"พระเมตตา"

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 2 ธันวาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>[​IMG]

    พระเมตตา เล่ม 2

    โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร</CENTER>





    <CENTER>๑. คำนำ</CENTER>




    <DD>หนังสือ "พระเมตตา" เล่มแรก ได้คัดจากเทปที่หลวงพ่อออกวิทยุหลังจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จ ฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม เสด็จไปทรงประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเกศมาลา พระประธาน ที่อุโบสถใหม่ วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี และทรงเททองรูปหล่อพระครูวิหารกิจจานุการ ( หลวงพ่อปาน แห่งวัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) (วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๘ - เว็บวัดท่าซุง เพิ่มเติม)




    <DD>อันเป็นครั้งแรกที่ได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับหลวงพ่อ ต่อจากนั้นมา ได้มีอีกหลายโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพบปะกับหลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อได้นำข้อความ (บางส่วน) มาออกรายการประกอบการสอนธรรมทางวิทยุของท่าน จึงได้คัดเทปที่ออกวิยุมาลงไว้ในหนังสือ "พระเมตตา ๒" นี้





    <DD>อย่างไรก็ดี ลำดับเรื่องที่หลวงพ่อออกอากาศนั้นออกจะสลับสับสนไปมาอยู่บ้าง ซึ่งหลวงพ่อก็รับว่าบันทึกเทปขณะที่เหน็ดเหนื่อย จึงไขว้เขวสับสน และอาจจะซ้ำกันบ้าง ดังนั้น เพื่อความเข้าใจของท่านผู้อ่าน จึงขอนำลำดับโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพบปะกับหลวงพ่อไว้ (ต่อจากครั้งที่ ๑ ในหนังสือพระเมตตา) ดังนี้





    <DD>ครั้งที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประจวบกับการก่อสร้างวิหารที่ ตำบลน้ำน้อย อำเภอหาดใหญ่ สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปที่ พล.อ. บุญชัย บำรุงพงศ์ และคุณหญิง เป็นผู้สร้างสำเร็จลงพอดี
    (วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๑๙ - เว็บวัดท่าซุง เพิ่มเติม)




    <DD>ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา จึงได้กราบทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทรงประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเกศพระพุทธรูปนั้น ในโอกาสนั้นได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับหลวงพ่อด้วยข้อธรรมะอยู่เป็นเวลาประมาณ ๔๕ นาที ในครั้งนั้นมีพระอื่นอีกหลายองค์ เช่น หลวงปู่วงศ์ หลวงปู่ธรรมไชย หลวงปู่คำแสน หลวงปู่ชุ่ม พระครูปัญญาภรณ์โสภณ วัดเทพศิรินทร์ และเจ้าคุณธรรมวราลังการ วัดบุปผาราม เป็นต้น





    <DD>ครั้งที่ ๓ ม.จ. ภีศเดช รัชนี และเจ้าหน้าที่สถานีทดลองทางการเกษตร โครงการหลวงพัฒนาชาวเขาที่ดอยอ่างขาง จะได้จัดการทำบุญสถานีเป็นครั้งแรก และในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีด้วยพระองค์เอง





    <DD>ทางเจ้าหน้าที่จึงได้นิมนต์ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร หลวงปู่คำแสน หลวงปู่วงศ์ ครูบาธรรมไชย และท่านมหาทองปอน เนื่องจากเป็นระยะเวลาพ้องกับที่หลวงพ่อรับนิมนต์ พระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ไปเยี่ยมราษฎรในถิ่นกันดารของสุโขทัย จึงมีเฮลิคอปเตอร์รับจากสุโขทัยไปที่อ่างขางและส่งกลับ ณ ที่ดอยอ่างขาง ทรงซักถามเรื่องธรรมะกับหลวงพ่อพระมหาวีระอยู่เป็นเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง การบรรยายของหลวงพ่อในตอนนี้ จึงมีการคาบเกี่ยวกันระหว่างสุโขทัยกับดอยอ่างขาง (๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐)





    <DD>ครั้งที่ ๔ เมื่อ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ ขอนิมนต์หลวงพ่อไปที่ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไต่ถามข้อธรรมะอยู่เป็นเวลาประมาณ ๕ ชั่วโมง





    <DD>ครั้งที่ ๕ เมื่อ ๒ เมษายน ๒๕๒๐ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา ฯ ทรงนิมนต์ หลวงพ่อ กับ หลวงปู่ธรรมไชย ไปในพิธีเปิดที่ทำการ มูลนิธิสายใจไทย ในตอนเช้า และในวันนั้น มีฎีกานิมนต์ทั้งสององค์ไปในพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลเกี่ยวกับ พระสยามเทวาธิราช ที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในโอกาสนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ หลวงปู่ เป็นเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง





    <DD>ครั้งที่ ๖ เมื่อ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ในนามของคณะศิษย์ ได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีตัดลูกนิมิตผูกพัทธสีมา ณ อุโบสถ วัดจันทารามอันเป็นเรื่องต่อเนื่องกับครั้งที่ ๑ ในโอกาสนี้ ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับหลวงพ่อ ๒ วาระ ประมาณวาระละ ๑๐ นาที ในโอกาสเดียวกันทรงมีพระราชดำรัสว่า เทปคำสอนธรรมะของหลวงพ่อนับว่ามีประโยชน์มาก สมควรจะเผยแพร่ ดังนั้น จะทรงถวายเครื่องถ่ายเทป ๑ ชุดเพื่อให้ใช้ในการนี้





    <DD>ครั้งที่ ๗ เมื่อ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๐ เจ้าหน้าที่นัดให้หลวงพ่อและคณะดำเนินการเรื่องเทปเข้าเฝ้าที่ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เพื่อรับพระราชทานเครื่องถ่ายเทป ในโอกาสนี้ได้เข้าเฝ้าอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมงครึ่ง เพราะทรงมีหัวข้อธรรมะที่สนทนาด้วย (สำหรับครั้งที่ ๗ นี้ มิได้รวมอยู่ใน "พระเมตตา ๒" ด้วย





    <DD>เมื่อได้ลำดับการเข้าเฝ้าได้ดังนี้แล้ว เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะสามารถอ่าน "พระเมตตา ๒" โดยมีความเข้าใจที่กระจ่างชัด<DD><DD>------------------------------------------------------<DD>ขอกราบอนุโมทนาและขอบพระคุณที่มาและข้อมูลของหนังสือเล่มนี้จาก http://www.watthasung.com




    <STYLE>table {background:none;} td {background:none;}</STYLE>
    <STYLE>TABLE {background-color: transparent;border-style: none;border-spacing: none;}TD {border: none;border-color:none;background: none;}</STYLE>

    <STYLE>body{background-image:url("http://palungjit.org/attachments/a.758353/");}</STYLE>
    </DD>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>๒. คำชี้แจง</CENTER>


    <DD>โดยที่หลวงพ่อได้มีโอกาสสนทนาธรรมตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นจำนวนหลายครั้ง เพราะฉะนั้นก็ย่อมเป็นที่สนใจของบุคคลหลายกลุ่มหลายประเภท และในที่สุดย่อมมีเสียงกระแนะกระแหนขึ้นเป็นธรรมดา เสียงกระแนะกระแหนเหล่านี้ ความจริงแล้วหลวงพ่อก็ดี คณะศิษย์ก็ดี ไม่มีความวิตกหรือเดือดร้อนอะไร เพราะไม่ได้ทำอะไรที่ผิดหรือที่ไม่สมควร

    <DD>แต่ที่เขียนคำชี้แจงนี้ ก็เพราะเกรงว่าเสียงกระแนะกระแหนในบางเรื่องอาจเป็นการเสื่อมเสียไปถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ จึงเป็นการสมควรที่จะชี้แจงไว้ ณ ที่นี้เพื่อความเข้าใจอันดี

    <DD>ประการแรก มีเสียงกล่าวกันว่า ศิษย์ของหลวงพ่อพยายามผลักดัน (บางคนอาจใช้คำว่าหลอกลวง) ให้หลวงพ่อได้เข้าเฝ้าใกล้ชิด และในที่สุดก็นับว่าอยู่ในตำแหน่ง "พระอาจารย์" อย่างไม่เป็นทางการ แล้วพวกศิษย์ก็จะได้ดีมีความชอบ อย่างน้อยก็เที่ยวยกธงประกาศว่าพระเจ้าอยู่หัวก็ "ขึ้น" กับอาจารย์ของฉัน คำกล่าวเช่นนี้ จะต้องอธิบายหลายด้านด้วยกัน

    <DD>ก่อนอื่น...จะต้องทราบว่าคำสอนของหลวงพ่อเข้าไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้อย่างไร ความจริงมีอยู่ว่าข้าราชบริพารในวังบางท่านทราบอยู่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฟังเทปคำสอนของอาจารย์ต่าง ๆ อยู่เสมอ และด้วยความจงรักภักดีของเขา จึงได้ซื้อเทปบันทึกคำสอนของหลวงพ่อนำไปทูนเกล้า ฯ ถวาย เรื่องนี้เป็นเวลาหลายปีมาแล้วก่อนที่จะเสด็จไปวัดจันทารามครั้งที่ ๑ ด้วยซ้ำ

    <DD>การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยในทางธรรม โดยทรงศึกษาจากเทปคำสอนของพระหลาย ๆ องค์ ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ในฐานะทรงเป็นศาสนูปถัมภกและพุทธมามกะ พระองค์ท่านก็ต้องเอาพระทัยใส่ในเรื่องของพระศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธอยู่แล้ว

    <DD>ในส่วนที่คณะศิษย์ได้ปฏิบัติสิ่งใดลงไปเกี่ยวกับการ "ผลักดัน" ให้หลวงพ่อได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น จะเห็นจากในคำนำ ว่าคณะศิษย์เกี่ยวข้องอยู่เพียง ๒ โอกาส และเป็นการทูลอัญเชิญไปทรงประกอบพิธีที่วัดเท่านั้น มิใช่เป็นการขอเฝ้าเพื่อสนทนาธรรมเฉพาะพระองค์แต่อย่างใด

    <DD>ฉะนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพอพระทัยที่จะนิมนต์หลวงพ่อไปสนทนาธรรม ก็เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยของพระองค์ท่าน บรรดาศิษย์ที่ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนทนาธรรมกับหลวงพ่อหลายครั้ง ย่อมจะอดยินดีและภาคภูมิใจไม่ได้ที่ทรงเห็นคุณค่าของอาจารย์ของเรา ไม่ใช่ดีใจจนไปยกธงว่าอาจารย์ของเราเป็นพระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่อาจเอื้อมถึงเพียงนั้น

    <DD>อันที่จริง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงระบุว่า พระอาจารย์ของพระองค์ท่านคือ สมเด็จพระญาณสังวรแห่งวัดบวรนิเวศ ทรงมีเทปของพระอาจารย์องค์นี้ครบชุด และพระองค์ท่านตรัสว่าทรงศึกษาจากหนังสือและเทปของพระอื่น ๆ อีกหลายองค์อีกด้วย เรื่องนี้คณะของเราทราบกันดี

    <DD>อนึ่ง คำว่า "คณะของเรา" หรือ "คณะศิษย์ของหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร" นั้น มิใช่เป็นคำที่ใช้เพื่อต้องการความเด่น หรือเพื่อยกว่าอาจารย์ของตนวิเศษกว่าอาจารย์องค์อื่นแต่อย่างใด คำนี้ใช้เพื่อเรียกตัวเองในบทความนี้หรือในการประกาศเพื่อดำเนินกิจกรรมใด ๆ เท่านั้น และไม่ใช่เป็นการบ่งว่าคณะเราเท่านั้นที่ถือว่าเป็นศิษย์ คนอื่นไม่ใช่อีกด้วย

    <DD>ในเรื่องที่ถือกันว่าอาจารย์ของตนเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ หรือศิษย์คณะนั้นเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ อาจารย์อื่นไม่ได้ความ ศิษย์คนอื่นไม่เป็นเรื่องนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระเมตตา มีพระราชปรารภกับคนกลุ่มหนึ่งว่า การถือหัวถืออาจารย์นั้น ไม่สมควรจะมีเลย ทรงยกตัวอย่างตอนที่ ท่านอุปติสสะ (ภายหลังเป็นท่านพระสารีบุตรเถระ) ขอฟังธรรมจาก ท่านพระอัสสชิ ที่เดินบิณฑบาตผ่านมา ท่านพระอัสสชิตอบว่า ธรรมะของท่านไม่มี มีแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า

    <DD>เรื่องนี้พระพุทธศาสนานิกชนทั้งหลายควรจะระลึกไว้ว่าธรรมะทั้งหลายที่ได้ยินจากอาจารย์ต่าง ๆ นั้น ไม่ใช่ธรรมะของอาจารย์องค์นั้น ๆ แต่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น และเมื่อเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน การที่จะถือว่าอาจารย์ของตนเท่านั้นเก่งและถูกย่อมไม่เป็นการสมควร เพราะว่าไม่ใช่ธรรมะของอาจารย์นั้น ๆ คิดขึ้นมาเอง ทุกคนควรถือว่าเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า

    <DD>หมายความว่าทุกคนมีอาจารย์องค์เดียวกันคือ "พระพุทธเจ้า" ควรนับว่าเป็นพวกเดียวกัน มีความสามัคคีปรองดองกันให้ดี ไม่ถือเขาถือเรา
    </DD>
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <DD>เรื่องนี้ ใคร่ขอชี้ให้เห็นว่า คนทั่วไปจะนึกว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วจะเสวยแต่ความสุขความสบาย เหมือนอย่าง พระเจ้ากาหลิบ ในเรื่อง "อาบูหะซัน" เช่นนั้นกระมัง ความจริงแล้วเปล่าเลย ทรงมีพระราชกิจเกี่ยวกับพิธีการของบ้านเมือง หรือเกี่ยวกับการบริหารที่กฎหมายบ่งว่าต้องลงพระปรมาภิไธย การต้อนรับแขกเมือง ทูต และคณะบุคคลต่าง ๆ ตลอดจนกิจกรรมอื่นนับไม่ถ้วน จึงต้องทรงสนพระทัยในทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับความสุขของประชาชนอยู่ตลอดเวลา แม้เรื่องทางศาสนาก็ยังทรงทราบว่ามักจะมีการถือเขาถือเราฉันศิษย์อาจารย์นี้ อาจารย์ของฉันเก่งกว่าคนอื่น เป็นต้น

    <DD>ท่านทั้งหลายย่อมทราบอยู่แล้วว่าธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นลึกซึ้งละเอียดอ่อน ยากแก่การทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง ผู้ที่สนใจแต่เพียงเผิน ๆ หรือไม่เข้าใจเลยมักจะนึกว่าตนรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าดีจนสามารถออกความเห็นได้ว่า ศาสนาพุทธเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่นมีการกล่าวว่าศาสนาพุทธสอนให้คนเอาตัวรอดคนเดียว เป็นการเห็นแก่ตัวเป็นต้น

    <DD>คนจำพวกนี้ ถ้าจะพูดไปแล้วก็เท่ากับประกาศตนว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และนำมาสอนนั้นเป็นของไม่ดี ไม่ได้คิดเอาเสียเลยว่าพระพุทธเจ้าเป็นใคร ตัวผู้พูดเป็นใคร สติปัญญาเทียบกันได้หรือไม่ จะยกความลึกซึ้งจากตัวอย่างง่าย ๆ มาพอเป็นตัวอย่าง คือมรรค ๘ ซึ่งเป็นทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์ คือไปนิพพาน อันเป็นเอกันตบรมสุข เป็นอมตะ เราทุกคนรู้ว่ามรรค ๘ มีอะไรบ้าง เช่น สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ ฯลฯ

    <DD>แต่ทั้งที่รู้ ท่านผู้ใดจะอธิบายได้บ้างว่า สัมมาทิฐิ ทำให้ไปนิพพานได้อย่าง ? ถ้าอธิบายไม่ได้ ขอท่านจงทราบว่านี่แหละที่คุยว่ารู้ ๆ แล้วความจริงไม่ได้รู้อะไรเลย บุคคลชนิดนี้แหละ ที่มักออกความเห็นกันโดยไร้ความคิด ถ้าเราศึกษาให้มากขึ้น เราก็จะพบว่าที่ส่วนมากเรียกกันว่ามรรค ๘ ๆ นั้น

    <DD>ความจริงผิด ต้องเรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ จึงจะครบ หมายความว่าต้องใช้ร่วมกันทั้ง ๘ ข้อจึงจะสำเร็จ เพราะมีความเกี่ยวพันกัน กล่าวคือสัมมาทิฐิต้องสมบูรณ์ก่อน จึงทำให้สัมมาสังกัปปะสมบูรณ์ได้แล้วไล่เรื่อยไปถึงสัมมาสติต้องบริบูรณ์ก่อน สัมมาสมาธิจึงบริบูรณ์ได้ ถ้าจะศึกษาให้ลึกลงไป ก็ต้องค้นว่า สัมมาทิฐิที่ว่าสมบูรณ์ บริบูรณ์นั้นเป็นอย่างไร ฯลฯ

    <DD>พระธรรมของพระธรรมของพระพุทธเจ้ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ปัญหาในลักษณะที่ต้องคิดต้องค้นให้เกิดความแจ่มแจ้งยังมีอีกมาก หรือจะเอาอีกตัวอย่างหนึ่ง ชอบกล่าวกันว่า พระพุทธเจ้าสอนว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา คือต้องถือว่าไม่มีอัตตา แต่ไปถึงเรื่องสัสตทิฐิ การถือว่ามีตัวตน เป็นสิ่งผิด กับอุจเฉททิฐิ

    <DD>การถือว่าไม่มีตัวตนก็เป็นสิ่งผิด ปัญหาก็ตามมาว่าการมีตัวตนกับการไม่มีตัวตนนั้นมันผิดทั้งคู่หรือถูกทั้งคู่ไม่ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องเป็นฝ่ายถูก อีกประการหนึ่งถ้าการถือว่าไม่มีตัวตนเป็นสิ่งไม่ถูก เหตุใดจึงสอนให้พิจารณาว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา ? พระพุทธเจ้าสอนค้านพระองค์เองหรือ ? อย่างนี้เป็นต้น

    <DD>ปัญหาเช่นนี้ สำหรับผู้ที่ศึกษาแล้ว จะเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน เมื่อเรากลับมาพิจารณาว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำการศึกษาในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษ ปัญหาเหล่านี้ก็ย่อมเกิดขึ้นกับพระองค์ท่าน หากทรงค้นคว้าด้วย

    <DD>พระองค์เองได้ผลยังไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย และค้นจากตำราต่าง ๆ ยังไม่พบ ก็เหลือทางเดียวคือนิมนต์พระที่ทรงเห็นว่าอาจตอบปัญหาได้เข้าไปซักถาม หรือ "สนทนาธรรม" บางท่านอาจนึกในใจว่าเสด็จไปที่วัดก็ได้นี่ เรื่องนี้อธิบายได้ง่าย ๆ ว่าการเสด็จไปไหนต่อไหนของพระองค์ท่าน ถึงแม้จะไม่มีพระราชประสงค์จะรบกวนผู้ใด ทางการก็ย่อมต้องดูแลเรื่องการรักษาความปลอดภัยเป็นการใหญ่

    <DD>ฉะนั้นการนิมนต์พระไปสนทนาธรรมในพระราชวังจึงเป็นการทำความลำบากให้แก่ผู้อื่นน้อยที่สุด ถ้าท่านผู้ใดมีความคิดว่า การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนิมนต์พระองค์ไหนเข้าไปในพระราชวัง แสดงว่าทรงโปรดปรานเป็นพิเศษ พวกสานุศิษย์เลยจะพลอยได้ความดีความชอบไปด้วย ท่านก็ควรจะปรับปรุงความคิดของตัวเองเสียใหม่ว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการผิดธรรมดาหรือเป็นเรื่องพิเศษแต่ประการใดเลย เป็นเพียงการซักถามปัญหาธรรมธรรมดาเท่านั้นเอง

    <DD>และที่ทรงนิมนต์หลวงพ่อพระมหาวีระเข้าไปหลายครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเป็นพิเศษ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยทรงนิมนต์หลวงพ่อองค์อื่น ๆ มาแล้ว พวกเราคณะศิษย์ของหลวงพ่อ มีความเข้าใจในเรื่องนี้ดี นอกจากจะใจดีกันบ้างก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น หลังจากหลวงพ่ออาจจะทรงนิมนต์พระองค์อื่น ๆ ต่อไปอีกก็ได้

    <DD>บางคนอาจจะไม่รู้เรื่อง ขนาดคิดว่าหลวงพ่อเป็นอาจารย์ประเภทคาถาอาคม และที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนิมนต์เข้าไป ก็คงจะเป็นเพราะสนพระทัยเรื่องคาถาอาคมอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ

    <DD>ท่านผู้ใดเข้าใจเช่นนี้ นับว่าผิดไกลอย่างสุดกู่ทีเดียว คำเสียดสีอีกประการหนึ่งที่คาดว่าจะต้องมี คือการหาว่าหลวงพ่อเขียนหนังสือประจบพระเจ้าอยู่หัว เพราะได้กล่าวสรรเสริญพระองค์ท่านไว้ในหนังสือหลายเล่ม และที่สรรเสริญ ก็ด้วยหวังว่าจะได้เข้าใกล้ชิดพระองค์ท่านสักวันหนึ่ง (ซึ่งบัดนี้ก็สำเร็จแล้ว)
    </DD>
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <DD>จริงอยู่ในด้านลาภผลที่ได้จากการบำเพ็ญพระราชกุศลก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยแต่หลวงพ่อระวังอยู่เสมอที่จะไม่นำเงินส่วนนี้มาใช้เป็นส่วนตัวเป็นอันขาด ในวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ ซึ่งเป็นวันตัดลูกนิมิตอุโบสถ พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ได้ถวายรายงานว่าเงินที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลโดยถวายแก่หลวงพ่อพระมหาวีระมาเป็นจำนวน ๑ แสนบาทเศษนั้น ได้แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือสร้างศาลาจตุรมุขอนุสรณ์ของพระองค์ท่าน (ราคาประมาณแปดแสนบาท) ส่วนหนึ่ง กับสร้างศูนย์แม่และเด็กสมเด็จพระยุพราชอีกส่วนหนึ่ง

    <DD>การกระทำเช่นนี้ของหลวงพ่อย่อมเป็นข้อพิสูจน์ชัดแจ้งอย่างไม่มีข้อสงสัยว่าการได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเลยในด้านยศฐาบรรดาศักดิ์ ก็ยังคงเป็นพระมหาวีระอยู่ตามเดิม ส่วนบรรดาศิษย์ทั้งหลายก็ไม่ปรากฏว่ามีใครได้รับพระราชทานเหรียญตราหรือรางวัลเป็นพิเศษอะไรทั้งสิ้น..ไม่มีเลย คณะเราอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อพอที่จะรู้จิตใจของท่านว่าท่านสรรเสริญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้มากเพราะอะไร จะอธิบายให้ฟัง

    <DD>หลวงพ่อของเรา เป็นผู้มีใจรักบ้านเมืองเป็นที่สุด สิ่งใดที่จะช่วยให้บ้านเมืองอยู่รอดแล้ว จะทำเสมอโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ไม่เหมือนกับพวกที่พูดปาว ๆ ว่าศาสนาเป็นสิ่งมอมเมา พระสงฆ์กินแรงราษฎร ไม่ทำประโยชน์แก่บ้านเมือง แล้วตัวเองนั่นแหละ พยายามทำลายบ้านเมืองอยู่ทุกวิถีทาง หลวงพ่อพูดอยู่เสมอว่าถ้าประเทศเป็นอันตรายแล้วคนไม่มีสุข ศาสนาก็ถูกทำลาย

    <DD>แต่ท่านมักจะพูดตามแบบของท่านว่า ถ้าบ้านเมืองพังเดี๋ยวพระจะอดข้าวตาย หลักของบ้านเมืองมี ๓ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้าจะให้บ้านเมืองอยู่รอด เราต้องดำรงไว้ทั้ง ๓ สถาบัน เรื่อง ชาติ รัฐบาลเป็นผู้ดูแลอยู่แล้ว ราษฎรเป็นผู้ดูแลตัวเองอยู่แล้ว หลวงพ่อทำหน้าที่เท่าที่พระจะทำได้ คือสั่งสอนให้คนแต่ละคนเป็นคนดี

    <DD>เมื่อคนดี สังคมก็ดี สังคมดี ชาติก็ดี เรื่องนี้เป็นหน้าที่ปกติของพระทั่วไป ซึ่งทำงานอยู่เพื่อความรักสามัคคีของคนในชาติ แต่คนไม่เห็นคุณค่า เนื่องจากสมัยนี้มักจะตีคุณค่ากันออกมาเป็นจำนวนเงิน ค่าทางนามธรรมมองไม่เห็น จะว่าคนฉลาดขึ้นก็ใช่ที่

    <DD>เรื่องศาสนา หลวงพ่อปฏิบัติอยู่หลายประการ คือ เผยแพร่พระธรรมทางหนังสือ ทางวิทยุ ทางเทป สำหรับเทป ได้บันทึกเสียงเรื่องพระวินัย ซึ่งปรากฏว่าช่วยให้พระที่ได้ฟังปฏิบัติตนอยู่ในพระวินัยมากขึ้น นอกจากนี้ก็มีการก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีศรัทธาได้ทำบุญ ทั้งยังช่วยชี้แนะให้รู้จักพระดีองค์อื่น ๆ อีกหลายองค์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้พิสูจน์ว่าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นของจริงแท้ ปฏิบัติตามได้ผลจริงมีอยู่

    <DD>เรื่องพระมหากษัตริย์ ความจริงแทบจะไม่ต้องทำอะไร เพราะคนไทยเรารักในหลวงอยู่ในสายเลือด ทางการศึกษาของเราจึงไม่ค่อยจะได้ทำอะไรนอกจากจะพูดกันด้วยลมปากว่าเราจะรักและเทิดทูนพระมหากษัตริย์ แต่ต่อเมื่อลัทธิมหากาฬค่อย ๆ แพร่เข้ามาในวงการศึกษา ค่อย ๆ ซึมเข้ามาแบบน้ำลอดใต้ทราย จนในขณะนี้มีความกำเริบถึงกับบังอาจมีความเห็นชนิดที่ว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น "ศักดินา" พระเจ้าอยู่หัวมีประโยชน์อะไรหรือ ? ฯลฯ

    <DD>บางคนก็หลงตัวเองขนาดว่าฉันเป็นด๊อกเตอร์ มีความรู้เป็นเลิศกว่าผู้อื่น ควรจะเป็นประมุขของบ้านเมืองจึงจะถูก อะไรเหล่านี้เป็นต้น ล้วนแต่ลืมไปว่า ความรัก ความเคารพไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการเลือกตั้งคนขึ้นมาเป็นประมุข (แล้วเปลี่ยนตัวให้รักทุก ๆ ๔ ปี) ความรักความเมตตาไม่ได้เกิดเพราะการเลือกตั้ง ผู้เป็นประมุขของประเทศ ควรเป็นคนที่คนเป็นประเทศรักและเชื่อฟัง ก็เมื่อเรามีคนเช่นนั้นอยู่แล้ว คือพระมหากษัตริย์ แล้วเราจะไปทำลายของมีค่าของเราเสียทำไม ?

    <DD>ในขณะนี้คนผู้มีความทะเยอทะยานหวังประโยชน์ส่วนตนจำนวนหนึ่งกำลังพยายามทุกวิถีทางที่จะลดค่า ลดความรักในพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นหลักสำคัญของประเทศลงไปด้วยการโฆษณาต่าง ๆ ตลอดจนปั้นเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ ขึ้นเพื่อให้คนเชื่อ เมื่อปัญหานี้เกิดขึ้น ใครเป็นคนแก้ไข ? ทางการหรือ ? ไม่เห็นมี

    <DD>พระเจ้าอยู่หัวแก้เองหรือ ? ไม่ได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่มีทางที่จะมาโฆษณาตอบโต้เลย ว่าฉันถูกใส่ร้ายจ้ะ ฉันเป็นคนดีจ้ะ ต้องรักฉันมาก ๆ นะจ๊ะ ฉันทำความดีให้กับราษฎรมากมายอย่างนี้ ๆ นะจ๊ะ เช่นนี้ ทำไม่ได้ ต้องตกอยู่ในฐานะถูกโจมตีฝ่ายเดียวตลอดเวลาโดยไม่มีทางสู้

    <DD>เพราะฉะนั้นหลวงพ่อก็ต้องแก้ไข วิธีแก้ไขของท่าน คือชี้ให้เห็นคุณความดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอว่าให้ท่านผู้อ่านดูได้จากอะไรบ้าง ความดีของท่านมีอยู่แค่ไหน ควรแก่การเทิดทูนเพียงใด ฯลฯ การเขียนเพื่อชี้ให้คนได้ระลึกถึงความดีและคุณค่าของพระองค์ท่านนี้ อาจทำให้บางคนหมั่นไส้หาว่าเขียนหนังสือประจบพระเจ้าอยู่หัว

    <DD>หลวงพ่อจึงมักเขียนไว้ว่า "จะหาว่าเชียร์ในหลวงก็เชียร์" ถึงท่านจะถูกค่อนขอดก็ไม่ว่า ขอให้ผู้อ่านได้เห็นความดี ความสำคัญของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็แล้วกัน พร้อมกันนั้นก็ชี้ว่าคำกล่าวโทษของฝ่ายมุ่งทำลายนั้น ความจริงเป็นการใส่ร้ายทั้งสิ้น

    <DD>โดยสรุปการเขียนหนังสือ "พระเมตตา ๒" ของหลวงพ่อ ความประสงค์ก็เพื่อผดุงหลักทั้งสามของประเทศไว้ให้มั่นคงนั่นเอง

    <DD>เมื่อได้ชี้แจงมาถึงเพียงนี้แล้ว ขอท่านสาธุชนทั้งหลายพึงอ่านด้วยความพินิจพิเคราะห์ แล้วช่วยกันรักษาหลักสำคัญ หรือสถาบันสำคัญทั้งสามของประเทศไว้ให้มั่นคง ก่อนจะยุติคำชี้แจง ขอชี้ว่าหนังสือ "พระเมตตา ๒" นี้ขัดกับผลประโยชน์ของผู้มุ่งทำลายชาติอย่างชัดแจ้ง

    <DD>เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นการยากเลยที่จะคาดคะเนไว้ล่วงหน้าในที่นี้ว่าฝ่ายผู้ให้ร้ายจะต้องปล่อยคำโฆษณามาอีกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคบคิดกับพระมหาวีระ ถาวโร ให้เขียนหนังสือยอพระเกียรติ เพื่อจะรักษาราชบัลลังก์ไว้

    <CENTER>คณะศิษย์พระมหาวีระ ถาวโร

    ๒๑ มิ.ย. ๒๐
    </CENTER></DD>
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๑ </CENTER>


    <DD>วันนี้ จะปรารภกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ถึงความเป็นมาของศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งตั้งอยู่ ณ ที่วัดท่าซุง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี

    <DD>สำหรับวัดนี้ ตั้งขึ้นก็เพื่อรวมกับวัดท่าซุง ไม่ใช่แบ่งไม่ใช่แยก เป็นการสร้างเสริมวัดท่าซุงให้ใหญ่โตยิ่งขึ้นตามกำลัง ของบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้มีความศรัทธาที่ได้ให้การสนับสนุนตลอดมา

    <DD>บัดนี้ การก่อสร้างได้เสร็จเรียบร้อยลงแล้ว เดิมทีเดียวให้นาม ว่า ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน เพื่อให้เป็นกำลังใจแก่ท่านพุทธบริษัท แล้วก็เป็นการรวมกำลังใจของบรรดาศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นเหตุให้บรรดาประชาชนทั้งหลายเข้าใจผิด คิดว่าสถานที่นี้สร้างแบ่งแยกแตกออกไปจากวัดท่าซุงเดิม แต่เนื้อแท้จริง ๆ ก็เป็นส่วน ที่รวมกับวัดท่าซุงนั่นเอง

    <DD>นอกจากสร้างศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปานแล้ว ภายในระยะ ๓ ปี ก็ร่วมกันสร้างศูนย์แม่และเด็กสมเด็จพระยุพราชขึ้นอีก รวมเวลาก่อสร้างสถานที่สองแห่งนี้ร่วมกันใช้เวลา ๓๓ เดือน ถ้าจะนับโดยปี ก็ใช้เวลา ๓ ปี

    <DD>การก่อสร้างทั้งหมดเฉพาะในด้านตะวันตก ไม่คิดด้านตะวันออกของถนนมโนรมย์-อุทัยธานี มีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๕ ล้านบาทเศษ ทั้งศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน และศูนย์แม่และเด็ก สมเด็จพระยุพราช การก่อสร้างนี้บรรดาช่างก่อสร้างได้มาคำนวณและพิจารณาแล้ว อาตมาได้แจ้งให้ทราบว่าใช้เงินค่าก่อสร้างจริง ๆ ๑๕ ล้านบาทเศษหรือ ๑๖ ล้านบาท คือไม่เกิน ๑๖ ล้าน

    <DD>นายช่างผู้รับเหมาต่าง ๆ พากันงุนงง ถึงกับมีนายช่าง ๒ ช่างเป็นผู้รับเหมา และนายช่างของทางราชการอีก ๒ ท่านมาถามตรง ๆ ว่า ทำไมมันถึงผิดจากความเป็นจริงไปมาก เพราะค่าก่อสร้างเฉพาะศูนย์ศิษย์ หลวงพ่อปาน เมื่อคำนวณแล้ว ราคาควรจะไม่น้อยกว่า ๓๐ ล้าน ถ้าแถมศูนย์แม่และเด็กสมเด็จพระยุพราชเข้าด้วยก็จะมีราคาไม่น้อย กว่า ๔๐ ล้าน ความจริงอาตมาก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ ทั้งนี้เพราะทราบราคารับเหมาได้ดี แต่การก่อสร้างที่ทำนี้ไม่ใช่ราคาเหมา เป็นราคา ศรัทธา

    <DD>ทั้งนี้ก็เพราะว่า ทุนรอนที่ได้นำมาก่อสร้างก็ได้มาจากศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัททั่วประเทศไทย ทางด้านสาย เหนือ จากเชียงรายลงมา สายใต้ ถึงนราธิวาส ด้านตะวันออกตราด ด้านตะวันตกก็กาญจนบุรี ซึ่งจะดูบัญชีกันแล้วก็เป็นศรัทธาของ บรรดาท่านพุทธบริษัททั่วประเทศ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคน แต่ก็ทั่วเกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย

    <DD>ท่านเหล่านั้นพากันส่งจตุปัจจัยมา บ้าง มาด้วยตนเองบ้าง ทุกจังหวัด ก็ถือได้ว่าศาสนสมบัติขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถส่วนนี้ ทั้งวัดก็ดีทั้งบริเวณโรงพยาบาลก็ดี เกิดขึ้นได้จากศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัท เงินที่ได้มา ได้ด้วยศรัทธา ช่างผู้ก่อสร้างก็ทำด้วยศรัทธา โดยคิดค่าแรงงานน้อยกว่าที่ เขารับเหมากัน หมายความว่าช่างที่ทำงานทุกคนและทุกราย ต่างก็ตั้งใจทำกุศล รับค่าแรงงานน้อยกว่าที่รับเหมากันตามธรรมดา

    <DD>สำหรับวัตถุก่อสร้าง อาตมาและบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้มีศรัทธาเป็นผู้จัดหา การควบคุมงาน อาตมาเป็นผู้อำนวยการควบคุมเอง แล้ว ก็ให้ท่านผู้ชำนาญงานช่วยดูแลงาน เมื่อไม่ต้องผ่านผู้รับเหมา การคำนวณกำไร และการคิดเผื่อค่าของขึ้นราคาและค่าแรงงานขึ้นก็ไม่มี งานก่อสร้างก็ทำเพิ่ม

    <DD>คือไม่ตัดทอนวัตถุก่อสร้างลงมา มีแต่เพิ่มให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ฉะนั้นราคาจึงถูก ที่ถูกนี้ ไม่ได้ลดราคาค่าของ ของในท้องตลาดราคาเท่าไร ซื้อเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าบรรดาท่านพ่อค้าคงจะขายให้ในราคาพิเศษ เพราะตามที่พิจารณาตามราคาในท้องตลาด ของทุกอย่างที่ซื้อมารู้สึกว่าลดหย่อนผ่อนลงไปมาก

    <DD>แสดงว่าบรรดาพ่อค้าทั้งหลายก็ร่วมบำเพ็ญกุศลในการก่อสร้างด้วย มิได้หวังที่จะหากำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านค้าไม้แปรรูปพนาโชค ท่านผู้จัดการได้คอยมาดูอยู่เสมอถึงวัตถุที่ใช้ในการก่อสร้างทั้งหมด พยายามควบคุมมิให้ช่างใช้ของเปลืองเกินไป ทั้งนี้ ความจริงท่านเป็นผู้ขายวัตถุก่อสร้างให้เป็นส่วนใหญ่

    <DD>แต่ทว่าท่านก็ไม่ยอมให้ใช้ ของเปลืองมาก เช่นไม้แบบ ถ้าใช้น้อยลงได้ก็ให้ใช้น้อยลง ไม่ให้ใช้ของใหม่ทั้งหมด คือย้ายจากจุดนี้ไปจุดโน้น จนกว่าไม้จะใช้ไม่ได้ อีก ท่านหนึ่งที่น่าขอบใจ ก็คือท่านกำนันเยี่ยม เกิดนิยม ท่านผู้นี้มาทำการรับเหมาแต่ทว่าช่างของท่านทำงานทุกอย่างโดยทะนุถนอมของ ใช้ ที่ราคาถูกลงได้ส่วนหนึ่งก็อาศัยศรัทธาของท่านนายช่าง และศรัทธาของร้านค้า

    <DD>จากนั้นก็เป็นศรัทธาของบรรดาภิกษุสามเณรเพราะว่าในขณะที่ทำงาน ก็มีบรรดาภิกษุสามเณรในวัดทั้งหมดที่ยังคง อยู่ในวัดในปัจจุบันก็ดี ที่สึกออกไปแล้วก็ดี ที่ย้ายไปแล้วก็ดี ร่วมกันทำงานตากแดดตากฝน ต้องทนต่อความร้อน มีแต่ความเหน็ด เหนื่อยแต่ก็ไม่มีความย่อท้อ

    <DD>แต่ทั้งนี้ ก็ต้องอนุญาตให้ใช้ของกันความร้อน คือสวมหมวก หรือใช้ผ้าเหลืองปกคลุมเป็นเสื้อ เรื่องนี้ ก็มีพระบางท่านเข้ามาในวัด ถามว่านี่ตัวอะไร ก็น่าแปลกใจ อันนี้บางทีเขาจะคิดว่าผิดวินัย อันนี้ก็ยอมผิด แต่มันผิดตรงไหนล่ะ ? อันนี้เป็นการคลุมเพื่อปกปิดความร้อน ถ้าหากจะถือว่าผิด ก็ควรจะถืออีกจุดหนึ่ง ที่ผิดยิ่งไปกว่านั้นคือ

    <DD>ที่ท่านทั้งหลายไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย คือบวชเข้ามาแล้วมัวเมาในทรัพย์สิน มัวเมาในสักการะ อย่างนี้น่าจะผิดไหม ? ท่านที่ทำงานอย่างนั้นจะสวมหมวก จะสวมเสื้อกัน ความร้อน ก็ไม่เห็นจะมีความผิดตรงไหน เมื่อคอยจะมองว่าผิดก็เชิญ ตามใจ ไม่ได้วิตกกังวลอะไร

    <DD>เป็นอันว่าศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปานซึ่ง อยู่ในเครือของวัดท่าซุงหรือวัดจันทาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี แล้วก็ศูนย์แม่และเด็กสมเด็จพระยุพราช ที่ตั้งขึ้นก็เพราะอาศัย คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อปาน และบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านร่วมมือกันทั่วประเทศ

    <DD>บัดนี้งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ทาง ราชการจะมาสร้างตึกอีกหลังหนึ่งที่ศูนย์แม่และเด็ก เป็นตึกสูติกรรม ๓๐ เตียง ทีนี้ในงานนี้ ความดีที่พึงได้ทั้งหมด อาตมาก็ขอถวายแด่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้เพราะอะไร

    <DD>เพราะว่าทุกท่านที่มาร่วมกุศลทั้งหมดก็เพราะปรารภความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมาและท่านผู้กระทำเองก็เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส อาตมาเองก็ถือว่าเป็นลูกของ พระพุทธเจ้า ความดีใด ๆ ผลใด ๆ ที่บังเกิดขึ้นจากการกระทำนี้

    <DD>อาตมาถือว่าเป็นความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดา ที่ทรง แนะนำสั่งสอนมาให้ประพฤติปฏิบัติ เป็นเหตุให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเกิดความเลื่อมใสร่วมใจกันสร้างถาวรวัตถุใน พระพุทธศาสนา นี่เป็นเหตุอันหนึ่งที่แจ้งบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายถ้วนหน้าทราบ ว่ามีความเป็นมาอย่างนี้

    <DD>ที่นี้ หนังสือเล่มนี้ ให้ชื่อว่าหนังสือ "พระเมตตา" ก็เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระบรมราชินีนาถ ประกอบไปด้วยพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์เคยเสด็จมาสงเคราะห์แล้วสองวาระ

    <DD>คือใน วาระต้น เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้วก็ วาระที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระยุพราช (พระบรมโอรสาธิราช) ได้เสด็จมา

    <DD>สำหรับเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถและพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์เสด็จมา เพราะระหว่างนั้นสมเด็จพระ ยุพราชยังทรงศึกษาอยู่ต่างประเทศ อาศัยพระเมตตาบารมีที่พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมโอรสาธิราช พระเจ้าลูกเธอทั้งหมดที่ทรงสงเคราะห์ ก็เป็นปัจจัยอันหนึ่งที่สร้างความชุ่มชื่นให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ก่อนที่จะพูดถึงการเสด็จ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็จะขอกล่าวตอนเริ่มต้นงานสักนิดหนึ่ง

    <DD>การเริ่มงานปีนี้ วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ เป็นวันตัดนิมิต วันที่ ๑๖ เมษายนเป็นวันเริ่มงาน การจัดงานเป็นงานที่ แปลกที่สุด ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะให้แปลก มันแปลกเอง คืองานฝังลูกนิมิตหรืองานผูกพัทธสีมา ที่ไหน ๆ เขาก็โฆษณากันมีทั้งป้าย ใหญ่ป้ายเล็ก มีฎีกาแจกกัน มีหนังสือประกาศแจก ประกาศสถานีวิทยุกระจายเสียง หรือประกาศในหนังสือพิมพ์ แต่อาศัยที่ยุ่งในงาน เสียจนเพลินไปทุกคนผู้จัดงานลืมไปหมด

    <DD>สำหรับผู้จัดงาน ประธานในงานก็คือ พลเรือเอก จิตต์ สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหม รอง ประธานได้แก่ พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหาร ซึ่งเป็นประธานในการก่อสร้าง หรือประธานทายก และคณะทายกทายิกาทั้งหมดที่ร่วมงาน ลืมไปหมด เพราะยุ่งเกี่ยวกับงานขอพระราชทานวิสุงคามสีมา

    <DD>ทั้งนี้เพราะอะไร ? เพราะว่า เป็นการขอในระยะกระชั้นชิด มีเหตุบางอย่างในระยะต้น ๆ เกือบจะบั่นทอนให้งานผูกพัทธสีมานี้ต้องเลิกล้มไป ทั้งนี้เพราะว่างานมัน เสร็จกระชั้นเกินไป ในตอนแรกจึงไม่กล้าที่จะนิมนต์พระ ไม่กล้าที่จะทำอะไรทั้งหมด เกรงว่าหนังสือที่ขอพระราชทานวิสุงคามสีมาจะตกมาไม่ทัน นี่เป็นอุปสรรคสำคัญ

    <DD>หนังสือขอพระราชทานวิสุงคามสีมากระชั้นงานทุกอย่างจึงไม่มีการประกาศ และในช่วงระหว่างงาน ก็มีหลายท่านบอกว่า ที่มานี่น่ะ ไม่ได้ทราบว่ามีงานดอกขอรับ ที่มาก็เพราะว่าตั้งใจจะมานมัสการหลวงพ่อ มาจากจังหวัดแพร่บ้าง มา จากจังหวัดแม่ฮ่องสอนบ้าง แล้วก็มาจากอุดรธานีบ้าง มาจากสุราษฎร์ธานีบ้าง จากจังหวัดตรังบ้าง อย่างนี้เป็นต้น

    <DD>หลายท่านด้วยกัน บอกว่าไม่ทราบว่ามีงาน แต่ที่สำคัญที่สุดที่ไม่ได้ประกาศงาน นั่นก็คือบรรดาท่านพุทธบริษัทจังหวัดฉะเชิงเทรามา ๑ คันรถบัส ประมาณ ๘๐ คนเศษ มาถึงก็จอดอยู่หน้าวัดในระหว่างงาน เป็นวันที่ ๔ ของงาน จอดอยู่กลางถนนไม่กล้าลง

    <DD>ในที่สุดเจ้าหน้าที่ไป ติดต่อ บอกว่าเชิญลงได้ เขาจึงส่งผู้แทนมา ๒-๓ คน ถามว่างานวัดนี้เริ่มหรือยัง หรือว่าเลิกแล้ว เพราะว่าเงียบ เสียงมหรสพก็ไม่มี เสียง ขยายเสียงเปี้ยวป๊าว ๆ ก็ไม่มี เป็นงานที่เงียบสงัด

    <DD>อาตมาก็นั่งรับแขกอยู่ทีศาลานวราช ฯ และนอกจากมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ตามที่แล้ว ก็มีบรรดาท่านพุทธบริษัทเดินไปเดินมาอยู่ระหว่างสถานที่ต่าง ๆ สัก ๓๐ คน เป็นเหตุให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนเหล่านั้นสงสัยว่างานจะไม่มี

    <DD>เมื่อท่านมาถาม จึงได้แจ้งอยู่ว่างานกำลังมีอยู่ ยังไม่เลิก เขาจึงได้ไปแจ้งให้บรรดาพวกของเขาลงมา แล้วมาก็บำเพ็ญกุศล นี่ งานที่แปลก แปลกตรงนี้คือเป็นงานที่ไม่มีโฆษณาแต่ก็เป็นเหตุน่าอัศจรรย์ใจ

    <DD>วันต้น คือ เสาร์-อาทิตย์ แรก มีบรรดาท่านพุทธบริษัทไป บำเพ็ญกุศลถึง ๑ แสน ๙ หมื่นบาทเศษ ต่อมา ในช่วงระหว่างวันจันทร์ถึงศุกร์ มีคนเพียงห้า-หกสิบคนบ้าง แปดสิบคนบ้าง ไม่ถึงร้อยคนสักวัน แต่ก็มีการบำเพ็ญกุศลกันวันละ ๗ หมื่นบ้าง ๖ หมื่นบ้าง มีอยู่วันเดียวได้ ๔ หมื่นเศษ

    <DD>นี่เป็นอันว่าคนที่มาบำเพ็ญกุศล ไม่ได้มาเพื่อดูมหรสพ เพราะไม่มีมหรสพให้ชม ไม่ได้มาเนื่องด้วยการโฆษณา มาด้วยศรัทธาแท้ ความจริงงานนี้ก็เป็นที่พอใจของอาตมา เหมือนกันเพราะถูกใจ ไม่อยากจะเอะอะโวยวาย

    <DD>เมื่องานจวนจะเริ่มขึ้น หรือว่าเริ่มขึ้นแล้ว สำนักพระราชวังมา เพื่อจัดเตรียมสถานที่สำหรับการเสด็จมาของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เดิมทีเดียวอาตมาเอง กับคณะกรรมการจัดงานก็คิดว่าจะจัดที่ถวายดังนี้ คือ

    <DD>บรรดาพระราชาคณะกับสมเด็จพระราชาคณะ มีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธาน นั่งรับเสด็จ ในพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าพระอุโบสถทรงศีล แล้ว พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ถวายรายงาน เสร็จแล้วทรงตัดนิมิต แล้วเสด็จออกมาศาลาจตุรมุข ที่อาตมาสร้างเป็นอนุสรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จ พระเจ้าลูกเธอ เสด็จมาประทับที่ตรงนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้วทรงรับเงินโดยเสด็จพระราชกุศล

    <DD>ในงานนี้ อาตมาตัดรายการทั้งหมดที่จะ ไปทรงเปิดศูนย์แม่และเด็กที่ถวายแด่สมเด็จพระยุพราช เพราะเกรงว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถจะ ไม่มีโอกาสเยี่ยมประชาชน ขอร้องให้เขาจัดรายการอย่างเดียวคือทรงตัดนิมิตที่นี้

    <DD>การตัดนิมิตก็เตรียมไว้อย่างนี้ คือทรงตัดนิมิตลูก กลางลูกเดียว ให้อีก ๘ ลูกรอบนอกลงพร้อมกันหมด โดยใช้สายสิญจน์โยงไว้ แต่การที่เตรียมไว้ไม่ได้เป็นไปตามนั้น เพราะเจ้าหน้าที่ สำนักพระราชวังที่มาเห็นว่าการจัดอย่างนั้นไม่เหมาะสม

    <DD>จึงจัดให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปประทับที่ศาลาเรียงข้างพระอุโบสถ ด้านทิศใต้ สมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะรับเสด็จที่นั่น พระคณาจารย์ รับเสด็จที่ศาลาเรียงข้างพระอุโบสถด้านทิศ เหนือ หลังจากเสด็จเข้าศาลาเรียงแล้ว

    <DD>จึงเสด็จเข้าตัดนิมิต ส่วนการตัดนิมิต ส่วนการตัดนิมิตคราวเดียว ๙ ลูก สำนักพระราชวังเกรงว่า จะเกิดอันตรายแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความจริงเรื่องนี้ทางคณะกรรมการทั้งหมดก็ทดลองกันแล้ว ทำแล้วลองตัดดูไม่มี อันตราย

    <DD>เมื่อทางสำนักพระราชวังเกรงว่าสายสิญจน์จะไปปัดเอาพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้า ความจริง คณะกรรมการที่จัดทำลองตัดกันแล้วลองตัดกันอีก ไม่มีอันตรายตามนั้น แต่ทางเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังท่านไม่ได้อยู่ด้วย เรื่องเกรง อันตรายอันนี้อาตมาก็เห็นใจจึงไม่มีการฝ่าฝืน ไม่มีการคัดค้านเพราะว่าเวลาทดลองท่านไม่ได้อยู่ด้วย ถ้าบังเอิญเหตุนั้นมีเข้าก็ย่อมถือ ว่าเป็นความบกพร่องของสำนักพระราชวัง

    <DD>เมื่อท่านขอเปลี่ยนแปลงให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตัดลูกเดียวคือลูกกลาง จึงได้ปฏิบัติตามใจท่าน แต่ความจริงในตอนต้นคิดว่าถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตัดลูกกลางลูกเดียว ก็จะได้อัญเชิญสมเด็จ พระบรมราชินีนาถทรงตัดลูกหน้าพระอุโบสถ แต่การต้องเปลี่ยนแปลงโดยกะทันหัน เพราะเป็นเวลาที่จะเข้างาน คือตัดนิมิตในวันนั้น

    <DD>จึงกราบทูลอัญเชิญให้สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงตัดนิมิตในวันนั้นไม่ทัน ก็เป็นที่น่าเสียดาย ถ้าได้ทราบว่าสมเด็จพระยุพราชเสด็จมา ด้วย ก็จะได้ขอทูลเชิญให้ตัดนิมิตอีกลูกหนึ่ง หรืออาจจะเป็นทุกลูกก็ได้ แต่นี่ไม่ทราบมาก่อน จึงเป็นอันว่าเรื่องนี้ก็ผ่านไป

    <DD>ต่อมา เมื่อวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ เดิมทีมีหมายกำหนดการมาว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ จะเสด็จจากหัวหินโดยเครื่องบินปีกหมุน (เฮลิคอปเตอร์) โดยลงเติมน้ำมันที่สนามบินกอง ๔ ตาคลี

    <DD>เห็นเจ้าหน้าที่มาดูสถานที่ อาตมาก็ชี้สถานที่ว่าที่ศูนย์แม่และเด็ก สมเด็จพระยุพราชมีลานกว้างที่มี ฮ. มาลงรับอาตมาที่นี่หลายวาระ ลงได้ สบาย ๕ เครื่องก็ลงได้ แต่เจ้าหน้าที่พิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่สมควร จึงจัดให้ไปลงที่จังหวัดอุทัยธานี

    <DD>เรื่องนี้ อาตมาไม่วิจารณ์ เพราะว่า นั่นเป็นเรื่องของความเหมาะสม ของท่านเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง ที่อาตมาเห็นว่าเครื่องควรจะลงที่ศูนย์แม่และเด็ก ๆ ก็เพราะว่า มีรั้วรอบขอบชิด มีกำแพงรอบบริเวณ แต่ท่านมีความเห็นไม่ตรงกัน ก็ไม่เป็นไร

    <DD>แต่ทว่ามาภายหลัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง เปลี่ยนหมายกำหนดการว่าจะเสด็จโดยรถยนต์ เข้าวัดจันทารามก่อน เป็นอันว่าหมายกำหนดการเลื่อนไปอีก ๑ ชั่วโมง หมายกำหนดการแรก จะเสด็จถึงวัดจันทารามหรือวัดท่าซุง เวลา ๑๓.๓๐ น. หมายกำหนดการหลังเสด็จถึงวัดท่าซุง เวลา ๑๔.๓๐ น.

    <DD>แล้วในการมาตรวจสถานที่ อาตมาก็ไม่ได้พบกับเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังและเจ้าหน้าที่ของจังหวัด เพราะว่าไป คอยอยู่บนศาลานวราช ฯ ท่านมา ท่านก็ไปดูสถานที่กันเอง แต่ความจริงนั่นก็เป็นเรื่องของท่านโดยเฉพาะ อาตมาก็เพียงว่าหากท่าน สงสัยแล้วถามก็แจ้งให้ท่านทราบ มาทราบภายหลังว่าท่านเขียนหมายกำหนดไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระบรมราชินีนาถจะเสด็จประทับอยู่ที่วัดท่าซุงนับตั้งแต่มาถึงกลับเป็นเวลา ๑ ชั่วโมง

    <DD>นี่อาตมาก็คิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์เพียงเท่านั้น ก็ไม่ได้ติดใจสงสัย เพราะเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเกี่ยวกับหมายกำหนดการแล้วอาตมาไม่ทราบ คือไม่รู้ ต้นสายปลายเหตุว่าหมายกำหนดการนี่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดเองหรือผู้อื่นกำหนดถวาย อันนี้ทราบไม่ได้ เพราะไม่เคยทราบเรื่อง

    <DD>แต่เวลาที่เสด็จมาจริง ๆ กับประทับอยู่นานเกินกว่านั้น จะเสด็จมาถึงเวลาเท่าใดแน่ อาตมาไม่มีนาฬิกาดู แต่ว่ากว่าจะกลับออกจากวัดท่าซุงไปได้ เมื่อได้ยินเสียงมโหระทึกและเพลงสรรเสริญพระบารมี แสดงว่าพระองค์เสด็จกลับออกไปหน้าวัด เวลานั้น ถามเรืออากาศเอก สงบ สุวรรณแสง ว่าเวลาเท่าไร เธอแจ้งบอกว่าเวลานี้ ๑๗ นาฬิกาเศษแล้วขอรับ เป็นอันว่าพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จอยู่ที่วัดนี้เยี่ยมเยียนประชากรของพระองค์สิ้นเวลา ๒ ชั่วโมงเศษ

    <DD>เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท สำหรับวันนี้มองดูเวลาก็หมดเสียแล้วขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ตอนนี้ขอลาก่อน ขอ ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

    <CENTER>สวัสดี</CENTER></DD>
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๒ </CENTER>


    <DD>ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย วันนี้คงพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทเรื่องพระเมตตาตามเดิม สำหรับวันที่แล้วได้ ปรารภในด้านอารัมภบทความเป็นมาและหมายกำหนดการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    <DD>สำหรับวันนี้ ก็จะนำข่าวก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทได้ทราบ ในเมื่อได้ฟังเรื่องนี้แล้ว ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงอย่าได้แสดงความหวั่นไหวในจิต เพราะองค์สมเด็จพระบรมสามิตทรงแนะนำไว้ บอกว่า จงอย่าถือมงคลตื่นข่าว

    <DD>ข่าวก็มีอยู่ว่า ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถจะเสด็จ พอได้ทราบว่าจะเสด็จ แน่ ก็มีข่าวมาจากหลายกระแส เป็นผู้หวังดี มาแจ้งให้ทราบว่าการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาคราวนี้ จะมีบุคคลปองร้าย ลอบปลงพระชนม์พระองค์และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และว่าถ้าบังเอิญเสด็จมาทุกพระองค์ เขาก็จะปลงพระชนม์ทั้งหมด

    <DD>วิธีการที่จะใช้ก็คือใช้ปืนไร้แรงสะท้อน ๓ กระบอก ตั้งอยู่ ๓ จุด มีศูนย์ตรงกับบริเวณศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน แล้วมีเจ้าหน้าที่ของเขาใช้วิทยุ ติดต่อแจ้งข่าวว่าเวลานี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จมาถึงแล้วหรือยัง ถ้ามาถึงแล้วปืนไร้แรงสะท้อนจะยิงมาพร้อมกันทั้ง ๓ ทิศ

    <DD>และถ้ากิจนี้ทำไม่ได้ เขาก็จะใช้คนกล้าตายเข้าปลงพระชนม์พระองค์ในหมู่ คนและพร้อมที่จะตายร่วมกัน คือผู้ปลงพระชนม์ก็พร้อมที่จะตายด้วย ข่าวนี้มาจากหลายกระแสด้วยกัน มาแจ้งข่าวกับอาตมาว่า ต้องช่วยกันระวังป้องกันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    <DD>ถ้าบังเอิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี หรือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ดี เป็นอะไรลงไป เป็นการบาดเจ็บก็ดี การเสียพระชนม์ชีพก็ดี ของพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ถ้ามีขึ้นก็จะ โยงไปถึงอาตมาว่าเป็นต้นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จมา ย่อมจะมีโทษให้อาตมาหัวขาด หรือถูกยิงเป้า

    <DD>เมื่อฟังข่าวนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาก็ไม่ได้วิตกอะไร เพราะเชื่อมั่นในความสามารถของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ปรากฏว่ามีข่าวนี้เสมอและในที่บางจุด ซึ่งอาตมาจะไม่ขอบอกว่าเป็นที่ไหน

    <DD>ซึ่งพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว เคยรับสั่งกับอาตมาที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ ว่า ในขณะก่อนจะเสด็จไปบางที มีข่าวลือว่ามีคนคิดจะปลงพระชนม์พระองค์และสมเด็จพระบรมราชินีนาถโดยเสี่ยงเอาชีวิตเข้าแลกชีวิต

    <DD>พระองค์มีพระราชดำรัสว่า ถ้าเราไม่ไปก็จะกลายเป็นผู้แพ้หากข่าวนี้เป็นข่าวจริง แต่ถ้าเป็นข่าวลือ เราก็จะเป็นผู้แพ้มากขึ้น เพียงแค่เขาออกข่าวนิดเดียว เราก็กลัวกันเสียแล้ว นี่น้ำพระทัยของพระองค์ใสเป็นแก้ว พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่าการทุกอย่าง

    <DD>เมื่อพระองค์ทรงทำดีแล้ว คือทำเพื่อสงเคราะห์ปวง ประชากร พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำ ไม่ได้ทรงกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนพระองค์ แต่ทำเพื่อประชาชนทุกคนทุกชั้น ทุกวัย ที่มี พระราชดำริเช่นนี้ เราก็ควรจะนึกได้ว่าพระราชภารกิจทั้งหลายของพระองค์ที่ทรงกระทำไป หากจะทรงหวังความสุขส่วนพระองค์แล้วก็ ไม่ต้องเสด็จไปตามที่ต่าง ๆ ให้ลำบาก อยู่แต่เสียในพระราชฐาน ใครเขาเอางานมาให้เซ็นก็เซ็น เห็นสมควรจะเซ็นก็เซ็น ไม่เห็นสมควร เซ็นก็ไม่เซ็นก็หมดเรื่อง

    <DD>ที่พระองค์ทรงยอมเหน็ดเหนื่อยไปทุกสถานที่ก็เพื่อความสุขของประชากรชาวไทย ฉะนั้นพระองค์จึงตัดสิน พระทัยว่าถ้าหากพระองค์จะต้องสวรรคตเพราะเหตุแห่งการกระทำความดีพระองค์ก็พร้อม นี่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองมีพระราชดำรัสอย่างนี้ พระราชดำรัสนี้ถ้าใครกล้าเข้าไปถามพระองค์ได้ อาตมาเข้าใจว่าพระองค์คงไม่ปฏิเสธ เพราะทรงตรัสกับอาตมาเอง

    <DD>ฉะนั้นข่าวนี้ที่เกิดขึ้นอาตมาก็คิด ตามที่สมเด็จพระธรรมสามิตคือพระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีใน โลก คำว่า “นินทา” ก็คือวิพากษ์วิจารณ์และการปล่อยข่าว การปล่อยข่าวแบบนี้บางทีก็ต้องการให้อาตมายับยั้งกราบทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ให้เสด็จมา แต่คำว่า ”ข่าว” บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาได้มาเสียจนชิน

    <DD>ข่าวที่มีความสำคัญที่สุดอีกอันหนึ่ง นั่นก็คือมีคนมาบอกบอกว่าแม้แต่อาตมาเองวันนั้นก็ต้องระวังตัวให้มาก เพราะมี คนเขาจ้างคนฆ่าเหมือนกัน เขาจ้างมือปืนมา ๒ คนหวังจะให้ฆ่าโดยให้สินจ้างรางวัลไม่แพงนัก เพียงมูลค่ามือปืนคนละ ๒ พันบาท เท่านั้น แต่ถึงยังไงก็ดี ถึงแม้ตอนเย็นของวันที่ ๒๓ ก็มีคนส่งข่าวว่าจะต้องถูกฆ่าแน่ ก็ต้องขอบคุณท่านทั้งหลายเหล่านั้นที่มาส่งข่าว

    <DD>การส่งข่าว ก็เป็นการส่งข่าวด้วยความหวังดี แล้วก็มีคนอีกหลายท่านพร้อมเพรียงกัน บอกว่าจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่ออาตมา จะขอ ป้องกันจนสุดความสามารถ แล้วข่าวนี้คืบหน้าต่อไปอีกว่า ผู้ที่จ้างคนมาฆ่าอาตมานั้น เป็นบุคคลสำคัญผู้มีเกียรติ เขาบอกว่าเป็น ข้าราชการขั้นผู้ใหญ่

    <DD>อาตมาก็สงสัยว่าเอ๊ะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นี่อาตมาก็ไม่ได้ผิดพ้องหมองปากกับใครมีแต่เป็นที่รักกันทั้งหมด เจอะ หน้าใครก็ยิ้มแย้มแจ่มใส คนที่รับช่วงมาก็เป็นบุคคลบางประเภท อาตมาก็จะไม่ขอบอก มันเป็นข่าว ข่าวเขาที่บอกว่าใครเป็นหัวหน้า ต้นคิดจ้างฆ่าอาตมาเอง

    <DD>อาตมาก็คิดว่า ข่าวนี้จะต้องผิดจากความเป็นจริง เพราะมีข้าราชการคนไหนบ้าง ที่จะเป็นปฏิปักษ์กับอาตมา อาตมานั่งนึกไปก็นึกไม่ออก จะว่าเป็นข้าราชการตำรวจ ข้าราชการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพูดถึงตำรวจอุทัยธานีหรือตำรวจ ชัยนาทแล้ว ก็เรียกได้ว่าเป็นคนใกล้เคียงกัน

    <DD>นี่ทุกท่านก็มีความหวังดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้บังคับบัญชาตำรวจอุทัยธานีมีความเป็นห่วงใยถึงกับให้เจ้าหน้าที่ ตำรวจมานอนเป็นเพื่อนอยู่ทุกคืน และอยู่เป็นประจำทุกวัน สิ้นกาลเวลาถึง ๔ ปีแล้ว แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนไหนสั่งฆ่า อาตมา ๆ ก็คิดไม่ออก ถึงจะคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการพลเรือนของจังหวัดอุทัยธานีหรือจังหวัดใด ๆ มาคิดฆ่าอาตมาก็มองไม่เห็น เพราะว่าข้าราชการพลเรือนทุกท่าน เจอะหน้าก็โอภาปราศรัยกันดี เป็นที่รักกันทุกคน

    <DD>ถ้าจะคิดว่าข้าราชการทหารจะคิดฆ่าอาตมาก็ยิ่ง มองไม่เห็นใหญ่ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างคนทุกชั้นนั้น ข้าราชการทั่วประเทศย่อมเป็นที่รักของอาตมาทุกคน เมื่อพิจารณาข่าวนี้ แล้วก็เข้าใจ คือเข้าใจว่าข่าวนี้อาจจะไม่ตรงตามความเป็นจริง ข่าวมีจริงแต่ความจริงของข่าว ต้องไม่มี ทั้งนี้เพราะอะไร ?

    <DD>เพราะเป็น การยุให้รำตำให้รั่วระหว่างอาตมากับข้าราชการตำรวจ ข้าราชการทหาร ข้าราชการพลเรือนฝ่ายปกครองให้เกิดความแตกแยก ระแวง ระไวซึ่งกันและกัน ข่าวประเภทนี้มีปรากฏมานาน อาตมาจึงไม่หนักใจคิดว่าเกิดมาแล้วมันต้องตาย คนที่เกิดมาแล้วไม่ตายไม่มี เวลานี้ อาตมานับแต่เกิดมาได้สร้างสาธารณประโยชน์ให้มีขึ้นแก่พระพุทธศาสนาด้วย แก่ประชาชนชาวไทยด้วยตามกำลังความสามารถที่จะทำได้

    <DD>การสร้างสรรค์ความเจริญในที่ใดก็ตามสร้างแล้วก็ไม่เคยแบกเอามาเป็นส่วนตัว เวลานี้ นอกจากจะสร้างที่วัดท่าซุงแล้ว ก็ได้ สร้างโรงพยาบาล และขุดบ่อน้ำให้แก่ประชาชนที่ขาดแคลนน้ำ โดยบอกบุญให้แก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทขุดบ่อน้ำให้เป็น สาธารณประโยชน์ในแดนกันดารนับเป็นร้อย ๆ บ่อ และในแดนกันดารใดที่มีความอดอยากแร้นแค้นไม่สะดวกด้วยความเป็นอยู่ ก็ได้ ร่วมมือกับ ม.จ. หญิงวิภาวดี รังสิต ไปในสถานที่นั้น

    <DD>แนะนำให้เขาเข้าใจในความสามัคคี ร่วมมือกันประกอบสัมมาอาชีวะในรูปแบบ สหกรณ์ รู้จักการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าขาดแคลนอะไร ม.จ. หญิงวิภาวดี รังสิตก็ให้เจ้าหน้าที่วิทยุกราบทูลพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวเพื่อขอพระราชทาน ในวันรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงจัดการส่งไปให้

    <DD>งานประเภทนี้เป็นงานที่เต็มไปด้วยความ ยากลำบากต้องไปในแดนทุรกันดาร อย่างนี้อาตมาก็ทำแล้ว วัดวาอารามก็สร้างเป็นสาธารณะ ช่วยวัดไม่จำกัดวัด เงินทองของอาตมา ไม่มีก็ใช้สติปัญญาเท่านั้นเป็นเครื่องช่วย แต่ก็ถือว่าเป็นคุณประโยชน์อันหนึ่งที่อาตมาได้ทำแล้วในฐานะที่บวชเข้ามาใน พระพุทธศาสนา พยายามปฏิบัติตามจริยาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติด้วยพระพุทธเจ้าทรงมีพระจริยาสามอย่าง คือ

    <DD>หนึ่ง พุทธัตตถะ จริยา ทรงประพฤติในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้า สอนคนให้ละความชั่ว ประพฤติความดี มุ่งหวังจิต บริสุทธิ์ มีพระนิพพานเป็นที่ไป

    <DD>สอง องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลก แนะนำประชากรให้ปฏิบัติตนให้มีความสุข ในฐานะ ที่เป็นชาวโลก ในด้านการครองชีพและความเป็นอยู่มีธรรมะ ที่ท่านเรียกว่า คิหิปฏิบัติ คือเป็นข้อวัตรปฏิบัติสำหรับฆราวาสจะปฏิบัติได้ ทุกคนแล้วมีความสุขในปัจจุบัน

    <DD>สาม ญาตัตถะ จริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่พระญาติ เหตุร้ายใด ๆ จะพึงมีแก่พระญาติองค์สมเด็จพระบรม โลกนาถก็ทรงสงเคราะห์ ป้องกันให้ แต่หากว่ากรรมนั้นเป็นกรรมใหญ่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ก็ต้องปล่อยไปตามกรรม

    <DD>ที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติอย่างนี้ อาตมาก็ปฏิบัติตามแล้วทุกอย่าง ถ้าชีวิตจะต้องมาตายก็เป็นชีวิตที่ได้ปฏิบัติความดีแล้ว ไม่เห็นจะ เป็นที่น่าเสียดายตรงไหน การอยู่ ถ้าอยู่นานไปเท่าใดก็มีความลำบากเท่านั้น ตายเร็วเท่าไรก็มีความสุขเร็วเท่านั้น ตายเมื่อไรก็มี ความสุขเมื่อนั้น

    <DD>เวลานี้อยู่ก็อยู่ด้วยความสุขใจ แต่กายมันไม่สุข แต่ก็ไม่ได้เป็นห่วงกังวลอะไร ถือว่าเป็นเรื่องของคนที่เกิดมาในโลก จะต้องเป็นอย่างนั้น ความพยายามเหน็ดเหนื่อยเพื่อสาธารณประโยชน์เป็นที่พอใจของอาตมา ถ้าอยู่เฉย ๆ สั่งสมทรัพย์สินเพื่อ ความสุขตน อันนี้ไม่มีความสุขใจเลย ขณะใดที่มีโอกาสได้สงเคราะห์มนุษย์เพื่อนร่วมโลกหรือท่านผู้มีคุณทั้งหลายก็เป็นที่พอใจ

    <DD>เรื่องนี้เป็นเรื่องของ “พระเมตตา” แต่ก็ควรประกอบด้วยธรรมะ ที่อาตมาบอกว่าข่าวเกิดขึ้นอาตมาไม่เชื่อ แต่ก็ ขอบคุณผู้บอกข่าว ข่าวนั้นอาจจะเป็นความจริงก็ได้ หรืออาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้ แต่ผู้รับข่าว รับข่าวมาจริง ทั้งนี้เพราะว่าทานผู้ บอกเป็นผู้ใหญ่ เป็นบุคคลที่ควรเชื่อถือได้ แล้วก็มีความห่วงใยอาตมาเป็นพิเศษ

    <DD>นอกจากนั้น คนของท่านก็ให้การระวังระไวอาตมาเป็น อย่างดี แสดงว่าข่าวนี้เป็นความจริงมีผู้ส่งข่าวมาจริง แต่ว่าสำหรับข่าวที่ว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จ้างฆ่า นี่อาจจะเป็นแนวอันหนึ่งยุให้รำตำให้รั่วสร้างความแตกความสามัคคีซึ่งกันและกัน อาตมาแตกความสามัคคีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเวลานี้เจ้าหน้าที่ตำรวจห่วงใย อาตมาอยู่มาก ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาอารักขาอยู่ ๔ ปีแล้ว เพราะความห่วงใย

    <DD>เจ้าหน้าที่พลเรือนก็ให้ความสนับสนุนในกิจการที่ทำเป็น อย่างดี ไม่มีใครประกาศตนเป็นศัตรู ฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารก็มีความเคารพนับถือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี มีการโอภาปราศรัย งานใหญ่ ที่จะพึงมีขึ้น เจ้าหน้าที่ทหารก็จัดทหารมาช่วยในกิจการงานหรือมาช่วยพัฒนา ทำความเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในสถานที่ แล้วก็เอา ข้าราชการฝ่ายไหนมาสั่งฆ่าอาตมา อันนี้ บรรดาท่านพุทธศาสนิชนพอฟังข่าวอย่างนี้แล้วก็ต้องใคร่ครวญกันไว้ก่อน

    <DD>แต่อีกข่าวหนึ่ง มีว่า ถ้าบังเอิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ หรือสมเด็จพระยุพราชมี อันตรายลงไป อาตมาก็คงต้องถูกยิงเป้าหรือหัวขาดเพราะว่ามีข้าศึกจะใช้ปืนไร้แรงสะท้อนยิงมา ๓ ทิศพร้อม ๆ กันลงในบริเวณที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถประทับอยู่ เรื่องนี้อาตมาไม่ตกใจเลย ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชจะต้องสิ้นพระชนม์

    <DD>อาตมามีความมั่นใจ ว่าโทษตัดหัวหรือว่าโทษยิงเป้า สำหรับอาตมาไม่มีแน่ เพราะในระหว่างนี้อาตมายังเป็นผู้อยู่ใต้กฎหมาย แต่ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้นมาจริง ๆ แล้ว อาตมาก็เป็นผู้อยู่เหนือ กฎหมาย ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จมาอยู่ตรงไหนอาตมาก็อยู่บริเวณนั้น ถ้าอันตรายจะพึงเกิดขึ้นแก่พระองค์ อาตมาก็ต้องอยู่ในอันตรายนั้นด้วย

    <DD>ในเมื่อถูกถล่ม อย่างนั้น อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่วัดก็พัง กระสุนแบบนั้นเป็นกระสุนระเบิด ยิงพร้อมกันมา ๓ นัด วัดถึงแม้จะมีสภาพแข็งแรงก็พังหมด แล้วอาตมาก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วจะเอากฎหมายที่ไหนมาลงโทษ

    <DD>ตอนนั้นอยู่เหนือกฎหมายจริง ๆ กฎหมายจะมาตัดสินลงโทษผี คือ ตัดคอ ตัวหัวผี อันนี้ไม่เกิดประโยชน์ เพราะตายแล้วกฎหมายไม่มีการบังคับให้ลงโทษผี จำคุกผีกี่ปี ยิงเป้าผี หรือประหารชีวิตผีนี่มันไม่ มี แล้วหากบรรดาท่านพุทธบริษัทจะถามว่าเมื่อได้ข่าวอย่างนี้จริง ๆ ทำไมจึงไม่กราบทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยับยั้งการ เสด็จ อาตมาก็ขอตอบว่าถ้าอาตมาทำอย่างนั้น อาตมาก็ควรจะศึกไปเป็นฆราวาสเสีย ทั้งนี้เพราะอะไร ?

    <DD>ก็เพราะว่าการทำอย่างนั้น เป็นการถือมงคลตื่นข่าวจนเกินไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีมาก มีทั้งทหาร มีทั้งตำรวจ มีทั้งศูนย์รักษาความปลอดภัย มีทั้งเจ้าหน้าที่สันติบาลแล้วก็มีบุคคลอื่นอีกหลายท่านซึ่งเป็นบุคคลที่ตกอยู่ในระหว่างความทุกข์ เขาจะ เข้ามาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ

    <DD>ท่านเหล่านี้มาด้วยกันหลายร้อยคน และเมื่อได้ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถซึ่งเป็นที่เคารพรักยิ่งกว่าบิดามารดาของเขาจะต้องมีอันตราย พวกนี้ก็ กระจายออกไปรวมกลุ่ม เพื่อเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่เพียงครึ่งเดียว

    <DD>นอกจากนั้นก็ปะปน แทรกแซงอยู่กับบรรดาประชาชน ทั้งหลาย พร้อมที่จะสละชีพของตนเพื่อป้องกันพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรม โอรสาธิราชทั้ง ๆ ที่เขาไม่ติดอาวุธ แต่เขาก็พร้อมที่จะตาย เอาร่างกายเข้าป้องกันสรรพาวุธที่จะไปทำร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    <DD>นี่แสดงว่าคนที่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีมาก นอกจากคนพวกนี้แล้วก็มีชาวบ้านอีกมาก ที่ได้รับ ฟังข่าว คือมีบางคนนั่งรับฟังข่าวอยู่กับอาตมา มีบุคคลเข้ามาส่งข่าว ผู้นี้ก็พร้อมที่จะพลีชีพเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ต่างคนต่างพร้อมกันอย่างนี้

    <DD>นั่นก็หมายความว่า ถ้าข้าศึกจะทำลายพระชนม์ชีพของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวด้วยอาวุธสั้น เช่นปืน หรือลูกระเบิดมือ หรือว่ามีด พวกนี้พร้อมที่จะตายแทน คือจะเอาร่างกายเข้าป้องกัน หรือมิฉะนั้นก็ต่อสู้ ด้วยมือเปล่า แต่ถ้าบังเอิญข้าศึกจะยิงมาด้วยปืนไร้แรงสะท้อนอันนี้ไม่ต้องช่วยกันป้องกัน ช่วยกันตายพร้อมกัน

    <DD>เป็นอันว่าต่างคนก็ต่าง ตาย แล้วก็น้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามที่ตรัสที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์ว่าข่าวการลอบปลงพระชนม์ทั้งสองพระองค์มีมา นาน พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า ถ้าเราไม่ไป ก็จะกลายเป็นผู้แพ้ นี่เป็นกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใน เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอาตมาส่งข่าวไปขอยับยั้งการเสด็จ ท่านผู้รับฟังทั้งหลายก็ลองคิดดูว่า

    <DD>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมี พระราชดำริอย่างไรในตัวอาตมา คงจะมีพระราชดำริว่าข่าวเพียงแค่นี้ ก็กลัวเสียแล้ว นี่หรือสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ที่เขา เรียกกันว่าปูชนียบุคคล เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสขององค์สมเด็จพระทศพล เพียงแค่นี้ก็แสดงอาการขี้ขลาดให้ปรากฏ

    <DD>ถ้าจะถามต่อไปว่า คิดอย่างนั้นมิเป็นการเย่อหยิ่งเกินไปหรือ จะเป็นการโง่แกมหยิ่งไปกระมัง อาตมาก็ต้องของตอบ ว่า เป็นเรื่องธรรมดา จะวิพากษ์วิจารณ์อะไรยังไง ๆ อาตมาก็ไม่ว่าทั้งหมด ในฐานะที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตตรัสไว้ว่า จงอย่าถือ มงคลตื่นข่าว แล้วอาตมาเองก็พร้อมที่จะตาย ถ้าความตายนั้นเป็นไปเพื่อสาธารณประโยชน์

    <DD>และถ้าจะถามว่า การที่กราบบังคมทูล อัญเชิญให้พระบาทสมเด็จพะเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทรงตัดลูกนิมิตมีประโยชน์อะไร อาตมาก็ต้องขอตอบว่าเป็นประโยชน์ใหญ่ที่สุดที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จมา คือนอกจากประโยชน์จะได้แก่วัดและภิกษุสามเณรทั้งหลายแล้ว ประโยชน์ใหญ่คือกำลังใจของประชากร มีมากจนบอกไม่ถูก พระองค์ได้ทรงแสดงความเมตตาปรานีต่อพสกนิกรของพระองค์อย่าง คาดไม่ถึง ทุกคนในขณะนี้ ซึ่งเวลาล่วงเลยไปนานแล้ว

    <DD>ยังปรารภเรื่องราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาคราวนี้ บางท่าน ถึงกับน้ำตาคลอ บางท่านถวายของที่ระลึกแล้วก็ร้องไห้ไปด้วย ที่ร้องไห้ไม่ได้เสียดายของ แต่เป็นเพราะอำนาจความปลื้มใจ บางคนก็ ถึงกับสะอึกสะอื้น โดยที่ไม่เคยคิดเลยว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช จะทรงแสดงความสนิทสนมกับปวงชนชาวไทยที่มาในงานอย่างนั้น เข้าใจกัน

    <DD>แต่ว่าจะไปที่ไหนเขาก็กีดเขาก็กัน จะถวายอะไรแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องใส่พานทอง ต้องใส่พานเงิน แต่เนื้อแท้จริง ๆ ในคราวนี้พระองค์ ทรงแสดงให้เห็นว่า พระองค์กับประชากรนั้นไม่ใช่ใคร ทรงถือว่าคนทั้งหลายเป็นพระราชโอรส พระราชธิดาของพระองค์

    <DD>เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาวันนี้ก็หมดลงเสียอีกแล้วนี่ ก็ขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

    <CENTER>สวัสดี </CENTER></DD>
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๓ </CENTER>


    <DD>ท่านสาธุชนพุทธบริษัท สำหรับวันนี้ ก็ขอต่อเรื่อง “พระเมตตา” ต่อไป

    <DD>เรื่องของข่าวที่เล่าผ่านมาก็ยังไม่หมดเสียทีเดียว ข่าวสำคัญที่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านเคยรับฟังกันมาเป็นข่าวในอดีต แต่ติดมาถึงปัจจุบัน คือเขาลือกันว่าอาตมากับเจ้าอาวาสแย่งกันเป็นสมภารบ้าง อาตมากับท่านเจ้าอาวาสแตกความสามัคคี กันบ้าง อาตมาใช้อิทธิพลบังคับให้เจ้าคณะจังหวัดลาออกบ้าง นับเป็นข่าวเกรียวกราวกันมานาน แต่บุคคลทั้งหลายที่มาในงานนี้ อาจจะทราบ ถ้าไม่ทราบก็จะบอกให้ ว่าถ้าอาตมาแตกกันจริง ๆ กับเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าอาวาส งานผูกพัทธสีมามีขึ้นไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะอะไร ?

    <DD>เพราะว่างานผูกพัทธสีมาจะมีขึ้นมาได้ก็ต้องอาศัยท่านเจ้าอาวาสขอพระราชทานวิสุงคามสีมา เพราะเป็นเจ้าอาวาสโดย ตำแหน่ง แล้วก็ต้องผ่านเจ้าคณะตำบล ต้องผ่านเจ้าคณะอำเภอ ต้องผ่านเจ้าคณะจังหวัด แต่งานนี้ที่เป็นไปได้ก็เพราะท่านเจ้าคณะ จังหวัดมีความเมตตาปรานีเป็นพิเศษ ให้คำแนะนำชี้แจงทุกอย่าง

    <DD>โดยที่ท่านเป็นผู้ชำนาญงานมามาก ในงานผูกพัทธสีมาเคยร่วมงาน กับ สมเด็จพระวันรัต (เฮ็ง เขมจารี) วัดมหาธาตุ ท่านมีอายุ ๘๐ เศษแล้วแต่งานทุกอย่างท่านทำได้อย่างกระฉับกระเฉง มีกำลังกาย มีกำลังใจ ต่อสู้กับอุปสรรค คือความเหน็ดเหนื่อย ไม่ย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อยที่จะพึงบังเกิดขึ้น นี่เห็นน้ำใจของท่านเจ้าคณะจังหวัดว่า

    <DD>ท่านมีความเมตตาปรานีเพียงใด แต่ถ้าบังเอิญอาตมาเป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูกับท่าน ท่านจะมามีเมตตาปรานีช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ ทั้งนี้ ก็รวมไปถึงท่านเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ท่านเจ้าอาวาส ต่างคนต่างร่วมมือกัน พากันได้รับความเห็นเหนื่อยในกิจนี้ไปตาม ๆ กัน นี่ข่าวลือที่เขาว่าแตกความสามัคคีกันผลจริง ๆ มันเป็นอย่างนี้ ถ้าผลอย่างนี้เรียกว่าผลของการแตกความสามัคคี มันก็ออกจะ แปลกอยู่

    <DD>คำว่าสามัคคี แปลว่าพร้อมเพรียงกัน ร่วมกันกระทำ แต่ในเมื่อทุกฝ่ายต่างร่วมกันทำอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าน เจ้าคณะจังหวัดมีความเมตตาเป็นกรณีพิเศษ มีอะไรขัดข้องไปหาท่าน ๆ ก็พร้อมให้คำแนะนำอยู่เสมอ แม้จะนำกิจนั้นไปนอกเวลา รับแขกของท่านก็ตาม ไปหาท่าน ๆ ก็เมตตาออกมารับแล้วก็ชี้แจงทุกอย่าง ด้วยอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส และก็สั่งไว้เสมอว่า มีอะไรก็มาหาฉันนะ ถามฉัน ถ้าสิ่งนั้นช่วยได้ไม่เกินวิสัย ฉันจะช่วยทุกอย่าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้

    <DD>ทำไมจึงมีข่าวว่าแตกความสามัคคีกัน เป็นอันว่า ตามที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ทรงกล่าวว่า จงอย่าสนใจกับคำสรรเสริญและนินทานั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท คำสั่งสอนของท่านเป็น ความจริง เราจะเห็นว่าคำสรรเสริญก็ดี คำนินทาก็ดี ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับบุคคลผู้รับฟัง เขาสรรเสริญว่าเราดี แต่ถ้าเราเลว เราก็ไม่ดี ไปตามคำเขาพูด เขานินทาว่าเราเลว ถ้าเราเป็นคนดี เราก็ไม่เลวไปตามคำเขาพูด นี่เรามีความสามัคคีกัน เขาลือกันว่าแตกความสามัคคี

    <DD>ในที่สุดคณะพระสงฆ์ก็ยังมีความสามัคคีกันอยู่ มีความสามัคคีกลมเกลียวกัน แล้วข่าวลือนั้นจะมีผลอะไรออกมาบ้าง ? ความจริงท่านเจ้าอาวาสท่านก็ดี ไม่มีอะไรกับอาตมา งานทุกอย่างก็ช่วยกัน อยู่กันด้วยความเป็นสุข แต่ก็มีข่าวกระพือออกไป ข่าวนั้นจะมาจากไหน อาตมาไม่ทราบ จะไปสนใจเพื่ออะไร สนใจแล้วก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ ดีหรือไม่ดีมันอยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่ความประพฤติปฏิบัติ

    <DD>นี่ แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท รับฟังแล้วก็ขอให้นำไปคิดไว้ด้วยว่าพระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า นินทา ปสังสา นินทาไม่เกิดประโยชน์ ในเวลาที่พระองค์ทรงโปรดสอนบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย เพราะปรากฏว่าในเวลานั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรกำลังถูกนินทาจากสุปรีย ปริพาชก ในขณะที่นันทมานพสรรเสริญพระพุทธเจ้า สุปรียปริพาชกผู้เป็นลุงกลับนั่งสาปนั่งแช่งพระพุทธเจ้า

    <DD>ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า พระพุทธเจ้าทรงพาพระสงฆ์ทั้งหลายเดินไป สุปรียปริพาชกก็พาสาวกของตนติดตามพระพุทธเจ้าไป ไม่กล้าจะคลาดจากพระพุทธเจ้า เนื่องด้วยพระพุทธเจ้าไปที่ไหน มีคนเคารพนับถือที่นั่น มีลาภสักการะ มีอาหารบริบูรณ์สมบูรณ์ ในเมื่อคนเขามาเลี้ยงพระพุทธเจ้า เลี้ยงพระสงฆ์ เขาก็เลี้ยงคณะของตนด้วย

    <DD>จึงได้ติดตามไปใกล้ ๆ แต่ครั้นมองไปเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรเดินไปด้วยสีหะลีลาศงามสง่า บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีความสำรวม แลดูน่ารักน่าชมน่าเลื่อมใสน่าไหว้น่าบูชา ครั้นสุปรียปริพาชก หันมาดูลูกศิษย์ของตน เห็นลุกลี้ลุกลนซุกซน ต่างหยอกต่างเย้าซึ่งกันและกัน ไม่น่าดู ไม่น่าชม น่าเกลียด

    <DD>เมื่อลูกศิษย์ของตนไม่ดี แทนที่จะติเตียนตนเองว่าปกครองลูกศิษย์ไม่ดี สอนลูกศิษย์ไม่ดี หรือสอนดีอบรมดี แต่ลูกศิษย์ไม่ทำตามก็ควรจะว่ากล่าวตักเตือนลูก
    ศิษย์ของตน แต่เพราะอาศัยน้ำใจที่เป็นอกุศล สุปรียปริพาชกไม่ทำอย่างนั้น กลับนั่งนินทาด่าว่าพระพุทธเจ้า แกล้งประณามด้วย ประการทั้งปวง

    <DD>ส่วนนันทมานพผู้เป็นหลาน เห็นความดีขององค์สมเด็จพระพิชิตมารกับบรรดาพระสาวกทั้งหลายก็นั่งสรรเสริญพระรัตนตรัย เป็นอันว่าลุงกับหลานมีคติไม่เสมอกัน ในตอนเช้า สาวกขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์ไปบิณฑบาตได้ทราบข่าวนั้นแล้ว จึงได้นำข่าวมาทูลสมเด็จพระประทีปแก้ว

    <DD>พระองค์ทรงสดับแล้ว จึงได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า นินทาปสังสาเป็นของธรรมดาของโลก คนเราเกิดมาไม่ถูกนินทาก็ถูกสรรเสริญ หรือถูกนินทาและสรรเสริญทั้งสองอย่าง

    <DD>เธอทั้งหลาย จงอย่าสนใจกับคำนินทาและคำสรรเสริญ เขาสรรเสริญว่าเราดี ถ้าเราไม่ดีตามเขาพูด คือเราเลวอยู่ เราก็ดีไม่ได้ เราดีอยู่ ถ้าเขานินทา ว่าเราเลว เราก็เลวตามคำพูดเขาไม่ได้ ขอพวกเธอทั้งหลายจงตั้งอยู่ในความสำรวม จงประพฤติแต่ความดี อย่าสนใจกับคำนินทาและ สรรเสริญ

    <DD>นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาถูกมาทุกอย่าง ข่าวจากชาวบ้าน ข่าวหนังสือพิมพ์ การปิดประกาศโฆษณา การขยาย เสียงด่าว่า ทุกอย่างมีหมด แต่ก็ยึดพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จบรมสุคต ไม่สะดุ้งสะเทือน บางทีเขาจะเห็นว่าหน้าด้าน ใจด้าน เกินไป ด่าเท่าไหร่ไม่สะเทือน ก็พระพุทธเจ้าท่านสั่งไม่ให้สะเทือน ถ้าสะเทือนแล้วก็ไม่มีประโยชน์

    <DD>เมื่อพระองค์ทรงโปรดเมตตาอย่างนี้ อาตมาก็เลยขี้เกียจสะเทือน ไม่สะเทือนเสียสบายใจกว่า เป็นอันว่าคติอันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้าก็น่าจะรับฟัง ไว้ใคร่ครวญพิจารณาดูว่าเขาสรรเสริญว่าเราดี แต่ว่าเราเป็นคนเลว แล้วมันจะดีไหม จะดีตามคำเขาพูดไหม ถ้าเราทำทุกสิ่งทุกอย่างดีแล้ว แต่เขาว่าเราเลว แล้วเราจะเลวตามเขาไหม เอาที่เห็นง่าย ๆ ว่าเรามันแก่ลงไปทุกวัน มันใกล้จะตายไปทุกวัน อายุ ๕๐-๖๐ ปีแล้ว ๗๐ ปีแล้ว

    <DD>แต่คนเขามาบอกว่า แหมท่านยังหนุ่มยังสาว ยังสาวยังหนุ่มกระชุ่มกระชวยเหมือนกับคนอายุ ๒๐ ปี ร่างกายของเรานี้มันจะกลับหนุ่มกับสาวเหมือนคำเขาพูดไหม มันก็คงไม่เป็นอย่างนั้น ร่างกายมันมีสภาพทรุดโทรมเพียงใด มันก็เป็นไปตามนั้น นี่ เป็นอันว่า ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจงอย่าถือมงคลตื่นข่าว แล้วก็จงอย่าเดือดร้อนเมื่อบุคคลใดเขาด่าเขาว่าเรา

    <DD>เพราะเราเกิดมาให้เขาด่า เราเกิดมาให้เขาว่า เราเกิดมาให้เขานินทา เราเกิดมาให้เขาสรรเสริญ ถามว่าทราบได้ยังไง ก็ต้องตอบว่าธรรมดาของโลกมันเป็นยังงั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องสู้กันไปแบบนี้ เขานินทาก็รับ เขาว่าก็รับ รับแล้วก็วางไว้ กำลังรับหมายความว่ารับฟัง ไม่ใช่รับ ฟังเข้าไว้ เมื่อใจเราไม่รับ เขาจะเป็นยังไงมันเรื่องของเขา เราไม่ต้องห่วง เรามีหน้าที่อย่างเดียว คือปฏิบัติความดีให้เข้าถึงที่สุด จบจุด ของพระพุทธศาสนา เราก็จะสิ้นทุกข์

    <DD>ทีนี้ มาคุยกันต่อไป การมีงานพระราชทานวิสุงคามสีมาคราวนี้ ได้รับความเมตตาปรานีจากบรรดาพระเถรานุเถระ ผู้ใหญ่เป็นอันมาก มีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดสามพระยาเป็นประธาน แล้วมีพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่อีกมาท่านได้มีความเมตตา มาตั้งแต่ต้นคือตั้งแต่เริ่มสร้างวัดนี้

    <DD>ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ สร้างฝั่งตะวันออก จากกุฏิ ๓ หลัง เป็นกระท่อมน้อย ๆ เป็นกระท่อมเก่า ๆ รื้อไปแล้ว ๒ หลังเพราะใช้ไม่ได้ เหลือไว้เป็นอนุสรณ์ ๑ หลังแล้วนอกจากนั้น สร้างกันมาจนกระทั้งที่ไม่มีจะสร้าง เมื่อมีผู้ศรัทธามากขึ้นจึงได้ไป ซื้อที่ฝั่งตะวันตกคนละฝั่งถนน สร้างเป็นอาคารสวยสดงดงาม มีมูลค่าตามที่เขาประเมินกัน ๓๐ ล้านเศษ

    <DD>แล้วซื้อที่ก่อสร้างศูนย์แม่และเด็กสมเด็จพระยุพราชอีก ๑๓ ไร่เศษ สร้างอาคารขึ้นอีก อยากจะรู้ก็มาชมกันเองก็แล้วกัน ฝั่งด้านตะวันตกทั้ง ๒ จุด คือวัดและ โรงพยาบาล ใช้เวลา ๓๓ เดือน เวลาก่อสร้างจริง ๆ ๓๓ เดือน ถ้านับโดยปี ๓ ปี แต่มันขาดไป ๓ เดือน เมื่องานเสร็จต่อจากนี้ก็จะแถม นิด ๆ หน่อย ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ตามสมควร

    <DD>ก็เป็นอันว่าสิ้นเงินก่อสร้างไปแล้วประมาณ ๑๕ ล้าน เงินยังให้เขาไม่หมด ยังเป็นหนี้เขาอีก ๔ ล้านเศษ พูดง่าย ๆ ว่าจะต้องใช้หนี้เขาอีก ๕ ล้านบาท ตอนนั้นพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ก็ได้กราบบังคมทูลแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ว่าส่วนที่เหลือนี้ทั้งหมด

    <DD>พวกข้าพระพุทธเจ้าคณะศิษยานุศิษย์ของพระอาจารย์วีระ ถาวโร ทั่วประเทศ จะพร้อมกันช่วยจัดหามาชำระหนี้ให้ โดยไม่ต้องให้คณะสงฆ์ต้องมีความหนักใจแต่ประการใด นี่แสดงน้ำใจของทุกท่านที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมหากุศล

    <DD>ฉะนั้นบรรดาพระสงฆ์ต่างก็มีจิตเมตตาโมทนา แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความจริงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงพระเมตตากับอาตมา ถวายเงินไว้ในขณะที่เสด็จมาปี พ.ศ. ๒๕๑๘ เงินส่วนพระองค์ สามหมื่นบาท และมีข้าราชบริพารโดยเสด็จพระราชกุศลอีก ๕ พันบาท

    <DD>ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๑๙ ได้ทูลเชิญเสด็จทั้งสอง พระองค์กับสมเด็จพระเจ้าลูกเธอไปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อาตมาสร้างวิหารกับพระไว้ที่จังหวัดสงขลา ตอนนั้น ได้มีพระมหากรุณาธิคุณถวายเงินไว้ ๒ หมื่นบาท เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ ทรงถวายที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์อีก ๓ หมื่น ๕ พันบาท และก็เมื่อ วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๒๐ ทรงนิมนต์เข้าไปที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณในพระบรมมหาราชวัง ทรงถวายอีกหมื่นห้าพัน แล้วก็มีคนติดตาม อีกพันบาทเศษ ๆ เงินทั้งหมดนี้ อาตมาจัดแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งสร้างวัด อีกส่วนหนึ่งสร้างโรงพยาบาล ในการเสด็จมาคราวนี้

    <DD>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ได้ทรงนำเงินของท่านมาถวายอีกห้าหมื่นบาท แล้วมีคนโดยเสด็จพระราชกุศลอีก ๑ พันบาทเศษ ๆ และวันนั้นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ออกเยี่ยมประชากร บรรดาประชาชนส่งเงินมอบถวายต่อพระหัตถ์ของพระองค์ทั้งสามพระองค์ได้อีก ๗ หมื่น ๔ พันบาทเศษ รวมเงินทั้งหมดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ทรงร่วมในการก่อสร้างทั้ง ๒ แห่งแล้ว นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณพิเศษ

    <DD>การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เสด็จร่วมกันมาตัดนิมิต ยกช่อฟ้า บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และเททองรูปหล่อหลวงพ่อปานในกาลก่อน ทำให้พสกนิกรของพระองค์มีความปลาบปลื้มใจเป็นกรณีพิเศษอย่างยิ่ง

    <DD>ทีนี้ ก่อนที่จะเสด็จมาถึง เมื่ออาตมาว่างจากการรับแขกก็เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านก็มีจิตเมตตา บอกว่าคุณ เอาเถอะ มีกิจอะไรก็ไปทำไม่ต้องห่วงฉัน พระมหาเถรานุเถระพระราชาคณะต่าง ๆ ท่านก็เมตตาบอกว่ามีงานก็ไปทำเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันมีที่พักสบายแล้ว

    <DD>จึงได้ออกไปยืนข้างนอก เพื่อจะพบกับเจ้าหน้าที่บางท่าน พอดีมีคณะองคมนตรี มีท่านเจ้าคุณศรีเสนาเป็นหัวหน้า แล้วท่านก็แนะนำองคมนตรีอีก ๔ ท่าน เป็น ๕ ท่านด้วยกัน บอกชื่อทุกท่านแต่อาตมาจำไม่ได้ ทุกท่านก็อุตส่าห์เดินจากที่ ๆ เขาจัดให้รับเสด็จ มาหาอาตมาที่วิหารหลังอุโบสถ

    <DD>ท่านหัวหน้าท่านก็แจ้งว่าท่านคือ ศรีเสนา หมายถึงพระยาศรีเสนา แล้วบอก ว่าท่านมีของขวัญมาถวายแล้วท่านก็เอาซองใส่ไปในย่าม อาตมาก็ไม่ทราบว่าอะไร มาจำได้ทีหลังว่าเป็นปัจจัยของท่าน หลายบาท เท่าไรอาตมาจำยอดไม่ได้ ท่านโอภาปราศรัยดี ก็ปรารภกับท่านว่าเดิมทีเดียวอยากจะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตัดนิมิตลูกแรก ข้างใน แล้วให้อีกแปดลูกข้างนอกลงพร้อมกัน

    <DD>ท่านก็เลยตอบว่าถ้ายังงั้นก็ต้องใช้วิทยาศาสตร์ช่วยละขอรับ อาตมาก็เรียนท่านบอกว่า ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เป็นชาวบ้านศาสตร์ ท่านถามว่าทำได้หรือ ทำแล้ว และลองแล้ว แต่บังเอิญเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเขาเกรงว่าจะ มีอันตรายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สายสิญจน์อาจจะไปตวัดถูกพระพักตร์หรือพระเศียรท่านเข้า ก็เลยสั่งแก้

    <DD>ความจริง อันนี้ก็ต้องเห็นใจสำนักพระราชวังเพราะต้องเตรียมป้องกันอันตรายไว้หมดทุกด้าน บรรดาท่านผู้รับฟัง ได้ฟังแล้วก็อย่าไปตำหนิท่าน นี่เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าสำนักพระราชวังปล่อยไว้อย่างที่จัดและบังเอิญเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริง ๆ เขาก็อาจมีโทษหรือถูกตำหนิ

    <DD>ทั้งนี้ก็ต้องเห็น ใจคนผู้ให้การอารักขาและรับผิดชอบ อย่าไปคิดว่า เขาลองแล้วนี่ไม่มีอันตราย สำนักพระราชวังทำไมทำอย่างนั้น ไม่น่าจะทำแบบนั้น ไม่น่าจะริดรอนความดี อันนี้ไม่ควรคิด ควรจะคิดว่าทุกคนต้องช่วยกันระมัดระวังไม่ให้อันตรายเกิดขึ้นแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เห็นว่าสิ่งใดท่าทางจะไม่ปลอดภัยต้องยับยั้งทันที อันนี้ ต้องถือว่าสำนักพระราชวังทำถูกแล้ว

    <DD>เมื่อคุยกับท่านอยู่ครู่หนึ่งก็พบ ท่านแม่ทัพภาค ๓ พลโทสมศักดิ์ ปัญจมานนท์ ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกับ พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ ท่านพามาหาก็ปรากฏว่าคุยกันเป็นอันดี ในช่วงนี้ก็ปรากฏว่าบรรดาประชากรที่อาตมาเคยไปเยี่ยมเยียนในป่า ต้องการจะมาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงมีพระราชประสงค์จะมาพบกับคนพวกนี้

    <DD>เพราะทรงตรัสกับอาตมา ที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ วันนั้นอาตมาคุยเพลินไป ความจริงถ้าจะถือเอาโทษก็มีโทษ คราวที่เข้าไป ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ พอฟังถึงตรงนี้แล้วก็โปรดทราบ ไม่ใช่เป็นการนิมนต์ไปส่วนพระองค์ หรือส่วนตัวอาตมาแต่ผู้เดียว เป็นวันสาย ใจไทย

    <DD>ตอนเช้าอาตมาไปที่งานสายใจไทยที่สำราญราษฎร์ มีพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ มีสมเด็จเจ้าฟ้าสิรินธรฯ เป็นประธาน ก็ไปฉันเช้าที่นั้นเสร็จแล้ว กลับมาที่บ้านพล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ แขกก็มาก พอตอนบ่ายถึงเวลาจะไปปลงผมไม่ทัน สององค์กับครูบาธรรมไชย เพราะผู้คนคับคั่ง

    <DD>วันนั้นเป็นวันโกน เข้าไปทั้งผมยาว ๆ ไปเจอะพระราชาคณะสมเด็จพระราชาคณะ ท่านเข้าไปก่อนท่าน ปลงผมกันหมด เจ้าพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณสุทธาธิบดี เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ท่านเห็นเข้าท่านจำได้ ท่านถามว่ามายังไง หากินไกลนักนี่ เลยกราบเรียนท่านบอกว่าวันนี้ผมปลงผมไม่ทันขอรับ งานหนักแต่เช้า

    <DD>ความจริงมันเสียมรรยาทมากเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงได้ แล้วช่างที่จะปลงผมก็หาแสนจะยากจริง ๆ ถ้าอยู่ที่วัดไม่ยาก ใช้เวลา ๒-๓ นาทีก็เสร็จ เข้าไปในกรุงเทพนี่ช่างเขามี แต่ว่าคนที่มาก็ไม่ใช่ช่าง แล้วแขกก็คับคั่งนับจำนวนพัน ไม่สามารถจะปลีกตัวไปปลงผมได้ ก็ต้องเข้าไปทั้ง ๆ ที่เสียมรรยาทแบบนั้น

    <DD>แต่ว่า สมเด็จราชาคณะหลายท่าน และพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ท่านก็ไม่ได้ปริปากว่าอะไร ท่านคงจะคิดในใจว่าไอ้ ๒ คนนี่มันคงจะเผลอไปกระมัง หรือว่าจัดการกับตัวเองไม่ทัน ก็ต้องขอกราบเรียนทุกท่านไว้ในที่นี้ด้วยว่าต้องขอประทานอภัย ที่ระเบียบใหญ่ ๆ อย่างนี้ไม่น่าจะทำอย่างนั้น แต่ก็ทำไปแล้ว มันจำเป็น วันนั้นไม่ใช่อาตมาเข้าไปแต่ผู้เดียว

    <DD>เมื่อสมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะออกมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงนิมนต์อาตมาไว้ อาตมากับครูบาธรรมไชยก็หยุดอยู่ที่นั่น วันนั้นพระองค์ทรงตรัสว่าในการที่จะเสด็จในวันที่ ๒๔ นั้น มีพระราชประสงค์จะพบคนพวกนี้ด้วย คำว่า “พวกนั้น”

    <DD>เป็นอันรู้กันว่าหมายถึง คนที่มีความยากจนเข็ญใจ มีความเป็นอยู่แร้นแค้นลำบากอยู่ในแดนไกล คือในป่า เรื่องนี้อาตมา กับพระองค์หญิงวิภาวดีทำมาเป็นปกติเห็นอะไรพอจะช่วยเหลือได้ หรือเกินวิสัยที่จะช่วยได้ด้วยตนเอง ก็ช่วยกับกราบทูลให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ถ้าสิ่งนั้นไม่เกินวิสัย พระองค์จะทรงช่วยเหลือทันที การเสด็จมาคราวนี้พระองค์มีพระราช ประสงค์จะพบคนพวกนี้ด้วยเพราะทรงปรารถนาจะสงเคราะห์

    <DD>เป็นอันว่า เมื่ออาตมายืนคุยกับท่านพลโทสมศักดิ์ มองไม่เห็นพวกนี้อยู่ข้างในจึงได้ถามเจ้าหน้าที่ว่าเขาอยู่ที่ไหน ก็ แจ้งว่าอยู่หลังพระอุโบสถ คือหลังพระวิหารออกไปรวมกันอยู่ จึงได้นำเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งเป็นร้อยตำรวจเอก ไม่ทราบว่าเป็นใครไปหา พวกนั้น โดยแจ้งความประสงค์ว่าต้องเข้าไปข้างในอย่างน้อยที่สุด ๑๐ คน

    <DD>ทีแรกเจ้าหน้าที่เขาว่าจะให้เข้าไปก็เกรงอันตราย จะมีแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เลยบอกเขาว่าตรวจค้นได้ เขาบอกว่าเกรงจะเสียมรรยาท บอกเขาว่าคำว่า “มรรยาท” ต้องไม่มีในทีนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างตลอดจนคนที่ผ่านเข้ามา ต้องตรวจค้นให้หมด จะกลัวเสียมรรยาทไม่ได้ เพื่อรักษาความปลอดภัย

    <DD>แล้วคนที่มีน้ำใจ บริสุทธิ์เขาจะต้องเต็มใจให้ตรวจค้น เป็นอันว่าจะนำคนพวกนั้นเข้ามาหมดก็ไม่ได้เพราะมีจำนวนตั้งหลายร้อยคน เขาบอกว่าวันนั้นมา กันจริง ๆ ประมาณ ๖๐๐ คนเศษ แต่เมื่อได้ข่าวว่าจะมีคนทำร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เขาจึงได้แบ่งครึ่งหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงให้เขามารอรับเสด็จ

    <DD>อีกครึ่งหนึ่งถอดเครื่องหมายออก ปะปนไปกับประชาชน ยอมพลีชีพเพื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นี่ การพลีชีพอย่างนั้น ก็เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเขาเองไม่เคย เห็นเลย เขาบอกว่าแม้แต่นั่งดูไกล ๆ เขายังไม่เคยมีโอกาสดู มาคราวนี้ได้เห็นใกล้ ๆ พระองค์ทั้งสองได้โอภาปราศรัยด้วย เขาดีใจกัน มาก บอกว่าเขาพร้อมที่จะพลีชีพเพื่อชาติพลีชีพเพื่อพระเจ้าแผ่นดินได้เสมอ

    <DD>เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายกาลเวลาที่จะพูดก็หมดไปแล้ว ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

    <CENTER>สวัสดี </CENTER></DD>
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๔ </CENTER>


    <DD>ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็คงพบกันในเรื่องราวของพระเมตตาตามปกติ สำหรับเรื่องพระเมตตาตอนนี้ ก็ จะขอเริ่มในระยะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จถึงวัด ความจริงวันนั้นอากาศแสนจะร้อน ประชาชนคับคั่งเป็นกรณีพิเศษ เฉพาะในวันเสด็จ ประชาชนมาก วันนั้นประชาชนมีมาบำเพ็ญกุศลกับวัดรวมแล้วถึง ๗ แสนเศษ นี่เป็นพระบารมีปกเกล้าจริง ๆ

    <DD>ตามปกติแล้วมีรายได้จากคนที่มาทำบุญวันละ ๖ หมื่น ๗ หมื่น วันเสาร์อาทิตย์ต้น ประชาชนมาบำเพ็ญกุศลประมาณแสนเก้าหมื่น บาท แล้วก็ต่อมาจากวันจันทร์ถึงวันศุกร์ วันละ ๗ หมื่นบ้าง วันละ ๖ หมื่นบ้าง มีอยู่ ๑ วัน ได้ ๔ หมื่นบาทเศษ แล้วคนหรอมแหรม ๆ มหรสพไม่มี มีเด็ก ๆ กรมศิลปากรมาแสดงโขนบ้าง ละครบ้างตามจังหวะ แต่อากาศก็ร้อนจัด

    <DD>เรื่องโขนเรื่องละครที่เธอแสดงนี้ ไม่ได้จ่าย สตางค์เลย เธอเต็มใจมาช่วยกันจริง ๆ เอาน้ำพักน้ำแรงมาบำเพ็ญกุศลกันจริง ๆ ถ้าบรรดาท่านทั้งหลายถามว่าได้บุญไหม ก็ต้องตอบ ว่าได้บุญมหาศาล เพราะสร้างความชื่นบานให้แก่นักบุญที่มาชม ไม่ได้เอาเงินเอาทอง ถ้ามารับจ้างแสดงก็ไม่ได้บุญแน่ นี่ให้รางวัลเธอ ๆ ก็ไม่ยอมรับให้เป็นเงินเป็นทองไม่ยอมแน่

    <DD>นอกจากมาช่วยการแสดงแล้วก็ช่วยงานก่อน คือก่อนถึงวันงานช่วยทำงานทุกอย่าง เมื่อ งานเสร็จช่วยเก็บของทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงกลับ เป็นอันว่าเป็นทั้งคณะโขนและคณะขน(ของ)แสดงโขนด้วย แสดงละครด้วย ช่วยงานก่อสร้างด้วย ช่วยจัดงานด้วยทั้งก่อนงานและหลังงาน โดยเฉพาะหลังงานนี่เป็นการสำคัญอย่างยิ่ง

    <DD>ส่วนใหญ่หน้างานจะพอหา คนได้บ้าง แต่หลังงานคนหายหมด ถ้ามีงานนานวัน แต่ว่าพอดีชาวบ้านมีลุงชิต แก้วแดงเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ฝ่ายการหุงข้าว ฝ่ายการ จัดหามาช่วยกันเลี้ยงดูประชาชน เป็นอันว่าคนทุกคนที่บำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดนี้ ต่างคนต่างเหน็ดเหนื่อย ทั้งเจ้าของถิ่นและคนที่มาจาก ต่างถิ่นเช่นจากราชบุรีบ้าง จังหวัดอื่นบ้าง แต่จากกรุงเทพ ฯ เป็นส่วนมาก

    <DD>ช่วยงานกันตั้งแต่ต้นเป็นเวลาแรมเดือนจนกระทั่งสิ้นงาน งานเลิกแล้วช่วยกันขนของเก็บ นี่จัดว่าเป็นความสามัคคีความดีของพวกท่าน อาตมาจะเว้นการสรรเสริญมิได้ที่เคยบอกกับท่านทั้งหลายว่า อย่าหลงในการสรรเสริญ แต่นี่เขาทำดี สรรเสริญไม่ผิด องค์สมเด็จพระธรรมสามิตก็ทรงสรรเสริญคนเหมือนกัน คนไหนทำดีพระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ ถ้าทำไม่ดีพระพุทธเจ้าก็ไม่สรรเสริญ ไม่ใช่เขาทำดีเราไปติว่าเขาเลว เขาเลวไปยกย่องว่าเขาดี อันนี้ผิด ไม่ เป็นไปโดยธรรม

    <DD>ก็เป็นอันว่าวันนั้น วันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาถึง ก่อนหน้าเสด็จถึงแดดร้อนจัดจนทนไม่ไหว อาตมาเหงื่อไหลซิก ๆ จนกระทั่งเขาทนกันไม่ได้ เอาแอร์มาตั้งให้ เขาสงสาร เกรงว่าจะตายเสียก่อนที่งานจะจบ เอาแอร์รับช่วยเป่าให้ก็ ดี ต้องขอขอบคุณท่านผู้จัด คือ คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ภรรยาท่าน พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ กับคุณหญิง เยาวมาลย์ บุนนาค สองท่านร่วมกัน คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาคออกครึ่งหนึ่ง แล้วก็คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ รวมพรรคพวกออกอีกครึ่งหนึ่ง

    <DD>อาตมาไม่ รู้ ซื้อมาน่ะ อาตมาไม่รู้ เพราะท่านพวกนี้ทราบดีว่าถ้าปรึกษาอาตมา ๆ คงไม่เอา เพราะเกรงว่าจะเปลืองเงินเปลืองทอง ท่านเลยไม่ปรึกษา ท่านสร้างด้วยศรัทธาของท่าน ก็ขอให้ความสุขใด ๆ ที่อาตมาจะพึงได้จากความเย็นนั้น ขอผลความดีจงส่งถึงท่านและขอทุก ท่านจงเห็นธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงรู้แล้วในชาตินี้เถิด

    <DD>พอถึงเวลาใกล้ที่พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ เหตุอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น คือฟ้าครึ้ม แดดหุบไม่มีแสงแดด อากาศเย็นสบาย เมื่อ เสด็จมาถึงแล้วปรากฏว่าเสียงฟ้าคำรามใหญ่คล้ายฝนจะตก นี่แสดงถึงบุญญาธิการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และด้วยอำนาจบารมีของพระของพรหม และเทวดา “พระ” นี่ไม่ใช่หมายถึงตัวอาตมา แต่หมายถึงพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ท่านคงจะ สงเคราะห์ เพราะเป็นเขตของพระพุทธศาสนา

    <DD>บรรดาประชากรถ้วนหน้าพากันชื่นบานเพราะความร่มเย็นเป็นสุข ร่มแดด ร่างกายก็เย็น ใจก็เป็นสุขจึงเรียกว่า ร่มเย็นเป็นสุข อาตมาก็ไปยังพลับพลาที่ประทับ เขาจัดให้นั่งคู่กับเจ้าอาวาสเข้าไปถึงก็นมัสการพระเถรานุเถระ ผู้ใหญ่ มี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดสามพระยาเป็นประธาน ทุกท่านก็มีความเมตตาเป็นอย่างดี ความจริงทุกท่านมีเมตตาอยู่แล้ว เมตตามาตั้งแต่ต้น พระทุกองค์ก็มีเมตตาทั้งหมด เพราะว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จบรมสุคต ท่านเมตตาจริง ๆ

    <DD>แม้แต่ท่านเจ้าคณะ จังหวัด ที่ข่าวเขาบอกว่าท่านเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอาตมา เปล่าเลย ไม่มีไม้เบื่อไม้เมา วันนั้นมีแต่ความชื่นบานหรรษาตั้งแต่ต้นมาแล้ว ความจริงตั้งแต่ต้นมาน่ะ ท่านเมตตาปรานีมาเสมอ จะว่าคนเข้าใจผิดก็ไม่ได้ คนที่เขาเข้าใจถูกมีเยอะ แต่ว่าข่าวที่ยุให้รำตำให้รั่วนี่ซี
    <DD>บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่รู้ว่ามาจากไหนเป็นเรื่องธรรมดา อย่าถือสาหาความเลยนะ ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นธรรมดา เราก็แก้ไขอะไร ไม่ได้ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามเรื่อง เรื่องมันก็ต้องเป็นไปตามนี้ ที่จะตัดเรื่องน่ะมันไม่ได้

    <DD>หลังจากที่อาตมาไปนมัสการพระเถรานุเถระผู้ใหญ่แล้ว ก็กลับมานั่งที่ คู่กับท่านเจ้าอาวาส เขาจัดที่นั่งไว้ข้างหน้า คณะองคมนตรี แหม แต่พอมานั่งชักคัน ๆ ก้น ที่คัน ๆ ก้นน่ะไม่ได้เกลียดคณะองคมนตรี หรือไม่ใช่จะล้อท่าน เพราะคนที่จะเป็น องคมนตรีได้นี่ ต้องมีความดีพอสมควร

    <DD>คำว่าพอสมควรก็หมายความว่า จะต้องสมควรกับที่จะเป็นองคมนตรีได้ นี่ว่ากันในชาติปัจจุบัน ถ้าว่ากันไปถึงกฎของกรรมตามหลักพระพุทธศาสนาก็ต้องแสดงว่าท่านที่จะเป็นองคมนตรีได้นั้น ต้องสั่งสมบุญบารมีมามากพอสมควร ที่จะเป็นองคมนตรีได้ อาตมาย่องไปนั่งบังหน้าท่าน ที่คัน ๆ ก้นน่ะไม่ใช่อะไรหรอก เกรงขี้กลากจะกินก้นเข้า เพราะคนขนาดองคมนตรี นี่ก็ชื่อว่าเป็นที่ปรึกษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    <DD>องค์ แปลว่าพระองค์ มนตรีแปลว่าที่ปรึกษา, ที่ปรึกษาของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวนี่ไม่ใช่ต่ำ ๆ เป็นคนที่มีศักดิ์ศรีสูง เป็นคนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงไว้วางพระราชหฤทัย เป็นผู้กลั่นกรองเรื่อง ทั้งหลายที่จะถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย หนังสือนั้น ๆ ต้องผ่านท่านเหล่านี้ไปก่อน นั่งไปนั่งมาก้นมันคัน ดุบดิบ ๆ ๆ จะเอามือคลำก็เกรงใจ นึกว่าเฮ๊ะนี่ขี้กลากขึ้นแล้วหรือยังไง

    <DD>ต่อมาเห็นพัดลมตัวที่เขาไปตั้งมันส่ายไม่ได้ ตัวส่ายได้เขาก็ไม่ เอาไปตั้งให้ มันมีตั้งหลายตัว เขาก็เอาพัดลมตั้งเป่ามาทางอาตมากับท่านเจ้าอาวาส ก็นั่งนึกว่าเอ๊ นี่มันก็ไม่ถูกไม่ควร ท่านก็ได้ลุกไป ตั้งพัดลมเสียใหม่ให้เป็นส่วนกลาง ๆ ถูกทั้งอาตมาและเจ้าอาวาสและถูกพวกท่านด้วย เป็นอันว่าทุกท่านดีแสนดี บอกไม่ถูก โอภา ปราศรัย ยิ้มแย้มแจ่มใส ที่โบราณท่านบอกว่าถ้าน้ำเต็มกระบอกแล้วมันเขย่าไม่ดัง ก็เป็นเช่นเดียวกับคณะองคมนตรี

    <DD>เมื่อท่านมี ตำแหน่งเต็มเสียแล้ว ไอ้การที่จะถือเนื้อถือตัวถือศักดิ์ถือศรี ถือยศถืออย่างก็หมดไป เพราะจะเลื่อนไปไหนมันก็เลื่อนไม่ได้อยู่แล้ว มัน ยันกำแพงถ้าจะพูดไปอีกที ก็ต้องอาศัยน้ำใจของท่านดีด้วย ถ้าน้ำใจไม่ดีเสียจริง ๆ ชาวโลกอดเบ่งไม่ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา

    <DD>นั่งอยู่สักครู่หนึ่ง เวลาใกล้เข้ามาแล้ว ประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงแตรสังข์มโหระทึกขับประโคม ได้ยินเสียงแตรเดี่ยวเป่า แสดงว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จถึงหน้าวัดแล้ว คนแน่นขนัด คน แน่นเป็นกรณีพิเศษ เมื่อเสด็จลงผู้ว่าราชการจังหวัดก็ถวายรายางานเบิกตัวข้าราชการเข้าเฝ้า ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๔ นครสวรรค์ถวายรายงาน

    <DD>หลังจากนั้นพวกมหาดเล็กก็เดินนำหน้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาข้างหน้า พอใกล้จะถึงพลับพลา ทอดพระเนตรเห็นอาตมา ท่านก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไงนี่เลยยิ้มรับ ผงกศีรษะก้มน้อย ๆ ประเดี๋ยว หนึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จตามมา องค์นี้ทอดพระเนตรเห็นก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ ซึ่งเป็นพระจริยาปกติของท่านอยู่แล้ว

    <DD>แสดงน้ำพระทัยเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา ประเดี๋ยวสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ก็เสด็จถึง เวลาสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จมา ทั้งสองพระหัตถ์เต็มไปด้วยพวงมาลัยทรงอุ้มมาเลย ตอนนี้ซี่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ตอนที่ไปยิ้มกับพระเจ้าแผ่นดิน ยิ้มกับพระราชินี ยิ้มกับพระบรมโอรสาธิราช ตอนที่นั่งข้างหน้าองคมนตรี ชักคันก้นตะหงิด ๆ จนเกรงขี้กลากจะขึ้นก้น ตรงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระโอษฐ์ พอไปยิ้มกับท่านตอนนี้ไม่คันก้นแล้ว ชักคันศีรษะ นึกสงสัยว่าขี้กลากขึ้นหัวหรือเปล่านี่

    <DD>แต่โดยปกติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทรงมีพระมหา กรุณาธิคุณต่อคนทุกชั้น ที่ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ก็โดยที่ทรงมีพระเมตตาอันเป็นปกตินั่นเอง แต่อาตมาไปยิ้มรับท่านก็ชักสงสัยตัวเอง ว่ามันควรหรือไม่ควร ควรหรือไม่ควรก็ว่าเข้าไปแล้ว หัวมันคันยิบ ๆ ๆ ๆ นี่มันยังไงนะ สงสัยว่าขี้กลากขึ้นหัวหรือเปล่าจะยกมือขึ้นเกาก็ เกรงใจคนข้างหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านองคมนตรี

    <DD>เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเข้าประทับที่ ๆ เขาจัด ไว้แล้ว ต่อมาเจ้าหน้าที่ก็อาราธนาศีล สมเด็จพระราชาคณะ คือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ถวายศีล เมื่อพระองค์ทรงศีลแล้ว พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะศิษย์หลวงพ่อปานก็อ่านรายงานกิจการทั้งหมดถวาย เมื่ออ่านจบ มองดูเห็นทั้งสาม พระองค์เตรียม อาตมาก็ลุก เจ้าอาวาสลุก เดินนำหน้าทั้งสามพระองค์เข้าพระอุโบสถ เขาจัดที่นั่งไว้ อาตมาก็ไปนั่งตามที่คู่กับเจ้า อาวาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จเข้าพระอุโบสถ แล้วสองพระองค์คือ

    <DD>สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรมโอรสาธิราชก็ไปประทับยังที่อันควร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าไปทรงพระสุหร่าย และทรงเจิมลูกนิมิตลูกกลาง ระหว่างนั้นพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ ยืนอยู่ระหว่างประตูทั้งสองด้านหน้าของโบสถ์ เห็นเขาถ่ายภาพไว้

    <DD>เมื่อทรงตัดนิมิต พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา มโหระทึกประโคม ปี่พาทย์บรรเลงเพลง สาธุการ (ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่ทราบ) หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ๒ พระองค์ก็เข้ามาหาอาตมา อาตมาคิดว่าจะประทับยืนแต่กลับทรง ประทับนั่ง อาตมาก็นั่งเก้าอี้เสียแล้ว จะยืนก็ไม่ไหวรู้สึกว่ากำลังใจดี กำลังกายมันง่องแง่งเต็มที (ง่องแง่งเพราะมันหลายวันหลายคืน มาแล้ว)

    <DD>พระองค์ตรัสด้วยหลายประการ จะไม่นำมากล่าวในที่นี้ นอกจากจะสรุปว่าเป็นเรื่องธรรมะทั้งหมด เวลานี้พระองค์ทรงสนพระทัยในธรรมะปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง จนแม้กระทั่งอาตมาเองก็ชักกลัว ๆ นี่ถ้าพระองค์ท่านทรงได้ยินคำพูดแบบนี้ ก็คงจะมีพระราชดำริ ว่าอาตมาเชียร์อีกแล้ว อาตมาชมพระองค์ทีไร ก็รับสั่งกับคนอื่นมาว่า เชียร์ อาตมาชอบเชียร์นัก เชียร์ว่ายังงั้น เชียร์ว่ายังงี้ แต่ความจริง ถ้าจะพูดว่าเชียร์ ก็ต้องยอมรับว่าเชียร์ เพราะเชียร์ตามความเป็นจริงนี่ไม่ผิดพระธรรมวินัย

    <DD>คือ พูดตามความเป็นจริงทุกอย่าง ไม่มีอะไร จะผิด พระองค์จะตรัสว่าเชียร์ก็เชียร์จะตรัสว่าชมก็ยอมรับว่าชม จะว่าสรรเสริญก็ยอมรับว่าสรรเสริญ แต่อาตมาถือว่าพูดตามความ เป็นจริง ไม่ใช่เชียร์ ไม่ใช่ชม ไม่ใช่สรรเสริญ เมื่อว่ากันตามจริง ๆ แล้วจะว่าเชียร์ หรือว่าสรรเสริญ หรือว่าชมก็แล้วแต่ เป็นอันว่า พระองค์สนพระทัยในธรรมะเป็นกรณีพิเศษ (แล้วจะคุยให้ฟังตอนหลัง เรื่องของที่อื่นไม่ใช่เรื่องของที่วัดนี้)

    <DD>ตอนหนึ่งอาตมาถวายพระพรว่า จตุปัจจัยที่พระองค์ถวายมา เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน คือท่าน พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ คุณหญิงสุวรรณภา สังขดุลย์ คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ เข้าไปเฝ้าในพระราชวังสวนจิตร ฯ พระองค์ท่านก็ ทรงมอบเงินมา ๑๐,๐๐๐ บาท รับสั่งว่าช่วยค่าเทปหลวงพ่อที่บันทึกเสียงส่งไปให้ แต่ความจริงเทปที่ส่งไปถวายไม่ถึง ๑๐,๐๐๐ บาท

    <DD>จึงได้ถวายพระพรให้พระองค์ทรงทราบว่าจตุปัจจัยที่ถวายมา ๑๐,๐๐๐ บาทนั้น อาตมาจะไม่นำมาร่วมในการก่อสร้าง เพราะตั้งจะซื้อเครื่องมาถ่ายทอดบันทึกเสียง เนื่องด้วยมีคนต้องการเทปที่บันทึกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีวัดหลายวัดมาขอรับ เรื่องวินัยกับจรณะ ๑๓ [๑๕] แต่บังเอิญเครื่องถ่ายทอดไม่มี มีธรรมดา ๆ ก็ทำไม่ไหว เครื่องนี้ความจริงบรรดาศิษย์เขาตั้งใจจะซื้อถวาย มีราคาประมาณ ๑ แสนบาท

    <DD>จึงถวายพระพรให้ทรงทราบว่าถ้าเขาจะซื้อ ก็จะเอาเงินจำนวนนี้ร่วมไปด้วย พระองค์จะได้ทรงทราบไม่ใช่จะไปอวดพระองค์ เงินทุกบาทที่พระองค์ถวายมาได้ใช้ไปในการก่อสร้าง สำหรับคราวนี้ประเดี๋ยวพระองค์จะเข้าพระทัยว่าจะเอาไปก่อสร้าง จะทรงโมทนา ไปในด้านนั้น พระองค์จึงตรัสว่า สำหรับเทปที่หลวงพ่อบันทึกนั้นมีค่ามหาศาล แล้วสมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ทรงมีพระประสงค์จะได้ ฟังพระสูตร พระองค์รับสั่งอีกว่า ทีแรกกระผมเองก็ต้องการฟังปรมัตถ์ แต่ทีหลังเมื่อได้ฟังพระสูตรก็รู้สึกว่าเป็นที่พอพระทัย และทรงเห็น ว่ามีประโยชน์มาก เพราะพระสูตรบางตอนก็เป็นธรรมะ พระสูตรทุกสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัส ก็ตรัสให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง คนที่เขาฟัง พระสูตรสำเร็จเป็นพระอรหันต์นับไม่ถ้วนแล้ว

    <DD>ที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงตรัส ไม่ว่าจุดไหนเป็นประโยชน์ทั้งนั้น นี่สำหรับท่านที่ เห็นว่าพระสูตรไม่สำคัญ ก็คงใจเข้าใจพระสูตรน้อยไป แล้ว ตอนท้ายพระองค์ก็ทรงสรุปว่า เครื่องที่หลวงพ่อต้องการ จะซื้อถวายครับ หลังจากนั้นก็ตรัสว่าอันนี้ผมถวายเองนะครับ ไม่ใช่หลวงพ่อขอผม นี่เป็นอันว่าที่ทรงตรัสอย่างนั้น ก็เพราะท่านห้ามไว้ว่า ถ้าไม่ใช่คนที่ เป็นญาติ และไม่ได้ปวารณา ถ้าไปขอ ของนั้นจะเป็นนิสสัคคิยปาจิตตี ตัวเองมีโทษทางวินัย นี่เป็นอันว่าทรงมีความเข้าใจ ทั้งธรรมะ ทั้งวินัย ทั้งกฎหมายบ้านเมืองอะไรต่ออะไรของท่านจิปาถะบอกไม่ถูก

    <DD>ท่านเข้าใจของท่านจริง ๆ ด้านธรรมะปฏิบัติน่ะ ขอประทานอภัย อย่าไปเบ่งกับท่านเข้านะ อาตมาเคยไปพบท่านมาแล้ว ๕ วาระ ท่านถามไปถามมา ถ้าเผลอเมื่อไรอยู่เมื่อนั้น เพราะลีลาที่ทรงถามเป็น ลีลาที่ปฏิบัติได้ (นี่เดี๋ยวหาว่า เชียร์อีกหรอก เอ้าเชียร์ก็เชียร์ ความจริงไม่ได้เชียร์ พูดตามความเป็นจริง) เป็นอันว่าลีลาในการวินิจฉัย ธรรมเกิดจากพระปัญญาของพระองค์หลักแหลมมาก ละเอียดลออมาก สำหรับท่านที่คิดว่าเป็นปราชญ์ระวัง ๆ ไว้หน่อยระวังไว้ให้ดีจะ บอกไว้ให้ทราบ

    <DD>นอกจากทูลรายงานเรื่องการสร้างวัดแล้ว พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ยังได้กราบบังคมทูลว่า เพื่อประโยชน์สาธารณะจึง ได้สร้างโรงพยาบาลกันขึ้นอีก มีทั้งแพทย์และพยาบาลมาทำงานอยู่แล้วรวมทั้งเครื่องอุปกรณ์ พระองค์ตรัสถามว่าถวายเป็นของสมเด็จ พระยุพราชใช่ไหม ก็กราบบังคมทูลว่าเป็นของสมเด็จพระยุพราช จึงได้ตรัสถามว่าเป็นหลังแรกใช่ไหม จึงได้ถวายพระพรไปว่าจะเป็น หลังแรกหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่คิดว่าที่อื่นเขาคงยังไม่ได้สร้างกัน หลังนี้สร้างเสร็จแล้วมีหมอแล้ว พระองค์ก็ทรงพระสรวลน้อย ๆ อาตมา

    <DD>ก็เลยถวายพระพรต่อไปว่า ถ้าถึงกาลเวลาที่จะเปิดโรงพยาบาลก็อยากจะขอทูลเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมาทรงเปิด พระองค์ก็ ตรัสว่าก็บอกเขาซีเขานั่งอยู่ที่นี่ อาตมาหันไปทางสมเด็จบรม ฯ ก็ตรัสว่า ถ้าหลวงพ่อจะเปิดเมื่อไรก็ส่งข่าวนะครับ

    <DD>หลังจากนั้น ก็ได้ ถวายพระพรไปอีกว่า ในที่นั้นได้สร้างรูปอนุสรณ์ไว้รูปหนึ่ง ท่านทรงถามว่ารูปใคร ถวายพระพรว่ารูปท่านทองดี พระพินิจอักษร มีคน เขาถามว่าปั้นเอาไว้ทำไมรูปท่านทองดีหรือพระพินิจอักษร ได้ตอบกับประชาชนที่เขาถามไปว่าที่ปั้นแบบนี้น่ะ เราปั้นพ่อจักรีเข้าไว้ คือ ท่านเป็นพระราชบิดาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ถ้าเราจะปั้นพระรูปพระเจ้าแผ่นดินไว้ทุกพระองค์ก็คง ต้องปั้นต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

    <DD>เพราะฉะนั้นก็ปั้นเสียรูปเดียว คือพ่อจักรี ได้แก่พระพินิจอักษร เราไหว้องค์เดียวก็ถึงหมด พระองค์ก็แย้มพระ โอษฐ์ เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาสมควรแล้วจึงได้ถวายพระพรว่าอีกสักครู่หนึ่งอาตมาจะไปคอยรับเสด็จที่ศาลาเรียงด้านทิศเหนือที่พระนั่งอยู่ นั่น พระองค์ก็ตรัสว่า ความจริงเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาจะสนทนากันนะครับ อาตมาจึงได้นำเสด็จออกจากพระอุโบสถ พระองค์ทรงเลี้ยว ขวาไปทางศาลที่ประทับเพราะมีผู้ถวายเงินสมทบการบำเพ็ญพระราชกุศล อาตมาเลี้ยวซ้ายไปศาลาเรียง นั่งอยู่กับพระ

    <DD>ความจริง ข่าวการเสด็จมานี่ เขาลือกันหลังงานบอกว่าอาตมานี่น่ะหน่วงเหนี่ยวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ จึง ทำให้เสด็จกลับออกไปช้า เป็นเรื่องแปลก คนที่เอาไปลือเขาคงคิดว่าอาตมานี่ใหญ่โตกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านจะต้องอยู่ ใต้อำนาจของอาตมา อาตมาจะสั่งอะไรจะต้องทรงทำตามทุกอย่าง เขาคงคิดอย่างนั้น

    <DD>แต่ความจริงตามสามัญสำนึกก็ควรจะนึกได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นบุคคลที่เราไม่ควรเข้าไปยุ่งกับท่าน พระราชภารกิจใด ๆ ที่พระองค์ทรงมีพระเมตตา ท่านจะทรง ทำยังไงก็ควรจะให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย จะไปตั้งกฎตั้งเกณฑ์ตั้งกำหนดเวลาให้ท่านนี่แม้อาตมาเองก็ไม่ยอม จะไปไหน จะทำอะไร ถ้าใครบังคับกำหนดเวลาตามใจเขา อันนี้ขอบอกไว้ก่อน ว่าไม่ยอมปฏิบัติตามจริง ๆ ถ้าไม่เห็นสมควร ด้วยไปเขียนหมายกำหนดการเข้าก่อน มีหวังไม่ทำตาม เพราะอะไร เพราะไม่ใช่ทาสนี่ จะมานั่งบังคับกันยังงั้นไม่ได้

    <DD>สำหรับเรื่องพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่นี่ก็เช่นเดียวกัน เขาหาว่าอาตมาหน่วงเหนี่ยว คิดหรือว่าตาเถรอย่างอาตมานี่หน่วงเหนี่ยวแล้วพระองค์จะทรงเชื่อ ? ดึงพระองค์ ไว้ว่าอย่าเพิ่งเสด็จไปเลย อย่างนี้ท่านทั้งหลายลองคิดว่า ทำได้ไหม ? ถ้าทำได้ก็เก่งเกินไปละ เอาละ บรรดาญาติโยมทั้งหลาย มองดู เวลาก็จะเกินไปก็ขอลาก่อนสำหรับวันนี้

    <DD>ขอความสุขสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

    <CENTER>สวัสดี</CENTER></DD>
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๕ </CENTER>

    <DD>ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็คงพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องราวของ พระเมตตา ต่อไป

    <DD>สำหรับวันนี้ ก็จะขอพักเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จไปรับเงินโดยเสด็จพระราชกุศลเสียก่อน มาปรารภเรื่องข่าวกันเสียหน่อย เพราะว่าในตอนที่แล้ว ๆ มาก็ปรารภเรื่องข่าว บางทีท่านพุทธบริษัทหรือท่านผู้ฟังอาจจะคิดว่า ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ดี สำนักพระราชวังก็ดี หรือคนทั้งหลายอื่นก็ดี กลายจะเป็นผู้ผิดไป คือกลายจะเป็นบุคคลผู้คิดประทุษร้ายอาตมาไป หรืออาจจะเห็นว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นกลั่นแกล้งอาตมา

    <DD>เพื่อเป็นการเปลื้องความสงสัยในเรื่องนี้ ก็จะขอย้อนกลับมาสักนิดหนึ่งเพื่อความเข้าใจ ตามพระบาลีกล่าวว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก อันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องถือเป็นคติประจำใจ ไม่ว่าใครทั้งนั้นในโลกต้องถูกนินทา ที่นี้การนินทาว่ากล่าว การกลั่นแกล้ง การส่งข่าวที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง

    <DD>เรามาดูความมุ่งหมายกันว่าเขาต้องการอะไร เช่นข่าวที่บอก ว่า ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ มีคนมาบอกอาตมาบอกว่ามีข้าศึกจะใช้ปืนไร้แรงสะท้อนตั้งสามจุด ไม่ใช่จุดเดียวกัน พอพระองค์เสด็จมาถึงวัด กำลังทรงประกอบพิธีหรือกำลังทรงเยี่ยมประชาชน ก็จะยิงจากทั้งสามจุดมาลงที่หมายเดียวกัน คือที่วัดจะเป็นการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ เพราะท่านผู้ยิงจะได้รับเงินรางวัลเป็นร้อยล้านหรือพันล้าน

    <DD>ข่าวที่สอง เขาแจ้งมาบอกว่าถ้าหากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ หรืออาจจะมีสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราชติดตามมา ในระหว่างงาน จะมีบุคคลเสียสละชีวิตเพื่อประโยชน์ของใครก็ไม่ทราบ เข้าประชิดพระวรกายของทั้งสามพระองค แล้วจัดการปลงพระชนม์โดยตัวเองก็พร้อมที่จะตาย

    <DD>เป็นอันว่าข่าวนี้ก็กระพือไป มีบรรดาประชาชนทั้งหลายทราบเป็นส่วนมาก แล้วก็พากันหวาดหวั่นพรั่นพรึง แต่ว่าข่าวนี้และข่าวที่แล้วมา ก็เป็นข่าวที่น่าคิด มีบรรดาประชาชนมากท่าน เมื่อได้ทราบข่าวนี้แล้วก็มาบอกอาตมาว่า

    <DD>"คณะขอผมจะยอมเสี่ยงชีวิต ยอมตายแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่นเดียวกับพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต เขาเหล่านั้นบอกว่าพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ที่ตรัสมาก่อนจะสิ้นชีพตักษัย ว่าหญิงจะยอมตายเพื่อสะเดาะพระเคราะห์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"

    <DD>ข่าวนี้แพร่สะพัดไปในปวงชนชาวไทย ส่วนมากที่ได้รับทราบ ทุกคนเห็นน้ำพระทัยของพระองค์ เมื่อคนทั้งหลายเหล่านี้ฟังข่าวว่า มีคนจะเข้าประชิดติดพระวรกายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช

    <DD>เขาเหล่านั้นพร้อมที่จะพลีชีพเพื่อจะให้พระองค์ทรงสร้างชาติ ศาสนา และประชาชนชาวไทยให้เป็นสุขต่อไป เพราะถือว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ มีฐานะคล้ายบิดามารดาของเขา บอกว่าถ้าสภาวะนั้นปรากฏจริง ๆ เขาจะยอมตายหมายความว่าถ้าข้าศึกจะทำอย่างนั้น เขาเป็นผู้มีมือเปล่า พร้อมที่จะพลีชีพเข้าสู้กับข้าศึก นี่เขามาเล่าสู่กันฟัง แล้วเขาก็ทำจริง ๆ แล้วต่อมา ก็มีข่าวอีกว่ามีคนเขาจ้างให้ลอบสังหารอาตมา ดังที่กล่าวมาแล้ว

    <DD>นี่เป็นข่าวที่สะพัดมาก่อนหน้างานและระหว่างงาน จนกระทั่งในวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ คือในวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ ก็มีข่าวว่าวันนี้เขาจะลงมือสังหารแน่ ข่าวนี้มันสะพัดมายังไง ก็มาทราบเอาจุดตอนท้ายว่าความมุ่งหมายเป็น ยังไงนั่นก็คือในระหว่างงาน นับตั้งแต่วันเริ่มต้นของงานจนกระทั่งวันสุดท้าย มีคนมาส่งข่าวตลอดกาล

    <DD>เพราะว่าเขาต้องขึ้นรถมาจาก กรุงเทพฯ บ้าง มาจากต่างจังหวัดบ้าง รถบางคันก็ผ่านหน้าวัด บางคันก็ไม่ผ่านหน้าวัด จะเป็นรถที่ผ่านหน้าวัดก็ดี ไม่ผ่านหน้าวัดก็ดี ขึ้นรถใหญ่บ้าง ต่อรถสองแถวบ้าง บางท่านก็มาถึงตลาดในจังหวัดอุทัยธานี เข้าไปรับทานอาหารในตลาดก่อนบ้าง ในระหว่างที่นั่งมาในรถก็ดี นั่งรับทานอาหารก็ดี หลายสิบท่านมีมาแจ้งข่าวทุกวันว่าพอนั่งลงแล้ว ไม่ว่าจะนั่งในรถหรือนั่งรับทานอาหาร ก็มีคนมาบอกว่า อย่าไปเลยที่วัดท่าซุง งานเขาไม่มีหรอกเพราะว่าพระมหาวีระหนีสึกไปแล้ว สึกแล้วก็หนีไปแล้ว เพราะว่าได้เงินมาก เวลานี้ไม่มีตัวอยู่

    <DD>ที่วัด ในเมื่อเขาทั้งหลายเหล่านั้นมาถึงวัดเห็นอาตมานั่งรับแขกอยู่ เขาก็เล่าให้ฟัง มีท่านหนึ่งลงจากรถ เป็นรถเล็กไม่ทราบว่าเป็นรถ ประจำจังหวัดนี้หรือจังหวัดไหน ประเภทรถ ๒ แถว เพราะลงจากรถก็พบอาตมาพอดี เขาก็บอกว่า เมื่อกี้นี้ผมนั่งมาในรถกับพวก ประมาณ ๑๐ คน แล้วก็มีคนในรถ แต่ไม่ได้แจ้งว่าเป็นเจ้าของรถหรือว่าคนโดยสาร ถามว่าจะไปไหนกัน เขาก็ตอบว่าจะมางานฝังลูกนิมิตวัดท่าซุง

    <DD>คนนั้นเขาบอกว่าอย่าไปเลย ที่วัดท่าซุงเขาไม่มีงาน เพราะว่ามหาวีระได้รับเงินมา จึงสึกและพาเงินหนีไปแล้ว เวลานี้ ไม่มีตัวตนอยู่ในวัด แต่เขาก็นั่งรถมาถึงหน้าวัด พอดีอาตมาออกไปเพื่อจะรับแขก เขาก็ชี้ให้คนที่บอกทราบว่า นั่นไงหลวงพ่อกำลังเดินออกมา คุณว่าหลวงพ่อสึกหนีไปแล้ว เอาข่าวมาจากไหน คนที่บอกเขาก็เฉย

    <DD>นี่เป็นอันจับใจความได้ว่าข่าวที่ส่งมานั้นมีความมุ่งหมายอะไร นับตั้งแต่ข่าวต้นถึงข่าวสุดท้าย เป็นอันว่าความมุ่ง หมายมีอย่างเดียว คือทำให้คนมีใจหวาดหวั่น จะได้ไม่มาที่วัด อันนี้เพื่อประโยชน์อะไรไม่ทราบ เป็นการทำลายกุศลศรัทธาของบรรดา ท่านพุทธบริษัท ความจริงข่าวประเภทนี้มันมีมาก่อนแล้วนับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ วันที่ ๑๐ สิงหาคมของปีนั้น

    <DD>ในขณะที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จมา ในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ กำลังประทับอยู่ในพระอุโบสถหลังใหม่ ก็พอดีมีพระทั้งหลายรับเสด็จ มีข้าราชการมากมายด้วยกัน ก็มีข่าวลือว่าโคมไฟดวงใหญ่ราคาเป็นแสนหล่นมาจากเพดานต้องพระวรกายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงกับประชวรหนัก หมอต้องแก้ไขอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมง

    <DD>นี่ความจริงถ้าเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นมันก็เป็นของไม่ยากที่จะพึงรู้กันได้ไม่ต้องมีการส่ง ข่าวออกไป เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นเรื่องใหญ่ การที่ประชวรจนหมอต้องแก้ไขตั้งสอง ชั่วโมงนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย ทั้ง ๆ ที่คนจำนวนหมื่นก็ทราบดีว่าเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแต่ก็มีข่าวขึ้นมาจนได้ อาศัยที่มีข่าว อย่างนี้มาก่อนอาตมาก็เชื่อในคำสอนขององค์สมเด็จพระชินวร คือพระพุทธเจ้าว่า “จงอย่าถือมงคลตื่นข่าว”

    <DD>เรื่องข่าวนี้เป็นเหตุยุให้รำตำให้รั่ว ยุให้รำหมายความว่า ถ้าเขายุให้เราตีกัน โกรธกัน เราก็รำทวนเข้าหากันประหัตประหารกันเอง โดยฝ่ายข้าศึก คือบุคคลผู้กลั่น แกล้ง ไม่ต้องเสียกำลังแรงงาน ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิต คอยยุให้เราพิฆาตชีวิตซึ่งกันและกัน เป็นศัตรูซึ่งกันและกัน มันก็ของไม่ดี อะไรนี่ถ้าเราเชื่อเขายุ เราก็ต้องรำ ทีนี้ข่าวที่ตำให้รั่ว ก็หมายความว่ายุแยงตะแคงแสะให้อาตมากับข้าราชการแตกกัน

    <DD>ในเมื่อเขาบอก ว่า “ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่” ก็ไม่รู้จะเอาใครแน่ เขาไม่จำกัดตัวลงมา จ้างคนให้ฆ่าอาตมา ความจริงข่าวเรื่องนี้ ถ้าจะปล่อยกันไปหรือไม่ นำมาคิดเลยก็รู้สึกว่าไม่หนัก คิดว่าข่าวนี้มันเป็นข่าวโคมลอย หรือว่าข่าวโดเมอึคือหาความจริงความจังไม่ได้แล้วก็ปล่อยกันไป มันก็ เป็นเรื่องเล็กถ้าไม่คิด ถ้าคิดต่อไปอีกสักนิดว่าคนที่มีความหวังดีกับอาตมาน่ะมีกี่คน

    <DD>ความจริง ถ้าจะนับกันตามจังหวัด มีทุกจังหวัด ที่ว่ามีทุกจังหวัดนี้ จะเห็นได้จากว่าเงินที่ส่งมาช่วยสร้างวัดนี้มีมาจากทุกจังหวัด บางท่านไม่สามารถจะมาได้ด้วยตนเอง อย่างจังหวัด กระบี่เป็นต้น หรือจังหวัดระนอง ตัวมาเองได้ก็มี ที่มาไม่ได้ก็ส่งเงินมาทางธนาณัติ อาตมาก็ไม่ได้ปิดไม่ได้บัง ให้เจ้าหน้าที่ลงบัญชีไว้ เป็นอันว่าทุกจังหวัดตั้งแต่เหนือถึงใต้มาเองบ้าง ส่งเงินมาบ้าง จากเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน จังหวัดตราด จังหวัดสกลนครอะไร พวกนี้ เยอะแยะ ตลอดสายส่งมาเป็นจดหมายทุกเดือน

    <DD>อาตมาก็ไม่ได้ปิดบัง ส่งเช็คไปรษณีย์และธนาณัติให้เจ้าหน้าที่บันทึกไว้ว่า คน นี้เขาส่งเงินมาจากจังหวัดไหน แล้วก็ทำบุญเท่าไร ให้ลงบัญชีของวัด นี่เป็นอันว่าบรรดาคณะท่านพุทธบริษัทที่มีความหวังดีต่ออาตมา หรือมีศรัทธาในพระพุทธศาสนามีมากท่าน แล้วข่าวนี้เขายุว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จ้างคนฆ่าอาตมา ข่าวนี้ก็ฉลาดพอ ไม่บอกว่าเป็น ข้าราชการชั้นไหน ไม่บอกว่าเป็นใคร ไม่บอกว่าเป็นข้าราชการตำรวจทหารพลเรือน ไม่บอกด้วย

    <DD>ทีนี้ ถ้าข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป คนที่มีความดีกับอาตมาเขาจะมีความรู้สึกยังไงบางท่านที่ขาดการยั้งคิดหรือคิดน้อย ไป เพราะความจงรักภักดีก็จะพากันโกรธ พากันเกลียดข้าราชการ เป็นอันว่าข้าราชการทั้งหมดต้องเป็นศัตรูกับคณะศิษยานุศิษย์ หรือ คนที่เขายอมรับนับถืออาตมา

    <DD>ท่านทั้งหลายฟังแล้วก็จงคิดต่อไปว่าไม้ขีดก้านเดียวสามารถจะเผาเมืองได้ทั้งเมือง เพราะต้นเพลิงมันมี จุดเดียวเท่านั้น คือแค่ไม้ขีดอันเดียว นี่ข่าวนี้ก็เหมือนกันเขาปล่อยเก่ง บอกว่า “ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่” จ้างคนฆ่าอาตมา เป็นอันว่าก็เลยไม่ทราบว่าข้าราชการคนนั้นเป็นใคร แล้วคราวนี้มีอะไรล่ะ การประกาศเป็นศัตรูซึ่งกันและกันมันก็เกิดขึ้น เป็นเหตุให้บรรดาประชากร ทั้งหลายที่มีความหวังดีกับอาตมาเกลียดข้าราชการ

    <DD>ทีนี้ การเกลียดชังข้าราชการมันก็ไม่ใช่ของเล็ก คนทุกคนก็มีพวก ดีไม่ดีก็ไปก่อเหตุบาดหมางซึ่งกันและกัน หวัง ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน คนหนึ่งคนก็มีพ่อมีแม่มีพี่มีน้อง มีพวกมีพ้องมีเพื่อน การแตกสามัคคีมันก็จะกว้างขวางออกไป เป็นอันว่า ประเทศไทยทั้งประเทศอาจจะเป็นเหตุแตกความสามัคคีกันทั่วประเทศก็ได้ น้ำผึ้งหยดเดียว เป็นเหตุให้เกิดสงครามได้ฉันใด ไม้ขีดก้านเดียวเป็นเหตุให้เผาผลาญเมืองทั้งเมืองได้

    <DD>ฉันนั้น ข่าว ๆ เดียวที่เขาบอกว่าเป็น “ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่” นี่เขาเก่งมากยุให้รำตำให้รั่ว ทีนี้ ยุแล้วก็รำ เชื่อคำยุจะเห็นว่าข้าราชการทุกคนไม่ดีจริง ๆ เอาละ ประชาชนคิดอย่างนั้นก็ก่อตัวเป็นปฏิปักษ์กับข้าราชการ ทีนี้พวก ข้าราชการก็จะคิดว่าเจ้าพวกนี้ประกาศเป็นศัตรูกับเรา ไม่ได้มาเป็นปฏิปักษ์กัน ต้องต่อสู้กัน เป็นอันว่าการก่อการวิวาทแตกความ สามัคคีจะขยายวงกว้างไปทีละน้อย ๆ ในที่สุด คนทั้งประเทศก็แตกความสามัคคีกัน ผลดีจะเกิดกับใคร ? นั่นก็คือ ข้าศึก ทีนี้ข้าศึกพวกนี้เป็นใคร ก็ไม่ทราบเหมือนกัน

    <DD>ฉะนั้นที่องค์สมเด็จพระภควันต์กล่าวว่า จงอย่าถือมงคลตื่นข่าว อาตมาเชื่อ จึงเฉยเสีย เขาจะส่งข่าวยังไงก็รู้สึกเฉย ในระหว่างที่มีงานก็ดี ในวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จมาก็ดี เห็นหน้าข้าราชการทุกคนก็ยิ้มแย้มแจ่มใสมีหน้าตาสดชื่น ไม่มีใครแสดงออก หรือประกาศการเป็นศัตรูกับอาตมาไม่มีเลย ตลอดจนกระทั่งท่านแม่ทัพภาค ๓ เห็นท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็คณะองคมนตรี มีเจ้าคุณศรีเสนาเป็นหัวหน้า เห็นอาตมายืนอยู่ ณ ที่ไกล ท่านก็ลุกจากที่นั่งของท่านที่เขาจัดไว้ให้ เดินมาหาอาตมา

    <DD>ท่านก็โอภาปราศรัยดีแสดงความเมตตาปรานีข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการพลเรือนทุกท่าน ต่างคนท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส นี่เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย การฟังข่าว นั้น ฟังแล้วก็วางไว้ อย่าถือว่าอะไรเป็นสาระสำคัญ เพราะเรื่องราวที่เราจะสอบสวนได้เองมีอยู่ ฟังแล้วก็ใช้เหตุผลเป็นสำคัญ ไม่ใช่พอรับข่าวแล้วก็โกรธคนนั้น ด่าคนนี้ ว่าคนโน้น คิดประทุษร้ายคนนั้น

    <DD>อันนี้ไม่ถูก มันเป็นการทำลายความสุขของเรา เป็นการทำลายความ สามัคคี ถ้าจิตใจของบรรดาพวกเราทั้งหมดปรากฏว่าเป็นอย่างนี้ ไม่ช้าประเทศชาติเราก็สลาย เป็นอันว่าข่าวทั้งหลายทั้งหมดขอได้ โปรดทราบว่าผลที่มันจะพึงเกิดขึ้นก็คือหวังร้ายต่อพวกเรา

    <DD>ทีนี้มาอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องหมายกำหนดการที่พูดมาแล้ว บางทีท่านทั้งหลายจะคิดว่าอาตมาพูดเลอะเทอะไป ที่บอกว่าถ้าใครเขาเขียนกำหนดการให้อาตมา โดยที่อาตมาไม่เห็นชอบนั้น อาตมาไม่ยอมปฏิบัติอันนี้เป็นความจริง เคยมีงานหลายจุด ที่เขาสั่งให้ทำ เขาไม่ได้แจ้งมาก่อน อาตมาไม่ยอมปฏิบัติตาม แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า

    <DD>อาตมามีอำนาจไปยุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าไม่ต้องปฏิบัติตามหมายกำหนดการ อาตมาไม่มีอำนาจทำอย่างนั้น เป็นแต่เพียงคนเขามาบอกว่าอาตมาน่ะหน่วงเหนี่ยว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ท่านจะต้องไปพระราชทานธงลูกเสือชาวบ้าน อาตมาแกล้งหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้ คือคนพูดนี่เขา อาจจะคิดว่า อาตมานี่มีความเป็นใหญ่เป็นโตกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    <DD>แต่ความจริงพระองค์จะเสด็จไปช้าหรือเร็ว นั่นเป็นเรื่องของพระองค์ การสั่งสนทนาย่อมเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ใช้เวลาไม่มาก อย่างในพระอุโบสถก็เวลาเพียง ๑๐ นาทีเศษ ๆ แล้วต่อไปก็ เสด็จไปทรงรับเงินโดยเสด็จโดยพระราชกุศล ต่อมาที่ศาลาเรียงด้านเหนือพระอุโบสถ

    <DD>พระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับพระทุกท่าน แล้วก็เสด็จมาที่อาตมา ด้วยชาวบ้านเขาทำมีดหมอมา เพื่อขอพระราชทานพระกรุณาให้ทรงพระสุหร่ายแล้ว อธิบดีกรมอนามัยก็จะขอพระราชทานให้ถวายพัดกับอาตมาเป็นที่ระลึก ที่ได้สร้างโรงพยาบาล ซึ่งได้สร้างเสร็จไปแล้ว มีหมออยู่แล้ว

    <DD>เมื่อถวายเสร็จก็ทรงปราศรัยอยู่ตามสมควรใช้เวลาไม่มาก หลังจากนั้นก็เสด็จไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎร การเยี่ยมเยียนราษฏรในวันนี้ทำให้บรรดาประชากร มีความสดชื่นมาก สดชื่นเป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะทั้งสามพระองค์ทรงแสดงให้เห็นชัดว่าบรรดาพุทธบริษัทที่เป็นประชากรทั้งหลาย เขามีความประสงค์ดีต่อพระองค์ ปรารถนาจะร่วมบุญร่วมกุศลด้วย

    <DD>เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท สำหรับวันนี้เวลาก็หมดเสียแล้ว ก็ต้องขอลาท่านก่อน รอรับฟังวันหน้าต่อไป ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน.

    <CENTER>สวัสดี</CENTER></DD>
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๖

    พระปฐมบรมชนก "พระพินิจอักษร" (ทองดี)
    </CENTER>

    <DD>บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็มาพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องพระเมตตาต่อไป แต่ก่อนจะพา ท่านพุทธบริษัททั้งหลายไปที่ศาลาที่ประทับ ขอย้อนกลับถอยหลังมาอีกนิดภายในพระอุโบสถ เล่าถอยหลังคราวนี้ก็ไม่ทราบว่าจะเป็น การซ้ำกับของเดิมหรือไม่ เพราะว่าหนังสือที่ออกมาก็ดี เสียงที่ปรากฏก็ดี เป็นการบันทึกโดยไม่ได้เรียบเรียงไว้ก่อน เอากันขั้นความทรง จำเท่านั้น การพูดจะเป็นการถอยหลังไปเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่หรือไม่ก็ไม่ทราบ

    <DD>ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ประทับอยู่ในพระอุโบสถ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตัดนิมิตแล้ว ท่านก็มานมัสการอาตมากับท่านเจ้าอาวาส เสด็จประทับนั่ง แต่ความจริง วันนั้นอาตมาชักงง ๆ เหมือนกัน จำไม่ได้ว่าพระองค์ประทับนั่งหรือประทับยืน แต่ปรากฏในภาพถ่ายเป็นภาพพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชประทับนั่งคุกเข่า

    <DD>ในขณะนั้นพระองค์ทรงไต่ถามอะไรบางอย่าง ที่ทรงไต่ถามก็ไม่มีอะไร ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของธรรมะ เพราะพระองค์สนพระทัยในธรรมปฏิบัติมาก แล้วต่อมาก็ได้ทรงปรารภถึงเรื่องโรงพยาบาล ที่ พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อปานฝ่ายฆราวาส ได้กราบบังคมทูลไว้ ว่านอกจากจะสร้างวัด สร้างโรงเรียน ก็ยังเห็นประโยชน์ในการสร้างโรงพยาบาล เพื่อเป็นสถานที่รักษาโรคภัยไข้เจ็บของปวงชนทั้งหลาย

    <DD>เพราะว่า ตามธรรมดาคนเราทุกคน สัตว์ทุกประเภท เกิดมาต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สบายเหมือนกันหมด พระองค์ตรัสถามว่า ยกให้เป็นโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชใช่ไหม อาตมาก็ถวายพระพรไปว่าให้เป็นโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช แต่ความจริง เดิมทีเดียวไม่ได้ คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต คิดแต่พียงว่า ถ้าหากเป็นได้แค่สุขศาลาชั้น ๒ ก็พอใจ เพราะอย่างน้อย สุขศาลาชั้น ๒ ก็เป็นที่อาศัยเป็นที่พักพิงเบื้องต้น ของบรรดาประชาชนผู้ป่วยไข้ไม่สบาย จิตใจมิได้ทะเยอทะยาน จะให้เป็นโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช แต่ทว่าที่ทำไป อาคารโตกว่าสุขศาลาชั้น ๒ เพราะว่าเอาแบบของสุขศาลาชั้น ๑ มาทำ และเนื่องจากมีที่มากถึง ๑๓ ไร่ จึงได้ปลูกอาคารเล็ก ๆ ไว้เป็นที่พักของคนไข้ ที่ต้องการอยู่เป็นอิสระ เจตนาเดิมก็มีเท่านั้น

    <DD>แต่ต่อมาท่านพล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ และคณะบอกว่าเวลานี้เขาประกาศ กันเรื่องโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จะถวายเสียเลยดีไหม อาตมาก็ไม่ขัดข้อง ถ้าถวายได้ก็ดี เป็นการถวายพระราชกุศลแด่พระองค์ เป็นเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องไม่ดี จึงได้ทำการถวายไปตามระเบียบ ส่งไปทางแพทย์ใหญ่ประจำจังหวัด แพทย์ใหญ่ประจำจังหวัดส่งเรื่องเข้ากรม กรมส่งเรื่องราวเข้ากระทรวง กระทรวง ตีหมายกลับลงมาให้กรมอนามัยพิจารณาตามสมควร เพราะว่าโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชนี่ ตามเกณฑ์เขาต้องตั้งอยู่ในถิ่นกันดาร แต่นี้อาคารทางราษฎรช่วยให้ทั้งหมด แล้วยังช่วยอุปกรณ์การแพทย์อีกมากมาย เป็นจำนวนเงินนับแสน แล้วยังจะช่วยกันต่อไป เพราะถือว่าการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มันเป็นความดี สร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น

    <DD>ถ้าคนไทยเราทุกคนกลายเป็นคนป่วยไข้ไม่สบาย เมื่อคนไทยอ่อนแอ ประเทศชาติก็อ่อนแอ เพราะคนเป็นกำลังของประเทศ จะต้องช่วยกัน รักษากำลังของประเทศให้ทรงอยู่ไทย จึงจะเป็นไทย มิฉะนั้นไทยจะกลายเป็นทาส เมื่อทุกคนพร้อมใจกันให้ไปและกระทรวงส่งให้กรม พิจารณา กรม คือท่านอธิบดีกับรองอธิบดี ตลอดจนกระทั่งคณะหลายท่านด้วยกันมาหาอาตมา บอกว่าจะให้เป็นศูนย์แม่และเด็กชนบท จะเอาไหม

    <DD>อาตมาก็ตอบว่าเอาทุกอย่าง เพราะเจตนาเดิมแค่สุขศาลาชั้น ๒ เท่านั้น แต่ขนาดจะให้แพทย์มาประจำก็เอาทั้งนั้น ชื่อจะเป็นอะไรไม่สำคัญ เป็นศูนย์แม่และเด็กก็ดี ถามท่านว่ามีคลินิกสำหรับรักษาคนทั่วไปไหม ท่านก็บอกว่ามี ถ้าอย่างนั้นตกลง มี ความประสงค์อยู่อย่างเดียวว่าอะไรเป็นปัจจัยความสุขของประชาชนในประเทศไทย ก็เป็นที่พอใจของอาตมาก็เป็นอันตกลงกันว่าให้ เป็นศูนย์แม่และเด็ก และให้มีคลีนิคในการรักษาประชาชนด้วย

    <DD>วันที่ ๑ เมษายน จึงได้เปิดทำการรักษารับฝากครรภ์ เริ่มงานมาแล้วจนกระทั่งบัดนี้ ที่บันทึกเสียงนี้ก็ปรากฏว่าเป็น วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๐ มีคนไข้เข้ามารักษาที่โรงพยาบาลนี้เกินกว่า ๕๐๐ คน นับแต่วันตั้งแต่วันเปิดรับคนไข้ใหม่ ๆ กลับมีข่าว เข้ามาบอกว่าโรงพยาบาลนั้นเขารับรักษาแต่คนในวัดเท่านั้น ไม่รับรักษาคนภายนอก มาอีกแล้ว เรื่องข่าวนี้มีเยอะจริง ๆ

    <DD>บรรดาท่าน พุทธบริษัท เรื่องของโลกเป็นอย่างนี้ ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่าโลกเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงอะไรไม่ได้ ถ้าเราไปยึดถือข่าวคราวของ ชาวโลก ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ แต่ทว่า ก็มีคนบางคนพยายามย่อง ๆ มาดู อยากจะรู้ว่าโรงพยาบาลนี้เขารับรักษาเฉพาะพระกับคนในวัดเท่านั้น หรือว่ารับรักษาประชากรภายนอกด้วย

    <DD>เมื่อขึ้นไปบนโรงพยาบาลก็ปรากฏว่าพบนายแพทย์ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ในระยะต้น ท่านแพทย์ใหญ่คือ หมอปรีชา แพทย์ใหญ่ประจำจังหวัด ให้ภรรยา ซึ่งเป็นแพทย์ชั้นเอก มาอยู่ประจำก่อน แล้วต่อมาก็หาแพทย์หนุ่ม ยังไม่ได้ถามชื่อเลย คนนี้หน้าตาดีเป็นแพทย์ใหม่ แต่มีน้ำใจดี โอภาปราศรัยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็มีจันทร์ดี พยาบาลและมีเจ้าหน้าที่มาอยู่ประจำ พอขึ้นไปตรวจรักษาก็ปรากฏว่า หมอให้ยาไป เป็นครั้งแรกไข้เขาก็หายทันที คราวนี้ข่าวก็แพร่สะพัดไปทันทีว่า โรงพยาบาลโรงนี้ ไม่ใช่รับแต่คนภายในคนภายนอกเขาก็รับเหมือนกัน

    <DD>เมื่อข่าวนี้กระจายออกไป คนก็เต็มใจมารับการรักษาพยาบาล บางท่านก็อยากจะนอนค้างที่โรงพยาบาล แต่บังเอิญอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ไม่มีพอ เพราะเวลานี้มีนายแพทย์อยู่ ๑ คน มีพยาบาลอยู่ ๑ คน ส่วนคนที่สมัครจากโรงพยาบาลตำรวจก็ยังไม่ได้รับโอนมา เป็นอันว่า ยังรับคนไข้ค้างไม่ได้ ในระหว่างที่พูดเข้าใจว่า หลังจากพูดไปนี้ ไม่กี่วัน ก็คงจะรับคนไข้ค้างนอนได้ เพราะมีคณะศิษยานุศิษย์ของอาตมาได้จัดหาอุปกรณ์สำหรับคนไข้ มีเตียงสำหรับคลอด มีเตียงนอน มี เครื่องดูดเสมหะ อะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะ มอบให้แก่โรงพยาบาล นับเป็นมูลค่าแล้วเงินเกินกว่าแสนบาท แล้วก็ยังจะสงเคราะห์ อุดหนุนโรงพยาบาลนี้ตลอดไป เท่าที่จะพึงสามารถช่วยหาให้ได้ตามกำลังทรัพย์

    <DD>ศรัทธาน่ะมีมาก แต่ทรัพย์เท่านั้นแหละจะมีไม่มาก แต่ว่าของใหญ่ย่อมมาจากของเล็ก ของมากมาจากของน้อย พากันช่วยคนละอย่างสองอย่าง ถ้าชิ้นไหนโตเกินไปก็หลาย ๆ คนช่วยกัน ร่วมมือกับทางราชการ อย่างนี้ไม่ช้าทางโรงพยาบาลก็จะมีเครื่องมือครบครัน แล้วยังจะไม่ถอนกำลังใจเพียงเท่านั้น จะช่วยกันต่อไป

    <DD>แล้วต่อมา ทางท่านอธิบดีมาแจ้งว่า จะสร้างตึกอีกหลังหนึ่ง เป็นตึกสำหรับบรรจุคนไข้คลอดบุตรได้ ๓๐ เตียง มีห้อง ผ่าตัด มีห้องคลอด มีอะไรต่ออะไรครบ ถ้าตึกหลังนั้นปรากฏขึ้นพวกเราก็จะช่วยกันอีก มีอะไรบ้างที่โรงพยาบาลต้องการ ถ้าไม่เกินวิสัย คือช่วยราชการ ไม่ใช่เหมาแต่ผู้เดียวในสิ่งที่พวกเราจะพึงให้ได้ ในระหว่างนี้ ก็จะออกเงินตั้งหม้อแปลงกระแสไฟฟ้าให้ เพราะว่า โรงพยาบาลต้องใช้ไฟ ๓ เฟส ไฟที่ใช้ประจำอยู่เป็นไฟ ๒ สาย เมื่อสร้างตึกเข้ามาอีกหลังหนึ่ง อันนี้ก็เห็นจะต้องใช้กระแสไฟมากจึงจะ ตั้งหม้อแปลงให้ ๓๐ เค.วี.เอ. ไฟไม่พอในการใช้สำหรับรักษาพยาบาล

    <DD>ทีนี้ตอนนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า เป็นโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหลังแรกใช่ไหม อาตมาก็ ถวายพระพรว่ายังไงก็ไม่ทราบ แต่ว่าที่อื่นเขายังไม่ได้สร้าง ตอนนี้อาตมาก็ถวายพระพรขอพระกรุณาจากพระองค์ว่า ถ้าหากว่าทางราชการสร้างตึกบรรจุคนไข้ ๓๐ เตียง เป็นตึกสูติกรรมเสร็จ ก็จะขอทูลเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมาทรงเปิด พระองค์ก็ทรงมีพระราชดำรัสว่า ก็บอกเขาซี ความจริงสมเด็จพระบรม ท่านก็ประทับอยู่ใกล้ ๆ อาตมาก็หันหน้าไปทางสมเด็จพระบรมฯ ไม่ทันจะออกปาก ทูลเชิญ ท่านก็ทรงตอบว่า ถ้าหลวงพ่อจะเปิดเมื่อไรก็โปรดส่งข่าวเถอะขอรับ

    <DD>ต่อมาถามท่านอธิบดีว่าตึกสูติกรรม ๓๐ เตียงจะเสร็จเมื่อไร ท่านก็บอกว่าปี พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นอันว่าถ้าเสร็จ อาตมาก็จะขอให้ พล.ร.อ. จิตต์สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหม กราบบังคมทูลเชิญองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มาทรงเปิด ตามที่ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณประทานโอกาสไว้ นี่เป็นจุดหนึ่งในการสั่งสนทนา กับท่านในพระอุโบสถ ซึ่งเป็นสาระสำคัญ

    <DD>แล้วสำหรับรูปที่มีอยู่นั้น อาตมาถวายพระพรว่า เป็นรูปของพระพินิจอักษร ที่มีนามว่า"ทองดี" เป็นสมเด็จพระราชบิดาของรัชกาลที่ ๑ อาคารทุกหลัง ก็ถวายชื่อเป็นพระพินิจอักษรหมด เพราะก่อนจะทำการก่อสร้าง ท่านแสดงพระองค์ปรากฏ ๓ ครั้ง แต่การกระทำอย่างนี้ ไม่เป็นการกระทำแข่งขันกับทางราชการ เพราะทราบมาว่า

    <DD>พระพินิจอักษรทรงประสูติในเรือ เป็นฝั่งตรงข้ามกับสถานที่ทำการก่อสร้างไว้ จึงนึกถึงความดีของพระองค์ ในฐานะที่เป็นทั้งชาวสุโขทัยแล้วก็ชาวกรุงศรีอยุธยา รวมความว่าเป็นคนของผืนแผ่นดิน นอกจากเป็นชาวสุโขทัย ชาวอยุธยาแล้ว ก็ยังเป็นชาวเชียงแสนด้วย เพราะท่านสืบเชื้อสายมาจากเชียงแสน ชาวเชียงแสนมาตั้งที่สุโขทัย แล้วต่อมาพระราชโอรสของพระองค์ก็ได้เป็นใหญ่ในกรุงเทพฯ เป็นอันว่าวงศ์นี้เป็นวงศ์ที่มีคุณต่อประเทศชาติอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเป็นแม่ทัพสำคัญในการกู้ชาติ ที่พระเจ้าตากสินมหาราชเป็นหัวหน้า

    <DD>แล้วต่อมาเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชเถลิงราชสมบัติเป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เป็นกำลังใหญ่ในการปราบปรามข้าศึก ต่อมาสมัยที่ทรงเป็นกษัตริย์ พระองค์ก็ทรงปราบปรามข้าศึก รักษาเอกราชให้ชาติไทยอยู่รอดเป็นอิสระจนกระทั่งทุกวันนี้ แต่ท่านผู้รับ ฟังอาจจะคิดว่าการรบทัพจับศึกไม่ใช่เรื่องของบุคคลคนเดียว ถ้าสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรบคนเดียว อาจจะยกย่องสรรเสริญว่าเป็นคนสำคัญ

    <DD>แต่นี่..ท่านต้องใช้กำลังทหารเข้าช่วย เราจะมายกย่องสรรเสริญกันได้ยังไง ถ้าคิดแบบนี้ ก็ลองคิดว่า ถ้าท่านนั่งรถ นั่ง เรือไป นั่งเรือคนควบคุมเรือไม่ดี นั่งรถคนควบคุมรถไม่ดี ชีวิตของท่านก็อาจจะไม่รอด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะถ้ารถตกถนนชนกัน ชน ต้นไม้ ท่านก็ตาย ถ้านั่งเรือไป คนคุมเรือไม่ดี ไปชนกับใครเรือล่ม ท่านก็ตาย

    <DD>ทีนี้ท่านจะถือว่าคนที่ควบคุมรถ ควบคุมเรือเป็นคนสำคัญ หรือว่าไม่สำคัญ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าประเทศชาติจะทรงอยู่ได้ ก็ต้องหัวหน้าเป็นคนสำคัญ เป็นอันว่า อาตมาเห็นว่า ท่านทองดีเป็นพระราชบิดาสำคัญของพระมหากษัตริย์ไป คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แล้วเวลานี้ วงศ์ของท่านทองดีก็ยังครองประเทศชาติอยู่

    <DD>โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ พระราชจริยาวัตรของพระองค์เป็นยังไงท่านทั้งหลายก็เห็นแล้ว ถ้าพูดมากไปเดี๋ยวจะหาว่าเชียร์พระเจ้าแผ่นดิน จะเอาดีกันบ้าง ประจบสอพลอพระเจ้าแผ่นดินบ้าง เลยไม่คุยดีกว่า คุยไปก็ แค่นั้น เห็นเอง ประเดี๋ยวก็จะได้รู้กันว่าพระองค์แสดงอะไรบ้าง แล้วมีการสัมผัสกันยังไง รู้กันข้างหน้า

    <DD>เมื่ออาตมาถวายพระพรว่ารูปที่ทำขึ้น คือรูปท่านทองดี หรือพระพินิจอักษร พระองค์ก็ทรงนิ่ง อาตมาก็พูดต่อไปบอก ว่าชาวบ้านเขาถามว่ารูปใคร ปั้นไว้ทำไม ก็ได้ตอบเขาไปว่า ท่านเป็นครู ท่านต้องการให้สร้างโรงเรียนให้ท่านเป็นอนุสรณ์ อาตมาก็ สร้างแล้วท่านต้องการให้สร้างโรงพยาบาลให้ท่าน ท่านบอกว่าท่านเป็นหมอด้วย สมัยโน้นคนเป็นหมอง่าย เรียกว่าหมอยาป่าหรือหมอโบราณ มีความรู้ทางหมออยู่บ้างพอสมควร ท่านว่ายังงั้น

    <DD>เพราะเรื่องความเป็นหมอนี่ คนโบราณถือว่ามีความสำคัญ จะต้องช่วยตัวเอง ได้ในอันดับต้น คนทุกคนในสมัยโบราณจึงเป็นหมอกัน หมอไม่มีปริญญาบัตร แต่ทว่าสามารถกำจัดโรคที่เกิดขึ้นซึ่งไม่เกินวิสัยได้ ฉะนั้นการสร้างโรงพยาบาลจึงให้ชื่อเป็นของท่านหมด อาคารทุกหลังเป็นอาคารพระพินิจอักษร ถ้าจะถามว่าท่านดีใจไหม ก็ต้องตอบว่าท่านดีใจ เพราะเวลาที่เขาจะปั้นรูป รูปตัวอย่างอาตมาก็ไม่มี เป็นแต่เพียงบอกลักษณะที่เห็นท่านมายืนให้เห็น ให้ช่างเห็น แล้วท่านก็บอกว่า ถ้าปั้นรูปใหญ่ผมจะช่วย มีส่วนคล้ายคลึงประมาณสัก ๓๐ เปอร์เซ็น ก็เป็นอันว่าใช้ได้

    <DD>เพราะไม่มีรูปก็ปั้นไปตาม...อะไร จะว่าเป็นมโนภาพก็ไม่ได้ เพราะท่านแสดงตัวให้ปรากฏ ไล่ไปไล่มาถามว่า เอาใครเป็นแบบฉบับที่ดี ที่คล้ายคลึง ท่านก็บอกว่าเอารูปรัชกาล ที่ ๖ คล้ายคลึงมาก แต่ผมมากกว่านั้น เหลนผมคนนี้ผมน้อยไปหน่อย พุงโตกว่าผมนิดหนึ่ง พอท่านบอกอย่างนี้ก็พอเดาได้ แต่ว่าจะให้ เหมือนนั้นไม่เหมือนแน่ รับรองว่าไม่เหมือน ถึงแม้เอาตัวจริงมายืนให้ปั้นก็ไม่เหมือน เพราะคนกับปูนเหมือนกันไม่ได้ อีกอย่างหนึ่ง จะ ปั้นให้เหมือนทุกส่วนก็ทำไม่ได้ เอาแต่เพียงว่าเป็นสัญลักษณ์เป็นเครื่องหมายว่า เป็นท่านพระพินิจอักษรก็ใช้ได้แล้ว

    <DD>เมื่อชาวบ้านเขา ถามก็เลยบอกว่า ปั้นรูปต้นวงศ์จักรีเข้าไว้ เพราะว่าถ้าเรามีความเลื่อมใส มีความจงรักต่อพระราชวงศ์จักรี คือพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๙ ถ้าจะพากันสร้างรูปของพระองค์ทั้งหมด เราก็ทำกันไม่ไหวแล้วเวลาจะไหว้ ก็ต้อง เดินไปไหว้ทั้ง ๙ พระองค์ เหนื่อยแย่ เอายังงี้ดีกว่า ปั้นต้นวงศ์จักรีไว้องค์เดียวพอ แล้วเราไหว้ต้นวงศ์จักรีองค์เดียวก็ถึงลูก หลาน เหลน ทั้งหมด บรรดาประชาชนที่รับฟังเขาก็พอใจ เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับ จะทรงพอพระทัยหรือไม่นั้น อาตมาไม่ทราบ แต่พระองค์ก็ไม่ได้ คัดค้าน แล้วก็ไม่ได้สนับสนุน

    <DD>นี่ เรื่องนี้ก็เป็นการประวิงเวลา ทำเวลาของบรรดาท่านพุทธบริษัทให้เสียไปมาก ต่อนี้ไป ก็มาพูดถึงตอนที่ออกจาก พระอุโบสถ หลังจากใช้เวลาสนทนา ๑๐ นาที เศษ ๆ จึงได้ถวายพระพรว่าประเดี๋ยวอาตมาจะไปคอยรับเสด็จอยู่ที่ศาลาเรียง ด้านทิศ เหนือของพระอุโบสถ พระองค์ก็ตรัสว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาสนทนากันนะขอรับ เพราะเวลามีน้อย อาตมาก็ทูลรับว่าเป็นเช่นนั้น แล้วจึงนำออกจากพระอุโบสถ กราบเรียนให้ท่านเจ้าอาวาสไปพักได้ตามอัธยาศัย อาตมาก็เลี้ยวไปด้านซ้าย ตอนนี้ตำรวจหลวงก็นำพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปประทับยังที่เดิม คือที่ศาลาเรียงพระอุโบสถด้านทิศใต้

    <DD>หลังจากทรงประทับนั่งแล้ว พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ก็กราบทูลให้ทรงทราบว่ามีคนโดยเสด็จพระราชกุศล ซึ่งดู เหมือนว่าจะเป็นจำนวน ๓๐ คน เศษ อาตมาก็ไม่ได้ดูบัญชีว่าเท่าไรแน่ เพราะงานยุ่งแสนจะยุ่ง

    <DD>เมื่อการโดยเสด็จพระราชกุศลเสร็จสิ้นลง พระองค์ก็เสด็จเยี่ยมราษฎรตามหมายกำหนดการ คือทรงเยี่ยมราษฎรใน พระอุโบสถด้านในพระกำแพงแก้ว ในตอนนี้ในกำแพงแก้วไม่มีใครเลย มีอยู่ ๒ - ๓ คน ส่วนใหญ่ของประชาชนอยู่นอกกำแพงแก้ว

    <DD>มาถึงตอนกำแพงแก้วนี่ก็ต้องพูดอีกนิดหนึ่ง เพราะว่ามีประชากรกลุ่มหนึ่งอยู่ที่ลานสัก ประชากรกลุ่มนี้มีความยากจน มีความยากแค้นมาก เพราะอยู่ในแดนกันดาร จะหาว่าทรงราชการไม่ช่วยเหลือก็ไม่ได้ เพราะราชการนี่ต้องอาศัยงบประมาณเป็นสำคัญ ผู้ว่าราชการ จังหวัดทุกคนย่อมมีจุดประสงค์อันเดียวกัน นั่นคือต้องการให้ประชาชนในจังหวัดของตนมีความสุข มีความเจริญ มีความปลอดภัย มีความก้าวหน้าในความเป็นอยู่

    <DD>เพราะผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น สมัยก่อนเขาเรียกกันว่าพ่อเมือง ก็ย่อมคิดว่าคนในเมืองทั้งหมดเป็นลูก แต่ทว่างานที่ต้องทำกว้างขวางมาก ถ้างบประมาณไม่พอก็ทำไม่ได้ คนพวกนี้อาตมาพบ ที่เขาลือกันว่าเป็นผู้ก่อการร้ายนั้นไม่จริง ไม่ใช่เป็นผู้ก่อการร้าย เป็นผู้ก่อการดีคือทำมาหากินโดยสัมมาอาชีวะ แล้วมีความยากไร้ คนประเภทนี้ อาตมากับเสด็จพระองค์หญิงวิภาวดีเคยพบ

    <DD>เสด็จพระองค์หญิงก็กราบทูล ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสงเคราะห์ เมื่อทูลขอการสงเคราะห์อะไรไป กลางคืนส่งข่าวทางวิทยุ ๒ ทุ่ม รุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงจัดส่งสิ่งของนั้นไปถึงได้อยู่เสมอ นี่เป็นอันว่าน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมโอรสาธิราช และพระเจ้าลูกเธอทั้งหมด ปรากฏว่าเปี่ยมไปด้วย พระมหากรุณาธิคุณ

    <DD>ฉะนั้น เมื่อได้พบคนจำพวกนี้ จึงได้ถวายพระพรพระองค์ทรงทราบ ถ้าจำไม่ผิด ก็ตั้งแต่ดอยอ่างขางครั้งหนึ่งแล้วก็ ที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์ครั้งหนึ่ง และเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ที่พระที่นักไพศาลทักษิณอีกครั้งหนึ่ง ในตอนนั้น พระองค์ตรัสว่า ผมจะไปวัด หลวงพ่อวันที่ ๒๔ เมษายน ตามที่รับไว้แล้ว และต้องการจะไปพบคนพวกนั้นด้วย เพื่อจะช่วยสงเคราะห์ให้เขามีความสุขเพราะการ สงเคราะห์คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แล้วกลุ่มอื่นที่ใกล้เคียงแต่ยังไม่ได้พบกันก็จะพลอยมีความสุขไปด้วย ไม่ใช่พระองค์ตั้งพระทัยจะช่วย เฉพาะคนบางพวก บางคณะเท่านั้น หมายความว่า โครงการชลประทานของพระองค์ต้องการสงเคราะห์คนทั้งประเทศให้มีความสุข เพราะเป็นโครงการใหญ่

    <DD>เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้มองดูเวลาก็หมดเสียแล้ว ต้องขอยุติก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาท่านผู้รับฟังทุกท่าน

    <CENTER>สวัสดี</CENTER></DD>
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๗</CENTER>


    <DD>ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็พบกับบรรดาท่านสาธุชนพุทธบริษัทเรื่องพระเมตตาต่อไป

    <DD>หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับเงินโดยเสด็จพระราชกุศล จากบรรดาประชาชนทั้งหลายแล้ว ต่อไป พระองค์ก็เสด็จออกเยี่ยมเยียนราษฎร แต่ทว่าราษฎรตามหมายกำหนดการที่เขียนไว้ว่า จะเยี่ยมราษฎรในกำแพงแก้วของพระอุโบสถ เวลานั้นก็ไม่มีใครกี่คน มีแต่เจ้าหน้าที่ของวัด และพวกที่มาแสดงโขนจากกรมศิลปากร สำหรับคณะโขนจากกรมศิลปากรนี้ เป็นลูกเป็นหลานของลูกศิษย์อาตมาเอง เขาแสดงฟรีจริง ๆ ไม่มีการเรียกเงินเรียกทอง ไม่ต้องการค่าจ้างรางวัลอะไร การบริโภคก็บริโภคอาหารในครัวธรรมดา ๆ ต้องจัดว่าเป็นคณะนาฏศิลป์พิเศษ

    <DD>ทั้งนี้ เพราะก่อนจะถึงกำหนดงานการแสดง ก็มาช่วยทำงานวัดอยู่ตั้งหลายวัน ทำ อย่างที่งานจะพึงมีให้เธอทำ ทำกันด้วยความเหนื่อยยากอย่างยิ่ง และเมื่อแสดงโขนเสร็จ เลิกจากงานแล้วก็ยังอยู่อีกตั้ง ๒-๓ วัน ช่วย เขาเก็บของ เป็นอันว่าโขนของกรมศิลปากรคณะนี้เป็นทั้งคณะโขนและคณะขน เวลาแสดงเป็นโขนแต่เวลาเลิกแล้วช่วยกันขนของส่ง นี่ คณะนาฏศิลป์แบบนี้เราหากินได้ยาก ทุกคนก็พากันชื่นชมยินดี แต่ความจริงในงานครั้งนี้

    <DD>อาตมาก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มา ช่วยงาน คือ ชาวบ้านประจำแถวนี้บ้าง ชาวจังหวัดชัยนาทบ้าง ชาวจังหวัดอุทัย ชาวจังหวัดสุพรรณบุรี ชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชาวจังหวัดชลบุรี นครราชสีมา อุดรธานี เชียงราย เชียงใหม่ กรุงเทพ ฯ ภูเก็ต ตรัง กระบี่ ยะลา ตราด จันทบุรี แล้วก็จังหวัดขอนแก่น ชัยภูมิ แม่ฮ่องสอน อ่างทอง เยอะต้องขออภัยถ้าบอกจังหวัดไม่ครบ มาช่วยงานกันด้วยความเรียบร้อย ทุกคนเหน็ดเหนื่อย ไม่มีใครคิด ว่าใครเป็นใคร ไม่ได้ถือเราไม่ได้ถือเขา ต้องการอย่างเดียวให้งานสำเร็จไปได้ด้วยดี

    <DD>จนกระทั่งสมเด็จพระราชาคณะผู้ใหญ่ มีสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์เป็นต้น หรือท่านเจ้าคุณสุทธาธิบดีเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ และท่านเจ้าอาวาสวัดไตรมิตร เจ้าคณะตรวจการภาค รอง เจ้าคณะตรวจการภาค เจ้าคุณวัดอนงคาราม เจ้าคุณวัดแก้วแจ่มฟ้า หลายท่านด้วยกัน เรียกว่าทุกองค์ก็แล้วกัน ชื่นชมยินดีในผลงาน ของทุกท่านที่ทำ งานทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยอย่างยิ่ง อาตมาก็ขอขอบคุณและขออนุโมทนาในความดีทั้งนี้ไว้ด้วย

    <DD>สำหรับ ท่านทั้งหลายที่บอกเว้นจังหวัดไป เช่นกาญจนบุรีเป็นต้น ก็ต้องขออภัยที่จำได้ไม่หมด มีหลายจังหวัดท่านตั้งใจมาช่วยงานจริง ๆ อย่าง พี่น้องชาวชลบุรี หรือว่าพี่น้องชาวกองบินสี่อุตส่าห์มา ลงทุนค่าอาหารเอง ทำอาหารเป็นโรงครัวของวัดขายจานละ ๒ บาท บางคนที่ไม่ มีสตางค์ก็บริโภคได้ คือ มีสตางค์น้อยให้น้อยก็ได้ ไม่มีสตางค์เลย บริโภคเปล่าก็ได้ แต่ตั้งราคาไว้จานละ ๒ บาท

    <DD>อย่างคุณบรรจง บุญญาน้อย มาตั้งโรงน้ำแข็ง กาแฟ ลงทุนเอง เลี้ยงคนบ้าง ขายบ้าง ขายไปขายมา ขาดทุนไปหลายร้อย ใครมีสตางค์ให้ก็เอา ไม่มีให้ก็ บริโภคได้ แล้วท่านกำนันองุ่น มากมี ก็ตั้งโรงครัวขึ้นโรงครัวหนึ่ง เป็นโรงครัวประจำตำบล เหน็ดเหนื่อยกันมาก ขายจานละ ๒ บาท เหมือนกัน แต่ทว่าขายไปขายมาคนไม่มีสตางค์ซื้อก็บริโภคได้ มีสตางค์น้อยก็ให้น้อย มีมากก็เอา ๒ บาท ไม่มีสตางค์เลยก็ให้เปล่า เป็นอันว่าทุกคนเหน็ดเหนื่อยกัน กล่าวชื่อกันไม่ไหวขออภัยด้วย

    <DD>เป็นอันว่าอาตมาขอขอบคุณทุกท่านก็แล้วกัน ที่ให้การสนับสนุน อาตมา แต่ขอให้ถือว่าเป็นการสนับสนุนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แล้วกัน เพราะวัดนี่สร้างขึ้นถวายเป็นพุทธบูชา ไม่ใช่ของ อาตมาเอง เป็นอันว่าทุกท่านมีบุญเสมอกัน เหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน วันที่พูดนี่เป็นวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ บันทึกเสียงต่างคน ต่างฟุบด้วยกัน ลุกไม่ค่อยจะขึ้นเพราะเหน็ดเหนื่อยมากจากการทำงาน ๙ วัน ๙ คืน

    <DD>ซึ่งความจริงเหนื่อยกันมาก่อนตั้งหลายวัน เลิก งานแล้วก็ยังเหนื่อย บรรดาประชาชนทุกท่านที่ช่วยแรงงานทั้งหมด ก็ขอได้โปรดทราบว่าอาตมาขอบคุณทุกท่าน ขอทุกท่านจงเจริญไป ด้วยจตุรพิพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านมีความประสงค์สิ่งใดก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความ ปรารถนาจงทุกประการ

    <DD>เป็นอันว่าวันนั้น ภายในกำแพงแก้ว คนข้างนอกไม่มี มีแต่คนภายในคือกรรมการจัดงานวัด ก็ไม่กี่คน นอกจากนั้นก็มี เจ้าหน้าที่ฝ่ายติดตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คนภายนอกที่เข้ามาก็มีแต่คณะนาฏศิลป์ของ กรมศิลปากร แต่ก่อนหน้านั้น มีคนไปบอกกับอาตมาว่า คณะลานสักที่ปรารถนาจะเข้าเฝ้า ต้องการจะมาเข้าเฝ้าภายใน อาตมาก็บอกว่า ได้ถวายพระพรไว้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือพวกนี้จะเข้าเฝ้าโดยเรียงรายเป็นราษฎรธรรมดา ไม่ได้มีเป็นกรณีพิเศษ

    <DD>เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า การเยี่ยมเยียนราษฎรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชตามหมายกำหนดการ ให้เยี่ยมแต่เฉพาะภายในกำแพงแก้วเท่านั้น อาตมาก็ตกใจเพราะไม่ทราบหมายกำหนดการมาก่อน ถ้าอย่างนั้นละ ก็เป็นการผิดสัญญากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คืออาตมาได้ถวายพระพรไว้ว่าจะให้ราษฎรพวกนั้นได้เข้าเฝ้าพระองค์ เพื่อจะได้ ทรงทราบว่าเขาต้องการอะไรบ้าง คำว่า “ต้องการ” นี้ ไม่ใช่อภิสิทธิ์ หมายความว่าคนที่อยู่สายนั้นจะพึงมีประโยชน์จากการช่วยเหลือ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านอะไรบ้าง พระองค์จะได้ประทานเป็นสาธารณประโยชน์

    <DD>ถ้าหากจัดให้เสด็จเยี่ยมเฉพาะภายใน เขตพระอุโบสถ ภายในกำแพงแก้ว ก็กลายเป็นเยี่ยมคนที่---แหม จะว่าคนที่ไม่มีทุกข์เลยก็ไม่ได้ ราษฎรส่วนใหญ่แกอยู่ข้างนอกก็เลย หนักใจ ถามว่าจะทำยังไงดี จึงได้ไปหารือกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เป็นร้อยตำรวจเอกท่านหนึ่ง ไม่ทราบว่าใคร คนนี้ไม่เคย เห็นหน้า ท่านก็บอกว่าต้องให้อยู่ข้างนอก เลยถามท่านว่า เอ๊ะ ถ้ายังงั้นก็เยี่ยมกันไม่ได้ เขาต้องการจะเฝ้า แล้วที่จะเสด็จมานี้

    <DD>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ตรัสที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในวันที่ ๒ เมษายน ว่ามีพระราชประสงค์จะพบบุคคลพวกนี้ด้วย หารือกัน อยู่ ท่านก็นั่งคิด ว่ายังงี้ก็แล้วกัน ถ้าพระองค์เสด็จเยี่ยมข้างนอกไม่ได้ เพราะไม่มีหมายกำหนดการ ก็ต้องให้หัวหน้าเขาสัก ๒-๓ คน ซึ่ง ไม่เกิน ๑๐ คนเข้ามาพบพระองค์ในนี้ได้ ไป ๆ มา ๆ เขาก็เชิญท่านแม่ทัพภาค ๓ มาหารือกัน ในที่สุดก็ตกลงกันได้ว่าให้พวกนี้จัดคน เข้ามา ๑๐ คน เอาแค่นี้

    <DD>เขามีของถวายเป็นเขากวางเขากระทิงอะไรไม่ทราบละ มีหลายอย่าง ต่อมามีข่าวว่ามีคนบางท่านไปพูดกับคน บางคน ว่าถ้าหลวงพ่อทำอย่างนี้ก็เท่ากับทำให้คนมีอภิสิทธิ์เฉพาะบางเหล่า คนก็เป็นคอมมูนิสต์หมด เพราะว่าไม่สม่ำเสมอกัน ความ จริงท่านผู้นั้น ถ้าพูดจริงก็เป็นการเข้าใจผิด ความประสงค์ของอาตมาจริง ๆ ไม่ต้องการให้พวกนี้เข้ามาข้างใน ต้องการให้อยู่ข้างนอก ไม่ทราบว่าหมายกำหนดการ เขาจะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเยี่ยมเฉพาะคนภายใน คิดว่าจะทรงเยี่ยมทั่วไปในเขตภายนอก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต้องการจะให้เข้ามา เพราะอาตมาเองก็มีความประสงค์อย่างนั้น คือไม่ต้องการให้ใครมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าใคร

    <DD>แต่ว่าหมายกำหนดการไปจำกัดลงไว้ ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะต้องเยี่ยมประชากรเฉพาะภายในกำแพงแก้วเท่านั้น นอกกำแพง แก้วไม่เยี่ยม ความจริงราษฎรจริง ๆ อยู่นอกกำแพงแก้วทั้งหมด ถ้าหากว่าอาตมาไม่ขออนุญาตให้เขาเข้ามาก็เป็นอันว่าที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระทัยจะมาพบกับคนพวกนี้ อยากจะถามทุกข์สุขในฐานะที่เขาไปอยู่แดนไกลในป่าลึก ก็คงจะ ไม่ได้พบ

    <DD>อาตมาซึ่งถวายสัญญากับพระองค์ว่า จะนำเขาเข้าเฝ้าโดยเรียงรายอยู่กับราษฎรธรรมดาก็จะกลายเป็นพระโกหกไป หากว่าเราทำอย่างนี้ คือสัญญาไม่เป็นสัญญา ความเป็นคอมมูนิสต์จะปรากฏขึ้น เขาจะหาว่าพวกประชาธิปไตยนี้ไร้สัจจะ อาตมาเอง ก็อยู่ในพวกประชาธิปไตยกับเขาเหมือนกัน

    <DD>เรื่องประชาธิปไตยนี่พระเราเป็นกันมานาน จะเห็นว่ากิจการอะไรเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าก็จะทรงสั่ง ให้สงฆ์ประชุมกัน ตกลงกันตามพระธรรมวินัย ไม่ใช่ว่าใครจะมีอำนาจสั่งแต่ผู้เดียว นี่เป็นอันว่าพระก็มีประชาธิปไตยมานาน ดู เหมือนว่าจะนานกว่าชาวโลกเสียอีก ในฐานะที่อาตมาเป็นนักประชาธิปไตย ถ้าทำอย่างนั้นมันก็พลาดไป จะหาว่าพูดปดมดเท็จ หาความสัจจริงมิได้ แม้แต่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาก็เชื่อถือไม่ได้ ก็จะกลายเป็นบั่นทอนความดีของพระพุทธศาสนา ช่วยกันทำลาย ศักดิ์ศรีของพระศาสนาให้พินาศไป น่าเสียใจ น่าสลดใจที่เกิดข่าวนี้ขึ้น ไม่ทราบว่าใครเป็นต้นเหตุ ต้องขออภัยท่านผู้พูดด้วย ต่างคน ต่างไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน

    <DD>อาตมาเองก็ไม่ได้ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชจะไม่เสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรภายนอกทั้งหมด ถ้ารู้อย่างนั้น เรื่องนี้ก็ไม่เกิด ไม่ต้องการให้คนพวกนี้เข้ามา เพราะเขาต้อง เรียงรายอยู่กับประชาชนธรรมดา ถ้าเกรงว่าอันตรายจะเกิดกับพระองค์ก็ค้นเขาได้

    <DD>พวกนี้บริสุทธิ์ บอกว่าจงอย่าติดอาวุธมา ก็ไม่มีใคร ติดอาวุธมาเลย นี่เป็นอันว่าตอนนี้เข้าใจผิดกันไป ท่านผู้นั้นกลับไปแล้วอาจจะคิดว่าอาตมานี่จะสร้างความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่าง บุคคล คือราษฎรให้เกิดขึ้น คนบางพวกมีสิทธิ์เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ คนบางพวกเข้าเฝ้าไม่ได้ แต่ความจริง ใจจริง แล้วต้องการให้เขาเรียงรายอยู่ข้างนอก ถ้าไม่มีใครมาแจ้งว่าหมายกำหนดการมีเฉพาะ เรื่องนี้ก็ขอผ่านไป หวังว่าท่านผู้นั้นคงจะเข้าใจ

    <DD>เมื่อพระองค์ทรงเยี่ยมราษฎรภายในเขตกำแพงแก้ว ซึ่งมีแต่คณะนาฏศิลป์ที่เป็นคนบอกตามที่กล่าวแล้ว ต่อไปก็ เสด็จขึ้นไปในศาลาเรียงทางด้านเหนือของพระอุโบสถซึ่งมีพระคณาจารย์ต่าง ๆ และอาตมามารอรับเสด็จอยู่ที่นั่น พระองค์ก็ทรง ทักทายปราศรัยกับประชาชนที่มีไม่กี่คน คือทรงทักทายกับพระทั้งหมด จนถึงสุดท้าย อธิบดีกรมอนามัยก็ถวายพัดให้แด่พระองค์ พระองค์ก็เอาพัดมาประเคนให้อาตมา ตอนนี้ก็ทรงตรัสอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นเรื่องราวของธรรมะ ซึ่งใช้เวลาไม่มาก ประมาณไม่เกิน ๑๐ นาที

    <DD>หลังจากนั้น อาตมาก็ถวายพระพรให้ทรงทราบ ว่ามีดที่เขามาวางไว้ที่นี่ เขาขอพระราชทานพระกรุณาให้ทรงพระสุหร่าย พระองค์ก็หยิบไม้พรมน้ำมนต์ ทำท่าจะยื่นให้อาตมา ทรงถามว่า หลวงพ่อล่ะ ? อาตมาก็ถวายพระพรว่า อาตมานะร่วมกันปลุกเสก แล้วพรมน้ำมนต์แล้ว เวลานี้ราษฎรที่เขาเป็นเจ้าของมีด ต้องการมิ่งมงคล ขอให้พระองค์ทรงพระสุหร่าย พระองค์จึงได้ทรงพระสุหร่าย

    <DD>ต่อจากนั้น อาตมาก็ถวายลูกกุญแจหีบเหล็กซึ่งบรรจุพระบรมรูปของพระองค์ที่ทำถวายเป็นจำนวน ๓๐,๐๐๐ (ความจริงที่ภูพิงค์ราช นิเวศน์ก็ถวายไปแล้ว ๒๐,๐๐๐ ตอนนั้นยังทำไม่เสร็จ ตอนนี้ทำเสร็จแล้วก็ถวายไปอีก ๓๐,๐๐๐) เพื่อพระองค์จะทรงแจกตามพระ ราชอัธยาศัย เมื่อถวายกุญแจ

    <DD>พระองค์รับสั่งถามว่า ไขหรือยัง เลยถวายพระพรว่า ยังไม่ไข เพราะในนั้น เขาตรวจแล้ว ไม่มีลูกระเบิด พระองค์ก็ทรงแย้มพระสรวล ในตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมาก ใช้เวลาประมาณสัก ๑๐ นาที ก่อนที่จะเสด็จออกไปภายนอก ก็ได้ถวายพระ พรว่า บุคคลคณะที่พระองค์มีพระราชประสงค์จะพบ เขากำลังนั่งอยู่ที่มุมพระอุโบสถ พระองค์รับสั่งว่าพบแล้ว อาตมาถวายพระพรว่า เมื่อกี้พระองค์ยังไม่ได้แวะ ผ่านมาเฉย ๆ แล้วชี้ให้ทรงทราบว่าเขาอยู่กันที่ไหน

    <DD>เมื่อพระองค์ออกไปจากอาตมาแล้ว ก็เสด็จไปที่จุดนั้น คณะนั้นก็ถวายรายนามทรงรับมาใส่กระเป๋า แล้วทรงปราศรัย อยู่สัก ๕ นาที แล้วทรงปราศรัยเรื่อยมาจนออกจากประตูพระอุโบสถ ตอนนี้ไม่มีใคร มีแต่เจ้าหน้าที่ภายใน คนแออัดกันอยู่ภายนอก ทั้งหมด มาถึงประตูกำแพงแก้วพระอุโบสถก็เสด็จออก ตามหมายกำหนดการมีไว้เท่านั้น บรรดาประชาชนส่วนใหญ่ก็พากันร้องเพลง สรรเสริญพระบารมี ด้วยคิดว่าพระองค์จะเสด็จไปขึ้นรถพระที่นั่ง แต่จริง ๆ แล้วไม่เป็นเช่นนั้น ทรงเลี้ยวซ้ายเพื่อเยี่ยมเยียนประชากร ทั้งหมด

    <DD>ตอนนี้ประชากรทั้งหมดปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุด คิดว่าหมดโอกาสจะได้เฝ้าชมพระบารมีอยู่แล้ว ต่างก็พากันถวายพวงมาลัย ดอกไม้ แด่ทั้ง ๓ พระองค์ คนข้างนอกทราบอยู่ก่อนแล้วว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะไม่เสด็จเยี่ยมคนข้างนอก คิดว่าจะเยี่ยม คนไม่กี่คนในกำแพงแก้ว ซึ่งมีคณะคนจน ๆ ที่อยู่ลานสักปนอยู่ด้วย ๑๐ คน เป็นอันว่า พอเสด็จเลี้ยวไปทางซ้าย ราษฎรดีใจกันใหญ่ เขาไม่มีพวงมาลัย เขาจึงควักกระเป๋าเอาสตางค์เท่าที่มีอยู่มาถวายแด่ทั้ง ๓ พระองค์ มีเจ้าหน้าที่บางท่านห้ามว่าถวายไม่ได้ ถ้าถวายแบบนี้ท่านก็ยังไปไม่ได้ ก็พอดี

    <DD>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นเขาถวายเงินท่านก็ทรงรับ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ทรงรับ โดยไม่ต้องใช้พาน ใช้มือต่อมือ เขาควักจากกระเป๋าส่งให้ พระองค์ก็ทรงยื่นพระหัตถ์ไปรับทางโน้น ก็เรียก ทางนี้ก็เรียก จนผลที่สุดเงินเต็มพระหัตถ์ แล้วไม่ทราบว่า ใครเอาถุงพลาสติกใหญ่ ๆ มาถวาย วันนั้น ดูเหมือนว่าราษฎรมีความสุขเป็นพิเศษ บางคนบอกว่าถวายถึงสามรอบ บางคนถวายไปน้ำตาไหลไป บางคนถวายไปร้องไห้ไป บางคนยิ้มแย้มแจ่มใสมี ความสดชื่น บางคนก็มาอวดว่า ผมก็ถวาย ๓ รอบครับ ถวายกันไป ท่านก็ทรงเยี่ยมราษฎรเรื่อยไป ทักทายปราศรัย รู้สึกว่าราษฎรมี ความชื่นใจเป็นที่สุด จนกระทั่งถึงวันที่บันทึกเสียงนี้ ยังพูดกันไม่จบ ทุกคนพูดถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ต่างคนต่างน้ำตาคลอด้วยความปลื้มปีติยินดี ชื่นอกชื่นใจไม่หาย

    <DD>นี่ พระราชจริยาวัตรอย่างนี้ บรรดาท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่าน จะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำถูก หรือไม่ถูก ? ฐานะเช่นใดก็ตาม มีรูปร่างหน้าตาเช่นใดก็ตาม แต่งกายยังไงก็ตาม มีความรู้ขนาดไหนก็ตาม พระองค์ไม่ได้แบ่งชั้นวรรณะ เยี่ยม สม่ำเสมอทักทายสม่ำเสมอกันไปหมด มีบางคนมาเล่าให้ฟัง เขาบอกว่า

    <DD>ที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จไปถึง มีสตรีคนหนึ่งรูปร่าง หน้าตาสวย ถวายพระพรขอให้พระองค์ทรงได้พระราชโอรส สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ เขาทูลว่าขอให้ได้พระราช บุตรแฝด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า แฝดผู้หญิงหรือแฝดผู้ชาย ทำให้เขาชื่นใจไปตาม ๆ กัน แล้วก็เสด็จเรื่อยไปถึงหลัง พระอุโบสถ จนหมดบริเวณที่มีคนเฝ้ารับเสด็จ

    <DD>ทรงทักทายปราศรัยถามสุขความทุกข์ บางจุด ปรากฏว่าราษฎรที่แต่งตัวปอน ๆ มาจาก เขตแดนไกลก็มี เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จผ่านไปแล้ว สมเด็จพระบรมราชินีนาถยังไม่ได้เสด็จไปเยี่ยม ทรงทราบเข้า ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพาไปอีก ไปถึงท่านก็รับสั่งว่า นี่ฉันพบแล้ว คุยกันแล้วนะ ที่มาอีกนี่ไม่ได้มาเรี่ยไร พระราชินี ต้องการจะพบฉันก็พามาพบ

    <DD>นี่ ท่านพูดกับราษฎรของท่าน เหมือนบิดาพูดกับบุตร แสดงพระอาการ เหมือนบิดาแสดงกับบุตร เป็นการสร้างความ ชื่นชมยินดี หรรษา เพิ่มพูนความจงรักภักดีที่มีต่อพระองค์ นี่ถ้าพระองค์ทรงปฏิบัติตามหมายกำหนดการเดิม ความชื่นใจของราษฎรจะ ไม่ปรากฏมากกว่านี้ นอกจากจะสลดใจว่ามาคอยเฝ้าแหน แดดออกเปรี้ยง ถึงจะร้อนแสนร้อนก็ทนนั่งกันอยู่ตั้งแต่เช้า ด้วยอำนาจเดชะ พระบารมีของพระองค์ เมื่อเสด็จมาถึงก็ปรากฏว่าแดดร่ม และไม่ใช่แดดร่มเปล่า มีฟ้าคำรามด้วย และขณะที่เสด็จเยี่ยมราษฎร มีฝนปรอยน้อย ๆ พอชื่นใจ เป็นเม็ดบาง ๆ นาน ๆ เม็ด ไม่ใช่ตกให้เปียกกาย นี่เห็นจะเป็นอำนาจบุญญาธิการของพระองค์ และความดีของ ประชาชนทั้งหลาย ที่มีความจงรักภักดี มีความสามัคคีกัน เป็นสัญลักษณ์ให้เห็นว่าประเทศไทยจะไปได้ เพราะพระบารมีของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และความสามัคคีของปวงชนชาวไทย ตั้งแต่ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ร่วมกัน จึงได้สร้างความชื่น บานหรรษาให้ปรากฏในวันนั้น นี่เป็นสัญลักษณ์ของความดี

    <DD>เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ทรงเยี่ยมเยียนราษฎรเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็เสด็จเข้าทางประตูหลังของกำแพงแก้วพระอุโบสถ เลี้ยวเข้ามาที่ศาลา เรียงด้านเหนือที่พระคณาจารย์และอาตมานั่งอยู่อีกวาระหนึ่ง แล้วพระองค์ก็ตรัสอะไรเล็กน้อยใช้เวลาเพียง ๒ – ๓ นาที แล้วทรงเลี้ยวไปหาประชาชนที่นั่งอยู่ในนั้น

    <DD>มี คุณหมอลัดดา จารุวัสตร์ ถวายเทปบารมี ๑๐ ม้วนที่ ๔ แล้วพระองค์ก็เสด็จมาหาอาตมา ว่าเทปทุก อย่างของหลวงพ่อมีหมด แต่ขาดบารมี ๑๐ ม้วนที่ ๔ เวลานี้ได้แล้ว แล้วต่อมาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็มาทรงปราศรัยด้วย เล็กน้อย ต่อมาสมเด็จพระบรมราชินีนาถก็เสด็จเข้ามา ทรงยิ้มแย้มแจ่มใส ตรัสว่าแหมชื่นใจเหลือเกิน ราษฎรเขาส่งสตางค์ให้ เขาบอก ว่าอยากจะทำบุญด้วย บางคน ทำบุญถึงสามรอบ ฉันจำได้ ทูลถามว่าท่านเหนื่อยไหม ท่านทรงตอบว่า ปลื้มใจมาก ไม่เหนื่อยเลย ทูล ถามว่าร้อนไหม ทรงตอบว่าไม่ร้อน จึงทูลว่าพระเสโทที่พระพักตร์ไหล ท่านตรัสว่าไม่มีความรู้สึกว่าร้อน เพราะมีความชื่นใจ ที่บรรดา ประชาชนของท่านมีศรัทธาเปี่ยม มาร่วมการกุศลด้วย วันนั้นประชาชนถวายเงินแด่ทั้งสามพระองค์ แล้วพระองค์ก็มอบบำเพ็ญพระ ราชกุศลมาอีกต่อหนึ่ง เงินนี้เป็นจำนวนถึงเจ็ดหมื่นบาทเศษ ให้จัดแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ ๑. วิหารทาน ๒. สงเคราะห์โรงเรียน ๓. ธรรมทาน อาตมาก็จัดการไปตามพระราชประสงค์

    <DD>เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้มองดูเวลาเห็นหมดแล้ว เกินเวลาไปบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ก็ต้องขอลา ก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

    <CENTER>สวัสดี</CENTER></DD>
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๘</CENTER>

    <DD>ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้คงมาพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องพระเมตตาตามเดิม

    <DD>สำหรับตอนนี้ ก็จะขอปรารภเรื่องของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าวันนั้นทั้งสามพระองค์ ทรงแสดงพระราชจริยาวัตรเป็นที่น่าเลื่อมใส ชื่นใจแก่บรรดาชาวประชากรทั้งหลาย แต่การที่พระองค์ทรงกระทำอย่างนั้น ขอท่านที่ไปออกข่าวว่าอาตมาหน่วงเหนี่ยวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ได้โปรดทราบว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยของพระองค์เอง อาตมาคงไม่ใหญ่โตหรือมีอำนาจที่จะไปหน่วงเหนี่ยวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ ได้โปรดเข้าใจตามนี้

    <DD>ความจริงคนที่พูด อาจจะหาตัวไม่ได้ เป็นแต่เพียงข่าว เรื่องข่าวนี่เป็นเรื่องสำคัญ บรรดาท่าน พุทธบริษัททุกท่าน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จงอย่าถือมงคลตื่นข่าว ข่าวที่เป็นมงคลใด ๆ ว่าที่นั่นดี ที่นี่วิเศษ จงอย่าเชื่อ เราไปให้พบเองจึงรู้แน่จริง เรื่องข่าวก็เหมือนกัน ข่าวที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นทั้งหมด เป็นข่าวซึ่งสรุปแล้วมีความประสงค์เพื่อทำลายงาน ขู่ว่าคน จะยิงปืน ค. หรือปืนไร้แสงสะท้อนมาที่งาน คนจะได้กลัวไม่มาในงาน ข่าวต่อมาว่าอาตมาสึกเสียแล้ว ได้เงินมากเลยสึกเอาเงินหนีไปแล้ว

    <DD>ในระหว่างงานไม่มีตัวอาตมาอยู่ เป็นอันสรุปได้ว่า ข่าวนี้มีความมุ่งหมายอย่างเดียวให้งานนี้สลายตัวไป แต่ว่าคนที่ออกข่าวนี้เป็นใคร อาตมาไม่ทราบ แล้วก็ไม่อยากจะทราบ ทราบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถามไปก็ไม่มีใครรับ ถ้าถามคนที่ส่งข่าว ก็จะตอบว่ารับทราบ ต่อ ๆ กันมา เป็นอันว่า คนให้ข่าวมีความกล้าเป็นกรณีพิเศษ คือกล้าให้ข่าวผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง

    <DD>ทั้ง ๆ ที่เหตุผล มันจับกันได้ชัด ๆ มันเป็นเรื่องปัจจุบัน เช่น บอกว่าอาตมาสึกหนีไปแล้ว เอาเงินไปด้วยมาก คนที่รับข่าวปัจจุบันในวันนั้น เขามาพบอาตมาเอง เล่าให้ ฟัง บอกให้ทราบ เป็นอันว่า ท่านผู้ส่งข่าว ท่านก็เฉาไปเอง พระพุทธเจ้าตรัสว่าเขาพาลมาเราจงอย่าพาลตอบ “มหิเวเรนะ อเวเรหิ” เวร ย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร โบราณท่านกล่าวว่า ตบมือข้างเดียวไม่ดัง พวกเราสบายใจกันดีกว่า ผู้ให้ข่าวท่านเดือดร้อนไปเอง เราต้องไม่ทำให้ท่านเดือดร้อน ถ้าเราไปทำให้ท่านเดือดร้อน เราก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย

    <DD>ข่าวจะมาจากไหนจงอย่าสืบ เมื่อทราบแล้วจงนิ่ง เสีย อย่าถือเป็นสาระ เพราะมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ ถ้าเราไปสนใจกับเรื่องที่ไร้สาระ เราก็เป็นคนที่ไร้สาระไปด้วย ช่วยให้เราเป็นคนเลว ภาษิตโบราณมีว่า เจ็บจำ จนเจียม ทำจริง นิ่งดี ที่เราต้องเจ็บใจ เพราะถูกว่า ถูกด่า ถูกกล่าวหา ถูกประทุษร้าย จงจำไว้ว่า เราทำอย่างไร เขาถึงว่าเขาถึงด่า เขาถึงกล่าวหา เขาประทุษร้าย เมื่อกระทบกับความเจ็บใจแล้ว ก็จำไว้ว่า อย่างนั้นเราจะไม่กระทำอีก ไม่ใช่ว่า เขาทำให้เราเจ็บ เราก็จำไว้ เพื่อจะล้างผลาญเขา อันนี้ไม่ถูก จำไว้ว่าอย่างนั้นเราจะไม่ทำ ถ้าเราเป็นคนจนเราก็เจียมตัว อย่าใช้ให้มันมาก ใช้ตามความจำเป็นที่จะพึงใช้ ความเดือดร้อนมันก็ไม่มี

    <DD>ทำจริง คืองานทุกอย่าง ทำตรงตามความจริง มีความเด็ดเดี่ยว มีความขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์สุจริตต่องาน ทุกสิ่งทุกอย่างรับเท่าไร จ่ายเท่าไร แจ้งตามความเป็นจริง เมื่ออะไรมันเกิดขึ้น มีการนินทาว่าร้าย นิ่งเสียดีกว่า ที่โบราณท่านกล่าวว่า รู้แล้วพูดไปสองไพเบี้ย รู้แล้วนิ่งเสียตำลึงทอง สองไพ ๆ ละสามตำลึง มันก็หกสตางค์เท่านั้น ค่ามันน้อย รู้แล้วพูดไปก็ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรมากมาย ตำลึงทองค่ามันมาก

    <DD>ตัวนิ่งตัวนี้ได้แก่ ขันติบารมี ความอดทน ขันติความอดทน มันเป็นปัจจัยให้เกิดความงาม ท่านบอกว่าโลกธรรม ธรรมที่ทำให้โลกงามมีอยู่ ๒ อย่างคือ ๑. ขันติ ความอดทน ๒. โสรัจจะ ความสงบ เสงี่ยม ความนิ่งไว้ ทำใจสบาย ทำกายปกติ ไม่แสดงอาการพลุกพล่าน พลุ่งพล่าน ไม่แสดงอาการตึงตังโครมครามให้ปรากฏ สิ่งใดที่ เราชอบใจ เราก็สงบ ไม่ชอบใจ เราก็สงบ เรานิ่งไว้ ใจมันก็เป็นสุข ถ้าพูดไป ใจมันไม่สบาย ถ้าท่านจะติงว่า มาบอกให้คนอื่นนิ่งน่ะ คน พูดนิ่งหรือเปล่า ความจริงที่พูดนี่ไม่ใช่เอะอะโวยวาย ความจริงนิ่งมานานแล้ว การถูกด่า ถูกว่า ถูกนินทา ถูกกลั่นถูกแกล้ง นิ่งมานาน ถ้าไม่นิ่งก็คงไม่มีชีวิตอยู่ได้ถึงป่านนี้

    <DD>มาตอนนี้ ที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จเข้ามาเยี่ยม ตรัสอะไรสองสามอย่าง ถึงความปีติยินดีของประชาชน รู้สึก ว่าพระพักตร์ท่านชื่นบาน มีความสุข ทั้งสามพระองค์ทรงมีพระอาการอย่างนั้น ก็พอดีกัน ราษฎรก็มีความดีใจจนน้ำตาไหลบ้าง ร้องไห้ บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ท. ศรีพันธุ์ วิชชุพันธ์ ถวายเงินด้วย น้ำตาไหลร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย เพราะคนนี้ ถ้าเอ่ยถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระยุพราช พระเจ้าลูกเธอ เป็นไม่ได้ เธอต้องน้ำตาไหลทุกครั้ง เพราะมี ความจงรักภักดีมาก

    <DD>แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่า จะยิ่งไปกว่าบรรดาประชาชนทั้งหลาย บรรดาประชาชนทุกคนก็มีความจงรักภักดีใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถเหมือนกัน แต่ความเคลื่อนไหวของจิตจะต่างกันสักนิดหนึ่ง คือการ แสดงออกในวันนั้นไม่เหมือนกัน มีหลายท่านมองไปแล้วเห็นน้ำตาไหล ยกมือขึ้นเช็ดหน้าบางคนสะอึกสะอื้น บางคนยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงอาการชื่นบาน เป็นอันว่าทุกคนมีน้ำใจคล้ายคลึงกันหมด เรียกว่าเหมือนกันหมด แต่อาการทางกายต่างกัน เพราะความหวั่นไหว ต่างกัน

    <DD>มีตอนหนึ่ง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ตรัสถึงพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต แหม พูดถึงท่านผู้นี้ขึ้นมา อาตมาก็อดนึก ไม่ได้ ทุกวันนี้ยังคำนึงถึงท่านอยู่ เพราะเคยลำบากด้วยกันมา ในฐานะที่ออกไปเยี่ยมประชากรโดยถ้วนหน้าในป่าลึก คนที่มีความยากแค้นแสนเข็ญ จะอยู่ที่ไหนก็ตามที พระองค์จะต้องเสด็จไปถึง และเมื่อไปแล้ว ก็เข้าหาราษฎรอย่างกันเอง นั่งเสมอกัน ไม่มีการแบ่ง ชั้นวรรณะ

    <DD>ขณะใดที่ไปเยี่ยมราษฎร ถึงเวลาอาหาร ถ้าเห็นว่าของคนอื่นไม่มี ของท่านมีท่านต้องนำเอาไปแจก ถ้าหากว่าของดีมีรสเลิศ มีอยู่เพียงจำนวนเล็กน้อย พระองค์จะไม่เสวย จะเอาไปแบ่งให้คนอื่นเสียหมดทั้งหมด นี่น้ำพระทัยของพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ถึงขนาดนี้ก็สมควรแล้วที่เป็นคู่บารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เพราะว่าทั้งหมดท่านมีน้ำพระทัย เสมอกัน

    <DD>เมื่อพระองค์หญิงวิภาวดี พบคนที่ยากแค้นแสนเข็ญ มีความต้องการสำคัญในสิ่งใด ก็ติดต่อทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงจัดส่งไปทันที ที่เสด็จพระองค์หญิงสิ้นชีพิตักษัย ก็เป็นการขาดกำลังสำคัญของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถไป

    <DD>สำหรับอาตมาเองก็มีความรู้สึกเช่นนั้น เพราะว่าน้ำพระทัยของพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ถ้าวัดกันแล้ว เรามีการคล้ายคลึงกันมาก มีความประสงค์เช่นเดียวกัน คืออยากจะเยี่ยมประชากรทุกจุด ถ้ามีกำลังจะพึงทำได้ ถึงแม้ว่า เวลานี้พระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต จะสิ้นชีพิตักษัยไปแล้ว พระองค์ก็สิ้นไปในระหว่างสร้างความดี

    <DD>เวลานี้อาตมาเองก็รู้สึกว่าตัวเองก็ ขาดกำลังสำคัญไป เหมือนขาดร่างกายไปเสีย เพราะยังคิดอยู่ว่าถ้ากำลังกายยังมีอยู่ กิจการอันนี้ ก็จะขอทำต่อไปเท่าที่กำลังจะพึงทำได้ เพราะอาตมาไม่มีทุน จะไปไหนก็ต้องอาศัยบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ และท่านที่เคารพนับถือออกทุนให้ เมื่อมีทุนไปก็ไป จะ ยากแค้นแสนเข็ญ หรือจะต้องตายด้วยอาวุธ เช่นเดียวกับพระองค์หญิงวิภาวดี ก็พร้อมแล้วที่จะเสียสละเพื่อประชากร

    <DD>เพราะอาตมาเอง มีความรู้สึกในบุญคุณของบรรดาประชาชนทั้งหลาย ที่มีการสงเคราะห์พระพุทธศาสนา หากว่าท่านทั้งหลายโดยถ้วนหน้าขาดการ สงเคราะห์เสียแล้ว พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ก็จะทรงชีวิตอยู่ไม่ได้ พระพุทธศาสนาก็ต้องสลายตัวไป เพราะไม่มีใครต้องการ นี่ พระพุทธศาสนายังทรงตัวอยู่ได้ ก็เพราะท่านทั้งหลายมีความต้องการและสงเคราะห์ จึงได้มีชีวิตมาพูดให้ท่านฟังได้ เป็นอันว่างานนี้ อาตมาจะทำต่อไปจนกว่าตัวจะตาย แม้จะถูกฆ่าตายอย่างพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต อาตมาก็พร้อม ยอมแล้ว

    <DD>วันนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ตรัสถามถึงเรื่องราวของพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ว่าพระองค์หญิงต้องสิ้น ชีพิตักษัย เพราะกฎของกรรมที่ทำไว้ในชาติปางก่อนใช่ไหม ถ้าไม่ผิดอาตมาไม่แน่ใจนัก ว่าท่านถามคำนี้ เพราะว่าต่างคนก็ต่างเหนื่อย เรื่องมันมาก แต่ว่าเป็นการถามถึงการสิ้นชีพิตักษัยของท่านแน่ จึงได้ถวายพระพรไปว่า

    <DD>ถ้าจะกล่าวถึงกฎของกรรมเดิม ก็ถือว่ามี ความสำคัญเหมือนกัน แต่กรรมที่ใหญ่ไปกว่านั้นก็คือ ความดีในปัจจุบัน ในเมื่อท่านเข้าถึงแล้ว ก็มีความจำเป็นต้องสิ้นชีพิตักษัยใน วันรุ่งขึ้นเพราะตามธรรมดาความดีที่มาก เขาถือว่าความดีล้น ร่างกายของคนทนไม่ไหวจะต้องตาย อันนี้ ถ้าไปถามหมอดูหลาย ๆ ท่านจะรู้ แต่บางท่านอาจจะรู้หรือไม่รู้ อาตมาไม่ทราบ เคยทราบมาตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ

    <DD>มีท่านขุนนางท่านหนึ่งเป็นพระยา อยู่ ๆ ก็ปรากฏ ว่ามีต้นบัวหลวงมาขึ้นอยู่บนหลังคาของท่าน ซึ่งไม่มีน้ำมันก็ขึ้น แล้วก็มีดอกงามไสว ท่านไปนิมนต์พระมาสวดต่อนาม บังเอิญอย่างยิ่ง อาตมาก็มีส่วนไปด้วย ก็ถามท่านว่าการที่มีต้นบัวหลวงดอกบัวหลวง เกิดอยู่บนหลังคาซึ่งไม่มีน้ำ จัดว่าเป็นมหามงคล ทำไมท่านเจ้า คุณจึงต้องทำบุญอย่างนี้ คือคล้าย ๆ กับทำบุญต่ออายุ ท่านบอกว่ามันเป็นมหามงคลก็จริง ขอรับเป็นโชคใหญ่ แต่ร่างกายของคนเรา โบราณท่านถือว่าโชค ถ้ามันใหญ่จริง ๆ ละก็ ร่างกายมันทนไม่ไหว มันต้องพัง ท่านก็เลยทำบุญกันไว้ก่อน ไม่ใช่กันตาย แต่รับความดี คือรับกิจที่จะพึงตายเข้าไว้

    <DD>เมื่อทำบุญแล้วต่อมาท่านจะตายหรือไม่ตาย อาตมาไม่ได้ติดตามเรื่อง สำหรับท่านพระองค์หญิงวิภาวดีก็ เหมือนกัน ความดีของท่านล้นจนกระทั่งร่างกายทนไม่ไหว ท่านจึงต้องสิ้นชีพิตักษัย ในฐานะที่เป็นฆราวาส ไม่สามารถจะทรงความดี นั้นไว้ได้ เพราะร่างกายต้านทานไม่พอ เหมือนกับคน ๆ หนึ่งมีกำลังเท่านี้ เขายกทองคำให้ ๑ ก้อน มีน้ำหนัก ๑ ตัน ให้เราแบกไว้ เรา แบกไม่ไหวทองคำมันก็ทับตาย ข้อนี้มีอุปมาฉันใดความดีก็เหมือนกัน มันก็มีสภาพความดี ๑ ตัน ทับคนที่รับไว้ตายนั่นเอง

    <DD>เรื่องที่พูดไปนี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่สำคัญ คนพูดนี้ชอบพูดเสียอย่าง พูดแล้ว ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของ ท่าน เป็นอันว่า พูดไม่ต้องการให้เชื่อ พูดให้ฟังอย่างเดียว ถ้าจะเชื่อ ก็ไม่ควรเชื่อด้วยการน้อมใจเชื่อ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาค้นคว้าหา ความรู้ในทางนี้ให้ชัดเจนแล้วเชื่อ จึงเป็นการสมควร

    <DD>ทีนี้ สมเด็จพระบรมราชินีนาถตรัสถามต่อไปว่า ถ้าเป็นพระ แล้วความความดีขนาดนี้ จะทรงความดีไว้ได้ไหม คำถามนี้อาจจะพลาดจากพระราชเสาวนีย์ที่ทรงถามมาก็ได้ แต่ใจความเหมือนกัน อาตมาก็ถวายพระพรว่า ทรงอยู่ได้ การทรงอยู่ของบุคคลที่ทรงความดีประเภทนี้ เขาจะอยู่เพื่อความสุขของส่วนสาธารณะ หมายความว่าต้องการทำสาธารณประโยชน์ให้มีความสุข แบ่งความสุขให้กับปวงชนทั่วไป ท่านตรัสถามว่าเฉพาะฝ่ายธรรมะ ใช่ไหม ก็ได้ถวายพระพรไปว่า ไม่ใช่เฉพาะธรรมะ คือเป็นทั้งทางโลก และทางธรรม

    <DD>หลังจากนั้น จะมีพระราชเสาวนีย์ว่ายังไงบ้าง อาตมาคงจะจำไม่ได้ ก็ขอบอกให้ทราบว่า การสั่งสนทนากัน ระหว่าง อาตมาก็ดี อาตมากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ดี ได้โปรดทราบ สิ่งที่นำมาเล่านี้ ยังเป็นส่วนน้อย ไม่ใช่ส่วนใหญ่ ถึงแม้จะเป็นเวลาน้อย แต่ทรงตรัสปราศรัยด้วยมากกว่านี้ แต่ว่าอาตมาจะจำมาทั้งหมด มันคงจะไม่ไหว

    <DD>โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถามธรรมะที่ลึกซึ้ง คัมภีรภาพมาก ยากที่จะนำมาเล่าสู่กันฟัง ถ้าเล่าสู่กันฟัง เพียงสองข้อก็เป็นหนังสือเล่มใหญ่ เพราะว่าพระองค์ทรงปรีชาในเรื่องนี้มาก ตรัสถามสั้น ๆ แต่กินเนื้อความไกล ต้องอธิบายกันนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมหาบพิตร พระราชสมภารเจ้าพระองค์นี้ ก็ไม่ต้องตอบยาวเหมือนกัน เพียงถวายพระพรท่านไปสั้น ๆ ก็ทรงเจ้า พระทัย หากว่าจะมากล่าวในที่นี้ ก็ต้องขยายความกันมาก

    <DD>เป็นอันว่าหลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ทรงลาแล้วเสด็จออก ตอนนี้ ผ่านประชาชนภายนอก เสียงประชาชนเกรียวกราวถวายพระพร แล้วก็ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เสียงมโหระทึกแตรสังข์ขับประโคม เสียงแตรเดี่ยวเป่าเพลงถวายความเคารพ ทหารบอกแถวแสดงความเคารพ

    <DD>ก็เป็นอันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จขึ้นรถพระที่นั่ง เพื่อไปยังตัวเมืองอุทัยธานี แล้วบรรดาประชากรทั้งหลาย ก็พากันจับกลุ่มแสดงความชื่นชมยินดี กล่าวปรารภถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พูดกันไปน้ำตาไหลกันไป เอาผ้าเช็ดน้ำตากันไปเพราะความปลื้มปีติ

    <DD>นี่ถ้าหากว่าทุกตอน ทุกแห่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอ ทั้งหมดเสด็จไปที่ไหน ราษฎรได้มีโอกาสได้เฝ้า แล้วก็ถวายจตุปัจจัย โดยเสด็จพระราชกุศล แทนที่จะเป็นพวงดอกไม้ อาตมาว่าจะ ดีมาก เพราะปรากฏว่าวันนั้น พวงมาลัยที่ขายกันพวงละ ๔ บาท ๕ บาท ขึ้นราคาเป็นพวงละ ๒๐ บาท

    <DD>คนอื่นจะมีความรู้สึกเป็นยังไง อาตมาไม่ทราบ แต่สำหรับอาตมาเองรู้สึกว่าเสียดายเงินค่าดอกไม้ การเอามาถวายท่านเป็นการแสดงความจงรักภักดีก็จริงแหล่ แต่ทว่า ดอกไม้นั้นเมื่อเวลาล่วงไปนิดเดียวก็แหลกเหลวแล้ว ถ้าหากว่าจะบูชาความดีของพระองค์ เวลานี้ พระองค์ทรงช่วยประชากรทั่วประเทศ ต้องใช้เงินมาก

    <DD>ถ้าเราจะเอาเงินค่าดอกไม้นั้นมาถวายแด่พระองค์ อย่างที่บรรดาประชากรถวายรอบ ๆ พระอุโบสถในวันนั้น ชั่ว เวลาประเดี๋ยวเดียวได้เงินตั้ง ๗ หมื่นบาทเศษ นี่ไม่ใช่น้อยเลย ในวันนั้นพระองค์ก็ถวายเงินส่วนพระองค์อีก ห้าหมื่นบาทเศษ เป็นเงิน ทั้งหมดที่วัดได้จากพระองค์ในวันนั้นรวมแล้ว ๑ แสนสองหมื่นบาทเศษ แล้วพระองค์ก็ถวายเงินแสนบาทเศษมา เป็นอันว่าทั้งวัดก็ดี โรงพยาบาลก็ดี โรงเรียนก็ดี

    <DD>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระ เจ้าลูกเธอ ร่วมกันถวายมาแล้วสองแสนบาทเศษ นี่ถ้าที่อื่น หากบรรดาเจ้าหน้าที่เห็นด้วย ช่วยให้บรรดาประชาชนถวายเงินแทนการ ถวายดอกไม้ แต่ก็ต้องไม่มีการเกณฑ์บังคับ เพราะจะไปกำหนดว่าคนที่จะโดยเสด็จพระราชกุศล ต้องสามพัน ห้าพัน แบบนี้ คนที่เขามี ความจงรักภักดี มีศรัทธาในพระองค์แต่มีเงินน้อยก็เลยไม่มีโอกาส ให้ถวายดอกไม้ ค่าดอกไม้มันก็แสนจะแพง ทำอะไรก็ไม่ได้ ถ้าพระองค์ทรงได้จตุปัจจัย ได้เงินไป ก็จะได้ทรงนำเงินนี้ไปเฉลี่ยความสุขกับประชากรที่มีความยากไร้

    <DD>นี่เป็นอันว่าวันนี้ คงไม่ได้อะไร ได้แต่การแสดงความเห็นเท่านั้น มีคนเขาถามว่าที่ถวายพระพรกับสมเด็จ พระบรมราชินีนาถอย่างนั้น ว่าพระที่จบกิจในพระศาสนา (ไม่ใช่หมายถึงอาตมา) แล้วท่านยังมีชีวิตอยู่ ทำความดี ๒ อย่าง ทั้งทางโลก และทางธรรมจะไม่เป็นการผิดพระประสงค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปหรือ ?

    <DD>ข้อนี้ ถ้าจะถามอาตมาก็ขอตอบว่า พระทำอย่างนั้นแหละ เป็นการปฏิบัติตามพระพุทธจริยาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าสำเร็จกิจแล้ว หรือยังไม่สำเร็จก็ตาม บวชเป็น พระมานั่งเป็นตุ๊กตาประจำวัด คอยอย่างเดียวให้ประชาชนเขาเอาเงินมาถวาย แล้วก็ไม่ทำอะไรเป็นเป็นส่วนสาธารณประโยชน์ เก็บไว้ เป็นสมบัติเฉย ๆ ทำตนเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์อย่างผิดพระพุทธประสงค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    <DD>ฉะนั้น พระสงฆ์ที่เป็นสาวกขององค์พระพิชิตมาร ถ้าบวชเข้ามาแล้วมานั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ช่วยทั้งวัด ไม่ช่วยทั้งบ้านเมือง ไม่ช่วยทั้งประชาชน อาตมาว่า รู้สึกจะผิดหลักผิดเกณฑ์ไปมาก ไม่ตรงกับความประสงค์ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค

    <DD>เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาเสียแล้ว ก็จะต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟังทุกท่าน

    <CENTER>สวัสดี</CENTER></DD>
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๙</CENTER>


    <DD>ท่านสาธุชน พุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็คงจะมาพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องของพระเมตตา ตามเดิม ความจริงคิดว่าจะเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังว่า ตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกจากวัดท่าซุงเพื่อเข้าจังหวัดอุทัยธานี แต่ก็บังเอิญอย่างยิ่ง มีคนมาเล่าสู่กันฟังแล้วมาแจ้งข่าวให้ทราบว่า

    <DD>การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จมาทรงตัดนิมิตวัดท่าซุงคราวนี้ นอกจากจะสร้างความชื่นชมยินดี ให้แก่ปวงชนชาวไทยและชาวเทศ และบรรดาพสกนิกรของพระองค์ ด้วยพระองค์มีพระมหากรุณาธิคุณออกเยี่ยมเยียนบรรดาประชากรทั้งหลาย ภายนอกบริเวณพระอุโบสถ ซึ่งนอกเหนือจากที่เจ้าหน้าที่กำหนด ทำหมายกำหนดการให้พระองค์ทรงเยี่ยม แต่เพียงในกำแพงแก้ว

    <DD>ถ้าหากว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ จะเยี่ยมคนเพียงเท่านั้น แล้วคนที่กำลังรอพระองค์ท่านอยู่ ภายนอกก็จะเสียกำลังใจ เพราะต่างคนต่างก็มารอพระองค์อยู่ แดดก็แสนจะร้อน ก่อนที่พระองค์ท่านจะเสด็จมา นับตั้งแต่เวลาเช้า ๖ นาฬิกาเศษ ก็ปรากฏว่าคนมากันแล้ว

    <DD>ฉะนั้นพระองค์จึงได้ทรงย้อน คือ เมื่อออกจากประตูกำแพงแก้วพระอุโบสถ จึงได้ทรงย้อนไปเยี่ยม ประชากรของพระองค์ และเป็นมหากุศลอย่างยิ่ง ที่บรรดาท่านสาธุชนชายหญิงได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายจตุปัจจัยเพื่อร่วมในการสร้างวัด ตามประเพณีที่เขาจัดกัน ว่าการที่จะถวายของแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรม โอรสาธิราช และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ จะต้องใส่พานทองรองรับ จัดเป็นระเบียบ

    <DD>แต่วันนั้น แสดงให้เห็นชัดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ไม่ได้ทรงต้องการอย่างนั้น ทรงมีพระราชประสงค์จะเข้าถึงพสกนิกรของพระองค์อย่างจริงจัง

    <DD>ฉะนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงที่น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายจตุปัจจัยด้วยมือของตนโดยไม่มีพานทอง รองรับ แล้วส่งถวายท่าน พระองค์ก็ทรงรับ รับไปรับมา รับมารับไป ยื่นพระหัตถ์ลงไปรับ บางท่านก็สั่งสนทนาถวายพระพรบ้าง บางท่านก็กราบทูลอะไรต่ออะไรกันบ้างตามอัธยาศัย เพราะความปลื้มใจ ความดีใจ ด้วยการที่ไม่เคยเข้าใกล้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สร้างความปลื้มปีติยินดีให้แก่ประชากรมาก

    <DD>การกระทำอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ผลความดีที่จะพึงได้ก็คือ พวกเราไม่ใช่ว่าความดีจะตกอยู่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แต่ประการใดทั้งสิ้น คำว่าทั้งสิ้นหมายความ ว่าความดีจะไปตกแก่พระองค์ทั้งหมดไม่ใช่อย่างนั้น ความดีจริง ๆ อยู่กับพวกเรา ว่าการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ทรงกระทำอย่างนั้น

    <DD>เป็นเหตุให้บรรดาประชากรทั้งหลาย เห็นว่า คนที่เขาลือกันว่า ศักดินา พวกศักดินานี่ถือตัวถือตน เข้ากับคนอื่นไม่ได้ และว่าคนชนชั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เขาก็ต้องถือว่า เป็นยอดของศักดินา ที่ต้องเข้ากับใครไม่ได้ แต่ที่ไหนได้ ถ้าปล่อยไปตามพระราชอัธยาศัยของพระองค์ เสด็จที่ไหน ก็ที่นั่น การเข้าคลุกคลีกับประชาชน ประทับนั่งคุยกับคนที่มีอายุสูงกว่า แสดงอาการนอบน้อม คือ แสดงอาการอ่อนโยนต่อบุคคลผู้มีอายุต่ำกว่า เราจะเห็นได้จากภาพถ่ายหนังสือพิมพ์ในทุกสถานที่

    <DD>ถ้าหากว่าพูดกันว่า ศักดินาเป็นของไม่ดีก็ลองดู และพิจารณาตามความเป็นจริงว่ากันก็จะมากไป อย่าคิดว่านั่งเชียร์ พระเจ้าแผ่นดิน นั่งเชียร์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ นั่งเชียร์เจ้าฟ้าชาย เจ้าฟ้าหญิง เวลานี้ก็มีเจ้ากรมข่าวลือ ลือไปต่าง ๆ ว่าวัดท่าซุงนี่ มันมีเรื่องอะไรมากนัก พยายามหน่วงเหนี่ยวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ไม่ปล่อยให้ออกมาจากวัด นี่ บรรดาเจ้ากรมข่าวลือ ท่านชอบลือแบบนี้ แต่ทว่าเรื่องของเจ้ากรมข่าวลือเป็นเรื่องของท่าน ประเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ท่านยังมีเรื่องลือของ ท่านอีก ความจริงข่าวลือ บรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าถือเป็นสาระสำคัญ เอาข่าวจริง ๆ กันดีกว่า

    <DD>พระเมตตาของพระองค์ หนังสือเล่มนี้ให้ชื่อว่าพระเมตตาเล่มสอง ก็เพราะว่าพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ทรงมี พระเมตตาปรานีจริง ๆ วันนี้ มีคนมาส่งข่าวว่าการเสด็จมาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ดี เสด็จมาคราวนี้ มีเรื่องที่ต้องคิดอยู่อีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ

    <DD>คุณสง่า สาโรช คุณสง่า สาโรชนี่ เขาเรียกว่า หมอสง่า สาโรช เป็นหมอทำขวัญชั้นดี และก็นางเภา ไม่ทราบนามสกุล สองคนนี้ตาไม่เห็นมานาน สำหรับนางเภา ปรากฏว่าสมเด็จ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับเป็นคนไข้ของพระองค์จะให้หมอหลวงรักษาตาให้ จะหายหรือไม่หายนั่น เป็นความสามารถของหมอหลวง

    <DD>แต่ทว่า ดูพระเมตตาของพระองค์ ว่าคน ๆ นี้น่ะมีจิตใจดี รักษาอุโบสถศีลอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ต้องใช้หลานจูงมาเสมอ ๆ แล้วก็ไม่มีทางใด จะรักษาได้เพราะทุนรอนก็ไม่มี เป็นคนยากจน ก็คิดว่าเป็นมหากุศลของท่าน โยมสำเภาหรือคุณยายสำเภา ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นคนไข้ของพระองค์

    <DD>และอีกคนหนึ่งก็คือ อาจารย์ สง่า สาโรช คนนี้ตาไม่เห็นมาหลายปีเหมือนกัน ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวมีพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ รับเป็นภาระให้หมอหลวงรักษา สำหรับอาจารย์สง่า สาโรช นี่ ตาเสียจริง ๆ ก็มาจากเจ้ากรม ข่าวลือเหมือนกัน เขาลือกันว่า หมอพิเศษมาที่จังหวัดชัยนาททำการรักษาให้หายได้ภายใน ๗ วัน

    <DD>อันดับแรก ไม่เอาเงิน ไม่เอาทอง เขา บอกว่าอย่างนั้น พอไปเข้าจริง ๆ แล้ว แกล่อเสียหลายพัน วิธีการที่เขาจะได้ เขาไม่ใช่หมอจักษุแพทย์แผนปัจจุบัน เป็นจักษุแพทย์แผน ล้างผลาญ หมายความว่า ไม่ได้เรียนมาจากวิธีวิชาการต่าง ๆ เป็นวิชาการที่คิดขึ้นเอง อันดับแรกไปไม่เก็บสตางค์ ก็ใช้เครื่องมือเจาะ ลงไปที่ลูกตา เจ็บก็แสนจะเจ็บ พอเจาะเข้าไปแล้วทำการรักษา

    <DD>ตอนนี้ซิ เขาบอกว่าเจาะแล้วต้องหาน้ำเลี้ยงลูกตา แต่ว่าน้ำเลี้ยงลูกตา นี่ต้องใช้สตางค์ ตอนเจาะไม่ต้องใช้ เป็นวิธีการที่เขาหาเงินได้ดี ใช้น้ำเลี้ยงลูกตาก็ว่าเงินไปเสียหลายพัน ตาไม่ทันจะหาย แต่ว่าหมอก็ หายไปเสียแล้ว เป็นอันว่าหมอก็หายไป นี่เจ้ากรมข่าวลือแบบนี้เป็นการลือล้างผลาญความดีของคน เป็นการลือทำลายอวัยวะสำคัญ ของคน คือลูกตา

    <DD>แล้วก็ลือทำลายสมรรถภาพบุคคลให้เสื่อมเสียไป คนที่มีสตางค์น้อย หรือไม่มีสตางค์ อยากจะให้ตาหายไปนอนกัน เกลื่อนกลาด ปรากฏว่าเสียเงินไปคนละ ๔ พัน ๕ พัน ๗ พันตามฐานะ นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องข่าวลือ พระพุทธเจ้าจึงได้ ทรงตรัสว่า จงอย่าถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ อย่าเอาข่าวลือนั้นมาเป็นสาระ เพราะการถือมงคลตื่นข่าว ถือข่าวลือเป็นสำคัญโดยไม่ใช้เหตุ ไม่ใช้ผล ไม่พิจารณาเสียก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี่

    <DD>ที่เขาลือ ๆ กัน เราพอจะใช้ปัญญา พิจารณาสืบหาข้อเท็จจริงได้ ไม่ใช่จะมานั่งฟัง แต่ข่าวอย่างเดียวแล้วก็เชื่อข่าว ผลที่จะพึงได้ก็คือ หนึ่ง เราเสียอวัยวะ ประการที่สอง เราเสียเงิน ประการที่สาม เราเสียสมรรถภาพ ถ้า เป็นข่าวลือที่ไม่ดี เราก็เสียความสามัคคี

    <DD>ทีนี้ถ้าความสามัคคีของเราต้องแตกสลายไป สิ่งทั้งหลายตามที่กล่าวมา ต้องเสียหายไป คนไทยทั้งชาติ ถ้าปราศจาก ความสามัคคี ประเทศไทยนี้จะตั้งอยู่ได้ไหม ? ถ้าจะว่ากันไปตามศัพท์ ก็ต้องบอกว่า ประเทศตั้งอยู่ได้แต่คนไทยหมดอิสรภาพ เพราะข่าวลือว่าคนนั้นเก่ง คนนี้เก่ง ประเทศนั้นเก่ง ทหารที่นั่นเก่ง ที่นี่เก่ง ยังไม่ทันจะตีกันเลย รู้ว่าเขาเก่งแล้ว มันต้องลองตีกันเสียก่อน มันถึงจะรู้ว่าเก่ง

    <DD>ความหวาดหวั่นแก่กองทัพของข้าศึกทำกำลังใจให้เสีย คนเราถ้ามีกำลังใจดีจริง ๆ เพียง ๓ คน ข้าศึกยกมาสัก ๑๐๐ คน เรา ก็สู้ได้ แต่หากว่า ถ้าเราเสียกำลังใจ เรา ๑๐๐ คน ข้าศึกเพียงคนเดียวเราก็ตายหมด เพราะใจมันไม่สู้ นี่, ข่าวลือประเภทนี้มันเป็นภัย สำหรับพวกเราเอง แล้วก็ยังมีข่าวลือต่อไป ขอเลี้ยวเข้าหาตัวเองสักนิดหนึ่ง

    <DD>ข่าวลือพิเศษ ที่เขาลือว่าในระหว่างงาน อาตมาน่ะ ลาสึกไปเสียแล้ว ไม่ใช่ลาศึก หนีสึก ได้เงินไปมาก ก่อนหน้างาน สึกหนีเอาเงินไป โน่นไปพบที่บางลำพู นี่เมื่อวันวานนี้ได้แก่วันที่ ๒ พฤษภาคม ก่อนหน้าวันบันทึกนี่ การบันทึกขณะนี้เป็นวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๒๐ มีนายช่างที่ทำงานอยู่ที่วัด ยังเป็นหนี้อยู่ อาตมาเป็นหนี้อยู่หลายหมื่นบาท

    <DD>ฟังข่าวจากอำเภอมโนรมย์ ไม่ใช่ที่ตัว อำเภอ ในตลาดอำเภอมโนรมย์ เขาบอกว่า เขาลือกันบอกว่า อาตมาหนีสึกพาเงินไปแล้ว ท่านเถียงเขาบอกว่า เมื่อวานยังพบกันอยู่ แต่ คนที่เขาบอก เขาบอกว่าวันนี้เอง ไปพบมาเมื่อตอนเช้าที่บางลำพู เป็นอันว่านายช่างผู้นั้นก็ต้องเดินทางเข้ามาวัด จะมาสืบดูว่าเรื่องมันจริงแค่ไหน

    <DD>พอท่านมาพบอาตมาเข้าก็นั่งคุยกัน ท่านก็บอกว่า ข่าวมันร้ายจริง ๆ ถามว่า คุณเห็นว่าร้ายหรือ ? เรื่องนี้ความจริงไม่ใช่ เรื่องร้าย มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก แกบอกว่าสร้างความเสียหาย บอกคนที่ลือเขาไม่เสีย อาตมาผู้ถูกลือก็ไม่เสีย แต่คนที่ เสียน่ะคุณ เพราะคุณรับข่าวลือ เอ๊ะ ถามว่าเสียยังไง ? ทำไมจะไม่เสีย คุณมานี่เสียเวลาการงานของทางบ้าน แล้วก็เสียเงินค่ารถมาหาอาตมา แล้วคุณก็ต้องกลับไปเสียเงินค่ารถ ถ้าเอาเวลานี้ทำงานที่บ้านจะได้เงินหลายสิบบาท แล้วที่คุณเสียผลประโยชน์ไป เสียเวลาการงาน เสียทรัพย์สินที่มีอยู่ นี้คนที่ลือก็ไม่เสียประโยชน์ คนที่เป็นข่าวแห่งการลือ ก็ไม่เสียประโยชน์คือ อาตมา แต่ตัวท่านเองเป็นผู้รับข่าวลือ เป็นผู้เสีย นายช่างผู้นั้นท่านก็หัวเราะ

    <DD>นี่ละบรรดาท่านพุทธบริษัท ข่าวลือนี่เราสืบกันได้นะ แต่ว่าอีกประการหนึ่ง วัดนี้ที่สร้างขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางทิศตะวันตกใช้เวลา ๓ ปี ๓ ปี นี่มัน ๓๖ เดือน แต่ความจริงสร้างจริง ๆ ๓๓ เดือน สิ้นค่าก่อสร้างไปประมาณ ทั้งหมดจริง ๆ ๑๖ ล้านบาท ทั้งโรงพยาบาลด้วย ก็มีช่างมาคัดค้านว่า ค่ามันถูกเกินไป

    <DD>ความจริงตามราคาเหมา อาตมาทราบ ลูกศิษย์ เขามาตั้งราคาไว้ให้ว่า ถ้าอย่างนี้ต้องราคาเท่านั้น อย่างนี้ต้องราคาเท่านั้น คิดเป็นตารางเมตร เมื่อสร้างเสร็จออกมาแล้วปรากฏว่ามี ราคาไม่เต็ม ๕๐ เปอร์เซ็น ของราคาจริง ทั้งนี้เพราะซื้อของเอง ควบคุมงานเอง จ้างแรงงานเฉพาะนายช่าง แล้วก็พระ และชาวบ้าน ใกล้เคียงก็ช่วยกันตามกำลังศรัทธา ฉะนั้นวัดจึงได้สร้างถูกกว่าบ้าน

    <DD>ในสมัยที่กำลังสร้างโรงเรียนประชาบาล รัฐบาลให้ครึ่งหนึ่งของราคา สมมติว่าราคา ๕ แสนบาท รัฐบาลให้ ๒ แสน ๕ หมื่นบาท เราสร้างได้สำเร็จในราคาอย่างเลวที่สุดก็เกินกว่านั้นนิดหน่อย หมายความว่าเกินกว่าราคาที่รัฐบาลให้นิดหน่อยถ้าอย่างเลว อย่างดีก็ราคาพอดีกันหรือมิฉะนั้นก็ต่ำกว่าเพราะซื้อของเอง ไม่มีการผ่านบุคคลอื่น คุมงานเอง งานอะไรชาวบ้านทำได้ พระทำได้ เราก็ ทำกันเอง เมื่อว่ากันถึงวัตถุก่อสร้างแล้วดีกว่าที่เขารับเหมามากมาย ทั้งนี้เพราะไม่ต้องการกำไร ต้องการอย่างเดียวคือผลงาน

    <DD>ทีนี้มาว่ากันถึงข่าวลือต่อไป เขาลือกันบอกว่าวัดนี้สร้างขึ้นมา ก็เพราะว่าอาศัยเงินคอมมูนิสต์ มหาวีระนี่เป็น คอมมูนิสต์ เขาว่ายังงั้น ที่ทำได้เร็ว ๆ อย่างนี้ก็เพราะว่าอาศัยคอมมูนิสต์ช่วย ความจริงพวกคอมมิวนิสต์นี่ อาตมาไม่รู้จัก ถ้าบังเอิญจะได้เงินจากท่านผู้นี้ช่วยจริง ๆ อาตมาจะขอบคุณมาก

    <DD>ฉะนั้น ถ้าใครเป็นคอมมิวนิสต์ที่ไหนได้โปรดแสดงตัวให้ปรากฏด้วย อาตมาไม่เคย รู้จัก หากว่าท่านจะช่วยเท่าไรละก็บอกมาเลย อาตมาพร้อมรับ เพราะว่าคอมมูนิด คอมมูหน่อย หรือประชาธิปไตย ราชาธิปไตย หรือ เผด็จการอะไรอาตมาไม่รู้

    <DD>พระเป็นคนกลาง ขึ้นชื่อว่าลัทธิการเมือง เขาจะปกครองประเทศชาติด้วยลัทธิไหนก็ตาม พระไม่รู้เรื่อง เพราะ พระเป็นศูนย์กลางอย่างเดียว ใครก็ตามที่มาที่วัดละก็ต้อนรับหมด ถ้าว่าง ๆ ถ้าใครเป็นคอมมูนิสต์ได้โปรดเอาสตางค์มาช่วยด้วยนะ นี่ ตามข่าวลือนี่ยังไม่ได้สตางค์ของคอมมิวนิสต์ แต่ว่ามีเจ้ากรมข่าวลือเขาบอกแล้วว่าคณะคอมมูนิสต์จะเอาเงินมาช่วยสร้างวัด

    <DD>การสร้างวัดคราวนี้ยังเป็นหนี้เขาอยู่สามล้านเศษ และยังจะต้องทำต่อไปอีกประมาณหนึ่งล้านเศษ เอางี้ก็แล้วกัน ท่านคอมมูนิสต์ถ้าท่านมีศรัทธากรุณาส่งเงินมาช่วยเหลือซัก ๕ ล้าน วัดนี้ก็จะเสร็จเรียบร้อย หนี้สินก็จะหมดไปจะขอบคุณท่านมาก ฉะนั้นท่านเจ้ากรมข่าวลือ ถ้าหากว่าท่านรู้จักกับคอมมูนิสต์ละก็ โปรดแจ้งให้เขาทราบด้วยว่าเงินที่ให้มาน่ะยังไม่ถึงมืออาตมา มันไป ตกอยู่ที่มือของท่านก่อน อย่างไรก็ดีก็ให้ทางคอมมูนิสต์พยายามตักเตือน พวกท่านเจ้ากรมข่าวลือให้ช่วยเอาเงินที่ส่งมาเอามาให้ด้วย นะ นี่เป็นข่าวลือที่พอจะสืบกันได้

    <DD>อีกข่าวหนึ่ง เมื่อคณะปฏิรูปทำการปฏิรูปเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ หลังจากนั้นแล้วก็มีเครื่องบินมารับอาตมา เครื่องบินปีกหมุน (เฮลิคอปเตอร์) ลงที่บริเวณโรงพยาบาล พระไปส่งกัน ความจริงเครื่องบินมารับคราวนั้น ไม่ใช่เนื่องด้วยการปฏิวัติ ไม่ใช่เนื่องด้วยการปฏิรูป แต่เนื่องด้วยการจะไปเยี่ยมประชาชนคนในป่าที่เขามีความทุกข์ มีความยาก

    <DD>ก็เพราะว่าพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ซึ่งเป็นนางสนองพระโอษฐ์ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ร่วมงานกันเยี่ยมบรรดาประชาชนในป่า จะรีบไป ส่งเครื่องบินมารับ เจ้ากรมข่าวลือก็ลืออีกแล้ว ว่าเอาแล้วรัฐบาล มาจับพระมหาวีระขึ้นเครื่องบินไป ขนเอาลูกระเบิดมือบ้าง ปืนเอ็มสิบหกบ้าง ที่วาง เกลื่อนกลาดอยู่ใต้ถุนกุฏิ เอาไปเต็มลำเรือเลย โอ้ โฮ เก่งมาก มีเงินซื้อปืนเอ็มสิบหก มีกระสุน มีลูกระเบิดมือ วางเต็มใต้ถุนกุฏิไปหมด แน่ะ ! เจ้ากรมข่าวลือ

    <DD>ข่าวลืออีกสายหนึ่งท่านบอกว่ามหาวีระนี่เป็นผู้ร่วมในการปฏิรูป เอาละ ! เอาเข้านั่น ! การปฏิวัติปฏิรูปนี่มหาวีระเป็น คนต้นคิด ! คิดให้คณะทหารปฏิวัติ นี่บรรดาท่านคณะปฏิรูป ได้ฟังละก็คงจะหัวเราะขาดใจตาย ทั้งนี้เพราะอะไร ถ้าจะใช้ปัญญาสัก นิดเดียว ไม่ต้องใช้ปัญญาก็ได้เดินมาดูก็ได้ไอ้ปืนเอ็มสิบหกเป็นร้อย ๆ กระบอก กระสุนเป็นแสน ๆ นัด ลูกระเบิดมือเป็นร้อย ๆ ลูก มันจะวางลอดตาคนไปได้ยังไง จะเอาไปไว้ที่ไหนกัน และจะไปยิงกับใครกัน ถ้ามีไว้ขายละก็ว่าไม่ได้ แต่ขายใครเขาจะซื้อ มันเป็นของผิด กฎหมาย แล้วจะไปตั้งกองทัพรบกะใคร บรรดาเจ้ากรมข่าวลือทั้งหลาย ทีหลังนั่งลือให้มันเป็นสักหน่อย ก่อนจะลือ ก็วางแผนการลือ เสียให้ดี อย่าลือส่งเดชไป เขาจะจับเค้าได้

    <DD>แล้วการที่อาตมาเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปก็ปัดโธ่เอ๊ย ! เรื่องนี้ต้องคิดเสียแล้ว ว่าทำไมจึงต้องคิด ที่คิดก็เพราะว่า ใครเขาจะเอาควายไปนั่งบัลลังก์ พระก็มีสภาพเหมือนกบในกะลาครอบ มองอยู่ในวงแคบ ๆ ในเขตพระพุทธศาสนา จะมีสติปัญญาอะไรไปทำอย่างนั้น ไปถามคณะปฏิรูปดูทุกท่านก็ได้ว่า เวลาที่เขาปฏิรูปกันน่ะ รู้จักหน้าพระองค์นี้ไหม

    <DD>แต่ภายหลังที่เข้าไปกองบัญชาการทหารสูงสุด ก็เพราะว่ามีนายทหารบางท่านที่ท่านเคารพนับถือและรู้จักกันมาก่อน ที่เข้าไป ก็ไม่ใช่ผู้วางแผน ไม่ใช่ผู้ช่วยคิดอะไรทั้งหมด เข้าไปเขาถือว่าเป็นพระที่รู้จักกัน ก็ขอพรมน้ำมนต์บ้าง ถวายภัตตาหารบ้าง นี่เป็นเรื่องธรรมดา ๆ บ้านนายทหารหลายท่าน บ้านข้าราชการหลายท่าน เขาก็ทำกันแบบนี้ นี่มาตีความว่า ถ้าเข้าไปในที่นั้นละก็ ต้องเป็นคณะปฏิรูปกับเขา นี่ก็แปลก ถ้าอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านไม่เอาไว้ในเขตพระพุทธศาสนา

    <DD>นี่เป็นอันว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท การถือมงคลตื่นข่าว รับข่าวจากการลือ ถ้าเราไม่ใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อนว่า สิ่งเหล่านี้ มันไม่ใช่เหตุสุดวิสัย ที่เราจะพึงสอบสวนสืบสวนกันได้ วัดท่าซุงไม่ไกล บางท่านห่างจากวัดเพียงสามกิโลเมตรเศษ แล้วก็มี หลายท่านห่างจากวัดเพียงหกกิโลเมตรเท่านั้นเอง สิ้นระยะเวลา ตั้งเจ็ดแปดปี รับข่าวลือจากปากชาวบ้านภายนอกว่า อาตมาเป็นอย่าง นั้น อาตมาเป็นอย่างนี้ แล้วก็คล้อยตามไปตามข่าวลือ อันนี้อาตมาไม่โทษท่านว่าชั่ว ความจริงอาตมามันไม่ดีเอง เขาลือว่าไม่ดี แล้วก็ไม่แก้ตัว เขาลือว่าไม่ดีแล้วก็นิ่งเสีย ก็เลยกลายเป็นว่าข่าวที่ลือนั้น เป็นความจริง

    <DD>เวลานี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงส่วนมาก ที่ฟังคำข่าวลือของบรรดาประชากรทั้งหลาย ที่มีตำแหน่งเป็นเจ้ากรมข่าวลือ แล้วก็เฉพาะอย่างยิ่ง ในงานตัดนิมิต ท่านจะแทรกแซงข่าวลือ มาได้ยังไงไม่ทราบ อาจจะเป็นด้วยกำลังศรัทธา หรือวาระของอาตมา มันจะเบาลงตามกฎของกรรม ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ก็มาในงาน ฝังลูกนิมิตเวลากลางคืนบ้าง กลางวันบ้าง เมื่อเห็นเข้าก็ตกใจ บอกเอ๊ะ ไอ้ที่เขาลือกันนี่ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น มีงานที่เป็นไปและเป็นไป ในรูปต่าง ๆ ต่างกันมากทีเดียวกับที่เขาลือกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มาวัดนี้นั้น ส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัดเสียมาก คนในเขตนี้ มีท่านมาทำบุญเหมือนกันแต่มันน้อยไปหน่อย

    <DD>ทั้งนี้เพราะว่าเจ้ากรมข่าวลือ ท่านต่อต้าน แต่เดชะบารมีที่องค์สมเด็จพระพิชิตมาร คือ พระพุทธเจ้าก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี ตลอดจนพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปกป้อง เป็นเหตุให้บรรดา ประชาชนที่รักไม่เชื่อฟังเจ้ากรมข่าวลือ ดื้อเข้ามาถึงวัดท่าซุง เมื่อมาถึงแล้วก็แปลกใจ เห็นเจ้าอาวาสกับอาตมานั่งคุยกันอย่างสนิท สนม ท่านเจ้าคณะจังหวัด ท่านก็โอภาปราศรัย ยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงเมตตาปรานี วัดนี้ก็มีความเจริญรุ่งเรืองผิดปกติ เป็นอันว่าข่าว ของเจ้ากรมข่าวลือ เลยด้านไป

    <DD>นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอันว่าความจริงมีอยู่ แต่ถ้าเราไม่สู้ความจริง รับฟังแล้ว ไม่ใช้ปัญญาพิจารณา ผลที่จะพึงได้ก็คือ เข้าใจผิด จิตเป็นอกุศล เอาละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน วันนี้ปรารภกันถึงพระเมตตา พระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีแต่นางสำเภา และนายสง่า สาโรช และปรารภข่าวของเจ้ากรมข่าวลือ ก็หมดเวลาเสียแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

    <CENTER>สวัสดี</CENTER></DD>
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๑๐</CENTER>


    <DD>ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ ก็มาพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องพระเมตตาต่อไป สำหรับวันนี้ เห็นจะไม่เลยเรื่องเจ้ากรมข่าวลือเป็นแน่ แต่ทว่าก่อนที่จะบอกข่าวเล่าลือกันของเจ้ากรมข่าวลือ และพระมหากรุณาธิคุณ ก็ขอแจ้งแก่ บรรดาท่านพุทธบริษัททราบว่า

    <DD>ผลของงานตัดนิมิตคราวนี้ ได้รับเงินเข้ามาจริง ๆ ประมาณ ๒ ล้านเศษ แต่ว่าได้ถวายพระคณาจารย์ ต่าง ๆ ไปบ้าง มีพระคณาจารย์ต่าง ๆ รับไปสิบเอ็ดองค์ รวมเงินไว้ทั้งหมดประมาณสักสามแสน ถ้าหากว่าทำไมถวายมากนัก ความจริงเรื่องเป็นอย่างนี้ พระคณาจารย์ต่าง ๆ ที่มาปลุกเสกก็ดี ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ก็ดี เป็นพระสร้างวัด

    <DD>ฉะนั้นเงินที่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถวายท่านทุกงาน ตั้งแต่ งานหล่อรูปหลวงพ่อปาน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จมาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เททองก็ ดี งานยกช่อฟ้าก็ดี งานผูกพัทธสีมาก็ดี เงินที่บรรดาท่านทั้งหลาย ถวายท่านทั้งหมดนี่ อาตมามอบท่านไปทั้งหมด ไม่ได้กันเอาไว้ ครั้งหนึ่งก็ประมาณสองแสนหรือสามแสน ค่ารถ ค่าพาหนะ ทางวัดก็ออกให้ เงินทั้งหมดนี้ ที่มอบท่านไปเพราะท่านนำไปสร้างวัด

    <DD>เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัท มาในงานของวัดท่าซุงครั้งหนึ่ง ก็ชื่อว่าร่วมกันสร้างวัดสิบสองวัด คือ หนึ่งวัดท่าซุง อาจารย์ต่าง ๆ อีกสิบเอ็ดองค์ องค์ที่สิบสองคือ หลวงน้ามหาอำพัน (พระครูปัญญาภรณ์โสภณ วัดเทพศิรินทร์) องค์นี้รับแล้วท่านไม่เอากลับไป ทำบุญหมด

    <DD>จัดการถวายสังฆทาน ช่วยในการสร้างวัดต่าง ๆ ทุก ๆ คืน เงินที่ท่านรับ และบอกบุญบรรดาท่านพุทธบริษัทใน งาน ท่านถวายสังฆทานช่วยในการสร้างวัดต่าง ๆ นี่ เงินที่กล่าวว่าจ่ายไปมาก ก็เพราะว่าอาตมาไม่ได้หักไว้ (ตามประเพณีนิยมแล้ว เงิน พระต่าง ๆ ได้เท่าไร วัดก็รับแล้วก็ถวายไปตามควร)

    <DD>คราวนี้ อาตมาก็ถวายด้วยเป็นค่าพาหนะ ส่วนที่ท่านรับไว้ ก็ถวายไปหมด ที่ทราบก็ จากเจ้าหน้าที่ของการบัญชี ว่าคราวนี้ได้ถวายพระไปทั้งหมดประมาณสามแสน เฉพาะพระคณาจารย์ พระที่มาสวดตัดและถอนนิมิตบ้าง สวดนิมิตบ้าง มาในงานราชพิธีบ้าง แล้วก็มาถวายชัยมงคลคาถาบ้าง มาเทศน์บ้าง

    <DD>ทั้งหมดนี้ ใช้พระมากเกินกว่าร้อยห้าสิบรูป ถวายไปจริง ๆ ก็สองแสนสองหมื่นเศษ เป็นอันว่าในงานนี้ ถวายพระจริง ๆ ก็ประมาณห้าแสนบาท มาค่าใช้จ่ายจริง ๆ ทางวัดได้รับไว้ จริง ๆ ก็ล้านเจ็ดแสนบาท แต่หลังจากงานแล้ว จ่ายจริง ๆ ตกสองล้านบาท เอาเงินที่ไหนมาจ่าย มันไม่พอจ่ายก็ดึงคณะศิษยานุศิษย์ ท่านที่เคารพนับถือ เอามาก่อน ผ่อนทีหลัง

    <DD>เป็นอันว่าเวลานี้ ทางวัดก็ยังมีหนี้อยู่อีกประมาณสามล้านบาท คือหนี้จริง ๆ ประมาณสองล้าน ทุนสำรองที่ท่านช่วย ที่ท่านผู้มีคุณช่วยมา ทำบุญด้วย ท่านทำบุญเป็นแสนก็มี เป็นหมื่นก็มี เก้าบาทสิบบาทก็มี

    <DD>แต่ทว่า บางท่านที่มีเมตตาปรานี ให้ทุนสำรองในการก่อสร้าง มาก่อนไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีจำกัด จะมีเมื่อไร ใครเขามาให้เมื่อไรก็ชำระไป ความจริงก็ได้ผ่อนคลายไปบ้าง หลายราย แต่ผ่อนมาผ่อนไป เพราะรายจ่ายมันสูง ก็เลยต้องเป็นอย่างนี้แหละ

    <DD>ยังเป็นหนี้ต่อไปประมาณสองล้าน แต่จะต้องทำเสริมสร้างสิ่งที่ ไม่สมบูรณ์ อีกประมาณหนึ่งล้าน ก็โปรดทราบว่ายังต้องเป็นหนี้สินอีกประมาณสามล้านบาท นี่การเป็นหนี้สินนี่อาจจะน่าตำหนินะ มี ท่านหลายท่านบอกว่าท่านเป็นหนี้มาก ๆ มันจะดีรึ ? พระเขาไม่ต้องการเป็นหนี้

    <DD>อาตมาขอเรียนให้ทราบว่า พระเป็นหนี้น่ะดี ใจมันจะได้ไม่ละโมบโลภมาก ในการเงินการทอง เห็นเงินเห็นทองที่เขา มาถวายก็จะได้ทราบว่า นี่เป็นเงินที่จะต้องใช้หนี้เขา จิตใจของเรามันก็ไม่ติดในเงิน แล้วเขาถามว่า ถ้าตายลงไปเจ้าหนี้จะได้จากใคร

    <DD>ความจริงเจ้าหนี้ของอาตมา ไม่หนักใจเพราะท่านบอกว่าตายแล้วก็แล้วกันไป ท่านมีน้ำใจเป็นกุศลจริง ๆ ไม่ใช่แต่บุคคลเดียว เป็นคน หลายคน คนหนึ่งก็ไม่มากนัก ก็เห็นจะเป็นแสนน่ะแหละ รายหนึ่งก็เป็นแสน แต่ท่านบอกว่าไม่หนักใจ ตายแล้วก็แล้วกันไป ไม่ถือว่า เป็นหนี้เป็นสิน

    <DD>เพราะเอาเงินมาสร้างวัด อย่างนี้เป็นหนี้เท่าไรก็ได้ ก็เป็นอันว่าเรื่องหนี้ ไม่น่าหนักใจ จะพูดอะไรอีกอย่าง ลืมไป นี่ที่พูดนี่ ไม่ได้เขียนหนังสือไว้ สรุปแล้วการชำระหนี้ การสะสาง พ้นกันไป หนี้ยังมีอยู่ แต่ก็ไม่หนักใจ เพราะเจ้าของท่านใจดี

    <DD>อีกเรื่องหนึ่งก็คือ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชาวอุทัยธานี ในเมืองก็ดี อำเภอต่าง ๆ ก็ดี งานหลายงานมาแล้ว วางศิลาฤกษ์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมา แล้วก็งานยกช่อฟ้า ในช่วงระหว่างกลาง

    <DD>ความจริงท่านทั้งหลายคงจะกระทบกระทั่งกับข่าวลือมาก จึงไม่ค่อยได้ปรากฏมาบำเพ็ญกุศล ดูตามบัญชีแล้วน้อยจริง ๆ แต่ทว่า มางานฝังลูกนิมิต นี่ มีบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงชาวอุทัยธานีไม่เฉพาะในอำเภอเมือง เกือบจะทุกอำเภอ หรืออาจจะทุกอำเภอก็ได้ ไม่ได้ถาม ทุกคน มากันมาก มากันมากจริง ๆ ผิดปกติ

    <DD>บางทีท่านอาจเข้าใจแล้ว ว่าเจ้ากรมข่าวลือ ท่านลือส่งเดช มันไม่เป็นความจริง บางท่านมาเจอะ เข้าก็ตกใจ บอกแปลกใจ ถามทำไมล่ะโยม คุณโยมก็ตอบว่า เขาลือกันว่าหลวงพ่อเอาเงินเอาทองที่ได้มาไปให้เขากู้บ้าง ไปซื้อนาบ้าง ไปสร้างบ้านในกรุงเทพ ฯ บ้าง ไปซื้อรถซื้อราบ้าง ฉันก็เลยไม่ได้มา

    <DD>แต่มาจริง ๆ จึงคิดว่าเอาเงินไปทำยังงั้นจริง ๆ มันสร้างขึ้นมาไม่ได้ แล้วถามว่า สร้างขึ้นมายังไงได้ สามปีสร้างได้เท่านี้ เลยบอกว่าโยม ไม่ใช่สามปี ขาดสามปี อยู่สามเดือน ทำการก่อสร้างจริง ๆ เพียง สามสิบสามเดือน เพราะน้ำมันท่วมเสียสามเดือน

    <DD>ถ้าคิดโดยปีครบ ๓ ปี นี่เริ่มวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๑๗ แล้วก็ในระยะเดือนมีนาคม ๒๕๑๙ ทุกสิ่งทุกอย่างก็แล้วเสร็จทั้งวัด และทั้งโรงพยาบาล โยมถามว่าทำยังไง ก็บอกว่าทำตามปกติ ถามว่าเงินหามาได้ยังไง ก็แจ้ง บอกว่าอาตมาไม่ได้หา บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนำมาถวายเอง

    <DD>และวิธีที่จะสร้างง่าย มันก็ไม่ยาก เงินที่พุทธบริษัทให้มาเท่าไร ทำให้หมด แล้วเงินที่เขาถวายมาเป็นการส่วนตัวเท่าไร เหลือกินเหลือใช้ พระใช้อะไรไม่มาก กินอะไรไม่มาก ก็ลงร่วมกับการก่อสร้างให้หมด อีกประการหนึ่ง ใจกล้าเสียอย่าง กล้าทำ กล้าสั่งวัตถุก่อสร้างมาทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีเงิน ทำเพียงเท่านี้ละ ญาติโยมก็ทำได้ ที่ทำอย่างนี้ ก็จะ เห็นว่า ถ้าพระของเรา ถ้าใจกล้า ใจกว้างเสียจริง ๆ ก็ทำได้

    <DD>และการทำการนี้ ก็ไม่ได้ทำแต่วัดนี้วัดเดียว ยังช่วยบูรณะปฏิสังขรณ์ ก่อสร้างวัดภายนอกอีกสิบสองวัด ทำไปพร้อม ๆ กัน โยมตกใจ บอกเอ๊ะ เจ้ากรมข่าวลือ เขาไม่ได้ว่ายังนั้น เขาบอกว่าหลวงพ่อ ขนเงิน ไปสร้างบ้านที่กรุงเทพ ฯ ไปซื้อที่ ซื้อรถยนต์ให้เช่า ตกข้าวขาย เอาเงินให้กู้ ก็เลยบอกว่า ถ้ายังงั้น มันเป็นของไม่ยาก โยมสืบเอาก็แล้ว กัน

    <DD>ความจริงรถยนต์อาตมา มีทุกยี่ห้อในประเทศไทย เพราะอะไร จะขึ้นคันไหนก็ตามเอาสตางค์ รางวัลเด็กรับใช้นิดหนึ่ง เก้าบาทสิบบาท ก็นั่งไปได้สบาย อาตมามีกระทั่งรถไฟ มีกระทั่งเรือบิน เพราะอะไร เพราะมีสตางค์ให้ค่าโดยสาร ไม่ว่าคันไหน ขึ้นได้ทั้งหมด เป็นของอาตมาหมดทั้งหมด

    <DD>โยมก็เลยชอบใจ นั่งคุยกันก็สนุกสบาย เป็นอันว่าทุกคืนและทุกเย็น บรรดาญาติโยมชาวอุทัยธานี มากันคับคั่งเป็นกรณีพิเศษ เจ้ากรมข่าวลือก็จะต้านทานไม่ไหว อุตส่าห์ลือเสียเกือบตาย วันเริ่มงานยังบอกว่าพระมหาวีระ สึกแล้ว พา เงินหนีไปแล้ว อย่าไปเลยงานวัดท่าซุงไม่มี เรื่องนี้ขอผ่านไป รำคาญไหม พูดหลายหน ?

    <DD>นี่มาด้วยเรื่องพระเมตตา ตอนนี้ขอตั้งต้นที่สงขลา วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๑๙ ก่อนหน้านั้นอาตมาไปจังหวัดสงขลา แล้วก็ไปพบเหตุสำคัญ ว่าสถานที่ตรงนั้นควรจะสร้างพระพุทธรูปสักองค์หนึ่ง ก็จัดแจงสถานที่ คิดว่าจะซื้อก็ไม่ไหว ก็พอดีร้อยตำรวจตรี ชัยณรงค์ เป็นเจ้าของที่ จะไปขอซื้อท่าน

    <DD>ไม่ทันจะไปซื้อ ท่านทราบข่าว ท่านก็เลยมาถวาย บอกว่าหลวงพ่อขอรับ หลวงพ่อจะสร้าง ที่ วัดเอาตามใจชอบเลยขอรับ แน่ะ ! ท่านให้ แหม ! ศรัทธาของท่านดี ที่ติดทางรถไฟ และติดถนนรถยนต์ ถ้าจะเอากันจริง ๆ ราคามันก็ แพงลิ่ว ก็คิดว่าที่ประมาณสัก ๑ งาน แสนบาท นี่เขาจะเอาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

    <DD>ทีนี้เมื่อตกลงแล้ว ที่บ้านน้ำน้อย จังหวัดสงขลา หาดใหญ่สงขลาต่อกัน พอตกลงท่านถวายก็ไปทำการขอพื้นที่ตามธรรมเนียมของพระ เพราะเกรงว่าจะมีอมนุษย์เป็นผู้เฝ้าที่ เมื่อขอ พื้นที่เสร็จ คนสำคัญคนหนึ่ง คือ พันเอกเฉลียว เป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ในแผนกฝ่ายปราบปราม

    <DD>คือ ฝ่ายทหาร อาจจะไม่ แน่ใจ มานั่งบูชาเจ้าของที่ จุดธูปเทียนว่า ที่นี้ ถ้ามีพระพุทธรูปทองคำจริง ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้ถูกหวยลอตเตอรี่ แล้วท่านก็ไปถูกลอตเตอรี่ ต่อมาท่านก็เกิดสงสัย เอ้า บูชาใหม่ ว่าขอให้ถูกลอตเตอรี่ ท่านก็ถูกใหม่

    <DD>เรื่องถูกลอตเตอรี่นี่ จะเป็นอำนาจของพระพุทธานุภาพ คือพระทองคำหรือไม่ นี่อาตมาไม่ทราบ แต่ท่านพันเอกเฉลียวท่านว่าอย่างนั้น และท่านก็ถูกจริง ๆ ก็เป็นเรื่องของท่าน อาตมาไม่โฆษณาถึง ขนาดนั้น

    <DD>ต่อมาทำการก่อสร้าง ระหว่างการก่อสร้าง ก็ปรากฏว่า นายช่างกับลูกจ้างกับลูกมือช่าง เห็นเหตุอัศจรรย์ คือเห็นภาพ พระเป็นพระสงฆ์ มายืนใหญ่ตระหง่านให้เห็นอยู่เสมอ เรื่องนี้จะมีอะไร จริงหรือไม่จริง ท่านพิสูจน์เอาเอง

    <DD>อาตมาก็ฟังข่าวมา เดี๋ยวจะ หาว่าเป็นเจ้ากรมข่าวลือไปเสียอีก เขาลือกันว่าอย่างนั้น ก็ฝากฝังบรรดาท่านพุทธบริษัทให้พิสูจน์ในความจริง เมื่อวันเวลาใกล้จะมาถึง งานเสร็จ สำหรับการก่อสร้างก็ได้อาศัยบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทในกรุงเทพ ฯ บ้าง นอกกรุงเทพ ฯ บ้าง สงขลาบ้าง ที่อื่นบ้าง ช่วยกัน สร้างวิหาร

    <DD>ร้อยตำรวจตรี ชัยณรงค์ เป็นเจ้าของที่มอบถวายเป็นกรณีพิเศษ สำหรับพระประธาน ท่านพลเอก บุญชัย บำรุงพงฆ์ กับ คุณหญิงเป็นคนถวาย เรือนแก้ว คณะศิษยานุศิษย์ทำให้ครอบให้ เป็นอันว่างานสร้างเสร็จ

    <DD>จึงได้ให้ท่าน พลเรือเอก จิตต์ สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหม กับ พลอากาศโท ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหาร คุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุลย์ ภรรยา พลเรือเอก จิตต์ สังขดุลย์ และคุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ภรรยา เจ้ากรมสื่อสารทหาร

    <DD>กราบถวายบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ให้เสด็จบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๑๙ ต่อมาท่านอาจารย์ ภาวาส รองราชเลขา ฯ ได้นำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาแจ้งอาตมาทราบว่า

    <DD>เรื่องนี้พระองค์ทรงทราบแล้ว แต่วันที่ ๒๖ พระองค์จะเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยสงขลา ถ้าจะเสด็จวันที่ ๑๒ ก็จะกลายเป็นเสด็จ ๒ ครั้ง แล้วท่านอาจารย์ ภาวาส ได้บอกว่า

    <DD>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำรัสว่า ท่านเองท่านก็มีความเคารพนับถือหลวงพ่อมาก ถ้าหลวงพ่อจะให้เสด็จ ไปวันนั้น ท่านก็จะไป แต่ว่ามันเป็นการไป ๒ ครั้ง การทูลเชิญเสด็จคราวนี้ เป็นการทูลเชิญเสด็จบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อาตมาฟัง แล้วก็ตกใจ เมื่อทราบน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ว่าพระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยพระ เมตตา

    <DD>การทูลเชิญเสด็จคราวนี้ มิได้หมายความว่า ต้องจำกัดเวลา แต่เห็นว่า วันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็นวันพระราชสมภพของ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ จึงตั้งใจจะถวายพระราชกุศล แต่ในเมื่อทราบว่าพระองค์ มีพระราชภารกิจที่จะต้องเสด็จไปพระราชทาน ปริญญาบัตร วันที่ ๒๖ สิงหาคม ก็ตกใจว่า เอ๊ะ ถ้าเราทำอย่างนั้นก็เป็นการไม่สมควร

    <DD>จึงได้บอกท่านอาจารย์ ภาวาส รองราชเลขา ฯ ให้กราบทูลพระองค์ว่า อาตมาขอขอบพระทัยพระองค์มาก ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ถ้าทราบว่าจะเสด็จวันนั้น ก็คงไม่ทูลเชิญเสด็จ วันที่ ๑๒ ในเมื่อจะมีกำหนดพระราชทานปริญญาบัตร ก็เป็นการดี ขอพระราชทานวันนั้นแหละ เป็นรายการต่อท้ายเลย ก็เป็นอันว่า เป็นที่ตกลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงรับ

    <DD>เมื่อวันเวลาใกล้จะมาถึง ก่อนหน้าวันที่จะเสด็จ อาตมาก็เดินทางโดยรถไฟจากหัวลำโพงพร้อมคณะ ไปตอนเย็น เช้า สว่าง ถึงสถานีทุ่งสง จังหวัดพระนครศรีธรรมราช รถจอด ๑๕ นาที คณะที่ไปด้วยก็ลงไปซื้ออาหาร ก็นำหนังสือพิมพ์ติดขึ้นมา
    <DD>ปรากฏ ว่าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ พาดข่าวหัวโตในทำนองว่า ฤาษีลิงดำใช้ อิทธิพล บีบบังคับ เจ้าคณะจังหวัด ให้ถอดถอนเจ้าอาวาส และเจ้า คณะจังหวัดทนต่อการบีบคั้นไม่ไหวก็เลยลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด ข่าวเรื่องนี้ อ่านแล้วก็ยิ้มในใจ ว่า ปู้โธ่ เอ๊ย ! ทำไมเป็น อย่างนี้ไปได้

    <DD>ไอ้เรื่องหนังสือพิมพ์นี่ ขอบรรดาท่านผู้อ่านท่านผู้ฟัง อย่าไปโกรธเขา ไปเคืองเขาเพราะว่าเขาลงตามข่าว คนให้ข่าวเขา ยังไง บรรณาธิการไม่ได้ไปเห็น เมื่อคนให้ข่าวรับรองข่าว ว่าจริง บรรณาธิการก็ลง นี่เป็นเรื่องธรรมดา

    <DD>อาตมาไม่เคยด่า ไม่เคยว่า ไม่เคยตำหนิติเตียน แล้วก็ต่อมา มีหนังสืออะไรจำไม่ได้ ลงข่าวกระหยุมกระหยิม ๆ อีกหลายเรื่อง จนกระทั่งวิทยุบางสถานี คือ สถานีวิทยุกอง พลหนึ่ง ผู้อ่านข่าวคนหนึ่ง มีผู้เขียนข่าวมา ก็อ่านไปตามนั้น ลืออาตมาเข้าอีก แต่อาตมาไม่ได้เจ็บไม่ได้ช้ำ เพราะไม่ได้เป็นไปตามนั้น

    <DD>จนกระทั่ง ไปบอกกับท่าน พลโท เทพ กรานเลิศ สมัยนั้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ ๑ บอกว่าวิทยุของคุณนี่มันแย่จริง ๆ อ่านข่าวส่งเดชไปได้ ถ้าไม่ใช่พวกท่านละ ไม่มาเตือนหรอกนะ หลังจากนั้น ท่าน พลโทเทพ กรานเลิศ ก็เตือน ข่าวนั้นก็หายไป

    <DD>ว่าถ้าเป็นแบบนี้ละก็ ไม่ช้า เขา ก็เกลียดสถานีวิทยุกองพล ๑ แล้วก็ท่าทางไม่ค่อยดีนักหรอก พวกเรากันเอง แล้วก็หายไป นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ข่าว ลือ ถ้าไม่เป็นความจริง ละ เราอย่าไปยุ่ง อย่าไปกระเทือน

    <DD>ไป ๆ มา ๆ ก็มีข่าวลืออีกว่า ที่ อาตมามีอิทธิพลได้ เพราะติดสินบนเจ้าคณะตรวจการภาค ซื้อเครื่องปรับอากาศไปให้ ราคาเยอะ หนัก ๆ เข้าก็มีบุคคลหนึ่ง ที่รับฟังข่าวอยู่เสมอ ร่วมไปกับบุคคลคณะหนึ่ง ไปที่วัดเจ้าคณะตรวจการภาค ไปแล้วเขาก็ไม่คุยกับท่านภาค

    <DD>เขาก็เดินตรวจดูว่า อาตมาซื้อเครื่องปรับอากาศไปตั้งไว้ให้ที่ไหน แกบอกเดินตรวจดูประมาณชั่วโมง ไม่เห็นเครื่องปรับอากาศเลย แกก็กลับออกมาบอก นี่มันเป็นการทำลายกัน เสียแล้วนี่ ไม่เป็นความจริง

    <DD>ความจริงท่านผู้นี้ ขณะนั้นก็ไปกับเขา พักหนึ่งเหมือนกัน ท่านบอกว่า ผมไปครับ เพราะผมไม่ได้มาพบหลวงพ่อ แต่ผมไปดูไม่เห็นเครื่องปรับอากาศ แล้วผมนึกว่า เอ๊ นี่มัน โจมตีกันนี่ครับ แกก็เลยมาหา ทีแรกแกไม่กล้า พอเข้ามาหาก็คุยกันดี

    <DD>อาตมาก็เลยนั่งรถแกไปเที่ยวเสียอีก แกบอกหลวงพ่ออย่าโกรธ ผมเลยครับ บอกอะไรโกรธ นั่งโกรธคุณก็เสียเวลางานฉันหมด ฉันขี้เกียจโกรธใครแล้วจะโกรธทำไม โกรธก็ไม่เกิดประโยชน์ คุณมานี่ คุณเห็นท่าฉันโกรธไหม บอกไม่เห็นเลยครับ ก็คุยสนุกสนาน เป็นอันว่าเข้าใจกัน

    <DD>กลับไปพูดเรื่องสงขลา ตามหมายกำหนดการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จถึงเวลาประมาณ ๑๗ นาฬิกา ทรงเจิมเทียนชัยของสถานีตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๙ ที่กองกำกับเขต ๙ คือ หลังจากทรงศีลแล้วก็ทรงเจิม หลังจากนั้น อาตมาก็นำเสด็จสู่พระวิหาร ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา กลับลงมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถวายเครื่องไทยทาน พระสงฆ์ถวายพระพร ถวายอดิเรก แล้วก็เสร็จพิธี

    <DD>ต่อไป ตามกำหนดการเป็นการเยี่ยมเยียนประชาชน แต่ที่ไหนได้ เมื่อทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว พระองค์ก็ทรงพระเมตตา มาตรัสถามเรื่องธรรมะ ความจริงที่ท่านถาม ไม่ได้ถามเรื่องบ้านเมือง กิจการงาน เป็นเรื่องธรรมะ การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา

    <DD>พระราชดำรัสที่ตรัสถาม อาตมาเกือบจะจนแต้มหลายหน นี่พูดกันอย่างจริง ๆ ของจริงเป็นของจริง เพราะว่าพระปรีชาสามารถ ที่ตรัสออกมา ทำให้อาตมาคิดว่า นี่พระองค์ทรงปฏิบัติได้ดีจริง ๆ ไม่ใช่ลอกตำรากัน

    <DD>ในช่วงเวลานั้นสมเด็จพระบรมราชินีนาถ กับสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์ ก็เสด็จเข้าเยี่ยมราษฎร แบ่งงานกันทำ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสร็จภารกิจ จากการ สั่งสนทนากับอาตมาแล้ว ก็เสด็จไปร่วมเยี่ยมเยียนราษฎร คลุกคลีกับราษฎรอย่างกันเอง

    <DD>ประทับนั่งคุย ราษฎรหลายคนน้ำตาไหลพราก โดยส่วนใหญ่ปลื้มปีติมาก ในเวลานั้น เลยแจ้งกับเจ้าหน้าที่ไปว่า ราษฎรที่เขามีเงินน้อย น่าจะให้เขาเอาสตางค์ใส่พาน ถ้าเขาอยากถวายพระองค์ เท่าไรก็ได้ ดีกว่าซื้อพวงมาลัย แต่เขาไม่ทำกัน

    <DD>ความจริงในที่ทุกสถาน ถ้าเจ้าหน้าที่ประกาศว่า ราษฎรคนใดจะ ถวายพวงมาลัยแด่
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พระเจ้าลูกเธอละก็ คิดเป็นเงิน ไปเถอะ แต่ไม่บังคับ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ไม่ต้องใช้พานก็ได้ ใช้มือส่งถวายท่านก็รับ อย่างนี้ จะมีประโยชน์มาก

    <DD>เพราะท่านรับไปแล้ว ท่านไม่ได้เอาไปไหน อาตมาทราบดีว่า ท่านใช้ไปในทางไหน ทุกเดือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว งบที่ได้รับจากบรรดาประชาชน ช่วยเหลือก็ดี ที่รัฐบาลให้คิดเป็นรายเดือนก็ดี พระองค์ติดลบทุกเดือน ต้องเอาพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ซึ่งไม่มากนักออกจับจ่ายใช้สอย ช่วยเหลือราษฎร

    <DD>นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท บรรดาพสกนิกรของพระองค์ จะมีความสุขชื่นบานหรรษาก็เพราะอาศัยที่ พระองค์ทรงเป็นยอดศักดินา นี่เขาเรียกว่าศักดินา พระเจ้าแผ่นดินก็เป็นยอด แต่ยอดศักดินา ที่คลุกคลีกับประชาชน มองดูความสุข ความทุกข์ของประชาชนอยู่เสมอ เอาจิตใจเข้าไปจดจ่ออยู่ที่ประชาชน คิดอย่างเดียวว่า ทำอย่างไรให้ประชาชนมีความสุข นี่ศักดินา อย่างนี้ มีโทษหรือมีประโยชน์ อาตมาจะไม่พูด ให้ท่านวินิจฉัยเอาเอง ว่าเขาลือกันว่าศักดินา ไม่ดีน่ะ

    <DD>ลองคิดดูว่า ศักดินาที่สำคัญที่สุด ยอดศักดินาหรือจอมศักดินา ก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเวลานี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกระทำอะไร ฐานะที่เป็น ศักดินาใหญ่ เป็นผู้ทำลายจิตใจ ทำลายความสุขของพวกเรา หรือว่า พระองค์ทรงช่วยเหลือเราให้มีความสุข ? ศักดินาอย่างนี้ ควรมี ต่อไปหรือควรทำลายเสีย ความคิดเห็นยกให้เป็นเรื่องของท่าน เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน

    <DD>สำหรับวันนี้ หมดเวลาแล้ว ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาท่าน พุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่าน.


    <CENTER>สวัสดี</CENTER>
    </DD>
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๑๑</CENTER>

    <DD>ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้มาพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องพระเมตตาตามเดิม สำหรับวันนี้ คงยังไม่ ออกจากสงขลา เที่ยวสงขลา หาดใหญ่เสียอีกสักนิดหนึ่ง ทั้งนี้เพราะอะไร

    <DD>เพราะว่า อาตมาได้รับความเมตตาปรานี จากชาวจังหวัดสงขลา และชาวจังหวัดใกล้เคียงมาก เวลาที่ไปสงขลาคราวใด ก็ได้รับความเมตตาปรานีจาก ธนาคารชาติประจำจังหวัดสงขลา ท่านได้ ให้ที่พัก ที่อาศัยและอาหารการบริโภคทั้งหมด ไปด้วยกันกี่คน ท่านเลี้ยงเท่านั้น ความจริงธนาคารชาติ ที่ไปพัก เป็นทรัพย์สินของธนาคาร ชาติ (ที่พักมีความสุขสบายมาก)

    <DD>แต่ทว่าอาหารการบริโภค เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ธนาคารชาติ ท่านไม่ได้นำเอาทรัพย์สินของธนาคารชาติมาเลี้ยงดู เป็นอันว่า อาตมาก็ต้องเป็นหนี้ทั้งธนาคารชาติ หนี้ความดีของบรรดาประชาชน คือเจ้าหน้าที่ของธนาคารชาติ ตั้งแต่ท่านผู้อำนวยการลงมา ที่ท่านมีความดีเป็นที่ควรแก่การสรรเสริญอย่างยิ่ง

    <DD>ท่านจัดเจ้าหน้าที่ ให้ดูแลเป็นกรณีพิเศษ ถ้าหากว่าจะต้องเสียค่า เช่าที่กัน ก็เห็นว่า จะเป็นวันละหลายร้อยบาทเต็มที เพราะที่ที่ท่านจัดให้ เป็นสถานที่ดี ตามโรงแรม อาตมาไม่เคยไป เพราะพระขึ้นโรงแรมไม่ได้ นอนค้างโรงแรมไม่ได้ ผิดวินัย ผิดระเบียบ เดาเอาว่า สถานที่นี้ ถ้าจะเทียบกันกับโรงแรม ก็น่ากลัวจะเป็นโรงแรมชั้นหนึ่ง จริง ๆ

    <DD>เพราะมีทั้งเครื่องปรับอากาศ พื้นเต็มไปด้วยพรม มีบริการทุกอย่าง น้ำอุ่นมีอาบ น้ำเย็นมีอาบได้ตามอัธยาศัย ดีกว่าโรงแรมอีก ที่ เราไม่ต้องเสียสตางค์ ค่าอาหารก็ไม่ต้องเสีย ท่านผู้เลี้ยงดูก็เลี้ยงด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง

    <DD>นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ความดีของคณะเจ้าหน้าที่ธนาคารชาติ ตั้งแต่ผู้อำนวยการลงมาถึงภารโรง เป็นความดีที่อาตมาต้องจดและจำไว้ในใจ จะลืมไม่ได้ ชาติ นี้ไม่ลืม ตายไปแล้วชาติหน้าก็ยังไม่ลืม เพราะถ้าลืม ก็กลายเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคน ความดีของท่านทั้งหมดนี้ ยากที่จะพึงหาได้

    <DD>นอกจากนั้น ทางอัยการจังหวัด (ชื่อนี่อาตมานึกไม่ออกจริง ๆ มันเหนื่อย เวลาที่บันทึกเสียงนี่มันเหนื่อยมาก นึกชื่อไม่ออกว่าท่านมีชื่อ อะไรบ้าง) แหมจะลืมไปอีกแล้ว ภูเก็ตอีกแห่ง ทางจังหวัดภูเก็ตนี่ส่งเงินมาด้วย ช่วยในการสร้างวัดมาก

    <DD>โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะของ คุณศิริ (นามสกุลอะไรก็นึกไม่ออกเสียแล้ว) เป็นคณะที่มีความสำคัญ ส่งเงินมาบำรุงในการสร้างวัดอยู่ตลอดเวลา และมีบรรดา ประชาชนอีกมากหน้าในจังหวัดภูเก็ต นี่เกรงว่าจะลืม เพราะทางไม่ผ่าน เพราะเรื่องนี้ไม่ผ่านภูเก็ต (หรืออาจจะผ่านก็ไม่ทราบดูเวลา ก่อน)

    <DD>นอกจากนั้น ก็เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจภูธร คณะกรรมการอำเภอ จังหวัด ฝ่ายศุลกากร บรรดาประชาชน ก็จัดว่าเป็นบุคคลที่อาตมาต้องขอบคุณท่าน แล้วก็พ่อค้าหลายแห่ง ที่อาตมาเข้าไปซื้อของ พอเขาทราบว่าพระองค์นี้ คือ ฤาษีลิงดำ บางทีของที่ซื้อท่านก็ให้เสียฟรี ๆ ก็มี ที่เขาให้ฟรีมีมาก ชอบใจ (ไม่ใช่ว่าชอบได้ฟรี ชอบกำลังใจของท่าน)

    <DD>ความจริงการซื้อ ไม่ได้ตั้งใจว่าจะขอ และก็ไม่ได้รู้จักหน้ากันมาก่อน พอท่านทราบ ท่านก็แหมดีอกดีใจ ซื้อของอย่างนี้ แถมอย่างโน้น บางทีของที่แถม มามากกว่าราคาของที่ซื้อ นี่ก็ต้องขอขอบคุณกัน อีกท่านหนึ่งไม่ทราบว่าชื่ออะไร ร้านอะไรก็ไม่ทราบ ในการก่อสร้างวิหารของพระพุทธรูปคราวนี้ อาตมา มอบให้หม่อมหลวง วรวัฒน์ ลืมนามสกุลอีกแล้ว ลูกศิษย์คนสนิทแท้ ๆ นะ ม.ล. วรวัฒน์ นวรัตน์ ม.ล. วรวัฒน์ รองผู้อำนวยการการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จว. กระบี่

    <DD>อาตมามอบภาระในการก่อสร้างวิหารให้ท่าน ท่านผู้นี้ก็มีคุณอย่างเลิศ เจ้าหน้าที่การช่างก็แสนจะดี ทำงานทุกอย่างโดยไม่เรียกค่าจ้างรางวัล สำหรับ ม.ล. วรวัฒน์นี่ อาตมาให้ฉายาพิเศษว่า ขุนกระบี่ เพราะว่าทำงานดี อ่อนน้อม แล้วก็การทำงานคล่องตัวมาก เป็นอันว่ากิจการงานทุกอย่างสำเร็จขึ้นมาได้ เพราะอาศัยความสามัคคี ของท่านพุทธบริษัททุกฝ่าย งานจึงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งงานก่อสร้างทั้งการเงิน

    <DD>มีบรรดาพุทธบริษัทหลายท่าน ถวายเงินโดยเสด็จ พระราชกุศล ในการสร้างวิหารทานคราวนี้คนละ ๕ พันบาท ฝ่ายผู้ว่าราชการจังหวัดบอกว่า มากเกินไป จนกระทั่งแบ่งเอาไว้ ถวายใน วันหลัง ที่เห็นกำลังใจ ศรัทธาของบรรดาพี่น้องชาวสงขลา และหาดใหญ่ (ที่จริงจังหวัดเดียวกัน หาดใหญ่เป็นอำเภอ สงขลาเป็นตัว จังหวัด) มีน้ำใจปะรกอบไปด้วยความดี คือมีกุศลศรัทธาเป็นกรณีพิเศษ ยากที่เราจะพึงหาได้

    <DD>ทีนี้ คุยกันต่อไปถึงเรื่องสงขลา เงินทุกบาททุกสตางค์ที่พระองค์ท่านได้ทรงได้รับ ไม่เคยเอาติดกระเป๋ากลับไป มอบไว้ เป็นการบำรุงวิหาร และในการนั้น อาตมาได้เคยแนะนำ ม.ล. วรวัฒน์ นวรัตน์ ไว้ว่า ถ้าบรรดาประชากรเขาจะถวายจตุปัจจัย แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คนละร้อย คนละห้าสิบบาท คนละบาทสองบาท ให้เขาใส่พานแทนดอกไม้ไว้ หรือว่าใส่จานแทนดอกไม้ ไว้ หรือว่าถือไว้แทนดอกไม้ก็ได้

    <DD>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ ไม่ทรงถือ พระองค์เพราะว่าเป็นผู้เข้าถึงประชาชน มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ประชากรทุกคน คือ โอรสและธิดาของพระองค์

    <DD>ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้ยกย่อง
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เราดูตามจริยากันก็แล้วกัน ที่เสด็จไปที่ไหน ก็เข้าคลุกคลีตีโมงกับ ประชาชนที่นั่น แล้วคนที่เขามีสตางค์น้อย จะได้มีโอกาสร่วมบำเพ็ญกุศลกับพระองค์ ถ้าโดยเสด็จพระราชกุศล ก็ให้เป็นไปตามพระ ราชอัธยาศัย เพราะเงินพวกเราที่ให้ไป ก็จะมีประโยชน์กะคนที่อยู่ในแดนกันดาร แต่ท่าน ม.ล. วรวัฒน์ มาแจ้งทีหลังว่า ทางท่านผู้ใหญ่ ไม่เห็นด้วย อันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง อาตมาก็ไม่ขัดข้อง เพราะว่าเป็นเรื่องธรรมดา

    <DD>ทีนี้ ถอยหลังกันมาถึงวันที่เสด็จ ในวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๑๙ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัส เรื่องธรรมะการปฏิบัติในพระกรรมฐาน กะอาตมาในตอนนั้น พระองค์ก็ตรัสมาจุดหนึ่ง อันนี้ถ้าหากว่าไม่เป็นการสมควร อาตมาก็ต้อง ขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ความจริงก็น่าจะบอกแก่ประชาชนให้ทราบ ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากจะมีพระราชภารกิจ ในฐานะที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน งานนี้ก็หนักอยู่แล้ว

    <DD>พระองค์ยังมีพระมหากรุณาธิคุณแผ่ไพศาล ให้แก่บรรดาประชาชนทั่วประเทศ เยี่ยม ที่โน่น ช่วยที่นี่ งานนี้เป็นงานนอกเหนือตำแหน่งของพระมหากษัตริย์ คือ ทรงมีพระเมตตาปรานี เป็นกรณีพิเศษ ที่ได้ทรงกระทำ พระองค์ จะไม่ทำก็ได้ เพราะว่าตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ไม่ได้เขียนบังคับไว้ว่าจะต้องทำอย่างนั้น แต่ที่ทำก็ทำเพราะอำนาจน้ำพระทัยของ พระองค์ ที่ประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี มีพรหมวิหารสี่ เป็นอัปปปัญญา

    <DD>(ตอนนี้ไม่รู้เรื่องอีกแล้ว พรหมวิหารสี่ก็คือ คุณธรรมของผู้ใหญ่ ได้แก่ ๑. เมตตา ความรักคนทั่วไป สม่ำเสมอกันหมด ๒. กรุณา ความสงสาร ปรารถนาจะเกื้อกูลให้มีความสุข ๓. มุทิตา มีจิต อ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร ใครได้ดีพลอยยินดีด้วย ๔. อุเบกขา ได้สิ่งใดเกินวิสัยก็ไม่เสียใจ วางเฉย) ฃ

    <DD>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพรหมวิหารสี่ สำหรับปวงชนชาวไทย มีพระมหากรุณาธิคุณเป็นกรณีพิเศษ นี่ไม่ใช่หน้าที่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะต้องทรงกระทำ ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ กฎหมายไม่ได้บังคับ แต่ว่าทำด้วยน้ำพระทัยที่มีความเกื้อกูล ทีนี้การที่พระองค์ทรงช่วยเหลือ ราษฎร เงินที่ประชากรถวาย ก็ทรงเผื่อแผ่ให้มีความสุขแก่ปวงชนที่มีความยากไร้อยู่ในแดนกันดาร

    <DD>ถ้าพวกเราทุกคนช่วยกันแบบนี้ ก็ เป็นอันว่า ความดีนี้จะตกแก่พวกเราด้วย คนที่เขาอยู่ในป่า อยู่ในแดนกันดารเขาทราบว่า พวกเราบริจาคทรัพย์โดยผ่านพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ

    <DD>เมื่อเขาทราบอย่างนั้น เขาก็จะคิดว่า อ้อ นี่พวกเขาสบายแล้ว เขายังห่วงใยเรา ความรัก มันก็เกิด ความสามัคคีมันก็เกิด การที่จะแบ่งแยกออกไปเป็นส่วนอื่นเป็นศัตรูซึ่งกันและกันย่อมไม่มีแก่คนในประเทศไทย เพราะต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือกัน อันนี้เห็นชอบด้วยไหม ? เห็นชอบก็ตามใจ ไม่เห็นชอบก็ตามใจ ไม่ไดว่าอะไร มีหน้าที่จะพูดเสียอย่างก็พูดไป

    <DD>ทีนี้กลับมาถึง เรื่องราวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ตรัสอยู่ตอนหนึ่ง หรือสองตอน เอาเฉพาะ ไม่เอามาก ตอนหนึ่งพระองค์ตรัสถามว่า ที่หลวงพ่อก็ดี อาจารย์องค์อื่นก็ดี มักจะขู่อยู่เสมอว่า คนที่เจริญสมาธิจะต้องมีศีลบริสุทธิ์ แต่กระผม เห็นว่า ถึงแม้ว่าศีลไม่บริสุทธิ์ก็เจริญสมาธิได้

    <DD>นี่สิบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เห็นน้ำพระทัยของพระองค์ไหม เอาเวลาที่ไหนมา เจริญสมาธิ เหน็ดเหนื่อยทั้งวันทั้งคืน แล้วจะรู้ทีหลังว่า พระองค์เหน็ดเหนื่อยขนาดไหน มีน้ำพระทัยเข้มแข็งขนาดไหน (ในตอนของภูพิงค์ราชนิเวศน์จะได้ทราบ)

    <DD>ตอนนี้อาตมาจึงได้ถวายพระพรว่า คนที่มีศีลบริสุทธิ์หรือไม่มีศีลบริสุทธิ์ ก็มีสมาธิได้ ฝึกสมาธิได้ แต่ว่าผล ย่อมต่างกัน ตอนที่คนที่มีศีลบริสุทธิ์ เขามีผลอย่างคนมีศีลบริสุทธิ์ คนที่มีศีลไม่บริสุทธิ์ ก็มีผลอย่างคนที่มีศีลไม่บริสุทธิ์

    <DD>แล้วก็ตอนหนึ่งที่พระองค์ตรัสว่า พระองค์หญิงวิภาวดี มีความปรารถนานิพพาน อันนี้ถ้าจำพลาดไป ก็ต้องขอพระราชทานอภัย แต่คงไม่ผิดตามใจความ พระองค์หญิงวิภาวดี มีความหวังตั้งใจเพื่อนิพพาน เห็นว่าจะเป็นการไกลเกินไป (หรือยังไง ไม่ทราบ หรือว่ายากเกินไป จะมีผลน้อย หรือจะไม่มีผลเลยก็ได้ เป็นความหมาย แต่ว่าพระองค์ไม่ได้ตรัสยาว)

    <DD>อาตมาก็ได้ถวายพระพร ว่า สำหรับคนที่ตั้งใจจริง ย่อมมีผล เป็นของไม่หนัก ในเรื่องพระนิพพาน นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท พระองค์ตรัสมากกว่านี้ พระองค์ ตรัสไปก็ทรงดูอากาศไป ตรัสไป ม.ล. วรวัฒน์ บอกว่าใช้เวลาทั้งหมด ๓๕ นาที มืด เมื่ออากาศสลัวตาก็เปิดไฟฟ้า พระองค์ก็เสด็จลงไป เยี่ยมประชาชน

    <DD>มีคนบางคนบอกว่า อาตมาไปหน่วงเหนี่ยวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขามาแนะนำว่า อาตมานั่งที่เก้าอี้ พระองค์ นั่งคุกเข่า ก็ต้องลุกขึ้นยืน ความจริงไม่พากย์กันไว้เสียก่อน นี่คนพากย์ เอ๊ยคนบอกบท ไม่ได้บอกไว้เสียก่อน อยู่ ๆ ก็คิดว่า เก้าอี้มีตั้งหลายตัว คิดว่าพระองค์จะประทับบนเก้าอี้ มาถึงปั๊บพระองค์ทรงนั่งคุกเข่าลงข้างหน้า พระวรกายตรงตั้งตรง อาตมาก็ตกใจ เออ นี่คน ชั้นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน มาถึงมานั่งคุกเข่าลงข้างหน้า ไอ้เก้าอี้เขาตั้งให้ ก็เฉพาะก้นพอดี ยกเท้าขึ้นมาพับเพียบก็ไม่ได้ เลยต้องนั่งห้อยขา

    <DD>คุยกับเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ แหม นึกในใจว่า ไอ้เรานี่มันซวยจริง ๆ ถ้ายกขาขึ้นมาทำท่าพับเพียบก็ต้องหล่นแน่ ดีไม่ดีก็ไปทับพระองค์เข้า อีก เป็นอันว่าเรื่องในวันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า คนที่มีศีลหรือไม่ มีศีลบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ก็เจริญสมาธิได้ เรื่อง สำคัญยังมีมากกว่านี้ ไม่สมควรที่จะมาเล่าสู่กันฟัง เพราะว่าเป็นเรื่องส่วนพระองค์ แต่ก็เป็นเรื่องของธรรมะ ไม่เกี่ยวกับบ้านเมืองไม่ เกี่ยวกับบุคคลใดทั้งหมด ถ้าเอามาเล่าสู่กันฟัง เดี๋ยวจะหาว่าเชียร์พระเจ้าแผ่นดิน

    <DD>บางคนเขามาถามว่า เขามีศีลไม่บริสุทธิ์ แต่ใช้อารมณ์สมาธิ ดูอะไรต่ออะไรได้น่าอัศจรรย์ อย่างนี้อาตมาก็ขอเตือน บรรดาท่านพุทธบริษัทว่า จงระวังให้ดี แม้คนที่มีศีลบริสุทธิ์ ใช้อารมณ์สมาธิก็รู้เหตุการณ์ ยังมีอุปาทานมาก ถ้ายิ่งมีศีลไม่บริสุทธิ์แล้ว มันต้องเป็นการบังเอิญรู้ บางครั้งก็ถูก บางครั้งก็ผิด พอเขาทายถูกมาอย่างเดียว เราก็หลงเชื่อแล้ว อย่างนี้ไม่เป็นการสมควร

    <DD>อย่าว่าแต่ คนที่มีศีลบริสุทธิ์อุปาทานกันเลย คนที่ทรงพรหมจรรย์แล้ว ใช้แต่เพียงฌาน โลกียฌาน พิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ มันยังผิดอยู่ถึง ๘๐ % ยังมีอุปาทานกิน เอาละเอียดลออไม่ได้ แม้แต่พระอริยเจ้า ขั้นพระอรหันต์ ท่านยังไม่กล้าพยากรณ์ด้วยตนเอง ท่านอาศัยกำลังส่วนอื่น พยากรณ์ กำลังส่วนนั้นเป็นอะไร ก็เป็นอรหันต์ไปเสียก่อนไม่ดีกว่ารึ จึงค่อยรู้

    <DD>เออ พูดถึงเรื่องอรหันต์ มีคนชอบเขียนหนังสือกันนัก โฆษณาว่าอาตมาเป็นพระอรหันต์นี่ อาตมาก็เขียนหนังสือไว้ หลายตอนหลายเล่ม ทุกเล่มปะหน้าไว้เสมอว่า ไม่ใช่พระอรหันต์ ใครพูดว่าพระอรหันต์ไม่สมควร ไม่เห็นชอบด้วย พูดว่าเป็นพระทรงฌาน ก็ไม่เห็นชอบด้วย ให้พูดเพียงว่าต้องการบุญเท่านั้นพอ

    <DD>แต่ก็ยังมีบุคคลเขียนโฆษณาว่า อาตมาเป็นพระอรหันต์อยู่เรื่อย ถ้าจะเป็น ก็ขอเป็นพระกังหันเถอะ พ่อคุณเอ๋ย เวลานี้มันหมุนเสียจนจมไม่ลงแล้ว หมุนซ้ายหมุนขวา หมุนขวาหมุนซ้าย หมุนจนเวียนหัวเต็มที ถ้า ยกย่องให้เป็นตำแหน่งพระกังหันนี่ ยินดีด้วย เพราะเป็นจริง ๆ ปฏิเสธไม่ได้

    <DD>เรื่องราวการเป็นพระอรหันต์นี่ ขอปฏิเสธ ปฏิเสธถ้อยคำของ ท่านที่กล่าวว่า อาตมาเป็นพระอรหันต์ จำให้ดีนะ อาตมาไม่ยอมรับ ถ้อยคำของท่านที่ช่วยกันโฆษณาว่า อาตมาเป็นพระอรหันต์หรือว่า เป็นพระทรงฌาน ขอปฏิเสธถ้อยคำที่ท่านกล่าว อย่าพูดกันอีกต่อไปเลยว่า อาตมาเป็นพระอรหันต์

    <DD>บางคนก็ตกนรกไปหลายรายแล้ว พออ่านหนังสือเขาโฆษณาว่า อาตมาเป็นพระอรหันต์ ก็โจมตีส่งเดช ไอ้ด่ามาน่ะ อาตมาไม่รับ ขอถวายคืน ขอส่งคืน ทำไมล่ะ ก็ไม่ได้ บอกนี่ว่าเป็นพระอรหันต์ คนอื่นเขาพูดกัน ดันมาด่าอาตมานี่ มันจะถูกที่ไหน มันไม่ถูกหรอก อาตมาไม่โกรธ เชิญด่าไปตามสบาย ให้ ขาดใจตายเมื่อไรก็เชิญเถอะ

    <DD>นี่เป็นอันว่า วันนั้น ตามหมายกำหนดการก็ควรจะเสร็จเวลา ๖ โมงเย็น เมื่อเวลาค่ำแล้วพระอาทิตย์ตก แล้ว เขาเปิดกระแสไฟฟ้า พระองค์ก็เสด็จเข้าพลับพลาที่ประทับ ผู้ว่าราชการจังหวัดก็เชิญ บุคคลที่จะโดยเสด็จพระราชกุศล มาถวาย เงิน กี่สิบรายอาตมาจำไม่ได้ รายละ ๕,๐๐๐ บาท (ห้าพันบาท)

    <DD>อันนี้ก็น่าจะขอบใจ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดคนนั้น และขอบคุณใน ความดีของบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ที่เขาถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล แล้วก็มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด จัดการเรื่อง ทะนุบำรุงบริเวณเขตนั้น ที่เขาถวายไว้ ทั้งพระทั้งวิหาร ทั้งที่ดิน

    <DD>ถ้ามีอะไรบกพร่องสลายตัวลงไป ต้องซ่อมแซม โดยจะใช้เงินจำนวนนั้น เข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์ หน้าที่ของอาตมาในการที่จะต้องเข้าไปยุ่งกับพระพุทธรูปองค์นี้ ก็หมดไปตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป เพราะ มอบหมายการบำรุงรักษาไว้กับเจ้าคณะจังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว

    <DD>องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเวลานั้น ก็ทรงแสดงความเมตตา ถามว่าใครเป็นเจ้าของที่ ท่านก็เรียกผู้ว่าราชการจังหวัด เรียกร้อยตำรวจตรีชัยณรงค์ เจ้าของที่เข้าไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ไม่ได้ทรงยืนหรือนั่งอยู่เฉย ๆ ให้คนเข้า ไปหา ทรงเดินออกมาหาเขาด้วย แหม แสดงพระองค์วันนั้นเห็นชัด เห็นชัดว่าไม่ได้ทรงถือตัวว่าเป็นพระมหากษัตริย์

    <DD>ทรงเป็นกันเองกับ บรรดาประชากรทั้งหมด ยังความปลาบปลื้มปีติยินดีให้กับประชาชน คนที่น้อมเกล้า ฯ ถวายของทุกอย่าง แด่พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ วันนั้นว่ากันหมดกระเป๋า มีอะไรก็ถอดถวายกันไป ปลื้มใจ ดี ใจ บางคนกราบถวายบังคมทูลด้วย ร้องไห้ไปด้วย น้ำตาไหลไปตาม ๆ กัน ไม่ใช่บางคน หลายคน

    <DD>วันนั้นอาตมาจะต้องเข้าพิธีพุทธาภิเษก ที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๙ จ.ว. สงขลา ซึ่งมี พ.ต.อ. เจิด จำรัส เป็นผู้นิมนต์ไว้ คิดว่าจะเข้าไปในพิธีประมาณหนึ่งหรือสองทุ่ม กว่าจะออกจากที่นั่นได้ หลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ
    กลับ เห็นจะเป็นเวลาประมาณสองทุ่ม ก็มีคนเข้ามาหา ขอน้ำมนต์บ้าง ขอให้จับศีรษะบ้าง ว่ากันไป

    <DD>ความจริงมันเหนื่อยมาตั้งแต่เช้า ร่างกายก็ไม่ค่อยดี ป่วยด้วย ลูบกันไปคลำกันมา กว่าจะเสร็จพิธีก็เกือบ ๔ ทุ่ม เข้าไปถึงกองกำกับเขต ฯ รถกำลังแน่น เจ้าหน้าที่ ตำรวจก็ต้องขอทางให้ ไปถึงก็ไปนั่งอ่อนใจหาที่อาบน้ำ กว่าจะเข้าพิธีกับเขาได้ก็นาน

    <DD>พิธีการวันนั้น ไปนั่งปลุกเสกอยู่พักหนึ่งแล้วก็นอน มันไม่ไหว นอนตื่นขึ้นมาประมาณตีสอง ก็ว่ากันใหม่อีกที เรียกว่าวันนั้นก็เหมา คือปลุกทั้งคืน แต่ความจริงไม่ได้เต็มคืนหรอก เข้าก็ดึก ดึกมากก็พัก พัก เข้ามืดตื่นขึ้นมาก็ว่ากันไป สะดวกดีเหมือนกัน

    <DD>เป็นอันว่า ชาวสงขลาที่รัก และชาวกระบี่ ชาวภูเก็ต ชาวตรัง ชาวพังงา ชาวสตูล ชาวปัตตานี ยะลา นราธิวาส โอ๊ เยอะแยะที่ใกล้ ๆ พากันไปที่นั่น อาตมาขอขอบคุณท่าน การขอบคุณก็น่าจะขอบคุณบรรดาประชาชนทั่วประเทศไทย ที่เมตตา สงเคราะห์อาตมา จะไปทางไหนก็สงเคราะห์ที่นั่น ด้วยจตุปัจจัยบ้าง

    <DD>อาตมาก็นิสัยเสียอยู่อย่าง ถ้าไปนั่งวัดไหน ใครเขาให้สตางค์ที่นั่น ละก็ เอาไว้ที่วัดนั้นแหละ นี่เขาเรียกว่าคนนิสัยเสีย แต่บางท่านบอกว่า ไอ้นี่หลวงพ่อเอาไว้ที่นี่ไม่ได้นะ เขียนเอาไว้ว่า ถวายหลวงพ่อ ต้องเอาไปวัด ทีนี้ต้องตามใจท่าน ทั้งนี้เพราะอะไร

    <DD>เพราะการขัดใจกัน นี่ไม่ถูก ก็นึก ๆ กระดากอายเจ้าของวัดเหมือนกัน เกรงว่าท่าน จะหาว่าไปหาผลประโยชน์จากวัดของท่าน แต่ว่าที่อื่นเขาจะทำกันยังไงนั้นอาตมาไม่รู้ ไม่ทราบ ไม่เกี่ยว มีความประสงค์อย่างเดียว ถ้า ผลประโยชน์เกิดขึ้นที่วัดไหน ต้องการให้ผลประโยชน์นั้น อยู่ที่วัดนั้น

    <DD>แต่ทั้งนี้ ก็ดูพระในวัดเหมือนกัน ถ้าพระในวัดนั้น ไม่สมควรที่จะรับ จตุปัจจัยส่วนนี้ไว้ ก็ไม่ให้เหมือนกันนะ ไม่ใช่สักแต่ว่า เป็นพระคอหยัก ๆ สักแต่ว่า เป็นคน เงินที่เขาบำเพ็ญกุศลมาไปอีลุ่ยฉุยแฉกนี้ไม่ให้

    <DD>ต่อไป บางแห่งเคยให้เงินหลายแสน ไม่ใช่เงินอาตมา เงินญาติโยมพุทธบริษัท เอาไปช่วย เงินตั้งสองแสน สามแสน ช่วยกับองค์หนึ่งที่ยัง มีชีวิตอยู่ รับปากท่านไว้ว่า จะช่วยหาเงินไปสร้างสิ่งนั้น จนเสร็จ บังเอิญท่านตาย แต่องค์ที่อยู่มีปฏิปทาไม่เหมือนกัน เวลาเข้าไปแล้ว เหมือนกับเราเป็นคนจะไปขออะไร เอาเงินไปให้ ก็ตั้งท่าตั้งทางแปลก ๆ ชอบกล แล้วเงินที่บำเพ็ญกุศลเหลือแล้ว ไม่รู้หายไปไหนหมด

    <DD>ถ้า มีการก่อสร้างบางอย่างขึ้นมาใหม่ เงินเก่าถามว่าเอาไปไหน บอกว่าเอาไปเข้ามูลนิธิ เป็นงั้นไป แล้วจะมาขอใหม่ เลยบอกว่า ถ้าเงินเก่า ไม่จ่าย ก็จงอย่าเอาใหม่เลย และเงินใหม่อีกสตางค์แดงเดียวก็จะไม่จ่ายให้ เพราะว่าที่มาทำนี่ ก็เพราะรับปากกับคนตายท่าน แต่ว่าคนที่อยู่เวลานี้ ในเมื่อมีจริยาไม่ดีอย่างนี้ อย่าว่าแต่หนึ่งบาทเลย หนึ่งสตางค์ก็ไม่ให้

    <DD>นี่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ทราบไว้ด้วยว่า ถ้า อาตมาจะให้พระองค์ไหนมานำไปเพื่อบำเพ็ญกุศล อาตมาก็เลือกคน เลือกพระ ไม่ใช่สักแต่ว่าคอหยัก ๆ สักแต่ว่าเป็นคน แล้วเราจะมา นั่งบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล บุญกุศลมันจะไม่มี สิ่งที่มันจะได้นั่นก็คือ ความช้ำใจ อันตรายใหญ่ที่จะพึงมี ก็คือ ความช้ำใจมันเกิดขึ้น ความเศร้าหมองเกิดขึ้น ความไม่พอใจเกิดขึ้น กรรมที่เป็นอกุศลมันจะเกิดแก่ท่าน

    <DD>ฉะนั้นอาตมาก็จะขอรับรองว่า จะไม่ให้แก่บุคคลทุก วัดเสมอไป เว้นไว้แต่วัดนั้น เราไว้วางใจ แต่ว่า ที่เป็นที่น่าเสียดาย ที่คนตายดี คนอยู่ไม่ดีนี้ เราก็ต้องเสียเงินไปแล้วหลายแสน แต่ขอให้ ถือว่าเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชาก็แล้วกัน

    <DD>ต่อไปเบื้องหน้า เราก็จงพากันคิดใหม่ว่า ถึงแม้ว่าจะโกนหัวห่มผ้าเหลือง เราก็ต้อง ดูกันก่อนว่ามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินวร ปฏิบัติพระธรรมวินัยดีหรือไม่ ถ้ารับปากกะคนตายไปแล้วต้องถือว่าเลิกกัน

    <DD>เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มองดูเวลาก็หมดแล้ว สำหรับเรื่องพระเมตตาในวันนี้ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

    <CENTER>สวัสดี</CENTER></DD>
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๑๒</CENTER>


    <DD>ท่านศาสนิกชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ขอพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ในเรื่องราวของพระเมตตาต่อไป แต่สำหรับวันนี้ ขอแวะข้างทางสักหน่อย ออกจากสงขลากลับมาแวะเข้าสุโขทัย

    <DD>ความจริงการแวะเข้าสุโขทัยคราวนี้ ปลายปีได้แก่เดือนธันวาคม ๒๕๑๙ ไปครั้งหนึ่ง ร่วมกับพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต และต้นปี ๒๕๒๐ คือเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ ไปอีกครั้งหนึ่ง สำหรับเรื่อง เกี่ยวกับพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ส่วนใหญ่จะเอาไว้ท้ายเรื่องพระเมตตา แต่ว่าก็จะขอเล่าเหตุการณ์สรุป ๆ เพราะจริยาของพระองค์ เหมือนกันในที่ทุกสถาน

    <DD>ในตอนนี้ เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๑๙ อาตมาได้มีโอกาสร่วมไปกับพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ไปแวะที่จังหวัดสุโขทัย เอาเป็นศูนย์ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วก็ปลัดจังหวัด (ปลัดจังหวัดคนนี้ดูเหมือนว่าเคยอยู่จังหวัดอุทัยธานีมาก่อน) และ ท่านผู้กำกับ ข้าราชการส่วนมาก มาต้อนรับ ให้มาพักที่บ้านรับรองของพิพิธภัณฑ์

    <DD>ในตอนนั้น ได้ออกเยี่ยมราษฎรที่ยากจนและแดนกันดาร ได้มีโอกาสเดินทางเข้าไปในป่าลึกปลายเขตของจังหวัดสุโขทัยด้านตะวันตก เป็นดินแดนในป่าที่มีชาวเขาอยู่หลายเผ่า พระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ก็ได้แจกจ่ายข้าวของที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน

    <DD>(ตอนนี้ขอเว้นไว้ เอาไว้คุยกันตอนเล่าถึง พระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ดีกว่า ในตอนท้ายของเล่มนี้) แต่ว่าจะขอแวะเข้าจังหวัดสุโขทัย เมื่อเข้ามาจังหวัดในตอนนั้น งานที่จำจะต้องไปทำคือเยี่ยมประชาชน แต่บังเอิญตอนกลางคืน

    <DD>บรรดาท่านพุทธบริษัทตอนไปถึงเย็นวันนั้น เช้าขึ้นจะต้องไปเยี่ยมคนที่อำเภอ อะไรล่ะ มันหลายอำเภอจำไม่ค่อยจะได้ เป็นอำเภอสวรรคโลก (น่ากลัวจะเป็นงั้น) ต้องแบ่งงานให้คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ภรรยาเจ้ากรมสื่อสารทหารไปเยี่ยมแทน

    <DD>ตอนกลางคือ ตอนเย็นอาตมาพักผ่อน เห็นทหารประมาณ ๒๐ คน หัวหน้าคนผอม ๆ เดินขึ้นมาหา เป็นทหารผีรายงานว่าถูกยิงตาย ก็แผ่ส่วนกุศลไปให้ตามหน้าที่ของพระ เวลาค่ำ หายเหนื่อย ออกมาคุยข้างนอก ก็ได้ทราบข่าวว่า

    <DD>ทหารที่จังหวัดน่าน ถูกโจมตีฐานเล็ก แล้วฐานใหญ่เคลื่อนกำลังไปช่วย ข้าศึกซุ่มโจมตีตามทาง ถึงแก่ความตาย แล้วเหลือทหาร อยู่ ๒-๓ คนบาดเจ็บ อีกคนหนึ่งไม่บาดเจ็บ ไม่มีแผลเลย ก็ต้องแยกย้ายกันไปเยี่ยม

    <DD>พระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต อาตมา หลวงปู่ธรรมไชยและคณะ แยกไปเยี่ยมทหาร แล้วให้คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ไปเยี่ยมประชาชน ในขณะนั้นปรากฏว่ามีประชาชน เขารายงานว่า อยู่ใน ดินแดนที่ไร้น้ำ หาน้ำได้ยาก คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ จึงได้บอกว่า หลงพ่อชอบช่วยคนเรื่องบ่อน้ำ

    <DD>ความจริงเรื่องบ่อน้ำนี่ อาตมาชอบ ถ้าบอกอย่างอื่น สตางค์มันก็ไม่มี เรื่องบ่อน้ำนี่ตัวเองก็ไม่มีสตางค์ แต่ว่าคณะศิษยานุศิษย์ของอาตมา และท่านที่เคารพนับถือชอบสงเคราะห์ ชอบเพราะอะไร เพราะอาตมานี่ซิบอกให้เห็นชัดว่า ถ้าเราให้น้ำนี่ เขาจะมีความสุขมาก ให้เงินให้ทองอย่างอื่นนี่ มันไม่แน่นัก ว่าจะพอ สิ่งที่มีความสำคัญจริง ๆ คือน้ำ

    <DD>ถ้ามีน้ำเสียอย่างเดียว พืชพันธุ์ ธัญญาหารมันเกิดขึ้นได้ แต่ทว่าพวกเราจะไปช่วยเขาในด้าน ชลประทาน สตางค์ของเราก็ไม่มี คณะของอาตมานี่ ไม่ใช่คณะมหาเศรษฐี เป็นคนที่แค่พอมีพอกิน บางคนก็เดือนต่อเดือน สตางค์ก็มีรายได้กันในเขตจำกัด

    <DD>แต่อาศัยที่บรรดาท่านพุทธบริษัท มีจิตประกอบไปด้วยพรหมวิหารสี่ เพราะว่าเคยแนะนำไว้เสมอว่า ให้เลียนแบบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระเจ้าลูกเธอ อย่างสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ท่านก็ตั้งมูลนิธิสายใจไทย

    <DD>สงเคราะห์บรรดาประชาชนทั้งหลาย ตำรวจทหารที่ได้รับบาดเจ็บหรือล้มตาย เอาเงินไปช่วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ พระบรมราชินีนาถ ช่วยไม่จำกัด ว่าทุกอย่าง จนกระทั่งรายได้ของท่านติดลบทุกเดือน นี่ท่านไม่ได้บอกอาตมา

    <DD>อาตมาทราบจาก พระองค์หญิงวิภาวดี ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่รับเงินโดยเสด็จพระราชกุศลก็ดี เงินส่วนพระองค์ที่ทรงรายได้จากรัฐบาลก็ดี นอกจากจ่ายข้าราชบริพารตามหน้าที่เป็นเงินเดือนเบี้ยหวัดแล้ว ที่ส่วนได้เป็นส่วนพระองค์ก็ทรงมาใช้จ่ายในส่วนนี้ ก็ยังติดลบ ต้องเอา ทรัพย์สินส่วนพระองค์เท่าที่พอมีอยู่บ้าง

    <DD>ความจริงเราก็ทราบพระราชทรัพย์ที่รับมรดกมาไม่มากมาย แต่ทว่าต้องเจียดใช้ไปทุกเดือน ถ้าไม่มีรายได้เพิ่มเติม ไม่ช้าก็หมดเหมือนกัน แต่ว่าทั้งสองพระองค์ท่านไม่ได้คำนึง เสวยอะไรก็แบบง่าย ๆ ไม่ใช่ว่าเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จะต้องกินจานเงินจานทอง ต้องของอย่างนั้นดี อย่างนี้ดี

    <DD>ถ้าคิดอย่างนี้ก็เข้าใจผิด สถานที่ประทับของพระองค์ก็แบบธรรมดา ๆ ที่บรรทม เคยเห็นในพระราชฐานในที่ต่าง ๆ เท่าที่พอจะเห็น บางทีอาจจะโก้เก๋ สู้บ้านบางบ้านไม่ได้ ชาวบ้านราษฎรบางบ้าน บางทีโก้เก๋ กว่าพระองค์มาก นี่เห็นมาจริง ๆ

    <DD>บางบ้านได้เคยเข้าไปถึงที่นอนเขาจัดให้นอน แหมห้องนอนยังกะวิมาน แต่ว่าห้องบรรทมของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เป็นธรรมดา ๆ แบบห้องที่อาตมานอนนั่นเอง เตียงตั่งเก้าอี้ก็แบบธรรมดา ไม่วิจิตรพิสดารอะไร ข้าวของที่ใช้ก็แบบธรรมดา ๆ รู้สึกว่าท่านเป็นนักสันโดษ

    <DD>นี่บรรดาประชาชนทั้งหลาย ที่ร่วมกะอาตมามีมากท่าน เราก็ควรจะกล่าวว่าทั่วประเทศไทย แต่ว่าไม่ทุกคน มีทุกจังหวัดจริง ๆ แต่ว่าไม่ใช่ทุกคน ถ้าทุกคนละก็ คน ๔๐ ล้านคน ปีหนึ่ง อาตมา ได้เงินจากคนทุกคนมาคนละบาท โอ๊ อย่างนี้สนุกใหญ่ จะขุดบ่อน้ำ จะทำเหมืองฝายให้มันสนุก

    <DD>ถ้าแบบนี้ชอบ แต่สะสมไม่ชอบ ชอบขยายตัวออก อย่างนี้ชอบ นี่คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ จึงได้บอกกับเขาว่า หลวงพ่อชอบ ชอบน้ำ แต่ความจริงน่ะ หลวงพ่อชอบจะต้องคณะชอบด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์แสงอรุณ รัตตกสิกร นี่ โอ้ โฮ ถ้าพูดถึงบ่อน้ำให้ควายนี่ชอบจริง ๆ

    <DD>เริ่มแรกของการให้บ่อน้ำของ พวกเราก็คือ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อันนี้นึกถึงคนอยู่คนหนึ่งคือ คุณประชา เวลานั้นเป็นปลัดอำเภอโท อยู่ที่อำเภอบางสะพานใหญ่ แล้วก็ย้ายมาเป็นปลัดอำเภอโท ที่อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี บางสะพานใหญ่นั่นอยู่จังหวัดประจวบฯ

    <DD>เวลานี้ย้ายไปอำเภอไหนแล้ว ก็ไม่รู้ หมดคนนี้เสียหมดท่าเลย อาตมาหมดท่า ไม่ยังงั้น ขุดบ่อน้ำกันอีกหลายร้อยบ่อ สนุก นี่ว่าสนุกเพราะอะไรเพราะห่วง ที่ห่วงจัด ก็สัตว์พาหนะ สัตว์พาหนะนี่มันต้องใช้น้ำมาก กินก็มาก อาบก็มาก แล้วมันก็บอกใครเขาไม่ได้ด้วย มันอยากอาบน้ำ พอไปเห็นเข้ามันยืน หอบตัวโยน

    <DD>เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ หรือ ๑๘ จำไม่ได้ วันนั้นบ้านพลอากาศโท ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหาร บรรดา ศิษยานุศิษย์และท่านที่เคารพนับถือ จัดงานวันเกิดของอาตมาขึ้น อาตมานี่เกิดได้ทุกวัน แล้วก็เกิดได้ทุกเดือน คล่องตัว วันไหนใช้ได้

    <DD>เพราะถือว่า ถ้าทำความดีแล้ว พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นอกาลิโก ท่านก็รวบรวมสตางค์กันขึ้น คนก็ไม่มากนัก ได้กี่หมื่นบาทอาตมาจำไม่ได้ อาตมาก็เลยบอกว่า เงินจำนวนทั้งหมด จะไม่ขอรับไว้เป็นส่วนตัว จะเอาไปขุดบ่อน้ำที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คือที่อำเภอบางสะพาน

    <DD>ทำไมเฉพาะเจาะจงที่นั่น ก็เพราะว่าคุณประชาแกเป็นเจ้าภาพอยู่ ถ้าเราไม่มีทางบ้านเมืองด้วยละก็ทำไม่ได้ เพราะจะไปนั่งคุม อยู่ได้อย่างไร การขุดบ่อน้ำตั้งงบไว้ว่าประมาณบ่อละ ๓ พันบาท แต่ให้เพียง ๒ พันบาท ให้ค่าวัตถุอีก ๑ พันบาท เป็นค่าแรงงานให้ จัดการกันเอง

    <DD>เพราะอาตมาถือว่า จะทำอะไรทุกอย่าง ถ้าเราเป็นฝ่ายให้เสียเองทั้งหมด เขาไม่เสียดายและเขาไม่รัก ต้องให้ท่านผู้ใช้มี ส่วนเป็นเจ้าของด้วย เมื่อทราบว่าจะช่วยการบ่อน้ำ ก็มาช่วยเพิ่มเติมเข้าอีก คราวนั้นเราได้บ่อหลายสิบบ่อ จำไม่ได้ว่ากี่บ่อมีชื่อเขียนติดไว้ ไปถามเขาก็แล้วกันที่อำเภอบางสะพานใหญ่

    <DD>ต่อมาคุณประชาย้ายมาเป็นปลัดอำเภอโทที่อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ก็นำเงินที่เหลือ เพราะไม่มีใครควบคุมที่ โน่น จะให้ใครก็ไม่ได้ มาตั้งบ่อน้ำที่นี่ คณะของอาตมาก็จัดการไปช่วยในการขุดบ่อน้ำอีก บางโรงเรียน บางวัด ปรากฏว่าฤดูแล้งพระก็ไม่เหลือ นักเรียนก็ไม่เหลือ เพราะไม่มีน้ำบริโภค ก็ช่วยกันขุดบ่อน้ำอีก

    <DD>และหลังจากนั้นมาคุณประชาย้ายไปเป็นนายอำเภอ ก็ขาดตอน เพราะไม่รู้ว่าจะไปร่วมมือกับใคร ถ้าหากว่ามีคนร่วมมืออีก แหมเวลานี้นะ ตั้งแต่ตอนนั้น เวลานี้คงสนุกกันทั่วประเทศแล้ว ขุดกัน สะเด็ด

    <DD>เรื่องการขุดบ่อน้ำนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาคิดเห็นว่า ต่อไปถ้าจะช่วยใครขอให้ทางเจ้าของถิ่นร่วมมือด้วย ไม่ใช่เอาแต่ พวกกรุงเทพฯ ไปฝ่ายเดียว ถ้าเอาแต่ฝ่ายเดียวก็ไม่ให้ละ

    <DD>เพราะว่าคนที่มีความสุขแล้ว ก็ควรจะช่วยคนที่มีความทุกข์ ถ้าพวกเรามี ความสุขไม่ช่วยคนที่เขามีความทุกข์ ที่เขาอยู่ในป่าในดง ถ้าคนอื่นเขาไปช่วย เขาก็เป็นฝ่ายอื่น แล้วจะไปโทษเขาไม่ได้ ว่าเขาไม่รักเรา ถ้าเขาไม่รักเรา เขาเข้าไปอยู่กับคนอื่น แล้วเราจะหาว่าเขาเป็นศัตรูก็ไม่ได้ไม่ควร มันควรจะเฉลี่ยความสุขซึ่งกันและกัน เป็นของไม่มาก

    <DD>บ่อน้ำบ่อหนึ่งราคาเพียงสามพันบาท เรามีเงินคนละบาทสองบาท จังหวัดหนึ่งถ้ามีคนแสนคน ช่วยกันออกคนละบาท ก็ได้แสนบาท ถ้า มี ๒ แสนคน ออกคนละบาท ก็ได้สองแสนบาท และข้าราชการที่ได้เงินเดือน ก็ควรสละเงินคนละวันต่อ ๑ ปี

    <DD>๑ ปีนี่เงินภาษีอากรของ ประชากรที่ได้ไป วันเวลาที่ท่านประวิงเวลาในการทำงานมันมีอยู่ เขาเข้าสองโมงถึงสามโมง เช้า ๆ บางทีมาสาย มาสายบางทียังนั่งคุย กันอีก และบางทีก็กลับก่อน วันลาของท่านก็มี บางทีก็ลากิจเสียบ้าง ลาอะไรบ้าง เอาไอ้เงินของวันลากิจหรือเงินที่พักผ่อนนี่ มาช่วย แบ่งไปสักหนึ่งวัน เอามาช่วยรวมตัวเข้าเป็นตัวอย่าง ทีหลังถ้าจังหวัดไหนไม่ทำอย่างนี้ ที่ใดไม่ทำอย่างนี้ ก็ไม่ช่วยเหมือนกัน เอาเปรียบกันมากไม่เอา

    <DD>เป็นอันว่าเข้าไปทางสุโขทัย เวลานั้น จะเป็นอำเภอสวรรคโลกหรือศรีสัชนาลัยก็ไม่ใช่ คุณเฉิดศรี มาบอกว่าต้องการ บ่อน้ำสักสามบ่อ อาตมาก็บอกเอาตกลง ให้บอกกะผู้ว่าราชการจังหวัดว่า ขอให้ร่วมมือกัน ให้บอกคนที่พอจะมีสตางค์ช่วยได้คนละบาทสองบาท มาร่วมมือกัน แล้วก็นัดกันเดือนกุมภาพันธ์

    <DD>อาตมาก็แจ้งแก่บรรดาประชาชน พรรคพวก เพื่อนฝูง (ต้องนับว่าเป็นเพื่อน เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้น เป็นเพื่อนร่วมบุญร่วมกุศลกัน) บอกว่าเราไปช่วยขุดบ่อน้ำเถอะ เขาขอไว้สามบ่อ บ่อละประมาณสามพัน การจะนำเงินไปเท่าไรนั้น ก็เป็นเรื่องของพวกท่าน อาตมาไม่จำกัด คนละบาทสองบาทก็ได้ ไม่จำกัดว่าคนละบ่อ สองบ่อ

    <DD>ถึงวันเวลาไปที่ สุโขทัย ก็ไปบูชาความดีของบรรพบุรุษ วันนั้นออกประกาศ อาตมาก็ไม่มีเครื่องขยายเสียง นั่งอยู่ครู่หนึ่ง ปรากฏว่าได้เงินจริง ๆ ๘ หมื่น บาทเศษ ไม่ถึงชั่วโมง มึงบ้างกูบ้าง พระองค์หญิงวิภาวดี เสด็จเข้ามาบอกว่าหลวงพ่อ ไปนมัสการพระรูปพ่อขุนรามคำแหงเถอะ

    <DD>อาตมาก็บอกท่านว่า ไม่เอาละ ถ้าเงินยังไม่ถึงแสนไม่ลุกจากที่ ลุกไม่ได้ ก้นมันหนัก ท่านยิ้มแล้วก็เสด็จไปก่อน เวลาผ่านไปประมาณ ๑๐ นาทีเศษ ๆ เงินเลยแสนไปหน่อยหนึ่ง ก็เลยลุกจากที่ ไปถึงพระองค์หญิงวิภาวดี ตรัสถามว่า หลวงพ่อได้เท่าไร ก็บอกว่าได้แสนกว่า ๆ แล้ว

    <DD>คิดบ่อละ ๓ พัน เราได้ประมาณ ๓๓ บ่อ เขาขอเรา ๓ บ่อ เราได้ ๓๓ บ่อ เงินจำนวนนี้ก็มอบผู้ว่าราชการจังหวัด ให้พิจารณาว่า ควรจะให้แก่ที่ใด เท่าใด แล้วท่านผู้ว่าราชการจังหวัดก็มาขอบใจ ความจริงท่านก็ดีมาก ท่านนั่งอยู่ด้วยตลอดเวลา

    <DD>จริยาของผู้ว่า ราชการจังหวัดเอาเฉพาะที่ท่านอยู่เมื่อ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ (จำชื่อไม่ได้เสียอีกแล้ว) ท่านผู้นี้ มีจริยาดี ขอชมเชย ท่านไม่ยอมนั่งเก้าอี้ ไม่ใช่เฉพาะต่อหน้าพระองค์หญิงวิภาวดี อาตมาก็ดี คนแก่คนเฒ่าที่ไหนมาก็ตาม ท่านก็นั่งกับพื้น คุยโอ้แบบกันเอง ไม่ถือตัวว่าเป็นจ้าว เป็นนาย รู้สึกว่าชนะใจคนได้ดี

    <DD>ครั้งหนึ่งท่านบอกว่า ในตอนไปวันนั้น วันที่อาตมาไป ท่านมาสายไปหน่อย ไปที่แห่งหนึ่ง ท่านบอกว่า ไปพบกับบรรดาประชาชนประมาณ ๑๐ คนเศษ ๆ บอกบุญเรื่องสร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช

    <DD>ท่านได้ประกาศให้ทราบถึง อานิสงส์แห่งการสร้างโรงพยาบาล และลงท้ายว่าผมมีเงินเดือน ๘ พันบาท ผมขอสละ ๑ เดือน ท่านก็ควักจากกระเป๋าว่า ผมไม่มี รายได้อะไรอื่น ขอสละ ๑ เดือน วางลงไปเลย วันนั้น คนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง ได้เงินสามล้านบาท นี่เป็นงานใหญ่

    <DD>ถ้าหากว่าบรรดาประชาชนทั้งหลาย ที่เขาอยู่ในแดนกันดาร เราเป็นสหกรณ์กันแบบนี้ ข้าราชการในจังหวัดนั้น ๆ ออก กัน ๑ ปี ออกกันคนละวัน ๑ วันรายได้ของท่านแล้ว ก็บรรดาประชาชนทั้งหมดที่มีอยู่ ช่วยกันตามกำลังศรัทธา

    <DD>เฉพาะลูกเสือชาวบ้าน เอาคนละสัก ๕ บาท เป็นยังไง ถ้ามีศรัทธามากกว่านั้น ก็ออกมากกว่านั้นได้ ถ้ามีศรัทธาน้อยก็ขอสัก ๕ บาท ต่อ ๑ ปี หรือว่ามีศรัทธา ยิ่งกว่านั้น ก็ตามใจ ท่านที่ไม่เป็นลูกเสือชาวบ้าน ก็จะออกกันตามกำลังศรัทธา ปีหนึ่งเอามารวมกัน มาช่วยเหตุการณ์ในแดนกันดาร แต่ว่าอย่าวางท่าให้มันมากนัก เอาสิ่งที่เป็นเรื่องสำคัญ ตามความจำเป็น

    <DD>สำหรับอาตมา จะช่วยอย่างเดียว คือน้ำ ถ้าต่อไป ค่อยขยาย เป็นอย่างอื่น เรื่องน้ำนี่ พิจารณาเห็นว่ามีส่วนดี ถ้าเราขุดบ่อธรรมดา อันนี้ได้ผลน้อยไป เพราะว่าได้แต่โพงน้ำมากิน ลองใช้ดูในที่บางแห่ง ให้เขาตอกบ่อน้ำผิวน้ำ เอาน้ำผิวดิน ไม่ต้องถึงบาดาล แล้วเอาเครื่องฉุดมาชัก

    <DD>บ่อหนึ่งก็ประมาณสองสามพันบาท ราคาไม่แพง เอาเครื่องสูบมาชัก ทำนาได้เป็นร้อยไร่ ที่ใช้ตอกบ่อเป็นนิ้ว นาร้อยสองร้อยไร่นี่ทำได้สบาย แล้วเวลาจะกินจะใช้ก็ดึงน้ำขึ้น ทำถังทำอ่างเก็บ สบายมาก ดีกว่าใช้บ่อขุดอีก

    <DD>ฉะนั้น ถ้าการช่วยเหลือใด ๆ จะพึงมีขึ้นในกาลภายหน้า ก็จะขอให้เจ้าของถิ่น รวบรวมกำลังจตุปัจจัย ในท้องถิ่นมาเสียก่อน อาตมาก็จะบอกบุญกับประชาชน เท่าที่ท่านมีศรัทธา แต่ที่แล้ว ๆ มานี่ รู้สึกว่า จะขอเงินจากชาวกรุงเทพ ฯ มันก็เต็มที ไม่ใช่มหาเศรษฐี

    <DD>พวกมหาเศรษฐี เขาก็ไม่ค่อยจะเอาด้วย ก็มีแต่คนหาเช้ากินค่ำ มีเดือนต่อเดือนชนกันเท่านั้น ลูกศิษย์อาตมา ไม่ใช่คนร่ำรวย แต่ก็ช่วยกันที่สุโขทัยนั้น แสนบาทเศษ เรื่องนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาคิดว่า ในวันข้างหน้า งานนี้เราคิดว่า ควรจะขยายให้มาก ทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ถ้าร่วมกันเป็นสหกรณ์ คำว่าสหกรณ์ อย่าถือว่าเป็นของรัฐบาล ต้องเป็น ของของเราร่วมกันทำ

    <DD>สห แปลว่าร่วมกัน กรณ์ แปลว่าการกระทำ ช่วยสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ใครลำบากยากไร้ เราก็รวมกัน สงเคราะห์ อย่างนี้ ประเทศไทยเราก็จะมีแต่มิตร ไม่มีศัตรู คนที่เขามีความยากจนเขาก็จะรู้ว่า คนที่มีเงินมากกว่าน่ะ ไม่ได้นั่งเป็นสุข นอนเป็นสุขอยู่เฉย ๆ

    <DD>เขาก็หวังในการสงเคราะห์ อนุเคราะห์ ให้พวกที่มีความสุขน้อยกว่า มีความสุขยิ่งขึ้น มีความสามัคคี ความรักก็จะปรากฏขึ้น ประเทศชาติเราก็จะมีแต่ความกลมเกลียว ดีกว่านั่งเหยียดนั่งหยามซึ่งกันและกัน นี่นโยบายของอาตมา

    <DD>เวลานี้มีอย่าง หนึ่ง เมื่อสร้างวัดเสร็จ เวลานี้ก็เริ่มตั้งมูลนิธิ มูลนิธินี้ ไม่ตั้งไว้เฉพาะ บำรุงวัด บำรุงสงฆ์อย่างเดียว ก็มีกิจบำรุงวัด บำรุงสงฆ์ บำรุง โรงพยาบาล โรงพยาบาลก็ไม่จำกัดว่า โรงพยาบาลไหน

    <DD>แล้วนอกจากนั้น ก็ใช้เป็นส่วนสาธารณภัย คือ ภัยใด ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ปวงชนชาวไทย ไม่ว่าแดนใดทั้งหมด ทั่วประเทศไทย ดอกผลของมูลนิธินี้ จะช่วยที่นั่น มูลนิธินี้ จะได้มากได้น้อยเพียงใดก็ตาม เราก็จะใช้กันตามกำลังที่ดอกผลจะพึงมี แล้วก็บอกบุญบรรดาประชาชนที่มีศรัทธาร่วมกันอีกชั้นหนึ่ง

    <DD>นี่ถ้าเราร่วมกันอย่างนี้จริง ๆ นะ บรรดาพุทธบริษัท ชายหญิง ไม่ช้าคนไทยทั้งประเทศ จะยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน จะลืมตาอ้าปากได้ ดีกว่ามานั่งเอาเปรียบกัน ในที่นี้ยังไม่ได้บอกบุญ แต่
    ว่า ขอแจ้งให้ทราบว่า

    <DD>มูลนิธิเวลานี้ เริ่มตั้งขึ้นแล้ว แล้วก็ยังมีทุนอยู่ไม่กี่สตางค์ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านที่ฟังก็ดี ที่อ่านหนังสือนี้ก็ดี มีความประสงค์จะร่วมมูลนิธิเพื่อสาธารณประโยชน์นี้ด้วยแล้ว ก็ขอได้โปรดติดต่อตรงที่อาตมา เอาตรงที่อาตมาก็แล้วกัน อย่าไปที่ อื่นประเดี๋ยวจะสงสัย

    <DD>เวลานี้ คุณระพี เลขะกุล แห่งจังหวัดยะลา ก็ส่งเข้ามูลนิธิเป็นประจำเดือน แล้วมีอีกหลายท่านด้วยกัน มีคุณ สมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ คุณวันดี เวสารัชชานนท์ สองพี่น้องนี้ ส่งเข้ามูลนิธิเป็นประจำเดือน และยังมีอีกเยอะที่เข้ามูลนิธิกัน เวลานี้ก็มี เงินอยู่ประมาณสักแสนบาทเศษ ยังไม่ได้ตรวจดูต้นบัญชี ได้มาก็ฝากธนาคารเข้าไว้ เป็นในนามของมูลนิธิ

    <DD>ถ้าหากว่าบรรดาญาติโยม พุทธบริษัทจะร่วมมูลนิธิด้วยละก็ จัดส่งเข้ามา มูลนิธินี้เริ่มจดทะเบียนแล้ว แล้วก็มีคณะกรรมการครบถ้วนตามกฎหมาย และเงินที่จะ นำไปใช้ก็ต้องผ่านคณะกรรมการพิจารณารับรองมีความเห็นชอบ และอาตมาก็เห็นชอบด้วย อาตมายังไม่เห็นชอบเพียงใดก็ยังใช้ไม่ได้

    <DD>เวลานี้ไม่ได้บอกบุญ แต่แจ้งข่าวให้ทราบให้เป็นไปตามกำลังศรัทธา ถ้ามูลนิธินี้ มีกำลังมาก มีดอกเบี้ยมาก ถึงปีก็จะเอาดอกเบี้ยมาใช้เป็นส่วนสาธารณประโยชน์ ให้ความสุขแก่ปวงชนชาวไทยที่อยู่ในแดนกันดาร

    <DD>หรือมีภัยถูกไฟไหม้ ถูกน้ำท่วม ถูกพายุ หรือว่าป่วยไข้ไม่สบาย ไม่สามารถจะรักษาโรคตนเองได้ และเด็กที่เรียนดี มีความประพฤติดี ที่มีความยากจนเข็ญใจ ทุนไม่พอ พระสงฆ์องคเจ้าที่ป่วยไข้ไม่สบาย อาหารการบริโภคไม่มี ทั้งโรงพยาบาลขัดข้อง ด้วยประการใดก็ตาม

    <DD>นี่เราต้องการกัน ช่วยกันแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชลประทานเล็ก นั่นก็คือบ่อน้ำ อาตมาต้องการมาก บ่อน้ำนี่เป็นชลประทานเล็ก ๆ ของเราได้อย่างดีที่สุด เราลงทุนเพียงแค่สามสี่พัน บาท ต่อ ๑ บ่อ

    <DD>แล้วคนที่จะใช้บ่อน้ำจุดนั้น รวมสตางค์กันเข้า ซื้อเครื่องสูบเป็นสหกรณ์กัน ดึงน้ำเข้านาของตนได้แบบสบาย ๆ สี่ห้าร้อย ไร่ ใช้น้ำได้อย่างมีความสุข แล้วยังใช้น้ำบริโภค น้ำอาบ ได้ตามสบาย ถ้าเราวางท่ามันใหญ่ละก็ มันไม่มีทางได้ใช้หรอก วางท่าเล็ก ๆ

    <DD>คราวหลัง ถ้าจะทำบ่อน้ำตรงไหน ต้องพิจารณาเรื่องนี้เป็นสำคัญ ถ้าเจาะบ่อน้ำผิวดิน ไม่ใช่น้ำบาดาล เจาะลงไปสัก ๒๐, ๓๐, ๔๐ ฟุต เท่านี้พอแล้ว ใช้น้ำผิวดินก็พอ เอามาเลี้ยงต้นพืชให้ได้พอก็เป็นที่พอใจ เพราะการขุดบ่อกรุ มันก็ลงไปไม่กี่ฟุต อย่าง มาก็ ๓ – ๔ วา ๘ วา ได้ ๘ วาก็คูณด้วย ๖ วาหนึ่งก็ ๖ ฟุต แค่เท่านี้มันก็น้ำผิวดินแล้วก็หากินได้ยาก

    <DD>หมายความ ต้องโพงขึ้นมา แล้วก็ ใช้ส่วนใหญ่ไม่ได้ ถ้าเราเจาะเป็นท่อลงไปแล้ว ก็ดึงน้ำขึ้นมาใช้ ใส่นาได้สองสามร้อยไร่ต่อหนึ่งบ่อ แต่ความจริงมันใช้ได้มากกว่านั้น มัน ใช้ได้ทุกปี ดึงมันไม่หมด

    <DD>เท่านี้ก็จะปรากฏว่า ประชาชนที่อยู่ในแดนกันดารจะมีความสุข ถ้ามีน้ำเสียอย่างเดียว พืชไร่ทุกอย่างมันก็ได้ผล ความสุขจากน้ำก็มีอันนี้แหละ จะสร้างความสามัคคี สร้างความรักซึ่งกันและกัน

    <DD>สำหรับวันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มองดูเวลาก็หมดเสียแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

    <CENTER>สวัสดี</CENTER></DD>
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๑๓</CENTER>


    <DD>ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ ก็คงจะพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องราวของพระเมตตาต่อไป

    <DD>สำหรับพระเมตตาตอนนี้ ก็จะผ่านสุโขทัยไปเสียก่อน เพราะว่าเรื่องราวของสุโขทัยที่เนื่องด้วยพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต และเนื่องด้วยบรรดาพุทธศาสนิกชนผู้มีศรัทธา และมีความสามัคคี มีเรื่องราวอยู่มาก แต่จะขอผ่านไปก่อน

    <DD>เป็นอันว่า เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ อ้อ ๒๕๒๐ หรอก ไม่ใช่ ๒๕๑๙ จะไปจำเอาอย่างเก่าเสียแล้ว ตอนก่อน ๆ ท่านถือว่าเดือนเมษายน เป็นต้นปี อาตมาก็เป็นคนเก่า พูดไปพูดมาก็เผลอ จะนำของเก่า ๆ มาใช้ นี่มันไม่ทันสมัย เป็นการไม่สมควร

    <DD>เป็นอันว่าเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ พระองค์หญิงวิภาวดี ได้ทรงส่งข่าวให้ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ อาราธนาอาตมาพร้อมด้วยคณะ คณะในคราวนั้นก็มีหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล แล้วก็ตั้งใจจะไปนิมนต์หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง แต่ท่านไม่อยู่ จึงได้อาราธนาพระมหาทองปอนด์ เจ้าคณะอำเภอศรีสัชนาลัย แล้วก็ครูบาธรรมไชย ครูบาชัยวงศ์ ร่วมทางไปด้วย

    <DD>เพราะว่าการไปดอยอ่างขางคราวนี้ คณะศิษยานุศิษย์ มีอาจารย์ปวิณ ปุณศรี เป็นต้น ได้เป็นหัวหน้าคณะจัดทำพืช (คำว่าพืช หมายถึงทั้งดอกทั้งผล) สำหรับเมืองหนาว เอาไปทดลองที่ดอยอ่างขาง จัดว่าเป็นเขตหนาวเหมือนกัน สำหรับสถานีทดลอง หรือสถานที่ทดลองนี้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือเป็นภารกิจของพระองค์เอง

    <DD>ทีนี้ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ต้นเดือนเลยทีเดียว ได้ทราบข่าวจากพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ว่าพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถจะเสด็จที่นั่น ให้อาตมากับคณะไปที่นั่นด้วย พอถึงเวลาที่จะไป คือวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ จะมีเครื่องบินมารับอาตมาที่สุโขทัย

    <DD>อาตมาพร้อมด้วยคณะ ก็ขึ้นเครื่อง ฮ. เดินทางไปถึงจังหวัดเชียงใหม่ ไปถึงสนามบินเชียงใหม่ เครื่อง ฮ. ลงเติมน้ำมัน ก็พบว่าหลวงปู่คำแสนมารอขึ้นที่นั่น แล้วก็เดินทางไปถึงดอยอ่างขาง เป็นเขตที่ติดต่อกับพม่า

    <DD>วันนั้น บังเอิญหมอกจัดมาก ทั้งภูเขาก็สูง มองลงมาข้างล่างไม่เห็นยอดเขา เครื่องบินก็บินวนไปวนมาดูความสูงของเครื่องบิน ปรากฏว่าบินขึ้นไปถึง ๔,๕๐๐ ฟิต อากาศหนาวจัด รู้สึกว่าความหนาวสูงมาก เครื่อง ฮ. บินวนหาที่ลงก็หาไม่ได้ ถ้าขืนเดาสุ่มลงไป ไปกระทบยอดเขาก็จะพากันตายหมด

    <DD>ในขณะที่บินไป อาตมามีความรู้สึกว่า ถ้าเครื่องบินหย่อนตัวลงตรงนี้ ก็จะเป็นจุดช่องว่าง แล้วก็จะปลอดภัย และถึงดอยอ่างขางที่เราจะลงพอดี แต่ว่าจะบอกใครได้ บรรดาท่านพุทธบริษัท มันเป็นเพียงความรู้สึกเฉย ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นคนมีหูทิพย์ตาทิพย์ ไม่ใช่เป็นคนมีอภิญญาสมาบัติ หรือมีฤทธิ์มีเดชตามที่ท่านเข้าใจกัน

    <DD>คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า พระนี้มีฤทธิ์มีเดชเกินคนธรรมดา เรื่องการ มีฤทธิ์มีเดชนะ เป็นเรื่องของพระมีอภิญญาสมาบัติ ไม่ใช่พระเยี่ยงอาตมา

    <DD>เมื่อความรู้สึกบอกอย่างนั้น ถ้าจะบอกใคร ใครเขาจะเชื่อ ถ้าไม่มีคนเชื่อก็ดีไป คิดว่าถ้าบอกไปแล้วเขาเชื่อ และอันตรายจะพึงมีขึ้น ชีวิตหลายชีวิตบนเครื่องบินจะตายหมด และประเทศเราก็สร้างเครื่องบินประเภทนี้ไม่ได้ จะพาเอาทรัพย์สินของ บรรดาประชาชนทั้งหลายต้องสลายตัวไปด้วย

    <DD>เมื่อนักบินพาวนไปวนมา วนมาวนไปหาที่ลงไม่ได้ ก็เลยย่องเข้าไปในเขตพม่าหน่อย หนึ่ง ก็เป็นการดีจริง ๆ ที่กะเหรี่ยงแดงแกไม่ยิงขึ้นมา ความจริงแกคงจะได้ยินเสียงเครื่อง ฮ. เหมือนกัน แต่มองไม่เห็น เพราะว่าขณะที่ บินอยู่บนอากาศ ภูเขาลูกใหญ่ ๆ ยังมองไม่เห็น ทั้ง ๆ ที่อยู่ใกล้กับเครื่องบิน

    <DD>ทีนี้ บรรดากะเหรี่ยงที่อยู่กับพื้นดินจะมองเห็นเครื่อง ฮ. ลำเล็ก ๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ตามข่าวมีอยู่เสมอว่า ถ้าเครื่องบินของเราบินล้ำเขตพม่าเข้าไปแถวนั้น บรรดากะเหรี่ยงแดงทั้งหลายแกมักจะ ยิงปืนขึ้นมาเสมอ แต่วันนั้นไม่ใช่พระมีคาถาจังงัง ต้องถือว่าอากาศมีนะจังงัง

    <DD>กะเหรี่ยงแดง จึงยิงขึ้นมาไม่ได้ ฮ. ก็วนไปวนมา วนมาวน ไป ใช้เวลาอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมง นักบิน จึงได้นำเครื่องลงที่ฐานปฏิบัติการของตำรวจจุดหนึ่ง อาตมาก็จำจุดไม่ได้ ไม่รู้ว่าชื่ออะไร จดไว้เหมือนกัน แต่ไม่รู้มันหายไปไหน

    <DD>เมื่อพักอยู่ที่นั่นชั่วคราว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้วิทยุถามมาที่ดอยอ่างขางว่า ที่นั่นสว่างหรือมืด เจ้าหน้าที่ ๆ อ่างขางตอบว่าสว่างมาก มองขึ้นไปได้สูง ในที่สุดนักบินก็นำเครื่องบินมาอีก หมอกก็ยังมืดอยู่ ตอนนั้น นักบินจึงได้ตัดสินใจ หรือใคร ตัดสินใจก็ช่างเถอะ บินเข้าร่องเขา ถือแนวร่องเขาเป็นสำคัญ ก็เข้าถึงเขตดอยอ่างขางได้พอดี

    <DD>ตอนนั้นบินต่ำ เพราะว่าเข้าร่องเขาบินต่ำได้ เมื่อเข้าถึงจุดจึงได้นำลง ความจริงอากาศใต้หมอกสว่างมาก นี่เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์

    <DD>เมื่อนำลงมาแล้ว ปรากฏว่าเวลาเหลืออีก ๒๐ นาที จะเที่ยง บรรดาเจ้าหน้าที่จึงได้นำเอาอาหารมาถวายพระ พระก็ ฉันกันไปตามอัธยาศัย คิดว่าวันนี้ไม่ตายแล้ว เพราะมีโอกาสกินข้าวเพล ดีไม่ดี ถ้าเครื่องบินไปชนเขาเข้าตุ๋มเดียว ก็ต้องไปกินข้าวกับ พญายมแล้ว

    <DD>บรรดาพระที่ไปทั้งหมด จะเป็นที่รักของพญายมหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ถ้าเป็นที่รักของพญายมก็ดี เพราะท่านจะจัดสถานที่รับรองไว้ให้ เช่น อเวจีมหานรกเป็นต้น ที่นั่นนอนสบาย อเวจีมหานรกนี่ เป็นดินแดนที่มีความสุขมาก ปลอดภัยจากอันตรายภายนอก ทั้งหมด

    <DD>ทั้งนี้ก็เพราะว่าเป็นดินแดนที่มีความสงบ ไม่เหมือนกับขุมนรกต่าง ๆ ขุมนรกต่าง ๆ ยังมีเสียงครวญคราง มีการดิ้นทุรนทุราย แต่อเวจีมหานรก ต่างคนต่างอยู่แบบสบาย ๆ สงบสงัด คือมีหอกตรึงทุกด้าน ไม่สามารถจะเคลื่อนไหวได้ ร้องก็ไม่ได้ พ่อเสียบปากไว้ด้วย ไฟก็พุ่งมาทั้งหกทิศ คือ ด้านรอบ ๆ ตัว ๔ ทิศ เบื้องล่าง และเบื้องบน กระแสไฟไม่มีเปลวบางมาก แต่ร้อนจัด

    <DD>วันนั้น ถ้ามีวาสนา บารมี เครื่องบินชนเขา ต่างคนต่างตาย ทั้งฆราวาสทั้งพระที่ไป ใครจะไปไหนก็ไม่ทราบ ตัวอาตมาเอง บางทีอาจจะเป็นที่รักของพญายม ท่านอาจจะบอกว่า เออ พระองค์นี้ชอบกันมานาน รู้จักกันมานาน ตั้งแต่สมัยเป็นมนุษย์หลายชาติ คือรู้จักมักคุ้นกัน ท่านอาจจะว่า อย่างนั้น นี่อาตมาพูดเองนะ

    <DD>ไม่ใช่พูดอย่างคนที่มีฌานมีญาณ หรือมีทิพจักขุญาณ เดา ๆ เอา ท่านจะบอกว่าไหน ๆ เราก็รักกันมากมา อยู่ด้วยกันดีกว่า จะจัดโรงแรมไว้ให้ คืออเวจีมหานรก ถ้าอย่างนี้คงเป็นสุขแน่ ไม่มีใครกวน หมดความเหน็ดเหนื่อย แต่เกรงอย่างเดียว ว่าพญายมแกจะไม่พิสมัย จะส่งไปที่อื่นละก็แย่ ยังมีการอ้าปากร้องได้ ยังดิ้นได้ จะสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้เกิดขึ้น เรื่องนี้ขอผ่านไป

    <DD>ขณะที่กำลังฉันอยู่ มีท่านสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าเวลานี้เครื่องบินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังไม่ลงมา ท่านถามว่า ทำไมหลวงพ่อ จึงไม่เปิดอากาศให้เครื่องบินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงมาได้ ฟังแล้วก็ต้องคิด

    <DD>บรรดาท่านพุทธบริษัทคิดอะไร ? มานั่งนึกในใจว่า เออ น่าคิดจริง ๆ นี่คนเราส่วนมาก คงจะคิดว่า อาตมานี่น่ะเป็นพระที่มีฤทธิ์เดช เลยกว่าพระ ปกติธรรมดา แต่ความจริง ความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น ไม่ตรงกับความจริงที่มีอยู่

    <DD>อาตมานี่เจ้าเก่า คือ เป็นพระก็พระปกติธรรมดา จะ กล่าวว่าเป็นคน ก็เป็นคนธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษกว่าพระอื่น ๆ ไม่มีอะไรดีกว่าคนอื่น แล้วก็จะไปทำงานที่คนอื่น ทำไม่ได้ให้เกิดเป็น งานทำได้ขึ้นมาได้ยังไง ที่ท่านถามอย่างนั้น เห็นจะเป็นเพราะว่ามีข่าวเล่าลือกันอยู่เสมอ หรือบางทีหนังสือบางฉบับ ก็เขียนว่าอาตมานี่ มีฤทธิ์มีเดชมาก ไอ้ข่าวลือนี่มันเป็นของธรรมดา

    <DD>บรรดาท่านพุทธบริษัท บางทีคน ๆ หนึ่ง ไปเห็นหินก้อนเล็ก ๆ ก็ไปลือกันว่าหินก้อนเล็ก นั้น เพราะระยะยาวออกไปหน่อยหินก็เริ่มโตขึ้น เวลากาลนานวัน หินก้อนนั้นมันอาจจะกลายเป็นภูเขาขึ้นมาก็ว่าได้ นี่ข่าวลือ พูดกันไป มันก็ขยายตัว

    <DD>สำหรับอาตมาก็เหมือนกัน ไม่เคยมีฤทธิ์ ไม่เคยมีเดช คนคิดว่ามีฤทธิ์ แล้วก็มีหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เป็นหนังสือพิมพ์ รายปักษ์ โฆษณากันมหาศาลทีเดียวว่า อาตมานี่เป็นพระอรหันต์ ความจริงหนังสืออาตมาทุกฉบับ ปฏิเสธไว้เรื่อย ว่าอาตมาไม่ใช่พระอรหันต์ อาตมาไม่ใช่พระทรงฌาน การกระทำทุกอย่างนี้ อาตมาทำเพื่อหวังบุญเท่านั้น

    <DD>บรรดาท่านผู้อ่านก็ดี ท่านผู้รับฟังก็ดี ได้โปรด เลิกคิดกันเสียทีว่า อาตมาเป็นพระอรหันต์หรือเป็นพระผู้ทรงฌาน ถือว่าเป็นพระปุถุชนลูกชาวบ้านธรรมดาดีกว่า จะได้เกิดประโยชน์

    <DD>สักครู่หนึ่ง เครื่องบินพระที่นั่งก็ลงสู่ภาคพื้นดิน พอดีพระฉันอิ่ม สถานที่ ๆ เขาจัดรับรองนั้น เป็นโรงดินที่เป็นกองอำนวยการในการปลูกพืช ผัก ไม้ดอก และไม้ผล บนพื้นส่วนที่เป็นดิน เขาเอาฟางปูเข้าไว้ แล้วก็มีเสื่อเก่า ๆ ปูไว้ สำหรับนั่งกัน เพราะ เป็นสถานที่ชั่วคราว

    <DD>เขาตั้งเก้าอี้ไว้ ๔ ตัว สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตัวหนึ่ง สมเด็จพระบรมราชินีนาถตัวหนึ่ง แล้วสำหรับ พระเจ้าลูกเธอสองพระองค์อีก ๒ ตัว จัดผ้าคลุมไว้เป็นอย่างดี พอเครื่องบินลงเรียบร้อยแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พร้อมไปด้วยพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ ก็เสด็จเข้าสู่กระท่อมน้อย

    <DD>เมื่อเสด็จเข้ามาแล้ว แทนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์จะประทับบนพระเก้าอี้ กลับประทับนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นธรรมดา ที่เป็นพื้นฟางและปูเสื่อเก่า ๆ ไว้ นี่

    <DD>สำหรับท่านที่คิดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ หรือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พระเจ้าลูกเธอก็ดี ทั้ง ๕ พระองค์ รวมสมเด็จพระบรมราชชนนีรวมเป็น ๖ พระองค์ด้วยกัน เวลาไปไหน จะต้องนั่งเก้าอี้สวย ๆ จะต้องมีพรมสวย ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องดีไปหมด

    <DD>จะเห็นได้ว่า ถ้าท่านคิดไว้อย่างนี้ ก็เป็นการเข้าใจผิด เพราะว่า น้ำพระทัยของทั้งหกพระองค์นี้ต้องการอย่างเดียวคือ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปแบบธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรเป็นกรณีพิเศษ บรรดาท่านพุทธ บริษัทจะเห็นได้ว่า สถานที่นี้เขาปูไว้ฟาก แล้วเสื่อที่ปูทับฟากเข้าไว้ก็เป็นเสื่อเก่า ๆ เก่ามาก แต่ทั้ง ๔ พระองค์ก็ไม่เสด็จประทับบนพระ เก้าอี้ กลับประทับนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นนั้น

    <DD>ท่านทั้งหลาย คงจะคิดว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น นี่ก็เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระศาสนูปถัมภ์ ทรงบำรุงพระศาสนา รวมความแล้ว ทั้ง ๖ พระองค์ ก็ทรงเป็นพุทธมามกะเต็มพระองค์ทั้งหมด นี่ไม่ใช่จะไปนั่งสรรเสริญ ตอนพระองค์ประทับกับพื้นแล้วก็แกล้งชม ไม่ใช่อย่างนั้น

    <DD>ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายได้เห็นพระจริยาวัตรทั้งหมดของพระองค์ จะทราบชัดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พระเจ้าลูกเธอ และสมเด็จพระ บรมราชชนนีก็ดี ทรงเป็นพุทธมามกะ ที่เราคาดไม่ถึง แล้วจะคุยให้ฟังต่อไป แล้วจะรู้ข้างหน้าว่า ทรงเป็นพุทธมามกะขนาดไหน

    <DD>เมื่อประทับเรียบร้อยแล้ว ก็ทรงศีล หลวงปู่คำแสนถวายศีล เมื่อถวายศีลเสร็จ ความจริงตอนนั้น เจ้าหน้าที่เขาจัดเครื่องไทยทานไว้ถวายพระ อาตมาก็บอกกับเจ้าหน้าที่ว่ายังไม่ต้องถวายก่อน ขอให้ออกไปทำพิธีตามที่เขาต้องการกันก่อน เพื่อความ มั่นใจของคณะที่เขาไปปฏิบัติการที่นั่น

    <DD>พิธีกรรมอันนี้ ตามทางไสยศาสตร์เขาเรียกกันว่า บวงสรวง ถ้าว่าตามทางพุทธศาสน์ก็ว่า ทำการอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ พรหมและเทวดาทั้งหมด ขอการคุ้มครอง เราจะเรียกว่าเป็นการบวงสรวงแบบพราหมณ์ ก็ไม่ถูก

    <DD>ตอนนั้น ทราบข่าวจาก ศ.จ. ปวิณ ปุณศรี ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประท้วงหรือติง หรือติ เจ้าหน้าที่ว่าทำไมไม่จัด ของพระราชทานมาถวายก่อน พระองค์จะตรัสอย่างนั้นหรือไม่ ไม่ทราบ แต่เป็นพระราชประสงค์อย่างนั้น

    <DD>อาตมาจึงได้แจ้งกับ ศ.จ. ปวิณ ปุณศรี คณบดีเกษตรศาสตร์ ว่า ต้องทำพิธีกรรมนี้ก่อน แล้วพระจะกลับเข้าที่เดิม แล้วจึงรับไทยทาน หลังจากนั้น พระจะถวายพร ไม่มีการถวายอดิเรก เพราะพระที่ไปทั้งหมดไม่ใช่พระราชาคณะ

    <DD>เป็นอันว่า เมื่อเสร็จพิธี ทราบข่าวจากคนอื่นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า ต่อจากนี้ไปพวกเรามีความสุขกันละนะ จะได้หมดความยุ่งยากใจกันเสียที (ได้ทราบข่าวว่าคนที่ไปปฏิบัติงานอยู่ที่นั่น ตายไป ๑๐ คน กว่าแล้ว)

    <DD>ความจริงการตายนี่ เป็นเรื่องธรรมดาของคนและสัตว์ที่เกิดมาในโลก แต่อาศัยความไม่มั่นใจของคนทั้งหลายในโลก มักจะคิดว่าเป็นอำนาจของภูตผีปีศาจ ทำให้ตาย แต่ความจริง ถ้าเราจะไม่ตายเสียอย่างเดียว ภูตผีปีศาจเทวดาทั้งหลาย ทำเราให้ตาย ไม่ได้ ในเมื่อถึงวาระจะต้องตาย มันก็ตาย เราหลีกความตายกันไม่พ้น

    <DD>แต่ทว่า ในฐานะที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ยังเชื่อมั่นในสิ่งนี้ ก็ จำต้องทำพิธีกรรมกัน และหากท่านจะถามว่าการทำพิธีกรรมอย่างนี้ พระพุทธเจ้าเคยทำหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่า เคยทำ เคยทำกับใคร ? เคยทำเพื่อเป็นการยังยั้งหรือสร้างกำลังใจ ? ตอบได้ว่าเคยทำกับอายุวัฒนะกุมาร

    <DD>เพราะว่าในเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงพระ ชนม์อยู่ เวลานั้นมีพราหมณ์สองคนตายายมีลูกเล็ก ได้นำไปหาพราหมณ์ผู้เป็นเพื่อน ที่เป็นนักบวช พอลากลับ ท่านพราหมณ์ผู้นั้นก็ กล่าวว่า ฑีฆายุโก โหตุ ขอท่านจงเป็นผู้มีอายุยืนยาวนาน พอผู้เป็นแม่ลา พราหมณ์นักบวชก็กล่าวว่า ขอท่านจงเป็นผู้มีอายุยืน ยาวนาน

    <DD>พอให้ลูกลา ท่านก็นิ่งเสีย พราหมณ์ผู้เป็นชาวบ้าน จึงถามพราหมณ์ผู้เป็นนักบวชว่า ทำไมจึงไม่ให้พรเหมือน ๆ กัน ก็ได้รับคำตอบว่า เมื่อลูกท่านจะตายภายในเจ็ดวัน เราจะให้พรอย่างนั้นได้ยังไง ให้พรแบบนั้นมันก็ให้ผิด ท่านพ่อท่านแม่จึงได้บอกให้พราหมณ์ผู้เป็นเพื่อนช่วย พราหมณ์ผู้เป็นเพื่อนบอกว่าไม่ไหว ฉันช่วยไม่ได้ ฉันได้แต่รู้เท่านั้น แต่ฉันช่วยไม่ได้ ที่จะช่วยได้มีอยู่ท่านหนึ่ง คือพระสมณโคดม ท่านจงไปหาพระสมณโคดม

    <DD>พราหมณ์ผู้นั้น จึงได้ขอเข้าไปในสำนักของพระพุทธเจ้า สั่งสนทนากันตามสมควร พอลากลับ พระพุทธเจ้าก็ตรัสแบบเดียวกัน พ่อแม่ลาก็ตรัสว่า ฑีฆายุโก โหตุ เวลาเอาลูกเข้าไปลาท่านก็นิ่งเสีย เขาจึงถามว่าทำไม พระองค์จึงไม่ให้พรเหมือนกัน

    <DD>องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงตรัสว่า ก็ลูกท่านจะตายใน ๗ วัน เพราะอำนาจของยักษ์ เราจะให้พรอย่าง นั้นไม่ได้ เขาจึงขอให้สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงช่วย พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกว่า กลับไปบ้านจงไปสร้างปะรำพิธีเข้า นำพระสงฆ์ ไปนั่งล้อม แล้วก็สวดพระปริตร พอถึงวันที่ ๗ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จเอง

    <DD>วันนั้น พรหมก็มา เทวดาก็มา แต่ท่านผู้ที่จะ มาเอาชีวิตเด็ก ไม่มีโอกาสเข้าใกล้เพราะมีโอกาสได้ ๗ วัน พอพ้น ๗ วันไปแล้ว จะทำอันตรายชีวิตเด็กนี้ไม่ได้ ที่เป็นอย่างนี้เพราะอำนาจ กฎของอุปฆาตกรรม คือไม่ใช่อายุขัย

    <DD>เมื่อพ้นวันที่ ๗ แล้ว องค์สมเด็จพระจอมไตรก็เสด็จกลับ พาพระสงฆ์กลับหมด เป็นอันว่า เด็กคน นั้นก็พ้นภัยจากยักษ์ ยักษ์ได้รับพรจากท้าวเวสสุวัณมาว่า ท่านจะลงโทษเอาชีวิตของเด็กนี้ได้ภายใน ๗ วัน พอเลย ๗ วันแล้ว เป็นอันว่าปลอดภัย

    <DD>ท่านอายุวัฒนะกุมารจึงมีอายุอยู่มาได้ถึง ๑๒๐ ปี นี่ พิธีกรรมอย่างนี้เคยมีมาแล้วในเขตของพระพุทธศาสนา จะเห็นว่าคิดอย่างนี้ เป็นการล้าสมัยหรือปรัมปราเกินไปก็ตามใจท่านพุทธบริษัทที่จะพึงคิดเอา

    <DD>สำหรับวันนี้ มองดูเวลาก็หมดเสียแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ขออำลาท่านก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

    <CENTER>สวัสดี</CENTER></DD>
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๑๔</CENTER>


    <DD>ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ ก็ยังจะมาพบกับท่านพุทธบริษัท ในเรื่องพระเมตตาตามเดิม

    <DD>ตอนก่อน ได้จบลงตอนที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทำพิธีกรรมรักษาชีวิตอายุวัฒนะกุมาร ด้วยอำนาจกำลังของพระปริตร คือว่า ยักษ์ได้รับพรจากท่านท้าวเวสสุวัณให้เอาชีวิตเด็กคนนี้ได้ภายใน ๗ วัน องค์สมเด็จพระพิชิตมาร ให้พระไปนั่งล้อม ยักษ์ไม่สามารถจะเข้ามาในเขตนั้นได้ เพราะเด็กนอนอยู่ตรงกลาง พระล้อมกันหมด

    <DD>สำหรับพระในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องทราบว่า พระระดับเลวที่สุด ต้องเป็นพระผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ พระที่ศีลไม่บริสุทธิ์ก็เปรียบเหมือนสายสิญจน์ที่ขาดแล้ว ไม่ได้เกิด ประโยชน์ ป้องกันอันตรายประเภทนี้ไม่ได้ แต่การป้องกันแบบนี้ จะต้องมีเหตุเฉพาะอุปฆาตกรรมเท่านั้น ไม่ใช่ว่าอายุขัย

    <DD>เพราะคนเมื่อ ถึงอายุขัยแล้ว กันแบบไหนก็กันไม่ได้ ต้องโปรดทราบไว้ด้วย มีคนเป็นจำนวนมาก ที่ถึงเวลาจะตาย นิมนต์พระบ้าง เชิญหมอบ้างไปต่ออายุ ถ้าเป็นเรื่องอุปฆาตกรรมต่อได้ ถ้าอสัญกรรม และกาลมรณะ จะต้องตายตามกาลตามสมัย ต่อไม่ได้ แม้แต่พระหรือหมอ ก็ต่อตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

    <DD>ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน จงอย่าคิดว่าพระหรือหมอเป็นผู้วิเศษเลย อะไร ๆ ก็ยกให้แก่พระเป็นผู้ทำ อะไร ๆ ก็ยกให้แก่หมอเป็นผู้ทำ อย่างนี้มันเป็นอุปาทานเกินไป อาตมาเองก็ถูกเกณฑ์อยู่เสมอ เวลานี้ลาออกเสียแล้ว จากตำแหน่ง นั้น ไม่เอากับใคร หมอดูหมอแลหมอพยากรณ์ หมอต่ออายุ เลิก เหลือพิธีกรรมอย่างเดียว คือทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น

    <DD>แล้วใครจะมาหาอาตมาก็ธรรมะเท่านั้น ที่อาตมาจะให้ การรับไปเทศน์ไปสวด รับสวดมนต์เช้า รับสวดมนต์เย็น ก็เลิกไปเสียแล้ว ไม่ไหว จะสวดมนต์เท่าใด ๆ ก็ตามที เทศน์เท่าใด ๆ ก็ตาม กลับไปใหม่คนก็เหมือนเดิม ดีไม่ดี ก่อนที่จะไปเทศน์ เขากินเหล้าอยู่วันละกัง พอเทศน์เสร็จ กลับมาแล้ว สอง – สามเดือน กลับไปก็เพิ่มเป็นวันละ ๑ แบน หรือ ๑ ขวด เลยไม่เป็นเรื่อง อย่างนี้ ก็เลยไม่เทศน์ดีกว่า เหนื่อยเปล่า จะเอาธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเกลือกกลั้วกับสิ่งโสโครก ก็เป็นการไม่สมควร

    <DD>ในเมื่อเขาไม่ต้องการ เราจะไปให้เข้า ทำไม เราจะให้ต่อเมื่อบุคคลนั้น เขาต้องการธรรมะเท่านั้น คนใดยังไม่เห็นคุณค่าพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า ก็ต้องยกเลิกกันไป

    <DD>ทีนี้ ก่อนที่จะเล่าเรื่องพระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ดอยอ่างขางต่อไป ก็ขอเอาเรื่องในปัจจุบัน มาคั่นเวลาสักนิดหนึ่ง คือ การสวดพิธีกรรม ทำให้พ้นเขตอันตราย อันนี้มันมีอยู่ เรื่องหนึ่ง ขอเล่าโดยย่อ มันมีอยู่ว่า ท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง ในสมัยอาตมาบวชได้ ๑๐ พรรษา ท่านมานอนอยู่ที่กุฏิ ก็คุยกันถึงเรื่องการต่ออายุ ก็เห็นมีคราวเดียว ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทำกับอายุวัฒนะกุมาร

    <DD>แล้วเลยคุยกันต่อไปว่า ที่พวกเราคุย ๆ กันนี่ พวกเราเป็นพระห่วย ๆ ศีลบริสุทธิ์หรือเปล่าไม่ทราบ สมาธิที่มี มันใช้ได้หรือไม่ได้ไม่ทราบ วิปัสสนาญาณที่ทำไป มันเขตเข้าตอนหรือไม่ก็ไม่ทราบ ที่ชาวบ้านเขามานิมนต์สวดต่ออายุนี่ มันจะต่ออายุเขาหรือต่ออายุเราก็ไม่รู้

    <DD>คำว่าต่ออายุเขา ก็หมายความว่าให้เขามีอายุยืนยาวไปได้ คำว่าต่ออายุเรา ก็หมายความว่า เขานิมนต์ไป สวดเขานิมนต์ไปทำ เขาก็ถวายอาหาร ถวายจตุปัจจัย เมื่อได้มาก็กลายเป็นต่ออายุเราไป ต่อให้เขาจะได้หรือไม่อันนี้ไม่แน่ แต่เรานั้น ต่อแน่

    <DD>เมื่อปรารภกันอย่างนี้ ท่านผู้เฒ่าท่านนั้น ท่านก็เล่าให้ฟัง บอกว่ามีผลขอรับ ท่านบอกว่าในสมัยเมื่อผมเป็นหนุ่ม ผมเป็นคนขี้ยา ติดยาฝิ่น เวลาจะไปสูบยาฝิ่น สตางค์มันไม่มี มีกินวันหนึ่ง หาวันหนึ่ง บรรดาญาติเขาก็ไม่สงเคราะห์ เขาก็ไม่เอื้อเฟื้อ เพราะเขาไม่ชอบคนติดยาฝิ่น

    <DD>วันหนึ่ง เดินจะไปโรงยาฝิ่น เห็นควายบ้านหนึ่งสวย คนในบ้านก็มีผู้ชายเพียงคนเดียว นอกนั้นเป็นผู้หญิง มองดูลักษณะคอก เพื่อจะตัดเข้าไปขโมยควายในตอนกลางคืน เห็นว่าทำได้ไม่ยาก วันนั้น จึงสูบยาฝิ่นเสียเต็มที่ สบาย คิดว่าวันพรุ่งนี้ต้องได้เงินจาก ค่าควายที่จะขโมย รวยใหญ่ วันนี้มีเท่าไรสูบให้หมด

    <DD>เมื่อสูบแล้ว เวลาหัวค่ำ ก็มานอนคอยให้คนบ้านนั้นหลับ อยู่ที่ศาลากลางทุ่ง ห่างจากบ้านประมาณ ๑ ก.ม. นั่งสังเกตแสงไฟ ดึกเท่าไร ๆ บ้านนั้นก็ไม่ดับไฟ ปรากฏว่า เวลาประมาณตีสอง มีผู้ชาย ๔ คน คนหนึ่ง ใหญ่โตมาก สูงมาก อีกสามคน ก็ใหญ่โตกว่าตัวแกมาก แต่ว่าเล็กกว่าคนนั้น เดินตรงมาที่ศาลา แกเห็นท่าไม่ดีก็หลบขึ้นไปบนขื่อ

    <DD>เสียง คนใหญ่บอกสามคนเล็กบอกว่า เอ็งเข้าไปก่อน ไอ้บ้านนั้นที่มีไฟแดง ๆ จุดอยู่นั่นแหละ ไปเอามาให้ได้ แกก็คิดในใจว่า เอ ไอ้เจ้าพวกนี้ น่าจะเป็นขโมยเหมือนอย่างเรา มันคงจะมาขโมยควายบ้านนี้ คงจะเป็นอาชีพเดียวกับเราเสียแล้ว แต่มัน ๔ คนนี่ เราคนเดียวไม่ไหว

    <DD>เลยกบดานนิ่งอยู่บนขื่อศาลา เมื่อคนสามคนเข้าไปได้สักครู่หนึ่ง ก็กลับออกมา บอกว่าเข้าไม่ได้โว้ย มันล้อมรั้วป้องกันแข็งแรงมาก เข้าไม่ได้ เจ้าคนใหญ่ก็บอกว่า ไอ้พวกมึงมันไม่มีความสามารถ พวกมึงสามคนอยู่ที่นี่แหละ กูเข้าไปเอง

    <DD>เจ้าคนใหญ่ เข้าไปชั่วขณะหนึ่ง ก็แบกเอาคน ๆ หนึ่งออกมา ว่านี่ยังไงล่ะ กูเอามาได้แล้ว พวกมึงมันโง่ เจ้าสามคนถามว่า มึงเข้าไปได้ยังไงวะ ก็มันล้อมสายสิญจน์อยู่ทั้งหมด เจ้าคนใหญ่ก็บอกว่า ก็มึงมันโง่นี่ ไม่เดินดูรอบ ๆ สายสิญจน์ ตอนหนึ่งมีใบกล้วยทับอยู่ กูก็เลยเดินไปตามทางกล้วย กูไม่ได้เหยียบสายสิญจน์นี่หว่า

    <DD>ต่อจากนั้น ทั้งสี่คน ก็ร่วมกันฉุดคนนั้น ลากถูลู่ถูกังไป ลุงนั่น แกเล่าต่อไปว่า แกสงสัย ก็เลยเดินเข้าไปใกล้บ้านนั้น พอใกล้บ้านก็ได้ยินเสียงร้องไห้ จึงเข้าไปปรากฏตัว ถามว่าร้องไห้เรื่องอะไรกัน เขาก็บอกว่าพ่อป่วยหนัก พึ่งตายเสียเมื่อครู่นี้เอง แกก็เลยเลิกล้มจากการขโมยควาย ช่วยงานบ้านนั้นตลอดงาน

    <DD>พอหลังจากนั้น ก็เลิกจากการสูบยาฝิ่น นี่เป็นอันว่าพิธีกรรมสมัยปัจจุบันที่มีสายสิญจน์ ถ้าบังเอิญพระผู้ทำเป็นอย่างต่ำ เป็นพระผู้มีศีลบริสุทธิ์ก็มีผล เรื่องนี้ เกิดที่อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    <DD>ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเกิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี ตอนนั้นอาตมายังเป็นเด็ก มีคนคลอดบุตรใหม่ ๆ แล้วเป็นไข้หนัก ทำท่าจะตาย พระหมอบอกว่า มีผีเข้ามายุ่ง พระหมอบอกว่า เรื่องผีนี่ป้องกันได้แน่ รับรองผล แล้วหมอที่รักษาโรค ซึ่งเป็นฆราวาส บอกว่าถ้าเป็นเรื่องผี ผมไม่สามารถจะรักษาได้ แต่ถ้าเป็นโรคร้ายธรรมดา ผมสามารถจะแก้ให้หายได้

    <DD>พระหมอ จึงได้เอาสายสิญจน์ไปขึงรอบบริเวณ ตรวจดูทุกวันไม่ให้ขาด ดูไปจนถึงวันที่ ๗ เหมือนกัน อาตมาเองก็ไปนั่งดูอยู่ที่นั่นด้วย ปรากฏว่า อาตมานั่งอยู่ทางด้านศีรษะของคนป่วย บ้านของเขาเป็นบ้านธรรมดา ๆ หลังคามุงจาก ฝาก็บุด้วยจาก หมอก็เอาน้ำยาฉีดเป็นฝอย ๆ เพราะคนไข้ร้อนมาก

    <DD>สักประเดี๋ยวเดียวได้ยินเสียงแกรก ๆ ที่ฝา (สายสิญจน์เขาวงอยู่ภายในบริเวณตัวเรือน) หันไปดูเห็นดวงตาคู่ใหญ่มาก จะว่าโตเท่าไข่ห่าน ก็โตกว่ามาก เป็นตาวาวมองมา อาตมาก็โดดผลุงหนีไปเลย บอกว่า ผี! คนก็ฮือกันออกมาข้างนอก

    <DD>ปรากฏว่ามีผีตัวใหญ่ประมาณ เท่าพ้อมใส่ข้าววิ่งหนีไป ชาวบ้านก็ไล่กวด มันวิ่งหนีไปบนหลังคาบ้านของชาวบ้าน ความจริงน้ำหนักของแกน่าจะทำให้บ้านพัง แต่ทำไมบ้านถึงไม่เป็นอันตรายก็ไม่ทราบ เจ้าของบ้านคว้าขวานได้ก็ขว้างเข้าให้ แกก็ปล่อยตัวกลิ้งลงมา วิ่งออกนอกทุ่งไป

    <DD>ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนเดือนหงาย ชาวบ้านนับจำนวน ๑๐ ก็วิ่งกวดออกไป กวดแกไม่ทัน พอไปได้สักหนึ่งกิโลเศษ แกหันหน้ามามองตา วาวทั้งสองข้าง เหมือนกับไฟฉาย ทุกคนยืนนิ่งเหมือนถูกสะกด แล้วแกก็เดินหายไป ต่อมาจากคืนนั้นแล้ว ก็ปรากฏว่าคนไข้อาการดีขึ้น ผีไม่มารบกวนอีก

    <DD>นี่ เป็นอันว่าพิธีกรรมในพระพุทธศาสนา ถ้าผู้ทำเป็นคนดี หรือว่าเป็นพระดี ก็ยังมีประโยชน์ สำหรับรายนี้ ก็มีคติคล้าย ๆ กับอายุวัฒนะกุมาร เด็กคนนั้น จนสมัยนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ ทราบว่าแกยังไม่ตาย แต่ไม่ทราบว่าแกอยู่ที่ไหน ถึงรู้ก็ไม่บอก ขี้เกียจบอก เดี๋ยวถามกันให้มันยุ่งไปหมด เพราะเด็กแกไม่รู้เรื่อง แม่แกถึงจะรู้เรื่อง

    <DD>ตอนนั้นอาตมาอายุ ๑๖ - ๑๗ เวลานี้ใกล้จะตายแล้ว สำหรับท่านแม่ของเด็ก ตอนนี้อาจจะตายไปแล้วก็ได้ เพราะตอนนั้นคลอดบุตรคนสุดท้าย อายุก็ ๓๐ เศษแล้ว ถ้าอยู่เวลานี้อายุก็เลยร้อย เป็นอันว่าพิธีกรรมในพระพุทธศาสนา ถ้ามีคนตั้งใจจริงก็ยังมีผล แต่เพื่อความมั่นใจก็ต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์มาก่อน ไม่เช่นนั้น ก็คงจะหาความมั่นใจกันไม่ได้

    <DD>เมื่อทำพิธีกรรมตามพระพุทธศาสนาแล้ว พระสงฆ์ทั้งหมดก็เข้ามาในโรงปะรำพิธี คือกระต๊อบหรือกระท่อมหลังนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ถวายไทยทานแก่พระสงฆ์ทั้งหลาย ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับทุก ๆ องค์ เสร็จแล้วก็เสด็จมาที่อาตมา

    <DD>ประโยคแรก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส ก็คือ หลวงพ่อขอรับ เวลานี้กำลังตั้งใจจะทำงานใหญ่อย่างหนึ่ง คือ ชลประทานทั่วประเทศไทย มันใหญ่มาก งานนี้จะสำเร็จไหม ?

    <DD>ที่รับสั่งถามแบบนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟังก็อาจจะคิดว่าเป็นของธรรมดา ไม่มีอะไรแปลกอัศจรรย์ แต่จงอย่าลืม เรื่องชลประทานก็ดี เรื่องการเกษตรก็ดี หรือเรื่องอะไรก็ตามที่พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริ ทรงทำมาแล้วหลายสิบรายการ หรืออาจจะเป็นหลายร้อยรายการก็ได้

    <DD>ซึ่งความจริงงานนั้น เป็นงานของกระทรวงหรือกรม ต่าง ๆ ไม่ใช่เป็นพระราชภารกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ที่พระองค์ทรงกระทำก็เพราะว่าทรงมีความห่วงใยในประชากรของพระองค์ ที่มีความเป็นอยู่ไม่ค่อยจะสุขสำราญนัก แต่ทว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท หากเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้พิจารณา หรือยังทำไปไม่ถึง พระองค์ก็ทรงทำได้ งกระทำมาแล้วหลายแห่ง

    <DD>การกระทำอย่างนี้ เจ้าหน้าที่ชลประทาน ควรจะแสวงหาเอง จัดทำเอง แต่พระองค์กลับทรงเป็นผู้ชำนาญในการชลประทานมาก ฟังข่าวจากเจ้าหน้าที่ชลประทาน ทราบว่าพระองค์ทรงมีความชำนาญในแผนที่เป็นพิเศษ แล้วก็ทรงทราบว่าจุดไหนสูงเท่าไร ทำแล้วจะเก็บน้ำไว้ได้เท่าไหร่ จะจ่ายไปได้เท่าไร

    <DD>จะเห็นน้ำพระทัยว่า ทรงมีความห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ทั่วประเทศ ไม่ใช่เฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง ถ้าจะบอกว่าจุดนั้นเป็นคอมมูน จุดนี้เป็นคอมมูนิสต์ ทีนี้เป็น คอมมูหน่อย ที่นี้มีผู้ก่อการร้ายมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่เคยทรงมีพระราชดำริ หรือตรัสให้อาตมาได้ยิน

    <DD>แม้แต่พระจริยาของพระองค์ก็เหมือนกัน ไม่เคยทรงแสดงให้ปรากฏว่า คนในประเทศไทยนั้น คนไหนเป็นศัตรูของประเทศ คนไหนเป็นคอมมูนิสต์ คนไหนเป็นคอมมูหน่อย คนไหนเป็นผู้ก่อการร้าย พระองค์ไม่ทรงคิดว่าเป็นอย่างนั้น

    <DD>ทรงคิดอย่างเดียวว่า ประชากรคนไทยทั้งหมดนี่ เป็นพี่เป็นน้องกัน แล้วคนทุกคนเป็นคนที่พระองค์ควรจะสงเคราะห์ เท่าที่ความสามารถจะทรงมี หรือพระราชทรัพย์จะพึงมี จะเห็นได้ว่า เมื่อเสด็จไปที่ไหน คนจะถือลัทธิใด ๆ ก็ตาม พระองค์ไม่เคยทรงคิด ทรงเข้าใกล้ชิดคนทุกลัทธิ ทุกประเภท

    <DD>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พระเจ้าลูกเธอ และสมเด็จพระบรมราชชนนี ทั้งหกพระองค์นี้ เสด็จไปในที่ทุกสถาน และทรงมีปฏิสันถาร กับทุกผู้ทุกคนโดยสม่ำเสมอกัน เคยทราบว่าน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ทรงคิดว่าใครจะเป็นศัตรูกับพระองค์ ทรงดำริอย่างเดียวว่า จะช่วยคนทุกคนในประเทศไทยให้มีความสุข ตามความสามารถที่จะทรงกระทำได้

    <DD>การที่มีลัทธิต่างกัน มีความเห็นต่างกัน ในด้านการเมืองนั่น ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล พระองค์ไม่เคยทรงดำริ ไม่เคยคิด เรื่องนี้ ที่ทราบได้ ก็เพราะอาตมาได้ เคยเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถหลายครั้ง จึงทราบพระราชอัธยาศัย และพระราชประสงค์ของพระองค์ ดีพอสมควร

    <DD>นี่ขอบรรดาพสกนิกรทั้งชาวไทย และชาวเทศที่อยู่ในประเทศไทย ทราบตามความจริงนี้ด้วย อันนี้ไม่ได้เชียร์ พระมหากษัตริย์ อาตมาเป็นพระไม่เข้ากับใครทั้งหมด จะเป็นพระมหากษัตริย์หรือจะเป็นข้าราชการ เศรษฐี พ่อค้า คหบดี หรือ ประชาชนก็ตาม ใครเขาทำดีก็ต้องพูดว่าดี ใครเขาทำไม่ดีก็ต้องพูดว่าไม่ดี

    <DD>เมื่อพระองค์รับสั่งถามแบบนั้น อาตมาก็ใคร่ครวญตามเรื่องของพระ ก็เดา ๆ เอา เพราะว่าทราบพระราชอัธยาศัยดีว่า จะทรงทำอะไรแล้ว ต้องทรงทำให้สำเร็จ จะเหนื่อยยากลำบากเพียงใดก็ตามที ทั้งวันทั้งคืน พระองค์ไม่เคยคิดถึงความยากลำบากของ พระองค์เลย จึงได้ถวายพระพรไปว่า กิจการใดที่ทรงมีพระราชดำริไว้ ในเรื่องชลประทานสำเร็จแน่นอน

    <DD>ท่านจึงเสด็จพระราชดำเนินไปข้างนอก ยกพระหัตถ์ขึ้นโบกกับคณะชลประทานว่า นี่ พวกเรา งานทุกอย่างที่พวกเราจะทำกัน หลวงพ่อบอกว่าสำเร็จ ต่อนี้ไป บุกแหลก เลยนะ คำว่า “บุกแหลก” นี่อาตมาได้ยินไม่ชัด แต่คนที่เขาอยู่ใกล้ เขาบอกว่าพระองค์ท่านตรัสอย่างนั้น

    <DD>เป็นอันว่า ไม่ได้ทรงแสดง พระองค์ว่านี่ฉันโตกว่าแกนะ เวลาแกจะมาหาฉัน ต้องหมอบต้องเฝ้า ฉันต้องตั้งแต่เป็นกษัตริย์ เปล่าเลย พระราชจริยาวัตรในขณะนั้น เห็นได้ว่าทรงทำพระองค์สนิทสนมกับข้าราชบริพารทั้งหมด ที่ไปเฝ้าแหนอยู่ที่นั่น อย่างเป็นกันเองทุกอย่าง

    <DD>ทรงตรัสแบบธรรมดา ๆ ต่อจากนั้น พระองค์ก็กลับมาแล้วตรัสอะไรอีกหลายอย่าง แต่เห็นว่าไม่นำมาพูดดีกว่า จะพูดก็คงจำไม่ได้ เพราะทรงใช้เวลาถึงสามชั่วโมงเศษ ถ้าขืนพูดก็ไม่ต้องจบกันละ ถือเอาแต่เรื่องที่เป็นสาระสำคัญ ที่เป็นประโยชน์กับปวงชนก็แล้วกัน

    <DD>ดอยอ่างขางที่พระองค์ไป ทรงจัดเป็นสถานที่ทดลองไม้ผลเมืองหนาว อันนี้ก็ได้ข่าวว่า ได้ทุนจากต่างประเทศช่วยด้วย และทุนจากการโดยเสด็จพระราชกุศลด้วย ทุนส่วนพระองค์ด้วย ก็ได้พูดมาแล้วว่า ทุนส่วนพระองค์นี่ ที่ได้จากรัฐบาลมอบให้ ไม่พอใช้ พระองค์ต้องติดลบทุกเดือน คือ

    <DD>เอาเงินจากมรดกตกทอดไปใช้ พระองค์ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ถ้าจะเทียบกับเศรษฐีสมัยใหม่เวลานี้ บางทีอยู่บ้านในตอนก่อนที่จะมีงานประเภทนั้น ก็นั่งบริโภคข้าวต้มกุ้ย พอไปรับงานเข้าหน่อย ก็มีตึกสวย ๆ มีเงินเป็นสิบล้าน เป็นร้อยล้าน อย่างนี้ ก็เห็นจะเป็นอำนาจทานบารมีที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นบำเพ็ญมาแล้วในชาติก่อน จึงมีโชคฟลุ้คอย่างนั้น

    <DD>แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ ทรงมีเงินขนาดนั้น ได้ทรงพยายามทุกอย่างที่จะริดรอน บั่นทอนงบประมาณอย่างอื่นที่ไม่สำคัญ เพื่อไปทำในส่วนสำคัญที่เป็นสาธารณประโยชน์ วันนั้น ที่พระองค์ตรัสด้วย ก็เป็นเรื่องของธรรมะ แล้วสมเด็จพระบรมราชินีนาถได้กราบทูลขอให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มารับสั่งถามอาตมา ถึงเรื่องราวที่แสดงความห่วงใยประชาชนในประเทศ และนอกประเทศ

    <DD>ได้ตรัสอยู่ด้วยจนถึงบ่ายสามโมงเศษ เมื่อตอนบ่ายสองโมงเศษ อาตมาก็ได้ถวายพระพร เตือนขอให้เสด็จไปเสวยพระกระยาหาร พระองค์ก็ตรัสว่า ไม่เป็นไรขอรับ มาประมาณบ่ายสองโมงครึ่ง อาตมาถวายพระพรเตือนอีกครั้งหนึ่ง ทรงตรัสว่าไม่เป็นไรอีก บ่ายสามโมงเศษ เห็นท่านหม่อมเจ้าภีศเดช มานั่งพับเพียบอยู่นอกประตู มองออกไป ก็คิดว่าเวลานี้ ข้างนอกคงจะหิวกันมากแล้ว จึงได้ถวายพระพรให้ทรงทราบว่า เวลานี้บ่าย ๓ โมงเศษแล้ว ขอพระองค์ได้เสด็จไปเสวยพระกระยาหาร พระองค์ก็ทรงตอบว่าไม่เป็นไรอีก

    <DD>จึงได้ถวายพระพรว่า อาตมาออกไปแล้ว จะต้องไปชมสวนตามที่เจ้าหน้าที่เขาแจ้งไว้ กว่าจะได้ขึ้นเครื่องได้ก็ ๔ โมงเย็นแล้ว เครื่องบินก็จะไปลงที่เชียงใหม่ ส่งหลวงปู่คำแสน เติมน้ำมันที่นั่น ต้องบินไป ๔๕ นาที การเติมน้ำมันใช้เวลาอย่างน้อย ๒๐ นาที จึงจะไปได้ แล้วต้องไปสุโขทัย ใช้เวลาชั่วโมงเศษ ก็คงจะเป็นเวลา ๖ โมงเศษ แล้วเครื่องบินจะต้องกลับไปพิษณุโลก จะเป็นเวลาค่ำเกินไป

    <DD>พระองค์ก็ทรงเห็นชอบด้วยแล้ว เสด็จออกไป อาตมาก็ไปชมสวน มีท่านภีศเดช อาจารย์ปวิณ และอื่น ๆ บุรุษบ้าง สตรีบ้าง (อาตมาไม่รู้จักชื่อ) ทุกท่านแสดงความ เมตตาปรานีสงเคราะห์ ชี้โน่นชวนชมนี่ อธิบายให้ฟัง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอาตมาเป็นคนฉลาดมากในเรื่องพืชพันธุ์ธัญญาหาร ทั้งหมด ไม้ดอก ไม้ต้น ฉลาดเป็นกรณีพิเศษ

    <DD>คือความรู้รอบจริง ๆ รอบอะไรรู้ไหม ? รอบปิดบังเสียหมด ไม่รู้เลยว่า ต้นอะไรชื่ออะไร ยังงี้ เขาเรียกคนที่ฉลาดเป็นกรณีพิเศษ ฉลาดจนกระทั่ง ไม่รู้ว่าต้นไม้ประเภทไหน ชื่อว่าอะไร เจ้าหน้าที่ คือ ท่านภีศเดช อาจารย์ปวิณ และใคร ๆ ที่เดินตามกันไป เขาก็บอก มีท่านสุภาพสตรีไปด้วยหลายท่าน ไม่ทราบว่าใคร แต่ถือว่าทุกคนเป็นลูกอาตมาหมด

    <DD>ถ้าใครเรียก “หลวง พ่อ” อาตมาก็คิดว่าคนนั้นเป็นลูก ถ้าใครเรียกว่าหลวงพี่ อาตมาก็คิดว่าคนนั้นเป็นน้อง ใครเรียกว่าหลวงน้า อาตมาก็คิดว่าเขาเป็น หลาน ยังงี้มันสบายใจ ทุกคนให้ความสนิทสนม ชมมาชมไป ตามที่เจ้าหน้าที่แกบอก มองดูเครื่องบินที่จะมา เอ ไม่เห็นแกจะมาสักที สงสัยว่าแกไปจอดอยู่ที่ไหน หรือจะกลับไปเสียแล้วก็ไม่รู้

    <DD>สักครู่หนึ่ง เวลาใกล้จะ ๔ โมงเย็น มีเจ้าหน้าที่มาแจ้งบอกว่า นักบินให้มาบอก ว่าไปได้แล้ว ก็นั่งรถไป ที่ไหนได้ เขาไปจอดหลบอยู่เสียจนมองไม่เห็น ถ้าเห็นก็คงกลับเสียนานแล้ว เมื่อไป ก็เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารวิ่งตามกันไปมาก ก็แจกของกันตามที่มีอยู่ เสร็จแล้ว ก็ขึ้นเครื่องบิน บินกลับมาจังหวัดเชียงใหม่ จอดลงเติมน้ำมัน แล้วบินต่อมาที่สุโขทัย ลงที่ศรีสัชนาลัย

    <DD>เมื่อเครื่องบินกลับไปแล้ว วันรุ่งขึ้น เขาแจ้งข่าวกลับไป กับคนที่มารับใหม่ว่า หลวงพ่อขอรับ เมื่อวานนี้มืดเกินไป ขอรับ ถ้าใช้เวลามากอย่างนั้นละ กระผมแย่ ทีหลังกลับวัน ๆ หน่อย ตอบเขาว่า ได้ไม่เป็นไร ฉันน่ะอยากจะกลับวัน ๆ แต่บังเอิญมีภาระสำคัญ และอีกประการหนึ่ง เธอย่องไปจอดไกล ๆ ฉันหาไม่พบ ก็เลยคิดว่าเธอยังไม่มา ก็เลยเดินชมไปชมมา ชมมาชมไป จนกระทั่ง จวนจะหมดเวลา

    <DD>เอาละบรรดาท่านบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า สำหรับวันนี้มองดูเวลาก็หมดเสียแล้ว ต้องขอลาก่อน ขอความสุข สวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน


    <CENTER>สวัสดี</CENTER></DD>
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๑๕</CENTER>


    <DD>ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มาพบกับท่านพุทธบริษัทในเรื่อง ของพระเมตตาตามเดิม หลังจากที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงอาราธนาอาตมา พร้อมด้วยคณะไปที่อ่างขางแล้ว ต่อมาประมาณวันที่ ๑๐ เศษ ๆ ของเดือนกุมภาพันธ์ อาตมากลับจากดอยอ่างขาง กลับจากสุโขทัย ก็เดินทางเข้ากรุงเทพ ฯ

    <DD>เมื่อกลับจากกรุงเทพ ฯ วันนั้น ก็ได้รับโทรศัพท์ ทางไกลจากคุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ภรรยาท่าน พล.อ.ท.ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหาร ว่าสมเด็จ พระบรมราชินีนาถ ฯ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ อาราธนาอาตมาให้เข้าไปที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ วันที่ ตรงกับวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ โดยแจ้งว่าปรารถนาจะทรงสนทนาธรรม

    <DD>ก็เป็นอันว่า อาตมาเมื่อได้รับอาราธนาแล้ว คือว่าการมากรุงเทพ ฯ ครั้งนั้น ก็เดินทางต่อมายังที่ปักษ์ใต้ ร่วมกับพระองค์หญิงวิภาวดี เป็นเรื่องราวที่ปรากฏว่า พระองค์หญิงวิภาวดีถูกกระสุนของข้าศึก ต้องสิ้นชีพิตักษัย บนเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ เมื่อ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐

    <DD>หลังจากนั้น อาตมากลับมา และเข้าไปที่พระที่นั่งทรงธรรม เยี่ยมศพท่านครั้งหนึ่ง แล้วต่อมาท่านชายปิยะ อาราธนาไปอีกครั้งหนึ่ง รวมเป็น ๒ ครั้งด้วยกัน เมื่อได้รับโทรศัพท์ว่า ท่านทรงอาราธนาให้เข้าไปในภูพิงค์ราชนิเวศน์

    <DD>(เรื่องนี้โดยมาก คนทั่วไปมักจะใช้คำว่าทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เข้าเฝ้า แต่ความจริงพระนี่ ไม่ใช้คำว่าเฝ้า ใช้คำว่าอาราธนา ท่านใช้คำว่านิมนต์ ที่จะให้ไปเข้าเฝ้า นั่งเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน นั่งเฝ้าพระบรมราชินีนาถ ไม่ใช่ศัพท์ทางพระศาสนา เข้าเฝ้าคือเข้าพบ สำหรับพระใช้คำว่านิมนต์ ใช้คำว่าอาราธนา)

    <DD>เมื่อได้รับโทรศัพท์แล้ว ก็ชวนมีหลายท่านด้วยกัน เช่น ท่านพลอากาศโทหม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ พันโทศรีพันธุ์ วิชชุพันธ์ คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา คุณนนทา อนันตวงษ์ คุณสุภาพ ปุณศรี ภรรยาคุณปวิณ ปุณศรี แล้วมีหลายคนด้วยกัน เป็น เด็ก ๆ เป็นข้าราชการส่วนใหญ่ แล้วเดินทางไปในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐

    <DD>โดย พ.อ. แพทย์หญิง วีวรรณ คำนวณกิจ สงเคราะห์จัดรถ แล้วก็มีรถโฟล์คติดตามไปอีก ๑ คัน ไม่ใช่รถโฟล์ค รถโตงเตง คันนี้ให้ชื่อว่า รถโตงเตงเพราะว่าขนของมาก เป็นรถของญี่ปุ่น ชื่อว่า อีซูซุบรรทุกคนไปมากด้วยกัน ไปถึงก็ไปพักที่ดอยปุย เป็นสถานที่ของเจ้าหน้าที่การเกษตรไปทำการทดลองบนนั้น

    <DD>ถึงแล้วตอนเย็น ก็ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่มาบอกว่า ท่านรองราชเลขา ฯ สั่งให้มาเรียนบอกว่า วันพรุ่งนี้เวลา ๑๕ นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรด ฯ ให้เข้าเฝ้า เขาใช้คำว่าเข้าเฝ้าก็เฝ้า ความจริงนั่งอยู่ด้วยกัน ก็ถือว่านั่งเฝ้าอย่างนี้ก็ใช้ได้ เหมือนกันคงไม่ผิด เราว่าไม่ผิดเสียอย่าง ใครว่าผิดก็ช่าง

    <DD>เป็นอันว่า ทรงมีพระราชดำรัสตรัสสั่งให้เฝ้า หรือว่ารองราชเลขา ฯ เป็นคนจัด เวลาให้เฝ้า นี่ก็สงสัย จึงได้ถามเจ้าหน้าที่ว่า เวลานี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เสด็จอยู่ที่ไหน ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าเสด็จไปที่ดอยอ่างขาง ถามว่าไปกับใครบ้าง เขาก็บอกว่าไปกับทูต ๑๘ ประเทศ แล้วก็มีผู้ติดตามมาก

    <DD>ทั้งนี้ก็เพื่อไปชมกิจการทดลองพืชประเทศ หนาว ที่ดอยอ่างขาง ถามเจ้าหน้าที่ว่าท่านจะเสด็จกลับเวลาประมาณเท่าใด (ต้องใช้คำว่าประมาณ เพราะว่าเวลาเดินทางถือเวลา แน่นอนไม่ได้) เจ้าหน้าที่ตอบว่า ใช้เวลาประมาณ ๑๘ นาฬิกาจะถึง จึงได้ถามว่า เมื่อมาแล้ว ตอนกลางคืนมีการเลี้ยงทูตกันหรือเปล่า ทางเจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่า มีการเลี้ยงทูตกัน

    <DD>ท่านนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ใครต่อใคร ท่านข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ถามว่าการเลี้ยงตามปกติ เลิกเวลาเท่าไร เขาก็แจ้งว่าเลิกเวลาประมาณ ๒๔ นาฬิกา หรือว่าตี ๑ เป็นอันว่าก็พ้นกันไป อาตมาก็เดินเล่นบนดอยหมอก เจ้านี้มัน หมอกจริง ๆ ดีไม่ดี เปิดหน้าต่างอยู่ อ้าปากหมอกเข้าไปในปากเลย เพราะหมอกมันลอยอยู่เสมอ มองดูข้างล่างมืดไม่เห็นอะไร อากาศ เย็นสบาย เป็นที่น่าพัก อยากจะเอาเป็นที่แดนพักสงบ ไม่ทราบว่าเขาจะอนุญาตหรือไม่ เพราะอยู่ใกล้กับภูพิงค์นิดเดียว อยู่ติดกัน แล้ว

    <DD>ต่อมาตอนกลางคืน ก็ปรากฏว่า พนักงานในพระราชฐาน มาคุยโอภาปราศรัย ท่านชายภีศเดช คือหม่อมเจ้าภีศเดช น้องชายของพระองค์ หญิงวิภาวดี ท่านมานั่งคุย รู้สึกว่าท่านมีอัธยาศัยดีมาก เป็นคนน่ารัก เหมือน ๆ กับพี่สาว อันที่จริงคนไม่รู้จักกับท่าน ก็อาจจะพูดไป อย่างนั้นอย่างนี้ก็ได้ แต่คนเราทุกคน ถ้ายังไม่ถึงกัน ยังไม่เคยสนทนาปราศรัยกัน นี่ถ้าจะตำหนิกันก่อนก็รู้สึกว่า จะไม่ถูกเหมือนกัน คงจะ ไม่ถูกเอามาก ๆ ความจริง ท่านมีอัธยาศัยดีมาก ตอนที่ไปอ่างขาง คุยกันสนุกสนาน มีความรู้สึกว่าคนที่ใกล้พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ฯ ใกล้ชิดนี่ ต้องเป็นคนดี จริยาคล้ายคลึงกับพระองค์

    <DD>ตอนกลางคืน ก็มีพนักงานฝ่ายหญิงมาคุยด้วยถึงเวลา ๔ ทุ่มเศษ อาตมาก็ขอลาพักผ่อน ทั้งนี้เพราะเวลานั้น กำลัง ป่วยไข้ไม่สบายเหน็ดเหนื่อยมา เสียงก็ยังไม่เป็นเรื่อง คอไม่ดีเสียงมันทำพิษเอาจริง ๆ เรื่องเจ้าไข้หวัดนี่ มันเล่นงานมานาน แต่ว่านี่มัน ไม่มีเวลาพักผ่อน ต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา ในเมื่อมีหมายกำหนดการเดินทางแล้ว ก็ต้องไป บางครั้งเดินทางไปเยี่ยมเยียนทหารบ้าง ตำรวจบ้าง ประชาชนบ้าง ในป่าแดนไกล

    <DD>พอตอนเย็นกลับที่พัก เขาก็ต้องให้น้ำเกลือ เดิมทีหมอหิ้วแต่ยาติดตามไป คราวหลังนี่ไม่ใช่ อย่างนั้น หมอต้องเอาน้ำเกลือไปด้วย กลางคืนให้น้ำเกลือ เข้าเดินทางต่อไป หมอประจำตัวจริง ๆ ก็คือ พลตำรวจตรีสมศักดิ์ สืบสงวน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ นี่ลากิจติดตามอารักขา ให้ยารักษาโรค ติดตามมาตั้งแต่ ยังเป็นรองผู้อำนวยการ

    <DD>บางครั้งอาตมาป่วยหนัก คราวหนึ่งไปเชียงใหม่ อาเจียนออกมาเป็นเสมหะทั้งหมด มากจนเกือบจะถึงครึ่งกระโถน เสมหะมีหนอง หมอไปดูแล้ว เขาว่าไม่เป็นไร เขาว่าถ้ามีหนองละเขาหนักใจแย่ ความจริงอาตมามองดูแล้วว่า มีหนอง แต่หมอดูว่าไม่มีหนอง นี่เป็นปกติธรรมดาของหมอที่ จะต้องรักษากำลังใจของคนไข้ไว้เสมอ มาบอกว่าน้อย แต่ความจริงปิดคนอื่น เขาคงจะปิดได้ แต่ปิดอาตมาปิดไม่ได้ อาตมาก็ไม่หนักใจ เพราะความตายเป็นของธรรมดา

    <DD>แล้วหลังจากนั้นมา รุ่งขึ้นอีกวัน จะต้องเดินทางไปจังหวัดเชียงราย แล้วเมื่อถึงเชียงราย ก็ต้อง เดินเข้าจังหวัดน่าน ตามภารกิจที่มีอยู่ แต่ภารกิจไม่มีใครใช้ ๆ ตัวเอง เพราะถือว่าตัวเองเป็นหนี้ประชาชนในประเทศไทยทั้งหมด เวลานี้ แถมนอกประเทศด้วย เพราะอะไร เพราะคนไทยที่อยู่นอกประเทศ ส่งเงินส่งทองมาช่วยในการสร้างวัด ส่งเงินส่งทองมาช่วยในการ รักษาโรค อาตมาถือว่า เป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุด ที่มีเจ้าหนี้ทั่วประเทศ แล้วก็นอกประเทศด้วย

    <DD>การเดินทาง ก็ถือว่าเป็นการใช้หนี้ แต่เป็น การใช้หนี้ในด้านความดีของท่านพุทธบริษัท โปรดทราบว่าอาตมาจะเกิดมาอีก ๑๐ ชีวิต ก็ใช้หนี้ท่านทั้งหลายไม่หมด เพราะการใช้หนี้ ความดีนี่มันหมดไม่ได้ ใช้เท่าไรก็ตามที่ความดีของท่านมันก็ไม่หมด แต่เราก็ต้องใช้กัน

    <DD>ทั้งนี้เพราะองค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดา สอนให้พระทุกองค์รู้จักความกตัญญูรู้คุณ แม้แต่พระสารีบุตร ที่เป็นอัครสาวกฝ่ายขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รับข้าว จากราธพราหมณ์เพียงทัพพีเดียว เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถามว่า พระองค์ไหนรู้คุณของพราหมณ์นี้บ้าง ก็มีพระสารีบุตรยอง ๆ พนมกล่าวขึ้นว่า ข้าพระพุทธเจ้ารู้คุณของพราหมณ์พระพุทธเจ้าค่ะ

    <DD>สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า พราหมณ์คนนี้ มีคุณแก่เธอเมื่อไร พระสารีบุตรได้กราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า สมัยที่พราหมณ์อยู่ที่บ้าน ข้าพระพุทธเจ้าเคยไป บิณฑบาตที่บ้าน พราหมณ์ใส่บาตรให้ ๑ ทัพพี พระพุทธเจ้าค่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ยกมือขึ้นโมทนาว่าดีละ สารีบุตร สัตบุรุษที่มีความกตัญญู ถ้าอย่างนั้น เธอจงเป็นอุปัชฌาย์บวชให้แก่พราหมณ์นี้

    <DD>นี่องค์สมเด็จพระพุทธชินสีห์ทรงแนะนำและสั่งสอนให้ บรรดาพระทั้งหมดรู้จักความกตัญญูรู้คุณ ฉะนั้น เมื่อบรรดาประชาชนในประเทศไทยทั้งหมด และนอกประเทศอีกมาก ท่านเป็นผู้มีคุณ แก่อาตมา ๆ ก็จำเป็นต้องสนองคุณ แต่ถ้าบังเอิญสนองได้ไม่ครบถ้วน ก็ต้องขอประทานอภัย เพราะคนทั้งประเทศ จากเชียงรายเหนือ สุดจนใต้สุด จนถึงนราธิวาส ตะวันออกตั้งแต่จังหวัดตราด ตกถึงกาญจนบุรี และจังหวัดตาก ทั้งหมดนี้

    <DD>อาตมาเป็นหนี้ทั้งหมด เป็นเจ้าหนี้ อาตมาทั้งนั้น อาตมาคนเดียว เงินก็ไม่มี ทุนก็ไม่มี พาหนะส่วนตัวก็ไม่มี จะไปใช้หนี้ทุกจังหวัดก็ไปไม่ไหว ก็ต้องขอขอบคุณบรรดาท่านผู้มีคุณทั้งหลายไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยว่า อาตมาไม่ลืมคุณของท่าน ยังบูชาความดีของท่านที่ช่วยสงเคราะห์ พูดมาพูดไปเดี๋ยวมันก็ลืมอีก แล้ว

    <DD>นี่ตอนต้น พูดมาถึงตอนไหน พูดมาถึงเรื่องท่านภีศเดช และพระองค์หญิงวิภาวดี ไปถูกปืน ตอนนี้มีคนเขาโจษจันกันว่า อาตมาเก่งจริง ทำไมไม่ช่วยพระองค์หญิงวิภาวดี ไว้ให้ได้จะขอตอบว่า อาตมาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า ถ้าไปด้วยก็ต้องถูกปืนเหมือนกัน แต่ก็มั่นใจว่าจะถูกขาไม่นึกว่าถูกตัว

    <DD>แต่สำหรับพระองค์หญิงวิภาวดีนี่ มีความเข้าใจจริง ๆ ว่าต้องถูกแน่ และถูกหนัก เพราะได้สัญญากันก่อนขึ้นเครื่องบินว่า ทั้งหมดต้องลงที่กองร้อยปฏิบัติการ ๓ ปล่อยให้เครื่องบินไปตามลำพัง แต่ว่าในเมื่อวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน มาถึง ก็มีความจำเป็น

    <DD>เพราะอาตมาลงมาแล้ว ครูบาธรรมไชยลงมาแล้ว คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ แล้วก็ใครต่อใครข้าหลวงทั้งหมดลง มาแล้ว ท่านไม่ลง สั่งเครื่องบินขึ้น ก็เป็นกฎธรรมดา ก็เป็นอันบอกแล้วว่า ถ้าอายุขัยแก้ไขกันไม่ได้ ถ้าอกาลมรณะแก้ได้ เป็นอกาลมรณะ คือการตายในระหว่างที่ชีวิตยังไม่ถึงอายุขัยเราแก้กันได้ ถ้าถึงอายุขัยแล้วคนแก้ก็ตาย แก้ไม่ได้

    <DD>เป็นอันว่า วันนั้นอาตมาก็นอน เข้าพักนอน ๔ ทุ่มครึ่ง ไอก็ยังไออยู่ เสียงก็แหบก็แห้ง ไข้หวัดยังมี มาทราบในตอนเช้า ว่าเวลา ๖ ทุ่มเศษ หรือว่าเวลา ๒๔ น. เศษ อาตมาเป็นพระชอบทุ่ม ๆ โมง ๆ กลางวันเรียกว่าโมง กลางคืนเรียกว่าทุ่ม เพราะว่า

    <DD>สมัยก่อนคำว่า โมง ก็ว่าพอถึงเวลาเท่าไร ก็ตีฆ้องโมง ๆ ๑ โมงเช้าก็ตี โมง ๒ โมงเช้าก็ตี ๒ โมง จึงเรียกว่าโมงหรือ โหม่ง เวลากลางคืนท่านใช้กลอง ๑ ทุ่มตี ๑ ตุม ๒ ก็ตี ๒ ตุม ๓ ก็ตี ๓ ตุม จึงเรียกว่าทุ่ม นี่เป็นศัพท์ภาษาไทยโบราณ เวลานี้มาเรียก กันว่า นาฬิกา ก็ยังโมง ๒ โมง ทุ่ม ๒ ทุ่มกันอยู่ตามปกติ เป็นส่วนมาก

    <DD>เรื่องของทางราชการเท่านั้น เป็นส่วนใหญ่ ข้าราชการส่วนใหญ่ ใช้คำว่านาฬิกา แต่ว่าชาวบ้านยังทุ่มยังโมงกันอยู่ อาตมาก็เป็นลูกชาวบ้านก็ต้องทุ่มต้องโมงไปตามเขา คุยกันต่อไป

    <DD>ตอนเช้าได้ทราบข่าวจาก ท่านพลอากาศโทหม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหารว่า เมื่อคืนนี้เวลา ๖ ทุ่ม เศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้ให้รองราชเลขา ฯ ท่านอาจารย์ภาวาส มาตามหลวงพ่อ ท่านเห็นว่าหลับแล้ว จึงแจ้งให้ อาจารย์ภาวาสทราบ และวิทยุทูลถามว่า จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ปลุกไหม ก็เป็นอันว่าไม่ได้ปลุก ท่านรับสั่งมาบอกว่า ไม่ต้องปลุก

    <DD>ถ้าปลุกอาตมาก็คงแย่เหมือนกัน เพราะว่าร่างกายมันยังทรงอยู่ไม่ค่อยจะไหว วันรุ่งขึ้นที่ไปเฝ้าพระองค์ภูพิงค์ราชนิเวศน์ วันนั้น ก็คิดว่าจะไม่ไหวเหมือนกัน ร่างกายมันยังไม่มีแรง เสียงก็แหบแห้ง แต่ก็ได้อาศัยธรรมปีติ ที่นั่งใกล้พระองค์ ก็ทรงสั่งสนทนาเฉพาะเรื่อง ธรรมะ

    <DD>โดยเฉพาะ เลยเกิดความชุ่มชื่นใจ นั่งอยู่ได้ถึง ๕ ชั่วโมงเศษ วันรุ่งขึ้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถได้สั่งให้ข้าหลวง คณะช่างเครื่อง นำภัตตาหารมาถวาย และก็เลี้ยงคนทุกคนที่ไปพักอยู่ที่นั่น นี่จัดเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นพิเศษ อาหารเท่าที่มาถวายก็ดีทุกอย่าง ขนมก็ดีทุกอย่าง

    <DD>แต่ที่ถูกใจอยู่อย่าง เขาเรียกขนมอะไรก็ไม่ทราบ เหลือง ๆ อ่อน ๆ ขนมนี้ถูกใจมาก หนึ่งมีรสหวาน สองอ่อน เพราะ อาตมาเป็นกระเพาะผุ ของแข็ง ๆ ไม่ค่อยไหว ข้าวเหนียวก็ไม่ไหว ขนมชิ้นนั้นอ่อนดี มีรสหวาน เขาถือรสหวานเป็นสำคัญ เลยฉันเสีย เยอะเป็นกรณีพิเศษ

    <DD>ที่ฉันเยอะนี่ ไม่ใช่ตั้งใจฉลองศรัทธาท่านหรอก ความจริงฉลองท้องอาตมาเองว่า ของอ่อนนี่ถูกใจกับท้อง ท้องมันไม่รังเกียจ เลยว่าเสียหนัก และก็สั่งให้ข้าหลวงไปกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบว่าทีหลังถ้านิมนต์อาตมามาละก็ของอย่างนี้อย่าให้หายไป เสีย ถ้าอย่างนี้ถามว่าติดใจในรสอาหารหรือ ก็ตอบว่าไม่ใช่ติดใจในรสอาหารหรอก ติดใจในความอ่อนของอาหาร เพราะว่าของแข็ง ๆ ฉันแล้วมันเป็นโทษ ถ้าว่าร่างกายมันยังต้องใช้อยู่ก็ต้องเลี้ยงมัน

    <DD>เมื่อเวลาใกล้ ๑๕ นาฬิกา ทางสำนักพระราชวัง ก็นำรถมารับ ก็ชวนท่านพลอากาศโทหม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ ไปด้วย อาจารย์ปวิณ ไปด้วย ไปรอพบอยู่ที่ห้องหน้าห้อง รอพบ ถึงเวลาทางเจ้าหน้าที่ ก็มาบอกว่าถึงเวลาเข้าพบได้แล้ว ก็เข้าไปพบใน ห้องส่วนพระองค์ ในห้องนั้น ไม่มีใคร ท่านปิดประตูเสียทั้ง ๒ ข้าง

    <DD>รองราชเลขา ฯ นั่งอยู่มุมหนึ่ง ท่านปูพรมให้อาตมา และปูผ้าขาว มีน้ำสำหรับฉัน อาตมาเป็นพระ ไม่ฉันน้ำชา และไม่ฉันกาแฟ อันนี้ไม่ใช่เคร่ง เพราะเดิมทีเดียว เคยติดน้ำชามาก่อน ถ้าฉันน้ำชาแล้ว ไม่ฉันน้ำชามา ฉันน้ำธรรมดา แล้วมันไม่อยู่ไม่ชื่นใจ

    <DD>แล้วที่นี้ต่อมา มาคิดว่า เราจะบวชละกิเลส เราเทศน์ให้ชาวบ้านเขาละกิเลส แล้วเราจะมานั่ง แบกกิเลสไว้เพื่อประโยชน์อะไร ไปไหน ๆ ชาวบ้านก็ต้องวิ่งวุ่น ในการหาน้ำชา เลยเลิกมันเสียเฉย ๆ ใครจะว่ายังไง นี่ใครเขาจะว่ายังไง ถ้าจะว่า ก็ตัวเองเป็นผู้ว่า ก็เป็นอันว่าหมดเรื่องไป

    <DD>วันนั้น เจ้าหน้าที่ก็มีน้ำเย็น ๆ ไว้ให้ฉันเป็นที่ถูกใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ พระราชดำเนินออกมา อาตมภาพต้องขอยอม กลัวตอนนี้กลัวมาก ไม่ใช่กลัวในฐานะท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วก็ไม่ใช่กลัวอย่างนั้น กลัวในฐานะที่ทรงมีอัจฉริยะเป็นกรณีพิเศษ

    <DD>นั่นก็คือในเวลาที่พระองค์เสด็จมาประทับ ทรงประทับนั่งพับเพียบทางด้านซ้ายอย่างเดียว ตลอดเวลา ๕ ชั่วโมงเศษ อาตมา เมื่อสมัยตัวผอม ๆ ก็นั่งพับเพียบนานเป็นชั่วโมง ๆ ได้ อีตอนตัวอ้วนนี่ไม่เป็นเรื่อง น้ำหนักตัวมันมาก นั่งพับเพียบหรือนั่งขัดสมาธินานไม่ได้ ขามันชาเลยก็ต้องขยับไปขยับมาถึง ๕-๖ ครั้ง

    <DD>สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ไม่เลย พระองค์ไม่ทรงขยับเขยื้อนเลย หมายความว่าทรงนั่งประทับนั่งท่าไหนก็นั่งท่านั้น ตลอดเวลา การสั่งสนทนาปราศรัยของพระองค์ในวันนั้น ล้วนแล้วไปด้วยธรรมปฏิบัติ ไม่มีอะไรเจือปนเลยใช้เวลา ๕ ชั่วโมงเศษ แล้วบางท่านจะถามว่าเวลา ๕ ชั่วโมงเศษ พระองค์รับสั่งว่า กระไรบ้าง อาตมาก็ต้องตอบ ตอบไม่ยากเลย เพราะว่าจำไม่ไหว

    <DD>เพราะว่าทรงตรัส และปัญหาที่ถาม แต่ละคำแต่ละข้อ เป็นปัญหาที่ลึกซึ้งคัมภีรภาพ ทรงมีความละเอียดลออ ในธรรมะเป็นกรณีพิเศษ วินิจฉัยศัพท์ละเอียดมาก อาตมาเองก็คร้าม ๆ เหมือนกัน คร้าม ๆ ว่าจะตอบผิด แต่ก็ถือว่า มีปัญญาแค่ไหนก็ตอบแค่นั้น หมดเรื่อง เพราะว่าทราบอยู่ว่า ตัวเองไม่ใช่สัพพัญญูวิสัย คำว่าสัพพัญญู แปลว่า รู้หมดทุกอย่าง

    <DD>ความจริง อาตมาเองก็เป็นคนรู้มาก สัพพัญญูนี่ ควรจะแปลว่า รู้ไม่หมดอย่างพระพุทธเจ้านี่เขาบอกว่ารู้หมด อาตมาว่า พระพุทธเจ้านี่รู้ไม่หมด ใครจะไปถามอะไรก็ตาม ท่านมีเรื่องตอบได้เรื่อย และก็ตอบได้ถูกต้อง สำหรับอาตมานี่รู้หมด เพราะถามไปถามมา ไปถามที่ไม่รู้เข้า เลยไม่มีอะไรจะตอบ หมดทุน หมดพุง ความจริงน่าจะใช้ศัพท์อย่างนี้

    <DD>แต่เขาไม่นิยมกัน ต้องตอบตามแบบที่เขานิยมกันว่า อาตมารู้ไม่หมด พระพุทธเจ้ารู้หมด นี่เป็นศัพท์ที่เขานิยมกัน แต่ความจริงน่าจะบอกว่าพระพุทธเจ้านี่รู้ไม่หมด ใครถามอะไร ๆ ก็ตอบได้ ไม่รู้จักหมด อาตมาเป็นประเภท รู้ไม่หมด ก็เกรงเหมือนกันว่า ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงตรัสถามธรรมะไปโดนเอา ตอนที่รู้หมดเข้า ก็อยู่เลยวันนั้น แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าทราบดีว่า ตัวเองไม่ใช่สัพพัญญูวิสัย ถ้าทรงถามอะไรมา ถ้าไม่เข้าใจก็จะกราบทูล หรือถวายพระพรว่า ข้อนี้อาตมาไม่รู้ ก็หมดเรื่องกันไป

    <DD>พระองค์ก็ไม่ใช่มาตั้ง หน้าตั้งตาไล่ให้จน ที่แท้จริงนั้น เป็นธรรมะที่เป็นประโยชน์มาก แล้วอาตมาได้ถวายพระพรถามว่า เมื่อคืนนี้ พระองค์ได้ให้คนให้รองราชเลขา ฯ ไปตาม มีพระราชประสงค์อะไร รับสั่งว่า ลูกหญิงสิรินธรฯ อยากจะพบหลวงพ่อ ตอนเช้านี่ต้องขึ้นเครื่องบินแต่เช้า เพราะเหตุว่า ต้องเข้ามหาวิทยาลัย ๘ โมงเข้า ตอนกลางคืน จึงอยากจะพบ จึงอาราธนาหลวงพ่อมา

    <DD>เลยถวายพระพรว่า อาตมาหลับเพราะป่วย และก็ได้ถามพระองค์ว่า แล้วตอนกลางคืน หลังจากที่เลี้ยงทูต เสร็จแล้วบรรทมแล้วหรือยัง พระองค์ทรงตรัสว่า ความจริงที่อาตมาถามแบบนี้ เพราะรู้ว่าไม่บรรทมแน่ มีงานต่อ ก็ทรงตรัสตอบว่า

    <DD>หลังจากนั้นมาก็ทรงเจริญพระกรรมฐานทำสมาธิจิต การทำสมาธิจิตนี่ ทรงตรัสว่า ทรงตั้งเวลาได้ตามอัธยาศัย เริ่มเข้าสมาธิเวลาเท่านี้ จะออกจากสมาธิเวลาเท่านี้ กำหนดได้เข้าออกได้ตามอัธยาศัย ตามเวลา เดิมทีเดียว ท่านใช้เทปไม่มีเสียง พอเสียงดัง แก๊ก ก็เลิกเมื่อเวลา เท่านั้น เมื่อเวลาหลังท่านไม่ใช้เทป หมายความว่า ตั้งเวลากำหนดเวลาจะเลิกเท่าไร เลิกได้ทันที

    <DD>นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ยังไม่จบ เรื่องของภูพิงค์ แต่ว่าเวลามันจะหมด ตอนนี้ขอสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต ใคร่ครวญดูให้ดีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พระเจ้าลูกยาเธอ ฯ ทรงสนพระทัยในธรรมะปฏิบัติทุก ๆ พระองค์ และ ทรงปฏิบัติได้อย่างนี้

    <DD>ถ้าจะดูเวลา จะเห็นว่าเวลาของพระองค์มีน้อย แต่อาศัยว่าจิตเป็นมหากุศล จึงพยายามเจียดเวลาของพระองค์ทั้ง ๆ ที่ทรงลำบาก พระวรกายอยู่มาก ตอนเช้าไปดอยอ่างขางทั้งวัน กลับมาตอนกลางคืนเลี้ยงทูต และรับแขกจนกระทั่งถึง ๖ ทุ่มเศษ ยังมี เวลาเจริญกรรมฐานต่อไป

    <DD>สำหรับวันนี้เวลาหมดเสียแล้ว ก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแก่ พุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

    <CENTER>สวัสดี</CENTER></DD>
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <CENTER>บทที่ ๑๖</CENTER>


    <DD>ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็พบกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ในเรื่องของพระเมตตาตามเดิม เป็นอันว่า วันที่ เข้าไปพบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์ ที่พระองค์ทรงมีปัญหาถามถึงเขียนหนังสือ มาเป็น ๓ ข้อด้วยกัน

    <DD>ทรงตรัสว่า เป็นความประสงค์ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่ทรงมีความสงสัย ในเรื่องที่พระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ต้องสิ้นชีพิตักษัย ความจริงเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความเข้าใจดีมาก หมายความว่า คงจะเคยทรงอธิบายให้ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ให้ทรงเข้าใจเรียบร้อยแล้ว แต่เพื่อความมั่นใจ อาตมาก็ได้ถวายพระพร ไปตามกฎของกรรมว่า

    <DD>เรื่องกฎของกรรมนี่ เป็นทางที่หนีกันไม่ได้ แล้วต่อมาพระองค์ทรงสนพระทัย เรื่องพระกรรมฐาน ทรงตรัสว่า เพื่อนที่เจริญพระกรรมฐาน กับพระองค์มี อยู่ ๑ โหล มีผู้ชายครึ่งโหล ผู้หญิงครึ่งโหล พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ ในเรื่องของจริต ๖ ทรงขอให้บันทึกเทปให้จริตละ ๑ คาสเซ็ท เพื่อว่าคนที่มีราคะจริต ก็จะส่งราคะจริตให้ มีโทสะจริตก็ส่งโทสะจริตให้อย่างนี้เป็นต้น

    <DD>เป็นอันว่าจริตทั้ง ๖ อย่าง จะต้องมีด้วยกันทุก คน แต่ว่าหนักในด้านไหน ก็แก้ในด้านนั้นก่อน ตอนหนึ่งพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสตรัสว่า สำหรับลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ผมคิดว่าทุกคน หรือว่าทั้งหมด เป็นพวกมีศรัทธาจริตทั้งหมด อาตมาก็ได้ถวายพระพรว่า คนที่มีศรัทธาจริตนี่เขาได้กำไร ปฏิบัติเอาดีง่ายสุด แล้วแต่คนนำ

    <DD>ศรัทธาจริตแปลว่า จิตชอบเชื่อ จิตชอบเชื่อนี่ ถ้าผู้นำ ๆ ไปในทางไม่ดี อาศัยที่เขามีความเชื่อง่ายอยู่แล้ว ก็จะพาเหลวแหลกไปด้วย แต่ผู้นำ ๆ ไปได้ดี ก็รู้สึกว่าจะได้ดีง่าย เพราะว่าเธอไม่ถอนกำลังใจ อะไรก็ตาม ที่เป็นของดีทำทุกอย่าง นี่เป็นอันว่ามีผล

    <DD>คนที่มีศรัทธาจริต ขออย่างเดียวว่า ท่านผู้นำ ได้โปรดนำไปในทางที่ถูก อย่าหาทางทำลายด้วยการที่เขามีความเชื่อก็แล้วกัน เพราะว่าประสบการณ์เรื่องนี้ มีอยู่มาก ก็ขออย่าให้พูดเลย มันเป็นเรื่องหนักใจ ถ้าพูดว่า ใครเขาไม่ดีนี่ ความเดือดร้อนกับจิตนี่มันมี ขอพูดว่า เขาอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าสิ่งนั้นมันถูกก็ได้

    <DD>ถ้าพูดอย่างนี้ ขอคนบางคนที่เคยประชุมกันแล้ว บอกว่า อาตมานี่เขียนหนังสือก็ดี บันทึกเสียงก็ดี ยกย่องตัวเองเสมอ ทราบว่า นี่ไม่ใช่นี่เรา พูดกันตามความเป็นจริง พูดกันตรงไปตรงมา ที่พูดว่าตรงก็เพราะอะไร เพราะว่ามีคนเขามาหา บางรายเข้าไปก็ต้องเสียประโยชน์ เสียเงินเสียทอง ขึ้นครูบาอาจารย์

    <DD>มีจดหมายหลายฉบับที่ถามว่า ถ้าผมจะมอบตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ จะต้อง เสียอะไรบ้าง วิธีกรรมเป็นอย่างไรบ้าง เป็นอย่างนี้ใช่ไหม เขาเขียนมาเสียมากมาย ทางด้านพิธีกรรม เวลาที่จะขึ้นครูเป็นลูกศิษย์จะต้อง เสียเงินเท่าไร เขาก็บอกว่าที่ไหนก็ไม่ทราบ (ทราบเหมือนกันแต่ไม่บอก) ว่าจะต้องจ่ายเงินในอันดับแรกเป็นสมาธิจิต ในอันดับแรกเป็น เงิน ๑,๕๐๐ บาท เห็นจะเป็นเงินดาวน์ แล้วก็ต้องส่งกันเรื่อยไป เมื่อเสียแล้ว ก็ต้องเสียอีก ก็ได้เคยสืบ ๆ แล้ว

    <DD>นี่มันเป็นเรื่อง ที่ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนา ความจริงสมาชิกของอาตมาไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องเสียธูปเทียนก็ยังเป็นสมาชิกได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบังคับไว้เลยว่า จะต้องทำอะไรต่อ ทำอะไรกัน ที่จะต้องมีพิธีกรรมกันอยู่นี่ มันเรื่องของ ศรัทธา ของบรรดาท่านพุทธบริษัท เขาเคยมาถามกัน บอกว่าถ้ามาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ต้องเอาธูปแพเทียนแพ เครื่องชุดนั้น เครื่องชุดนี้ใช่ไหม

    <DD>อาตมาบอกว่าเอาใจมาพอแล้ว เรื่องพิธีกรรมจะบูชาพระพุทธเจ้าด้วยวิธีใด มันเป็นเรื่องของคุณ เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ ทรงบังคับไว้ นี่สำคัญอย่างเดียวคือใจ ที่พระองค์กำหนด ที่ทรงตรัสว่า มโน ปุพฺพํ คมาธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจ เป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จได้ด้วยใจ ควบคุมใจอย่างเดียวเป็นพอ นี่เป็นความประสงค์

    <DD>เป็นอันว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสตรัสถามอย่างนั้น อาตมาก็รับว่าใช่ ว่าส่วนใหญ่ลูกศิษย์ของอาตมา เป็นนักศรัทธาจริต เป็นคนเชื่อ แต่ว่า เชื่ออย่างคนมีปัญญา ไม่ใช่ว่าพูดไปแล้วเขาก็เชื่อทีเดียว ทรงตรัสว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต คนนี้ เป็นคนมี ศรัทธาจริตมาก อาตมาก็ถวายพระพรไปตามความจริงว่า ใช่

    <DD>พระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต มีศรัทธาจริตมาก แต่ทว่าบวกพุทธจริต เพราะว่าท่านมีกำลังหนักทั้ง ๒ อย่าง คือ หนึ่งศรัทธาจริต สองพุทธจริต นี่ผู้ที่มีศรัทธาจริตแท้ เขามักจะเชื่อคำพูดเฉย ๆ เมื่อพูดอะไรไป ก็เชื่อก็ปฏิบัติตามแนวนั้น ถ้าทิ้งแนวแล้วไปไม่ได้

    <DD>สำหรับพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต นี่ ท่านเชื่อแล้ว มีปัญญาเป็นเครื่องคิดด้วย จึงได้มี ความรวดเร็วในผลแห่งการปฏิบัติ ผลแห่งการปฏิบัติของท่านเร็วมาก มาศึกษาได้อาทิตย์เดียว ก็สามารถเข้าฌานออกฌานได้ตามอัธยาศัย

    <DD>ที่นี้ความต้องการของพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ต้องการอภิญญาสมาบัติ แต่ว่าอาตมาเห็นว่า อภิญญาสมาบัติ หรือวิชชาสามก็ดี ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ว่าต้องใช้เวลามาก เมื่อได้ ๒ ใน ๓ ๕ ใน ๖ อภิญญา ๖ ก็ยังไม่มีเกณฑ์ที่จะพ้นนรกไปได้ เพราะว่าท่านที่ได้ ๒ ใน ๓ คือ ทิพยจักขุญาณ และบุพเพนิวาสานุสสติญาณ หรือว่าได้ ๕ ในอภิญญา ๖ สามารถเนรมิตอะไรต่ออะไรได้ แต่ยังเป็นฌานโลกีย์

    <DD>อย่างนี้ ดูตัวอย่าง ท่านเทวทัต ตายแล้วก็ยังพลัดลงอเวจีได้ จึงเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ แต่ทว่าก็ไม่ค้านท่าน ว่าท่านต้องการข้อสนับสนุน แต่ส่วนใหญ่ ก็บรรจุวิปัสสนาให้ ทั้งนี้อาตมาก็ลอกแบบ มาจากครูบาอาจารย์ของอาตมา คือหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

    <DD>เพราะในสมัยที่ อาตมาไปศึกษากับท่าน ก็กราบเรียนท่านว่า อาตมาไม่ต้องการวิปัสสนาญาณ เพราะไม่เคยคิดว่าชาตินี้ จะเป็นพระอรหันต์ได้ เป็นพระ อริยเจ้าได้ ต้องการสมถภาวนา ต้องการฌาน หรือว่าต้องการวิชชา ๓ อภิญญา ๖ ผลที่ต้องการนั่นก็คือ ไปเกิดเป็นพรหม เพราะมีสังหรณ์จิตว่า เวลาที่มีเกิดเป็นมนุษย์นี่ มาจากพรหม และเวลาที่เกิดมาแล้ว ท่านลุงที่เป็นพระทรงฌาน ท่านบอกว่าเจ้านี่มันมาจากพรหม

    <DD>ฉะนั้น เวลาตั้งชื่อ ก็ชื่อว่าเจ้าพรหมก็แล้วกัน ชื่อเดิมของอาตมานี่ชื่อพรหม ไม่ใช่ชื่อวีระตามที่รู้จักกัน วีระนี่มีชื่อใหม่ มาชื่ออีกชื่อหนึ่ง แต่ว่าอาตมาก็มาแปลงชื่อเป็นภาษาบาลีว่า วีระ แต่ว่าสมัยเด็ก ๆ เขาก็ไม่เรียกว่าเจ้าพรหม เขาเรียกว่าเจ้าแก่น เพราะว่าจอมแก่น น่ากลัวว่า จะเกเรหนัก จะว่าหัวแข็งก็ไม่ใช่ ก็หัวธรรมดา แต่ว่าใจแข็ง แข็งเพราะ เห็นว่าถ้าผู้ใหญ่ไม่ทรงอยู่ในคุณธรรมของผู้ใหญ่ อันนี้ไม่ไหว้อย่างเด็ดขาด เพราะว่าคนโตแบบนี้ มีจริยาไม่เท่ากับเด็ก อันนี้ใช้ไม่ได้ ไม่เอาด้วย

    <DD>นี่เป็นอันว่า ตอนเด็ก ๆ มันแก่นมาก ผู้ใหญ่บางคน ก็ไม่เป็นเรื่อง เอาแต่ตัวโตเป็นสำคัญ แต่เป็นคนที่ไร้เหตุไร้ผล คน ประเภทนี้ เป็นประเภทที่สมเด็จพระทศพล ไม่ทรงสรรเสริญ ไม่เรียกว่าผู้ใหญ่ ก็เลยต้องเป็นศัตรูกัน การเป็นศัตรูกับผู้ใหญ่ ก็หมายความว่า มีความเห็นไม่ตรงกัน

    <DD>นี่ขอเลี้ยวเข้าภูพิงค์ เพื่อให้ทราบในจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สำหรับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ นี่พระองค์ทรงพอพระทัย ในการสวดมนต์มาก และก็สวดมนต์วันหนึ่ง เป็นชั่วโมง ๆ พระองค์ทรงตรัส ว่า เวลาหลวงพ่อมานี่พระองค์หญิงทรงแสดง ปรากฏชัดเหลือเกิน ทรงตรัสว่า มาบางคราวส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปหมด

    <DD>ดิฉันคิดว่า ใครเขาทำน้ำหอมหกไว้ที่ไหน หาเท่าไรก็ไม่พบ แต่ว่ากลิ่นน้ำหอมตลบไปหมด พอรุ่งเช้าทราบข่าวจากคนบอกว่า สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงใช้ ให้ข้าหลวง ๒ คน ไปเอาพระพุทธรูป ที่พระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ทรงโปรดมาก รักมาก ปรากฏว่า ข้าหลวงหยิบขึ้นมา เห็นไฟฟ้าดับ ๒ ครั้ง แต่ว่าสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงประทับอยู่ใกล้ ๆ ไม่ทรงเห็นไฟฟ้าดับ

    <DD>เรื่องนี้จะเป็นเรื่องเท็จจริงประการใด เป็นเรื่องของคนส่ง ข่าว แต่ว่าข่าวที่แสดงออกทั้งอาการ กลิ่นที่หอมฟุ้ง จนกระทั่งไม่สงสัย หอมจัดนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงมีพระราชเสาวนีย์มาเอง แล้วต่อมาสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็ทรงขอให้บันทึกเทปพระสูตรถวาย พระองค์มักจะทรงถ่อมอยู่เสมอว่า ดิฉันมีปัญญา เพียงแค่นี้ มีกำลังเพียงเท่านี้ ขอฟังเพียงพระสูตร

    <DD>แต่ความจริงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านก็ทรงตรัสว่า สมเด็จพระบรมราชชนนี ก็ดี พระราชินีก็ดี ลูกหญิงสิรินธรก็ดี เขาว่าเขาไม่ได้ทำอะไรกัน เขาว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติ แต่ความจริง ผมเห็นว่าเขากำลังปฏิบัติอยู่ อาตมาก็รับรอง เพราะทราบพระราชจริยาวัตรของทั้ง ๒ พระองค์ดี

    <DD>ความจริงการปฏิบัติพระกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่างสมเด็จพระบรมราชินีนาถนี่ พระองค์ทรงอยู่ในศีลาจารวัตรเป็นอย่างดี อันนี้จะมาโมเมว่า มายกย่องพระราชินีอีกแล้วซิ ความจริงเรื่องการยก ย่องใครนี่ ถ้าไม่เป็นของจริง พระไม่โอเคด้วย (โอเคนี่ ภาษาอะไรก็ไม่ทราบ) พระไม่เห็นชอบด้วย เรื่องอะไรจะมานั่งยกย่องกัน เราพูด กันตามความเป็นจริง พระไม่มองเห็นฐานะของบุคคล ในฐานะผู้ทรงยศ พระจะต้องไม่มองฐานะของบุคคลในฐานะที่มีเงินมาก พระ จะต้องพูดตามความเป็นจริงที่มีอยู่

    <DD>ฉะนั้น เมื่อสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระองค์ทรงมีพระราชจริยาวัตร ปฏิบัติอยู่ในเขตพระกรรมฐาน คำว่ากรรมฐาน แปลว่าทำกรรม ในฐานะเป็นที่ตั้งอยู่ในความดี กรรมฐานไม่ใช่แปลว่าหลับตา จะมานั่งหลับตา ถ้าดีเวลาหลับตา ลืมตาขึ้นมาด่าชาวบ้าน อีกกี่แสนชาติ มันก็ไม่เกิดผล แล้วก็จิตใจก็หมกมุ่นไปด้วยอารมณ์ที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะ ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์เลย

    <DD>คำว่า กรรมฐาน คือว่า ลืมตามาแล้วต้องสร้างความดี จะเห็นน้ำพระทัยของสมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ฯ ก็ดี ทั้ง ๒ พระองค์นี้ ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา และกรุณาในพรหมวิหาร ๔ เปี่ยมเลยก็แล้วกัน ไม่ใช่พร่อง บางทีล้น ๆ เพราะพระราชทรัพย์ที่มีอยู่นี่ ไม่พอใจ ยังจ่ายไปก่อน ล้น นี่ไม่ใช่เปี่ยมนะ เรียกว่าล้น ถ้าจ่ายแค่หมด เรียกว่าเปี่ยม นี่หมดไป แล้วไม่มียังจ่าย เรียกว่าล้น ถ้าพูดอย่างนี้ อาตมาก็คงจะล้นเหมือนกัน ไม่มีสตางค์ ก็สร้างวัด สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล บ่อน้ำ เป็นหนี้เขาก่อนยังได้ มันเป็นส่วนสาธารณประโยชน์ ก็คนชอบล้น ล้นอยู่แล้ว ก็ต้องล้นไปอย่างนี้

    <DD>สำหรับพระองค์หญิงวิภาวดีก็เหมือนกัน มีหลายท่านว่า ท่านเร็ว เหลือเกินน่ะ ความจริงท่านทำของท่านมานานแล้ว ไม่รู้ว่าทำต่างหาก การจะศึกษาในสมถวิปัสสนา ถ้าเข้าไม่ถึงพรหมวิหาร ๔ เสียตัวเดียว ไม่ต้องไปไหนกันละ อยู่นั่งหลับตาสักเท่าไร มันก็ไม่เกิดผล หากว่าท่านผู้ใด จิตของท่านตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ละอคติ ๔ อย่าง นี้ดีกว่า เอาความดีขึ้นต้น แค่ฌานสมาบัติ ถ้าใครทำเกิน ๑๕ วัน ซวยเต็มที่ แต่ความจริงอารมณ์ของพรหมวิหาร ๔ นี่ เป็นอารมณ์ที่เลี้ยงศีล ไม่ให้ศีลขาด ศีลจะอ้วน ก็เพราะกินพรหมวิหาร ๔ เป็นอาหาร และวิปัสสนาญาณจะแจ่มใส ก็เพราะกินพรหมวิหาร ๔ มีพรหมวิหาร ๔ เป็นอาหาร

    <DD>ถ้าคนใดทรงพรหมวิหาร ๔ อยู่เป็นปกติ ท่านผู้นั้น ก็ชื่อว่าทรงสมถวิปัสสนา เป็นการทรงตัวอยู่แล้ว มันอยู่ที่การปฏิบัติจริง ไม่ใช่มานั่งหลับตา นั่งหลับตา ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง แล้วก็มานั่งคุยกัน อันนั้นไม่ใช่สมถวิปัสสนา เขาเรียกว่าสมถาก ถากไปถากมา วิปัสสนาก็เป็นปัดไปปัดมา ไม่ได้ฟันต้นให้ขาด เพียงแต่ถาก ๆ ปัด ๆ แล้วจะได้ประโยชน์อะไร นี่เราพูดกันตามความเป็นจริง

    <DD>อย่างสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่ท่านบูชาพระ สวดมนต์ เจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ฯ ก็เหมือนกัน คนที่จะสวดมนต์นี่ ถ้าเขาเกลียดพระพุทธเจ้า เกลียดพระธรรม เกลียดพระสงฆ์ สวดมนต์ได้ไหม เรามานั่งคิดกันวิจารณ์กัน เป็นอันว่าสวดมนต์ไม่ได้เกลียด การที่สวดมนต์ได้ แสดงว่ามีความเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ และถ้าพระองค์ทรงศีลาจารวัตรเต็มที่ ทรงศีลบริสุทธิ์ แล้วเรา จะว่าเป็นอะไรเล่า ไปดูองค์ของพระโสดากับสกิทาคา .

    <DD>พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระโสดาบัน กับสกิทาคามี เป็นผู้ทรงอธิศีล คือมีศีลบริสุทธิ์ มีองค์คุณธรรมที่ทรงอยู่ จิตใจของพระโสดาบัน ก็มี ๑ เคารพ ในพระพุทธเจ้า ๒ เคารพในพระธรรม ๓ เคารพในพระสงฆ์ ๔ มีศีลห้า บริสุทธิ์ บริสุทธิ์จริง ๆ คือไม่ละเมิดศีลด้วยการจงใจ เผลอเดินไปเหยียบมด เหยียบปลวกตาย โดยไม่เจตนา ไม่เป็นไร

    <DD>แล้วก็มานั่งดูว่า สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ฯ ก็ดี ทั้ง ๒ พระองค์ท่านสวดมนต์ ภาวนา ไหว้พระ เจริญสมาธิ สวดมนต์เป็นสมาธิ ขณะสวดมนต์อยู่ จิตใจเป็นอุปจารสมาธิ พระองค์ทรงมีพระเมตตาปรานี มีข้อหนึ่ง ที่น่าสังเกต ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ทรงตรัส ห้ามบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย ไปขอของใช้ ของกินจากตระกูล ที่เป็นพระเสข

    <DD>พระเสข คือ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านพวกนี้ เป็นผู้มีจิตน้อมไปในกุศล มีพรหมวิหาร ๔ ถ้าไปขอท่าน ๆ ให้ ท่านมีความพอใจในการบริจาคทาน ดูตัวอย่าง นางวิสาขามหาอุบาสิกา พระ โสดาบัน ท่านอนาถบิณฑิกคหบดี พระโสดาบัน ท่านผู้นี้ ต่อมาเป็นพระอนาคามี ท่านที่เป็นพระโสดาบันทั้งหมดนี่ ส่วนมากใจท่านกว้างขวาง อยากจะสงเคราะห์คนที่มีความทุกข์ ให้มีความสุข ถ้ามีอะไรให้ได้ให้

    <DD>ตัวอย่าง อนาถบิณฑิก ตอนจนลงไปแสนที่จะจน แต่ทว่าตนเองต้องกินปลายข้าวกับน้ำผักดอง เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไป ก็นิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ ๕๐๐ ไป ฉันภัตตาหาร มีแค่ปลายข้าวกับน้ำผักดองเป็นอาหารเท่านั้น เห็นกำลังใจของท่านไหม

    <DD>ในขณะที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสวยพระกระยาหาร ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็กราบทูลองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่า ทานของข้าพระพุทธเจ้าเวลานี้ เศร้าหมองเสียแล้ว เดิมที องค์สมเด็จพระประทีปแก้วมา ข้าพระพุทธเจ้ามีอาหารเลิศถวาย เวลานี้จนลงไป มีแต่ปลายข้าวกับน้ำผักดอง

    <DD>พระพุทธเจ้าจึงทรงถามถึงเจตนาว่า เจตนาของเธอครบตามเดิมไหม ท่านบอกว่ากำลังใจครบพระพุทธเจ้าค่ะ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อนท่านมหาเศรษฐี ลูขังวาปณียตังวา ทรัพย์สินที่ให้ จะเป็นของดีก็ตาม ของประณีตก็ตาม ของเลวก็ตาม ถ้าเจตนา สมบูรณ์ ทานนั้นมีผลเลิศ

    <DD>นี่เป็นอันว่า ผู้ทรงคุณในความเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านพอใจในการสงเคราะห์บุคคลให้มีความสุข การให้ทาน ท่านจัดว่าเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน การเคารพในพระพุทธเจ้า เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน เคารพในพระธรรม เป็นธรรมานุสสติกรรมฐาน เคารพในพระสงฆ์เป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน มีศีลมั่นในศีล ศีลบริสุทธิ์เป็นศีลานุสสติกรรมฐาน มีเมตตา ความรัก มีกรุณา ความสงสาร เป็นพรหมวิหาร ๔ เป็นกรรมฐาน และปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติแต่ในความดี ละอายต่อความชั่ว เกรงกลัว ผลของความชั่วปฏิบัติ แต่ความดี เป็นเทวตานุสสติกรรมฐาน

    <DD>ฉะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชดำรัสตรัสว่า สมเด็จ พระบรมราชินีนาถก็ดี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ฯ ก็ดี ทรงกระทำอยู่แล้ว กระผมบอกว่า เขาทำอยู่แล้ว แต่เขาบอกว่าเขาไม่ได้ทำ อันนี้ อาตมาก็ขอรับรองว่าทั้ง ๒ พระองค์ทำแล้ว ในกรรมฐานที่อาตมาพูดมา เป็นอันว่า เรื่อง ภูพิงค์ราชนิเวศน์ เล่ากันจบไม่ได้

    <DD>เป็นอันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยในพระกรรมฐานมาก สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ฯ ทรงปฏิบัติในกรรมฐานเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ไม่ทรงทราบว่าทรงปฏิบัติ และหลังจากนั้น เวลา ๕ โมงเศษ สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรง เตือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึง ๔ วาระ อาตมาก็ขอถวายพระพรลา ก่อนจะมาสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณว่า ในตอนเช้าก่อนหลวงพ่อจะกลับ ขอนิมนต์ไปเที่ยวที่วิหารก่อน เพราะพระที่นั่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

    <DD>และตอนเช้า สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็ทรงให้คนจัดอาหารมาถวาย และเลี้ยงคนทุก ๆ คน พร้อมทั้งอาหารในระหว่างทาง การเดินทาง พระองค์ก็ทรงแจกมา ทุกคนใส่กล่องมา นี่เป็นอันว่า การที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นเจ้าภาพ อาราธนาอาตมาเข้าไปสู่ภูพิงค์ราชนิเวศน์

    <DD>วันนั้นถ้าจะถามว่า เรื่องอะไรที่คุยกันมาก ก็ต้องบอกว่าธรรมะอย่างเดียว ไม่มีอะไรเลย มีแต่ธรรมะทุกอย่าง พบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ไหน พระองค์ต้องทรงปรารภ เรื่องธรรมะปฏิบัติ ไม่ได้เคยเอาบ้านเอาเมืองเอา

    <DD>เรื่องของชาวบ้าน ชาวเมืองที่ไหน มาว่า มานินทา มาตำหนิ ไม่มี พระองค์ไม่ทรงมีพระราชจริยาวัตรอย่างนี้ เที่ยวติคนโน้น ว่าคนนี้ คนนั้น ดีคนนี้ไม่ดี ไม่มี พระองค์ทรงมีพระราชหฤทัย เต็มเปี่ยมอยู่ในคุณธรรม อย่างนี้เรียกว่า ทรงทศพิธราชธรรม อย่าไปไล่เข้านะ ทศพิธราชธรรมมีอะไรบ้าง อาตมาไม่บอก เพราะไม่รู้ จำไม่ได้ ทำไมจึงจำไม่ได้ เพราะไม่จำเป็นจะต้องจำ ทำความดีแล้ว ก็แล้วกันไป มัวถือเถรตำราอยู่ก็เลยไม่ต้องได้อะไรกัน

    <DD>เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เรื่องภูพิงค์ราชนิเวศน์ ตอนเช้า อาตมาก็ไปชมวิหาร มีแดน สวยงาม เต็มไปด้วยดอกไม้ พระก็สวย วิหารก็สวย สระน้ำก็ใหญ่ คณะที่ไปก็พากันชื่นบาน เป็นอันว่า เรื่องภูพิงค์ราชนิเวศน์เขต พระราชฐานสำหรับตอนนี้ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ตอนหลัง ก็ฟังกันในเรื่องของดินแดนภายในพระบรมมหาราชวังต่อไป สำหรับวันนี้ขอ ลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน


    <CENTER>สวัสดี</CENTER></DD>
     

แชร์หน้านี้

Loading...