พระเถระสายหลวงปู่มั่น หลวงปู่จันทาถาวโร มรณะภาพ

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย โป๊ยเซียนสาว, 21 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. โป๊ยเซียนสาว

    โป๊ยเซียนสาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,543
    ค่าพลัง:
    +2,279
    [​IMG]

    หลวงปู่มรณะภาพเมื่อเวลาประมาณ ตี๔ เช้าวันอังคารที่ ๒๑ ก.พ. ๒๕๕๕๕ สิริรวมอายุได้ ๙๐ ปี พรรษา ๖๕

    กราบนมัสการสังขารหลวงปู่ ส่งดวงจิตหลวงปู่สู่แดนพระนิพพานเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2012
  2. โป๊ยเซียนสาว

    โป๊ยเซียนสาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,543
    ค่าพลัง:
    +2,279
    ๑. ชาติภูมิ

    หลวงปู่จันทา ถาวโร
    เป็นบุตรของ นายสังข์ ไชยนิตย์ และนางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ท่านถือกำเนิดในวันเสาร์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๖๕ ณ หมู่บ้านแดง ต.เหนือ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด หลวงปู่มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๖ คน มีชื่อตามลำดับดังนี้

    ๑) นายนู ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
    ๒) นางต่วน ชมภูวิเศษ
    ๓) นายแก้ว ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
    ๔) หลวงปู่จันทา ถาวโร
    ๕) นายบุญ ไชยนิตย์
    ๖) นายน้อย ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
    ๒. ลูกกำพร้า

    หลวงปู่เล่าเรื่องชีวิตในวัยเด็กไว้ว่า “อย่างข้าพเจ้านี้มันก็แสนทุกข์ยากลำบากเกิดมาชีวิตนี้ คิดแล้วน้ำตาไหล พออายุได้ ๗ ปี ได้น้อง ๒ คน แม่ก็ตายเพราะกินผิด คือ แม่เอาอาหารไปถวายพระตอนเพล แล้วไปกินป่นปลากับผักผีพวย นั่นแหละก็เลยผิดกรรมเสีย เมื่อผิดกรรมแล้วทำอย่างไร สมัยนั้นหมอยาก็มีแต่ยารากไม้ รักษาไม่ได้ ผลสุดท้ายก็เลยตาย”

    ก่อนตาย แม่ก็สั่งว่า “ลูกคนเล็กๆ ๓ คนนี้ให้แม่ป้าพ่อลุงเอาไปเลี้ยง เพราะเขาเป็นเชื้อผู้ใหญ่ และมีเรือนอยู่ติดกัน ส่วนลูกคนโตๆ นั้น ให้อยู่กับน้าบ่าวน้าสาว”

    พอแม่ตาย พ่อก็เลยไปเอาเมียใหม่มาเลี้ยง ให้เมียใหม่มาช่วยเลี้ยงลูก แม่ใหม่กับลูกสาวก็เหมือนหมากับแมวนะ ลูกสาวก็ด่าเอาว่า “มึงไม่ใช่แม่กู อย่ามาทำสำออยเจ้าน้อย ให้กูตักน้ำมาให้อาบ ไม่ดอก” นั่นแหละ ผลสุดท้ายก็เลยแตกกัน เหมือนนกแตกรังเหมือนควายแตกคอก พ่อก็เลยไปอยู่กับแม่ใหม่เสีย แหม...ทีนี้ ก็เร่ร่อนสัญจรไปไหนมาไหนก็แสนทุกข์ยากลำบาก ทำงานหากินเลี้ยงชีพ

    ๓. ลูกชาวนา...ไร้การศึกษา

    เราเกิดมาชาตินี้แสนทุกข์ยากลำบาก เกิดขึ้นท่ามกลางไร่นา อายุ ๗ ปี แม่ตาย ๑๐ ปี พ่อตาย เราก็เป็นลูกกำพร้า อยู่กับพี่น้องเขาก็พาให้เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไม่ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนอะไร ทำนาตั้งแต่อายุ ๗ ปีนะ เริ่มทำจากนั้นมาถึง ๒๕ ปี แหมมันแสนทุกข์ยากลำบาก ๕ โมงเช้าถึงจะได้กินข้าว นั่นแหละปวดหลัง ปวดเอว บ่นเพ้อละเมอใจว่า เมื่อไหร่หนอเราจะพ้นจากการทำนา มันทุกข์ยากลำบาก

    ๔. นายพรานใหญ่

    หลวงปู่เล่าต่อไปอีกว่า ผมเป็นนายพรานใหญ่นะ บ้านอยู่ฝั่งแม่น้ำชี จ.ร้อยเอ็ด สมัยผมเกิดนะไปหาปลาหาบตะกร้าไป บ้านนั้นมี ๑๐ หลังคาเรือนคุ้มนี้นะ ๒ คนนี่หาบตะกร้าไปเลย ลงไปหนองน้ำ ปลานี่ชุกชุมยุบยับ...ๆ...ๆ ไปถึงก็กำเอาๆ จนเต็ม ๒ หาบตะกร้า เอามาตั้งไว้กลางบ้าน แล้วก็ร้องบอกชาวบ้าน

    “มาเด๊อ !...ไผอยากได้ก็มาเอา”

    ตั้งไว้แล้วก็ไป ชาวบ้านก็ถือตะกร้าลงมา อยากได้ตัวไหนก็เอาไป พอเขากลับกันหมดแล้ว ปลาที่เหลือจึงไปเอามากินนะ ข้อยไปก็อย่างนั้น เจ้าไปก็อย่างนั้น แต่ก่อนไม่ได้ซื้อไม่ได้ขาย จะเอาไปทำอะไร สัตว์นั้นมันหลาย นั่นแหละ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมามากแล้วชีวิตนี้
    ๕. ได้เมียแม่หม้าย

    พอเติบใหญ่อายุได้ ๒๓ ปี เขาก็บังคับให้มีครอบครัว แต่แล้วครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร ได้แม่ร้างแม่หม้ายลูก ๓ ผัวเขาตาย เหลือแต่ของไม่ดีนั่นแหละ ของดีเขาเอาไปกินหมดแล้วสมขี้หน้าไหมเล่า แต่แล้วเราก็เหมือนกับแมว หญิงหม้ายนั้นเหมือนกับสุนัขตัวใหญ่ มันก็คั้นคอเอาอย่างนั้นทุกวัน นั่นแหละเพราะบุญพาวาสนาส่งไม่ดี ผลสุดท้ายก็เลยแยกทางกัน

    เหตุที่แยกกับภรรยานั้น หลวงปู่เคยพูดว่า “วันหนึ่งสะพายข้องและแหไปหาปลา หว่านแหดำน้ำหาปลาตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่ได้ปลาสักตัว ดำน้ำจนตาแดงกล่ำ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ตอนเย็นเดินคอตกกลับบ้านไม่ได้อะไร พอเห็นหน้าภรรยาสุดที่รัก ก็พูดบอกให้ฟัง แทนที่จะเห็นใจกลับขู่ตะคอกต่อว่า หาว่า ไปมัวเถลไถลเที่ยวเล่นจนมืดค่ำ แล้วภรรยาก็เอาเครื่องมือหาปลามีข้องและแห เป็นต้น ถลกผ้าถุงปัสสาวะใส่ต่อหน้าต่อตา เห็นแล้วก็เกิดความสลดสังเวชอย่างใหญ่หลวง คิดว่า โอ๋...เมียเราทำไมทำได้ขนาดนี้ ทำถึงขนาดนี้แล้ว อยู่ด้วยกันไปก็ไม่เป็นมงคลอะไร จึงตัดสินใจแยกทางกับเมียอย่างเข็ดหลาบ”

    ทีนี้จะทำอย่างไรเล่า ทำอะไรก็ไม่ทันสมัยกับเขา เลี้ยงแต่ควาย ทำแต่นา ทำอะไรก็ไม่ดีกับเขาสักอย่าง สร้างโลก (มีครอบครัว) ก็สร้างแล้ว มีแต่จมกับจม สิ่งใดก็ไม่ดีทั้งหมดผลสุดท้ายก็มาคิดว่าทำอย่างไรมันจึงจะดี

    [​IMG]

    ข. ออกบวช

    ๑. เหตุแห่งการบวช

    ก็มาคิดปรารภถึงแม่ผู้บังเกิดเกล้านั่นแหละ คิดถึงแม่เวลาใด น้ำตาไหลนะ ถามนักปราชญ์ทั้งหลายว่า ทำอย่างไรจึงจะตอบแทนบุญคุณแม่ได้ นักปราชญ์ท่านก็ว่า จะทำนาค้าขายตอบแทนก็ไม่ได้ดอก มีแต่ออกบวชเท่านั้นแหละ บวชแล้วบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ทีนี้ก็เลยตั้งใจใฝ่ฝันว่าจะบวชบำเพ็ญบุญให้แม่สัก ๒-๓ พรรษา แล้วก็จะสึก จากนั้นก็เข้าวัดฝึกหัดขานนาค เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ เขียนไม่เป็น อ่านไม่ออก นั่นแหละมันปึก (โง่) จึงท่องไม่ได้ ท่องแล้วท่องเล่าจนจะถอยหลังนะ เอ้าตั้งใจใหม่ โอ๋...คนอื่นเขายังได้เว้ย ! เอาวันละคำนะ “เอสาหัง ภันเตฯ...” อยู่นั่นแหละ มักน้อยเอาวันละคำก็เลยได้ เข้าวัดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พอขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ (พฤษภาคม) จึงได้บวช ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ โดยมี หลวงปู่หนู ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่ที่วัดบ้านปลาฝา ซึ่งเป็นวัดฝ่ายมหานิกายมาบวชให้ แล้วจำพรรษาอยู่วัดบ้านขมิ้น ๑ พรรษา จากนั้นจึงมาจำพรรษาที่วัดศรีจันทร์ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านแดง มี หลวงปู่นัน ตาปโส เป็นเจ้าอาวาส

    ๒. อุทิศบุญให้แม่

    หลวงปู่เล่าว่า พอบวชแล้วออกจากโบสถ์มาก็อุทิศส่วนบุญให้แม่เลย “บุญที่ข้าพเจ้าบวชในวันนี้ ขอฝากแต่แม่เจ้าธรณีเทพเจ้าเหล่าเทวา นำบุญนี้ไปให้แม่ข้าพเจ้า มีนามว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตของเขานั้น ไปอยู่สถานที่ใด ไปตกนรกก็ดี หรือไปมนุษย์ก็ดี หรือไปเป็นเปรต เป็นผี ก็ดี ขอให้ได้รับส่วนบุญนั้น ขอให้พ้นทุกข์ ให้กลับมาเกิดในตระกูลเดิม จะได้เห็นอำนาจในการบำเพ็ญบุญ ส่วนผู้นำข่าวบุญไปนั้นก็ขอแบ่งส่วนบุญให้”

    จากนั้นก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยืนภาวนา เดินจงกรม วันยังค่ำ บางกาลสมัย ๕ ปีนะ ไม่นอนตลอดไตรมาส ๓ เดือน เดิน ยืน นั่ง เท่านั้นแหละ ๔-๕ วันฉันครั้ง เพราะวิตกวิจารณ์ใจ กลัวว่าจะได้บุญน้อย จะไม่ไปช่วยเหลือแม่ นั่นแหละ ก็ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ

    ๓. ให้พระเณรช่วยสอน

    เมื่อหลวงปู่ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดศรีจันทร์ ในหมู่บ้านแดงซึ่งมีหลวงปู่นัน ตาปโส เป็นเจ้าอาวาส หนังสือไม่ได้เรียน อ่านไม่ออก เขียนไม่เป็น เป็นแต่เลี้ยงควาย ไถนา คราดนา เท่านั้น วิชาความรู้ประจำชีวิตทางฝ่ายโลกก็ไม่เป็น เมื่อเข้ามาทางฝ่ายธรรม จะมาเรียนปริยัติ ตรี โท เอก ก็ไม่มี เพราะเขียนไม่เป็น อ่านไม่ได้

    ทีนี้ก็มาตั้งใจประพฤติวัตรปฏิบัติ อ่อนน้อมค้อมตัวต่อพระเณร “ครูบาท่าน !...เมตตาสงเคราะห์ไอ้คนทุปัญญาเถอะว้า บางทีผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แล้วนั้นก็จะได้ผลบุญผลกุศลจากผมที่ได้ธรรมมะจากท่านฝึกสอนให้นี้นั้น ไปอบรมบ่มนิสัย ไหว้พระสวดมนต์ ภาวนา จะได้เป็นบุญกุศลของตน และท่านผู้ฝึกสอนถ่ายทอดความรู้ให้นั้น”

    เขาเหล่านั้น บางองค์ก็พอใจฝึกสอนให้ บางองค์ก็เฉยถือตัวสำคัญว่า ผมนี้บุญน้อย วาสนาน้อย ฝึกสอนความรู้ให้แล้วก็คงจะไม่เป็นไปดอก ดูกิริยามารยาทแล้ว จะไม่เป็นไปในทางศาสนาดอก ถึงบวชก็ได้เพียงแค่พรรษาเดียว ก็จะตายเท่านั้นแหละ

    แม้อาจารย์ที่เป็นผู้ปกครอง คือ หลวงปู่นัน ตาปโส ท่านก็พูดแล้ว พูดเล่า พูดกับพี่สาวผมนั่นแหละ “แม่ต่วน !...เอาผีบ้ามาบวชใช่ไหมเล่า ? ดูแล้วมันไม่ใช่คน ไม่เต็ม ขาดสลึงหนึ่ง ไม่เต็มคน มันจะไม่เป็นไป”

    พี่สาวก็เลยว่า “โอ๋...ตั้งแต่วันเกิดมา ฉันเองเป็นคนเลี้ยงมาแต่น้อย จนถึงใหญ่ น้องทุกคน ทั้งที่ตายแล้วหรือยังอยู่ก็ดี สมบัติ สีสัน วรรณะ กิริยา มารยาท ก็ไม่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นบ้าใบ้อะไรหรอกปู่ พอมีบุญอยู่ แต่ก็ขอให้ปู่ช่วยรับสงเคราะห์ต่อไปเถิด จะดีหรือชั่วก็จะได้เห็นกันข้างหน้าโน้น”

    เรื่องดีชั่วที่สะสมมาแต่ชาติปางก่อนโน้น ก็ไม่อาจล่วงรู้กันได้ จะรู้กันได้ก็แต่ในปัจจุบันกับอนาคต นั่นแหละ แต่แล้วพระบางองค์ ท่านก็รังเกียจ เห็นว่า วิชาความรู้อะไรก็ไม่มี อ่านหนังสือก็ไม่ได้ เขียนก็ไม่เป็น ก็เลยไม่สอนให้ เณรบางองค์ก็รังเกียจ บางองค์ก็เมตตา แต่แล้วก็มีน้องชาย ๒ คน ซึ่งเป็นลูกน้าสาว (น้องแม่) เขาบวชอยู่แล้ว องค์หนึ่งบวชเป็นพระได้นักธรรมโท อีกองค์หนึ่งเป็นเณร ได้นักธรรมเอก เขาก็เมตตาสอนให้ ถ้าได้ดีข้างหน้าโน้นแล้วจะได้พึ่งพิงอิงอาศัยบ้าง และจะเป็นบุญเป็นกุศลของผู้ถ่ายทอดความรู้ให้นั่นแหละ

    [​IMG]

    ๔. คำสั่งสอนของอุปัชฌาย์อาจารย์

    พอบวชแล้วอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านก็บอกว่า

    “พระจันทา (ครับ) เธอนั้นเป็นคนทุกข์ยากลำบาก ความรู้วิชาอะไรก็ไม่ทันเขา วาสนาก็น้อย บุญก็น้อย พลอยรำคาญทุกข์ยากนานไม่มีวันว่างเว้น ถ้าบวชแล้วอย่าสึกนะ (ครับ) สึกไป ฟ้าผ่าห่ากินนะ ให้มันตายฉิบหาย มันไม่มีสติปัญญาวิชาความรู้เกิดมาภพน้อย ภพใหญ่ ทำตนเป็นคนกำพร้า อนาถา ทุกข์ยากเดือดร้อน อาทรใจอยู่อย่างนี้ ใช้ไม่ได้ ไม่มีสติปัญญา เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา แต่ไม่เหมือนกัน เขามีที่พึ่งพิงอิงอาศัย เราไม่มี เหมือนกับสุนัขกลางบ้าน นั่นแหละ สุนัขกลางบ้านทั้งเป็นขี้เรื้อนอีกด้วย”

    “นั่นแหละ อย่าสึกนะ !...สึกแล้วฟ้าผ่าห่ากิน ไปไหน ให้มันตายมันโง่นี่ มันไม่มีสติปัญญาฉลาด จะไม่ทำคุณงานความดี ใส่ตนหลงไปตามแต่อารมณ์ของโลก เรื่องโลกๆ ฟังแต่ว่าโลก มันประกอบไปหมดทุกอย่าง รวมอยู่นั้นเรียกว่าโลก ส่วนเรื่องธรรมนี่มันน้อยนัก แต่ละภพแต่ละชาติที่จะได้มาประสบพบปะ ได้เจริญธรรมนั้นก็เป็นของยาก ทีนี้มาชีวิตนี้ได้พบแล้ว ก็ตั้งใจเจริญสะสมบุญ ให้เกิดมีขึ้นทุกเมื่อ อย่าได้ขาด เอาชีวิตเป็นแดน”

    “ครับ” มีแต่ครับ รับได้เลยเพราะมองเห็นแล้วว่า อะไรก็ไม่เหมือนเขา เอ้า...ตั้งใจ

    “ถ้าผมประพฤติวัตรปฏิบัติไปอย่างครูบาอาจารย์ หรืออุปัชฌาย์สอนนี่ จะเป็นบุญหรือเป็นบาป จะดีขึ้น หรือเสมอเดิมหรือถอยหลัง”

    “อ้าว !...มันก็เป็นบุญ มีแต่ดีขึ้น ไม่ถอยหลัง คงที่ก้าวหน้าไปเท่านั้นแหละ ความโง่ก็จะหมดไป ความฉลาดก็จะเกิดขึ้น นั่นแหละบวชบำเพ็ญบุญล้างบาป บาปคือความโง่หลาย ทุกข์ยากลำบาก นั่นแหละบาป โทษปาณาติบาตที่ทำไว้ก็หนักมหันต์ เธอต้องบวชบำเพ็ญบุญล้างบาป ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่ไหวนะ ตายไปตกนรกหมกไหม้เป็นทุกขเวทนา หาวันจบสิ้นไม่ได้”

    อุปัชฌาย์อาจารย์สอนแล้วสอนเล่า ก็พอใจ มองดูโลกคือหมู่สัตว์ มันเหมือนกันไหมเล่า สูงต่ำ ดำขาว จนมี ดีชั่ว ฉลาดโง่เขลาเบาปัญญา นั่นแหละ มันไม่เหมือนกัน เพราะเหตุใดจึงไม่เหมือนกัน เพราะกรรมดีกรรมชั่ว เป็นผู้ตกแต่งโลกคือหมู่สัตว์นั้นให้ต่างกัน

    กัมมุนา วัตตะตี โลโก โลกคือหมู่สัตว์ กรรมย่อมจำแนกตกแต่งให้ฉลาดโง่เขลา เบาปัญญา อายุสั้นพลันตายหรืออายุยืนยาว ไม่เหมือนกัน ร่ำรวย สวย จน ก็ไม่เหมือนกัน เพราะกรรมเป็นผู้ตกแต่งให้ ไม่ใช่สิ่งใดดอกที่จะตกแต่งให้ มีแต่กรรมเท่านั้น

    กรรมดี กรรมชั่ว นั่นแหละ ที่ตกแต่งให้โลกได้แก่สัตว์ทั้งหลายนี้ไม่เหมือนกัน ถ้ากรรมดีมีแล้ว ก็ได้ดั่งใจหมาย จะทำไร่ทำนาก็เจริญ ค้าขายก็เจริญ ศึกษาเล่าเรียนก็เจริญ ทันสมัยเขา เป็นเจ้าเป็นนาย ฉลาดมีสติปัญญาดี เพราะบุญเป็นเครื่องเสริม นั่นแหละ ถ้าบุญไม่มีแล้ว จะทำอะไรก็ล้าสมัยเขา ผลสุดท้ายก็ บ่าแบกหลังหนุน น้ำเหงื่อไหลไคลย้อย ทุกข์จนค่นแค้นแสนกันดาร ทำงานวันยังค่ำก็ไม่พอกิน

    โอ้....เห็นจริงๆ นะ แหม...ผมนั้นรูปร่างล่ำสันใหญ่เขาจ้างให้ขุดโพนใหญ่ ๒-๓ วัน แล้วเลย (เสร็จเลย) พอได้กินสืบวันเท่านั้น นี่มันต่างกัน คนเขาร่ำรวยมีวาสนาไม่ได้ทำมากเท่าใด ก็เหลือกิน เหลือใช้ นั่นแหละคงจะเป็นอย่างว่า เกิดขึ้นเพราะกรรมดี กรรมชั่ว ทั้งนั้น

    ทีนี้ก็ตั้งใจเจริญบุญตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เจริญบุญ ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น เดินภาวนา ยืนภาวนา นั่งภาวนา อดนอน ผ่อนอาหารมาไม่ลดละ เมื่อเจริญมรรค เครื่องส่งจิตเข้าสู่ความสงบได้ ความสุขเยือกเย็นเกิดขึ้นภายใน คือ ความสงบสุขนั้น นั่นแหละก็เห็นอำนาจของบุญ คือ ความสุขเยือกเย็นที่แท้ หาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี สมัยเป็นฆราวาส กินลาบวัวลาบควายกับเหล้า ก็นึกว่ามันอร่อยเต็มที่แล้วนะ ซุบหน่อไม้ส้มกับปูนา แต่ก่อนนะมันอร่อยแหม ๑๐๐ ครั้ง ก็ไม่เท่าจิตสงบครั้งหนึ่งนะ

    จิตสงบครั้งหนึ่ง แหมมันอร่อยเยือกเย็นหาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี นั่นแหละเป็นรสชาติอันอร่อย การสะสมบุญก็ส่งผลมาเป็นระยะๆ ถ้าบุญพาวาสนาส่งทั้งภพชาติก่อนโน้น จะได้สะสมไว้ในศาสนาพระพุทธเจ้าองค์ก่อนก็ดี มาองค์นี้ก็ดี ก็ขอจงดลบันดาลให้ข้าพเจ้ามีความยึดมั่นถือมั่นในศาสนาพุทธไม่ลดละ อย่าได้หวั่นไหวไปตามโลก ตามสงสาร มีความยึดมั่นกระสันพอใจเจริญธรรม ทั้งเช้า กลางวัน เย็น กลางคืนอยู่ทุกเวลา ไม่ประมาท นั่นแหละ มันก็เห็นเป็นอย่างนั้น มีความมั่นมาเสมอ

    [​IMG]

    ๕. ผลบุญช่วยให้แม่พ้นจากนรกมืด

    ตั้งแต่ออกบวชปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญไม่ลดละ เดินจงกรม ยืนภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้ว ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้แม่ผู้บังเกิดเกล้าทุกวัน “ปุญญัง อุททิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอบุญจงไปช่วยเหลือแม่ของข้าพเจ้านะ ชื่อว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตเขานั้นไปสิงสถิตอยู่สถานที่ใด ไกลหรือใกล้นั้น ขอบุญจงไปช่วยเหลือให้พ้นจากทุกข์นั้น” นั่นแหละ ก็อุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้น จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๕ พรรษา แม่ก็พ้นจากนรกมืดมาเกิดกับหลานสาว พออายุ ๒ ปี ก็พูดจาได้ความรู้เรื่อง

    แม่ยายเขาเรียกใช้ “อีหล้า ไปหยิบของมาให้แม่หน่อย”

    “มึงอย่ามาเรียกกู อีหล้า กูเป็นแม่มึงนะ”

    “เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี”

    “สมบัติร่างกายนี้ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน แต่ว่าใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน”

    นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน

    เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖ คน คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้ทั้งหมด รวมทั้งสามี ภรรยา ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง ตลอดจนเรื่องเรือกสวนไร่นานั้น ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐานเครื่องหมายต่างๆ ก็บอกได้ ไม่ผิด

    แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยกันนะ จึงได้ถามเขาต่อไปอีกว่า “หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ จึงได้ออกบวช แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”

    เขาว่า “ได้รับ ได้รับแต่ตอนกลางคืน ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ?”

    เขาต่อว่ากลับมาอีก “โอ๋...ตอนเช้าหลวงพ่อ ทำบุญน้อย พอตี ๒ ก็ลุกขึ้นมาทุกวันแล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้ อุทิศให้เฉพาะตอนเย็น เพราะตอนเย็นเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่มทุกวัน แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระ สวดมนต์ อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้นได้บำเพ็ญบุญมาก”

    เขาว่า “ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้ เร็วกว่านี้”

    ก็ถามเขาต่อไปว่า “ไปอยู่นรกมืดนั้นเป็นอย่างไร ?”

    เขาก็ว่า “เมื่อขาดใจแล้ว นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้เห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”

    “ในนรกมีคนมากเท่าไร ?”

    “โอ๋...ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนัด อัดแอกันอยู่เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ”

    ทีนี้เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ จ่ายมบาลก็ว่า “นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน”

    นั่นแหละ ฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืนตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล เพราะอำนาจของบุญนั้นตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้ เขาก็เลยปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว ขอแม่เจ้าจงไปตามเรื่องเถิดจงไปเกิดที่เมืองมนุษย์ แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้ เสียงประตูดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้าก็ดีใจ แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรกว่า

    “พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อนนะ”

    พวกที่เหลืออยู่ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้เพราะบาปกรรมรึงรัดผูกมัดไว้กับสถานที่นั้น บาปไม่อนุญาตให้ไปเพราะยังไม่หมดเขตเวรกรรม

    จากนั้นจ่ายมบาลก็ว่า “ขอให้ไปดี โชคแม่มีแล้ว เพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญ ส่งมาให้ก็ดีมาก นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”

    นั่นแหละ ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนบุญไปให้ แม่ไปตกนรกมืด บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดในตระกูลเดิมได้ ก็หมดความห่วงใยอาลัยแล้วได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น

    [​IMG]

    ๖. ทำบุญกับพระทุศีล อุทิศให้ไม่ถึง

    ทีนี้ก็ย้อนมาถามพี่สาวบ้างว่า “ไม่ได้ทำบุญอุทิศไปให้แม่บ้างหรือ ?”

    พี่สาวก็ว่า ทำ ๓ ครั้ง น้าสาว (น้องแม่) เขาคิดถึงพี่สาวเขาก็เลยพาหลานสาวทำบุญอุทิศไปให้แม่ ทำถึง ๓ ครั้ง

    “ทำอย่างไรเล่า ?”

    น้าสาวพาทำบุญใส่เหล้าลงไปครั้งละโหลนะ ครั้งละโหล ไหใหญ่ๆ ฝังไว้ในป่าสับปะรด ป่ากล้วย ฆ่าวัว ฆ่าควาย สมัยนั้นวัวควายราคาถูก ทำบุญแต่ละครั้งหมดวัวควายไป ๔-๕ ตัว ตัวละ ๑๐ สลึงก็มี ตัวละ ๖ สลึงก็มี บาทหนึ่งก็มี ๕๐ สตางค์ก็มี สมัยนั้นวัวควายไม่มีราคา

    “แล้วพระที่ไปทำบุญด้วยนั้น มีการประพฤติปฏิบัติอย่างไร ?”

    “โอ๋...พระเหล่านั้น กินข้าวแลงแกงร้อน (กินข้าวมื้อเย็น) เล่นสีกงสีกานารี ขุดดิน ฟันไม้ ถือเงินบายทอง (ใช้จ่ายเงินทองเยี่ยงฆราวาส) และที่วัดนั้นมีหมาพรานอยู่คู่หนึ่ง เย็นค่ำขึ้นมาก็พาหมาเข้าป่าไปล่าสัตว์ อีเห็น กระต่าย ได้มาก็เอามาทำอาหารกิน กินเหล้า กินยา ต่างๆ นานา”

    ถ้าทำบุญอย่างนั้นก็ไม่ได้บุญหรอก ถึงจะอุทิศไปให้ก็ไม่ได้รับหรอก เหตุที่อุทิศไปให้ไม่ถึงก็เพราะ

    ๑) ฆ่าวัว ฆ่าควาย กรรมของสัตว์เหล่านั้นไปขวางไว้

    ๒) ผู้รับทานนั้น เป็นพระทุศีล พระทุศีล อุทิศให้ไม่ถึงนะ เพราะเครื่องส่งนั้นคือศีลนั้นมันขาด ขาดศีลเป็นเครื่องส่งบุญ แม้ตัวพระเองก็ไม่ได้รับเพราะมีแต่บาป จะรับไทยทานส่งไปให้ผู้อยู่โลกหน้าก็ไม่ถึงทั้งนั้น

    ๗. ทำบุญอุทิศให้คนเป็น

    หลวงปู่ยังเล่าไว้อีกว่า หลานชายซึ่งเป็นลูกของพี่สาวเป็นทหารเสือพรานไปรบที่เวียดนามเหนือ แล้วถูกเขาจับขังไว้ ๔ ปีนะ ทุกข์ยากลำบากแสนที่จะตาย ก็นึกว่าจะไม่ได้กลับเมืองไทย ทีนี้ พี่สาวกับพี่เขย เขาก็มานิมนต์พาไปทำบุญหาหลานสงสัยจะตายไปแล้ว มาถึงก็พาเขาทำเลย อย่าฆ่าวัว ฆ่าควายนะ ถ้าต้องการก็ไปหาเนื้อปลาอาหารที่ตลาดที่เขาทำไว้แล้ว จึงจะอุทิศถึง นั่นแหละก็เลยทำ ทำเสร็จก็อุทิศให้ว่า

    “ขอบุญจงไปถึงนายแขก เขาไปอยู่เวียดนามเหนือนั้นจะตายหรือยัง ถึงตายแล้วก็ดี หรือยังอยู่ก็ดี ขอบุญจงไปช่วยเหลือ ถ้ายังไม่ตายขอให้กลับคืนมาเมืองไทย”

    ไม่นานเขาก็มีการแลกเปลี่ยนเชลยศึกกันนะ รัฐบาลเขาประกาศว่า ใครมีลูกมีหลานก็ไปรอรับเอาที่ขอนแก่น หรือโคราชนะ เขาจะขึ้นเครื่องบินมาลงที่นั่น นั่นแหละพี่น้องเขาก็ไปรอรับ โอ๋...ผอมดำเหมือนผี กลับมาแล้ว เขาก็ซักไซ้ไต่ถามดูว่า “เป็นอย่างไรเล่า ทำบุญให้ได้รับไหม ?”

    “โอ้...เดือน ๓ เพ็ญ นอนหลับฝันไปนะ มีแต่ข้าวต้มขนมเต็มอยู่ กินจนเต็มอิ่มนะ ตื่นขึ้นมาก็อิ่มอีกนะ โอ๊...อาจจะแม่นพ่อแม่เขาทำบุญมาให้นะ”

    นั่นแหละไม่นานก็พ้นโทษ รัฐบาลทั้ง ๒ ก็แลกเปลี่ยนเชลยศึกกัน กลับมาแล้วก็ดีใจ นั่นแหละผลของบุญดีอย่างนั้น

    [​IMG]

    หลวงปู่จันทา ถาวโร
    ..........................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    หนังสือ 80 ปี หลวงปู่จันทา ถาวโร
    http://www.geocities.com/janthathavaro/

    copy :::
     
  3. kkookk

    kkookk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +1,326
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ

    กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยทางกาย วาจา หรือใจก็ดี และด้วยเจตนา หรือไม่มีเจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ.......

    กราบน้อมส่งหลวงปู่สู่พระนิพพานครับ........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2012
  4. โป๊ยเซียนสาว

    โป๊ยเซียนสาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,543
    ค่าพลัง:
    +2,279
    หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย จ. พิจิตร? ถามปัญหา? หลวงปู่เจี๊ยะ
    พระอาจารย์จันทาถามว่า“หลวงปู่...กิริยาภายนอกของหลวงปู่เป็นอย่างนี้ จะไม่กลัวคนตราหน้าเอาบ้างหรือ”
    พระอาจารย์เจี๊ยะจึงตอบว่า“อันว่ากิริยาภายนอกนั้นจะเป็นอย่างใดก็ตามเถอะ แต่ถ้าหากเรามุ่งมั่นปั้นใจจนเที่ยงดี ก็ยังดีกว่าคนที่กิริยางามแต่ใจไมเที่ยง เพราะนิสัยวาสนาคนเรามันไม่เหมือนกัน
    เขายังมีคำพูดอยู่มิใช่หรือว่า แข่งอะไรก็แข่งได้ แต่แข่งวาสนาแข่งกันไม่ได้ เราจึงไม่ไปแข่งวาสนากับใคร เราเป็นอย่างนี้จึงพอใจอย่างนี้ เพราะนิสัยวาสนาเป็นมาอย่างนี้”

    [​IMG]


    “เป็นยังไงหลวงปู่จิตใจ ในเรื่องการภาวนาจะพ้นทุกข์ได้ไหม” ท่านพระอาจารย์จันทาถามอีก
    พระอาจารย์เจี๊ยะตอบว่า “ผมก็รู้ว่าผมนี่รอดพ้นได้แล้วนะ รอดมันแล้วไม่คืนมาอีกแล้ว เรามาอยู่มาพบพระอาจารย์มั่น ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่านกับท่าน
    ศึกษาอะไรนึกว่าท่านจะไม่รู้ แหม!...รู้หมดทุกอย่างไม่เหลือวิสัย นึกคิดทางใจท่านก็รู้ ถูกผิดท่านก็รู้ เพราะฉะนั้น ผมเองก็ไม่มีสิ่งใดที่จะเอาผิดท่านได้ เอาแค่รู้ถูกทั้งนั้น
    ดูกิริยามารยาทเรียบร้อยคือ พระอาจารย์มั่น เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของใครก็ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามในทางไม่ดีดอก เข้าสู่สังคมก็เรียบร้อยน่าชม น่าเอาเป็นครูเป็นอาจารย์ดี
    ดูกิริยามารยาททุกอย่างถูกต้องตามพระวินัยดีถูกต้องทุกอย่างดีเลิศประเสริฐไม่มีสิ่งใดผิดพลาด มีแต่เอาถูกทั้งนั้นไปตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะภาวนาในสมัยนั้น
    ไปอยู่ร่วมกับหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ อุดรฯโนนนิเวศน์ หนองน้ำเค็ม สกลนคร แล้วก็ย้อนกลับไปที่บ้านเกิดจันทบุรี ที่จันทบุรีจึงเป็นที่สำคัญของผม ตั้งแต่ต้นจนสุดท้าย”
    พระอาจารย์จันทาเรียนถามต่อไปอีกว่า “หลวงปู่เห็นผู้สาวสวยๆ ไม่ชอบบ้างเหรอ ?”
    “โอ! ไม่ชอบมันดอก เบื่อหน่ายมัน ไม่สนใจล่ะ เหม็นตดมัน เดี๋ยวมันสิ ตดให้ดม คำว่า
    “เจี๊ยะ ๆ” นี่ ไม่คืนกลับมาดมขี้ ดมตดใครอีก”
    “โลกสามไม่กลับคืนมาแล้วหรือปู่” พระอาจารย์จันทาถามย้ำ
    “เรา...ไปเลยแหละ อยู่ฮีแม่มันทำไมอีกล่ะ คำว่า “เจี๊ยะๆ”? ไม่คืนกลับมาเป็นขี้ข้ากิเลสราคะตัณหาของใครอีกแล้ว มุดทะลวงออกทะเลไปเลย...ว่ะ” พระอาจารย์เจี๊ยะตอบอย่างเด็ดขาด
    “ไม่ขึ้นมาอยู่บนโลกสามนี้กับหมู่เพื่อนทั้งหลายอีกแล้วหรือปู่” พระอาจารย์จันทาถาม
    “สูเอ๊ย...ถ้ายังมีการคืนมาอยู่ มันก็ไม่ใช่พระนิพพานน่ะซิวะ พระนิพพานแปลว่าสถานที่เยี่ยมล้ำเลิศประเสริฐสุด หาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี ไม่มีภพชาติสังขารแล้ว
    เพราะฉะนั้นผมจึงมาอยู่ร่วมกับหลวงปู่ขาว เพราะท่านพูดจริงแนะนำสิ่งที่ดีทุกอย่าง
    ไม่พูดโกหกหลอกลวงใครทั้งนั้น”
    “ผมจะได้ไหมหลวงปู่ พระนิพพาน” พระอาจารย์จันทาถาม
    “โอ๊ย! บอกคนอื่นไม่ได้ แล้วแต่ตนเองจะทำได้ ได้เมื่อไหร่ตามแม่มึงแหละ มึงขี้คร้านภาวนา”

    หลวงปู่จันทา ถาวโร
    วัดป่าเขาน้อย จ. พิจิตร
    “โอ๊ย! ก็ว่าหมั่นขยันแล้วนะ...หลวงปู่ แต่แล้วมันก็ไม่ปรากฏรสชาติอะไรเพียงแต่ว่าอยู่ได้ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิลงครั้งเดียว”
    หลวงปู่เจี๊ยะท่านเป็นคนจุ๊กจั๊ก ทำงานชอบนุ่งผ้าถกเขมรเหน็บเตี่ยว เปิดตูด ทำให้เห็นแก้มก้น สองข้าง พอเราเห็น ท่านก็ว่า? “มึงสิดมดากกูบ่... บักห่า”
    “ดากดำ ๆ บ่ดมดอก...ปู่” ท่านนุ่งผ้าเหน็บเตี่ยว ถกเขมรทำงานเก่ง เวลาเลิกทำงานอาบน้ำ ฉันน้ำร้อนก็คุยธรรมะ คุยเรื่องธรรมะเก่ง เล่าละเอียดให้ฟังไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เรื่องอะไร
    สำหรับหลวงปู่เจี๊ยะท่านได้รู้ ได้เห็นแล้ว เราไม่รู้ไม่เห็นธรรมอย่างท่าน คุยกับท่านมันก็ไม่รู้เรื่องกัน
    ปู่เจี๊ยะท่านชอบคุยเรื่องพิจารณากายให้ฟัง คุยถึงครูบาจารย์มั่น
    ท่านเรียกหลวงปู่มั่นว่า “ครูบาจารย์มั่น” ท่านสอนให้พิจารณากาย
    กาเยกายานุปัสสีวิหะระติ กายเป็นเพียงที่พึ่งพิงอิงอาศัยของใจเท่านั้น
    หายใจเข้าออก เข้าพุธ ออกโธ เท่านั้นล่ะท่านว่า
    “เอ้า!...นิมนต์หลวงปู่พูดธรรมะให้ฟังหน่อยเถอะจะได้จำไว้”
    “ร่างกายนี้ เป็นที่พึ่งที่อิงอาศัยของใจ เอาเท่านั้นก็พอไม่ต้องเอามาก จะพูดอย่างละเอียดให้ฟังก็ไม่ได้เพราะมันไม่รู้ด้วยกัน มันต้องรู้ ได้เห็นของจริงทุกอย่าง ไอ้ห่านี่ บักห่านี่”
    ท่านพูดแต่สำเนียงอย่างนี้เสมอ
    “ไม่อยากได้เมียหรือหลวงปู่” พระอาจารย์จันทาพูดหยอกเล่น

    หลวงปู่เจี๊ยะ และพระอาจารย์บุญเพ็ง
    สมัยอยู่จำพรรษาที่วัดถ้ำกลองเพล
    “บ่อยากได้ดอก เหม็นฮีมัน”
    “ฮ่วย..ฮีนั่นเป็นบ่อเกิดกำเนิดสงสาร ไปเหม็นของเขาทำไมล่ะ หลวงปู่”
    “ครูบาจารย์มั่นไม่ให้กูดม ดมทำไมของเน่า หลอกลวงให้เวียนเกิด
    เวียนตาย เวียนบ่หน่ายอยู่ในโลกสาม”
    หลวงปู่เจี๊ยะท่านเคารพหลวงปู่ขาวดี ท่านว่า “หลวงปู่ขาวเป็นพระอรหันต์นะ ประมาทไม่ได้ ท่านรู้หมด เราคุยกันอยู่ตรงนี้ หลวงปู่ขาวท่านก็รู้ เราเคารพท่านไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน เคารพปู่ขาวเนี่ย”
    ปู่เจี๊ยะท่านก็ดี ฟังแต่ว่าเจี๊ยะ ๆ เถอะ “บักห่า...มึง” พั่นวะ ทำงานนุ่งแต่ถกเขมรผ้าเหน็บหางกะเตี่ยว เปิดแก้มก้น เปิดฮู้ดากเลย นุ่งแต่เพียงผ้าอาบน้ำ พันเป็นเกลียวเข้าร่องตูด
    ท่านเดินทำงานสบาย วัดถ้ำกองเพลมันกว้าง เวลามีมอเตอร์ไซค์เขามา ท่านก็ขอซ้อนท้ายเขาเฉย
    “คนอื่นเขาจะเห็นตูดแล้ว หลวงปู่”
    “เห็นช่างแม่เถอะ!!! มันอยากได้ให้มันมาเลียเอา”
    “โอ๊ย!...เขาบ่เลียดอก ขี้เดียดวะตูด”
    เราพูดกันกับท่านได้ดี ท่านบ่ฮ้ายบ่ว่าอีหยัง (ไม่ว่าอะไร)
    “บักห่ามึงโง่หลาย มึงสิสึกไปเลียดากเขาอีกเบ๊าะ” (พระอาจารย์เจี๊ยะดุอาจารย์จันทา)
    “ว่าสิ บ่ไปแหล้ว...หลวงปู่ สิไปกับพรหมจรรย์ตลอด ไม่กลับอีกแล้วเป็นอย่างไรก็ไม่กลับ”
    หลวงปู่เจี๊ยะท่านเคารพปู่ขาว ท่านเรียกหลวงปู่ขาวว่า “ครูบาจารย์ขาว”
    ครูบาจารย์ขาวท่านเป็นพระอรหันต์นะ ผมนึกประมาทไม่ได้ ท่านรู้เลย ผมจงรักษาตัวให้ดี
    เวลาหลวงปู่เจี๊ยะทำงานอยู่ตามกุฏิ โอ๊ย...นุ่งแต่ผ้าถกเขมรเหน็บเตี่ยวละ อังสะไม่ใส่เลย
    “เอ้า!...ใส่ซะหน่อยไม่ได้หรือปู่ ผ้าอังสะนั่นน่ะ”
    “เอ้อ!...ถอดออกนี่แหละ มันแฮงดี บักห่ามึงอย่ามาถามกูหลาย กูรำคาญ” (หัวเราะ)
    สำหรับหลวงปู่เจี้ยะ คนไม่เข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติทุกอย่างอาจเข้าใจได้ว่า “เป็นผีบ้า”
    เพราะไม่รู้เบื้องหลัง ทั้ง ๆ ที่ท่านได้อยู่และผ่านการปฏิบัติกับครูบาจารย์ที่สำคัญที่สุด
    คือท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นพระที่ใหญ่ที่สุดและดีเยี่ยมที่สุด
    เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านทำงานเสร็จแล้ว เลิกงานสรงน้ำ แล้วนุ่งสบงครองจีวรพาดผ้าสังฆาฏิเรียบร้อย ดูท่านรูปสวย เดิน ยืน นั่ง กิริยามารยาทอะไรก็เรียบร้อยน่าชม ในเมื่อครองสบงสังฆาจีวรเรียบร้อยแล้ว
    “โอ๊ย!...น่าชมเว้ย... อาจจะได้บุญมากเน๊าะ...หลวงปู่”
    “บ่ได้บุญกูสิบวชดิ บักห่ามึง มึงอย่าถามแปลกหลาย”
    เรากับเพิ่น (ท่าน) ถูกกันดี ว่าถามอะไรท่านก็ไม่ด่าไม่ว่าหรอก พูดกันอยู่ด้วยกันมา หลับตาเข้าก็เห็นอยู่ รูปพรรณสัณฐาน กิริยามารยาท การพูดจา ทุกอย่างรู้ดี
    มาอยู่ด้วยกัน ท่านก็พูดจาพาทีเรื่องศีลธรรมความดีงาม ไม่มีอะไรหรอกจะเหลือวิสัยไปจากพระอาจารย์เจี๊ยะได้ เจี๊ยะ ๆ นี่ โอ๊ย!.. เก่ง เวลาทำงานแม้อังสะก็ถอดออกหมดนะ นุ่งแต่ผ้าอาบน้ำถกเขมรกิ้วฮู้ขี้
    “บักห่ามึง! อยากดมดากกูติ” พั่นวะ (หัวเราะ)
    “โอ๊ย! ไม่อยากดมดอกหลวงปู่ มันเหม็นวะ”
    “เหม็นมึงก็ลองดมตี้ ”
    ท่านทำงานตึ้ง ๆ คนเดียว สับหิน บอกท่านว่า “อย่าทำเถอะหลวงปู่”
    “ทำมันสิเป็นหยัง กูภาวนามาจนพอแล้ว”
    “ไม่เป็นประโยชน์ดอก เป็นประโยชน์ดีก็ไม่ว่าหรอก แต่ว่าทำจนเกินควรเสียแล้ว”
    “ควรบ่เคียนอย่ามาพูดเด้อ เดี๋ยวเอาค้อนทุบหัวเด้ บัก...ห่านิ...
    มึงขี้คร้านมึงไปไหนก็ไปเถอะ มึงคิดว่ากูโลเล”
    ท่านออกจากงานแล้วก็นุ่งผ้าสบง สังฆาฏิ จีวรเรียบร้อยน่าชม
    ที่มา www.Dharma-gateway.com

     
  5. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    [​IMG]




    นโมฯ
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ
    พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว ข้าพเจ้าขอบนอบน้อมพระสงฆเถระเจ้า

    กราบน้อมนมัสการ พ่อแม่ครูบาอาจารย์พระอริยเถระเจ้าผู้ประเสริฐ
    ขออารธนาพระเดชพระคุณอยู่เหนือเศียรเกล้าแห่งข้าสิ้นกาลทุกเมื่อ
    หากแม้นมีโทษอันใดข้าพเจ้า ได้ประมาทพลาดพลั้งไว้ในพระเถระเจ้า
    ขอพระเถระเจ้าท่านได้อดโทษทั้งปวงนั้น ให้แก่ข้าพเจ้านี้ เถิด
    ... ด้วยสัจจ์นี้ ชัยมงคงทั้งหลายจงมีแด่ข้าพเจ้า สาธุ สาธุ สาธุ



    <O>[MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1913391/[/MUSIC]</O>

    โมทนาสาธุการ ท่านเจ้าของกระทู้ค่ะ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2012
  6. โป๊ยเซียนสาว

    โป๊ยเซียนสาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,543
    ค่าพลัง:
    +2,279
    [​IMG]

    กำหนดการไฟพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ในวันเสาร์ที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ส่วนเวลาจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
     
  7. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    ผมขอกราบนมัสการ หลวงปู่จันทา ถาวโร ครับ กราบ กราบ กราบ
     
  8. datchanee

    datchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,947
    ค่าพลัง:
    +1,276
  9. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,661
    ค่าพลัง:
    +9,236
    [​IMG]

    กราบ กราบ กราบ หลวงปู่เจ้าค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...