พระอภิธรรมสังคิณีมาติกา บท ๖ อทุกขมะสุขายะ เวทนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา...หลวงปู่ฝั้น

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Kob, 30 ตุลาคม 2005.

  1. Kob

    Kob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    6,159
    ค่าพลัง:
    +19,884
    พระอภิธรรมสังคิณีมาติกา บท ๖ อทุกขมะสุขายะ เวทนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา


    เบื้องหน้าแต่นี้จะได้วิสัชนาบทที่ ๖ ว่า อทุกขมะสุขายะ เวทนายะ สัมปะยุตตา ธัมมานี้ต่อไป ข้อนี้แปลว่าธรรมทั้งหลายอันสัมปยุตต์แล้วด้วยเวทนาที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ โดยความอธิบายว่าทุกข์ก็อาศัยแก่เบญจขันธ์ทั้ง ๕ เมื่อเห็นว่าเบญจขันธ์ทั้ง ๕ ไม่ใช่ตัวตน หรือเห็นว่าเป็นคนอื่นมิใช่เราแล้ว อุปาทานก็ไม่เข้าไปใกล้ เพราะฉะนั้นจึงว่าทุกข์สุขไม่มีดังนี้ ส่วนอารมณ์นั้นเล่าก็มีอุเบกขา อุเบกขานั้นแปลว่า เข้าไปเห็นเบญจขันธ์ทั้ง ๕ เบญจขันธ์ทั้ง ๕ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดับศูนย์สิ้นไป ความรู้ความเห็นนั้นก็ไม่เจือปนอยู่ด้วยเบญจขันธ์ทั้ง ๕ เพราะเหตุนั้นจึงว่าไม่มีสุขไม่มีทุกข์ฉะนี้ ท่านสกวาทยาจารย์จึงถามขึ้นว่า อารมณ์ที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์นั้นจะเป็นอย่างไร จะเป็นโลกีย์หรือโลกุตรเป็นประการใด ท่านปรวาทยาจารย์จึงวินิจฉัยว่าความที่ว่าไม่มีสุขไม่มีทุกข์นั้นที่เป็นโลกียะก็มี ที่เป็นโลกุตรก็มี เปรียบเหมือนหนึ่งอารมณ์ที่ร้อนแล้วแลมีความปรารถนาจะให้พ้นร้อนไปหาเย็น แต่ยังไปไม่ทันถึงความเย็นฉะนั้น ท่านปรวาทยาจารย์จึงย้อนถามขึ้นอีกว่าท่านสกวาทีอาจารย์ ที่จะเห็นว่าอารมณ์ร้อนหรือเย็นเป็นประการใด ท่านสกวาทีจึงตอบว่าอารมณ์นั้นร้อน พระปรวาทยาจารย์จึงถามอีกว่าอารมณ์นั้นจะร้อนอย่างไรเมื่อหนีพ้นร้อนมาแล้ว พระสกวาทีจึงตอบว่า ถ้าพ้นอารมณ์ร้อนมาแล้วอารมณ์นั้นเย็น พระปรวาทีจึงว่าจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่ทันถึงความเย็น พระสกวาทีจึงว่าถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว อารมณ์นั้นก็ไม่เย็นไม่ร้อน พระปรวาทีจึงอนุโลมว่านั้นแลธรรมที่สัมปยุตต์แล้วด้วยเวทนาที่ไม่สุขไม่ทุกข์


    ฉะนั้นพระสกวาทีจึงมีความวิบัติสงสัยไถ่ถามอีกว่าธรรมที่เป็นโลกีย์นั้นคือใคร ผู้ใดจะเป็นผู้กระทำได้แล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงนำบุคคลที่เป็นโลกีย์มาแสดงในที่นี้เพื่อให้เป็นแบบเป็นฉบับสักเรื่องหนึ่งพอเป็นเครื่องเตือนสติให้สิ้นความสงสัย พระปรวาทีจึงนำบุคคลมาแสดงเพื่อให้เป็นนิทัศนอุทาหรณ์ เอโกเถโร ยังมีพระมหาเถระองค์หนึ่งไปเจริญสมณธรรมอยู่ในอรัญราวป่า พิจารณาซึ่งสังขารธรรมเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา จนอารมณ์นั้นไม่เป็นสุขไม่เป็นทุกข์ เฉยๆ อยู่ในกาลครั้งหนึ่งยังมีเสือโคร่งใหญ่ตัวหนึ่ง มาคาบเอาพระมหาเถรเจ้านั้นไปบริโภคเป็นภักษาหาร เมื่อเดิมทีนั้นก็บริโภคตั้งแต่เท้าขึ้นไปจนถึงโคนขา พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่สุขไม่ทุกข์ จิตของพระผู้เป็นเจ้านั้นก็ยังเป็นโลกีย์อยู่ คือท่านยังเป็นปุถุชนอยู่ยังไม่สำเร็จอะไร เมื่อเสือโคร่งใหญ่นั้นบริโภคถึงสะเอวและท้องน้อย ท่านก็ยังไม่สำเร็จได้มรรคธรรมวิเศษอันใด อารมณ์ของท่านนั้นก็ยังเฉยๆ อยู่ ไม่เดือดร้อนหวั่นไหว ครั้นบริโภคถึงดวงหฤทัยของท่านแล้ว ท่านก็ได้สำเร็จอรหันต์พ้นกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานในปากเสือโคร่งนั้นฉะนี้ อนึ่ง นักปราชญ์ผู้มีวิจารณญาณพึงสันนิษฐานเข้าใจตามในพระพุทธภาษิตอันวิจิตรพิสดาร อาตมารับประทานวิสัชนามาในติกมาติกาที่ ๖ แต่พอสังขินัยโดยย่นย่อพอควรแก่กาลเวลาเพียงเท่านี้

     

แชร์หน้านี้

Loading...