พระโพธิสัตว์กับพระอรหันต์

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 15 ธันวาคม 2010.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    นแวดวงของผู้ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา บางทีก็เกิดข้อสงสัยขึ้นว่าพระโพธิสัตว์กับพระอรหันต์ต่างกันอย่างไร และอุดมคติหรือเป้าหมายของการปฏิบัติธรรมนั้น ควรมุ่งไปที่การเป็นพระโพธิสัตว์หรือพระอรหันต์ หากจะพูดอย่างย่อๆ พระโพธิสัตว์ก็ได้แก่บุคคลที่ตั้งปณิธานจะบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อจะได้มีความสามารถเต็มที่ในการช่วยเหลือสรรพสัตว์ ให้พ้นจากห้วงน้ำแห่งความทุกข์ ส่วนพระอรหันต์ก็ได้แก่บุคคลที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า และสามารถกำจัดกิเลสอันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดใหม่ในสังสารวัฏได้หมดสิ้น ดังนั้นพระอรหันต์จึงเป็นผู้พ้นทุกข์อย่างสมบูรณ์ ไม่ต้องมาเกิดในสังสารวัฏอีก หลายคนมักจะคิดว่า พระพุทธศาสนามหายานเน้นที่การเป็นพระโพธิสัตว์ และพระพุทธศาสนาเถรวาทเน้นที่การเป็นพระอรหันต์ นั่นเป็นความจริงเพียงส่วนเดียว เพราะอุดมคติของการเป็นพระอรหันต์ คือผู้ที่กำจัดเชื้อของกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง ก็เป็นอุดมคติของมหายานด้วย และการตั้งปณิธานเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ ก็เป็นอุดมคติของเถรวาทด้วย ข้อแตกต่างที่มีก็เป็นเพียงการเน้นหนักที่ต่างกันเท่านั้น
    ข้อสงสัยอีกประการที่อาจเกิดขึ้นก็คือว่า ผู้ปฏิบัติธรรมเถรวาทมักสงสัยว่า พระโพธิสัตว์บรรลุธรรมขั้นใด เทียบระดับการบรรลุธรรมกับเถรวาทได้อย่างไร ผู้ที่คุ้นกับเถรวาทอยู่ก็คงพอจะทราบว่า ลำดับขั้นของการบรรลุธรรมมีสี่ขั้นด้วยกัน เริ่มตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ผู้ที่เข้าถึงการเป็นพระโสดาบันจะเรียกว่า “ผู้ถึงกระแส” หมายความว่า เป็นการก้าวล่วงจะสถานะของการเป็นปุถุชน มาเป็นอริยบุคคล (โปรดสังเกตว่าการเป็นอริยบุคคล หรือ “อารยบุคคล” ในภาษาสันสกฤต มิได้เกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดแบบในศาสนาฮินดู แต่อยู่ที่การปฏิบัติล้วนๆ) ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญที่สุด เพราะเป็นการแบ่งระหว่างผู้ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ กับผู้ที่มุ่งตรงต่อการหลุดพ้น ซึ่งก็เป็นอุดมคติหรือเป็นเป้าหมายของพระพุทธศาสนา
    ทีนี้ พระโพธิสัตว์อยู่ในลำดับขั้นใดในสี่ลำดับนี้ คัมภีร์พระพุทธศาสนามหายานกล่าวไว้ว่า มีภูมิของการเป็นพระโพธิสัตว์อยู่สิบภูมิ รายละเอียดเรื่องนี้มีมาก แต่สรุปคร่าวๆก็คือว่า พระโพธิสัตว์ที่บรรลุถึงภูมิที่หนึ่งนั้น ซึ่งเรียกว่า “ประมุทิตาภูมิ” จะเป็นผู้ที่จะไม่มีวันไปเกิดในอบายภูมิอีก และเป็นผู้ที่ละสังโยชน์สามประการได้หมดสิ้น ได้แก่สักกายทิฏฐิ (การเห็นว่าร่างกายเป็นตัวตน) สีลัพพตปรามาส (การเห็นว่าการปฏิบัติให้เคร่งไว้เท่านั้นเป็นทางหลุดพ้น) และ วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) นั่นคือ พระโพธิสัตว์ในภูมิที่หนึ่งนั้นเทียบได้กับพระโสดาบัน (ซึ่งละสังโยชน์สามประการได้เช่นเดียวกัน) ลักษณะสำคัญที่เหมือนกันคือ พระโพธิสัตว์ในภูมิที่หนึ่งนั้น เรียกได้ว่าเข้าสู่กระแสไหลตรงมุ่งไปสู่การบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระ พุทธเจ้า ซึ่งในแง่ของการเข้ากระแสนี้ ก็เป็นเช่นเดียวกับการบรรลุเป็นพระโสดาบัน กล่าวคือพระโสดาบันเป็นผู้ที่เที่ยงตรงต่อการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ดังนั้น การก้าวข้ามที่สำคัญที่สุด จึงเป็นการก้าวจากระดับของคนธรรมดาๆ เข้าสู่การเป็นพระโพธิสัตว์ในภูมิที่หนึ่ง หรือเข้าสู่การเป็นพระโสดาบัน
    คัมภีร์มหายานยังกล่าวต่อไปอีกว่า พระโพธิสัตว์ในภูมิที่แปด (เรียกว่า “อจละ” หรือ “ไม่เคลื่อนไหว”) เป็นผู้ที่หลุดพ้นจากกิเลสต่างๆโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็เทียบได้กับพระอรหันต์นั่นเอง แต่จุดที่แตกต่างกันอย่างสำคัญก็คือว่า พระโพธิสัตว์นั้นได้ตั้งปณิธานคือโพธิจิตเอาไว้ ว่าจะไม่บรรลุพระนิพพานจนกว่าจะได้ช่วยเหลือสัตว์โลกต่างๆให้ได้หมดสิ้น ดังนั้น พระโพธิสัตว์ในภูมิที่แปดจึงเลือกที่จะไม่เข้าพระนิพพาน แต่มีความสามารถที่จะเลือกที่เกิดได้ เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้ได้มากที่สุด ภูมิที่เหลืออีกสองภูมิก็เป็นเรื่องของความสามารถของพระโพธิสัตว์ที่จะช่วย เหลือสรรพสัตว์ และแบ่งภาคตนเองออกได้เป็นจำนวนมากมายมหาศาล เพื่อช่วยสัตว์โลกในรูปแบบต่างๆ พระโพธิสัตว์องค์สำคัญๆ เช่น พระอวโลกิเตศวร พระมัญชุศรี พระแม่ตารา ต่างก็เป็นพระโพธิสัตว์ในภูมิที่สิบทั้งสิ้น
    ิอย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการปฏิบัติของเราเอง เราต้องเริ่มจากศีล แล้วก็สมาธิ แล้วก็พัฒนาปัญญา เรื่องที่พูดมาเหล่านี้เป็นเพียงลำดับขั้นของการบรรุลธรรมตามพระคัมภีร์ ซึ่งจะไม่มีความหมายอะไรเลย หากเราไม่ปฏิบัติอย่างเข้มข้นจริงจัง ด้วยจิตที่มุ่งมั่นจะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ หรือเพื่อหลุดพ้นเข้าพระนิพพาน หากเราตั้งปณิธานแบบเถรวาท


    [​IMG]


    พระโพธิสัตว์ หมายถึง บุคคลที่บำเพ็ญบารมีหรือกระทำความดีต่างๆ เพื่อให้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล มีพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมากตามความเชื่อในฝ่ายเถรวาท และมหายาน แต่มีความแตกต่างกันไป

    ประเภทของพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้า คือผู้ที่เป็นศาสดาเอกในพระพุทธศาสนา ประเภทของพระพุทธเจ้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ<sup id="cite_ref-.E0.B8.9B.E0.B8.8F.E0.B8.B4.E0.B8.9B.E0.B8.97.E0.B8.B2.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.9E.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B9.82.E0.B8.9E.E0.B8.98.E0.B8.B4.E0.B8.AA.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.A7.E0.B9.8C_1-0" class="reference">[2]</sup>
    <dl><dt>1. ปัญญาธิกะพุทธเจ้า</dt><dd>คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 7 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 9 อสงไขย รวมเป็น 16 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตะโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน</dd></dl> <dl><dt>2. ศรัทธาธิกะพุทธเจ้า</dt><dd>คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 14 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 18 อสงไขย รวมเป็น 32 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตะโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน</dd></dl> <dl><dt>3. วิริยาธิกะพุทธเจ้า</dt><dd>คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 28 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 36 อสงไขย รวมเป็น 64 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตะโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน</dd></dl> ซึ่งพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสร้างบารมีมาทาง ปัญญาพุทธเจ้า



    ประเภทของพระโพธิสัตว์

    <dl><dd>พระโพธิสัตว์ คือบุคคลที่ปรารถนาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ<sup id="cite_ref-.E0.B8.9B.E0.B8.8F.E0.B8.B4.E0.B8.9B.E0.B8.97.E0.B8.B2.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.9E.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B9.82.E0.B8.9E.E0.B8.98.E0.B8.B4.E0.B8.AA.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.A7.E0.B9.8C_1-1" class="reference">[2]</sup></dd></dl> <dl><dt>1. อนิตยโพธิสัตว์</dt><dd>พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย เรียกว่า อนิตยโพธิสัตว์ ความหมายคือยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาจจะเลิกล้มความปรารถนาเมื่อไรก็ได้</dd></dl> <dl><dt>2. นิตยโพธิสัตว์</dt><dd>พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว เรียกว่า นิตยโพธิสัตว์ ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงค์ฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยียมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้ แม้จะทุกข์ท้อแท้ จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์</dd></dl> <dl><dt>อสงไขย และ กัป</dt></dl> จากบทความข้างบน ผู้อ่านคงได้อ่านคำว่า อสงไขย และ กัป มาแล้ว ผู้เขียนจะอธิบายสั้นๆ ให้ทราบดังนี้

    • กัป เป็นหน่วยวัดเวลา ในเชิงประมาณ คือ เมื่อโลกมนุษย์ปราฏกขึ้นหรือบังเกิดขึ้น จนพังสูญหายไป 1 ครั้งเรียกว่า 1 กัป
    • อสงไขย เป็นหน่วยวัดเวลา ที่มากกว่ากัป คือจำนวณกัป ที่นับไม่ถ้วน เท่ากับ 1 อสงไขย
      • ตามที่เคยคำนวณมา 1 อสงไขย เท่ากับ จำนวน กัป ที่เอาเลข 1 ตามด้วย เลข 0 ถึง 140 ตัว
    • สูญกัป หมายถึงกัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น

    บารมี ๓o ทัศ

    บารมี หมายถึง การกระทำที่ประเสริฐ การกระทำที่ประกอบด้วยกุศลเจตนาคุณงามความดีที่ควรกระทำ คุณงามความดีที่ได้บำเพ็ญมา คุณสมบัติที่ทำให้ยิ่งใหญ่ เป็นธรรมส่วนหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งช่วย เหลือเกื้อกูลให้ผู้ปฏิบัติได้ถึงซึ่งโพธิญาณ
    บารมีที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ คือ<sup id="cite_ref-.E0.B8.9E.E0.B8.B8.E0.B8.97.E0.B8.98.E0.B8.9B.E0.B8.8F.E0.B8.B4.E0.B8.A1.E0.B8.B2.E0.B8.9D.E0.B9.88.E0.B8.B2.E0.B8.A2.E0.B8.A1.E0.B8.AB.E0.B8.B2.E0.B8.A2.E0.B8.B2.E0.B8.99_0-1" class="reference">[1]</sup>

    • 1. ทานบารมี หมายถึง การสละออก การให้ต่างๆ โดยมีเจตนาช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสำคัญ
    • 2. ศีลบารมี หมายถึง การรักษาศีลให้เป็นปกติ หากเป็นฆราวาสหมายถึงการถือศีล 5 หากเป็นนักบวชคือการถือศีล 8 ขึ้นไป
    • 3. เนกขัมมะบารมี หมายถึง การออกบวช หากฆราวาสถือศีล ๘ ก็นับเป็นเนกขัมบารมีได้เช่นกัน เพราะเป็นการกระทำเพื่อเว้นจากกามสุข
    • 4. ปัญญาบารมี หมายถึง การกระทำเพื่อเพิ่มพูนปัญญา ปัญญาแบ่งออกเป็นปัญญาทางโลกและทางธรรม เนื่องจากพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาตคตกาล จึงต้องมีปัญญาความรู้มาก เพื่อจะได้สั่งสอนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้ การเรียนของพระโพธิสัตว์จึงต้องเรียนมากกว่าผู้อื่น
    • 5. วิริยะบารมี หมายถึง การกระทำที่ใช้ความเพียรเป็นที่ตั้ง การมีวิริยะอาจไม่ได้หมายถึงการเพียรจนกระทั่งตัวตายในครั้งเดียว แต่หมายถึงมีความพยายามทำอยู่เรื่อยๆ ทำไปทีละน้อยตามกำลังจนกว่าจะสำเร็จ
    สัมมัปปธานหรือความเพียรที่ถูกต้อง มี 4 อย่างคือ
    <dl><dd>o สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น</dd><dd>o ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว</dd><dd>o ภาวนาปธาน เพียรทำบุญให้เกิดขึ้น</dd><dd>o อนุรักขนาปธาน เพียรรักษาการทำบุญไว้ต่อเนื่อง</dd></dl>
    • 6. ขันติบารมี หมายถึง การอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ
    • 7. สัจจะบารมี หมายถึง การรักษาคำพูด ไม่กลับกลอก แม้ว่าจะต้องสละบางสิ่งเพื่อรักษาคำพูดไว้
    • 8. อธิษฐานบารมี หมายถึง การตั้งมั่นในความปรารถนา ตั้งจิตมั่นต่อคำอธิษฐาน
    • 9. เมตตาบารมี หมายถึง การมีความปรารถดี มีความรักต่อสัตว์ทั้งหลายในโลกอย่างเท่าเทียม ประดุจมารดารักบุตร เมตตาแตกต่างจากราคะตรงที่ ราคะอาจรักเฉพาะตัวหรือพวกพ้อง แต่เมตตาเป็นรักที่ไม่แบ่งแยก
    • 10. อุเบกขาบารมี หมายถึง การวางเฉย มีใจเป็นกลาง การปล่อยวางในสิ่งที่ผิดพลาด ในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ วางเฉยในความทุกข์ของตน และสัตว์ที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากมีปัญญาเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรมของตน ไม่มีใครได้รับความยากลำบากโดยไม่มีเหตุปัจจัย ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมที่เคยทำมาทั้งสิ้น
    ซึ่งในแต่ละบารมีนั้นแบ่งย่อยเป็น 3 ขั้น ได้แก่

    1. บารมีขั้นต้น คือ เนื่องด้วยวัตถุ และทรัพย์นอกกาย เช่น การสละทรัพย์ช่วยผู้อื่น จัดเป็น ทานบารมี, รักษาศีลแม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง จัดเป็น ศีลบารมี, หรือ ยอมถือบวชโดยไม่อาลัยในทรัพย์สิน จัดเป็น เนกขัมบารมี เป็นต้น
    2. บารมีขั้นกลางหรืออุปบารมี คือ เนื่องด้วยเลือดเนื้อ อวัยวะ เช่น การสละเลือดเนื้ออวัยวะแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานอุปบารมี, การใช้ปัญญารักษาอวัยวะเลือดเนื้อของผู้อื่น จัดเป็น ปัญญาอุปบารมี ,การมีความเพียรจนไม่อาลัยในเลือดเนื้อหรืออวัยวะ จัดเป็น วิริยะอุปบารมี, มีเมตตาต่อผู้ที่จะมาทำร้ายเลือดเนื้ออวัยวะของตน จัดเป็น เมตตาอุปบารมี, หรือ มีความอดทนอดกลั้นต่อผู้ที่จะมาทำลายอวัยวะของตน จัดเป็น ขันติอุปบารมี เป็นต้น
    3. บารมีขั้นสูงสุดหรือปรมัตถบารมี คือ เนื้องด้วยชีวิต เช่น การสละชีวิตเป็นทานแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานปรมัตถบารมี , ยอมสละแม้ชีวิตเพื่อจะรักษาคำพูด จัดเป็น สัจจปรมัตถบารมี, ตั้งจิตไม่หวั่นไหวต่อคำอธิษฐานแม้จะต้องเสียชีวิต จัดเป็น อธิษฐานปรมัตถบารมี, หรือ วางเฉยต่อผู้ที่จะมาทำร้ายชีวิตของตน จัดเป็น อุเบกขาปรมัตถบารมี เป็นต้น
    ดังนั้น จึงรวมเป็นบารมี 30 ทัศ
    <dl><dt>อานิสงส์ บารมี 30 ทัศ ของพระนิตยะโพธิสัตว์</dt></dl> <dl><dd>พระนิตยะโพธิสัตว์เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก จะมีอานิสงค์ 18 อย่างอยู่ตลอด จนได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่<sup id="cite_ref-.E0.B8.9B.E0.B8.8F.E0.B8.B4.E0.B8.9B.E0.B8.97.E0.B8.B2.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.9E.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B9.82.E0.B8.9E.E0.B8.98.E0.B8.B4.E0.B8.AA.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.A7.E0.B9.8C_1-2" class="reference">[2]</sup></dd></dl>
    1. เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดเป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด
    2. ไม่เป็นหูหนวกแต่กำเนิด
    3. ไม่เป็นคนบ้า
    4. ไม่เป็นคนใบ้
    5. ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย
    6. ไม่เกิดในมิลักขประเทศคือประเทศป่าเถื่อน
    7. ไม่เกิดในท้องนางทาสี (แต่เกิดในฐานะคนจันทาลได้ ดัง พระโพธิสัตว์ มาตังคะฤๅษี ท่านเป็นบุตรคนจันทาล แต่ไม่ได้เป็นนางทาสี)
    8. ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ
    9. ไม่เป็นสตรีเพศ
    10. ไม่ทำอนันตริยกรรม
    11. ไม่เป็นโรคเรื้อน
    12. เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดียรฉาน มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และ ไม่ใหญ่ไปกว่าช้าง
    13. ไม่เกิดใน ขุปปิปาสิกเปรต นิชฌานตัณหิกเปรต และกาลกัญจิกาสุรกาย
    14. ไม่เกิดในอเวจีนรก และโลกันตนรก
    15. ไม่เกิดเป็นเทวดาใน กามาพจรสวรรค์ ไม่เกิดเป็นเทวดาที่นับเข้าในเทวดาพวกหมู่มาร
    16. เมื่อเกิดเป็นรูปพรหม จะไม่เกิดใน ปัญจสุทธวาสพรหมโลก(พรหมชั้นอนาคามี) และอสัญญสัตตาภูมิพรหม( มีแต่รูปอย่างเดียว)
    17. ไม่เกิดในอรูปพรหมโลก
    18. ไม่เกิดในจักรวาลอื่น
    <dl><dd>อานิสงส์พิเศษอีกอย่างหนึ่งของนิยตโพธิสัตว์ คือ การทำอธิมุตตกาลกริยา คือเมื่อท่านเกิดเป็นเทวดาหรือพระพรหม เกิดความเบื่อหน่าย ในการเสวยสุขนั้น ปรารถนาที่จะสร้างบารมีในโลกมนุษย์ ท่านก็สามารถทำการอธิมุตต คืออธิษฐานให้จุติ(ตายจากการเป็นเทพ)มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ทันที ได้โดยง่าย ซึ่งเหล่าเทพเทวดาอื่นๆ ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้</dd></dl>
    ธรรมสโมธาน 8 ประการ

    <dl><dd>สำหรับพระโพธิสัตว์ ที่เป็น อนิตยโพธิสัตว์ แต่สร้างบารมี 30 ทัศ และมีธรรมสโมธาน 8 ประการสมบูรณ์ แล้ว จะได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก ต่อหน้าพระพักตร์พุทธเจ้า โดยจะได้รับพุทธพยากรณ์โดยนัยว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงนามว่าอย่างนั้น ในกัปอันเป็นอนาคตที่เท่านั้น และก็จะกลายเป็น นิตยโพธิสัตว์ ทันที คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้ ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน <sup id="cite_ref-.E0.B8.9B.E0.B8.8F.E0.B8.B4.E0.B8.9B.E0.B8.97.E0.B8.B2.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.9E.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B9.82.E0.B8.9E.E0.B8.98.E0.B8.B4.E0.B8.AA.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.A7.E0.B9.8C_1-3" class="reference">[2]</sup></dd></dl> <dl><dt>ธรรมสโมธาน 8 ประการคือ</dt></dl>
    1. ได้เกิดเป็นมนุษย์
    2. เป็นบุรุษเพศ ไม่เป็นกระเทย
    3. มีอุปนิสสัยปัจจัยแห่งพระอรหันต์รุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดาน(ถ้าเกิดเปลี่ยนใจก็จะเป็นพระอรหันต์ทันที)
    4. ต้องพบพระพุทธเจ้าขณะมีพระชนม์ชีพอยู่ และได้สร้างกองบุญกุศลต่อหน้าพระพักตร์
    5. ต้องเป็นบรรพชิต หรือต้องเป็น โยคี ฤๅษี ดาบส หรือปริพาชก ที่มีลัทธิเชื่อว่า บุญมี บาปมี ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ต้องไม่เป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน
    6. ต้องมีอภิญญาและฌานสมาบัติ อันเชี่ยวชาญ
    7. เคยให้ชีวิตของตนเป็นทาน เพื่อสัมโพธิญาณมาก่อนในอดีดชาติ
    8. ต้องมี ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง


    <dl><dd>กล่าวถึงพุทธภูมิธรรมของนิยตะโพธิสัตว์ ในการเพิ่มพูนบารมีให้มากยิ่งขึ้น มีน้ำใจประกอบไปด้วย พุทธภูมิธรรม 4 ประการ คือ</dd></dl>
    1. อุสสาโห คือประกอบไปด้วยพระอุตสาหะ มีความเพียรอันสลักติดแน่นในจิตใจอย่างมั่นคง
    2. อุมัตโต คือประกอบด้วยปัญญา มีปัญญาเชียวชาญเฉียบคม
    3. อวัตถานัง คือมีพระทัยอธิษฐานอันมั่นคง มิได้หวั่นไหวคลอนแคลน
    4. หิตจริยา คือประกอบไปด้วยพระเมตตา เจริญจิตอยู่ด้วยพรหมวิหารเป็นปกติ


    <dl><dd>อัธยาศัย ที่ทำให้พระโพธิญานของนิตยโพธิสัตว์แก่กล้ายิ่งขึ้น มี 6 ประการ</dd></dl>
    1. เนกขัม พอใจในการรักษาศีล การบวช หรือบรรพชา
    2. วิเวก พอใจอยู่ในที่สงบ
    3. อโลภ พอใจในการบริจาคทาน
    4. อโทส พอใจในความไม่โกรธ เจริญเมตตา
    5. อโมห พอใจในการพิจารณาคุณและโทษ เจริญปัญญา
    6. นิพพาน พอใจที่ยกตนออกจากภพ ไม่ยินดีในการเวียนว่ายตายเกิด ประสงค์นิพพานเป็นอย่างยิ่ง
    จริยธรรม 10 ประการ

    <dl><dt>จริยธรรม 10 ประการของพระโพธิสัตว์ ประกอบด้วย<sup id="cite_ref-.E0.B8.9E.E0.B8.B8.E0.B8.97.E0.B8.98.E0.B8.9B.E0.B8.8F.E0.B8.B4.E0.B8.A1.E0.B8.B2.E0.B8.9D.E0.B9.88.E0.B8.B2.E0.B8.A2.E0.B8.A1.E0.B8.AB.E0.B8.B2.E0.B8.A2.E0.B8.B2.E0.B8.99_0-2" class="reference">[1]</sup></dt></dl>
    1. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า ร่างกายจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
    2. พระโพธิสัตว์ ครองชีพโดยไม่ปรารถนาว่าจะไม่มีภัยอันตราย
    3. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีอุปสรรคในการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์
    4. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีมารขัดขวางการปฏิบัติภารกิจ
    5. พระโพธิสัตว์ ถือว่าทำงานให้นานที่สุด โดยไม่ปรารถนาจะให้สำเร็จผลเร็ว
    6. พระโพธิสัตว์ คบเพื่อน โดยไม่ปรารถนาจะได้รับผลประโยชน์จากเพื่อน
    7. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาว่า จะให้คนอื่นต้องตามใจตนเองเสมอไปทุกอย่าง
    8. พระโพธิสัตว์ ทำความดีกับคนอื่น โดยไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทน
    9. พระโพธิสัตว์ เห็นลาภแล้ว ไม่ปรารถนาว่าจะได้รับ
    10. พระโพธิสัตว์ เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี ติเตียนนินทาแล้ว ไม่ปรารถนาที่จะตอบโต้
    คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์

    <dl><dd>คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์มีอยู่ 3 ข้อใหญ่ <sup id="cite_ref-.E0.B8.9E.E0.B8.B8.E0.B8.97.E0.B8.98.E0.B8.9B.E0.B8.8F.E0.B8.B4.E0.B8.A1.E0.B8.B2.E0.B8.9D.E0.B9.88.E0.B8.B2.E0.B8.A2.E0.B8.A1.E0.B8.AB.E0.B8.B2.E0.B8.A2.E0.B8.B2.E0.B8.99_0-3" class="reference">[1]</sup></dd></dl>
    1. มหาปรัชญาหรือปัญญาอันยิ่งใหญ่ หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส
    2. มหากรุณา หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างปราศจากขอบเขต พร้อมที่จะสละตนเองเพื่อช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์
    3. มหาอุปาย หมายความว่าพระโพธิสัตว์จะต้องมีวิธีการชาญฉลาดในการแนะนำ อบรมสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงสัจธรรม
    คุณสมบัติทั้งสามข้อนี้ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ข้อแรกเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม ส่วนข้อหลัง 2 ข้อเป็นการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น
    มหาปณิธาน 4

    <dl><dd>มหาปณิธาน 4 ประกอบด้วย <sup id="cite_ref-.E0.B8.9E.E0.B8.B8.E0.B8.97.E0.B8.98.E0.B8.9B.E0.B8.8F.E0.B8.B4.E0.B8.A1.E0.B8.B2.E0.B8.9D.E0.B9.88.E0.B8.B2.E0.B8.A2.E0.B8.A1.E0.B8.AB.E0.B8.B2.E0.B8.A2.E0.B8.B2.E0.B8.99_0-4" class="reference">[1]</sup></dd></dl>
    1. เราจะละกิเลสให้หมด
    2. เราจะศึกษาสัจธรรมให้จบ
    3. เราจะช่วยโปรดสัตว์ทั้งหลายให้สิ้น
    4. เราจะบรรลุพระพุทธภูมิอันประเสริฐสุด

    ที่มาวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    พระโพธิสัตว์กับพระอรหันต์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ธันวาคม 2010
  2. เทพสำราญ

    เทพสำราญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    308
    ค่าพลัง:
    +888
    ..โมทนาต่อธรรมของพระโพธิสัตย์กวนอิมผู้เปี่ยมด้วยมหาเมตตาครับ .
    เทพสำราญ อินทรปัญญาสกุล ศิษย์มหาเทวเทพ
     
  3. เทพสำราญ

    เทพสำราญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    308
    ค่าพลัง:
    +888
    มหาปณิธาน มี 2 แบบ
    คือ ต่อตนเองในการบำเพ็ญ
    และต่อผู้อื่นในการ ช่วยเหลือเสียสละ
    ซึ่ง แยกเป็นข้อย่อยออกไปอีก
    เช่น ผู้บำเพ็ญในทางโลกที่จะเข้าทางธรรม
    และผู้บำเพ็ญทางธรรมที่จะมาปรกโปรดในทางโลก
    ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ ฐานบุญพลังกุศลในกาลก่อนด้วยเป็นสำคัญ

    โมทนาคับ ..........
     

แชร์หน้านี้

Loading...