พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมวิวัฒน์, 7 เมษายน 2018.

  1. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,270
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,079
    1442874748-o.jpg

    พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
    วัดอรัญญบรรพต
    อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

    ...

    เวลาใดจิตใจมันหงอยเหงาเศร้าโศก
    มันประสบกับความผิดหวังบางสิ่งบางอย่าง
    หรือบางทีมันก็พลัดพรากจากของรักของชอบใจอย่างนี้
    คนธรรมดาสามัญมันก็ต้องเศร้าโศกเสียใจ
    หรือทำการงานอะไรมันผิดหวังลงไป
    ทำการค้าการขายขาดทุน
    ทำนาทำสวนไม่ได้ข้าวไม่ได้ผลไม้
    เนื่องจากแล้งเบาะ ท่วมเบาะ อะไรหมู่นี้นะ
    ก็ได้ชื่อเป็นความผิดหวังในชีวิตอย่างใหญ่หลวงพอได้เหมือนกัน

    ทีนี้เมื่อบุคคลมาประสบกับภัยพิบัติดังกล่าวมานี้แล้ว
    ก็ต้องมีอุบายสอนใจตัวเอง ก่อนอื่นก็ควรนึกถึง
    "สภาพของสังขารทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยง" นั่นแหละมาเป็นอารมณ์
    ถ้าหากว่าสังขารคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นเป็นขึ้นนี่มันเที่ยงแล้ว
    มันก็จะไม่แปรปรวนไม่แตกไม่ดับไป
    นี่เมื่อทุกสิ่งในโลกนี้มันเป็นของไม่เที่ยงแล้ว
    มันจะได้สมหวังมาแต่ไหนก็ต้องหาอุบายสอนใจตัวเองเข้าไป
    ให้ใจมันรู้มันเห็นตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว
    มันก็คลายความทุกข์ความโศกลงเพราะว่าทุกสิ่ง
    "มันเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ไม่เป็นไปตามใจหวัง"
    เมื่อไตรลักษณญาณปรากฏแจ่มแจ้งในใจอย่างนี้แล้ว
    มันก็บรรเทาเบาบางลงได้ความโศกเศร้าเสียใจต่างๆนานา

    อีกนัยหนึ่งก็นึกถึงความดีของตัวเอง
    ไม่ใช่ตนของตนนี่มีแต่ความชั่วอย่างเดียว
    มีแต่ความผิดหวังอย่างเดียว ความสมหวังก็มีอยู่ในชีวิต
    อาศัยบุญบารมีที่สั่งสมอบรมมาตั้งแต่ก่อนโน้นน่ะ
    มันมาอำนวยผลให้ เช่น ได้เกิดมาเป็นคนอย่างนี้
    มีอวัยวะร่างกายครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่บกพร่องแต่อย่างใด
    แล้วก็มีสติปัญญาพอสมควร พอหาเลี้ยงอัตภาพได้
    ไม่ถึงกับว่าได้เป็นทาสทาสีทาสาของผู้อื่น
    มีพื้นความรู้ในการทำมาหาเลี้ยงชีพเช่นทำนา ทำสวน เป็นต้น
    เหล่านี้นะ ผู้ใดไม่เกียจคร้านแล้วลงมือทำไป
    มันก็ต้องได้มาทรัพย์สมบัติต่างๆเหล่านั้นน่ะ
    นี่ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญอยู่ ไม่ใช่ไม่มีบุญเสียเลย

    นึกถึงบุญถึงวาสนาของตนมาแต่หนหลังตลอดมาถึงจนปัจจุบัน
    ตนก็ได้ทำความดีมาอย่างนี้นะ เมื่อนึกถึงความดี
    นึกถึงบุญวาสนามาแล้วมันก็ชื่นใจขึ้นมา
    ก็รู้ว่าตนนั้นไม่ใช่มีแต่ความชั่วความผิดหวัง
    ความสมหวังก็มีอยู่ บุญวาสนาบารมีก็มี
    ถ้าบุญวาสนาไม่มีก็ไม่ได้เกิดมาเป็นคน
    แต่ว่าบุญวาสนาที่มาตกแต่งให้นี้มันน้อยไป
    เนื่องจากว่าตนได้ทำความดีไว้แต่ก่อนน่ะมันน้อย
    ชักจะมัวเมาประมาทเพลิดเพลินไปในโลกสงสารอันนี้
    มากกว่าการมาทำความดี มากกว่าการฝึกฝนอบรมจิตอย่างที่ว่านี่ล่ะ
    ไม่ฝึกจิตใจของตนให้ตั้งมั่นต่อกุศลคุณงามความดี
    หรือว่าตั้งมั่นก็ตั้งนิดๆหน่อยๆไม่มาก
    ทีนี้เวลามันอำนวยผลให้มาในปัจจุบันนี่
    มันก็อำนวยผลให้ตามกำลังของบุญวาสนาที่ตนได้กระทำอบรมมา

    บางทีทำบาปเข้า เอ้า บาปก็มาตัดรอนชีวิต
    ไม่ให้มีความสุขสม่ำเสมออยู่ได้
    เมื่อมีความสุขความเจริญไปๆหน่อยหนึ่ง
    บาปมันตามมาทัน บาปมันมาตัดรอนเอา
    ความสุขความเจริญเหล่านั้นสูญหายไปอย่างนี้นะ
    เมื่อเป็นเช่นนี้น่ะ บุคคลไม่รู้แจ้งในกรรมในผลของกรรม
    จึงได้เสียใจเศร้าโศกพิไรรำพันต่างๆนานา
    นี่มันก็เป็นความทุกข์อย่างนี้แหละบุคคลผู้ไม่รู้จักเหตุแห่งทุกข์
    ไม่ละเหตุแห่งทุกข์นั้นๆแล้วมันก็เป็นทุกข์ร่ำไป

    ...

    ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
    "การฝึกจิตเพื่อชีวิตที่สูงขึ้น"

    ที่มา http://www.dhammathai.org/monktalk/dbview.php?No=830
     

แชร์หน้านี้

Loading...