พระเนมิราช ท่องนรก (อยากให้ทุกคนทำความดีนะค่ะ)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 22 มกราคม 2011.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,238
    มาตลีเทพบุตรจึงนำเสด็จพระเจ้าเนมิราชไปยังแม่น้ำเวตรณี(เว-ตะ-ระ-ณี) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุสสุทนรก อันเป็นนรกขุมบริวารขุมที่ ๑ ของสัญชีวมหานรก
    [​IMG]

    สัญชีวมหานรกนี้ เป็นมหานรกขุมแรกที่อยู่บนสุดกว่ามหานรกขุมอื่นๆ อีก ๗ ขุมที่เรียงลดหลั่นกันลงไป ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สัตว์นรกในสัญชีวมหานรกนี้มีอายุขัยเฉลี่ย ๕๐๐ ปีนรก แต่ความยืนนานของอายุนั้น ก็ขึ้นอยู่กับกำลังแห่งวิบากกรรมของสัตว์นรกแต่ละตนซึ่งไม่เท่ากัน

    โดยอุสสุทนรกซึ่งเป็นนรกขุมบริวารนี้ จะมี ๑๖ ขุม ล้อมรอบเรียงรายอยู่ทั้ง ๔ ทิศของมหานรก ทิศละ ๔ ขุม และหากรวมอุสสุทนรกที่เรียงรายล้อมมหานรกทั้ง ๘ ขุม ก็จะมีทั้งหมด ๑๒๘ ขุม

    แม่น้ำเวตรณีในนรกบริวารขุมแรกนี้เป็นแม่น้ำที่ข้ามได้ยาก น้ำก็เป็นน้ำเค็มที่แสบเผ็ดร้อนเดือดพล่านเหมือนเปลวไฟตั้งอยู่ชั่วกัป

    [​IMG]
    เวตรณี มหานทีอันหฤโหดนั้น คับคั่งด้วยเถาวัลย์พันธุ์ไม้เลื้อย ซึ่งมีหนามที่ใหญ่และยาว มีความแหลมและคม คล้ายใบหอกที่ยื่นยาว ปลายหนามจะมีเพลิงลุกไหม้ ในระหว่างกลางและข้างล่างของเถาวัลย์ยักษ์เหล่านี้ ก็จะมีหลาวเหล็กขนาดเท่าลำตาลที่ลุกโพลง

    ภายใต้หลาวทั้งหลายเล่าก็มีใบบัวเหล็กแหลมคมเหมือนมีดโกนที่คม และลุกเป็นไฟอยู่เป็นนิจ ใบบัวอันร้ายกาจเหล่านี้ที่อยู่บริเวณหลังแผ่นน้ำก็มาก ในน้ำก็มาก ถัดมาที่ใต้พื้นน้ำนั้นก็จะมีเครื่องประหารหลากหลายชนิด ที่ทุกชนิดล้วนคมสุดๆ

    [​IMG]

    สัตว์นรกเมื่อพ้นจากกำแพงของสัญชีวมหานรกแล้ว ก็มาถึงแม่น้ำเวตรณีของอุสสุทนรกแห่งนี้ เมื่อแรกที่สัตว์นรกหลุดออกจากสัญชีวมหานรกมานั้น ได้เห็นแม่น้ำสายนี้เข้า ก็เข้าใจกันว่า เป็นแม่น้ำอันเย็นสนิทน่าอาบน่าดื่ม ต่างก็ดีอกดีใจ หวังจะอาบดื่มกินให้สบายอุรา

    ต่างก็วิ่งมาโดยเร็ว ด้วยความกระหายน้ำที่ตนอดอยากมานาน เมื่อถึงริมฝั่งก็รีบกระโจนลงในแม่น้ำทันที

    แต่อนิจจา! เถาวัลย์ร้ายที่มีหนามแหลมคมเหมือนหอกซึ่งรอคอยอยู่คู่แม่น้ำนี้ ก็ทำหน้าที่บาดและเชือดเฉือนร่างกายสัตว์นรกทำให้เป็นแผลเหวอะหวะ สัตว์นรกได้รับความแสบร้อนและเจ็บปวดสุดแสนจะทรมานมาก บางตัวก็กลายเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย


    พร้อมทั้งไฟกรดก็เกิดขึ้นเผาร่างสัตว์นรก ทั้งๆ ที่จมอยู่ในแม่น้ำโฉดสายนี้ ทำให้สัตว์นรกทุกข์ทรมานสุดๆ ด้วยแรงแห่งบาปกรรมที่ได้กระทำไว้ในกาลก่อน เกิด..ตาย..เกิด..ตาย.. อยู่อย่างนี้นับครั้งไม่ถ้วน

    [​IMG]
    เมื่อสัตว์นรกหลุดจากเถาวัลย์อันร้ายกาจนี้ ก็จะตกลงบนปลายหลาวเหล็กร้อน ร่างกายของสัตว์นรกก็จะถูกหลาวเหล็กยักษ์นี้แทงเสียบอยู่บนปลายหลาว คราวใดที่สัตว์นรกตกลงบนปลายหลาวเหล็กนี้ คราวนั้น หลาวเหล็กนี้ก็จะลุกพรึบเป็นไฟขึ้นทันที

    หมดแรงวิบากที่ตรงนี้ ก็จะตกลงในใบบัวเหล็กที่มีกลีบคมเป็นกรด มีไฟลุกโพลงอยู่ตลอดเวลา ใบบัวแดงเพราะแรงเพลิงแห่งกรรมนั้น ก็บาดร่างสัตว์นรกจนขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เจ็บแสบแสนสาหัสไปทั้งเนื้อทั้งตัว ดิ้นทุรนทุราย
    ตกจากใบบัวที่ร้ายกาจเหล่านั้นมา ก็เจอกับน้ำที่ใสเย็น แต่น้ำนั้นเป็นน้ำกรด ก็จะถูกน้ำกรดนั้นกัดกิน และถูกเผาด้วยไฟกรดพร้อมทั้งควันกรดกัดกร่อนอยู่ทุกอณูเนื้อของสัตว์นรก การท่องอุสสุทนรกขุมแรกนี้ยังไม่จบ แต่เมื่อพ้นจากตรงนี้แล้วสัตว์นรกจะไปตรงไหนอีกนั้น



    สัตว์นรกถูกทรมานตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอยู่อย่างนี้นับครั้งไม่ถ้วน ใช้วิบากกรรมในจุดหนึ่งหมดแล้วก็จะไปทรมานในจุดต่อไปอีกเรื่อยๆ ซึ่งในจุดต่อมานั้น สัตว์นรกจะกลั้นใจดำหนีลงใต้พื้นน้ำ แต่ก็ยังถูกเครื่องประหารนานาชนิดเชือดเฉือนร่างของสัตว์นรก



    บาดร่างกายให้ขาดเป็นท่อนๆ เหวอะหวะหนักเข้าไปอีก สัตว์นรกเจอเข้าอย่างนี้ก็สุดที่จะทุกข์ทรมาน ก็จะร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดต่อทุกขเวทนาที่ตัวเองได้รับ แต่เมื่อวิบากกรรมยังไม่หมดก็ยังส่งผลต่อไป

    กระแสน้ำในแม่น้ำนี้ก็หาความคงที่และแน่นอนไม่ได้ บางครั้งก็ไหลตามกระแส แต่บางครั้ง..ก็ไหลทวนกระแส สัตว์นรกก็ล่องลอยอยู่ในน้ำตามแต่กระแสน้ำจะพัดพาไปทิศทางไหน


    แต่ไม่ว่ากระแสน้ำจะเปลี่ยนไป ณ ทิศทางใด ณ ริมฝั่งแม่น้ำ ก็จะมีนายนิรยบาลยืนรออยู่ ในมือของนายนิรยบาลทั้งหลายก็มีหอกแหลนหลาว ตั้งเป้าที่จะซัดอาวุธอันร้ายกาจเหล่านั้นไปยังสัตว์นรกทุกตัวที่อยู่ในสายตา
    [​IMG]

    และทุกแววตาที่นายนิรยบาลจับจ้องอยู่นั้น เหมือนกับคนที่กำลังเอาฉมวกแทงปลาอยู่ก็อย่างนั้น ก็เพราะกรรมบันดาลเช่นนั้น และไม่มีครั้งไหนเลยที่แทงลงไปแล้วจะไม่โดนสัตว์นรก


    หลังจากทิ่มแทงจนหนำใจ คือ วิบากกรรมเบาบางลงมานั่นแหละ นายนิรยบาลก็จะเอาเบ็ดเหล็กร้อนแรงที่ลามเลียอยู่ด้วยไฟนรก มาเกี่ยวสัตว์นรกเหล่านั้นลากขึ้นจากแม่น้ำเวตรณี ฉุดกระชากลากถูนำสัตว์นรกมาบังคับให้นอนหงายบนแผ่นเหล็กแดงร้อนลุกโชติช่วงด้วยไฟนรก แล้วเอาหลาวงัดปากให้อ้าขึ้น
    [​IMG]

    แล้วยัดก้อนเหล็กที่ร้อนแดงด้วยเปลวไฟร้าย เข้าไปในปากสัตว์นรกอย่างไร้ความปรานี เมื่อก้อนเหล็กถึงริมฝีปาก ปากก็ไหม้ ตกมาถึงคอๆ ก็ไหม้ ถึงท้องๆ ท้องก็ไหม้ ไส้ใหญ่ไส้น้อยก็ทะลักออกมา ทุกช่วงลีลาชีวิตสัตว์นรกในแม่น้ำสายนี้ มีแต่เสียงร้องครวญคราง

    พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งหมด ก็สลดสังเวชหดหู่พระหฤทัยเป็นอย่างมาก เพราะเหตุการณ์เหล่านี้พระองค์เองไม่เคยพบเห็นในโลกมนุษย์ จึงทรงถามถึงบาปกรรมของสัตว์นรกว่าทำบาปกรรมอะไรไว้ถึงต้องมารับทัณฑ์ทรมานอยู่ ณ ที่ตรงนี้
    [​IMG]

    มาตลีเทพสารถีก็ทูลรายงานว่า “ข้าแต่สมมติเทพ สัตว์นรกเหล่านี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ มีเรี่ยวแรงมาก แต่นำไปใช้เบียดเบียนผู้อื่นที่ด้อยกำลังกว่า เที่ยวทรมาน และรังแกสัตว์ที่มีกำลังน้อยกว่า เมื่อตายแล้ว จึงต้องมารับกรรมอยู่ ณ ที่ตรงนี้ พระเจ้าข้า”

    จากนั้น มาตลีเทพสารถีก็นำเสด็จพระเจ้าเนมิราชมายังอุสสุทนรกขุมที่ ๒ ที่ชื่อว่า สุนขนรก (สุ-นะ-ขะ-นะ-รก)ซึ่งเป็นนรกขุมที่มีสุนัขมากมายหลายฝูง

    จำแนกสุนัขทั้งหมดในนรกขุมนี้ได้ ๕ จำพวก คือ สุนัขนรกแดง สุนัขนรกด่าง สุนัขนรกขาว สุนัขนรกดำ และสุนัขนรกเหลือง และทุกจำพวกของสุนัขเหล่านี้ จะมีตัวโตเท่าช้าง น่ากลัวมาก ส่งเสียงเห่าหอนดังเหมือนฟ้าลั่นฟ้าร้องระงมอยู่ทั่วนรก


    พวกมันจะคอยไล่ติดตามสัตว์นรกที่มาเกิด ณ นรกขุมนี้ แล้วขบกัดไม่มีเวลาพักเหมือนสุนัขล่าเนื้อของนายพรานที่ตามไล่ล่าเนื้ออยู่ ฉะนั้น
    [​IMG]

    และเมื่อจับสัตว์นรกเหล่านั้นได้ ก็กัดฉีกกินเนื้อเป็นชิ้นๆ มันจะใช้ขาหน้าทั้งสองเหยียบอกของสัตว์นรก แล้วก็แทะเนื้อสัตว์นรกกินต่อไปจนเหลือแต่กระดูก

    นอกจากสุนัขนรกแล้ว ในนรกขุมนี้แล้วก็ยังมีฝูงแร้งฝูงกา และฝูงนกตะกรุมอีกมากมายหลายฝูง พวกสัตว์เดรัจฉานนรกเหล่านี้จะมีลักษณะแปลกประหลาด คือ ปากและตีนของมันเป็นเหล็กลุกแดงเป็นเปลวไฟ

    [​IMG]
    จะงอยปากนอกจากจะเป็นเหล็กลุกเป็นไฟอยู่ตลอดเวลาแล้ว ยังมีความแหลมคมเหมือนปลายทวน ลำตัวของมันใหญ่เท่าเกวียนสินค้า แววตาดุร้าย

    เมื่อพบเหยื่อคือสัตว์นรก ฝูงกานรกก็จะตรงรี่เข้าจิกตรงลูกตาของสัตว์นรก และแหวกอกของสัตว์นรกให้ขาดแยกออก เลือดเนื้อและอวัยวะภายในขาดกระจุยกระจาย แล้วจึงจิกกินตั้งแต่เนื้อจนถึงเยื่อในกระดูกหมดทั้งตัวสัตว์นรก

    ส่วนฝูงแร้งนรกก็จะทำหน้าที่ฉีกทำลายกระดูกที่สุนัขนรกทิ้งไว้ หลังจากจิกทำลายกินเลือดเนื้อของสัตว์นรกจนเหลือแต่กระดูกแล้วสัตว์นรกถึงจะตาย..เกิด..ตาย..เกิด..ตาย..หมุนเวียนตามแรงกระแสกรรม ตราบจนกว่ากรรมจะหมดสิ้น


    มนุษย์บางพวกปากกล้า โฉดเขลาเป็นคนพาล ไม่ระวังวาจา ด่าว่าบิดามารดา ปู่ย่าตายาย พี่ชาย พี่หญิง ด้วยคำหยาบคายเจ็บแสบ เมื่อฉุนเฉียวโกรธาก็ด่าว่าไม่เลือกว่าจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ หรือแม้กระทั่งสมณะพราหมณ์ก็ไม่เว้น
    [​IMG]
    อีกทั้งห้ามคนอื่นบริจาคทาน จึงต้องมาทนเสวยวิบากกรรมที่ตนเองเป็นคนก่ออยู่ ณ สุนขนรก ขุมที่ ๒ ของอุสสุทนรกอันน่ากลัวและสุดหฤโหดแห่งนี้

    ต่อมา เทวรถที่มีมาตลีเป็นสารถี ก็นำพระเจ้าเนมิราชไปทอดพระเนตร สโชตินรก (สะ-โช-ติ-นะ-รก) ซึ่งเป็นอุสสุทนรก ขุมที่ ๓ ภาพที่ปรากฏในสายพระเนตร คือสัตว์นรกกำลังเหยียบแผ่นดินเหล็กร้อนที่ลุกโชติช่วงอยู่ โดยจะมีนายนิรยบาลไล่กวดติดตาม

    เอาท่อนเหล็กที่มีเปลวไฟร้อน ขนาดเท่าลำตาลใหญ่ตีที่แข้งของสัตว์นรก จนสัตว์นรกล้มลง แล้วก็นำท่อนเหล็กนั้นมาโบยตีต่อไป จนร่างสัตว์นรกแหลกเป็นจุณ การเที่ยวชมนรกของพระเจ้าเนมิราชยังไม่จบ แต่ว่าขุมต่อไปจะเป็นอย่างไรอีกนั้น
    [​IMG]



    [​IMG]




    มาตลีเทพบุตรได้อธิบายแด่พระเจ้าเนมิราชว่า “ข้าแต่จอมนรชน สัตว์นรกที่ปรากฏต่อเบื้องพระพักตร์นี้ อดีตตอนเป็นมนุษย์ เป็นคนชั่วหยาบได้ด่าว่าเสียดสีใส่ร้ายผู้ที่มีศีลมีธรรม มีความประพฤติงดงาม ทั้งไม่เคยเบียดเบียนใคร และเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่มีความผิด ทำให้คนเหล่าอื่นเข้าใจผิดพลอยติฉินนินทาตามๆ กันไป ทำให้ท่านเหล่านั้นได้รับความอับอาย”

    หลังจากที่มาตลีเทพสารถีได้อธิบายให้ทรงสดับแล้ว ก็ได้นำเวชยันตรถมุ่งหน้าพาชมนรกไปต่อไปเรื่อยๆ จนถึง อังคารกาสุนรก (อัง-คา-ระ-กา-สุ-นะ-รก) อุสสุทนรกขุมที่ ๔ ซึ่งเป็นนรกที่มีนายนิรยบาลกำลังเอาอาวุธมีหอก ดาบ ค้อนเหล็กเป็นต้นที่ไฟกรดลามเลียอยู่ทิ่มแทงสัตว์นรก ไล่ตีสัตว์นรกให้ตกไปในหลุมถ่านเพลิง

    ตัวสัตว์นรกที่ตกลงไปจะจมอยู่ในหลุมถ่านเพลิงถึงสะเอว นายนิรยบาลก็เอากระเช้าเหล็กใหญ่ตักถ่านเพลิง แล้วนำไปโปรยบนหัวของสัตว์นรกเหล่านั้นอีก สัตว์นรกก็ตะเกียกตะกายพยายามดิ้นรนหนีความทุกข์ร้อน ทั้งๆ ที่ทั่วสรรพางค์กายของตนไหม้เกรียมอยู่เพราะไฟกรด
    [​IMG]

    มาตลีเทพสารถีได้ทูลอธิบายประกอบการนำชมว่า “ข้าแต่พระจอมประชาราช สัตว์นรกเหล่านี้ อดีตก็เป็นมนุษย์ ได้เรี่ยไรทรัพย์ของคนอื่นโดย อ้างว่าจะนำไปทำบุญทำทานสร้างวิหารเป็นต้น แต่กลับนำทรัพย์นั้นไปใช้จ่ายตามความพอใจ ไม่ได้ทำบุญดังที่กล่าวไว้ โกงทรัพย์สินของคนอื่นมาเป็นของตน สร้างหลักฐานพยานเท็จขึ้น เพื่อปกปิดการใช้จ่ายที่แท้จริงในการบอกบุญ และเพื่อหลอกเรี่ยไร่ทรัพย์ของคนอื่นอีก ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็เสียหายไปเปล่าๆ”

    ต่อจากนั้น มาตลีเทพสารถีก็นำพระเจ้าเนมิราชชมนรกขุมถัดมา เป็นอุสสุทนรกขุมที่ ๕ ที่มีชื่อว่า โลหกุมภีนรก (โล-หะ-กุม-ภี-นะ-รก) ซึ่งเป็นนรกที่มีหม้อเหล็กแดงใหญ่เท่าภูเขา ในหม้อจะเต็มไปด้วยน้ำเหล็กแดงกรด
    [​IMG]
    นรกขุมนี้เป็นการทรมานสัตว์นรก โดยนายนิรยบาลจะจับเท้าสัตว์นรกขึ้นข้างบน เอาหัวสัตว์นรกไว้ข้างล่าง จากนั้นก็โยนให้ตกลงไปในหม้อโลหกุมภีอันร้อนแรง

    [​IMG]
    พร้อมทั้งทูลอธิบายว่า “ข้าแต่พระเจ้าเนมิราช สัตว์นรกเหล่านี้ ในอดีตตอนเป็นมนุษย์ ชอบด่าสมณะหรือพราหมณ์ผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและมีมารยาทงดงาม อีกทั้งยังชอบตีฝูงสัตว์เลี้ยงของตนอย่างขาดความปราณี จึงต้องมาเสวยวิบากกรรมในหม้อโลหกุมภีที่มีขนาดประมาณเท่าภูเขานี้”

    จากนั้น พระเจ้าเนมิราชก็ได้ทอดพระเนตร อโยทกนรก (อะ-โย-ทะ-กะ-นะ-รก) อุสสุทนรกขุมที่ ๖ ทรงเห็นนายนิรยบาลเอาเชือกเหล็กที่ติดโพลงอยู่ด้วยไฟกรด ผูกคอสัตว์นรก ดึงสัตว์นรกที่ลำตัวมีขนาด ๓ คาวุตให้ก้มหน้าลง เอาเชือกควั่นคอสัตว์นรกแล้วดึงขึ้นตัดคอจนสัตว์นรกคอขาดแล้ว แต่ถึงกระนั้นสัตว์นรกก็ยังไม่ตาย นายนิรยบาลก็เอาท่อนเหล็กร้อนไล่ต้อนสัตว์นรก ให้วิ่งไปตกลงไปในน้ำโลหะที่ร้อนแรง
    [​IMG]
    [​IMG]
    เมื่อสัตว์นรกตกลงไปในน้ำโลหะก็จะมีคอและหัวงอกขึ้นมาใหม่ นายนิรยบาลก็โบยตีสัตว์นรกที่นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ในน้ำนั้นต่อไปอีก ทรงสดับจากมาตลีว่า เพราะอดีตตอนเป็นมนุษย์ ได้เบียดเบียนสัตว์อื่น ได้นำนกมาตัดปีก ผูกคอ ฆ่าสัตว์ต่างๆ โดยวิธีตัดหัว กินเองบ้าง ขายบ้าง ตนเองจึงต้องมารับผลแห่งกรรมที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นอยู่นี้


    ถัดมา เทวรถของมาตลีเทพสารถีก็นำเสด็จมาถึง ถุสปลาสนรก (ถุ-สะ-ปะ-ลา-สะ-นะ-รก) ซึ่งเป็นอุสสุทนรกขุมที่ ๗ ซึ่งมีลักษณะเป็นแม่น้ำสายหนึ่งที่ดูแล้วน่ารื่นรมย์มาก มีตลิ่งที่ไม่สูงชัน มีท่าที่น่าลงเล่นน้ำ และไหลอยู่โดยปกติ

    ตัวสัตว์นรกเล่าก็ไม่อาจทนความหิวกระหายเพราะความเร่าร้อนของไฟที่ลุกโพลงอยู่เป็นอาจิณ จึงได้วิ่งย่ำแผ่นดินโลหะร้อนนั้น กระโจนลงสู่แม่น้ำนี้ทันที ทันใดนั้นเอง ณ ริมฝั่งของแม่น้ำนี้ ก็ลุกโพลงขึ้นทั้งหมด


    น้ำที่ดูแล้วควรดื่มเป็นกระแสน้ำที่น่ารื่นรมย์ก็กลายเป็นแกลบและใบไม้ที่ลุกโพลงขึ้นเป็นไฟกรดทันที แต่เพราะแรงกรรมบีบคั้น สัตว์นรกไม่อาจจะทนความหิวกระหายได้ จึงได้เคี้ยวกินแกลบและใบไม้ที่ลุกโพลงอยู่นั้นในทันที เพื่อทดแทนการดื่มน้ำ
    [​IMG]
    เมื่อแกลบและใบไม้ที่สัตว์นรกกินเข้าไปนั้นตกถึงท้องของสัตว์นรก ก็เผาสัตว์นรกทั้งตัว เมื่อเผาสัตว์นรกจนลุกโพลงทั้งตัวแล้ว ทั้งแกลบและใบไม้ก็ไหลออกทางทวารของสัตว์นรก

    สัตว์นรกสุดแสนจะทนกับทุกขเวทนาที่ได้รับก็ยกแขนทั้งสองขึ้นร้องโอดโอยด้วยความทุกข์ทรมาน
    [​IMG]
    วิบากกรรมเหล่านี้เกิดจากเมื่อตอนเป็นมนุษย์ได้เป็นพ่อค้าขายข้าวเปลือก แต่ก่อนจะขายได้เอาใบไม้บ้าง แกลบบ้าง ทรายและดินเป็นต้นบ้างผสมลงในข้าวเปลือกแล้วขายให้แก่ลูกค้า หลอกขายให้ผู้อื่นเห็นว่าเป็นข้าวเปลือกเกรดดี

    รถทิพย์นามว่า เวชยันตรถ ยังคงทำหน้าที่พาพระเจ้าเนมิราชเดินทางต่อไป จนมาถึง อุสสุทนรกขุมที่ ๘ ซึ่งมีชื่อว่า สัตติหตนรก สัต-ติ-หะ-ตะ-นะ-รก) ในนรกขุมนี้ ปรากฏเห็นนายนิรยบาลห้อมล้อมสัตว์นรก ทำทีเหมือนนายพรานกำลังล้อมดักฝูงเนื้อในป่าใหญ่ ฉะนั้น

    [​IMG]
    เมื่อนายนิรยบาลล้อมเข้ามาใกล้ตัวสัตว์นรก ก็จะทิ่มแทงด้วยอาวุธหลายหลาก อย่างไม่หยุดยั้ง ร่างของสัตว์นรกก็เป็นช่องโหว่ ปรุพรุนไปทั้งร่างเหมือนใบไม้แก่ที่มีโรคราขึ้น ฉะนั้น
    [​IMG]
    มาตลีทูลอธิบายแก่พระเจ้าเนมิราชว่า “ข้าแต่พระจอมประชา สัตว์นรกเหล่านี้ ในอดีตตอนเป็นมนุษย์ ชอบขโมยทรัพย์สินของคนอื่น เช่น เงิน ทอง แพะ แกะ วัว ควาย เป็นต้น นำมาเป็นของตัวเอง” ท้าวเธอได้สดับเช่นนั้น ก็ทรงสลดพระหทัยมิอาจทอดพระเนตรต่อไปได้ จึงตรัสว่า “รีบไปข้างหน้าเถิด ท่านมาตลี”

    มาตลีเทพสารถีได้นำพระเจ้าเนมิราชมายังอุสสุทนรกขุมที่ ๙ ชื่อว่า
    พิลสนรก (พิ-ละ-สะ-นะ-รก) ได้ทอดพระเนตรนายนิรยบาลกำลังผูกคอสัตว์นรกดึงให้คอขาดด้วยเชือกเหล็กร้อนแล้วเอามีดเชือดเนื้อทำให้เป็นก้อนๆ วางไว้ เพราะอดีตได้เคยฆ่าวัว ฆ่าควาย เป็นต้น หั่นเป็นชิ้นๆ วางไว้เพื่อขาย
    ขุมที่ ๑๐ มีชื่อว่า โปราณมิฬหนรก (โป-รา-ณะ-มิน-ละ- หะ-นะ-รก) พระเจ้าเนมิราชได้ทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกกำลังกินมูตรและคูถเป็นอาหารอันโอชะอยู่ เพราะในอดีตตอนเป็นมนุษย์ ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากมิตรสหาย แต่กลับขโมยเงินทองของมิตรสหายผู้แสนดีของตน
    [​IMG]

    ขุมที่ ๑๑ มีชื่อว่า โลหิตปุพพนรก (โล-หิ-ตะ-ปุพ-พะ-นะ-รก) ได้ทรงเห็นสัตว์นรกเกิดในแม่น้ำใหญ่ที่เต็มไปด้วยเลือดและหนอง กำลังกินเลือดและหนองนั้น เมื่อเลือดและหนองตกถึงท้อง ท้องก็ไหม้พาลำไส้พุ่งออกจากทางทวารเบื้องต่ำ เพราะในอดีตเป็นมนุษย์ได้ทำร้ายมารดาบิดา พระสงฆ์ และผู้มีพระคุณ

    ขุมที่ ๑๒ ชื่อว่า โลหพฬิสนรก (โล-หะ-พะ-ฬิ-สะ นะ-รก) ได้ทรงเห็นนายนิรยบาลเอาคีมเหล็กดึงลิ้นของสัตว์นรกออกมา แล้วเอาเบ็ดเหล็กร้อนเกี่ยวลิ้น ดึงให้ล้มลงบนแผ่นโลหะร้อน แล้วเอาตะขอเหล็กร้อนสับที่ร่างของสัตว์นรกถลกหนังออกมาขึงไว้ เพราะอดีตตอนเป็นมนุษย์ชอบค้าขายคดโกง เช่นโกงตาชั่ง เป็นต้น
    [​IMG]

    ขุมที่ ๑๓ ต่อมาชื่อว่า สังฆาฏนรก มีลักษณะเป็นหลุมใหญ่ที่เต็มไปด้วยถ่านเพลิง มีเหล่าสัตว์นรกที่เป็นผู้หญิงหัวขาด ทั่วทั้งตัวเปื้อนไปด้วยเลือดและหนอง แถมยังถูกภูเขาที่ลุกไหม้กลิ้งมาบดร่างให้แหลกละเอียด เพราะในอดีตชาติ เป็นหญิงเจ้าชู้ นอกใจสามีของตน คบชู้กับชายอื่น

    เวชยันตรถยังคงนำพระเจ้าเนมิราชชมขุมนรกต่อไป จะรวดเร็วหรือจะชักช้านั้น อยู่ที่ใจของเทพสารถี เพียงแค่นึกในใจเท่านั้น มันก็จะแล่นไปอย่างที่ใจปรารถนา ซึ่งในเวลาต่อมา เทวรถนั้นก็นำพระเจ้าเนมิราชมาหยุดอยู่ ณ อุสสุทนรกขุมที่ ๑๔ มีชื่อว่า อวังสิรนรก (อะ-วัง-สิ-ระ-นะ-รก)


    อวังสิรนรกนี้ มีลักษณะเป็นบ่อใหญ่ สำหรับลงโทษสัตว์นรกชายที่ได้ล่วงเกินภรรยาของชายอื่น ซึ่งถือว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่บุคคลผู้เป็นสามีหวงแหน ทำความเสียอกเสียใจ และอับอายอย่างยิ่งให้แก่ผู้ที่ครองความเป็นเจ้าของ ได้ชื่อว่า เป็นผู้ขโมยสัมผัสร่างกายภรรยาของผู้อื่น
    [​IMG]
    กรรมที่สัตว์นรกเหล่านี้ได้รับนั้น คือ เหล่าสัตว์นรกกำลังถูกนายนิรบาลถืออาวุธไล่ล่าโดยกรรมบัญชาให้นายนิรยบาลจับเท้าสัตว์นรกนั้นแล้วโยนให้ตกลงในหลุมถ่านเพลิง คล้ายกับนรกขุมที่ผ่านมา คือต่อมา ก็จะถูกภูเขาเหล็กร้อนกลิ้งมาบดร่างให้แหลกละเอียดย่อยยับไป

    อันดับต่อมา เทวรถได้มาหยุดอยู่ที่อุสสุทนรกขุมที่ ๑๕ มีชื่อว่า โลหสิมพลีนรก (โล-หะ-สิม-พลี นะ-รก) ซึ่งเป็นนรกที่มีลักษณะเป็นป่าไม้งิ้ว มีต้นงิ้วสูง ๑ โยชน์ และหนามงิ้วนั้นยาว ๑๖ นิ้วมือ เป็นเหล็กแดงเพราะมีเพลิงลุกอยู่
    [​IMG]
    ต้นงิ้วบางต้น จะมีสัตว์นรกหญิงอยู่ที่ปลาย สัตว์นรกชายอยู่ที่โคนต้น นายนิรยบาลก็เอาหอกหลาวเหล็กทิ่มแทงฝ่าเท้าสัตว์นรกชายให้ขึ้นไปหาสัตว์นรกหญิง



    สัตว์นรกชายจำต้องตะเกียกตะกายปีนขึ้นไป ก็โดนหนามแหลมร้อนของต้นงิ้วบาดครูดเอาทั่วทั้งตัว เจ็บปวดนักหนา แถมต้นงิ้วก็ร้อนมีเปลวไฟไหม้ตัวสัตว์นรกชายอยู่ สุดแสนจะทรมาน
    [​IMG]
    หากสัตว์นรกชายคิดจะปีนหนีลงจากต้นงิ้ว ก็จะถูกนายนิรยบาลไล่ล่าทิ่มแทงอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อสัตว์นรกชายปีนต้นงิ้วใกล้จะถึงสัตว์นรกหญิง สัตว์นรกหญิงก็กลับมายืนอยู่ที่โคนต้นงิ้วนั่นเอง

    นายนิรยบาลก็จะทำกับสัตว์นรกหญิงเหมือนสัตว์นรกชาย คือไล่แทงสัตว์นรกหญิงให้ปีนขึ้นไป แต่เมื่อสัตว์นรกหญิงปีนต้นงิ้วเข้าไปใกล้สัตว์นรกชาย ก็กลับกลายเป็นสัตว์นรกชายได้มายืนอยู่ที่โคนต้นงิ้วแล้ว สลับกันอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะหมดกรรม

    มาตลีเทพสารถีได้ถวายรายงานว่า สัตว์นรกที่ต้องมาปีนต้นงิ้วหนามเหล็กร้อนนี้ เพราะบาปกรรมที่ทำไว้เมื่อตอนเป็นมนุษย์ ได้ประพฤตินอกใจคู่รัก เอาใจออกห่างจากคู่ครองของตน
    [​IMG]
    ถ้าเป็นหญิงก็เป็นประเภทที่หลงใหลชายชู้ ได้ทรัพย์มาจากสามีก็นำไปบำเรอชายอื่นที่ตนรัก ถ้าเป็นสัตว์นรกชายก็เคยทำกรรมมาในลักษณะเดียวกัน จึงต้องมารับกรรมอย่างสาสมอยู่ในที่นี้

    ผ่านจากนรกขุมนี้แล้ว เทวรถได้นำเสด็จพระเจ้าเนมิราชมาถึงขุมสุดท้ายที่ ๑๖ ชื่อว่า มิจฉาทิฐินรก แต่มิใช่มิจฉาทิฐิชนิดดิ่งสุดโต่งที่ทำบาปกรรมหนักหนาสาหัสสากรรจ์มาก เมื่อบาปยังไม่หนักพอที่จะส่งไปลงโลกันตนรก จึงต้องมาเสวยวิบากกรรมในนรกขุมนี้

    ส่วนอีกพวกหนึ่งนั้นเล่า ก็เป็นประเภทที่เคยไปโลกันตนรกมาก่อนแล้ว เมื่อกรรมเบาบางจึงมาเกิดอยู่ในอุสสุทนรกขุมนี้เช่นเดียวกัน


    ได้ประจักษ์แก่สายพระเนตรว่า สัตว์นรกทุกตัวล้วนมีร่างกายพิลึกดูพิกล บางตนตัวเล็กหัวใหญ่ บางตนตัวใหญ่หัวเล็ก นิ้วมือนิ้วเท้าเป็นเหล็กแหลมโง้ง กำลังปีนกำแพงเหล็กร้อนเป็นไฟ หมกไหม้ร้องโหยหวนทุรนทุรายดูน่าเวทนายิ่งนัก
    [​IMG]
    เพราะในอดีตตอนที่เป็นมนุษย์ ได้เคยเป็นมิจฉาทิฐิ มีความเห็นผิด กอปรกับได้ชักชวนคนอื่นให้เห็นผิดเช่นเดียวกับตน จึงต้องมารับกรรมอยู่ในนรกขุมนี้




    ธรรมดามิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิดนั้นมี ๑๐ อย่าง คือ
    • ข้อที่ ๑ เชื่อว่า ทานที่ให้ไปแล้วไม่มีผล
    • ข้อที่ ๒ เชื่อว่า การบูชาไม่มีผล
    • ข้อที่ ๓ เชื่อว่า การบวงสรวงไม่มีผล
    • ข้อที่ ๔ เชื่อว่า การทำดีทำชั่วไม่มีผล คือปฏิเสธกฎของเหตุผล
    • ข้อที่ ๕ เชื่อว่า มารดาไม่มีคุณ
    • ข้อที่ ๖ เชื่อว่า บิดาไม่มีคุณ
    • ข้อที่ ๗ เชื่อว่า สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบไม่มี คือเห็นว่า ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมจนสามารถบรรลุฌาน อภิญญา หรือจะสามารถบรรลุมรรคผลนิพพาน ทำกิเลสให้สิ้นไปได้นั้นไม่มี
    • ข้อที่ ๘ เชื่อว่า สัตว์ผู้เกิดแบบโอปปาติกะ คือเกิดแล้วโตทันที เช่น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดาและพรหมทั้งหลายไม่มี
    • ข้อที่ ๙ เชื่อว่า โลกนี้ไม่มี คือปฏิเสธโดยรวมกันกับข้อที่ ๑๐ คือเมื่อเชื่อว่า ผู้ที่ไปเกิดในโลกหน้าไม่มี โลกนี้ก็ไม่มีสำหรับผู้ที่อยู่ในโลกหน้า
    • ข้อที่ ๑๐ เชื่อว่า โลกหน้าไม่มี คือเชื่อว่าไม่มีนรก สรรค์ พรหม นิพพาน
    เพราะความเห็นผิดเช่นนี้ ประกอบกับบาปกรรมที่ตนทำไว้จึงต้องมาเสวยวิบากกรรม เร่าร้อน ทุรนทุรายอยู่อย่างทรมานยิ่งนัก ในอุสสุทนรกขุมมิจฉาทิฐิแห่งนี้
    ที่มาwww.otwothai.com/index.php?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...