป็นของธรรมดาของโลก อาตมาไม่หนักใจในคำนินทาและสรรเสริญ เพราะไม่มีความสงสัย”
    ต่อนี้พระบาทมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ตรัสว่า “ผมก็เหมือนกันแหละขอรับ เมื่อก่อนนี้เขาลือว่าผมฆ่าพี่ แต่เวลานี้เขาลือกันว่าผมฆ่าพ่อตา”
    ความจริงช่วงหลัง อาตมาไม่ทราบจึงกราบทูลว่า “การลือที่ว่าฆ่าพ่อตานั้น มีความหมายเป็นยังไง”
    พระองค์ก็ตรัสบอกว่า “เขาลือกันว่าพ่อตาผมเป็นไข้ ผมเอาเหล้ากรอกปาก แล้วเลยพาพ่อตาไปวิ่ง พ่อตาก็เลยตาย”
    แล้วจึงได้ทูลถามพระองค์ว่า “แล้วมหาบพิตร มีความรู้สึกยังไง ในเมื่อคำนินทาปรากฏขึ้น”
    พระองค์ก็ตรัสว่า “เรื่อย ๆ ขอรับ”
    ก็หมายความว่า ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ความดีหรือความชั่วที่จะมีขึ้นได้อาศัยการกระทำเป็นสำคัญ แล้วเมื่อเราทำความดีแล้วใครจะว่าชั่ว เราก็ไม่ชั่วไปตาม ถ้าเราทำความชั่ว ใครจะสรรเสริญว่าดี เราก็ไม่ดีไปตาม
    นี่เป็นอันว่าน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ทรงสะเทือนในคำนินทาและสรรเสริญ ก็ทรงอุเบกขาเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นถ้าหากว่าวันนี้ (ประมาณปี ๒๕๓๓) อาตมาจะถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงอยู่ในด้านของพรหมวิหาร ๔ ก็เห็นว่าจะไม่มีผล เพราะว่าความดี ๔ ประการนี้ พระองค์ทรงมีแล้วเรียบร้อยทุกประการ


    *********************************************


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...