พระเจดีย์แห่งความสุข

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย sukhawadee, 18 กรกฎาคม 2005.

  1. sukhawadee

    sukhawadee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +130
    คัดลอกมาจากหนังสือ ชีวิตงาม เล่มที่ แปดค่ะ

    พระเจดีย์แห่งความสุข


    สิ่งที่เรียกว่า ความสุข ย่อมมีแปลกๆ กันเป็นชั้นๆ เช่นเดียวกับคำว่าอาหาร อาหาราของคนชั้น ต่ำ กลาง สูง หรือคนต่างชาติ ต่างมุมโลกย่อมแปลกกัน แต่ก็เรียกว่าอาหารด้วยกัน นี้ฉันใด คำว่า สุข ก็ฉันนั้น ย่อมแตกต่างกันตามความเหลื่อมล้ำ ต่ำสูงของความรู้สึกภายในใจ เป็นคนๆ หรือเป็นชั้นๆ ไป

    1. สุขของปุถุชนเลวๆ 2. สุขของกัลยาณชน 3. สุขของพระอริยเจ้า หรือผู้มีความรู้สูงสุดด้วยปัญญา

    เมื่อถือหลักตามนี้ ถ้าเราจะก่อ...

    พระเจดีย์แห่งความสุข

    เราจะได้ ความไม่เบียดเบียนกัน เป็นฐานรากพระเจดีย์ ความไม่กำหนัดหรือไม่เป็นทาสอยู่โดยน้ำใจ ในสิ่งอันยั่วยวนซึ่งมีอยู่ในโลกตามธรรมดาโลก นี่เป็นองค์พระเจดีย์ และได้ความไม่มีความสำคัญ ว่าเป็น ยอดพระเจดีย์


    ก.ความสุขที่เป็นรากฐาน

    ความไม่เบียดเบียนกันและกัน คือ ความไม่เบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่น เหตุย่อมให้เกิดผล การเบียดเบียนท่านเป็นเหตุให้เกิดการเบียดเบียนตอบ และกลายเป็นการเบียดเบียนกันไปมา จนกลายเป็นคนที่ต้องระแวงภัยหวาดหวั่นอยู่เสมอ แม้แต่นอนหลับก็ไม่วายฝันไปในทำนองชั่วร้าย การเบียดเบียนท่านจึงกลายเป็นการเบียดเบียนตนเอง เป็นการเผาลนตัวเอง
    การเบียดเบียนตนโดยส่วนเดียว เช่น การดื่มน้ำเมา การละเลยอนามัย เป็นต้น
    แม้ไม่เนื่องถึงผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมา ก็เป็นการเบียดเบียน แฝงอยู่ลึกลับ เช่น การเป็นคนรกโลก เป็นที่ขยะแขยงระแวงภัยของเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง เป็นการทำให้บุตร ภรรยาหรือวงศ์ตระกูล ค่อยๆ กลายเป็นตระกูลที่ไร้ค่า ไร้สุข จึงเป็นอันว่าเราต้องรับรองว่า พระพุทธสุภาษิต ที่ตรัสว่า ความมัธยัสธ์ สำรวมระวังเป็นอย่างดี ในสัตว์มีชีวิตทั้งหลายนั้น ย่อมหมายถึงความเบียดเบียนอันลี้ลับข้อนี้ด้วย มิได้หมายเฉพาะแต่การฆ่าฟันการเบียดเบียนกันโดยตรงๆอย่างเดียว

    ความสุข อันเกิดแต่ความไม่เบียดเบียนกันและกัน คือ ความที่สมาคมกันได้อย่างเยือกเย็นสนิทสนม มองดูกันด้วยสายตาอันแสดงความรัก ไม่ต้องเมินหน้าหรือหลบตากัน ในเมื่อสวนทางกัน เข้ากันได้สนิทเหมือนน้ำเข้ากับน้ำนม ไม่ต้องเกียดกั้น กันอยู่ดุจน้ำมันกับน้ำ นำให้เกิดความรู้สึกดุจว่า คนทั้งโลกล้วนแต่เป็นบิดามารดา ญาติพี่น้องของตนเองไปทั้งนั้น ไม่ต้องระแวงภัยทั้งหลับทั้งตื่น นี่คือความสุขอันเผล็ดออกมาจากการไม่เบียดเบียน แผ่ซ่านอยู่ทั่วโลก เป็นฐานรากของความสุขซึ่งสูงยิ่งขึ้นไป สันติสุขของโลก เท่าที่โลกทั่วไปทั้งหมดต้องการ ก้อคือความสุขข้อนี้

    การที่พระองค์ไม่ทรงยกเอา แก้วแหวนเงินทอง บุตรภรรยา บ้านช่องที่สวยงาม ว่าเป็น ความสุขของโลก ก็เพราะว่านั่น เป็น เพียง ความเพลิดเพลิน หรือ ความสะดวกสบายเท่านั้น ยังไม่เป็นความสุขสงบอย่างชัดเจน เหมือนการไม่เบียดเบียนกัน

    ปล ถ้าพิมพ์ผิดขออภัยมา ณที่นี้ด้วยค่ะ *-*
     
  2. sukhawadee

    sukhawadee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +130
    ต่อนะ


    ข. สุขในชั้นกลาง


    เมื่อเขยิบขึ้นมาถึงชั้นนี้ ตัว ความสุขได้แก่ ความคายออกเสียได้ซึ่งการยึดถือเอาด้วยความกำหนัดรัก อันมีอยู่ในส่งที่ยั่วยวนในโลกนี้ ตลอดถึงสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความรักตามธรรมดา

    บรรดาสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ จะเป็นรูปธรรม คือรูปเสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือเป็นพวกนามธรรม เช่น ยศศักดิ์ สรรเสริญ ก็ดี เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดรักนั้น เป็นเหมือนเหยื่อ อันหุ้มเบ็ดไว้ ความสุขอันเกิดจากสิ่งนี้จึงเป็นความสุขปลอม ไม่จีรังยั่งยืน เป็นเพียงความเพลิน หรือ สุขที่เป็นไปกับด้วยเหยื่อ

    สิ่ที่น่ารัก น่าฟูใจทั้งหลาย ที่เรียกกันว่า กามคุณ เป็นเหตุให้เกิดความสุข แต่ต้องอาศัยความกำหนัด ความรัก ความยั่วยวน ความพอใจ เข้าช่วย จึงจะเป็นความสุขไปได้ เมื่อมีความสมหวังแล้วก็เคยชิ เบื่อ และแส่หาใหม่สืบไป จึงเป็นของเผาลนอยู่เสมอ และชั่วขณะเหมือนของยืมผู้อื่นเขามา

    และเมื่อมัวเมา หลงรักอยู่ ก็ต้องอุทิศหัวใจตนเป็นเหมือน เขียงรองสับเนื้อ ยอมรับทุกๆประการ เพื่อบำรุงบำเรอ ความรักของตนจนกว่าจะเบื่อหน่าย และพร้อมกันนั้น
    ยังเป็นทางเกิดแห่งความหึงหวงอิจฉาริษยา ซึ่งเป็นเครื่องเผาลนอีกเป็นอย่างมาก

    การมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่กำหนัดรักในสิ่งที่น่ารักเป็น ความเยือกเย็น เป็นชีวิตที่มีญาณทัศนะ คือความรู้จักกามคุณอย่างชัดเจนจริงเป็นผู้นำ มิใช่ตัณหาเป็นผู้นำ เมื่อรู้จักมันดีแล้ว จะทำให้ไม่อยากจนลืมตัว หรืออย่างต่ำที่สุด ก็ไม่กลืนลงไปทั้งเบ็ด ด้วยอาการฮุบเอา อย่างไร้ความรู้สึก เพราะฉะนั้น จึงเป็นความสุขที่บริสุทธิ์สะอาด จืดและเย็น เป็นอิสระอย่างยิ่ง


    :cool: :cool:
     
  3. sukhawadee

    sukhawadee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +130
    สุดท้าย ท้ายสุด!!

    ค. สุขที่เป็นสุดยอด


    สุขที่กล่าวมาแล้ว ในชั้นสอง อาจทำให้ท่านสงสัยว่าจะยังมีความสุขท่าใหนอีก ซึ่งสูงขึ้นไปกว่าการชนะตนในเรื่องความรักและ ความอยากนั้นๆ

    ควรทราบว่าเท่าที่กล่าวมาแล้ว เป็นความสุข ที่ยังไม่หลุดพ้นไปจากความโง่ หลงว่า อัตตา คือยังมีความสำคัญตนเป็นตนอยู่ เป็นสุขอย่างอัตตา ซึ่งทำให้มีความสำคัญตนว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถือเขาถือเรา อยากเกิด อยากเป็นอย่างไม่รู้จักสิ้นสุด แม้เกิดมาได้รับความสุข สองอย่างที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ก็ยังต้องวนเวียนอยู่ในวัฏจักรสงสาร เกิดแก่เจ็บตาย บริหารกาย บริหารทุกข์ คือ ขันธ์ ซึ่งในระยะนั้นก็ประสบกับความโศก ปริเทวะ ร่ำไรรำพัน อยากแล้วไม่ได้เหมือนอยาก แม้ในสิ่งที่เป็นกุศล หรือเป็นไปตามทำนองคลองธรรม อย่างยุติธรรม จิตก็ยังไม่อาจหยุดการเวียนว่ายในวัฏจักรสงสาร หรือสัมพันธ์กับความตายอยู่เพียงนั้น

    สุขอย่างอัตตา จึงไม่ใช่ยอดสุข ต่อเมื่อใดก้าวล่วงถึงขีด อนัตตา จึงจะเป็นยอดสุข เพราะเป็นที่สุดแห่งความทุกข์ หรือความวิ่งไปมาในวัฏจักรสงสาร

    อดของความรู้ที่ควรรู้ ก็คือการรู้เท่าทันต่อสิ่งที่เคยหลงว่าเป็นตัวตน ว่าไม่เป็นตัวตน หรือมีตัวตนนั่นเอง เปลี่ยนจากความโง่หลงว่าเป็นตัวตน ว่าไม่เป็นตัวตน หรือมีตัวตนนั่นเอง เปลี่ยนจากความโง่หลงว่า มีอัตตา มาเป็นความเห็นอย่างถูกต้อง รอบรู้ และแจ่มแจ้งว่า ไม่มีอัตตา ดังนี้ ความรู้ที่เกิดขึ้น ความไม่รู้(อวิชชา)
    ก็หายไป ราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งเกิดความไม่รู้เป็นมูลฐาน ก็พลอยถูกโค่นทำลายสาบสูญไปด้วย จึงไม่มีการหลงผิดเป็นถูก ไม่หลงมัวหลงเมา

    ความรู้สึกว่า อัตตา ซึ่งเป็นเหมือนต้อกระจก ในนัยน์ตา ถูกลอกออกอย่างเกลี้ยงเกลา ญาณทัศนะ หรือดวงตาที่แจ่มใส ก็ทำหน้าที่เห็นได้อย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง รู้จักโลก โดยประการที่มันไม่อาจย่ำยีจิตใจ ให้ทุกข์ทนหม่นไหม้ได้อีกตลอดกาลาวสาน

    ความโง่ถูกเพิกถอนกวาดทิ้งหมดไปจากดวงจิต ความฉลาดแผ่รังสีออก สร้างความเยือกเย็น เย็นโดยไม่ต้องรดน้ำ แต่เย็นกว่ารดน้ำ นั่นคือ ยอดแห่งความสุข ซึ่งพระพุทธองค์ซึ่งเป็นบิดาของโลก ได้ทรงวางไว้เป็นบทเรียน สำหรับเราทั้งหลายผู้ยอมตนเป็นสาวก ผู้ทำตาม โดยน้ำใสใจจริง จะต้องพยายามเอาด้วยคุณค่าแห่งการได้เกิดเป็นมนุษย์ทุกๆเมื่อ

    (bb-flower
     

แชร์หน้านี้

Loading...