พระอนาคามีนี้เป็นขั้นที่หมุนตัวเองไปอัตโนมัติ เป็นปัญญาเป็นสติที่หมุนตัวเองโดยอัตโนมัติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 11 มิถุนายน 2018.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระธรรมเทศนา

    โดย

    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

    เอาให้หนักนะ เรื่องการชำระจิตใจ

    อาจารย์ชากับเราสนิทกันมานาน ทางด้านจิตใจได้คุยกันแล้วเป็นที่ลงใจ อาจารย์ชาเป็นพระเพชรน้ำหนึ่ง ลูกศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเหมือนกัน ท่านเคยไปรับการอบรมอยู่ที่วัดหนองผือ ซึ่งเราก็อยู่นั้นเวลานั้น ท่านเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์ทองรัตน์ คือ

    ท่านอาจารย์ทองรัตน์ ท่านอาจารย์มี จังหวัดนครราชสีมา นี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นเราไปศึกษาอบรม ท่านอาจารย์ทองรัตน์ ท่านอาจารย์กินรี ท่านอาจารย์มี โคราช ไปอบรมศึกษา เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นเรา แล้วอยากจะญัตติเป็นฝ่ายธรรมยุต หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า เรื่องชื่อนั้นไก่มันก็มี ฟังทุกคนนะ เป็ด ไก่ มันมีทั้งนั้นละเรื่องชื่อเรื่องเสียง ไม่ถือเป็นประมาณ

    เอาหลักธรรมวินัยเป็นจิตใจของพระ เป็นเพศของพระ เป็นเนื้อหนังของพระ มรรคผลนิพพานไม่ได้กีดกันสำหรับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หากว่าท่านทั้งหลายได้มาญัตติเสีย โลกเขาถือกัน สมมุติถือกัน ท่านทั้งหลายก็จะไม่มีเพื่อนฝูงที่จะทำประโยชน์ให้แก่โลกมาก ถ้าเมื่อได้ญัตติมาเป็นฝ่ายธรรมยุตเสีย ธรรมดาโลกก็จะถือเป็นหมู่เป็นคณะ เป็นธรรมดาของโลกมาอย่างนั้นดั้งเดิม ผลประโยชน์ที่จะได้จากการปฏิบัติเกี่ยวกับฝ่ายพระด้วยกันก็จะมีน้อย ไม่ต้องญัตติ ท่านสั่งเลยนะ มัคคาวรณ์ สัคคาวรณ์ไม่มี เพศก็ตั้งขึ้นแล้ว ทางสังคมยอมรับกันทั้งธรรมยุต มหานิกาย นี่เป็นความยอมรับทั่วหน้ากันแล้วในสังคม ส่วนธรรมวินัยก็เป็นที่เปิดทางให้แล้วสำหรับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่มีคำว่านิกายนั้นนิกายนี้

    ขอให้เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเท่านั้น เป็นศากยบุตรของพระพุทธเจ้าได้เสมอหน้ากันหมด นี่หลวงปู่มั่นท่านแสดง ผมสงสารเพื่อนฝูงของท่านมีจำนวนมาก ถ้าท่านทั้งหลายญัตติเสียแล้วหมู่เพื่อนก็จะเข้ากันไม่ติด ไม่ต้องญัตติแหละเพื่อกระจายผลประโยชน์ให้แก่เพื่อนฝูงมากมายก่ายกอง คำว่าเพื่อนฝูงได้แก่ ธรรมยุต มหานิกาย ที่เขาตั้งชื่อกันอย่างนั้น สำหรับหลวงตาบัวเองใครจะว่าบ้าก็ตามไม่มีชื่อ ตั้งไว้อย่างนั้นโก้ๆ ไปอย่างนั้นละ ธรรมยุต มหานิกาย ใครก็ตามถ้าปฏิบัติไม่ดีแล้วจะเป็นเทวดามาจากฟ้าก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรแหละ ถ้าตั้งใจปฏิบัติดีตามหลักธรรมวินัยสมบูรณ์แบบตามพระแล้ว มัคคาวรณ์ สัคคาวรณ์ ไม่มีเปิดทางโล่งเพื่อมรรคผลนิพพานด้วยกันทั้งนั้น

    อันนี้เราเองก็ดีไม่สนใจกับว่านิกายนั้นนิกายนี้ ขอให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเท่านั้นเราเป็นที่พอใจ เข้าได้สนิททันทีเลย จะเป็นนิกายเดียวกัน ชื่อเดียวกันก็ตาม ถ้าปฏิบัติไม่ดีแล้วไม่เข้าหน้านะ ไม่อยากมองดูจนกระทั่งหน้าจะว่าอะไร ธรรมวินัยเป็นเครื่องบังคับหรือเป็นเครื่องยืนยันว่าจะเข้ากันได้สนิทหรือ ไม่สนิทเพราะอะไร ถ้าธรรมวินัยการปฏิบัติเข้ากันได้แล้ว เป็นศากยบุตรเหมือนกันหมด

    วันนี้ผมก็ได้มาเยี่ยมท่านทั้งหลาย ผมไปทุกแห่งนั่นแหละทางไหนก็ไป หนองป่าพงก็ไป เมื่อเร็วๆ นี้ก็ไป ไปอุบลฯ ก็เข้าไปแวะหนองป่าพง ผมสนิทสนมกับอาจารย์ชามานาน ได้คุยธรรมะทางด้านภายในกันแล้วหายสงสัย จึงบอกได้ตรงๆ ว่า อาจารย์ชานี้คือเพชรน้ำหนึ่ง ถ้าจะพูดในสมัยครั้งพุทธกาลท่านว่า พระอรหันต์องค์หนึ่งนั่นเอง แต่ทุกวันนี้กิเลสมันหนามันแน่น พูดเรื่องอรรถเรื่องธรรมเรื่องมรรคผลนิพพานไม่ได้นะ กิเลสมันรุมตี ธรรมะจะออกไม่ได้

    คราวนี้จะเป็นคราวเปิดโลก ช่วยชาติของเรา ผมเองคือหลวงตาบัว เป็นผู้นำธรรมะพระพุทธเจ้ามาเปิด ตีปากกิเลสให้แหลกเหลวหมดไม่ให้มีเหลือ เพราะมันเหยียบย่ำทำลายศาสนาเรามานานแล้ว กั้นกางมรรคผลนิพพานไม่ให้มี ผู้ปฏิบัติศีลธรรมนี้ไม่มีมรรคผลนิพพานไม่มี ปฏิบัติจนตายก็ไม่มีมรรคผลนิพพาน นี่กิเลสมันปิดไว้ขนาดนั้นนะ มันหนาขนาดไหน ใครเป็นเอกในโลกอันนี้ คือพระพุทธเจ้าเป็นเอก ศาสนาออกมาจากท่านผู้เป็นเอก สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง ไม่มีอะไรบกพร่อง กิเลสมันได้เห็นมรรคผลนิพพานมาจากที่ไหน มันถึงมากล้าหาญหน้าด้านหลอกลวงโลกจนกระทั่งวันนี้ว่าบุญไม่มี บาปไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี นี่คือกิเลสตัวตาบอดหน้าด้านที่สุด มันกำลังปิดหูปิดตาปิดจิตปิดใจของชาวพุทธเราให้วิ่งไปตามมัน มรรคผลนิพพานกลายเป็นขี้หมูราขี้หมาแห้งไปแล้วเวลานี้ นี่เรานำมาเปิดเราปฏิบัติจริงๆ ตามหลักศาสนธรรม ตั้งแต่การเรียนมาเราไม่เคยได้ตำหนิติเตียนในศีลของเราว่าด่างพร้อยแม้นิดหนึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจในการศึกษาเล่าเรียน ศีลเราสงวนรักษามากที่สุด ภาคภูมิใจ เวลาออกปฏิบัติจึงไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยในศีล ของตนว่าด่างพร้อย มีความภาคภูมิใจเต็มสัดเต็มส่วนในศีลของตน จากนั้นก็ก้าวออกปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมที่ท่านสอนไว้เฉพาะอย่างยิ่งคำว่าปฏิบัติก็ได้แก่จิตตภาวนา ชำระจิตใจตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ ตั้งแต่สมถธรรม วิปัสสนาธรรม ก้าวขึ้นไปจนกระทั่งวิมุตติธรรม ออกจากจิตตภาวนาเป็นสำคัญมากอันดับหนึ่ง

    นี่ก็ได้ออกปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถ คำว่าสมาธิที่เรียนในตำรับตำรา เป็นชื่อเป็นเสียงเป็นกระดาษนั้น เข้ามารวมอยู่ในหัวใจผู้ปฏิบัตินี้ สมาธิได้ปรากฏขึ้นแล้วในหัวใจของเรา ไม่สงสัยแล้วว่าสมาธิเป็นอย่างไร แต่เวลาเรียนอยู่นั้นสงสัยตลอด ว่าสมาธิเป็นยังไงๆ สงสัย เพราะเพียงความจำเฉยๆ ความจริงไม่ได้เข้าถึงใจ พอปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนาเข้าไป สมาธิปรากฏขึ้นที่ใจเป็นความสงบเย็น จากนั้นเป็นความอัศจรรย์ในขั้นสมาธิ อ๋อ สมาธิเป็นอย่างนี้เหรอ นั่นชัดแล้วไม่ต้องไปถามใคร สมาธิเป็นอย่างนี้เหรอ ขยายจากสมาธิออกไปยิ่งกว้างขวาง ยิ่งลึกซึ้ง จนกระทั่งเต็มภูมิของสมาธิ คำว่าสมาธิเต็มภูมินั้นเหมือนน้ำเต็มแก้ว จะทำยังไงให้สูงกว่านั้นก็ไม่สูง

    สมาธิที่เต็มภูมิแล้ว ให้เลยนั้นไม่เลย เรียกว่าเต็มภูมิสมาธิ เหมือนน้ำเต็มแก้วในขั้นนี้ นี่ก็ได้เป็นแล้วภายในจิตใจของตัวเองติดสมาธิอยู่เป็นเวลา ๕ ปีไม่อยากออก อยู่ที่ไหนอยู่ได้หมดสบายหมด อยู่ในป่าในเขาจะยืนก็ดีนั่งก็ดีนอนก็ดี จิตนี้ไม่ได้ออกยุ่งกับอะไรเลย เป็นอารมณ์อันเดียว สมาธิแน่ว จนกระทั่งถึงว่านิพพานคืออันนี้เอง มันติดสมาธิแล้ว นี่ติดสมาธิอยู่เป็นเวลา ๕ ปี

    จนกระทั่งพ่อแม่ครูจารย์ท่านเห็นว่ามันจะตายแล้วนะไอ้นี่ มันจะหมูขึ้นเขียงในสมาธิแล้ว ท่านถามเรื่อยๆ เป็นยังไงจิตท่านมหาสงบดีอยู่เหรอ สงบดีอยู่เราว่าอย่างนี้เลย เพราะพูดด้วยความอาจหาญที่รู้เจ้าของจริงๆ แล้ว ท่านก็ถามเรื่อยท่านก็นิ่งไปเรื่อย แล้วก็ถามเรื่อย พอหนักเข้าก็ว่า เป็นยังไงจิตสงบดีอยู่เหรอท่านมหา

    วันนี้จะเปิดให้พี่น้องทั้งหลายทราบนะ เรื่องธรรมของพระพุทธเจ้าที่กระจายอยู่ในโลก แต่โลกเหยียบย่ำทำลายอยู่ ไม่ได้มีใครมอง วันนี้จะพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังในผลของตัวเองที่ได้ปฏิบัติมาอย่างอาจหาญ ชาญชัยไม่สะทกสะท้าน ในสามแดนโลกธาตุนี้ เราไม่เคยหวั่นกับอะไรทั้งนั้น เพราะเราได้รู้ของจริงตามหลักพระพุทธเจ้าแล้วจึงไม่มีหวั่นอะไร ของจริงมียังไงเราจะว่าตามของจริงนั้น

    นี่เราพูดถึงเรื่องสมาธิเต็มภูมิ ติดสมาธิอยู่ ๕ ปี แน่วทั้งนั้น ไม่มีกระดิกพลิกแพลงไปทางไหนมันลำบาก จะให้คิดทางด้านปัญญาคิดอ่านไตร่ตรองอย่างนั้นอย่างนี้มันไม่อยากคิด มันสู้ความสงบแน่วอยู่อันเดียวไม่ได้ ก็เลยติดสมาธินั้นเสียเป็นเวลา ๕ ปี พอถึงเวลาแล้วก็ เป็นยังไงท่านมหาสงบดีอยู่เหรอจิตท่านว่าอย่างนั้น ก็ว่าสงบดีอยู่ ท่านจะนอนตาย ขึ้นทันทีเลย หือ ท่านจะนอนตายในสมาธินั้นเหรอ ท่านรู้ไหมว่าสุขในสมาธิเท่ากับเนื้อติดฟันเท่านั้น เนื้อติดฟันมีความสุขแค่ไหน เอามาเทียบกันกับสมาธิของท่าน เอาละนะที่นี่ ขึงขังตึงตังเทียวนะ ท่านรู้ไหมว่าสมาธิทั้งแท่งนั้นเป็นสมุทัยทั้งแท่ง ท่านรู้ไหม ไอ้เราก็ขึ้นทันทีตอบท่าน ถ้าว่าสมาธิเป็นสมุทัยแล้วสัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน เราก็ว่าอย่างนี้ตอบท่าน สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นสมาธิหมูขึ้นเขียงเหมือน ดังสมาธิของท่านนี่นะ สมาธิของท่านเป็นหมูขึ้นเขียง ไม่สนใจกับเรื่องสติปัญญาที่จะถอดถอนกิเลสเลย นี้คือสมาธิขึ้นเขียง นี้หรือเป็นสัมมาสมาธิท่านว่าอย่างนั้น สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นอย่างนี้ สมาธิต้องเป็นสมาธิมีสติปัญญาครอบงำอยู่กับสมาธินั้น นี่สมาธิหมูขึ้นเขียงไม่สนใจต่อทางด้านปัญญาเลย ท่านยังไม่รู้อยู่หรือนี้คือสมาธิที่เป็นสมุทัย ทางนี้ก็ลงทันที อ๋อ เห็นจะใช่แล้ว ยอม ยอมในใจนะ จากนั้นก็ออก เพราะสมาธิเต็มภูมิแล้วจะออกทางด้านปัญญาเมื่อไรออกได้ทั้งนั้น แต่ไม่นำออกนั่นซิ เหมือนกับเครื่องครัวของ เรานำมาวางไว้ๆ อันนั้นหมู อันนี้ปลา อันนี้เนื้อ อันนั้นผัก อันนี้พริก ก็ทิ้งเกลื่อนไว้อย่างนั้นมันไม่ได้เป็นแกงให้ เราไม่ได้จับมาผสมเครื่องครัวพร้อมแล้วก็ตาม แต่จะให้สำเร็จเป็นแกงขึ้นมาไม่ได้เมื่อไม่จับมาผสมผเสกัน นี่สมาธิจะเก่งขนาดไหนก็ตามก็พร้อมในความเป็นสมาธิ แต่ไม่สามารถที่จะเป็นปัญญาวิมุตติหลุดพ้นไปได้

    พอท่านว่าอย่างนั้นแล้วก็ออกละที่นี่นะ จิตก็เริ่มออกไหว ตัวท่านชี้แจงถึงเรื่องปัญญา ปัญญาต่างหากนะแก้กิเลส สมาธิเป็นแต่เพียงว่าตีกิเลสให้สงบตัวเข้ามา เพื่อจะก้าวเดินทางด้านปัญญาได้สะดวก โดยไม่มีอารมณ์อันใดมาก่อกวนเนื่องจากสมาธิครอบไว้แล้ว ฟังซิท่านพูดน่ะ พอออกทางด้านปัญญานี้หมุนติ้วทันทีเลย พิจารณาเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เรื่องอสุภะอสุภังภายในร่างกายนี้กระจ่างแจ้งๆ ขึ้นมา เห็นเหตุ เห็นผล เห็นโทษ เห็นภัยในร่างกาย ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยเห็น เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เรียนมาตั้งแต่วันบวชก็ไม่สนใจ มีแต่เสกสรรปั้นยอผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็นกระดูก นี้ว่าเป็นของสวยของงามเป็นของจีรังถาวร เป็นหญิง เป็นชาย เป็นของน่ารักน่ายินดีไปหมด ทีนี้พอปัญญาได้เข้าสู่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ซึ่งเป็นภูเขาภูเราอันหนักที่สุดนี้แล้วแตกกระจายออกไป แตกออกจากคำว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็น หญิงเป็นชาย แตกจากคำว่าเป็นความสวยความงาม จนกระทั่ง กระจายออกไปเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา สติปัญญาหยั่งเข้าไป ทราบเข้าไป ฆ่ากิเลสไปโดยลำดับๆ อ๋อ อย่างนี้เหรอท่านฆ่ากิเลส ท่านฆ่าอย่างนี้เหรอ ประจักษ์เข้าๆ กระจายออกทางด้านปัญญาเกี่ยวกับส่วนร่างกายนี้ อันนี้หนักมาก สติก็ดี ปัญญาก็ดี ความเพียรก็ดี ก้าวเข้าสู่ภูเขาภูเรา คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้ภูเขาทั้งลูกไม่ได้หนักยิ่งกว่านี้ เขาทำลายได้แตกกระจาย แต่ภูเขาภูเราในเกสา โลมา นี้ไม่มีใครทำลาย นอกจากส่งเสริมให้มันยิ่งกว่าเทวบุตรเทวดาไปเสียอีกเท่านั้น พอสติปัญญาหยั่งเข้าตรงนี้แตกกระจัดกระจายพังทลายลงไป ขาดสะบั้นลงไปเสร็จแล้ว จิตดีดผึงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง นี่เห็นโทษแห่งภูเขาภูเรา ปล่อยวางภูเขาภูเราไปแล้วจิตดีดผึงขึ้นเลย เพราะฉะนั้นพระอนาคามีท่านผู้ละกามกิเลสได้แล้ว จึงไม่กลับมาเกิดอีก เพราะตัวนี้เองเป็นตัวกดถ่วงที่หนาแน่นมั่นคงที่สุดหนักที่สุด สัตว์ทั้งหลายชอบที่สุด ความทุกข์ความทรมานอยู่กับตรงนี้ที่สุด สติปัญญาได้พังทลายขาดสะบั้นเข้าไปเห็นประจักษ์ใจ จิตดีดผึงขึ้นจากขั้นนี้ พอออกจากขั้นนี้แล้วความกดถ่วงทั้งหลายทางด้านจิตใจอันเป็นความทุกข์ความทรมานมากน้อย หายหน้าไป เกือบจะว่าไม่มีเหลือ จากนั้นจิตก็หมุนขึ้นเป็นหลักธรรมชาติ นี่เรียกว่าละขั้นกามกิเลสได้แล้วด้วยปัญญาของตัวเองโดยไม่ต้องไปถามใคร พูดแล้วสาธุ แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้านี้ก็ไม่ทูลถามพระองค์ เพราะเป็นของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน สนฺทิฏฺฐิโก ความรู้เองเห็นเองอย่างเดียวกัน ถามกันหาอะไรประจักษ์ จากนั้นจิตก็ดีดขึ้นเลย ดีดขึ้นๆ ถ้าพูดถึงขั้นภูมิก็ว่า พระอนาคามีได้ระดับแล้ว พระอนาคามีนี้เป็นขั้นที่หมุนตัวเองไปอัตโนมัติ เรียกว่า ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาเป็นสติที่หมุนตัวเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีการบังคับบัญชาในเรื่องความพากความเพียร ต้องได้รั้งเอาไว้ ไม่อย่างนั้นสติปัญญานี้ทำงานเลยเถิด เพราะเห็นโทษแห่งวัฏจักรก็เห็นอย่างถึงใจ คือเห็นโทษของกิเลสเห็นอย่างถึงใจ เห็นโทษแห่งความหลุดพ้นจากทุกข์เห็นอย่างถึงใจ ความถึงใจทั้งสองประเภทนี้เข้าสู่ดวงใจดวงเดียวจึงมีกำลังมาก ที่จะถอนตัวออกจากทุกข์ โดยไม่มีคำว่าเป็นว่าตาย ฟัดกันเต็มเหนี่ยวเลย

    นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่ที่หัวใจของผู้ปฏิบัติตามศาสนธรรมที่ทรงสอนไว้ ไม่ครึไม่ล้าสมัย เป็นมัชฌิมาตลอดเวลา นี่สติปัญญาขั้นนี้ก้าวแล้ว ทีนี้เบิกกว้างๆ ออกเรื่อยๆ เรื่องกิเลสตัณหาวัฏจักร วัฏวนหมุนภายในดวงใจนี้เหมือนกับว่ามันหดย่นเข้ามาๆ ทางเบิกกว้างที่จะหลุดพ้นจากทุกข์เบิกกว้างออกๆ สติปัญญาหมุนตัวเป็นธรรมจักร นี่เรียกว่าธรรมทำงาน ธรรมมีกำลัง ย่อมหมุนตัวกลับเหมือนกันกับกิเลสที่มันมีกำลัง หมุนหัวใจของสัตว์เป็นวัฏจักรไปตามๆ กันหมด ไม่ว่ากิริยาใดของกิเลส ที่มันแสดงตัวออกมา มันทำงานเพื่อวัฏจักรของมันทั้งนั้นๆ ทีนี้เมื่อสติปัญญาอันเป็นฝ่ายธรรมมีกำลังแล้วหมุนกลับ ทีนี้หมุนกลับโดยอัตโนมัติเหมือนกิเลสมันหมุนอยู่ในหัวใจสัตวโลกเป็น อัตโนมัติของตัวเองนั้นแล

    พอถึงขั้นสติปัญญาขั้นนี้แล้วเป็นหมุนกลับๆ ตลอดเวลา ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอนเว้นแต่หลับอย่างเดียวเท่านั้น นอกจากนั้น สติปัญญาขั้นนี้จะฆ่ากิเลสตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ หมุนติ้วๆ กิเลสขั้นหยาบหมุนหนัก เรียกว่าปัญญาขั้นผาดโผนโจนทะยาน เหมือนว่าฟ้าดินถล่ม ปัญญาขั้นหยาบกับกิเลสขั้นหยาบๆ ฟัดกัน พอจากนั้นแล้วสติปัญญาก็ค่อยเบาไปๆ เพราะกิเลสเบาลงๆ สติปัญญาก็ค่อยเบาไปตามๆ กัน หมุนไปตามๆ กัน เป็นน้ำซับน้ำซึมๆ กิเลสซึมซาบไปไหนสติปัญญาขั้นอัตโนมัติก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญา แล้วซึมซาบ ไปตามๆ กันเลย เหมือนไฟได้เชื้อ เอ้า ละเอียดขนาดไหน สติปัญญานี้ละเอียดตามกันไปๆ โดยอัตโนมัติจนไหม้หมด คำว่าเชื้อไฟได้แก่กิเลสส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ไฟจะแสดงเปลวตามเชื้อไฟที่หยาบ กลาง ละเอียดเป็นลำดับ พอเชื้อไฟได้แก่กิเลสมีความละเอียดลออลงมากจนถึงขนาดซึมซาบ สติปัญญาขั้นพอๆ กันขั้นปราบกันก็ซึมซาบไปตามๆ กัน เผาไหม้เป็นลำดับลำดาเหมือนไฟได้เชื้อ จนกระทั่งขาดสะบั้นลงไปหมดไม่มีอะไรเหลือภายในจิตใจ จิตใจได้ดีดขึ้นจากนั้นเหมือนฟ้าดินถล่มเห็นประจักษ์อย่างนั้นซิ ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ธรรมเป็นธรรมที่องอาจกล้าหาญชาญชัย ออกมาจากผู้สิ้นกิเลส เหนือกิเลสทุกประเภทแล้วกลัวกิเลสหาอะไร มันลบล้างว่าบุญไม่มี บาปไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี จ้าอยู่ในหัวใจนี้จะไปถูกกิเลสหลอกลวงได้ยังไง ก็มีตั้งแต่จะฟาดหัวกิเลสแหลกแล้วประกาศให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า บุญมี บาปมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมีประจักษ์อยู่ตลอดเวลาตั้งกัปตั้งกัลป์มาแล้ว แล้วยังจะมีอยู่ต่อไปอีกในสิ่งเหล่านี้ ไม่มีการลบล้างได้ ไม่มีสิ่งใดลบล้างได้ กิเลสจะลบล้างว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีก็ตาม ก็เป็นลมปากที่มาหลอกลวงสัตวโลกให้ล่มจมไปตามมันเท่านั้น พี่น้องทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธด้วยกัน อย่าหลงกลมันนะ

    พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอก แต่กิเลสมันไม่ได้เอกนะ เอกตั้งแต่หลอกคนเท่านั้นแหละ ให้ต่างคนต่างปฏิบัติ พอจิตถึงขั้นขาดสะบั้นลงไป กิเลสอวิชชาหมุนอยู่ในหัวใจดวงเดียวเป็นจุดรวมของกิเลสทั้งหลาย มหาสติมหาปัญญาก็ฟาดเข้าไปนั้นขาดสะบั้นลงจากหัวใจ ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม ขณะที่จิตได้หลุดออกไปจากวัฏจิตวัฏจักรขาดสะบั้นออกไปเป็นวิวัฏฏจิต เป็นนิพพานสดๆ ขึ้นมา ภายในจิตใจแล้ว เหมือนฟ้าดินถล่มเลย ความอัศจรรย์ที่ไม่เคยคิดเคยคาดเคยหมายได้ปรากฏขึ้นแล้วในขณะที่กิเลสทั้ง ปวงได้สิ้นซากลงไปจากหัวใจแล้ว

    ใจนี้เป็นใจดวงอื่นขึ้นมาทั้งๆ ที่เป็นใจดวงเก่า ใจดวงเก่าคือกิเลสครอบเอาไว้มืดตื้อ แล้วถึงสว่างมาก็สว่างตามขั้นตามภูมิยังไม่ได้สว่างเต็มดวงเมื่อกิเลสยังมี อยู่ พอกิเลสพังลงไปหมดแล้วสว่างเต็มดวง อาโลโก อุทปาทิ สว่างโร่อยู่ทั้งกลางวันกลางคืน

    พระพุทธเจ้าสอนพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้า เบญจวัคคีย์ทั้งห้าก็ใครบ้างที่จะศึกษาปฏิบัติตาม ก็คือพวกเรานี่ละปฏิบัติ ต้องเอาให้จริงจัง นี่ละกิเลสขาดสะบั้นลงจากใจ ใจดวงที่กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วเป็นใจดวงใหม่ขึ้นมา เป็นใจที่อัศจรรย์เลยคาดเลยหมาย แม้ตัวเองก็อัศจรรย์ในตัวเอง น้ำตาร่วง นั่นฟังซิไม่ได้นอนเลยตลอดรุ่ง เกิดความอัศจรรย์ในธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ปรากฏขึ้นในหัวใจของเราอย่างเต็มดวง สว่างจ้าครอบโลกธาตุ โน่นฟังซิ พอกิเลสตัวเดียวที่มันปิดบังกระจายออกเท่านั้น จิตนี้ได้แสดงฤทธิ์เดชของตัวเองแห่งความบริสุทธิ์เต็มตัวของจิตสว่างจ้าไปหมด ไม่ถาม นรกถามอะไร สวรรค์ นิพพาน ถามหาอะไร ประจักษ์อยู่ในหัวใจนี้หมดแล้ว ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตามเราเป็นผู้รู้อยู่เห็นอยู่ เราจะไปเชื่อใครผู้เขาไม่รู้ไม่เห็นนี่ละพระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น สั่งสอนโลกได้สามแดนโลกธาตุ เห็นไหม จริงหรือไม่จริง อาจหาญหรือไม่อาจหาญ แน่หรือไม่แน่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ฆ่ากิเลสขาดสะบั้นลงจากหัวใจ สอนสัตวโลกได้สามแดนโลกธาตุ แล้วมีใครสามารถกิเลสตัวไหนสามารถสอนโลกให้เป็นอรรถเป็นธรรมได้สามแดนโลกธาตุ มีแต่มันกล่อมโลกธาตุทั้งหมดนั่นแหละ นี่ละเป็นข้าศึกของธรรม ได้แก่กิเลส มันบีบอยู่หัวใจของพวกเราทั้งหลายเวลานี้

    เวลาเปิดออกแล้ว กิเลสสิ้นซากไม่มีอะไรเหลือแล้ว ตั้งแต่ขณะกิเลสสิ้นซากลงไปทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายที่จะมาผ่านหัวใจเพราะกิเลสสร้างขึ้นมา ไม่ปรากฏเลย มีแต่ความบริสุทธิ์พุทโธ ธรรมพอแล้วล้วนๆ ภายในหัวใจ ตั้งแต่บัดนั้นตลอดมาจนกระทั่งบัดนี้ เป็นเวลาเท่าไร นี้เราประกาศความจริงที่ออกจากหัวใจของเราอย่างไม่สะทกสะท้านกับโลกธาตุใด ในสามแดนโลกธาตุนี้ เพราะเราได้รู้จริงเห็นจริงอย่างประจักษ์ในหัวใจของเราแล้ว แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าเราก็ไม่ทูลถามท่านในสิ่งเหล่านี้ เพราะทรงแสดงไว้แล้วทุกอย่างให้เรารู้เราเห็น ให้ปฏิบัติตามนั้นๆ จะรู้เห็น เป็น สนฺทิฏฺฐิโกๆ รู้เองเห็นเองขึ้นมา เราจะไปทูลถามท่านทำไม

    ประกาศป้างขึ้นภายในจิตใจแล้ว ทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่เคยปรากฏ ตั้งแต่ขณะที่กิเลสตัวสร้างทุกข์ขึ้นมานั้นขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ มีแต่บรมสุข เรียกว่านิพพานพอภายในหัวใจตลอดมาจนกระทั่งถึงป่านนี้ เราเคยได้ประกาศให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายของเราได้ทราบ ในปีนี้เป็นปีที่เราเปิดหัวอก ในการปฏิบัติมาผลได้รับมากน้อยเราไม่เคยเปิดแต่ก่อน สอนไปตามธรรมดา ควรสอนหนักหนัก ควรสอนเบาเบา ควรสอนถึงฟ้าดินถล่มสำหรับผู้ต้องการมรรคผลอันสูงสุด เราก็สอนอย่างเต็มเหนี่ยว เรียกว่าฟ้าดินถล่มเอาให้หลุดให้พ้นไปได้ในขณะนั้นเลยทีเดียว ถ้าเป็นสถานที่ต่างๆ ก็ตามแต่กำลังของผู้ที่จะรับอรรถธรรมมากน้อยเพียงไร ถ้าไปสถานที่หูหนวกตาบอดเสียจริงๆ เหมือนไม่มี เราก็เป็นคนหูหนวกตาบอดไปด้วย เพราะสอนไปแล้วเขาก็ไม่รู้เรื่อง สอนไปหาอะไร ก็เดินไปนั่งไปนอนไป ตามีหูมีก็ฟังไปอย่างนั้น ผ่านไปๆ เพราะสอนมันไม่รับประโยชน์ พวกนี้พวกปทปรมะ มืด หูหนวกตาบอดหมด ใจบอดหมด ไม่มีทางที่จะรับอรรถรับธรรมได้ สอนไปทำไม เป็นคนไข้ก็เหมือนคนไข้ ไอ.ซี.ยู. เข้าไปไม่ได้สนใจกับหมอไม่ได้สนใจกับยาเลย มีแต่ลมหายใจจะขาดไปโดยถ่ายเดียว คนประเภทนี้เหลืออยู่แต่ลมหายใจ เป็นเศษมนุษย์ สร้างบาปสร้างกรรมมากๆ นี้ทั้งๆ ที่มันเชื่อกิเลสอย่างฝังใจว่านรกไม่มี ตัวนี้แหละตัวที่จะจมอย่างฝังมิดๆ เหมือนกัน ผู้ที่เชื่อกิเลสว่านรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี บาปไม่มี บุญไม่มี นี้คือตัวเรียกว่าช่างรับเหมาใหญ่ในกองทุกข์ทั้งหลาย จะรวมอยู่ที่ผู้นี้ทั้งหมด คำว่ามีหรือไม่มีมันเป็นลมปาก เป็นความสำคัญของกิเลสหลอกต่างหาก ความจริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร นรกมีมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ฟังซิ กี่กัปกี่กัลป์นานสักเท่าไร แล้วยังจะมีอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ใครจะไปลบล้างนรกได้ แม้แต่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากี่พระองค์ ไม่เห็นพระองค์ใดว่าได้ลบล้างนรกได้ สวรรค์ได้ ไม่มี มีแต่ตรัสสอนโลกตามความมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้ เพราะลบล้างมันไม่ได้ ให้รู้ว่านี้เป็นภัย อันนั้นเป็นคุณ นรกเป็นภัย นรกขุมนั้นๆ เป็นภัยขนาดนั้นๆ บาปเป็นภัยอย่างนั้นๆ สอนบุญ ว่าเป็นคุณอย่างนี้ๆ แนะสัตว์ทั้งหลายให้ไปทางบุญทางที่ถูกที่ดีสดๆ ร้อนๆ แนะให้แยกตัวออกจากความชั่วช้าลามกทั้งหลาย จะไม่ได้ไปตกนรกแบบสดๆ ร้อนๆ เช่นเดียวกัน นี้ละศาสนาของพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อน ๆ อย่างนี้แล

    เราอย่าให้กิเลสมันหลอกนะเราเป็นชาวพุทธ ปีนี้จึงได้เปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราคอขาดแทนพระพุทธเจ้าเลยเรื่องว่า บาปมีบุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลก นิพพานมี เราไม่สะทกสะท้าน คอเราจะขาดให้ขาดไป แต่เราจะปฏิเสธคำเหล่านี้ว่าไม่มี เราปฏิเสธไม่ลง มันประจักษ์อยู่ที่หัวใจ แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม เพราะเป็นของอันเดียวกัน รู้เห็นอย่างเดียวกัน ถามท่านทำไม หลักใหญ่อยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูด ในปีนี้เป็นปีเปิดหัวอกให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เราไม่เคยเปิด ธรรมประเภทนี้เรารู้มาตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ ฟังให้ดี วันที่ ๑๕ พฤษภาคม เวลา ๕ ทุ่ม ๒๔๙๓ อยู่บนวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร หลังวัดดอยฯ บนภูเขา เวลา ๕ ทุ่มพอดี ได้คว่ำกิเลสออกจากหัวใจเหมือนหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม ในวันนั้นจนกระทั่งบัดนี้เป็นเวลา ๔๘–๔๙ ปีนี้แล้ว เราไม่เคยพูดที่ไหนว่าเราได้รู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ แต่ปีนี้เป็นปีที่เราจะนำชาติบ้านเมือง จึงเปิดปูมหลังออกมาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ จะเชื่อหรือไม่เชื่อมันเป็นเรื่องกรรมของสัตว์ต่างหากเราที่พูดออกไปก็ดี ไม่พูดออกไปก็ดีในธรรมประเภทนี้ เราไม่มีได้มีเสียกับธรรมเหล่านี้ เพราะเป็นธรรมชาติที่คงเส้นคงวาหนาแน่นจะพูดหรือไม่พูดไม่มีปัญหา นอกจากแยกไปพูดให้เป็นประโยชน์แก่โลก แต่โลกที่มันหนาแน่นมันจะเอานี้ไปเป็นไฟเผาไหม้ตัวด้วย ความไม่เชื่อก็ได้ อันนั้นเป็นกรรมของสัตว์ช่วยไม่ได้ ผู้ที่จะควรช่วยได้ก็เชื่อก็ทำตามหลักธรรม เพราะนี้เป็นธรรมพระพุทธเจ้าโดยแท้ว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ มี ธรรมพระพุทธเจ้าแท้ ว่ามรรคผลนิพพานที่ศาสดาสอนไว้เพื่อสาวกทั้งหลายตรัสรู้มรรคผลนิพพานมาเป็นลำดับ จนกระทั่งบัดนี้ก็เป็นศาสนาของพระพุทธเจ้าแท้ ที่ทรงสอนไว้แท้ ไม่มีใครมาสอนอย่างพระพุทธเจ้า เราปฏิบัติตามนั้น รู้ตามนั้น เห็นตามนั้นแล้วใครจะมาลบล้างเราได้ มันก็ต้องเป็นตามนั้น จึงเป็นศาสดาองค์เอก คงเส้นคงวาหนาแน่นได้ ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่มีความจริงแล้ว ศาสดาก็ไม่มีความจริง ศาสนาก็ปลอม ธรรมทั้งหลายปลอมหมด จริงแต่กิเลสอย่างเดียวเผาหัวใจโลกตลอดเวลา

    วันนี้ได้พูดให้ท่านทั้งหลายฟังซึ่งเป็นนักปฏิบัติ ผมพอใจ เห็นท่านผู้ปฏิบัติมุ่งต่อมรรคผลนิพพาน เอาให้หนักนะเรื่องการชำระจิตใจจิตตภาวนาเป็นสำคัญมาก อย่ายุ่งกับสิ่งภายนอก เป็นเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นทั้งนั้น เป็นเรื่องของกิเลสเข้าตีตลาด ธรรมตีตลาดบ้างซิ สมาธิธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม แล้วต่อจากนั้นก็เป็นมรรคผลนิพพานธรรมขึ้นมาภายในจิตใจของเรา เพราะความพากเพียรของเรา อันนี้เอาให้หนักแน่นนะ ให้รู้จริงเห็นจริง

    ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของจริงมาตลอด ขอให้ปฏิบัติตามนี้เถอะ จะเห็นรู้จริงเห็นจริงตามท่าน ไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรคกีดขวางได้นอกจากกิเลสอย่างเดียว ปัดหัวกิเลสออกไป เหยียบหัวกิเลสออกไป เอาให้เห็นมรรคผลนิพพานประจักษ์ใจ สมชื่อว่าเราบวชมาในพุทธศาสนา เพื่อสมบัติอันล้นค่าคือมรรคผลนิพพาน งานของพระไม่มีอันอื่นใด มีแต่งานเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาชำระกิเลสภายในจิตใจนี้โดยถ่ายเดียวเท่านั้น งานอื่นเหล่านั้นเป็นงานของโลกของสงสาร ถ้าหากว่าเราหลงเพลินกับมันก็เป็นงานของกิเลส ยุ่งนั่นยุ่งนี่ สร้างนั่นสร้างนี่ยุ่งไปหมด ไม่สร้างหัวใจ ไม่ชำระจิตใจเจ้าของ ไปสร้างแต่ภายนอก หาเกาแต่ที่ไม่คัน เหมือนหมาขี้เรื้อน หมาขี้เรื้อนมันยังเกาที่คัน เรานี้เกาดะๆ ไม่เลือกว่าที่คันไม่คัน สู้หมาขี้เรื้อนหรือเก่งกว่าหมาขี้เรื้อนก็ได้ หมาขี้เรื้อนแตกกระจายหนีไปหมด สู้พระเกาดะไม่ได้ พระเกาดะ หาเรื่องเกานั้นเกานี้ ยุ่งนั้นยุ่งนี่ ไม่ได้สนใจกับตัว ยุ่งมันอยู่ภายในหัวใจนี้เลยว่ามันคืออะไร นี่ตัวยุ่ง ให้แก้เข้าไปตรงนี้ มันฟุ้งซ่านมากเท่าไร เอาสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ฟาดเข้าไปเอาให้มันหงาย เวลานี้มีแต่มันเอาเราหงายนะ พอจะมองดูจิตนี้ถูกมันตีหน้าผากหงายๆ เข้าภาวนาไม่ได้ รำคาญ ขี้เกียจขี้คร้าน ฟุ้งซ่านวุ่นวาย นี่คือกิเลสตีแล้ว เอาสติปัญญาจ่อเข้าไปๆ หงาย คราวนี้ซัดคราวใหม่ หงายคราวนี้ซัดเข้าไป สุดท้ายฟาดกิเลสจมลงได้ นี่ละความเพียร พระพุทธเจ้าจึงสอนเรื่องความพากความเพียร สติเป็นสำคัญมากนะอย่าให้เผลอ อยู่ที่ไหนให้มีสติดูจิตใจเจ้าของ มันเคลื่อนไหวไปมาทางไหนบ้าง นั้นคือเรื่องของกิเลสเคลื่อนตัวทั้งนั้นแหละ ให้ดูตัวนี้ เมื่อดูตัวนี้ชัดเข้าไปแล้วก็จะเห็นที่แก้ที่ไข มันจะสงบตัวลงไป ทีนี้ปัญญาตีแหลกแตกกระจายไปได้เลย นี่เป็นธรรม

    วันนี้ได้ฝากธรรมกับท่านทั้งหลาย ให้พากันไปประพฤติปฏิบัติ ผมภูมิใจในพระเราที่ยังมีผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรม ก็เท่ากับมุ่งต่อมรรคผลนิพพาน มุ่งต่อศาสดาองค์เอก ตามเสด็จพระพุทธเจ้าด้วยความพากเพียรของเรา นี้ถูกต้องแล้วเหมาะสมแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีนะศาสนา มีแต่รูปพระรูปเณร มีแต่รูปวัดรูปวาเท่านั้น ธรรมจะไม่มีในวัดในวาในพระในเณร จะมีแต่ส้วมแต่ถานแต่มูตรแต่คูถเต็มวัดเต็มวาเต็มพระเต็มเณร เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ความพากความเพียรที่ชำระกิเลสนี้จะไม่มีในหัวใจพระกิริยาของพระนะให้พากันระมัดระวังตอนนี้ให้มาก

    เวลานี้กองทัพกิเลสมันเป็นคลื่นใหญ่ยิ่งกว่ามหาสมุทรทะเลหลวง ไปที่ไหนกิเลสเข้าไปตีตลาดแล้วๆ สวมรอยแล้วๆ เราไม่ทราบว่ากิเลสสวมรอยเรา เพราะเราโง่กว่ามัน เมื่อได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมันจะออกแง่ไหนรู้หมด เรื่องของกิเลสมันจะออกแง่ใดมุมใดรู้หมดๆ ไม่งั้นฆ่ามันไม่ได้ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านฆ่าหมด รู้ได้หมดถึงฆ่าได้หมด พวกเรานี้โง่ได้หมด ให้กิเลสเหยียบได้ทั้งนั้นไม่ว่าพระว่าเณร มันไม่ได้กลัวหัวโล้นโกนคิ้วนะกิเลส กลัวแต่สติธรรม ปัญญาธรรม ความพากความเพียรเท่านั้นวันนี้พูดธรรมะให้ท่านทั้งหลายฟังพอหอมปากหอมคอ

    พูดไปพูดมาเหนื่อยแล้วนะ

    เอาละพอ

    วันที่ ๒๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑

    ณ วัดมาบจันทร์

    https://sites.google.com/site/meditationcity/lung-ta-phra-maha-bua
     

แชร์หน้านี้

Loading...