พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ......................"แม่นางนะจา..ท่านกับเซจีรอเมือง มีสุขกลับขึ้นมาบน

    ดอยแห่งนี้..เหมือนกับว่าเมือง มีสุขยังไม่ตาย..มันเป็นไปได้อย่างไร..ที่คนจมน้ำและหายเข้าไปใน

    แสงสว่างไปตั้ง 80 ปี...เมื่อรวมกับอายุของเขาเข้าแล้ว..เขาจะต้องมีอายุกว่า 100 ปีที่เดียว..ทำไม

    เขาจะยังมีชีวิตอยู่อีก..ขนาดแม่นางนะจายังตายจากโลกนี้ไปแล้ว...แล้วทำไมเมือง มีสุขจึงยังคง

    อยู่...ผมไม่เข้าใจเลย".................นะจาสาวน้อยยิ้มให้กับกาเผือก

    ซึ่งรอยยิ้มนี้..มันช่างมีเสน่ห์ยิ่งนักสำหรับผู้ชายอย่างเขาที่ชื่นชอบไปกับความสวยงาม...อันเป็น

    อุปนิสัยของคนเกิดวันศุกร์...ดาวศุกร์ คือ ดวงดาวแห่งความรักและความสวยงาม....แม้นางจะชราภาพ

    และตายไปแล้ว...แต่เมื่อนางกลับคืนร่างไปยังอดีต..ที่สวยงามน่ารักของนาง.....มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้น

    มากและสุขใจเมื่อได้คุยกับนาง.....นะจาพูดตอบกาเผือกกลับไป "ข้า..ไม่พบเห็นวิญญาณของเมือง

    มีสุขเลย...เมื่อข้าตายจากโลกนี้แล้ว....วิญญาณของข้าเร่ร่อนตามหาเขา...โดยเฉพาะในจุดที่เขาจม

    น้ำและหายไปในแสงสว่างนั้น......แต่ข้าไม่พบเห็นวิญญาณของเขาแสดงว่า

    เมือง มีสุขยังไม่ตาย....แม่น้ำน่านเป็นผู้ซ่อนตัวเขาไว้...เซจีหลานข้านางหยั่งรู้ว่าเขาหายไปในแสง

    สว่างอันเป็นมิติของแม่น้ำน่าน...และ..ข้าเคยเห็นลางเลือนว่าภายใต้แม่น้ำน่านมีมิติซ่อนเร้นอยู่...เมือง

    มีสุขกำลังนอนหลับไหลอยู่..ร่างกายของเขาไม่แก่เฒ่าชรา.ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ...บาดแผลบน

    ร่างกายของเขาหายไปหมดสิ้น...แม่น้ำน่านได้ช่วยชีวิตเขาไว้และรักษาเขาจนหาย...แต่แม่น้ำน่านไม่

    ยอมปล่อยเขาออกมาจากมิติเร้นลับแห่งนั้น.....ข้าได้บอกเรื่องราวกับเซจี..นางได้ใช้จิตของนางหยั่ง

    ดู..นางบอกแก่ข้า่ว่า..แม่น้ำน่านจะเก็บเมือง มีสุขไว้จนกว่าเขาจะพ้นภัย."

    ...............กาเผือกรู้สึกทึ้งและดีใจอย่างประหลาดที่รู้ว่า"บุรุษผู้มีความผูกพัน

    กับตนสมัยที่เป็นนกกาเผือกยังมีชีวิตอยู่....และเขาคิดว่า..เขาอาจจะพบกับเมือง มีสุขอีกครั้งหนึ่งเมื่อ

    แม่น้ำน่านปล่อยเขาออกมาจากในมิตินั้น"....กาเผือกยิ้มให้กับนะจา..อย่างเป็นมิตรและนึกรักนางขึ้น

    อย่างประหลาด..แต่ความรักของเขาคงไม่ใช่ความรักเสน่หาอย่า่งชายหญิงหรอกนะ........

    นะจารับรู้ในรอยยิ้มของเขาพลางเอ่ยขึ้นว่า........."ข้าอยู่ห้องนี้กับ

    เจ้ามาตลอดตั้งแต่เซจีจับเจ้าขังไว้...เพราะข้าอยู่ในห้องนี้มานานเหลือเกิน....ข้าต้องพบเมือง มีสุขให้

    ได้"................กาเผือกเอ่ยรับรู้"ข้าเชื่อมั่นในความรักของแม่นางนะ

    จาที่มีต่อเมือง มีสุข..ว่าเป็นรักที่บริสุทธิ์และงดงาม...แต่กับเซจีหลานของแม่นางข้ามิอาจล่วงรู้ได้"

    ............."เซจีหลานข้า...นางรักเมือง มีสุขอย่างทุ่มเทและจริงจัง....นาง

    ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับชายใด...นางฝังใจตามคำบอกเล่าของข้า..เกี่ยวกับเรื่องราวของเมือง มีสุข...นาง

    จินตนาการนึกภาพของเขาได้อยู่ตลอดเวลา....แต่นางต้องการพบเมือง มีสุขที่มีตัวตนขึ้นมาจากแม่น้ำ

    น่านเช่นเดียวกับข้า.......เซจีนางเห็นวิญญาณของข้า..และนางเห็นนกกาเผือกบินอยู่เหนือศีรษะของ

    เจ้า....นางจึงรู้ว่าเจ้าคือนกกาเผือกที่กลับชาติมาเกิด....นางดีใจทีึ่พบเจ้า"

    ................."แต่ผมไม่ดีใจกับการกระทำของเซจีหรอกนะ...นางใช้อำนาจขู่

    บังคับ...ซึ่งไม่มีชายใดชอบการกระทำเช่นนี้.." กาเผือกตัดพ้อเซจีให้แก่นะจา

    ฟัง.................."เจ้านกกาเผือก..เจ้าคิดผิดแล้ว...ความจริงเซจี..น่าจะเป็นคน

    ที่มีจิตใจอ่อนโยนมากกว่า...เพราะความอ่อนโยนและของนางเป็นปมด้อยที่ไม่อาจป้องกันตนเอง

    ได้....นางจึงต้องใช้กิริยาบางอย่างเพื่อปกปิดปมด้อยนี้ไว้.....เพราะอะไรหรือเพราะยามนาง

    จินตนาการถึงเมือง มีสุข...นางจะเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและน่ารักมาก....เพราะเจ้าไม่ใช่เมือง มี

    สุข...เจ้าจึงถูกปฏิบัติเหมือนกับคนทั่วไป".....................กาเผือกพยัก

    หน้าอย่างรับรู้ว่า..เขาไม่มีวันที่เซจีจะพูดดีกับเขาแน่นอน...และอาจจะไม่มีทางปล่อยตัวเขาออก

    ไป...........
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2012
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    .....................กาเผือกนั่งสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง..เขาคิดถึงโนรี นรา..คน

    ที่เมือง มีสุขมอบความรักให้แก่นาง....และเขาอยากรู้ความรู้สึกของนะจา..และการรับรู้ของ

    นาง....เพราะตอนที่นางได้เล่าเรื่อง..บางอย่างนางเว้นชื่อที่จะเอ่ยไว้...ซึ่งกาเผือกคาดเดาว่านางต้องรู้

    ว่า คือ "โนรี..ที่เมืองมีสุขสั่งให้นกกาเผือกนำขวดแก้วไปให้แก่นาง"......กาเผือกจึงตัดสินใจถามเรื่อง

    นี้ที่เขาคาใจอยู่ต่อนะจา...."แม่นางนะจา....ก่อนที่ผมจะถามอะไรบางอย่างแก่แม่นาง..ผมขออภัย

    ด้วย..หากคำถามของผมทำให้แม่นางนะจาไม่สบายใจ".................นะ

    จายิ้มให้กับเขาอย่างเปิดทางให้กาเผือกถาม...พลางเอ่ยขึ้น "เจ้าจงถามมาเถิด..เพื่อคำตอบของข้าจะ

    ทำให้เจ้าตัดสินใจหรือเดินทางไปอย่างถูกที่".............กาเผือกได้โอกาสจึง

    เอ่ยถามนางทันที.."แม่นางนะจา..รู้จักกับผู้หญิงที่ชื่อโนรี นราไหม"

    ....................คำถามของกาเผือกทำให้วิญญาณของนะจายืนสงบนิ่ง

    และค่อย ๆนั่งลงต่อหน้ากาเผือก..พลางเอ่ยขึ้น "โนรี นรา นางเป็นผู้หญิงงามแห่งแดนใต้..ที่มากับ

    เสียงขลุ่ยที่นางเป่าได้ไพเราะจับใจ...ผู้ใดก็ตามได้ยินเสียงขลุ่ยที่นางเป่าจะต้องหยุดนิ่งสงบ

    เคลิบเคลิ้มเมื่อฟังเสียงขลุ่ยนั้น....เสียงขลุ่ยของนาง..ที่ใครได้ยินมันเหมือนเสียงขลุ่ยที่ถูกเป่าออกมา

    ประสานเสียงกันหลายเลา....นางเป็นคนนิ่งสงบเยือกเย็น..นางงามอย่างไม่มีที่ติ"

    ...............กาเผือกฟังวิญญาณของนะจาเอ่ยเขารู้สึกว่า...เหมือนกับวิญญาณ

    ของนะจาเคยพบกับโนรี นรามาก่อน...เขาจึงแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง...ประกอบกับ..เขาคิดว่าวิญญาณ

    นะจาน่าจะรู้ว่า"เมือง มีสุขนั้นรักโนรี นรา"..ซึ่งวิญญาณของนะจาน่าจะรังเกลียดนาง...ไม่อยากเอ่ยถึง

    และอยากได้ยิน....แต่การณ์กลับเป็นนางเอ่ยชมหญิงงามแห่งแดนใต้ที่ชื่อ"โนรี นรา"อย่างวาจาสนิท

    ใจ....เขาจึงถามต่อ"แล้วนางสำคัญอย่างไรต่อเมือง มีสุข.หรือแม่นาง....นางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่"

    ......................วิญญาณของนะจาจ้องมองกาเผือกและตอบคำถามของ

    เขาอย่างไม่สดุด.."โนรี นรา คือ คนที่ เมือง มีสุข รักอย่างสุดชีวิต...นางมีชีวิตอยู่แต่เหมือนกับนาง

    ตาย"...............คำพูดของวิญญาณนะจาทำให้กาเผือกฉงน..นะจารู้จริง ๆว่า

    โนรีคือคนที่เมือง มีสุขรัก...แต่คำตอบที่ว่า "นางมีชิวิตอยู่แต่เหมือนกับนางตาย"..กาเผือกไม่เข้าใจ

    เลย........เขาจึงรีบถามกลับในข้อสงสัยหลังเป็นอันดับแรก...."ผมไม่เข้าใจความหมายว่า นางมีชีวิต

    อยู่แต่เหมือนตายมันคืออะไรครับ..แม่นางนะจา"

    ......................วิญญาณนะจาจ้องมองกาเผือกและเอ่ยขึ้น...."ข้าพบ

    วิญญาณของนางอยู่ที่หาดทรายน้ำลึกภายใต้ลำน้ำตาปี"..................กาเผือก

    ได้ฟังถึงกับตาลุกวาวแล้วอุทานขึ้น "หา..แสดงว่านางตายแล้วหรือ".....กาเผือกเริ่มคิดถึงหนังสือของ

    เมือง มีสุขในประโยคที่ว่า"ข้าขอฝากขวดแก้วใบนี้ไว้กับแม่เพื่อนำสู่โนรี นรา....หญิงอันเป็นที่รักแห่ง

    ข้า...แต่หากนางเกิดเป็นดั่งทรายน้ำลึกที่นางปรารถนา..แม่ได้โปรดรับนางไว้เพื่อ

    อยู่กับข้าตลอดกาล"พร้อมกับคำพูดของนะจาที่เอ่ยว่า "ข้าพบวิญญาณของนางอยู่ที่หาดทรายน้ำลึก

    ภายใต้ลำน้ำตาปี" มันช่างสอดคล้องกันจริง....วิญญาณของนางไปทำอะไรอยู่ภายที่ทรายน้ำลึกภาย

    ใต้ลำน้ำตาปี...และเมือง มีสุขรู้ได้อย่างไรว่านางจะเกิดเป็นทรายน้ำลึก....กาเผือกเริ่มสับสนจับตนชน

    ปลายไม่ถูกได้แต่อ้าปากค้างมองไปที่ดวงตาของวิญญาณนะจาอย่างอยากขอคำอธิบายในสิ่งที่นะจา

    รู้......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2012
  3. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    -และยังมีอดีตชาติของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ผมจำชื่อไม่ได้ และจดจำชื่อ

    พระพุทธเจ้าที่แสดงธรรมแก่พระองค์ไม่ได้ เหตุการณ์นั้นพระองค์ได้ใช้ผ้า

    หลายพับพันห่อหุ้มตัวเองแล้วราดน้ำมันจุดไฟเผาตนเอง เพื่อเป็นพุทธบูชาต่อ

    หน้าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจนไฟลุกโชติช่วงสว่างไสวเป็นเวลานาน และ

    พระพุทธเจ้าที่จุดไฟเผาตนเองเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาจะบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้า

    ที่มีรัศมีสว่างไสวแผ่ไปไกลยิ่งกว่า"พระโคดมพุทธเจ้า"สมัยเราอีก
    =====

    นี่แหละ หลวงปู่ทวดครับ นโมโพธิสัตว์โต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
    ผู้ที่จะได้มาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ที่ทรงมีพระนามว่า พระรามพุทธเจ้า ครับ
     
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ...........อนุโมทนาด้วยครับ..ที่ได้ให้ความรู้เพิ่มเติมไว้ในกระทู้นี้.....ขอบพระคุณอย่างสูงครับ....
    ...........ขอให้ท่านเจริญยิ่ง ๆขึ้นไปทั้งทางโลกในทางที่ชอบและทางธรรมจนบรรลุถึงธรรมขั้นสูงครับ............
     
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    .....................เรื่องของ"ทรายน้ำลึกของโนรี นรา นั้น" มีปรากฏอยู่ในรายละเอียดในตอน

    ที่ 86 อยู่อย่างทรายน้ำลึกที่ไม่มีใครเหยียบย่ำ..ในหน้าที่34..เรื่องมีอยู่ว่า..ตอนที่โนรี โมลี พี่

    เณร และภูผา..เดินทางไปเพื่อนำดินจากลำน้ำตาปีขึ้นมาเพื่อให้โมลีใช้ปั้นหุ่น...และโนรีกับโมลีได้เดิน

    เหยียบย่ำไปบนผืนหาดทราย..โนรีเห็นพื้นทรายมีรอยถูกเหยียบย่ำ..และต่อมาก็ได้ปรากฏลมแรงได้พัด

    พาทรายลอยขึ้นไปในอากาศ...นางจึงอยากรู้ว่า...แล้วทรายน้ำลึกที่อยู่ภายใต้ลำน้ำตาปี..เป็นอยู่

    เช่นไร...นางจึงดำน้ำว่ายไปที่ผืนทรายน้ำลึกที่สงบนิ่งสวยงาม...และคิดว่า ทำไมทรายน้ำลึก..จึงยัง

    คงอยู่อย่างสงบและสวยงามโดยไม่ถูกสิ่งใดรบกวน...ในที่สุดนางก็คิดได้ว่า.."เพราะทรายน้ำลึกมีลำ

    น้ำตาปีค่อยปกป้องคุ้มครอง..ไม่ให้ใครลงมาเหยียบย่ำ..ไม่ให้ลมมาพัดพาทรายไป..."..นางชื่นชอบที่

    จะอยู่อย่างทรายน้ำลึก...ในที่สุดนางก็บรรจงเป่าขลุ่ยฟ้าผ่าภายใต้น้ำลึกนั้น...เป็นขณะที่พี่เณรและ

    ภูผา..ดำแหวกว่ายเข้าไปหานาง..แต่ก็ไปไม่ถึง..ด้วยมีกระแสน้ำวนหมุนรอบนางอยู่...เสียงขลุ่ยที่นาง

    เป่า..ได้ยินถึงหูของเณรด้วยสื่อแห่งน้ำ..และเสียงขุล่ยนั้นยังระเบิดขึ้นไปบนน้ำให้โมลีได้ยินเสียงเพลง

    ขลุ่ยนั้น....และต่อมาในที่สุดนางก็พบปรัชญาใต้พื้นน้ำที่ทรายน้ำลึกนั้นว่า..

    ...................."ทรายที่ออกมาอยู่ภายนอกในสถานที่ไร้สิ่งคุ้มครอง...ย่อมถูกเหยียบย่ำ

    รบกวนและถูกสายลมพัดพาไป..เหมือนกับจิตใจที่ส่งออกมาสู่ภายนอก..ย่อมถูกความเป็นไป

    ของโลกเหยียบย่ำและพัดพาไป.....

    ......................ทรายที่อยู่ใต้น้ำลึกอยู่ในสถานที่ที่มีน้ำคุ้มครองอยู่..ย่อมเป็นอยู่อย่างสงบ

    สุขปราศจากการเหยียบย่ำและรบกวนหรือถูกพัดพาไป...เหมือนกับจิตใจที่อยู่ภายในกระแส

    แห่งธรรม ...ย่อมได้รับความคุ้มครองจากธรรมให้สงบสุขอยู่ภายในจิตนั้น"

    .....................กาเผือกเอ่ยถามด้วยความฉงนและสงสัยในทันที

    ............................."วิญญาณของโนรีนางทำอะไรอยู่ที่หาดทรายน้ำลึกใต้ลำน้ำตาปี"

    ............................."นางกำลังเป่าขลุ่ยของนางอยู่..เสียงขลุ่ยที่นางเป่าได้ยินทั้งในน้ำ..และยัง

    ดังผ่านสายน้ำขึ้นมาบนอากาศและพื้นดิน....ขลุ่ยของนางช่างมหัศจรรย์และแปลกประหลาดมาก"

    วิญญาณของนะจาตอบกาเผือก...คำพูดของนางยิ่งปลุกเร้าความอยากรู้ในเรื่องลึกลับเช่นนี้มาก..

    ......................กาเผือกจึงถามนางต่อ

    .............................."แล้วแม่นางนะจาได้พูดคุยไต่ถามนางบ้างไหม.."

    .............................."ไม่มีวิญญาณตนไหน เข้าไปใกล้นางได้...แต่ดูอากัปกริยาของนาง..ได้

    จากเพลงขลุ่ยที่ฟังแล้วช่างสลดหดหู่หัวใจ" นะจาเอ่ยตอบ

    .............................."แสดงว่านาง..ก็คงกำลังรอ..เมือง มีสุข อยู่เช่น

    กัน".............................."ข้าเองก็คิดเช่นนั้น...และข้าก็เข้าใจนาง..ผู้รอคอย..ที่เป็นเยี่ยงข้า

    และเซจี"

    .............................."นางตายแล้วใช่ไหม" กาเผือกถามคำถามที่ตนเองคำนึงถึงมาตลอด

    .............................."ข้าไม่แน่ใจหรอก..เจ้านกกาเผือก...เพราะข้าได้เห็นศพของนางแล้ว..

    ศพของนางยังคงสภาพเป็นหญิงสาวที่งดงามนอนสงบนิ่งอยู่...ไม่มีการเน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา"

    ..............................."ศพของนางถูกฝังอยู่ที่ไหนหรือ....ผมอยากรู้เพราะผมจะต้องตามหา

    หลุมศพของนางให้พบ...เพื่อนำขวดแก้วไปให้นาง"

    ..............................."มันคือวัดร้างแห่งหนึ่ง ชื่อ วัดโนรีนราราม..อยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี..

    ศพของนางแปลกมาก...ยามใดที่แสงจันทร์เพ็ญส่องไปที่รอยแตกของผืนดินเข้าไปในโลงศพ

    กระทบร่างของนาง....ร่างของนางจะมีแสงสว่างปรากฏขึ้นเป็นสีเหลืองทองของจันทร์เพ็ญ

    กระจายออกมาจากร่างของนาง....ข้าดูนางแล้วนางช่างสวยงามราวเทพธิดาทีเดียว"

    .....................คำบอกของนะจาต่อกาเผือกเขาถึงกับตื่นเต้น..และคำนึงถึงคำพูดของ

    คุณยายมั่นที่บอกว่า...ในคืนหนึ่งบนยอดเขาสูงมีเสียงเพลงขลุ่ยล่องลอยมาในหมู่บ้านและ

    ปรากฏแสงประหลาดสีเหลืองทองดุจจันทร์เพ็ญขึ้นบนยอดเขาสูง...กาเผือกคิดว่าหรือแสงนี้ก็

    คือแสงจาก"ผู้หญิงแห่งแดนใต้ที่ชื่อ โนรี นรา...แล้วนางทำไมจึงเป็นเช่นนั้น..นางคือใคร"

    ......................สำหรับเรื่องแสงประหลาดบนยอดเขาสูง..มีรายละเอียดอยู่ในตอนที่ 104

    เรื่องเล่าของแสงประหลาดบนยอดเขาสูง..ในหน้าที่ 42 ครับ...........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2012
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    .....................กาเผือกและวิญญาณของนะจาไม่อาจรู้ได้ว่า"โนรี นรา..นั้น คือ ผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญ"...ทั้งกาเผือกและวิญญาณของนะจาต่างก็ไม่เข้าใจเช่นกัน..ว่า"ทำไมยามที่แสงของจันทร์

    เพ็ญส่องถูกร่างของนางตอนเป็นคน..และส่องไปที่ศพของนาง..ร่างหรือศพของนางจึงมีแสง

    สว่างสีเหลืองทองดุจจันทร์เพ็ญ..ส่องประกายออกมาจากร่างของนาง"

    ....................ผู้ที่เข้าใจเรื่องของ"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญที่ดีที่สุดก็เห็นจะมีแต่..พ่อเฒ่ามูซา

    แห่งมลายู..ซึ่งเป็นอาจารย์สอนโนรีและโมลีให้เป่าขลุ่ย..และเป็นผู้ที่มอบขลุ่ยฟ้าผ่าให้แก่

    โนรี"..เพราะมูซารู้เรื่องของผู้หญิงจันทร์เพ็ญในตำนานดี..และรู้ว่าจะมีผู้หญิงจันทร์เพ็ญมาเกิดที่เหนือ

    ดินแดนมลายู..เขาจึงตามหาผู้หญิงจันทร์เพ็ญมาโดยตลอดว่า"นางคือใคร"..ในที่สุดเขาก็พบ

    ว่า"โนรี นรา คือ ผู้หญิงจันทร์เพ็ญที่เขาตามหา"..ผู้หญิงที่บังเกิดมาจากจันทร์เพ็ญ..นางจะ

    เป็นผู้หญิงที่สวยงามผุดผ่องดุจจันทร์เพ็ญ..และสงบเยือกเย็น....ผู้ใดได้เห็นนางก็จะเกิดความสุข

    ขึ้นภายในจิตใจ..และอยากที่จะมองนางตลอดไป......เรื่องผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..หากท่านผู้มีเกียรติ

    ที่เพิ่งเข้ามาติดตามอ่านอาจไม่เข้าใจ...แต่สามารถทำความเข้าใจเรื่องราวนี้ได้ในหน้าที่ 28 , 29

    และ 30 ซึ่งได้กล่าวเรื่องราวนี้ไว้ในเบื้องต้น....

    .....................นอกจากพ่อเฒ่ามูซาที่รู้จักนางดีแล้ว...ก็จะมีพี่เณร และ ภูผา..ที่ได้ประสบพบ

    เหตุการณ์ประหลาดเกี่ยวกับตัวนาง..จนได้รู้ว่านางคือ "ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"..แต่ ณ ปี พ.ศ.2546 นี้..

    บุคคลที่เอ่ยถึงไม่ว่าจะเป็น พ่อเฒ่ามูซา พี่เณร และ ภูผา ได้ลาจากโลกไปแล้วทั้งหมด......

    .....................กาเผือกสะกดความรู้สึกตื่นเต้นในสิ่งลึกลับที่วิญญาณของนะจาบอก..เขารีบถาม

    วิญญาณของนะจาต่อทันที

    ............................."แม่นางนะจา..นอกจากท่านพบเห็นแสงประหลาดของโนรีแล้ว...ท่านพบ

    เห็นสิ่งใดภายในโลงศพนั้นอีกหรือครับ"

    ............................."ภายในโลงศพของนาง..มีภาพวาดที่ปรากฎบทกลอนหรือบทเพลงอยู่

    ในนั้น..มันเป็นภาพวาดและบทเพลงขลุ่ยที่โมลีน้องสาวของนางใส่ไว้ในโลงศพนั้น...และยังมี

    ขลุ่ยสีดำวางไว้ในมือของนาง" นะจาเอ่ยต่อ

    ............................."ภาพวาดอีกแล้วหรือ" กาเผือกทวนคำและคิดว่า..เขาติดตามเรื่องราว

    ต่าง ๆของ เมือง มีสุข..และเรื่องของนะจา..ส่วนใหญ่จะมีภาพวาดปริศนาให้ตามคิดตามอ่านอยู่

    เสมอ...และเขาก็สามารถคาดเดาเรื่องราวได้หลายอย่าง...ดูท่าทางกาเผือกจะถูกโฉลกกับภาพ

    วาดเสียจริง...

    ............................."ถูกแล้วล่ะ เจ้านกกาเผือก..และเจ้าอาจเป็นผู้โชคดี..ที่จะเรียนรู้

    เพลงขลุ่ยที่อยู่ในภาพวาดในโลงศพนั้น...เมื่อเจ้าสามารถเรียนเพลงขลุ่ยในภาพวาดในโลง

    ศพนั้นได้..เจ้าอาจเป็นนักเป่าขลุ่ยที่หาใครเทียบได้ทีเดียว..แต่อย่าได้หยิบสิ่งใดในโลงศพ

    ออกมาเป็นเด็ดขาด..เพราะสิ่งนั้นคือความทรงจำของนาง...ข้าเชื่อว่า..นางต้องฟื้นคืน

    ชีพกลับมาดังเดิม..และสิ่งที่อยู่ในโลงศพนั้น..จะเป็นความทรงจำที่ช่วยเหลือนาง..ให้อยู่รอด

    ในโลกแห่งอนาคต...เช่นเดียวกับ..เมือง มีสุข" นะจาชี้แนะกาเผือก

    .....................กาเผือกรู้สึกทึ้งและซาบซึ้งในวิญญาณของนะจา..ที่คำพูดของนางช่างมีไมตรีต่อ

    โนรีเหลือเกิน...เหมือนนางไม่เคยเกลียดชังโนรีมาก่อนเลย..แต่ถ้าเป็นเซจีล่ะ..เขาเดาไม่ออก

    เหมือนกัน........

    .....................กาเผือกเอ่ยต่อ

    ............................."ผมฟังแม่นางนะจา..แล้วผมรู้สึกเหมือนว่า โนรีนางยังไม่ตาย....วิญญาณ

    ของนางอยู่ที่ทรายน้ำลึกใต้ลำน้ำตาปี...แต่ศพของนางอยู่ที่วัดโนรีนราราม...ในลักษณะที่ไม่เน่า

    เปื่อย...แสดงว่า ถ้าวิญญาณของนางกลับเข้าร่างนางจะฟื้นคืนชีพกลับมาเช่นนั้นใช่ไหมครับ"

    .............................."ถูกแล้วล่ะ เจ้านกกาเผือก..ข้าคิดว่า..บางทีวิญญาณของนางอาจ

    จะรู้เหมือนกันว่า..เมือง มีสุข..อยู่ที่ไหน..นางจึงรอคอยเขากลับมา"

    .............................."สถานที่ฝังศพของโนรี..ที่วัดโนรีมีอะไรเป็นที่สังเกตให้ผมได้รู้หรือ..เมื่อ

    ผมไปถึงที่นั้น."

    ..............................."สถานที่นั้นอยู่ที่ป่าช้า..เหนือหลุมศพของนาง..จะมีต้นแอปเปิ้ลสอง

    ต้นต้นหนึ่งมีผลสีเหลืองทอง..อีกต้นหนึ่งผลสีแดง..ต้นแอปเปิ้ลทั้งสองต้นจะมีกิ่งก้านกอดกัน

    เหมือนหนุ่มสาวกอดกัน..และมีต้นกล้วยไม้อีกต้นหนึ่ง.พันเกี่ยวรัดต้นแอปเปิ้ลที่มีผลเป็นสี

    เหลืองทอง.."

    ..............................."ทำไมต้นแอปเปิ้ลต้นหนึ่งจึงมีผลสีเหลืองทอง..ไม่เหมือนต้นแอปเปิ้ล

    ธรรมดา...แถมยังมีต้นกล้วยไม้พันรัดไว้อีก" กาเผือกถามด้วยแปลกใจในพฤติกรรมของต้นไม้

    ................................"ต้นแอปเปิ้ลคู่นั้น..เป็นต้นแอปเปิ้ลคู่แรกบนแผ่นดินสยามหรือ

    แผ่นดินไทย...ทั้งต้นแอปเปิ้ลและกล้วยไม้มันมีประวัติของมันที่เกี่ยวกับโนรีอยู่..เจ้าไปที่นั้นก็

    จะรู้เอง" นะจาอธิบาย...(ซึ่งเรื่องราวของต้นไม้ที่เอ่ยถึงนี้จะมีเรื่องเล่าอยู่ในหน้าที่ 32..

    สำหรับท่านผู้มีเกียรติที่ยังไม่รู้เรื่องราวย้อนกลับไปเปิดอ่านดูได้นะครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2012
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................ต้นแอปเปิ้ลต้นที่มีสีเหลืองทองดุจจันทร์เพ็ญ..เกิดมาจากเมล็ดแอปเปิ้ลที่อยู่ใน

    แก้วที่โนรีเก็บไว้..และในคืนจันทร์เพ็ญ..นางได้นำแก้วนั้นมาวางให้สัมผัสกับแสงของดวงจันทร์เพ็ญ..

    และเป็นแสงเรืองรองดุจจันทร์เพ็ญที่ออกมาจากร่างของโนรีเมื่อร่างของนางสัมผัสกับแสงจันทร์เพ็ญ..

    ที่สาดส่องไปที่เมล็ดแอปเปิ้ลภายในแก้วนั้นด้วย..และนางได้อธิษฐานอ้อนวอนต่อเมล็ดแอปเปิ้ลนั้นให้

    เกิดมาเพื่อนาง..โดยนางบอกว่าไม่มีสิ่งใดที่จะให้เมล็ดแอปเปิ้ลนอกจาก..ความรักในใจนาง..แสง

    จันทร์เพ็ญจากตัวนาง..และเสียงขลุ่ยที่นางจะเป่าให้ฟัง...นางต้องการให้ผู้คนรู้ว่า"ต้นไม้ก็มีจิตและ

    วิญญาณเช่นกัน"........และเมื่อนางเป่าเพลงขลุ่ยพร้อมกับแสงจันทร์เพ็ญจากตัวนางและความรักที่

    นางส่งไปที่เมล็ดแอปเปิ้ล....ก็ได้เกิดปรากฏการณ์อัศจรรย์ขึ้นที่เมล็ดแอปเปิ้ลเมล็ดหนึ่ง..ที่มัน

    เคลื่อนตัวขยับหมุนวนรอบภายในแก้วนั้น..และค่อย ๆลอยขึ้น ๆ เหนือแก้วใบนั้น..พร้อมกับ

    หมุนอยู่กับที่ท่ามกลางอากาศเหนือแก้ว...เปลือกเมล็ดสีดำค่อย ๆปริออกและแยกจากกัน...

    โดยรอยแยกนั้นได้เกิดเป็นใบไม้อ่อน ๆสีขาวแกมเขียวผุดขึ้นมา..พร้อมกับลำต้นเล็ก ๆยาว

    ราวหนึ่งนิ้ว..และต้นนั้นก็หมุนวนไปมา...โนรีเห็นปรากฏการณ์ที่อยู่ต่อหน้านาง..นางตื้นเต้น

    ดีใจเป็นที่สุด..แต่ก็ยังคงเป่าขลุ่ยต่อไป...ซึ่งต้นแอปเปิ้ลน้อยเหมือนกับจะรับรู้ในเสียงขลุ่ย

    นั้น..ได้หมุนวนไปตามทำนองของเสียงขลุ่ย....และเมื่อเสียงขลุ่ยจบลงต้นแอปเปิ้ลก็ลอยมา

    บนฝ่ามือของโนรี..พร้อมกับรอยยิ้มอันแสนน่ารักของนางที่รองรับมันด้วยความ

    ยินดี.............

    ....................ส่วนต้นแอปเปิ้ลผลสีแดงอีกต้นหนึ่งนั้น..ตี๋เล็กได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเมืองจีน..

    ที่ตำบลไซท้อกุ้ย แขวงเมืองซัวไซ..เขากับอาเจ็ก..ได้ไปที่หุบเขาที่มีต้นแอปเปิ้ลขึ้นอยู่และได้

    พยายาม"ตอนกิ่ง"แอปเปิ้ล..เพื่อนำมาบนแผ่นดินสยาม..แต่การตอนกิ่งไม่เป็นผล.....เขาจึงรู้สึก

    เสียใจ...และก่อนกลับแผ่นดินสยาม....อาเจ็ก..ได้นำต้นแอปเปิ้ลต้นเล็กใส่กระถาง...ใส่ถุงมาให้เขา

    เปิดดู..เขารู้สึกดีใจมาก...และรู้ความจริงว่า..อาเจ็กได้เดินทางไปที่หุบเขานั้นและได้ค้นหา..ผล

    แอปเปิ้ลที่ล่วงหล่นและมีต้นงอกขึ้นจนพบและนำมาให้ตี๋เล็ก....ตี๋เล็กถึงกับดีใจและโผกอดอาเจ็กของ

    ตนพร้อมกับร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งและความรักในตัวอาเจ็ก......และตี๋เล็กก็นำต้นแอปเปิ้ลต้นนั้น

    กลับมาบนแผ่นดินสยาม......

    .....................ทั้งโนรีและตี๋เล็กรู้ว่า..ต้นแอปเปิ้ลต้องการแร่ธาตุกำมะถันและพบว่าที่ฮวง

    จุ้ยหลุมศพที่ฝังชาวจีนที่วัดโนรี..มีแร่ธาตุดังกล่าว...เขาทั้งสองจึงนำมันไปปลูก...ขณะที่นำ

    ต้นแอปเปิ้ลของโนรีลงหลุม..ตี๋เล็กได้เอาต้นแอปเปิ้ลของตนวางไว้ที่ในหลุมข้างต้นแอปเปิ้ล

    ของโนรีและพูดว่า "อั้วไม่อาจอยู่ดูแลลื้อได้ตลอดไป..แต่ขอให้ต้นแอปเปิ้ลของอั้วเป็นตัวแทน

    ของใจอั้ว..ให้มันอยู่เพื่อรักและดูแลต้นแอปเปิ้ลของลื้อตลอดไปเถิด"...ซึ่งโนรีก็เพิ่งรับรู้ว่าแท้

    จริงแล้วตี๋เล็กนั้นแอบรักโนรีอยู่..แต่ไม่ได้บอกรักตรง ๆ..แต่ใช้คำพูดให้ต้นแอปเปิ้ลของตน

    บอกรักต้นแอปเปิ้ลของโนรี...แต่เพียงแค่นี้หนุ่มสาวย่อมรู้ความหมายดีว่า"มันคือการบอกรัก

    ทางอ้อม"

    .....................ส่วนต้นกล้วยไม้นั้น..คือ"ต้นกล้วยไม้พันธุ์แคทรียา"..ราชีนีกล้วยไม้...ซึ่ง

    มันถูกตั้งชื่อครั้งแรกโดยโนรี..ก่อนที่มันจะมีชื่อตามต่างชาติว่า"แคทรียา"....โดยโนรีตั้งชื่อ

    ว่า "เณรีนรา"..อันเป็นการผสมคำว่า "เณร" กับ "โนรี" และ"โมลี"..และ "นรา"...มันมีความ

    หมายของคำที่เป็นพี่น้องสกุลเดียวกัน...โดยกล้วยไม้ต้นนี้เณรปีนขึ้นไปเก็บบนต้นไม้ใหญ่

    ระหว่างเดินทางรอนแรมมากับ..ลุงสี ภูผากับพวก..เพื่อนำไม้มาสร้างศาลวัดโนรี...แล้วเขานำ

    มาให้โนรีกับโมลี...ซึ่งหลังจากโนรีตายไป...โมลีได้นำกล้วยไม้"เณรีนรา"มาเกาะไว้กับ"ต้น

    แอปเปิ้ลของโนรี".....และทั้งต้นแอปเปิ้ลสองต้นรวมกล้วยไม้เณรีนรา..ก็ได้แสดงความรักต่อ

    กันด้วยการพันเกี่ยวกอดกัน..เป็นที่ชื่นชมกันต่อมาของคนที่มาดู..ตามที่ได้ปรากฏในตอนนำ

    เรื่อง..อนุสรณ์ความทรงจำของฉันเพื่อเธอ..ในหน้าที่ 28..ครับ....
     
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ............................"ถ้าผมไปที่วัดโนรีดังกล่าว..ผมจะทราบความเป็นมาของต้นแอปเปิ้ลสอง

    ต้นและต้นกล้วยไม้เช่นนั้นหรือ...แล้วมีสิ่งใดอีกที่อยู่ที่หลุมศพนั้นครับ..แม่นางนะจา" กาเผือกถามนะ

    จาต่ออย่างใจจรดจ่อ

    ............................"ที่หลุมศพของนาง..จะมีรูปปั้นของนางนั่งเป่าขลุ่ยอยู่..โดยน้องสาว

    ของนางเป็นคนปั้นหุ่นนี้ขึ้น...เป็นรูปปั้นที่สวยงามมาก..ใต้รูปปั้นนั้นมีตัวหนังสือเขียนถึงบท

    เพลงที่นางแต่งขึ้น...เมื่อเจ้าไปที่นั้นเจ้าจะรู้ความเองเจ้านกกาเผือก" นะจาตอบ

    ............................"แล้วมีสิ่งใดอีกหรือครับ..แม่นางนะจา"

    ............................"ภาพถ่ายของนางที่ติดไว้ที่หน้าหลุมศพ..พร้อมกับบทเพลงที่อ่านแล้ว..

    ลึกซึ้งกินใจ..เป็นความเศร้าสลดที่อยู่ภายในใจของนาง..เพื่อ เมือง มีสุข..."

    .....................กาเผือกเขาอยากที่จะไปสถานที่แห่งนั้นโดยเร็วพลัน..แต่เขามีเรื่องมาก

    มายที่ยังทำไม่เสร็จสิ้นที่เมืองน่านแห่งนี้...
     
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    .....................กาเผือกพอรับรู้ได้จากคำบอกเล่าของวิญญาณนะจาว่า..หากเขาเดินทางไป

    ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี..เขาจะต้องไปที่ใดบ้าง......กาเผือกนึกถึงเมือง มีสุข..ที่วิญญาณของนะจาเล่า

    ให้ฟังว่า"เมือง มีสุข..ยังคงหลับสนิทอยู่ภายใต้แม่น้ำน่านนั้น..ซึ่งเซจีบอกกับวิญญาณนะจาว่า..มันคือ

    มิติอีกมิติหนึ่งภายใต้ลำน้ำน่านนั้น...แต่วิญญาณของแม่นางนะจาเป็นผู้ที่ได้พบเห็น..เมือง มีสุข.หลับ

    สนิทอยู่..เขาสงสัยเหลือเกินว่า.."วิญญาณของนางแลเห็นมิตินั้นภายในลำน้ำน่านได้เช่นไร"....ด้วย

    ความอยากรู้เขาจึงเอ่ยถามเรื่องนี้อย่างละเอียดกับวิญญาณของนะจา

    ............................"ที่แม่นางนะจา..ได้พบเห็น เมือง มีสุข หลับสนิทอยู่ภายใต้ลำนำน่าน..ซึ่ง

    เป็นอีกมิติหนึ่ง...แม่นางนะจาไปพบเห็นได้เช่นไร...หรือครับ"

    ............................"ความรักแท้ไงเจ้านกน้อย..จิตวิญญาณของแม่น้ำน่านเป็นผู้ปกป้อง

    ดูแล เมือง มีสุข ลูกของนางด้วยความรักแท้..ข้าเป็นผู้อ้อนวอนแม่น้ำน่าน..เพื่อให้นางเปิด

    ทางให้ข้าได้เห็นเขา...ด้วยความรักของข้าที่นางได้รับรู้อยู่..นางจึงได้ให้ข้าได้เห็นมิตินั้น..แต่

    ข้าไม่อาจเข้าไปในนั้นเพื่อสัมผัสกับร่างของเขาได้...ข้าจึงรู้ว่า เมือง มีสุข ยังไม่ตาย"

    วิญญาณของนะจาอธิบาย

    ............................"แล้วหากผม..จะดำลงไปในลำน้ำน่านและขอให้แม่น้ำน่านเปิดทางให้ผมได้

    พบกับเมือง มีสุข...นางจะเปิดมิติดังกล่าวให้ผมพบเห็นไหม...ผมอยากไปพบเขาก่อนที่จะไปยังแดน

    ใต้เพื่อตามหาโนรี" กาเผือกถามพร้อมบอกจุดประสงค์

    ............................"เจ้านกน้อยเจ้าคงลืมไปแล้ว..ว่าเจ้านั้นมีสัญญากับจิตวิญญาณของ

    แม่น้ำน่านอยู่...เจ้ากับแม่น้ำน่านเป็นผู้ที่ร่วมกันรักษาขวดแก้วซีกนั้นมาโดยตลอด...และแม่

    น้ำน่านก็บอกปริศนาให้แก่เจ้ามาโดยตลอดจนเจ้าตามมาถึงเมืองน่านแห่งนี้...ถ้าเจ้าอธิษฐาน

    บอกนาง...นางต้องให้เจ้าพบเมือง มีสุข อย่างแน่นอน...เพียงแต่ว่า..เมือง มีสุข คงต้อง

    หลับไหลไปในมิติแห่งนั้นจนกว่าจะถึงวาระที่เขาจะออกมาอีกครั้งหนึ่ง" นะจาเอ่ยตอบ

    .....................กาเผือกรู้สึกยินดีที่ได้ฟังคำตอบดังกล่าว...เขาจึงบอกกับวิญญาณของนะจาในสิ่ง

    ที่เขาคิด....

    ............................"หากผมไปจากดอยแห่งนี้...สิ่งแรกที่ผมจะทำคือ ไปที่แม่น้ำน่านจุดที่

    เมือง มีสุขจมน้ำ..และอธิษฐานต่อแม่น้ำน่านให้เปิดทางให้ผม..แล้วผมจะดำไปค้นหาเมือง มี

    สุข...เสร็จแล้ว..ผมจะเดินทางขึ้นไปค้นหาขวดแก้วบนเขาที่จุดจันทร์เสี้ยวแยกจากกัน...และ

    จะไปแดนใต้เพื่อหาโนรี นรา"

    ............................"ข้าขอให้เจ้าสมหวังและประสบความสำเร็จในสิ่งที่เจ้าคิด..." นะจาะเอ่ยให้

    พร

    ............................"แต่ผมจะหนีพ้นจากเซจีได้เช่นไร" กาเผือกกังวล

    ............................"เซจี..นางเปลี่ยนอารมณ์ไปตามจินตนาการภายในจิตใจของนาง......นาง

    เห็นข้า..ในขณะที่คนอื่นไม่เห็น...นางพูดกับข้า..ในขณะที่คนอื่นไม่รับรู้...เมื่อมีโอกาสข้าจะบอกนาง

    ให้ปล่อยเจ้าไปเอง" วิญญาณนะจาให้ความหวัง

    ............................"แล้วเมื่อไร..นางจึงจะปล่อยข้าออกไป"

    ............................"หากนางอารมณ์ดีขึ้น...เจ้าอาจได้ออกไปจากที่นี่โดยเร็ว"

    ............................"แล้วพรรคพวกของผม..กำลังทำอะไรอยู่"

    ............................"พวกเขาเตรียมการณ์จะมาช่วยเจ้าออกไป..ในไม่ช้านี้"

    ....................กาเผือกรับฟังด้วยความสุขใจ...ในขณะที่วิญญาณของนะจาลุกขึ้น..แล้วเดิน

    หายออกไปจากห้องนั้น...ปล่อยให้กาเผือกอยู่คนเดียว...เขาจึงตะโกนเรียกนางอย่างดัง

    ............................."แม่นางนะจา รอผมก่อน"

    .....................ในที่สุดกาเผือกก็ตื่นขึ้นจากการหลับ..และพบว่า..มีผ้าห่มผืนหนึ่งมาห่มที่

    ร่างเขาไว้..เขารู้สึกแปลกใจว่า..มันมาคุมร่างของเขาที่กำลังหนาวเหน็บได้อย่างไร...เขาจ้อง

    มองไปที่โลงศพของแม่เฒ่านะจาพร้อมกับทบทวนความฝัน...กาเผือกเห็นรอยล่วงหล่นของ

    ใบชาหอม..เป็นทางจากโลงศพมาอยู่ต่อหน้าเขา..ตรงที่วิญญาณนะจานั่งอยู่ในความฝันของ

    เขา...และทบทวนคำพูดของแม่นางนะจาที่ว่า "ข้าอยู่กับเจ้าในห้องนี้มาตลอดตั้งแต่เซจีขัง

    เจ้าไว้"....กาเผือกคิดว่า..วิญญาณของนะจาได้มาเข้าฝันและบอกสิ่งต่าง ๆให้กับเขาได้รับ

    รู้...ด้วยว่าเขาไม่มีสัมผัสที่ติดต่อกับนางได้เหมือนเซจี...นางจึงได้มาเข้าฝันเขาเพื่อบอกสิ่ง

    ต่าง ๆ......และจะต้องเป็นวิญญาณของนางที่มาห่มผ้าผืนนี้ให้แก่เขาเมื่อเห็นเขากำลังหนาว

    จัด.......

    .....................กาเผือกเชื่อว่า.."วิญญาณของนะจา..นั้นนางเป็นคนที่มีจิตใจดีงามและ

    ปรารถนาดีต่อเขา...และเขาเชื่อว่า..นางต้องช่วยให้เซจีปล่อยเขาออกไปอย่างแน่

    นอน"...............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • s_h03.jpg
      s_h03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60.5 KB
      เปิดดู:
      52
    • s_z003.jpg
      s_z003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.6 KB
      เปิดดู:
      56
    • Qki1A_397908-02.jpg
      Qki1A_397908-02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.3 KB
      เปิดดู:
      58
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2012
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ......ตอนที่ 115 เซจีในอ้อมกอดกาเผือก.....




    ....................กาเผือกนั่งคิดพิจารณาถึงแม่เฒ่านะจาและเซจี..เป็นเพราะเซจีนำเขามาขังไว้

    ในห้องนี้..เขาจึงได้สื่อติดต่อกับแม่เฒ่านะจาทางความฝัน...และได้รู้เรื่องราวต่าง ๆมากมาย..ทำให้

    เขาสามารถวางแผนกำหนดการกระทำของเขาต่อไปได้...เซจีนั้นนางพูดกับศพของแม่เฒ่านะจาได้..ก็

    คือนางพูดกับวิญญาณแม่เฒ่านะจาผู้รอคอยเมือง มีสุข....เมือง มีสุขยังไม่ตาย..แม่เฒ่านะจาและ

    เซจีรู้ดีมาตลอด..กาเผือกรู้สึกดีใจอย่างมาก...และเขาจะดำน้ำแหวกว่ายไปหาเมือง มีสุขให้

    ได้...ในส่วนของโนรีนั้น..กาเผือกรู้ชื่อวัดและป่าช้าที่ฝังศพของนางไว้..พร้อมกับจุดสังเกตุ

    หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นต้นแอปเปิ้ลสองต้นกับต้นกล้วยไม้...และยังมีรูปปั้นของนางพร้อมกับ

    ภาพถ่ายอีก...เขารู้จักหน้าตาของนางแล้วจากการวาดภาพตามคำบอกเล่าของคุณยาย

    มั่น....นอกจากนี้ยังรู้อีกว่า.."วิญญาณของโนรีนั้นสถิตอยู่ที่ทรายน้ำลึกภายใต้ลำน้ำตา

    ปี".....มันเป็นเรื่องแปลกมาก..ร่างของเมือง มีสุขก็อยู่ในมิติใต้น้ำ...ส่วนวิญญาณของโนรีก็

    อยู่ที่ทรายน้ำลึกใต้น้ำ....ดูท่าว่า"แม่น้ำ..แต่ละสายคงจะมีจิตวิญญาณที่ลึกลับซ่อนเร้นอยู่

    เป็นแน่แท้"..

    .....................แสงจากดวงตะวันยามเช้าในฤดูหนาวเริ่มสาดส่อง..เข้ามาผ่านรูและรอยแตกใน

    ห้อง...กาเผือกจึงรู้ว่ามันเช้าแล้ว..เขาเดินไปเอาน้ำในโอ่งเล็กมาล้างหน้าลูบหน้าลูบตา...และมายืน

    สงบนิ่งมองดูภาพวาดต่าง ๆของนะจาอีกครั้งหนึ่ง...เขาเก็บผ้าห่มมาพับไว้และวางไว้ที่ข้างโลงศพ...

    และมองดูไปในโลงศพอีกครั้งหนึ่ง...ร่างของศพแม่เฒ่านะจายังคงถูกหมกอยู่ใต้ใบชาหอม.....

    ....................กาเผือกได้ยินเสียงเดินหนัก ๆ ออกไปนอกบ้าน..เขาเข้าใจว่าเป็นนอซัน...เพราะดู

    ท่านอซันจะมีน้ำหนักมากกว่าเซจี...สักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเดินที่เขาเชื่อว่าเป็นเซจีเข้ามาที่ประตู

    ห้อง...เซจีพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนผิดกับเซจีที่เขาได้พบเจอและฟังคำบอกเล่าจากซูโอ๊ะ ทูเลย์ และนอ

    ซัน

    ............................"เจ้านกน้อย...เจ้าตื่นหรือยัง"

    ............................"ผมตื่นแล้วเซจี..เซจีจะปล่อยผมออกไปหรือ" กาเผือกถามหยั่งเชิง

    ............................"ถูกแล้วล่ะ..เจ้านกน้อย..แม่เฒ่าบอกข้าว่า..เจ้าบอกบางเรื่องแก่นาง...

    และนางได้ชี้แนะบางเรื่องให้เจ้าฟัง...นางบอกว่าเจ้าจะดำลงไปใต้แม่น้ำน่านเพื่อค้นหาเมือง

    มีสุข" เซจียังคงพูดอย่างอ่อนโยน...เหมือนไม่ใช่นางร้ายคนเดิม

    ............................"ผมลงจากดอยแห่งนี้..ผมจะไปหาเมือง มีสุข อย่างที่แม่เฒ่าบอกเซจี

    จริง ๆ" กาเผือกพูดพร้อมกับคิดถึงความฝันที่ได้พูดคุยกับนะจา..แสดงว่าเขาได้คุยกับวิญญาณของนะ

    จาจริง ๆ

    ............................."ดีแล้ว..แม่น้ำน่านจะต้องเปิดทางให้เจ้าไปสู่มิติใต้ลำน้ำเพื่อพบกับ

    เมือง มีสุขอย่างแน่นอน...ข้าจึงอยากให้เจ้านำหน้าไม้พร้อมกับลูกดอกจากข้าไปวางไว้กับ

    ร่างที่หลับไหลของเขา...เมื่อเขาตื่นจากการหลับไหลขึ้นมา..เขาจะจำหน้าไม้นี้ได้...และจะขึ้น

    มาถามเหตุการณ์บนดอยแห่งนี้" เซจีเอ่ยแก่กาเผือก..หน้าไม้ที่นางเอ่ยก็คือหน้าไม้ของลีเจง..

    ที่เมือง มีสุข ย่อมจำได้ดี..และเขาจะต้องแปลกใจว่า..หน้าไม้ของลีเจงพร้อมลูกดอกมาอยู่กับ

    เขาได้เช่นไร

    ....................กาเผือกฟังที่เซจีบอก..เขารู้สึกว่า เซจีนางคิดการณ์ไกลได้ดีมาก..การกระทำ

    ของนางเป็นการบอกปริศนาให้เมือง มีสุข...เพราะในอนาคตข้างหน้า..เมือง มีสุขคงไม่มีญาติ

    มิตรคนใด..หลงเหลืออยู่...จะมีเพียงวิญญาณของแม่เฒ่านะจา..ที่รออธิบายเรื่องราวต่าง ๆ

    ให้เขาได้ฟัง..เพื่อให้เขาเผชิญสถานการณ์ในอนาคต..ให้อยู่รอด....กาเผือกจึงเอ่ยตอบรับกับเซ

    จี

    ............................"ผมจะทำตามที่เซจีบอกทุกอย่าง"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • jynovel-dgsd-04.jpg
      jynovel-dgsd-04.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.5 KB
      เปิดดู:
      83
    • kulap.jpg
      kulap.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.1 KB
      เปิดดู:
      61
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2012
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ............................"ดีแล้ว..เจ้านกน้อย" เซจียิ้มน้อย ๆก่อนเอ่ยคำ

    ............................"ถ้าเช่นนั้น...เซจีเปิดประตูให้ผมออกไปจากห้องนี้ได้ไหม"

    ............................"ก่อนที่เจ้าจะออกมาข้างนอก..เจ้าจงหันกลับไปมองลูกธนูที่ปักที่ตัวเหยี่ยว

    อีกครั้งหนึ่ง...แล้วจงจำไว้ให้แม่นยำ..ว่ามันอยู่ในสภาพใด..เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่คนของพิพิธภัณฑ์ต้อง

    การ..ข้ารู้ว่าเขาต้องการรวบรวมลูกธนูของเมือง มีสุข และเขียนเรื่องราวบันทึกไว้ในพิพิธภัณฑ์เพิ่ม

    เติม..แม้แต่ตัวเจ้าก็มาตามหาธนูดอกนี้.....แต่สิ่งนี้ข้าไม่อาจให้พวกเขาหรือเจ้าไปได้..เพราะมัน

    คืออนุสรณ์ที่จะสถิตอยู่บนดอยแห่งนี้ตลอดไป...และมันคือความทรงจำของเมือง มีสุข...และ

    คนบนดอยแห่งนี้.....สิ่งที่เจ้าต้องทำคือ..ความทรงจำเกี่ยวกับลูกธนูดอกนี้...ที่เจ้าต้องจำและ

    วาดรูปไปให้พวกเขา..ที่พิพิธภัณฑ์เท่านั้น"เซจีพูดเตือนสติกาเผือก

    .....................กาเผือกระลึกได้ว่าเขามาเพื่อตามหาลูกธนูบนดอยแห่งนี้จริงอย่างเซจีว่า....เขาจึง

    หันกลับไปดูและพิจารณาลูกธนูที่ปักอยู่ที่เหยี่ยวตัวนั้นอีกครั้ง...และพยายามจดจำลักษณะราย

    ละเอียด...เพื่อที่เขาจะวาดรูปต่อไปเมื่อกลับลงจากดอย.....

    .....................สักพักใหญ่ที่เซจียืนสงบนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องและพร้อมที่จะเปิดมันออกมา..เพื่อ

    ให้อิสรภาพกับกาเผือก....เซจีได้เอ่ยถาม

    ............................"เจ้านกน้อย...เจ้าคงจดจำมันได้แล้วนะ...ข้ากำลังจะเปิดประตูปล่อยเจ้า

    ออกไปแล้ว"

    ......................ทันทีที่นางพูดจบ..นางก็ได้เปิดประตูออกในทันที..กาเผือกรู้สึกดีใจที่ได้

    อิสรภาพเสมือนนักโทษที่ได้ถูกปล่อยปล่อยออกจากเรือนจำ......เขาจ้องมองดูเซจี...และเห็น

    รอยยิ้มที่อ่อนโยนพร้อมกับใบหน้าที่สะสวยของนาง..เจือด้วยกลิ่นหอมที่ออกมาจากร่าง

    กาย..กระทบจมูกของกาเผือก..ด้วยความดีใจและลืมตัว..เขาเดินตรงเข้าไปสวมกอดเซจีใน

    ทันที..พลางเอ่ยคำ

    ............................"ขอบคุณ...เซจี...ขอบคุณเซจี"

    .....................เซจีนางสดุ้งเล็กน้อย..มือของนางที่ถือหน้าไม้อยู่เพื่อเตรียมมาให้กา

    เผือก..ถูกปล่อยหลุดจากมือลงพื้น...นอกจากญาติผู้ใหญ่ที่เป็นชาย..นางไม่เคยถูกชายใด

    โอบกอดเช่นนี้มาก่อนเลย...เซจีรู้สึกอบอุ่นและรับรู้ถึงอ้อมกอดที่เป็นมิตรพร้อมกับความรัก

    ของกาเผือก...ที่มันมีความรู้สึกลึกซึ้งเหนือคำพูด.......นางคิดไปถึงว่า..หากอ้อมกอดนี้เป็น

    อ้อมกอดของ..เมือง มีสุข..นางคงมีความสุขไม่ใช่น้อย.......เพราะคนที่เซจีปรารถนาให้

    โอบกอดนางด้วยความรัก...........ก็คือ "เมือง มีสุข"........แต่อย่างไรก็ตามอ้อมกอดของ

    เจ้านกน้อยตัวนี้ก็ทำให้นางรู้สึกดีและมีความสุขขึ้น..มันเป็นอ้อมกอดแห่งความรัก..ที่เจ้านก

    น้อยตัวนี้มอบให้แก่นาง.....

    ....................เซจีได้เอ่ยคำพูดขึ้น..

    ............................"เจ้านกน้อย...ข้าขอโทษที่ขังเจ้าไว้...ความจริงข้าน่าจะมีความรู้สึก

    ต่อเจ้า..และทำต่อเจ้าเช่นเดียวกับเมือง มีสุข...เมือง มีสุขรักเอ็นดูและสงสารเจ้าเช่นใด..

    ความจริงข้าน่าจะรู้ดีและทำกับเจ้าเช่นเขาทำ...ข้าเสียใจ"

    ............................"ช่างเถิด..เซจี..การที่ผมได้อยู่ในห้องนี้กับแม่เฒ่านะจา..มันทำให้

    ผมได้เรียนรู้อะไรดีขึ้น...ขอบคุณมากนะเซจี"

    .....................กาเผือกค่อย ๆเอามือออกจากเซจี...เซจีจึงก้มลงหยิบหน้าไม้นั้นขึ้นมาส่งมอบให้

    กาเผือก..พร้อมกับลูกดอกจำนวนหนึ่งในซองหนังสัตว์...

    .....................กาเผือกจึงได้เอ่ยกับเซจี

    ............................"เซจี..ท่านอยากเห็นหลานสาวของ เมือง มีสุข..พร้อมกับขวดแก้ว

    อีกซีกหนึ่งที่แม่น้ำน่านนำพาให้ผมพบมันไหม" กาเผือกหมายถึงพวงผกาและขวดแก้วที่เขาอยาก

    พาเซจีไปพบ

    .....................เซจีมองหน้ากาเผือกพร้อมกับยิ้ม โดยไม่ปฏิเสธ...กาเผือกจึงจับมือนางให้เดิน

    ตามเขาออกไปนอกบ้านทันที....เพื่อมุ่งหน้าไปทางบ้านซูโอ๊ะและทูเลย์..

    .....................ระหว่างทางที่ผ่านไปบ้านต่าง ๆ...ชาวมูเซอที่เห็นเหตุการณ์ขณะที่กาเผือกจูง

    มือเซจีให้เดินตาม..พวกเขาถึงกับตกตะลึงและแปลกใจ..ที่เซจี..นางมารร้ายที่เกรี้ยวกราด

    และแข็งกระด้าง..กลับเดินตามกาเผือกเหมือนกับลูกแมวเชื่อง...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • mk.jpg
      mk.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.7 KB
      เปิดดู:
      124
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    .....................กาเผือกจูงมือเซจีเดินอย่างไว..ในใจของเขาต้องการให้เซจีรับรู้เรื่องราวดี ๆ

    เกี่ยวกับเมือง มีสุข..ขวดแก้วใบนั้น..กับ พวงผกา..คือสิ่งที่เขาอยากให้เซจีรับรู้และสัมผัส..ดึงดูดให้

    นางซึมซาบความเป็นจริงบ้าง..ไม่ใช่ให้นางอยู่แต่ในจินตนาการเรื่องราวของนางกับเมือง มีสุข

    .....................ในใจของเซจีนั้น..นางทั้งรู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจ..ในสิ่งที่นางจะรับ

    รู้.."ขวดแก้วครึ่งซีกทรงมะม่วงใบนั้น" คือสิ่งที่ เมือง มีสุข จับต้องรักและหวงแหน...ตาม

    ประวัติของมัน ..คือ สิ่งที่แม่สายฝนหรือตะละแม่ราชาวดี..เป็นผู้มอบให้กับเมือง มีสุข ก่อน

    นางจากไปแดนพม่า.....เมือง มีสุข นำมันติดตัวตลอดเวลาเหมือนกับสิ่งนี้ คือ ของประจำตัว

    ของเขาที่ตราบใดที่เขามีชีวิตอยู่จะไม่ให้มันพรากไปจากเขา...นะจานางก็เคยสัมผัสขวดแก้ว

    ใบนี้โดยนางนำมันไปใส่เหล้าที่ชนเผ่ามูเซอหมักไว้..ให้แก่เมือง มีสุข...การที่เซจีจะได้สัมผัส

    ขวดใบนั้นมันช่างมีความหมายต่อนางเกินกว่าผู้ใดจะคาดคิด...นางคิดถึงภาพวาดเกี่ยวกับ

    ขวดใบนั้น..ที่ทั้งในพิพิธภัณฑ์เมืองน่านมีอยู่และที่นะจาเอ่ยถึง...เซจีนางยังไม่เคยเห็นของ

    จริงเลย....และในส่วนของหลานสาวของเมือง มีสุข..นางมีรูปร่างหน้าตาเช่นใด..เซจีก็อยาก

    พบเห็นนางมาก...เพราะหน้าตาและสายเลือดของนาง..เป็นสายเลือดเดียวกับเมือง มีสุข...

    การได้ใกล้ชิดและสัมผัสในตัวนาง...ก็ประหนึ่งดังได้สัมผัสกับ เมือง มีสุข..ในความคิดของเซ

    จี...........

    .....................ในส่วนของพวงผกา และไก่ตุ๋น...พร้อมกับซูโอ๊ะและทูเลย์..พวกเขาก็เตรียมการณ์

    ที่จะเดินทางไปช่วยกาเผือกออกมาจากการถูกขังโดยเซจี..ด้วยรู้เรื่องแต่เมื่อวานแล้ว...ว่ากาเผือกเดิน

    ทางไปพบเซจีและไม่ได้กลับมาอีกเลย..แสดงว่าต้องมีภัยเกิดขึ้นแก่เขา......

    .....................ระหว่างที่พวงผกากับพวกกำลังเดินทางไป..ทั้งสี่ก็ได้เห็นเหตุการณ์ประหลาด

    ขึ้น..ทำให้ทั้งสี่ถึงกับหยุดเดินก้าวไปข้างหน้าไม่ออก..ด้วยพบเห็นร่างของกาเผือก..ที่กำลัง

    เดินนำหน้าเซจีในมือซ้ายถือหน้าไม้......พร้อมซองหนังใส่ลูกดอก..ส่วนมือขวาของเขากำลัง

    จับมือเซจีให้เดินตามอยู่...

    .....................ไก่ตุ๋นเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก

    ............................"พวงผกา..เห็นเหมือนที่พี่เห็นไหม..รวมทั้งซูโอ๊ะกับทูเลย์ด้วย..มันเป็นไป

    ได้อย่างไร...ที่กาเผือกจูงมือเซจีเดินมานั่น"

    ............................"มันคงมีอะไรบางอย่างผิดปกติ" พวงผกาเอ่ยขึ้นลอย ๆ

    ............................"ไม่น่าเชื่อเลยว่า..เซจีผู้เกรี้ยวกราดและไม่ยอมใคร...จะเดินตามกา

    เผือกอย่างว่าง่าย" ซูโอ๊ะเอ่ยบ้าง

    ............................"เซจี..คงจะพอใจอะไรบางอย่าง..ที่กาเผือกทำต่อนาง..นางจึงรู้สึก

    เป็นมิตรกับเขา..." ทูเลย์ออกความเห็น

    ............................"แต่นาง..ไม่เคยคบหาพูดคุยกับชายใดนอกครอบครัวของนางอย่าง

    เป็นมิตรมาก่อนเลยนะ" ซูโอ๊ะแย้ง

    ............................"นั่นมันเรื่องของวันวานซูโอ๊ะ" ทูเลย์บอกกับเพื่อน

    .....................ก่อนที่พวกเขาทั้งสี่จะพูดสิ่งใดต่อไป..กาเผือกก็จูงมือเซจีมาอยู่ต่อหน้าพวง

    ผกา..แล้วเอ่ยขึ้นแก่เซจี

    ............................"เซจี..นางคือพวงผกา..หลานสาวของเมือง มีสุข...ยายของนาง...

    เป็นลูกสาวของน้องสาวขุนทัพ..พ่อของเมือง มีสุข"

    .....................สิ้นคำพูดของกาเผือก..เซจีก็เพ่งพินิจพิจารณามองใบหน้าของพวงผกา..

    เปรียบเทียบเค้าหน้าของ เมือง มีสุข..ที่นางเคยเห็นในรูปภาพและจินตนาการในมโนภาพของ

    นางทันที...............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2012
  13. nuaiswat

    nuaiswat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2007
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +248
    ขออภัยนพครับแต่ที่ทราบมาคือ ครูบาศรีวิชัยท่านก็เป็นพระโพธิสัตว์ไม่แน่ใจว่าในอดีตชาตินั้นคือช้างตัวไหนระหว่างนาฬาคีรีและช้างปาลิไลยกะ แต่ท่านบอกว่าปราถนามานานและได้รับคำพยากรณ์แล้วก็จะไม่ลาพระโพธิญาณ (ตอนหลังปู่มั่นท่านชวนไปปฏิบัติธรรมด้วยกัน สงสัยท่านชวนลาพุทธภูมิ) หมายความว่ท่านเป็นนิยตโพธิสัตว์ได้ตรัสรู้แน่นอน และอีกท่านคือหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านก็บารมีเต็มแล้ว เกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เกิดชาติหน้าก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเลย (พระอุปัชฌาท่านคือหลวงพ่อสุ่นบอกตอนที่จะบวช) แต่อ่านเจออีกที่นึงไม่รู้ใครลงไว้ในเว็ปหลวงตาท่านนึงบอกว่าหลวงพ่อปานท่านลงมาเกิดอีกแล้วช่วยพระศาสนาเป็นพระอยู่ทางภาคกลาง ตกลงท่านมาเกิดหรือไม่อันนี้ไม่ทราบ แต่ญาณของหลวพ่อสุ่นไม่น่าจะพลาดหรอกครับท่านเป็นพระดี ดีจริงๆ ไม่งั้นเป็นอาจารย์หลวงพ่อปานไม่ได้หรอกครับ
     
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    [COLOR="rgb(255, 0, 255)"[COLOR="Magenta"]]...........ขอบคุณครับคุณนพ..ที่นำความรู้อีกด้านหนึ่งมานำเสนอให้กระทู้นี้มีสีสรรขึ้น....
    ................ขอให้คุณนพเจริญยิ่ง ๆขึ้นไปทั้งทางโลกในทางที่ชอบและทางธรรมจนบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งธรรมนะครับ............
    [/COLOR][/COLOR]
     
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................เป็นขณะเดียวกับที่พวงผกาก็มองดูนางอย่างสงสัยใน

    พฤติกรรมของเซจี...เซจีมองพวงผกาอย่างพอใจพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน...นางเดินเข้าไปใกล้พวง

    ผกาพร้อมกับโอบกอดพวงผกาไว้ด้วยความรักอย่างทะนุถนอม..พวงผกา

    และพรรคพวกที่อยู่ในที่นั้นรู้สึกตกใจ....เซจี่ค่อย ๆเอามือลูบหลังพวงผกาพลางเอ่ยขึ้น..."สาว

    น้อย..เจ้าช่างละม้ายกับเมือง มีสุขยิ่งนัก..เจ้าเหมือนกับเมือง มีสุขที่กำลังแต่งตัวเป็นหญิงสาว...ข้า

    ช่างโชคดีที่พบเจ้า..ขอให้เจ้าจงอยู่รอดปลอดภัยเถิดนะ"

    ...................คำพูดของเซจีทำให้พวงผกาคลายกังวล..และนาง

    รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด.งเหมือนกับเซจีส่งความรักจากใจของนางมาให้พวงผกาจริง ๆ...พวงผกาจึง

    เอ่ยขึ้นบ้าง.."เซจี..หนูอยากค้นหาเรื่อง เมือง มีสุข ตาของหนู...เซจีรู้อะไรเกี่ยวกับตาของหนู

    บ้าง".......

    .................."เด็กโง่เอ่ย..เรื่องราวของเขาไม่ได้สิ้นสุดอยู่เพียง

    นี้...แต่เรื่องราวของเขายังมีต่อไปในอนาคตอีก...แล้วเจ้าจะไปรู้เรื่องราวทั้งหมดของเขาได้

    อย่างไร....แม้แต่ชีวิตข้าสิ้นไป..ข้าก็ไม่อาจรู้ได้ว่าชีวิตของเขาเมื่อออกจากมิติในแม่น้ำน่านแล้ว...เขา

    จะอยู่รอดอย่างไร" เซจีเอ่ยกับพวงผกาอย่างอ่อนโยน

    ................."หนูเพียงแต่อยากรู้เรื่องในอดีต..บนดอยมูเซอแห่งนี้มาก

    ที่สุด...เพราะเป็นดอยที่เขาปกปิดไม่ให้ใครได้รับรู้ว่าเขามาบนดอยแห่งนี้...เพราะฉะนั้นมันต้องสำคัญ

    ต่อเขามาก" พวงผกาเอามือกอดเซจีตอบแล้วกล่าวคำ

    .................เซจีเริ่มสัมผัสในความเป็นมิตรที่เด็กสาวมีต่อนาง..และ

    กระแสแห่งความรักที่นางสัมผัสได้...นางจึงพูดตอบพวงผกาไป "บนดอยแห่งนี้ให้ความสุขแก่

    เขา...เขาจึงปกปิดความสุขนี้ไว้ไม่ให้ใครรับรู้...ที่นี่มีแต่มิตรแท้ของเขาที่ต้อนรับเขาอยู่

    เสมอ"...........เซจีค่อย ๆดันร่างเด็กสาวออกและเอามือมาลูบที่ใบหน้าของพวงผกาอย่างชื่นชม

    พลางเอ่ยขึ้น..."เจ้าเป็นเด็กสาวที่งามน่ารักมาก...ต่อไปเจ้าจะต้องได้คู่ครองที่ดีในชีวิตของเจ้า"

    .................พวงผกาแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อฟังคำของเซจี....ดูแล้ว

    หญิงทั้งสองอาจจะต้องชะตากัน.............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2012
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ..................กาเผือกหันมาทางไก่ตุ๋นน้องชายแล้วเอ่ย

    ขึ้น..............."ไอ้อ้วน..เอาขวดแก้วใบนั้นติดตัวมาหรือเปล่า"

    ...................ไก่ตุ๋นพยักหน้า..แล้วเอามือล้วงไปในย่ามสะพายนำขวดแแก้ว

    ทรงมะม่วงครึ่งซีกที่ภายในบรรจุสร้อยข้อมือทองคำลายดอกทานตะวันออกมา...แล้วเอ่ยตอบกา

    เผือก...."อยู่นี่ไง"

    ....................กาเผือกรับขวดแก้วจากมือไก่ตุ๋น..แล้วมองหน้าเซ

    จี..ที่มีสีหน้าตื่นเต้น..นางล่ะจากพวงผกา..และหันมาจ้องมองขวดแก้วใบนั้น...กาเผือกจึงเอ่ยแก่นาง

    พร้อมกับส่งขวดแก้วให้......"เซจีลองจับขวดแก้วใบนี้ดูสิ"

    ..................เซจีรับขวดแก้วจากกาเผือกมาลูบคลำอย่างรักใคร่

    ทะนุถนอมแล้วนางก็เอามาแนบกับแก้มของนาง....เซจีรู้สึกดีใจที่ได้สัมผัสกับของรักของหวงและของ

    ประจำตัวของเมือง มีสุข...นางแย้มยิ้มให้กับกาเผือกและทุกคน...และนางได้พิจารณาเห็นภายในขวด

    แก้วนั้นว่า "มันคือสร้อยข้อมือทองคำลายดอกทานตะวันอันสวยงาม"....นางจ้องมองดูมันแล้วมีสีหน้า

    สลดลง..พร้อมกับส่งคืนขวดแก้วให้กับกาเผือก..เหมือนกับไม่อยากรับรู้เรื่องราวของสร้อยข้อมือ

    ทองคำเส้นนั้น...ซึ่งถ้านางได้รับรู้ว่ามีหนังสืออีก 2 ฉบับที่เมือง มีสุขเขียนไว้...นางคงอยากพบเห็น

    มัน..แต่ข้อความที่"เมือง มีสุข ยืนยันถึงว่า โนรี นรา คนที่เขารัก..มันคงแสลงใจเซจีอย่าง

    มากมาย...นางอาจควบคุมอารมณ์ดีขณะนี้ไว้ไม่อยู่...และกลับเปลี่ยนไปเป็นมารร้าย

    ทันที.........ความจริงแล้ว..เซจีพอจะหยั่งรู้เรื่องราวของโนรีอยู่บ้างอย่างเลา ๆ...แต่นางปฏิเสธความ

    เป็นจริง..เพราะดูมันโหดร้ายสำหรับนางที่คนที่นางรักไปรักหญิงอื่นที่ไม่ใช่นาง...เช่นนี้เองเซจีนางจึง

    คงกลับไปอยู่กับจินตนาการภายในจิตใจของนางตามเดิม....ที่มีเพียงเมือง มีสุขเท่านั้นที่นางรักและ

    เขาก็รักนาง..................

    ...................กาเผือกพอจะเดาใจของเซจีออก..เขาจึงเอ่ยขึ้นเพื่อ

    เบนความสนใจของเซจี......"เซจี..ผมจะนำหน้าไม้และลูกดอกนี้ไปให้เมือง มีสุข ที่ใต้ลำนำ้น่าน...เซ

    จีไปกับผมไหม...เพื่อเซจีจะได้รับรู้ว่าผมทำสำเร็จหรือไม่...นอกจากนี้เซจีน่าจะมีคำพูดฝากผมไปพูด

    ให้เขาได้รับรู้บ้าง..แม้เขาจะหลับไหลอยู่แต่จิตวิญญาณของเขาอาจรับรู้ได้ว่า..มีเซจีที่รอคอยเขาอยู่ที่

    ดอยมูเซอแห่งนี้อีกคนหนึ่ง"...................คำพูดของกาเผือกได้สะกดเซ

    จีให้คล้อยตามในทันที...นางคิดว่าจริงสิที่นางน่าจะมีคำพูดฝากไปบอกเมือง มีสุขได้รับรู้บ้าง....นาง

    มองกาเผือกแล้วยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน...แล้วเดินตรงเข้าไปกอดกาเผือกอย่างทะนุถนอมต่อหน้า

    พวงผกาและพรรคพวกพลางเอ่ยขึ้น......"ขอบใจเจ้าจริง ๆ เจ้านกน้อย...เจ้าพูดชี้ทางให้ข้าได้ดีมาก

    เลย"

    ................พวงผกาจ้องมองดูนางและกาเผือก..นางก็รู้สึกว่า..เซจี

    นางไม่ได้กอดกาเผือกอย่างรักใคร่ฉันชู้สาว...แต่นางกอดเขาอย่างรักเอ็นดู..เหมือนกับที่นางกอด

    เธอ...........พรรคพวกที่อยู่ในที่นั้นต่างเบาใจขึ้น...แต่ดูท่าเซจีนางท่าจะลงจาก

    ดอยไปกับกาเผือกเพื่อติดตามเขาไปเพื่อฝากคำพูดบอกกับเมือง มีสุข จริง ๆ...............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2012
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................กาเผือกและพรรคพวกเดินไปส่งเซจีที่บ้าน..แล้วกลับออกมาพวกเขานัดแนะกับ

    เซจีว่า..พรุ่งนี้เช้าเขาจะพาเซจีลงจากดอยเพื่อไปทำในสิ่งที่นัดหมายไว้.....ระหว่างทางที่จะมา

    ที่พัก..กาเผือกได้เอ่ยขึ้นกับพรรคพวกอย่างกังวนเล็กน้อยว่า

    ............................"เซจี..นางจะออกมารับรู้โลกแห่งความจริงเพียงชั่วคราว..ที่เป็นเรื่องเกี่ยว

    พันกับเมือง มีสุขเท่านั้น..แล้วนางก็จะกลับไปสู่โลกจินตนาการของนางต่อไป..นางจะไม่ยอมให้โลก

    แห่งความจริงไปทำร้ายโลกในจินตนาการอันสวยงามของนางที่วาดไว้.......เพราะฉะนั้นเวลาที่พานาง

    ไปจะให้นางรับรู้เรื่องที่ไปบั่นทอนความสวยงามในโลกจินตนาการของนางไม่ได้...."

    ............................"ถ้าเช่นนั้น..เราจะระวังกันอย่างไร...หากนางไปพักที่บ้านคุณยายแล้ว..

    นางพบกับภาพวาดของโนรี..ที่พี่กาเผือกวาดขึ้นมา" พวงผกามองเป้าหมายที่ภาพวาดของโนรี..

    ที่เธอคาดว่าเป็นสิ่งบั่นทอนโลกจินตนาการอันสวยงามของนาง

    ............................"เราต้องไม่ให้นางพบเห็นสิ่งใดทั้งสิ้น..โดยเฉพาะตัวอักษรบนผ้าทั้งสองผืน

    ที่มาจากขวดแก้วใบนั้น" กาเผือกกำชับและออกความเห็น

    ............................."ถ้าเช่นนั้น..เอาของพวกนั้นมาให้กูเก็บเองดีกว่า..เพราะนางไม่ค่อยมาพูด

    คุยกับกูอยู่แล้ว...คนโปรดสำหรับนางตอนนี้มีเพียงพวงผกากับมึงน่ะ" ไก่ตุ๋นออกความเห็น

    .....................พวงผกาจึงเอ่ยแย้งอย่างอารมณ์ดี..พร้อมกับชำเรืองไปทางกาเผือก

    ............................."หนูว่า..เป็นพี่กาเผือกคนเดียวต่างหากล่ะพี่ไก่ตุ๋น..เห็นนางกอด

    อย่างทะนุถนอมเลยนะ"

    .....................กาเผือกฟังแล้วยิ้มอย่างละเหี่ยใจ..เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาระหว่างเขากับเซจี...

    พลางเอ่ยขึ้น

    ............................."กว่าจะเป็นแบบนี้ได้..เกือบแย่ไปแล้ว..ถูกนางขังทั้งคืน....หากไม่

    ใช่วิญญาณของแม่เฒ่านะจาคอยช่วยเหลืออยู่..คงแย่ไปนานแล้ว"

    ......................คำพูดของกาเผือกทำให้ผู้ร่วมทาง..ถึงกับชะงักเมื่อเอ่ยถึงวิญญาณของ

    แม่เฒ่านะจา

    .......................ทูเลย์จึงเอ่ยทักขึ้น

    ............................"แม่เฒ่านะจาตายแล้ว..ศพของนางอยู่ในบ้าน..วิญญาณของนางจะ

    ไม่ยอมไปไหนหรอก"

    ............................"เป็นจริงอย่างทูเลย์พูด..เพราะพวกเราไม่ได้ทำพิธีศพแล้วส่ง

    วิญญาณของแม่เฒ่าตามประเพณีของเผ่ามูเซอ" ซูโอ๊ะพูดเสริม

    ............................"นี่แสดงว่าพี่กาเผือกได้พบกับวิญญาณของแม่เฒ่านะจาด้วยหรือ"

    พวงผกาเอ่ยอย่างตื่นเต้น

    ............................"พี่พบศพของแม่เฒ่าอยู่ในโลง..ที่ตั้งคู่ไว้กับซากนกเหยี่ยวที่ถูกลูก

    ธนูปักอยู่ที่อก..ภายในห้องลึกลับนั้น...แต่วิญญาณของนางไม่ได้มาปรากฏร่างให้เห็น...นาง

    มาเข้าฝันบอกสิ่งต่าง ๆให้รับรู้...นางมาในร่างที่เป็นสาวน้อยน่ารัก..นางบอกถึงขนาดสถานที่

    ที่ศพของโนรีถูกฝังอยู่"

    ............................."หา..นางรู้ถึงขนาดศพของโนรีถูกฝังอยู่ที่ไหนด้วยหรือ" พวงผกา

    ถามย้ำ

    ............................."ใช่..แม้แต่วิญญาณของโนรี..ที่อยู่บนทรายน้ำลึกภายใต้ลำน้ำตาปี

    นางก็ยังเห็น"

    .....................พวงผกานิ่งเมื่อรับรู้เรื่องราวพร้อมกับมองหน้าไก่ตุ๋น..เหมือนขอความเห็น

    ว่า..พวกเขาจะทำอย่างไรต่อเมื่อรู้เช่นนี้

    .....................ไก่ตุ๋นเหมือนเดาใจพวงผกาออกจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"ถ้าเช่นนั้น..เมื่อกาเผือกดำลงไปใต้น้ำน่านเพื่อค้นหามิติของเมือง มี

    สุขเสร็จ.....ก็ไปเอาขวดแก้วบนจุดจันทร์เสี้ยวแยกจากกัน..แล้วก็ไปแดนใต้ทันที...ถูกไหม"

    ............................"มันคงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ...เราเสียเวลามามากแล้ว..ต้องไปให้

    เร็วกว่า...เจ้าพวกที่ตามเรามาจากพิพิธภัณฑ์จะมาพบ" กาเผือกหมายถึงชาวพม่าที่สะกด

    รอยมาเพื่อชิงขวดแก้ว.........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2012
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....ตอนที่ 116 เมือง มีสุขในมิติใต้แม่น้ำน่าน....


    .................ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2466..วันที่

    เมือง มีสุขถูกกองกำลังพม่ายิงเข้าใส่จนได้รับบาดเจ็บและว่ายน้ำข้ามแม่น้ำน่านจากฝั่งตะวันออกข้าม

    ไปเพื่อไปฝั่งตะวันตก


    ........ระหว่างที่เขาลอยคออยู่กลางลำน้ำน่านก็ได้ถูกกระสุนปืน

    ของกองกำลังพม่ายิงใส่...โดยที่กองกำลังของเมืองน่านได้ยิงโต้ตอบไป..และพยายามหาทางช่วย

    เหลือเมือง มีสุข..เพื่อให้ขึ้นมาบนฝั่งตะวันตกให้ได้สำเร็จ..และระหว่างนั้นได้มีนกกาเผือกสีขาว...บิน

    โฉบลงมาหาเขาท่ามกลางกระสุนปืนที่สาดใส่มายังตัวเขา...นกน้อยตัวนั้นเสี่่ยงชีวิตมาช่วยเหลือเมือง

    มีสุขโดยใช้ปากของมันจิกที่คอเสื้อของเขาด้านหลังแล้วกระพือปีกบินขึ้นเพื่อไม่ให้ร่างของเมือง มีสุข

    จมลงไปในแม่น้ำน่าน....


    ...............แต่ปรากฏว่าน้ำหนักของเมือง มีสุขมี

    มากเกินกว่าที่เจ้านกตัวนั้นจะกระพือปีกบินนำตัวเขาขึ้นจากน้ำหรือพยุงตัวเขาไม่ให้จมน้ำ.....ทำให้

    ทั้งคนและนกกาเผือกตัวนั้นจมลงไปในแม่น้ำน่านทั้งคู่......


    ................แต่แล้วก็มีแสงสว่างดุจดวงอาทิตย์ส่องแสงมา

    จากใต้น้ำมาที่ตัวเมือง มีสุขและนกตัวนั้น...นกกาเผือกโดนแสงนั้นพร้อมตกใจปากที่จิกคอเสื้อของ

    เมือง มีสุขไว้ถูกปล่อยออก...ร่างของเมือง มีสุขค่อย ๆจมน้ำและหายเข้าไปในแสงสว่างนั้น....เจ้านก

    น้อยใช้ปีกกระพือจากใต้น้ำพุ่งตัวขึ้นสู่เหนือน้ำและบินขึ้นสู่อากาศพลางมองหาขวดแก้วทรงมะม่วงที่

    เมือง มีสุขปาออกไป...และบินตามหาขวดใบนั้นไป..................


    .................หลังจากเหตุการณ์สงบลง...เจ้า

    หน้าที่ของเมืองน่านทั้งสองฝั่งคือฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก...ได้พยายามค้นหาร่างของเขา...หรือ

    ศพของเขาแต่ไม่พบ....จึงไม่อาจทราบได้ในขณะนั้นว่า"เมือง มีสุข ยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่..เพราะเขา

    ได้หายสาบสูญไปยังไร้ร่องรอยให้ตามหา"


    ................ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาได้ขอร้องให้ปลัด

    ปักษ์ หงษา ปลัดเมืองน่านฝั่งตะวันตกที่ไปช่วยราชการแทนเขาที่เมืองน่านฝั่งตะวันออก...ให้นำ

    ทรัพย์สินของเขาทั้งหมดรวมทั้งแหวนปลอกมีดทองคำจากเมืองพม่า..ที่แม่สายฝนหรือตะละแม่

    ราชาวดีได้มอบให้ขุนทัพไว้..และเป็นทรัพย์สินของเขาต่อมา...ให้นำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง

    สะพานข้ามแม่น้ำน่านเพื่อเชื่อมต่อฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกเข้าด้วยกัน.....ซึ่งสะพานแห่งนี้เป็น

    สะพานแห่งแรกอันเป็นความหวังของคนเมืองน่าน...ที่จะได้มีสะพานเชื่อมต่อในการเดินทางไปมาหาสู่

    กัน.....


    ................ในการก่อสร้างสะพานนั้น..ได้มีการตอก

    เสาเอก..เหมือนกับการสร้างบ้านซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน....และเสาเอกที่ปักตั้งขึ้น

    กลางแม่น้ำน่าน..คือ จุดที่เมือง มีสุขจมน้ำหายสาบสูญไป..ซึ่งเรื่องนี้มีคำอธิบายตามภาพที่ปรากฏอยู่

    ในพิพิธภัณฑ์เมืองน่าน..ในตอนที่102 ความอลังการของเมือง มีสุขในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งอยู่ในหน้าที่

    40-41


    ..................การจมลงไปในแม่น้ำน่านของเมือง มี

    สุข..และหายเข้าไปในแสงสว่างจ้าภายใต้แม่น้ำน่านในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2466 นั้น...เป็น

    ปรากฏการณ์ที่จิตวิญญาณของแม่น้ำน่านได้นำพาเขาออกจากโลกเบื้องบนเข้าสู่มิติลึกลับภายในแม่น้ำ

    น่าน..และซ่อนตัวเขาไว้ตรงจุดที่เป็นเสาเอกของสะพานข้ามแม่น้ำน่าน..ด้วยความรักและความผูกพัน

    ของแม่น้ำน่านกับเมือง มีสุข ตั้งแต่เขายังเป็นทารกน้อยอยู่...ซึ่งแม่น้ำน่านได้ช่วยเหลือเขามาหลาย

    ครั้งแล้ว.....ในหลายเรื่องด้วยกัน...แม่น้ำน่านนำพาร่างของเขาสู่มิติแห่งนั้นตั้งแต่วันดังกล่าวจนถึงวันที่

    กาเผือกจะลงมาพบเขาเป็นเวลา 80 กว่าปี....


    ................เมือง มีสุขนั้นไม่ได้รับรู้เรื่องราวใด

    ๆอีกเลยนับแต่วันที่เขาจมน้ำและหายไปในมิติแห่งนั้น..เขาหลับไหลไม่รู้สึกตัว...พร้อมกับบาดแผลที่

    ถูกยิงของเขาได้หายสนิทเป็นปลิดทิ้ง...สภาพร่างกายของเขายังคงหนุ่มแน่นและหล่อเหลาสง่างาม

    เช่นเดิม....แสงภายในมิติแห่งนั้นได้เอิบอาบซึมซาบเข้าไปในตัวเขา....แม่น้ำน่านยังคงซ่อนตัวเขา

    ไว้........เสมือนรอสัญญาณจากแม่น้ำตาปี..ที่ปกป้้องดวงวิญญาณของโนรี นราไว้ที่ทรายน้ำลึกภาย

    ใต้ลำน้ำตาปี....ว่าเมื่อไรที่จะนำพาพวกเขาขึ้นมาต่อสู้โลกในอนาคตอย่างพร้อมเพรียงกัน.....และ

    เมือง มีสุขกับโนรี นราคู่นี้แหละคือต้นกำเนิดราชวงศ์พม่าในอนาคตข้างหน้านี้........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 466807c43f8a1.jpg
      466807c43f8a1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      113.1 KB
      เปิดดู:
      70
    • IMG_2267.JPG
      IMG_2267.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      59
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2012
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ..................กาเผือกและพรรคพวกจำต้องนำพาเซจี

    ไปกับเขา...ในการที่กาเผือกจะดำลงไปในแม่น้ำน่านเพื่อค้นหามิติที่ซ่อนตัวเมือง มีสุขไว้............กา

    เผือกรู้สึกกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ....เขาจึงลุกขึ้นออกมาผิงไฟที่กองไฟเพื่อคลายหนาว.......เป็น

    ขณะเดียวกับที่พวงผกาเธอก็นอนไม่หลับเช่นกัน...และเมื่อเห็นกาเผือกออกมานั่งผิงไฟ...พวงผกาจึง

    ลุกตามขึ้นมา...และเอ่ยขึ้น....


    .........................."มีเรื่องกังวลใจเกี่ยวกับเซจีใช่ไหมพี่"

    ......................"ไม่ใช่นางอย่างเดียวหรอก...แต่ยังมีเรื่องการดำน้ำลงไปใต้

    แม่น้ำน่าน...ว่าพวกเราจะทำอย่างไรที่จะอยู่ใต้แม่น้ำน่านได้นานพอจะค้นหามิติดังกล่าว" กาเผือก

    เอ่ยเรื่องหนักใจ


    ..................."จริงสิพี่...เราเป็นคนอยู่บนบกไม่ใช่ปลา..ถึงจะอยู่ใต้น้ำ

    ได้นาน" พวงผกาคล้อยตามเรื่องปัญหา


    แล้วย้อนถามกาเผือกกลับไป............"แล้วพี่คิดอย่างไรจึงจะอยู่ใต้น้ำได้นาน"

    .................."ถ้าเป็นไปได้เราต้องไปขอยืมพวกชุดประดาน้ำจากพวกนักดำ

    น้ำเช่นถังอ๊อกซิเยน..และชุดดำน้ำ" กาเผือกบอกเป้าหมาย


    ................."มันคงทำให้คนอื่นรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้นอีก...หากเราไปหยิบ

    ยืม..เขาจะต้องถามเหตุผลและอาจไม่ให้เรา..ถ้าพรรคพวกเขาไม่ได้มาด้วย"


    ................."นั่นแหละปัญหาล่ะ...แล้วเซจีจะยอมหรือ"

    ....................."ถ้าเช่นนั้นพี่คิดอะไรเพื่อแก้ไขเรื่องดำน้ำ" พวงผกา

    ถาม


    ...................."มันยังไม่มีการลองใช้ที่ไหนหรอกเรื่องที่พี่คิด...คือ..เราจะหา

    สายยางที่ใช้รดน้ำต้นไม้ยาวสัก 20 เมตร..แล้วพี่จะอมใส่ปากแล้วดำน้ำส่วนปลายอีกข้างหนึ่งให้ไก่ตุ๋น

    มันถือไว้....แต่ไม่รู้ว่าความยาวขนาดนั้นจะหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้ทันไหม"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2012
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ................พวงผกาตกใจในความคิดของกาเผือก....เธอ

    จึงถามตามความเข้าใจที่กาเผือกบอก....."นี่พี่ชายหมายความว่า..จะให้พี่ไก่ตุ๋นยืนถือปลายสายยาง

    ด้านหนึ่ง..ไว้บนสะพานสูง...แล้วพี่ก็จะอมปลายอีกด้านหนึ่งไว้หายใจเมื่อเวลาดำน้ำเป็นอย่างนั้นใช่

    ไหมพี่"


    ......................"ถูกต้องแล้ว..แต่พี่ยังไม่เคยลองอมปลายสายยางแล้วสูด

    อากาศจากสายยางขนาดนั้นเลย" กาเผือกบอกปัญหา


    ...................พวงผกาเธอหัวเราะเบา ๆออกมาก่อนตอบ........"ไม่ต้อง

    ลองแล้วพี่..มันได้คำตอบอยู่แล้วว่า...พี่ชายไม่สามารถสูดเอาอากาศเข้าปากได้ในความยาวของสาย

    ยาง 20 เมตรหรอก....ดำน้ำไปก็ขาดอากาศตายอยู่ในน้ำนั้นแน่นอน.....ขนาดเอาสายยางใช้กับก็อก

    น้ำเวลาเปิดน้ำอย่างแรงกว่าน้ำมันจะวิ่งออกมาจากอีกปลายด้านหนึ่งก็เกือบนาทีแล้ว......แต่หนูว่าถ้า

    เปลี่ยนเป็นพี่ไก่ตุ๋นนั่งอยู่บนเรือลอยอยู่ใต้สะพานถือปลายสายยางไว้ตัดสายยางให้สั้นลงสัก 10 เมตร

    กับความลึกของแม่น้ำน่านตรงบริเวณนั้น...มันอาจเป็นไปได้นะสำหรับวิธีนี้"


    ...................กาเผือกฟังพวงผกาพูดพร้อมกับคิดตามเขาก็เห็นว่าเธอพูดได้

    ค่อนข้างถูกต้อง...เพราะสายยางระยะ 20 เมตร..เขาคงสูดอากาศดึงเข้าปากไม่ทัน...แต่ถ้าเป็น 10

    เมตรแล้วปลายท่อยางอยู่บนเรือ..เขาอาจสูดดึงอากาศได้....แต่ปัญหาก็คือเรือจะเอามาจาก

    ไหน...เขาจึงเอ่ยถามขึ้น

    ......................."แล้วเรือที่จะใช้ในการนี้เราจะเอามาจากไหน"


    .................."ลืมไปแล้วหรือพี่ว่าหนูคือคนเมืองน่านนะ....พวกพ้องของ

    หนูมีอยู่....และจะเอาเรือขนาดใหญ่ให้จุคนได้มากด้วย"....เธอหมายความว่าจะยืมเรือจากพรรคพวก

    ของเธอ


    ....................คำพูดของพวกผกาทำให้กาเผือกสบายใจได้ระดับ

    หนึ่ง....พร้อมกับยิ้มให้กับพวงผกา....พลางเอ่ยขึ้น...."ไม่รู้ว่าเซจีกำลังทำอะไร...จะวุ่นวายใจเหมือน

    พวกเราหรือหลับสบายไปแล้วก็ไม่รู้"


    .................พวงผกาได้ยินกาเผือกเอ่ยถึงเซจี..เธอจึงนึกขันพูดสวน

    กลับไปว่า......."ฮั้นแน่...อยากให้เซจีโอบกอดอีกละสิท่า...ดูท่าจะอบอุ่นดีนะ"


    .................คำพูดของพวงผกาทำให้กาเผือกหัวเราะ...แล้วเอ่ยขึ้นอย่าง

    อารมณ์ดีเป็นเชิงต่อว่าเธอ......"ยัยเด็กบ้า...ไปนอนซะไป"

    .................เสียงหัวเราะของกาเผือกและพวงผกา

    ประสานเสียงกัน...ก่อนที่จะหลับไหลต่อไปจนถึงรุ่งเช้า.................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...