พระอริยบุคคลคือผู้ซึ่งได้พัฒนาปัญญาจบแล้ว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มาจากดิน, 8 กันยายน 2017.

  1. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ภาวิตปัญญา : มีปัญญาที่ได้พัฒนาแล้ว

    ลักษณะสำคัญที่เป็นพื้นฐานทางปัญญาของผู้บรรลุนิพพาน คือ การมองสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น หรือเห็นตามเป็นจริง เริ่มต้นตั้งแต่ การรับรู้อารมณ์ทางอายตนะ ด้วยจิตใจที่มีท่าทีเป็นกลาง และมีสติไม่หวั่นไหว ไม่ถูกชักจูงไปตามความชอบใจ ไม่ชอบใจ สามารถตามดูรู้เห็นอารมณ์นั้นๆไปตามสภาวะของมัน ตั้งแต่ต้นจนตลอดสาย ไม่ถูกความติดพัน ความข้องขัดขุ่นมัว หรือความกระทบกระแทกที่เนื่องจากอารมณ์นั้นฉุดรั้งหรือสะดุดเอาไว้ให้เขวออกไปเสียก่อน

    ทั้งนี้ ต่างจากปุถุชน ที่เมื่อรับรู้อารมณ์ใด ก็มักไปสะดุดอยู่ตรงจุดหรือแง่ที่กระทบความชอบใจไม่ชอบใจ แล้วเกาะเกี่ยวพัวพันอยู่ตรงนั้น สร้างความตริตรึกคิดปรุงแต่งผัน พิสดารขึ้นนั้น แล้วไถล หรือเขวออกไปจากทางแห่งความเป็นจริง เกิดความรู้ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน คือ รู้เห็นได้ตามอำนาจกิเลสที่ปรุงแต่ง ไม่รู้เห็นตามความเป็นไปของสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆ
    เช่น
    รื่องราวมีสาระอย่างเดียวกัน คนหนึ่งมาพูดโดยเสริมคำเยินยอผู้ฟัง ประกอบเข้าด้วย ผู้ฟังนั้นเห็นคล้อยไปตาม แต่อีกคนหนึ่งมาพูดโดยไม่เสริมแต่งเลย ผู้เดียวกันนั้นกลับไม่เห็นชอบด้วย
    หรือข้อความอย่างเดียวกัน คนที่ผู้ฟังรักใคร่ชอบใจนำมาพูด ผู้ฟังชมว่าถูกต้องเห็นดีเห็นงามไปตาม
    แต่คนที่ผู้ฟังเกลียดชังนำมาพูด ผู้ฟังเห็นเป็นผิดพลาดเสียหาย ไม่อาจยอมรับได้ ดังนี้ เป็นต้น* (แง่นี้ ดู สํ.สฬ.18/213/157 ฯลฯ)


    ลึกซึ้งลงไปอีก คือ ปัญญาที่รู้เท่าทันสังขาร รู้สามัญลักษณะที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้เท่าทันสมมติบัญญัติ ไม่ถูกหลอกให้หลงไปตามรูปลักษณะภายนอกของ สิ่งทั้งหลาย และยอมรับความจริงทุกด้าน มิใช่ติดอยู่เพียงแง่ใดแง่หนึ่ง

    ความรู้เห็นตามที่มันเป็น หรือ รู้เห็นตามความเป็นจริงขั้นนี้ จะช่วยแก้ความเข้าใจผิดที่ว่า พระพุทธศาสนาเป็นลัทธิมองแง่ ร้ายได้โดยสิ้นเชิง เช่น ผู้เข้าถึงพุทธธรรมรู้ว่าขันธ์ ๕ มิใช่เป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยส่วนเดียว* (สํ.ข.17/131/85) รู้ว่า

    "ความอยากย้อมใจที่เกิดจากความนึกคิดของคนต่างหากเป็นกาม อารมณ์อันวิจิตรทั้งหลายในโลก หาชื่อว่ากามไม่...อารมณ์อันวิจิตรทั้งหลายในโลก ย่อมตั้งอยู่ตามสภาพของมันอย่างนั้นเอง ดังนั้น ธีรชนทั้งหลาย จึงเปลื้องออกไปเพียงความติดใจชอบในอารมณ์เหล่านั้น" * (องฺ.ฉกฺก.22/334/460)


    ผู้ที่จะตรัสรู้ได้ ต้องเข้าใจทั้งส่วนดีหรือส่วนที่น่าชื่นชม (อัสสาทะ) ส่วนเสียหรือส่วนที่เป็นโทษ (อาทีนพ) และทางปลอดพ้น (นิสสรณะ) ของกาม ของโลก ของขันธ์ ๕
    มองเห็นส่วนดีว่าเป็นส่วนดี มองเห็นส่วนเสียว่าเป็นส่วนเสีย มองเห็นทางปลอดพ้นว่าเป็นทางปลอดพ้น

    แต่ที่ละกาม หายติดใจในโลก เลิกยึดขันธ์ ๕ เสีย ก็เพราะมองเห็นทางปลอดพ้นเป็นอิสระ (นิสสรณะ) ซึ่งจะทำให้อยู่ดีมีสุขได้โดยไม่ต้องขึ้นต่อส่วนดีหรือส่วนเสียเหล่านั้น
    อีกทั้งเป็นการอยู่ดีมีสุขที่ประเสริฐกว่า ประณีตกว่าอีกด้วย* (ดู ม.มู.12/196-208/168-178)
     
  2. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ความรู้เท่าทันสมมติบัญญัตินั้น รวมไปถึงการรู้เข้าใจวิถีทางแห่งภาษา ที่เรียกว่า โวหารโลก รู้จักใช้ภาษาเป็นเครื่องสื่อความหมาย โดยไม่ยึดติดในสมมติของภาษา ดังพุทธพจน์ว่า

    "ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมไม่กล่าวเข้าข้างกับใคร ไม่กล่าวทุ่มเถียงกับใคร อันใดเขาพูดกันในโลก ก็กล่าวไปตามนั้น ไม่ยึดติด" (ม.ม.13/273/268)


    "ภิกษุผู้เป็นอรหันต์ขีณาสพ...จะพึงกล่าวว่า ฉันพูด ดังนี้ก็ดี เขาพูดกับฉัน ดังนี้ ก็ดี เธอเป็นผู้ฉลาด รู้ถ้อยคำที่เขาพูดกันในโลก ก็พึงกล่าวไปตามโวหารเท่านั้น" (สํ.ส.15/65/21)


    "ภิกษุทั้งหลาย เราไม่ขัดแย้งกับโลกดอก โลกต่างหากขัดแย้งกับเรา ธรรมวาที (ผู้กล่าวธรรม, ผู้พูดตามธรรม) ย่อมไม่ขัดแย้งกับ ใครในโลก สิ่งใดบัณฑิตในโลกสมมติกันว่าไม่มี เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี สิ่งใดบัณฑิตในโลกสมมติกันว่ามี เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามี" (สํ.ข.17/239/169)

    "เหล่านี้เป็นโลกสมัญญา เป็นโลกนิรุติ เป็นโลกโวหาร เป็นโลกบัญญัติ ซึ่งตถาคตใช้พูดจา แต่ไม่ยึดติด" (ที.สี. 9/312/248)


    เมื่อเกิดปัญญารู้เห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น เห็นอาการที่มันเกิดจากเหตุปัจจัยอาศัยกันและกันจึงมีขึ้น ก็เข้าใจโลกและชีวิตตามเป็นจริง เรียกว่า เกิดมีโลกทัศน์และชีวทัศน์ที่ถูกต้อง ความยึดถือ ทิฏฐิ ทฤษฎีทั้งหลายในทางอภิปรัชญา รวมทั้งความสงสัยในปัญหาต่างๆ ที่เรียกว่าอัพพยากตปัญหา (ปัญหาที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์) เช่นว่า โลกเที่ยง หรือไม่เที่ยง เป็นต้น ก็พลอยหายหมดไปด้วยพร้อมกันอย่างเป็นไปเอง ดังบาลีว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาจางหายดับไปไม่เหลือ ความเห็นขัดแย้งกันไปต่างๆ การถือดื้อดึง ความเห็นที่พล่านสับสน อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามว่า สังขารเป็นไฉน สังขารเหล่านี้ของใคร สังขารก็อย่างหนึ่ง เจ้าของสังขารก็อย่างหนึ่ง ตัวชีวะกับสรีระเป็นอันเดียวกัน ตัวชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง ความเห็นเหล่านั้นทั้งปวง ย่อมถูกละหมดไป...” (สํ.นิ.16/142/77)
     
  3. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    และเมื่อภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า "อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้อริยสาวกผู้ได้เรียนสดับแล้ว ไม่เกิดความสงสัยในเรื่องที่พระองค์ไม่ทรงพยากรณ์"

    พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า

    "เพราะทิฏฐิดับไป อริยสาวกผู้ได้เรียนสดับแล้ว จึงไม่เกิดความสงสัย ในเรื่องที่เราไม่พยากรณ์...ปุถุชนผู้มิได้เรียนสดับ ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งทิฏฐิ ไม่รู้ชัดเหตุเกิดแห่งทิฏฐิ ไม่รู้ชัดการดับทิฏฐิ ไม่รู้ชัดเหตุเกิดแห่งทิฏฐิ ไม่รู้ชัดปฏิปทาที่ดำเนินไปสู่ความดับแห่งทิฏฐิ ทิฏฐินั้น จึงพอกพูนแก่เขา เขาย่อมไม่พ้นจากชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส" (องฺ.สตฺตก.23/51/69)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2017
  4. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ลักษณะทางปัญญาอีกอย่างหนึ่งของผู้เข้าถึงสัจธรรมแล้ว คือ ไม่ต้องเชื่อ ไม่ต้องมีศรัทธา หรือไม่ต้องอาศัยศรัทธา เรียกตามคำบาลีสั้นๆว่า "อัสสัทธะ"

    ลักษณะนี้ ต่างกันอย่างตรงข้ามกับความไม่เชื่อ หรือความไม่มีศรัทธา ตามความหมายสามัญขั้นต้น ซึ่งหมายถึงไม่รู้ไม่เห็น จึงไม่เชื่อ หรือไม่เลื่อมใสในตัวผู้พูด หรือดึงดื้อถือรั้น เป็นต้น จึงไม่ยอมเชื่อ แต่ในที่นี้ ไม่ต้องเชื่อ เพราะรู้เห็นสิ่งนั้นๆ แจ้งประประจักษ์กับตนเอง รู้เอง เห็นเองแล้ว ไม่ต้องรู้เห็นผ่านผู้อื่น ไม่ต้องอาศัยความรู้ของคนอื่น (ศรัทธา คือ การยอมขึ้นต่อความรู้ของผู้อื่น ในเมื่อยังไม่รู้เห็นประจักษ์ด้วยตนเอง)


    ในเมื่อรู้เห็นอยู่แล้วว่าเป็นเช่นนั้น จะต้องไปเชื่อใครอีก หรือจะต้องไปเอาใครมาบอกให้อีก เรียกว่า เป็นขั้นที่ยิ่งกว่าเชื่อ หรือเลยเชื่อไปแล้ว อยู่เหนือความเชื่อ ดังที่ท่านอธิบายว่า

    "เกี่ยวกับธรรมที่รู้แน่อยู่ด้วยตนเอง ประจักษ์กับตนเอง (เธอ) ไม่เชื่อต่อใครๆอื่น ไม่ว่าจะเป็นสมณะ หรือพราหมณ์ เทวดา มาร หรือพรหม คือ ไม่เชื่อต่อใครๆเกี่ยวกับธรรมที่รู้แน่อยู่เอง ประจักษ์กับตัวว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงมิใช่เป็นตัวตน เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี ฯลฯ" (ขุ.ม.29/407/281)

    หรือที่พระสารีบุตรทูลพระพุทธเจ้าว่า

    "ในเรื่องนี้ ข้าพระองค์มิใช่ถือไปตามด้วยศรัทธาต่อพระผู้มีพระภาค ... เรื่อง นี้ ข้าพระองค์ ทราบแล้ว เห็นแล้ว รู้ชัดแล้ว ทำให้ประจักษ์แจ้งแล้ว สัมผัสแล้วด้วยปัญญา จึงไม่มีความสงสัย ไม่มีความคลางแคลงใจ" (สํ.ม.19/724/211)
     
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ความหมายศัพท์ยาก # 2 สมัญญา นิรุตติ โวหาร บัญญัติ

    โลกสมัญญา เป็นถ้อยคำที่รู้เข้าใจกันของชาวโลก

    โลกนิรุตติ เป็นภาษาของชาวโลก

    โลกโวหาร เป็นคำสื่อสารกันของชาวโลก (โวหาร - การแลกเปลี่ยนข่าวสาร การโต้ตอบ การสื่อภาษา ถ้อยคำที่สื่อสารกัน)

    โลกบัญญัติ เป็นบัญญัติของชาวโลก


    บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ

    สมมติ, สมมุติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน; การที่สงฆ์ประชุมกันตกลงมอบหมาย หรือแต่งตั้งภิกษุให้ทำกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่ในเรื่องอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น สมมติภิกษุเป็นผู้ให้โอวาทภิกษุณี สมมติภิกษุเป็นภัตตุเทศก์ เป็นต้น; ในภาษาไทยใช้ในความหมายว่า ตกลงกันว่า ต่างว่า


    สมมติเทพ (สมมติ+เทพ) เทพโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหรือยอมรับร่วมกันของมนุษย์ ได้แก่ พระราชา พระราชเทวี พระราชกุมาร


    สมมติสัจจะ (สมมติ+สัจจะ) จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาง ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้ว ก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือ ขันธ์ ๕ เท่านั้น ตรงข้ามกับปรมัตถสัจจะ
     
  6. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    น่าสังเกตว่า ในครั้งพุทธกาล คนคงสนใจใส่ใจเรื่องมหาบุรุษกันมาก จึงมีเรื่องราวในพระไตร ปิฎก กล่าวถึงคำนี้หลายแห่ง นอกจากเรื่องมหาปุริสลักษณะ คือ ลักษณะของมหาบุรุษ ที่พราหมณ์ทั้งหลายทำนายเจ้าชายสิทธัตถะตามตำรับตำราที่สืบมาแต่โบราณของเขาแล้ว

    ที่น่าสนใจกว่านั้นอีกก็คือ ในแง่หลักธรรม เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว เสด็จเที่ยวทรงสั่งสอนธรรม ก็ทรงพบผู้ทูลถามเรื่องนี้ว่า บุคคลอย่างไรจึงเรียกได้ว่าเป็นมหาบุรุษ แสดงว่ามหาบุรุษยังเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจ และยังมีการถกเถียงกันอยู่

    ขอยกตัวอย่าง ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ทูลถามว่า "ที่เรียกว่า มหาบุรุษๆ ดังนี้ ด้วยเหตุผลแค่ไหนเพียงไร บุคคลจึงจะเป็นมหาบุรุษ"

    พระพุทธเจ้าตอบว่า "ดูกรสารีบุตร เราเรียกมหาบุรุษ เพราะ เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว เพราะเป็นผู้มีจิตยังไม่หลุดพ้น เราหาเรียก ว่ามหาบุรุษไม่" (สํ.ม.19/724/211)



    พุทธพจน์ที่ตรัสตอบนี้ แสดงว่า พระพุทธเจ้าให้ถือว่า พระอรหันต์ คือท่านที่เป็นภาวิตทั้ง ๔ ด้าน ดัง ที่ได้พูดมาแล้วนั่นเอง เป็นมหาบุรุษ แต่เป็นการตรัสสั้นๆ แบบสรุป หรือรวบรัด ตัดเอาแต่จุดตัดสินสุดท้าย คือการที่จิตหลุดพ้นแล้ว ซึ่งก็คือได้พัฒนาจบภาวนาทั้ง ๔ จนเกิดปัญญาที่ทำให้จิตหลุดพ้นไป ได้ และก็หมายความว่า ไม่ว่าบุคคลไหนๆ จะเก่งกาจอย่างใดก็ตาม ถ้า จิตใจยังไม่เป็นอิสระจากกิเลสและความทุกข์แล้ว ก็เป็นมหาบุรุษจริงยัง ไม่ได้

    พูดง่ายๆ ว่า จะต้องขึ้นไปให้ถึงความมีอิสรภาพทางจิตปัญญาอย่างแท้จริง ปัญญาต้องถึงขั้นทำให้จิตปลอดพ้นกิเลสไร้ทุกข์ได้ เช่นว่า มีความคิดเป็นอิสระ ก็มิใช่หมายความแค่ว่าจะคิดอย่างไรก็ได้อย่างใจปรารถนา ไม่ มีใครมากั้นมาห้ามหรือมาบีบบังคับอย่างไรได้ ไม่ใช่เท่านั้น แต่ต้องไป ให้ถึงขั้นที่ว่าปัญญาทำงานเป็นอิสระ โดยไม่อยู่ใต้ความบงการกำกับของตัว ตนข้างใน ไม่ใช่คิดอะไรตามใจอยาก แล้วแต่ตัณหา มานะ หรือทิฏฐิของตัวนั่นแหละจะมาชักจูงลากพาหรือบัญชาให้เป็นไป

    อย่างไรก็ตาม ความหมายของ "มหาบุรุษ" ข้างต้นนี้ ดังที่ว่าแล้ว ตรัสลัดสั้น คงเป็นเพราะตรัสแก่พระสารีบุตร ซึ่งเป็นพระอัครสาวก ที่เจนจบสูงสุดทางปัญญาแล้ว จึงตรัสชี้ไปที่ตัวตัดสินสุดท้ายเลย แล้ว ก็ตรัสโยงต่อไปยังหลักสติปัฏฐาน อย่างนี้ก็ได้แง่มองไปแบบสูงสุดเลยทีเดียว


    แต่ที่น่าสนใจสำหรับคนทั่วไป ซึ่งช่วยให้มองเห็นความหมายแบบขยายความสักหน่อย ดูได้จากพระดำรัสในคราวที่ตรัสตอบแก่อัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นวัชชี

    เรื่องมีว่า คราวหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เวฬุวนาราม ในเขตพระนครราชคฤห์ วัสสการพราหมณ์ มหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธ เข้าไปเฝ้า ครั้นแล้ว พราหมณ์ใหญ่นั้นทูลว่า ตามหลักของพวกเขา ถือว่าบุคคลที่เป็นมหาบุรุษ มีปัญญายิ่งใหญ่ ประกอบด้วยธรรม คือคุณสมบัติ ๔ อย่าง ได้แก่ เป็นพหูสูต รอบรู้เรื่องราวข่าวสาร หยั่งรู้อัตถะ แยกแยะได้ว่าเป็นความหมายของอันไหนๆ เป็นผู้มีสติ ทรงจำรำลึกการที่ทำคำที่กล่าวแล้วนานได้ เป็นผู้มีทักษะ ไม่ปล่อยปละเกียจคร้านในกิจกรณีย์ที่เป็นเรื่องของชาวบ้าน ชาวเมือง และเป็นผู้มีปัญญาไตร่ตรองรู้จักหาวิธีดำเนินการ สามารถทำ สามารถจัดการให้เป็นไป

    เมื่อแสดงหลักของเขาแล้ว วัสสการพราหมณ์ ก็ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า หลักที่เขากล่าวมานั้น พระองค์จะทรงเห็นชอบด้วยหรือจะทรงคัดค้าน พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์มิได้ทรงเห็นชอบ และก็มิได้คัดค้าน แต่พระองค์ทรงวางหลักว่าบุคคลที่เป็น "มหาบุรุษ" มีปัญญายิ่งใหญ่ ประกอบด้วยคุณ ๔ อย่าง ดังต่อไปนี้

    ๑. บุคคลนั้น เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลพหูชน เพื่อความสุขแก่พหู ชน ทำให้ประชาชนดำรงอยู่ในทางดำเนินแห่งอารยชน กล่าวคือ ความมีกัลยาณมิตร ความมีกุศลธรรม

    ๒. บุคคลนั้น ประสงค์จะคิดความคิดใด ก็คิดความคิดนั้น ไม่ประสงค์จะคิดความคิดใด ก็ไม่คิดความคิดนั้น ประสงค์จะดำริตริเรื่องใด ก็ดำริเรื่องนั้น ไม่ประสงค์จะดำริตริเรื่องใด ก็ไม่ดำริตริเรื่องนั้น เป็นผู้ถึงความมีอำนาจเหนือจิต ในคลองแห่งความคิดทั้งหลาย

    ๓. บุคคลนั้น เป็นผู้มีปรกติได้ตามปรารถนา ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากเลย ซึ่งฌาน ๔ อันเป็นสภาวะแห่งอภิจิต ที่เป็นเครื่องอยู่มีความสุขอย่างประจักษ์เป็นปัจจุบัน

    ๔. บุคคลนั้น เพราะอาสวะสิ้นไป ได้ประจักษ์แจ้งด้วยปัญญารู้ตรงด้วยตนเอง ซึ่งเจโตวิมุตติ (ภาวะพ้นเป็นอิสระแห่งจิต) และปัญญาวิมุตติ (ภาวะพ้นเป็นอิสระด้วยปัญญา) อันไร้อาสวะ เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน"* (องฺ.จตุกฺก.21/35/45)


    พุทธพจน์ตรัสตอบแสดงความหมายของความเป็นมหาบุรุษนี้ มีหลายแห่ง แต่เพราะทรงตอบให้เหมาะกับผู้ถาม และมักมาในคาถา เนื้อความจึงมักรวบรัด หรือไม่ก็ลึกลงไปในแง่ที่เน้น

    ในที่นี้ เห็นว่าพระดำรัสแก่มหาอำมาตย์ข้างต้นนี้ ทรงตอบแก่ผู้ถามซึ่งอยู่ ในสถานะใหญ่กว้าง โยงไปถึงคนทั้งหลายได้ทั่ว และเป็นความร้อยแก้ว แยกเป็นข้อๆ กำหนดง่าย จึงยกมาแสดงเป็นหลักตัวอย่าง

    ถือว่า ความเป็นภาวิ ต ๔ ด้าน ก็รวมอยู่ในคุณสมบัติ ๔ ข้อนี้ หรือว่าคุณสมบัติ ของมหาบุรุษ ๔ ประการนี้ เป็นการสำแดงนัยอีกแนวหนึ่ง ของภาวิต ๔ นั้น โดยยกเด่นขึ้นในส่วนที่แสดงถึงความสามารถอันยิ่งใหญ่อย่างพิเศษ ที่ตระหนักได้ว่าเป็นสิ่งอันยากสำหรับคนทั่วไปจะทำได้

    คุณสมบัติข้อแรกของมหาบุรุษ บอกจุดเน้นแห่งคุณของบุคคลผู้บรรลุนิพพาน ที่ว่าจบกิจแห่งพรหมจริยะ ไม่มีอะไรที่จะต้องทำเพื่อตนเองอีกต่อไป แม้แต่การที่จะต้องศึกษาเพื่อ ฝึกตนเอง

    ต่อแต่นี้ จึงมุ่งบำเพ็ญกิจเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน บรรจบกับจุดหมายแห่งการ ดำเนินชีวิตของพระอรหันต์ และการมีอยู่ของพรหมจริยะ คือ พระพุทธศาสนาทั้งหมด ซึ่งปรากฏในพุทธดำรัส อันตรัสเน้นอยู่เสมอ ที่ว่า "พหุชนหิตายะ พหุชนสุขาย โลกานุกัมปายะ" กล่าวคือ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พหูชน เพื่อความสุขแก่พหูชน เพื่อเกื้อการุณย์แก่ชาวโลก

    เมื่อบรรยายมาถึงจุดบรรจบนี้ ภาวะของผู้บรรลุนิพพานก็บอกด้วยถึงความบรรจบแห่งสุขของบุคคล ที่จะ เป็นไปเพื่อความสุขของมวลชนทั้งโลก
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    การที่จิตใครจะรอบรู้ในกองสังขารได้นั้น
    จะต้องเป็นระดับที่ทางโลกเรียกว่า ปัญญาญานครับ
    สติทำให้รู้เท่าทัน ปัญญาทางธรรม ทำให้วางหรือตัด
    เรื่องนั้นได้เร็ว แต่ว่า มันยังไม่เพียงพอ ที่จะรอบรู้
    ในกองสังขารได้ครับ.
    อริยะ คือเป็นศัตรู หรือ ห่างไกลจากกิเลส
    ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ไม่ใช่กิเลสนะครับ
    เป็นสิ่งภายนอกที่มีอยู่แล้วปกติครับ
    ตัว โทสะ โมหะ โลภะ ที่อยู่ในจิตที่จะไปดึง
    เอา ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ภายนอกเข้ามา
    จนกลายเป็นตัวเราเอง ตรงนี้ถึงรวมเรียกว่ากิเลสครับ

    ดังนั้น การเป็นอริยะ คือ จิตที่เป็นศัตรูห่างไกลกับกิเลสนั้น
    ยังไม่มีปัญญาญานเพียงพอที่จะรอบรู้ในกองสังขารได้นะครับ
    ในระดับเริ่มต้นครับ
    แต่เป็นเหตุให้ ไปถึงปัญญาญานได้ครับ

    ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ
    เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้นนะครับ.

    เปรียบจิตเป็นท้องฟ้า
    ความคิดเป็นก้อนเมฆนะครับ
    ลองคิดตามนะครับ...

    ๑.ถ้าฝึกสมาธิอยู่ แล้วทำตัวเป็นเช่นท้องฟ้า
    ทั้งๆที่เมฆมันเคลื่อนที่อย่างนั้น แต่ท้องฟ้า
    ก็ไม่ได้สนใจก้อนเมฆ ตรงนี้ ผลที่ได้เราจะเรียกว่า สมาธิครับ
    ๒.ถ้าทำตัวเป็นเช่น ท้องฟ้า แต่สามารถเห็นเมฆ ได้ทุกก้อน
    ตัวที่ไปเห็นเมฆ ตรงนี้ เรียกว่า สติทางธรรม ครับ

    ๓.แต่ถ้าไปพยายามดูเมฆและ ไปพยายามทำให้
    เมฆมันเปลี่ยนรูปร่างแบบที่เราคิด
    อย่างนี้เรียกว่า ปรุงแต่งครับ หรือ วิปัสสนึกครับ

    ๔.แต่ถ้าเห็นก้อนเมฆ แต่เฉยๆไว้ ไม่ไปตามดูมัน
    ไม่ไปพยายามเปลี่ยนแปลงมัน และดูมันไปเรื่อยๆ
    จนมันหายไปหาย อย่างนี้จะได้ผล คือ ปัญญาทางธรรมครับ

    ๕.แต่ถ้าสังเกตุทัน ตอนที่เมฆขึ้นมาและหายไปทันที
    ช่วงระยะเวลาที่ เมฆขึ้นมาและหายไป นั้น
    ถ้าสังเกตุได้ทันบ่อยๆ ผลที่ได้ ก็คือ
    กำลังสติทางธรรมที่มากขึ้นครับ

    ๖.แต่ถ้าสังเกตุทันว่า เมฆมันขึ้นมาตอนไหน
    ดับไปตอนไหน โดยไม่ไปพยายามเปลี่ยนแปลง
    อะไรก้อนเมฆมัน บ่อยๆครั้ง และบ่อยๆๆๆๆๆมากๆๆๆๆ
    ผลที่ได้ จิตจะเข้าใจเรื่อง ความไม่เที่ยงได้ เรียกว่า
    เห็นไตรลักษณ์ได้เรื่องความไม่เที่ยงนั้นหละครับ

    ๗.แต่ถ้าในระหว่างวัน สังเกตุทันว่า เมฆเกิดตอนไหนบ้าง
    ในระหว่างวัน ดับไปตอนไหนได้ในระหว่างนั้น ย้ำว่าสังเกตุ
    ทั้งวัน หรือก่อนนอนและตอนตื่น มาสังเกตุตรงนี้ได้
    จะได้ผลในเรื่อง ความต่อเนื่องของสติ หรือสติสัมโภชฯ ครับ

    ๘. แต่จิตที่จะรอบรู้ในกองสังขารได้นั้น
    ต้องเป็นจิต สามารถสังเกตุได้ทันว่า เมฆเกิดตอนไหน
    และเมฆก้อนนั้นเกิดเพราะอะไร
    และเมฆก้อนนั้นดับเพราะอะไรและดับหรือสลายไปตอนไหนครับ

    จิตลักษณะแบบนี้ ถึงจะเป็นจิตที่จะไปรอบรู้ในกองสังขารได้
    ตามตำราที่กล่าวไว้ครับ.
    ดังนั้น มันมีขั้นมีตอน ในการพัฒนาของมันอยู่ครับ
    เพราะถ้า สังเกตุ ในระดับที่ ๑ ถึง ๗ นั้น มันเป็นการสร้างสมาธิ
    สร้างสติทางธรรม และพัฒนาสติทางธรรม
    สร้างปัญญาทางธรรม
    แต่ว่ามันจะยังไม่รอบรู้ในกองสังขารได้นะครับ
    และแม้ว่า มีมันก็จะมีก้อนเมฆขึ้นมาได้อยู่
    จริงอยู่แม้ว่า จะไม่สนใจและตัดได้เร็ว แต่มันก็ยังมีเกิดอยู่
    มีผลกับตัวจิตได้อยู่ครับ.....

    ดังนั้น จิตที่จะรอบรู้ในกองสังขาร นั้น
    จะต้องรู้เหตุแห่งการเกิดก้อนเมฆได้
    รู้เหตุแห่งการดับก้อนเมฆได้ครับ
    เมื่อรู้แล้ว ก้อนเมฆนั้นๆก็จะไม่มีผลอะไร
    กับตัวจิตเลย แม้ว่า เมฆก้อนนั้นมันจะยังเกิดอยู่เป็นปกติครับ


    ปล.หวังว่าจะมีคนอ่านแล้ว พอเข้าใจแนวทางเดินได้นะครับ....


     
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    คุณสมบัติของผู้บรรลุนิพพาน ไม่ว่าจะพูดพรรณนาในลักษณะใด ตลอดจนที่จัดเป็นภาวิต ๔ ดังที่อธิบายมานั้น รวมแล้ว ก็ตั้งอยู่บนฐานของธรรม ๓ ประการ มีธรรม ๓ อย่างนั้นเป็นหลัก เป็นแกน คือ ปัญญา ที่เรียกจำเพาะว่าวิชชา ความหลุดพ้นเป็นอิสระที่เรียกว่า วิมุตติ และกรุณาที่เป็นหลักแผ่ปรีชาญาณออกไปทำให้ผู้อื่นพลอยได้วิชชาและถึงวิมุตติด้วย

    ถ้าเปรียบปุถุชน เหมือนคนถูกมัด วิชชาก็เป็นมีดตัดเครื่องผูกขาดออกไป วิมุตติ ก็คือการหลุดพ้นออกไปจากเครื่องผูกมัด เป็นอิสรเสรี กรุณา ก็แสดงออกมาว่า เมื่อหายเดือดร้อนวุ่นวาย กับ เรื่องของตัวเองแล้ว มองกว้างออกไป เห็นคนอื่นๆถูกมัดอยู่ ตัวเองไม่มีอะไรต้องวุ่นพะวงอีกแล้ว ก็เอาแต่เที่ยวแก้มัดคนอื่นต่อไป

    ในทางหลักวิชา ถือว่าวิชชาเป็นมรรค ส่วนวิมุตติเรียก คร่าวๆ ว่าเป็นผล แต่ตามตำรา ท่านแยกวิมุตติละเอียดออกไปเป็นสองตอน คือ เป็นทั้งมรรค และทั้งผล กิริยาที่หลุด หรือพ้นออกไป หรือขณะที่หลุดพ้น ท่านว่าเป็นมรรค ภาวะที่เมื่อหลุดพ้นออกไป แล้ว มีความเป็นอิสรเสรีเป็นปกติ เรียกว่าเป็นผล* (เช่น ม.อ.๒/๔๖๙;๓/๗๔๓....)

    ลำพังการบรรลุนิพพาน ย่อมเสร็จสิ้นเพียงแค่วิชชาและวิมุตติ ส่วนกรุณาเป็นเรื่องของการทำเพื่อผู้อื่นต่อไป พูดอีกอย่างหนึ่ง ว่า เรื่องส่วนตัว (อัตตัตถะ) สำเร็จที่วิชชาและวิมุตติ ส่วนเรื่องที่จะทำเพื่อคนอื่น (ปรัตถะ) เป็นกิจของกรุณารับช่วงต่อไป


    อนึ่งพึงสังเกตว่า ในบรรดาองค์ธรรมทั้งสาม คือ วิชชา วิมุตติ และกรุณานั้น วิมุตติเป็นเป็นภาวะฝ่ายผล พูดอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นภาวะเสร็จงาน และเป็นภาวะเอื้ออำนวยแก่การทำงานต่อไป ไม่ใช่เป็นตัวการทำงานเอง

    ส่วนปัญญากับกรุณา เป็นองค์ธรรมฝ่ายทำงาน ปัญญาเป็นตัวทำงานให้การบรรลุนิพพานซึ่งเป็นเรื่องของตนเองสำเร็จ กรุณาเป็นตัวทำงานให้เรื่องของคนอื่นสำเร็จ

    ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงถือว่า ปัญญา กับ กรุณา เป็นพระคุณหลักของพระพุทธเจ้า ปัญญาเป็นแกนนำของอัตตัตถะ หรือ อัตตหิตสมบัติ กรุณาเป็นแกนนำของปรัตถะ หรือปรหิตปฏิบัติ
     
  9. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ในคัมภีร์มากหลาย จึงนิยมย่อพุทธคุณลงเป็นข้อหลัก ๒ อย่าง คือ อัตตหิตสมบัติ มีปัญญาเป็นตัวทำการ และปรหิตปฏิบัติ มีกรุณาเป็นตัวทำการ

    แต่อัตตหิตสมบัติ และปรหิตปฏิบัติ ทั้งสองอย่างนั้น มีความหมายและเป็นของแท้จริงได้ ก็เพราะมีวิมุตติยืนยันเป็นพยาน

    วิมุตตินั้น เป็นเครื่องส่องแสดงถึงการเข้าถึงนิพพานแล้ว เรียกว่าเป็นอาการสำแดง หรือลักษณะสำคัญด้านหนึ่งของนิพพาน จัดเป็นไวพจน์ข้อหลักของนิพพาน

    ดังที่กล่าวแล้ว วิมุตติแสดงความหมายสำคัญของนิพพาน ซึ่งเน้นในด้านความหลุดพ้น เป็นอิสรเสรี เมื่อโยงกับคุณสมบัติสำคัญ ๒ ประการ ที่เนื่องด้วยการถึงวิมุตติ หรือบรรลุนิพพานนั้น คือ ปัญญา และ กรุณา ก็เรียกบุคคลผู้บรรลุนิพพานนั้น ด้วยคำไทยที่ชาวบ้านพอจะเข้าใจ ไม่ยากว่า เป็นอิสรเสรีชน ผู้เป็นอยู่ด้วยปัญญา และทำการด้วยกรุณา

    นอกจากวิมุตติ ที่ยืนเป็นหลักแล้ว ยังมีไวพจน์แสดงลักษณะด้านต่างๆ ของนิพพานอีกมากมาย ดังที่ยกมาให้ดูแล้วข้างต้น

    บรรดาไวพจน์เหล่านั้น มีอยู่อย่างน้อยสองคำ ที่ใช้เป็นคำสามัญในภาษาไทย และเป็นลักษณะทีสำคัญด้วย คือ วิสุทธิ และสันติ

    วิสุทธิ คือความบริสุทธิ์ หรือสะอาด หมายถึงภาวะปราศจากกิเลสที่จะทำให้สกปรกเศร้าหมองหรือขุ่นมัว จึงใสและมองเห็นอะไรๆชัดเจน

    สันติ คือความสงบ หมายถึงภาวะที่หายวุ่น หายพลุ่ง พล่านกระวนกระวาย ปราศจากความทุรนทุรายเร่าร้อนแห่งกิเลส หมดสิ่งที่จะ กวนให้ไหวกระเพื่อม จึงเรียบ ซึ้ง สงบ เย็น ทุกอย่างเข้า ที่ เป็นสภาวะของตัวเอง สามารถเสวยผลต่างๆได้บริบูรณ์ที่สุด และมี ความพร้อมมากที่สุดที่จะทำการทั้งหลายอย่างถูกต้องสมบูรณ์

    จากไวพจน์เหล่านี้ จึงวางหัวข้อบทไว้ว่า วิชชา วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน ถ้าจะแปลง่ายๆ คงได้ความ ว่า สว่าง อิสระ สะอาด สงบ หรือนิพพาน

    ใครพอใจไวพจน์อื่นใด จะเติมต่อเข้ามาอีกก็ได้ เช่นว่า วิชชา วิมุตติ เกษม วิสุทธิ สันติ ปรมัตถ์ บรมสัจจ์ นิพพาน เป็นต้น ก็อยู่ในขอบเขตความหมายของนิพพานอยู่นั่นเอง
     
  10. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ไวพจน์ คำที่มีรูปต่างกัน แต่มีความหมายคล้ายกัน, คำสำหรับเรียกแทนกัน เช่น คำว่า มทนิมฺมทโน เป็นต้น เป็นไวพจน์ของวิราคะ คำว่า วิมุตติ วิสุทธิ สันติ อสังขตะ วิวัฏฏ์ เป็นต้น เป็นไวพจน์ของนิพพาน ดังนี้ เป็นต้น
     
  11. เจไดหรือธิส

    เจไดหรือธิส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2017
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +359
    สาธุครับ คุณ Nop อธิบายให้ภาพและเข้าใจได้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...