พระอรหันต์จำพวก "เจโตวิมุติ"

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ด้อยค่า, 26 มกราคม 2010.

  1. ด้อยค่า

    ด้อยค่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +143
    เจโตวิมุติ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ผู้มีนิสัยเป็นเจโตวิมุต ในอดีตชาติที่ผ่านมาเคยเป็นดาบสฤาษีมาก่อนได้บำเพ็ญสมาธิ มีฌาน อภิญญามาจนเป็นนิสัยไม่เคยฝึกสติปัญญาในการพิจารณาในสัจจธรรมแต่อย่างใดมีแต่ตั้งใจทำสมาธิ ทำฌาน อภิญญา มาตลอด เมื่อท่านเหล่านั้นได้มาเกิดในยุคปัจจุบันการปฏิบัติก็จะมีนิสัยพอใจในการทำสมาธิความสงบ มีฌานมีอภิญญาเกิดขึ้นตามนิสัยเดิม เมื่อฌานอภิญญาเกิดขึ้นแล้วก็จะเป็นทางตัน ปฏิบัติวกวนไปมาอยู่ในสมาธิวกวนไปมาอยู่กับฌานอภิญญาเท่านั้นจะไม่รู้จักทางออกเพื่อความหลุดพ้นเข้าสู่กระแสธรรมได้เลยจะมีการหลงติดอยู่อย่างนี้ไปจนตลอดวันตาย<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ผู้มีนิสัยในทางเจโตวิมุติ การปฏิบัติให้ถึงมรรคผลนิพพานได้ท่านเหล่านี้ต้องไปเกิดในยุคสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์ชีพอยู่จึงจะบรรลุธรรมในมรรคผลนิพพานได้เพราะท่านเหล่านี้ยังติดอยู่กับความสงบติดอยู่ในฌานจะมาฝึกสอนให้ใช้สติปัญญาพิจารณาในสัจจธรรมตามความเป็นจริงในทีเดียวไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงมีความรอบรู้ในวิธีการสอนท่านเหล่านี้เป็นอย่างดี<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระองค์จะสอนให้ทำสมาธิความสงบ ให้ทำฌานแล้วจะทำต่อไปอีกไม่ได้จึงเรียกว่าเป็นทางตัน เมื่อถึงทางตัน ก็จะมีการวกวนไปมาก็จะเริ่มตั้งต้นในการทำฌานใหม่ เหมือนกับตาบอดพายเรือในสระ ในจุดนี้เองพระพุทธเจ้าจึงจะทรมานให้กลับใจได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จะตรัสในเชิงตำหนิให้ข้อคิดเพื่อให้ท่านเหล่านั้นมีความสำนึกว่าการทำสมาธิความสงบ การหลงติดอยู่ในฌาน จะเกิดความสุขทางใจได้ไม่นานก็จะเสื่อมไป
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    วิธีการอย่างนี้ เราตถาคตได้ทำมาก่อนแล้วไม่ใช่แนวทางที่จะละ อาสวกิเลสตัณหาให้หมดไปจากใจได้มิใช่แนวทางที่จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในเมื่อตายไป ก็จะได้เป็นพรหมมีอายุยืนยาวเมื่อเสื่อมจากพรหมก็จะได้มาเกิดในโลกต่อไปหลงใหลอยู่ในโลกนี้โดยไม่มีจุดหมายปลายทางจะลอยไปตามกระแสโลกไปไม่มีที่สิ้นสุดลงได้เมื่อท่านเหล่านั้นได้ฟังคำตำหนิอย่างนี้ จึงเกิดความสำนึกตัวขึ้นมาจึงยอมปฏิบัติตามในอุบายวิธีของพระพุทธเจ้าได้อบรมสั่งสอนพระพุทธองค์ทรงให้อุบายในการปฏิบัติต่อไปดังนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    การทำสมาธิมีความสงบแล้ว ให้จิตอยู่ในความสงบนั้น อีกไม่นานก็จะมีการถอนตัวออกมาในขณะที่จิตถอนตัว ให้มีสติกำหนดเอาไว้อย่าให้ถอนออกมาหมดให้กำหนดจิตอยู่ในสมาธิความตั้งใจมั่นที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นโทษในการทำฌานว่า มิใช่เป็นแนวทางที่จะละอาสวกิเลสตัณหาให้หมดไปจากใจได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    การทำสมาธิ การหลงติดอยู่ในฌาน เหมือนกับก้อนหินทับหญ้าเอาไว้เมื่อยกหินออกที่นั้นไป หญ้าก็จะเกิดขึ้นมาในที่นั้นนี้ฉันใดจิตที่หลงติดอยู่ในความสงบของสมาธิ หลงอยู่ในฌานก็เป็นเพียงทับกิเลสตัณหาเอาไว้ฉันนั้น เมื่อสมาธิความสงบและฌานเสื่อมไปกิเลสน้อยใหญ่ก็จะเกิดขึ้นมาที่ใจตามเดิม<O:p</O:p

    ท่านเหล่านั้นก็จะใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นในความเป็นจริงในสัจจะธรรม ในธาตุสี่ขันธ์ห้า ให้เป็นไปใน อนิจจังทุกขัง อนัตตา<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พิจารณาให้รู้เห็นว่าร่างกายนี้ มีแต่สิ่งสกปรกโสโครกอีกไม่นานก็จะลงทับถมในแผ่นดิน เน่าเปื่อยผุพังกลายเป็นธาตุเดิมของโลกต่อไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เมื่อท่านเหล่านั้นใช้ปัญญาพิจารณาอยู่อย่างนี้บ่อย ๆก็จะเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่าย คลายออกจากความกำหนัดยินดีจิตก็จะหลุดพ้นเข้าสู่แห่งวิมุตินิพพาน จึงให้นามพระอรหันต์จำพวกนี้ว่า เจโตวิมุติ คือ ผู้ที่ได้ทำสมาธิความสงบและทำฌานมาก่อน แล้วมาพิจารณาในสัจจะธรรมภายหลัง

    เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วจะเล่นอยู่ในฌานเล่นอยู่กับอภิญญาก็ไม่มีปัญหาอะไร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    คัดลอกจาก หนังสือเรื่อง ปัญญา ๓<O:p</O:p
    โดยหลวงพ่อทูล ขิปฺปปฺญฺโญ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...