พระอรหันต์มีจริง วินาทีบรรลุธรรม

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย MBNY, 23 พฤศจิกายน 2007.

  1. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    [​IMG]




    จากหนังสือ พระอรหันต์มีจริง วินาทีบรรลุธรรม
    โดย : เธียรนันท์
    นำมาพิมพ์เผยแผ่โดย คุณพยัคฆ์น้อย เว็บพันทิพดอทคอม




    บรรลุธรรมกลางถนน กรุงเทพ

    ธรรมะเป็นอกาลิโก ไม่เลือกกาลและสถานที่ เรื่องนี้เป็นหัวข้อที่ใครๆท่องจำจนขึ้นใจ แม้จะอยู่ในกรุงเทพ เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความจอแจคับคั่งของผู้คน แต่ ณ. ที่นี้ครั้งหนึ่งในอดีต.. กลางถนนสายหนึ่ง ณ.ศูนย์กลางแฟชั่นความทันสมัยจากยุโรป หลวงปู่มั่นได้เข้าถึงธรรมมาแล้ว

    เหตุเกิดในพรรษาที่ 8 หลวงปู่มั่นเดินทางเข้ากรุงเทพ พักกุฏิที่วัดสระปทุม (วัดปทุมวนาราม-ปัจจุบัน) เพื่อศึกษาทั้งปริยัติและปฏิบัติไปพร้อมๆกัน ระหว่างที่จำพรรษาที่นี้ 3 พรรษา ท่านต้องเดินทางไปยังวัดบรมนิวาสเพื่อศึกษาธรรมฟังเทศน์จากทานเจ้าคุณอุบาลีคุณปมาจารย์ (จันทร์ สิริจฺนโท) เป็นประจำ
    คืนเดือนเพ็ญราตรีหนึ่ง. หลวงปู่มั่นพร้อมสหธรรมมิกราว 5 รูป ได้เดินทางไปฟังธรรมะจากท่านเจ้าคุณอุบาลีตามปกติ ขณะที่พระคาราวานนี้เดินทางกลับวัดสระปทุม บนถนนพระรามหนึ่ง

    ยามราตรีแสงเพ็ญกระจ่าง ส่องสว่างมองเห็นภาพสองข้างทางโดยไม่ต้องใช้ไฟประทีปส่อง ขณะที่พระสหธรรมมิกท่านอื่นๆเดินก้มหน้าก้มตาไปล่วงหน้า ส่วนหลวงปู่มั่นเดินตามหลังพอเดินผ่านหน้าวังของกรมพระสวัสดิ์ ฯ (ปัจจุบันเป็นโรงเรียนช่างกลปทุมวัน) ซึ่งเป็นวังแบบยุโรป สมัยนั้นนับว่าแปลกตาสวยงามมาก หลวงปู่มั่นมองเห็นเข้า ใจก็คิดไปอัตโนมัติว่า “สวยงาม”

    แต่ความต่อเนื่องของสติสัมปัชชญญะ ทันที่ที่คิดว่า “สวยงาม” เท่านั้น จิตรวมลงไปเกิดความรู้ขึ้นมาว่า ดินหนุนดิน แล้วจิตก็ไม่หยุดนิ่ง กลับรวมลงไปอีก แล้วเกิดญาณขึ้น กำหนดรู้อริยสัจเหมือนพรรษาที่ 3 (วัดเลียบ -รู้ธรรมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ) จิตรู้อริยมรรคทวนของเก่าว่า

    “ดินหนุนดิน คือสังขารทั้งหลายที่มีวิญญาณครอง และไม่มีวิญญาณครอง เพราะธาตุทั้ง 4 รวมกัน โดยมีธาตุดินเป็นธาตุนำ เพราะเป็นของแข็งเหมือนเอาดินก่อก่ายกันขึ้นมา ส่วนธาตุนอกนั้นเป็นธาตุอาศัย นอกจากนี้ได้ความรู้เพิ่มอีกว่า อริยธรรมนี้ ไม่ได้ตั้งอยู่บนหัวหลักหัวตอ ขี้ดิน ขี้หญ้า ฟ้าแดดดินลม พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงเดือน ดาว นักขัตฤกษ์ที่ไหน คงตั้งอยู่ที่คนนี่เอง ไม่เลือกกาลสถานที่อริยบถ ..”

    หลวงปู่มั่นชี้ชวนให้ดูว่า “ดูแต่เรานี่สิ... ยืนว่ากันกลางถนนในกรุงเทพนี้เลย”
    <TABLE class=alt1 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <STYLE>table {background:none;} td {background:none;}</STYLE>
    <STYLE>TABLE {background-color: transparent;border-style: none;border-spacing: none;}TD {border: none;border-color:none;background: none;}</STYLE>

    <STYLE>body{background-image:url("http://palungjit.org/attachments/a.758354/");}</STYLE><!--MsgFile=0-->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Y6049951-0.jpg
      Y6049951-0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.8 KB
      เปิดดู:
      21,033
  2. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    [​IMG]

    คืนเพ็ญเดือน 3 ที่ถ้ำไผ่ขวาง...


    “เราบำเพ็ญสมณธรรมมาถึงบัดนี้ก็เป็นเวลา 12 ปี ทุกอย่างพร้อมแล้ว ที่จะทำสุดแห่งทุกข์ในวัฏสงสารในคืนเพ็ญนี้”
    หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต

    4 ปีนับจากเหตุการณ์เข้าถึงธรรมบนถนนกลางกรุงเทพ เส้นทางธรรมของหลวงปู่มั่นมีแต่บ่ายหน้าข้ามพ้นสังสารวัฏ ท่านได้เที่ยวปลีกวิเวกธุดงค์ไปป่าตามจังหวัดต่างๆ ผ่านอุบลราชธานี ดงพญาเย็น ภูเขาหลายลูก ในวันหนึ่งเกิดนิมิตถึงถ้ำสิงห์โตหรือถ้ำไผ่ขวางอยู่บนเขาพระงาม ลพบุรี


    ถ้ำไผ่ขวางอยู่ข้างน้ำตก มีลักษณะเป็นป่าทึบ อากาศเย็นสบาย อุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์ป่านานาชนิดอาทิ ช้าง เสือ งูเห่า สถานที่แทบจะไร้ผู้คนอาศัย ระหว่างทางเดินขึ้นเขา ชาวบ้านเห็นมีพระภิกษุต่างถิ่นรูปหนึ่งสะพายบาตรกลดกิริยามารยาทเคร่งครัดในพระธรรมวินัย จึงตรงเข้ามาสอบถามด้วยความเป็นห่วงว่า


    “หลวงพ่อจะไปไหน”

    หลวงปู่มั่นตอบว่า “จะไปบำเพ็ญสมณธรรมในเขาลูกนั้น”

    ชาวบ้านฟังแล้วตกใจ รีบยกมือไหว้ท่านแล้วกราบนิมนต์ว่า “อย่าเข้าไปเลยหลวงพ่อ เพราะพระที่เข้าไปในถ้ำนี้ตายไปแล้ว 6 องค์ ขอให้อยู่กับพวกฉันที่บ้านไร่นี้เถิด อย่าเข้าไปเลย”


    หลวงปู่มั่นรับความปรารถนาดีของชาวบ้านเอาไว้ในใจแล้วตอบว่า “เออ.. โยม ขอให้อาตมาเป็นองค์ที่ 7 ก็แล้วกัน”


    จากคำพูดของชาวบ้าน ก็พอทำให้หลวงปู่มั่นเข้าใจสภาพของถ้ำบนภูเขาในป่าได้ดี จิตใจไม่มีหวาดกลัวกลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวยอมสละชีวิตเพื่อธรรมะ พอถึงถ้ำไผ่ขวางจัดแจงวางสัมภาระ เก็บปัดทำความสะอาดบริเวณที่พัก พอตกค่ำบำเพ็ญภาวนาตามวิสัย รุ่งเช้าเดินลงเขาบิณฑบาตอย่างนี้ผ่านเดือนอ้าย เดือนยี่จนล่วงใกล้เข้าคืนเพ็ญเดือน 3 อันเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา ทำให้หลวงปู่มั่นระลึกถึงสมัยพุทธกาล ช่วงที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญภาวนาต่อสู้กับกิเลสมารจนบรรลุธรรม ท่านได้ปรารภว่า


    “เราบำเพ็ญสมณธรรมมาถึงบัดนี้ก็เป็นเวลา 12 ปี ทุกอย่างพร้อมแล้ว ที่จะทำสุดแห่งทุกข์ในวัฏสงสารในคืนเพ็ญนี้” การตัดสินใจเช่นนี้แบบทิ้งทวนแลกชีวิตกับธรรมะ


    ยามเช้า... เช่นเดียวกับทุกๆวัน หลวงปู่มั่นหลังจากฉันเช้าเรียบร้อยเพียงพอแก่สังขารให้บำเพ็ญธรรมะได้ จากนั้นจึงบำเพ็ญสมาธิภาวนา พอนั่งได้ไม่นานเกิดไม่สบายกาย อาหารที่ฉันเข้าไปไม่ย่อย ทำให้อาหารเป็นพิษ ส่งผลให้ท้องร่วง อาเจียนอย่างหนัก ท่านจึงหวนนึกถึงคำพูดของชาวบ้าน พรางรำพึงกับตนเองว่า


    “ตัวเราเองก็เห็นจะตายแน่เหมือนพระเหล่านั้น” แต่คำปรารภนี้ล้วนไม่ใช่วิสัยนักรบแห่งกองทัพธรรม หลวงปู่มั่นจึงออกเดินสำรวจมองหาสถานที่นั่งสมาธิ และแล้ว..


    ที่หน้าผาเหวลึก.. มีก้อนหินใหญ่อยู่บนปากเหว พอให้คนไปนั่งได้ หลวงปู่มั่นไปขึ้นไปยืนบนก้อนหินใหญ่ แล้วหยิบก้อนหินอันเล็กๆ โยนลงไปในเหว ใช้เวลานานพอควรจึงจะได้ยินเสียงกระทบของก้อนหิน หลังจากดูทำเลเป็นที่เรียบร้อยหลวงปู่มั่นกล่าวปณิธานว่า


    “เอาล่ะ.. ถ้าเราไม่รู้แจ้งเห็นจริง ก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด ถ้าเราจะต้องตายขอให้ตายตรงนี้ ขอให้หล่นลงไปในเหวนี้ จะได้ไม่เป็นที่วุ่นวายแก่ใครๆ ซึ่งจะต้องกังวลทำศพให้เรา”


    คืนนั้น ท่ามกลางขุนเขาแสงจันทร์กระจ่างเป็นสักขีพยานเฝ้าดูการบำเพ็ญภาวนาของหลวงปู่มั่น จิตของท่านสว่างไสวดุจกลางวัน เห็นกระจ่างชัดแม้เม็ดทรายเล็กๆ

    จิตโอภาสประภัสสรเห็นชัดในนิมิตที่เข้ามา รวมถึงการพิจารณากายคตาตอลดจนธรรมะต่างๆ นาน 3 วัน 3 คืน โดยไม่ลงไปบิณฑบาต ไม่ฉันอาหาร เกิดนิมิตปรากฏเห็นบุตรสาวของโยมที่อุปัฎฐาก มายืนร้องเรียกความรักจากท่าน จิตของหลวงปู่มั่นไม่ได้หวั่นไหวไปตาม จิตไม่ได้ยินดียินร้ายกับสาวงามนั้น ท่านพิจารณาว่า

    “อันเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็พิจารณามาอย่างช่ำชองแล้ว จะมาหลงอีกหรือ”


    ฉับพลันภาพหญิงสาวนั้นก็แก่เฒ่าและล้มตายลงเหลือแต่กองกระดูกหายไปในแผ่นดิน จิตจึงถอนออกมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Y6049951-1.jpg
      Y6049951-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.8 KB
      เปิดดู:
      16,403
  3. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    [​IMG]




    ระลึกชาติ.. เกิดสมัยพุทธกาล

    ขณะนั้นจิตมีปีติซาบซ่านเข้าถึงเอกัคคตาญาณ กายเบาจิตใจมีความสงบระงับ จิตเดินเข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน และจตุตถฌานโดยลำดับ พักอยู่ในจตุตถฌานนานพอควรแล้วถอยออกมาจนถึงปฐมฌานจึงหยุด ในลำดับนี้หลวงปู่มั่นท่านว่าเกิดปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือรู้อดีตชาติ เกิดนิมิตภาพลูกสุนัขกินนมแม่

    หลวงปู่มั่นรู้ด้วยใจว่า ลูกสุนัขก็คือตัวท่านเองในอดีตชาติที่เกิดเป็นสุนัขนับชาติไม่ถ้วน สาเหตุมาจากลูกสุนัขมีความพอใจในอัตภาพของมัน จงส่งผลให้เกิดเป็นสุนัขจึงติดอยู่ในภพนี้หลายชาติ สร้างความสลดสังเวชให้กับท่านเป็นอย่างมาก จากนั้นหลวงปู่มั่นได้ค้นลงหาถึงต้นสายปลายเหตุพบว่า

    “เราปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ” จากนั้นภาพในอดีตชาติสมัยพุทธกาล หลวงปู่มั่นเกิดเป็นเสนาบดีได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าศากยมุนีขณะที่พระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาถึงมหาสติปัฎฐานสูตร หลวงปู่มั่นได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าว่า

    “ขอให้ข้าพเจ้าพึงได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นพระองค์เถิด” นับจากวาระจิตนั้น หลวงปู่มั่นดำรงอยู่โพธิสัตว์ธรรมบำเพ็ญพระโพธิญาณมาหลายร้อยชาติ

    เมื่อได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณทำให้หลวงปู่ระลึกถึงชาติภพต่างๆมาพอสมควร เห็นความน่ากลัวของสังสารวัฏ และหากปรรถนาจะบรรลุพระนิพพานในชาตินี้ จะต้องละเสียจาก “พระโพธิญาณ” ก่อนที่หลวงปู่มั่นจะตั้งจิตถอนจาก “โพธิญาณ” ท่านได้เดินสมาธิเฝ้าย้อนรำลึกในอดีตชาติว่า ท่านเพิ่งจะเริ่มตั้งจิตปรารถนาต่อพุทธภูมิต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าศากยโคดมเท่านั้น เส้นทางบำเพ็ญเพียรเพียงแค่กึ่งพุทธกาล อีกทั้งในอดีตชาติที่ผ่านมา ท่านระลึกได้ถึงความยากลำบากของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎ ท่านสลดสังเวชแม้ท่านจะบำเพ็ญบารมีเพียงใดยังเคยเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนถึง 500 ชาติ ทำให้หลวงปู่มั่นมองดูสรรพสัตว์ในสังสารวัฎที่ยังคงหลับไหล เขาเหล่านั้นยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นไรเมื่อสิ้นชีวิตลงไป

    ครั้นหลวงปู่มั่นจะละถอนจาก “โพธิญาณ” ก็ให้สงสารสัตว์เหล่านั้น แต่เมื่อมองดูท่ามกลางสรรพสัตว์ทั่วไตรภพ ยังมีขบวนพระมหาโพธิสัตว์มีจำนวนมากที่ได้พยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าเป็นนิตยโพธิสัตว์(พระโพธิสัตว์ที่จักได้รับการบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต) และยังมีพระโพธิสัตว์อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการพยากรณ์อยู่ในสังสารวัฎ เพื่อบำเพ็ญบารมีช่วยขนสรรพชีวิตให้พ้นทุกข์ เมื่อพิจารณาดังนี้หลวงปู่มั่นจึงอธิษฐานจิตละจากพระโพธิญาณ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Y6049951-2.jpg
      Y6049951-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.2 KB
      เปิดดู:
      17,737
  4. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    [​IMG]

    สู้รบกับยักษ์... หวิดตาย

    คืนจันทร์สว่างฟ้า พระจันทร์เต็มดวงมีธรรมชาติจะทรงกลดยามเที่ยงคืน ..เป็นภาพที่งดงาม สงบสงัด มีแต่สรรพเสียงของป่าเป็นเพื่อน ขณะที่หลวงปู่มั่นเดินจิตภาวนาใหม่ ปรากฏแสงสว่างเมื่อจิตรวมแล้ว..

    เกิดเรื่องอันน่าสะพรึงกลัว.. ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนราวกับมีใครเอามือมาเขย่า เสียงลมพัดโหมกระหน่ำผ่านราวป่า เสียงไม้หักโค่นเกรียวกราว..แต่หลวงปู่มั่นดำรงในสมาธิไม่หวั่นไหวกับเสียงอึกทึกรอบค้าง ท่านบอกว่า
    “แรงสั่นสะเทือน ราวกับภูเขาจะพลิกค่ำ” บรรยากาศอันน่ากลัวรอบข้างทำเอาท่านเกือบลืมตา ..แต่ระลึกได้ถึงคำอธิษฐานจิตถึงธรรมะ หลวงปู่มั่นจึงพิจารณาภาวะธรรมะที่เกิดขึ้น

    ยิ่งพิจารณาธรรมเท่าไร ความโหดร้ายของสภาพรอบตัวยิ่งทวีความรุนแรงไม่มีท่าทีว่าจะหยุด แต่สติของท่านมั่นคงกว่าขุนเขาที่นั่งไม่อาจโยกคลอนได้ ขณะที่เฝ้าดูอาการของ “สติ-สมาธิ” ที่มั่นคงไม่หวั่นไหวกับสิ่งรอบข้างอยู่นั้น ..

    จู่ๆ มียักษ์สูงร่างสูงใหญ่ทะมึนสูงเท่าต้นไม้ ถือตะบองเหล็กส่องรัศมีเหมือนเปลวไฟ เดินย่างสามขุมตรงมายังหลวงปู่มั่น พร้อมตวาดลั่นสะท้านป่าว่า
    “จงลุกจากที่นี้เดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นจะต้องตาย” พูดจบยักษ์เงื้อตะบองขึ้นสุดแขน เพื่อหวดฟาดหลวงปู่มั่นเต็มกำลัง

    หลวงปู่มั่นเกือบเผลอลืมตาขึ้นมอง แต่อำนาจสติได้ตามรู้ทันจึงระงับไว้ได้ ตลอดเวลาเกือบ 3 เดือนที่เจริญสติจนกลายเป็นมหาสติไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ให้ปรุงแต่งเคลื่อนจิตให้สะท้านกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ท่านตอบยักษ์ไปว่า

    “เราไม่ลุก”

    ทันใดนั้นเอง... ยักษ์ฟาดตะบองลงมายังร่างของท่านเต็มพละกำลังอันมหาศาล จนร่างหลวงปู่มั่นจมลึกลงในดินราว 10 วา แต่ร่างของท่านลอยขึ้นมาเหนือพื้นดิน เจ้ายักษ์ทมิฬหันลีหันขวาง เห็นต้นตะเคียนขนาด 10 คนโอบ ตรงเข้าไปถอนขึ้นมาทั้งต้น รากของต้นไม้ขาดจากดิน เศษดินยังกระเด็นมาโดนร่างหลวงปู่มั่นที่นั่งสมาธิด้วย

    ยักษ์ใหญ่แค้นมองร่างหลวงปู่มั่นตัวจิ๋วด้วยความโกรธ ตาแดงเป็นไฟ เงื้อต้นตะเคียนฟาดมาที่ร่างหลวงปู่มั่นจนแบนไปกับก้อนหิน จนก้อนหินไม่สามารถต้านทานได้แหลกละเอียดไปในพริบตา ในวินาทีนี้หลวงปู่มั่นเกือบจะลืมตาขึ้นดูสภาพรอบข้าง แต่กำลังของมหาสติดำรงมั่น เป็นตัวกำกับพิจารณาอารมณ์อันละเอียดอ่อนที่ปรากฏเกิดขึ้นในใจ

    ค้นพบว่าแท้จริงแล้วใจของท่านมีอาการพะว้าพะวังของการปรารถนาพระโพธิญาณ ซึ่งเรื่องนี้ซึ่งนี้เป็นธรรมชาติของหน่อเนื้อพุทธะ ทันทีที่ว่านเมล็ดพันธุ์โพธิจิตลงในเนื้อนาใจ ต้นไม้แห่งโพธิจะแทงหน่อเติบโต ต้นไม้นี้ย่อมเป็นที่พึ่งพาอาศัยของสัตว์ทั้งปวง คุณธรรมแลความรอบรู้ในขอบข่ายของพุทธะอันประมาณมิได้นี้ จะหลั่งไหลเข้าสู่จิต ตลอดเส้นทางพระโพธิญาณหลวงปั่มั่นได้สร้างสมทศบารมีเพื่อให้บริบูรณ์พร้อมที่จะสั่งสอนอบรมสรรพชีวิตให้เหมาะสมตามนิสัย แลตลอดแตกฉานในอุบายเพื่อสอนให้ผู้อื่นให้เข้าถึงธรรมได้ง่ายและรวดเร็วตามกำลังบุญของแต่ละคน เมื่อมหาสติทราบชัดถึงเครื่องกางกั้นชั้นสุดท้าย สิ่งที่ติดค้างในใจของท่านก็หมดลง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Y6049951-4.jpg
      Y6049951-4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21 KB
      เปิดดู:
      14,687
  5. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    [​IMG]




    แสงธรรมสว่างไสว ทั่วโลกธาตุ

    “ภพเบื้องหน้าเราไม่มีแล้ว พรหมจรรย์เราได้จบแล้ว” หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต

    ณ. กาลเวลานี้ เมื่อได้สละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง หลวงปู่มั่นอธิบายว่า “ทุกอย่างในโลกนี้มีสภาพเป็นอันเดียวดุจหน้ากลองชัย โลกนี้ราบลงหมด คือสว่างเตียนโล่ง ร่างกายของเราประมวลเข้าดังเดิม”

    ยักษ์สูงทะมึนมองเห็นเหตุการณ์พลิกผัน ได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วเข้ามากราบขอขมาลาโทษ แล้วหายไปในที่สุด ...ขณะนั้นเสียงไก่ขัน... ดังเป็นระยะๆ บอกเวลาว่าใกล้รุ่ง คะเนว่าน่าจะราวตี 3-4 ความเงียบสงบของราตรีกลับมาบรรเลงอีกครั้ง ราวกับเตรียมเฉลิมฉลองในวาระพิเศษของการกำเนิดสัตตบุรุษในรอบพันปี

    หลวงปู่มั่นเจริญสมาธิก้าวลงสู่ทุติยฌาน ตติยฌานและจตุตถฌาน พอล่วงดึกจิตก็พักเอากำลังในฌาน ส่วนปฐมฌานคือการพิจารณาวิปัสสนาญาณ เมื่อจิตใช้กำลังพิจารณาข้อธรรมแล้วย่อมพักในฌานเพื่อให้เกิดกำลังต่อไป
    พอจิตพักในจตุตถฌานจนมีกำลัง จิตได้ถอยออกมาสู่ปฐมฌาน เกิดวิปัสสนาญาณรู้เห็นความเป็นไปของชาติภพของสัตว์โลก จากนั้นได้พิจารณาต้องต้นสายปลายเหตุของชาติภพในหมู่สัตว์ทั้งปวง หลวงปู่มั่นค้นลงได้ความตามปฏิจสมุทรบาทว่า

    อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร
    สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ
    วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป
    นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิด สฬายตนะ
    สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ
    ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา
    ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิด อุปทาน
    อุปทาน เป็นปัจจัยให้เกิด ภพ
    ภพ เป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ
    ชาติ เป็นปัจจัยให้เกิด ชรา พยาธิ มรณะ โสกปริเทวนา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    [​IMG]




    หลวงปู่มั่นแทงตลอดลูกโซ่ของภพชาติได้อริยมรรค อันเป็นเครื่องตัดกิเลส จึงพิจารณาในดวงจิตพบว่า

    “เมื่ออวิชชาไม่เกาะเกี่ยวได้แล้ว อวิชชาดับ สังขารก็ดับ สังขารดับวิญญาณก็ดับ ตลอดจน ฯลฯ ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายสะก็ดับหมด”

    คราวนี้จิตรวมใหญ่แต่จิตไม่พักเหมือนที่ผ่านมา เกิดมีญาณขึ้นมาว่า
    “ภพเบื้องหน้าเราไม่มีแล้ว พรหมจรรย์เราได้จบแล้ว กิจอันเราควรทำ เราได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ควรไม่มีอีกแล้ว ญาณชนิดนี้เรียกว่าอาสวักขยญาณ คือความรู้ว่าความสิ้นไปแห่งอาสวะพร้อมกับอวิชชาก็หายไป ไม่ก่อนไม่หลังตะวันขึ้นมาและเดือนก็ตกไป รวมความว่า ญาณเกิดขึ้น อวิชชาหายไป พระอาทิตย์ขึ้นมา พระจันทร์ตกไป อปุพพํ อจิรมํ ไม่ก่อนไม่หลัง

    เมื่อญาณเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งอวิชชา เจ้าผู้มีอวิชชาเอ๋ย เจ้าเป็นผู้ไม่รู้ไม่เห็น เจ้าจงหนีไปอยู่กับเราไม่ได้แล้ว อวิชชาก็ไม่ได้บอกกล่าวอำลาว่า ญาณผู้แจ้งผู้เห็นจริง เจ้าเป็นผู้รู้ผู้เห็นเอ๋ย ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าขอลาเจ้าไปก่อน ต่างไม่ได้ขับไล่ แต่ท่านว่าความมืดและพระอาทิตย์ก็เหมือนกัน พระอาทิตย์ขึ้นมาความมืดก็หายไป พระอาทิตย์ก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งความมืดหรือพระจันทร์จะว่า เจ้าผู้มืดผู้ดำเอ๋ย เจ้าอยู่กับข้าไม่ได้แล้ว เจ้าจงหนีไป ความมืดก็ไม่ได้บอกกล่าวอำลา หรือไม่ได้ว่าพระอาทิตย์ผู้แจ้งสว่าง ผู้มีเดชอันกล้าเอ๋ย ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าขอลาเจ้าไปก่อน หาใช่อย่างนั้นไม่ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมาความมืดก็หายไปฉันใดก็ฉันนั้น”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,212
    ค่าพลัง:
    +23,196
    [​IMG]

    อนุโมทนาครับ.....สาธุ..
    หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันตสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นจอมทัพแห่งกองทัพธรรมอันเกรียงไกรในยุคปัจจุบันโดยแท้ ลูกศิษย์ของท่านมากมายล้วนเป็นพระอริยสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลก


    http://www.relicsofbuddha.com/page5.htm#03
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2007
  8. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ [​IMG]

    สาธุ [​IMG]
     
  9. lasomchai

    lasomchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +2,035
    ขออนุโมทนาบุญด้วยเป็นอย่างยิ่งยวดครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  10. jairlinethai

    jairlinethai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,634
    หนังสือเล่มนี้อ่านทีไร ปีติขึ้นทุกที ซาบซึ้งกับวินาทีบรรลุธรรมของพระอาจารย์แต่ละท่าน

    ควรหามาอ่านไว้เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติครับ
     
  11. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    สาธุ ขออนุโมทนากราบนมัสการหลวงปู่มั่น ด้วยความเคารพ
     
  12. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
     
  13. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    องค์หลวงปู่มั่นท่านได้ยืนยันให้ชาวโลกได้ประจักษ์แล้วว่า มรรค ผล นิพพาน มีจริง เข้าถึงได้จริง ไม่จำกัดกาล และสถานที่
    ขออนุโมทนาสาธุการกับเจ้าของกระทู้
    ขออนุโมทนาสาธุการกับทุกๆท่านที่ร่วมอนุโมทนา
    สาาาาา...ธุ
    สาาาาา...ธุ
    สาาาาา...ธุ
    ให้ดังไปถึงพระนิพพาน<!-- / message --><!-- sig -->
     
  14. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    หนังสือเล่มนี้ ซื้อมาอ่านเมื่อเดือนก่อน อ่านแล้วมีปิติมาก ได้ความรู้มาก ผู้เขียนรวบรวมเนื้อหาได้ดีนะครับ หายาก

    จะเห็นว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ก่อนบรรลุธรรมขั้นสูงสุด คือ อรหัตผล จำเป็นต้องพิจารณาตามหลักของปฏิจจสมุปบาทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะทำลายอวิชชาไม่ได้

    วันก่อนเห็นมีเล่ม 2 ออกแล้วด้วย กำลังคิดอยู่ว่าจะซื้อดีไหม เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าอ่านมาก ก็ไม่ทำให้ตัวเราเองบรรลุธรรมได้ ต้องปฏิบัติเท่านั้น
     
  15. a_piyamart

    a_piyamart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +172
    อนุโมทนากับทุกๆ ท่านด้วยนะคะ
    ได้หนังสือเล่มนี้มาเหมือนกันแต่ยังอ่านไม่จบ
    กลับไปจะไปอ่านให้จบ
     
  16. Baby_par

    Baby_par เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +3,265
    ว้าวๆปลาก็ซื้อมาเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าเล่มสองชื่อเรื่อง 80 ...ๆๆ อะไรสักอย่างเนี่ยแหละใช่รึปล่าวเจ้าค่ะ
     
  17. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ
     
  18. frank0826

    frank0826 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +737
    สาธุ ขออนุโมทนาด้วยครับ หลวงปู่มั่นคือสุดยอดของเนื้อนาบุญ ของโลกจริงๆ
     
  19. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    นี่คือ แม่ทัพธรรม สาธุ อนุโมทนามิ

    หนังสือเล่มนี้น่าซื้อแจกเป็นธรรมทานนะครับ นอกจากให้กับสาธุชนทั้งหลายแล้ว ยังสามารถถวายให้พระภิกษุสงฆ์โดยเฉพาะสายพระป่า ท่านจะได้มีกำลังใจในการปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นไป

    ขอฝากท่านทั้งหลายไว้เป็นข้อคิดแล้วกัน
     
  20. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,212
    ค่าพลัง:
    +23,196

    แนะนำหนังสืออีกเล่มหนามาก ตอนนั้นซื้อมาเล่มละ 150 บาท เอาไปถวายพระเล่มนึงคุ้มมากๆหลายร้อยหนา 150 บาทเอง ลิ้งนี้ครับ
    http://palungjit.org/showthread.php?p=440330#post440330
     

แชร์หน้านี้

Loading...