พระโมคคัลลานะทัวร์นรกสวรรค์ ถาม "ทำบุญ-กรรมอย่างไรจึงได้ผลอย่างนี้?"

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย วิมลเกียรติ์, 30 สิงหาคม 2007.

  1. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    รวมวิมานที่มีในวรรคนี้ คือ
    ๑. อาคาริยวิมานที่ ๑ ๒. อาคาริยวิมานที่ ๒
    ๓. ผลทายกวิมาน ๔. อุปัสสยทายกวิมานที่ ๑
    ๕. อุปัสสยทายกวิมานที่ ๒ ๖. ภิกขาทายกวิมาน
    ๗. ยวปาลกวิมาน ๘. กุณฑลีวิมานที่ ๑
    ๙. กุณฑลีวิมานที่ ๒ ๑๐. อุตตรวิมาน.
    จบ วรรคที่ ๖​
     
  2. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    สุนิกขิตวรรคที่ ๗

    ๑. จิตตลดาวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในจิตตลดาวิมาน

    พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า
    [๗๕] สวนจิตลดา เป็นสวนประเสริฐสูงสุดของชาวไตรทศ ย่อมสว่างไสว
    ฉันใด วิมานของท่านนี้ก็มีอุปมาฉันนั้น ย่อมสว่างไสว ลอยอยู่ในอากาศ
    ท่านถึงความเป็นเทพเจ้าผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก เมื่อครั้งท่านเป็นมนุษย์
    ได้ทำบุญอะไรไว้ ท่านมีอานุภาพอันรุ่งเรือง และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่ว
    ทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญอะไร?
    เทพบุตรนั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ
    จึงพยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์อยู่ในหมู่
    มนุษย์ เป็นคนขัดสน ไม่มีที่พึ่ง เป็นคนกำพร้า เป็นกรรมกร เลี้ยงดู
    มารดาบิดาผู้แก่เฒ่า อนึ่ง ท่านผู้มีศีลเป็นที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีจิต
    เลื่อมใสได้ถวายข้าวและน้ำเป็นทานอันไพบูลย์ โดยความเคารพ ข้าพเจ้า
    มีวรรณะงามเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ
    อย่างนี้ เพราะบุญนั้น.
    จบ จิตตลดาวิมานที่ ๑
     
  3. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๒. นันทนวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในนันทนวิมาน

    พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า
    [๗๖] สวนจิตลดา เป็นสวนประเสริฐสูงสุดของชาวไตรทศ ฯลฯ ท่านมีอานุภาพ
    อันรุ่งเรือง และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญอะไร?
    เทพบุตรนั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ
    จึงพยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์อยู่ใน
    หมู่มนุษย์ เป็นคนขัดสน ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้
    เพราะบุญนั้น.
    จบ นันทนวิมานที่ ๒​
     
  4. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๓. มณิถูณวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในมณิถูณวิมาน

    พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า
    [๗๗] วิมานแก้วมณีของท่านนี้สูง ๑๒ โยชน์ โดยรอบมีปราสาท ๗๐๐ มีเสา
    ล้วนแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ปูลาดด้วยเครื่องลาดทองคำอันงามยิ่ง ท่านอยู่
    ดื่ม และบริโภคสุธาโภชน์ในวิมานนั้น อนึ่ง เทพบุตรผู้มีเสียงไพเราะ
    ก็พากันมาบรรเลงพิณทิพย์ เบญจกามคุณมีรสอันเป็นทิพย์ก็มีอยู่ในวิมาน
    นี้ ทั้งเหล่าเทพนารีผู้ประดับประดาด้วยเครื่องทองคำ พากันมาฟ้อนรำอยู่
    ท่านมีวรรณะงามเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่ว
    ทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญอะไร?
    เทพบุตรนั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ
    จึงพยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์อยู่ในหมู่
    มนุษย์ ได้สร้างที่จงกรมไว้ใกล้ทางในป่าใหญ่ และปลูกต้นไม้อันน่า
    รื่นรมย์ อนึ่ง ท่านผู้มีศีลเป็นที่น่ารักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส
    ได้ถวายข้าวน้ำมากมายเป็นทานโดยความเคารพ ข้าพเจ้ามีวรรณะงามเช่นนี้
    เพราะบุญนั้น ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญนั้น.
    จบ มณิถูณวิมานที่ ๓
     
  5. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๔. สุวรรณวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในสุวรรณวิมาน

    พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า
    [๗๘] วิมานของท่านสว่างไสวทุกส่วน ปกคลุมด้วยข่ายทองคำ ผูกขึงข่ายกระดึง
    ตั้งอยู่บนภูเขาทอง เสาทุกต้นของวิมานนั้นแปดเหลี่ยม อันบุญกรรม
    ทำดีแล้ว สำเร็จด้วยแก้วไพฑูรย์ที่เหลี่ยมหนึ่งๆ มีรตนะ ๗ ประการ
    อันบุญกรรมเนรมิตแล้ว มีพื้นอันน่ารื่นรมย์ใจ วิจิตรด้วยแก้วไพฑูรย์
    ทองคำ แก้วผลึก รูปิยะ มรกต มุกดา ทับทิม และแก้วมณี วิมาน
    นั้นไม่มีธุลีพุ่งขึ้น หมู่กลอนทั้งหลายมีสีเหลือง อันบุญกรรมเนรมิตแล้ว
    ทรงไว้ซึ่งช่อฟ้า บุญกรรมเนรมิตบันได ๔ บันไดในทิศทั้ง ๔ มีห้อง
    สำเร็จด้วยรตนะต่างๆ รุ่งเรืองสว่างไสวดุจพระอาทิตย์ มีอัฒจันท์ ๔
    จำแนกออกเป็นส่วนๆ รุ่งเรืองสว่างไสวไปตลอดทั่วทิศทั้ง ๔ โดยรอบ
    ท่านมีรัศมีรุ่งเรืองล่วงเหล่าเทพบุตรผู้มีรัศมีมาก ในวิมานอันประเสริฐนั้น
    ดุจพระอาทิตย์อุทัย นี้เป็นผลแห่งทาน ศีล หรืออัญชลีกรรมของท่าน
    อาตมาถามแล้ว ขอท่านจงบอกผลกรรมนั้นแก่อาตมา?
    เทพบุตรนั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ
    จึงพยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์อยู่ใน
    เมืองอันธกวินทะ มีจิตเลื่อมใสได้สร้างวิหารถวายพระศาสดาผู้เป็น
    พระพุทธเจ้าเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ ด้วยมือของตน ข้าพเจ้ามีใจผ่องใส
    ได้บูชาด้วยของหอม ดอกไม้ ปัจจัย และเครื่องลูบไล้ แด่พระศาสดา
    ผู้อยู่ในวิหารนั้น เพราะบุญนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ผลนี้มีอำนาจปกครอง
    นันทนอุทยาน อันหมู่นางอัปสรฟ้อนรำขับร้องห้อมล้อม รื่นรมย์อยู่ใน
    สวนนันทวันอันประเสริฐ เป็นที่รื่นรมย์เกลื่อนไปด้วยหมู่นกต่างๆ พรรณ.
    จบ สุวรรณวิมานที่ ๔
     
  6. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๕. อัมพวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในอัมพวิมาน

    พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า
    [๗๙] วิมานแก้วมณีของท่านนี้สูง ๑๒ โยชน์ โดยรอบมีปราสาท ๗๐๐ มีเสา
    ล้วนแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ปูลาดด้วยเครื่องลาดทองคำอันงามยิ่ง ตัวของ
    ท่านก็อยู่ ดื่ม และบริโภคสุธาโภชน์ในวิมานนั้น อนึ่ง เทพบุตรผู้มี
    เสียงอันไพเราะ พากันมาบรรเลงเพลงพิณทิพย์ให้ฟัง เบญจกามคุณซึ่งมี
    รสอันเป็นทิพย์มีอยู่พรั่งพร้อมในวิมานนี้ ทั้งเหล่าเทพนารีมีร่างอัน
    ประดับด้วยเครื่องทองคำ พากันมาฟ้อนรำอยู่ ท่านมีวรรณะงามเช่นนี้
    เพราะบุญอะไร ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญ
    อะไร?
    เทพบุตรนั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ
    จึงพยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า ข้าพเจ้าเป็นบุรุษรับจ้างของ
    ชนเหล่าอื่น เมื่อพระอาทิตย์กำลังแผดแสงในเดือนท้ายแห่งฤดูร้อน
    ได้ตักน้ำรดสวนมะม่วงอยู่ ครั้งนั้นภิกษุปรากฏชื่อว่า สารีบุตร ลำบากกาย
    ไม่ลำบากใจได้มาทางสวนมะม่วงนั้น ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นคนรดน้ำต้น
    มะม่วง ได้เห็นท่านพระสารีบุตรกำลังเดินมา จึงได้กล่าวว่า ข้าแต่ท่าน
    ผู้เจริญ ขอโอกาสเถิด ขอนิมนต์ท่านสรงน้ำ ข้อนั้นจะพึงนำความสุข
    มาให้แก่ข้าพเจ้า ท่านพระสารีบุตรวางบาตรและจีวรไว้ เหลือแต่จีวร
    ตัวเดียวนั่งที่ร่มโคนต้นไม้ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีใจ
    เลื่อมใส เอาน้ำอันใสสรงพระเถระผู้มีจีวรตัวเดียว นั่งอยู่ที่ร่ม ณ โคน
    ต้นไม้ ต้นมะม่วง ข้าพเจ้าได้รดน้ำแล้ว และสมณะข้าพเจ้าได้สรงน้ำ
    แล้ว ข้าพเจ้าได้ประสบบุญมีประมาณมิใช่น้อย บุรุษนั้นย่อมซาบซ่าน
    ไปทั่วกายของตนด้วยความปีติด้วยคิดว่า เราได้ทำกรรมมีประมาณเท่านี้
    ในชาตินั้น ละร่างมนุษย์แล้ว ได้มาบังเกิดในสวนนันทวัน ข้าพเจ้าอัน
    นางเทพอัปสรพากันฟ้อนรำขับร้องห้อมล้อม รื่นรมย์อยู่ในสวนนันทวัน
    อันประเสริฐ เป็นสถานอันรื่นรมย์เกลื่อนไปด้วยหมู่นกนานาพรรณ.
    จบ อัมพวิมานที่ ๕​
     
  7. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๖. โคปาลวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในโคปาลวิมาน

    พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า
    [๘๐] ภิกษุเห็นข้าพเจ้าแล้วได้ถามว่า ท่านมีมือสวมเครื่องประดับเรืองยศ
    รุ่งโรจน์อยู่ในวิมานอันสูง อันตั้งอยู่สิ้นกาลนาน ดุจพระจันทร์ รุ่งโรจน์
    อยู่ในทิพยวิมานฉะนั้น อนึ่ง เทพบุตรผู้มีเสียงอันไพเราะพากันมาบรร-
    เลงพิณทิพย์ให้ฟัง ในปราสาทหลังหนึ่งๆ มีนางเทพอัปสร ๖ หมื่นนาง
    ล้วนได้ศึกษาแล้วมีรูปงามยิ่ง เที่ยวไปในไตรทศ พากันมาฟ้อนรำขับร้อง
    ให้ท่านบันเทิงใจ ท่านถึงความเป็นเทพเจ้าผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก เมื่อ
    ท่านเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ ท่านมีอานุภาพรุ่งเรือง และมีรัศมีสว่าง
    ไสวไปทั่วทุกทิศ เพราะบุญอะไร?
    เทพบุตรนั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ
    จึงพยากรณ์ปัญหาแห่งกรรมที่ถูกถามนั้นว่า ข้าพเจ้าเกิดเป็นมนุษย์อยู่
    ในมนุษย์ ได้รับจ้างรักษาแม่โคนมของชนเหล่าอื่น ภายหลังมีสมณะ
    มายังสำนักของข้าพเจ้า แม่โคทั้งหลาย ได้ไปเพื่อจะกินถั่วราชมาส และ
    ข้าพเจ้าได้ทำกิจสองอย่างในวันนี้ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ครั้งนั้น ข้าพเจ้า
    ได้คิดอยู่อย่างนั้น ภายหลังกลับได้สัญญาโดยอุบายอันแยบคาย จึงวาง-
    ขนมกุมมาสลงในมือของพระเถระ พร้อมกับกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
    ขอจงให้โอกาส ข้าพเจ้าได้รีบเข้าไปสู่ไร่ถั่วราชมาสก่อนกว่าเจ้าของไร่
    ที่หมู่โคหักรานทรัพย์นั้น งูเห่าที่มีพิษมากได้กัดเท้าของข้าพเจ้าผู้รีบไปใน
    ไร่ถั่วราชมาสนั้น ข้าพเจ้าผู้อันทุกข์บีบคั้นแล้ว เป็นผู้อึดอัดใจ ภิกษุฉัน
    ขนมกุมมาสนั้นเองแล้วได้ให้ขนมกุมมาสเพื่ออนุเคราะห์ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า
    กระทำกาละ จุติจากอัตภาพนั้น แล้วไปบังเกิดเป็นเทวดา กุศลกรรม
    เพียงเท่านั้น อันข้าพเจ้ากระทำแล้ว ข้าพเจ้าได้เสวยกรรมอันเป็นสุข
    ด้วยตนเอง ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ข้าพเจ้าเป็นผู้อันพระคุณเจ้าอนุเคราะห์
    แล้วอย่างยิ่ง ขออภิวาทพระคุณเจ้าด้วยความเป็นผู้กตัญญู มุนีอื่นในโลก
    พร้อมเทวโลก มารโลก เป็นผู้อนุเคราะห์ยิ่งกว่าพระคุณเจ้ามิได้มี ข้าแต่
    ท่านผู้เจริญ ก็ข้าพเจ้าเป็นผู้อันพระคุณเจ้าอนุเคราะห์แล้วอย่างยิ่ง ขออภิ-
    วาทพระคุณเจ้าด้วยความเป็นผู้กตัญญู มุนีอื่นในโลกนี้หรือในโลกหน้า
    เป็นผู้อนุเคราะห์ยิ่งกว่าพระคุณเจ้า มิได้มี ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ข้าพเจ้าเป็น
    ผู้อันพระคุณเจ้าอนุเคราะห์แล้วอย่างยิ่ง ขออภิวาทพระคุณเจ้าด้วยความ
    เป็นผู้กตัญญู.
    จบ โคปาลวิมานที่ ๖
     
  8. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๗. กัณฐกวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในกัณฐกวิมาน

    พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า
    [๘๑] พระจันทร์ในวันเพ็ญ อันหมู่ดาวนักษัตรแวดล้อมแล้ว เป็นใหญ่กว่า
    หมู่ดาว มีรูปกระต่าย ย่อมหมุนเวียนไปโดยรอบฉันใด วิมานของท่าน
    นี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น ย่อมไพโรจน์ยิ่งด้วยรัศมี อยู่ในเทพบุรี ดุลพระ-
    อาทิตย์อุทัยฉะนั้น พื้นวิมานของท่านน่ารื่นรมย์ใจ วิจิตรแล้วด้วยไพฑูรย์
    ทองคำ แก้วผลึก รูปียะ มรกต มุกดา และแก้วทับทิม ลาดด้วยแก้ว
    ไพฑูรย์ ปราสาททั้งหลายของท่านงามน่ารื่นรมย์ ปราสาทของท่าน
    อันบุญกรรมเนรมิตดีแล้ว อนึ่ง สระโบกขรณีของท่าน เป็นสถานน่า
    รื่นรมย์กว้างขวาง อันหมู่ปลาเป็นอันมาก อาศัยแล้ว มีน้ำใสสะอาด
    พื้นลาดด้วยทรายทอง ดารดาษด้วยปทุมชาตินานา เป็นที่รวมอยู่แห่ง-
    บัวขาบ ครั้นลมรำเพยพัด กลิ่นหอมฟุ้งชื่นใจ ที่สองข้างแห่งสระโบก
    ขรณีของท่านนั้น มีพุ่มไม้อันบุญกรรมเนรมิตไว้ให้เป็นอย่างดี ประกอบ
    ด้วยหมู่ไม้ดอกและไม้ผล หมู่นางเทพอัปสรปกคลุมด้วยสรรพาภรณ์
    ทัดทรงมาลาต่างๆ พากันมาบำรุง ท่านผู้มีฤทธิ์มาก ผู้นั่งบนบัลลังก์
    เชิงทองคำ อ่อนนุ่ม อันบุญกรรมลาดแล้วด้วยผ้าโกเชาว์ ให้รื่นรมย์ใจ
    ดุจท้าววสวดีเทวราช ท่านสมบูรณ์ด้วยความยินดีในการฟ้อนรำ ขับร้อง
    และการประโคม รื่นเริงด้วยกลอง สังข์ ตะโพน พิณ และบัณเฑาะว์
    รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นทิพย์อันท่านประสงค์แล้ว
    น่ารื่นรมย์ใจ มีอยู่พร้อมในวิมานของท่าน ท่านมีรัศมีรุ่งเรืองยิ่งกว่า
    เทพบุตรผู้มีรัศมีรุ่งเรืองในวิมาน อันประเสริฐนั้น ดุจพระอาทิตย์อุทัย
    นี้เป็นผลแห่งทาน ศีลหรืออัญชลีกรรมของท่าน อาตมาถามแล้ว ขอจง
    บอกผลนั้น แก่อาตมา?
    เทพบุตรนั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ
    จึงพยากรณ์ปัญญาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า ข้าพเจ้าเป็นพญาม้าชื่อ
    กัณฐกะ เป็นสหชาติของพระโอรส ของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้เป็นใหญ่
    กว่าเจ้าศากยะทั้งหลายในกรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อพระราชโอรสนั้น เสด็จออก
    มหาภิเนษกรมณ์ในมัชฌิมยามเพื่อความตรัสรู้ เอาฝ่าพระหัตถ์อันอ่อน
    เล็บแดงจางสุกใส ตบอกข้าพเจ้าเบาๆ แล้วตรัสกะข้าพเจ้าว่า จงพา
    ฉันไปเถิดสหาย ฉันได้บรรลุพระโพธิญาณอันอุดมแล้ว จักยังโลกให้
    ข้ามพ้นจากห้วงน้ำใหญ่คือสงสาร เมื่อข้าพเจ้าฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ได้
    มีความร่าเริงยินดีเบิกบาน บันเทิงใจเป็นอันมาก ข้าพเจ้าจึงได้รับคำของ
    ท่านโดยความเคารพ ครั้นข้าพเจ้ารู้ว่า พระมหาบุรุษผู้เป็นพระโอรสแห่ง
    ศากยราชผู้เรืองยศ ประทับนั่งบนหลังของข้าพเจ้าแล้ว มีจิตเบิกบาน
    บันเทิงใจ นำพระมหาบุรุษออกไปจากพระนคร ไปจนถึงแว่นแคว้นของ
    กษัตริย์เหล่าอื่น เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระมหาบุรุษมิได้มีความอาลัย
    ละทิ้งข้าพเจ้ากับฉันนะอำมาตย์ไว้ ทรงหลีกไป ข้าพเจ้าได้เลียพระบาท
    ทั้ง ๒ ของพระองค์ ซึ่งมีเล็บอันแดง ด้วยลิ้น ร้องไห้ แลดูพระลูกเจ้า
    ผู้มีความเพียรอันยิ่งใหญ่เสด็จไปอยู่ ข้าพเจ้าป่วยอย่างหนักเพราะมิได้เห็น
    พระมหาบุรุษศากโยรส ผู้มีศิริพระองค์นั้น ข้าพเจ้าได้ตายลงอย่างรวดเร็ว
    ด้วยอานุภาพแห่งปีติและโสมนัสนั้น ข้าพเจ้าจึงได้มาอยู่ยังมานนี้ อัน
    ประกอบด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์ ดุจท้าวสักกเทวราชผู้เป็นใหญ่ในเทพบุรี
    ฉะนั้น ความยินดีและความร่าเริงได้เกิดมีแก่ข้าพเจ้า เพราะได้ฟังเสียง
    ว่า เพื่อพระโพธิญาณก่อนกว่าสิ่งอื่นๆ ฉักจักบรรลุความสิ้นไปแห่ง
    อาสวะ เพราะกุศลกรรมนั้นนั่นแล ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ถ้าพระคุณ
    เจ้าพึงไปในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ศาสดาไซร้ ขอบพระคุณเจ้าจงทูลถึง
    การถวายบังคมด้วยเศียรเกล้ากะพระองค์ตามคำของข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้า
    ก็จักไปเฝ้าพระชินเจ้าผู้หาบุคคลอื่นเปรียบมิได้ การได้เห็นพระโลก-
    นาถเจ้าเช่นนั้น หาได้ยาก.
    พระสังคีติกาจารย์ได้รจนาคาถาไว้ ๒ คาถา ความว่า
    ก็กัณฐกเทพบุตรนั้น เป็นผู้กตัญญูกตเวที ได้เข้าเฝ้าพระศาสดาฟังพระ-
    ดำรัสของพระศาสดาผู้มีพระจักษุแล้ว ได้บรรลุธรรมจักษุกล่าวคือโสดา
    ปัตติผล ได้ชำระทิฏฐิและวิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสของตนให้บริสุทธิ์
    ถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระศาสดา แล้วอันตรธานไปในที่นั้น
    นั่นเอง.
    จบ กัณฐกวิมานที่ ๗
     
  9. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๘. อเนกวัณณวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในอเนกวัณณวิมาน

    พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า
    [๘๒] ท่านอันหมู่นางเทพอัปสรแวดล้อมแล้ว ขึ้นสู่วิมานอันมีรัศมีต่างๆ เป็น
    ที่ระงับความกระวนกระวาย และความเศร้าโศกมีรูปอันวิจิตรต่างๆ อัน
    บุญกรรมตบแต่งดีแล้ว บันเทิงอยู่ดุจท้าวสุนิมมิตเทวราชผู้เป็นใหญ่กว่า
    เทวดา ไม่มีผู้จะเสมอเหมือนท่าน ไม่มีใครแม้ที่ไหนยิ่งไปกว่าท่านด้วยยศ
    บุญและฤทธิ์ เทพเจ้าทั้งหมด และเทพเจ้าชั้นไตรทศก็พากันมาประชุม
    ไหว้ท่าน ดุจมนุษย์และเทวดาไหว้พระจันทร์ ซึ่งปรากฏในวันเพ็ญ
    ฉะนั้น เทพบุตรและนางเทพอัปสรเหล่านี้ พากันมาฟ้อนรำขับร้องอยู่
    โดยรอบเพื่อให้ท่านเบิกบานใจ ท่านเป็นผู้ถึงความเป็นเทพเจ้าผู้มีฤทธิ์
    ท่านมีอานุภาพมาก เมื่อท่านเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ ท่านมีอานุภาพ
    อันรุ่งเรือง และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญอะไร?
    เทพบุตรนั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ
    จึงพยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อน
    ข้าพเจ้าเป็นสาวกของพระชินเจ้าทรงพระนามว่าสุเมธ เป็นปุถุชนยังไม่ได้
    ตรัสรู้มรรคผล บวชอยู่ ๗ พรรษา เมื่อพระศาสดาทรงพระนามว่าสุเมธ
    ผู้ชนะมาร มีโอฆะอันข้ามได้แล้ว ผู้คงที่ ปรินิพพานแล้ว ข้าพเจ้านั้นได้
    ไหว้รัตนเจดีย์อันหุ้มด้วยข่ายทองคำ ยังใจให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น
    ข้าพเจ้าไม่มีการให้ทาน เพราะข้าพเจ้าไม่มีไทยวัตถุให้ แต่ได้ชักชวนชน
    เหล่าอื่นในการให้ทานนั้นว่า ท่านทั้งหลายจงบูชาพระธาตุของพระพุทธ-
    เจ้าผู้ควรบูชาเถิด ได้ยินว่าพวกท่านจักไปสู่สวรรค์ เพราะการบูชา
    พระบรมธาตุอย่างนี้ กุศลกรรมเท่านั้นอันข้าพเจ้าได้กระทำแล้ว ข้าพเจ้า
    จึงได้เสวยสุขอันเป็นทิพย์ด้วยตนเอง บันเทิงใจอยู่ในท่ามกลางหมู่เทพ-
    เจ้าชาวไตรทศ ข้าพเจ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งบุญนั้น.
    จบ อเนกวัณณวิมานที่ ๘
     
  10. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๙. มัฏฐกุณฑลีวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในมัฏฐกุณฑลีวิมาน

    [๘๓] พราหมณ์ถามเทพบุตรนั้นว่า
    ท่านประดับแล้ว มีต่างหูอันเกลี้ยง ทัดทรงดอกไม้ มีตัวลูบไล้ด้วย
    จันทน์แดง ประคองแขนทั้งสองข้างคร่ำครวญอยู่ในป่าช้า ท่านเป็น
    ทุกข์ถึงอะไรเล่า?
    มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรตอบว่า
    เรือนรถทำด้วยทองคำงามผุดผ่อง เกิดขึ้นแล้วแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหาคู่ล้อ
    ของรถนั้นยังไม่ได้ ข้าพเจ้าจักสละชีวิตเพราะความทุกข์นั้น.
    พราหมณ์กล่าวว่า
    ดูกรมาณพผู้เจริญ ท่านอยากได้คู่ล้อทำด้วยทองคำ ทำด้วยแก้ว ทำด้วย
    ทองแดง หรือทำด้วยเงิน ขอจงบอกแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้ท่านได้คู่
    ล้อนั้น.
    มาณพตอบแก่พราหมณ์นั้นว่า
    พระจันทร์อาทิตย์ ย่อมปรากฏในวิถีทั้งสอง รถของข้าพเจ้าทำด้วยทองคำ
    ย่อมงามด้วยคู่ล้อนั้น.
    พราหมณ์กล่าวว่า
    ดูกรมาณพ ท่านเป็นคนโง่ ที่ท่านมาปรารถนา สิ่งที่ไม่ควรปรารถนา
    ข้าพเจ้าเข้าใจว่าท่านจักตาย จักไม่ได้พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง
    เลย.
    มาณพกล่าวว่า
    แม้การไปและการมาของพระจันทร์ และพระอาทิตย์ยังปรากฏอยู่ รัศมี
    ของพระจันทร์และพระอาทิตย์นั้น ยังปรากฏอยู่ในวิถีทั้งสอง ส่วนคน
    ที่ตายล่วงลับไปแล้วย่อมไม่ปรากฏ เราทั้งสองคร่ำครวญอยู่ในที่นี้ ใครจะ
    โง่กว่ากัน.
    พราหมณ์กล่าวว่า
    ดูกรมาณพ ท่านพูดจริง เราทั้งสองคนผู้คร่ำครวญอยู่ ข้าพเจ้าเองเป็น
    คนโง่กว่า เพราะข้าพเจ้าอยากได้บุตรที่ตายไปแล้ว เหมือนทารกร้องไห้
    อยากได้พระจันทร์ฉะนั้น ท่านมารดข้าพเจ้าผู้เร่าร้อนให้สงบ ยังความกระ-
    วนกระวายทั้งปวงให้ดับเหมือนบุคคลดับไฟ ที่ลาดเปรียงด้วยน้ำฉะนั้น
    ลูกศรคือความโศกอันเสียบแทงหทัยของข้าพเจ้า อันท่านผู้บรรเทาความ
    โศกถึงบุตรแก่ข้าพเจ้า ผู้ถูกความโศกครอบงำแล้ว ถอนขึ้นแล้ว ดูกร-
    มาณพ ข้าพเจ้าเป็นผู้มีลูกศรคือความโศก อันท่านถอนขึ้นแล้ว เป็น
    ผู้เย็น ดับสนิท จะไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้ เพราะฟังคำของท่าน ท่าน
    เป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกปุรินททะ ท่านเป็นใคร
    หรือเป็นบุตรของใคร ไฉนข้าพเจ้าจะรู้จักท่านเล่า?
    มาณพกล่าวว่า
    ท่านเผาบุตรที่ป่าช้าเองแล้ว คร่ำครวญร้องไห้ถึงบุตรคนใดบุตรคนนั้นคือ
    ข้าพเจ้า ทำกุศลกรรมแล้ว ถึงความเป็นสหายของเทพเจ้าชาวไตรทศ.
    พราหมณ์ถามว่า
    เมื่อท่านให้ทานน้อยหรือมากในเรือนของตน หรือรักษาอุโบสถกรรม-
    เช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น ท่านไปสู่เทวโลกได้เพราะกรรมอะไร?
    มาณพกล่าวว่า
    เมื่อข้าพเจ้าป่วยเป็นไข้ได้รับทุกข์ มีกายกระสับกระส่ายอยู่ในที่อยู่ของ-
    ตน ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสธุลี ผู้ข้ามพ้นความสงสัย
    ผู้เสด็จไปดีแล้ว มีพระปัญญาไม่ทราม ข้าพเจ้ามีใจเบิกบานเลื่อมใส ได้
    ทำอัญชลีแด่พระตถาคต ข้าพเจ้าถึงความเป็นสหายของเทวดาชาวไตรทศ
    เพราะทำกุศลกรรมนั้น.
    พราหมณ์กล่าวว่า
    น่าอัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีมาแล้วหนอ ผลของอัชลีกรรมเป็นได้ถึงเช่นนี้
    ถึงข้าพเจ้าก็มีใจเบิกบานเลื่อมใส ขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งในวันนี้
    ทีเดียว.
    มาณพกล่าวว่า
    ขอท่านจงมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็น
    ที่พึ่งในวันนี้ทีเดียว อนึ่ง ท่านจงสมาทานสิกขาบท ๕ อย่าให้ขาดและ
    ด่างพร้อย คือ จงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์โดยพลัน จงเว้นการถือเอาสิ่งของ
    ที่เขามิได้ให้ในโลก จงยินดีด้วยภรรยาของตน อย่ากล่าวเท็จ อย่าดื่ม
    น้ำเมา.
    พราหมณ์กล่าวว่า
    ดูกรเทวดาผู้ควรบูชา ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์ ปรารถนาสิ่งเกื้อกูล
    แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะทำตามคำของท่าน ท่านเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมอันยอดเยี่ยม และพระสงฆ์สาวก
    ของพระพุทธเจ้าผู้เป็นนรเทพว่าเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าของดเว้นจากการฆ่าสัตว์
    โดยพลัน ของดเว้นการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้ในโลก ยินดีในภรรยา
    ของตน ไม่กล่าวเท็จ และไม่ดื่มน้ำเมา.
    จบ มัฏฐกุณฑลีวิมานที่ ๙
     
  11. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๑๐. เสริสสกวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในเสริสสกวิมาน

    [๘๔] ท่านพระควัมปติกล่าวว่า
    ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำเทวดา และพวกพ่อค้ามาพบกัน ในเวลาที่พวก
    พ่อค้าหลงทางในทะเลทราย อนึ่ง ถ้อยคำที่พวกเทวดาและพวกพ่อค้า
    โต้ตอบกัน ฉันใด ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำนั่น ฉันนั้นเถิด ยังมี
    พระราชาทรงพระนามว่าปายาสิ มียศ ถึงความเป็นสหายของภุมมเทวดา
    บันเทิงอยู่ในวิมานของตนเป็นเทวดาแต่ได้มาปราศรัยกับพวกมนุษย์.
    เสริสสกเทพบุตรถามพวกพ่อค้าด้วยคาถาว่า
    มนุษย์ทั้งหลายผู้กลัวทางคด หลงทางแล้วมาทำไมในป่าที่น่ารังเกียจ เป็น
    ที่สัญจรไปแห่งอมนุษย์ เป็นที่กันดารไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร เดินไป
    แสนยาก เป็นท่ามกลางแห่งทะเลทราย ในทะเลทรายนี้ ไม่มีผลไม้
    ไม่มีเผือกมัน หาเชื้อมิได้ จักมีอาหารแต่ที่ไหน นอกจากฝุ่นและทราย
    อันร้อนทารุณดังไฟเผา ที่นี้มีภาคพื้นอันแข็ง ร้อนดังแผ่นเหล็กแดง
    หาความสุขมีได้ เท่ากับนรก สถานที่นี้เป็นที่อยู่ดั้งเดิมของพวกหยาบช้า
    มีปีศาจเป็นต้น เป็นเหมือนภูมิประเทศถูกสาปแช่งไว้ เออก็พวกท่าน
    หวังประโยชน์อะไร ไม่ทันพิจารณาคุณและโทษ พากันหลงทางเข้ามา
    ยังประเทศนี้ เพราะเหตุอะไร เพราะความโลภหรือความกลัวหรือเพราะ
    ความหลง.
    พวกพ่อค้าตอบว่า
    พวกข้าพเจ้าเป็นพ่อค้าเกวียนอยู่ในแคว้นมคธ และแคว้นอังคะ บรรทุก
    สินค้ามามาก ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความต้องการทรัพย์ ปรารถนาอดิเรกลาภ
    เพิ่มพูน จึงพากันไปยังสินธุประเทศและโสวีระประเทศ ข้าพเจ้าทุกคน
    ไม่อาจจะอดกลั้นความกระหายในเวลากลางวัน และหมายจะอนุเคราะห์
    โคทั้งหลาย จึงได้พากันรีบเดินทางมาในราตรี อันเป็นเวลาค่ำคืน
    ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงได้พลัดจากทางไปสู่ทางผิดมืดมนดุจคนบอด หลงเข้า
    ไปในป่าที่ไปได้แสนยาก อันเป็นท่ามกลางทะเลทราย มีจิตงงงวย ไม่
    อาจกำหนดทิศได้ ดูกรเทพเจ้าผู้ควรบูชา พวกข้าพเจ้าได้เห็นวิมานอัน
    ประเสริฐของท่านนี้กับตัวท่าน ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนจึงหวังว่าจะรอด
    ชีวิตได้ยิ่งกว่าก่อน เพราะเห็นวิมานของท่าน กับตัวท่าน พวกข้าพเจ้ามี
    ความดีใจร่าเริง ขนลุกขนพอง.
    เสริสสกเทพบุตรกล่าวว่า
    ดูกรพ่อค้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเที่ยวไปสู่ฝั่งทะเลทรายข้างนี้ จดฝั่ง-
    ทะเลทรายข้างโน้น และไปสู่ทางอันเป็นทางไปยาก ประกอบด้วย
    เซิงหวายและหลักตอ ข้ามแม่น้ำและภูเขาทั้งหลายไปสู่ทิศต่างๆ เป็น
    อันมาก เพราะเหตุอยากได้โภคทรัพย์ เมื่อพวกท่านไปสู่แว่นแคว้นของ
    พระราชาเหล่าอื่น ท่านไปเห็นมนุษย์ในต่างประเทศ เราจะขอฟังสิ่ง
    อัศจรรย์ที่ท่านทั้งหลายได้ฟัง หรือได้เห็นแล้ว ในสำนักของท่าน
    ทั้งหลายฯ
    พวกพ่อค้าตอบว่า
    ดูกรกุมาร พวกข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นสมบัติมนุษย์ ในประเทศ
    อื่นทั้งหมด ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่าสมบัติในวิมานของท่านนี้ พวก
    ข้าพเจ้าได้เห็นวิมานของท่าน อันมีรัศมีไม่ทราม อันเลื่อนลอยไปได้ใน
    อากาศ จึงอิ่มใจนัก ในวิมานของท่านนี้ มีทั้งสระโบกขรณี พวงมาลา
    บัวขาบมากมาย มีหมู่รุกชาติอันเผล็ดดอกออกผลอยู่เป็นนิจนิรันดร ส่ง
    กลิ่นหอมฟุ้งขจรไป ในวิมานนี้ มีเสาแก้วไพฑูรย์สูงร้อยศอก ประดับ
    ด้วยแก้วผลึก แก้วประพาฬ บุษราคัม และแก้วมณีมีเหลี่ยมกว้าง มี
    รัศมีแผ่ซ่านไป วิมานของท่านนี้งามดีมีเสาพันหนึ่ง มีอานุภาพหาที่เปรียบ
    มิได้ เสาเหล่านั้นมีวิมานอันงาม แวดล้อมด้วยกำแพงทอง ด้วยแก้ว
    ต่างๆ มีหลังคาอันมุงแล้วด้วยแก้วต่างๆ ชนิด วิมานของท่านนี้มีแสง
    แห่งทองชมพูนุท ทอแสงขึ้นในเบื้องบน ประกอบด้วยปราสาท บันได
    และแผ่นกระดานอันเกลี้ยง งามดี มั่นคงและทรวดทรงงดงาม สม่ำเสมอ
    อันบุญกรรมปรุงดีแล้ว น่าดูน่าชม น่ารื่นรมย์ใจยิ่งนัก ภายในวิมาน
    แก้วนั้น มีข้าวและน้ำอันสมบูรณ์ ท่านเองก็แวดล้อมด้วยหมู่นางเทพ-
    อัปสรเสียงกึกก้องด้วยตะโพน เปิงมาง และดุริยางค์เป็นนิจ ท่านเป็นผู้
    อันหมู่เทพยดานอบนบแล้วด้วยการชมเชย และกราบไหว้ ปลาบปลื้ม
    อยู่ด้วยหมู่เทพนารี บันเทิงใจอยู่ในวิมาน และปราสาทอันประเสริฐน่า
    รื่นรมย์ใจ มีอานุภาพเป็นอจินไตย ประกอบไปด้วยคุณทั้งปวง ดุจท้าว
    เวสสุวรรณผู้เป็นใหญ่ ท่านเป็นเทวดาหรือเป็นยักษ์ เป็นท้าวสักกะ
    จอมเทพหรือเป็นมนุษย์ พวกพ่อค้าเกวียนถามท่าน ขอท่านจงบอกว่า
    ท่านเป็นเทวดาชื่ออะไร?
    เสริสสกเทพบุตรตอบว่า
    ข้าพเจ้าเป็นเทวดาชื่อว่าเสริสสกะ เป็นผู้รักษาทางกันดารเป็นเจ้าทะเล-
    ทราย ทำตามคำสั่งของท้าวเวสสุวรรณ รักษาประเทศนี้อยู่.
    พวกพ่อค้าถามว่า
    วิมานนี้ท่านได้ตามความปรารถนา หรือเกิดในกาลบางคราว ท่านทำเอง
    หรือเทวดาทั้งหลายมอบให้ พ่อค้าเกวียนทั้งหลายถามท่าน วิมานอันเป็นที่
    ชอบใจนี้ท่านได้มาอย่างไร?
    เสริสสกเทพบุตรตอบว่า
    วิมานอันเป็นที่ชอบใจนี้ มิใช่ข้าพเจ้าได้ตามความปรารถนา มิใช่เกิดขึ้น
    ในกาลบางคราว ข้าพเจ้ามิได้ทำเอง และเทวดาทั้งหลายก็มิได้มอบให้
    วิมานอันเป็นที่ชอบใจนี้ ข้าพเจ้าได้มาเพราะบุญกรรมอันดีงามของตน.
    พวกพ่อค้าถามว่า
    อะไรเป็นวัตรและเป็นพรหมจรรย์ของท่าน นี้เป็นวิบากแห่งบุญอะไร
    ที่ท่านสั่งสมไว้แล้ว พ่อค้าเกวียนทั้งหลาย ถามท่าน วิมานนี้ท่านได้มา
    อย่างไร?
    เสริสสกเทพบุตรตอบว่า
    ข้าพเจ้ามีนามว่าปายาสิ เมื่อครั้งข้าพเจ้าเสวยสมบัติในแคว้นโกศล
    ข้าพเจ้ามีความเห็นผิดว่าไม่มี มีความตระหนี่เหนี่ยวแน่น มีธรรมอัน
    ลามกมีปรกติกล่าวว่าขาดสูญ มีสมณะนามว่า กุมารกัสสป เป็นพหูสูต
    เป็นผู้เลิศในทางมีถ้อยคำอันวิจิตร ครั้งนั้นท่านได้แสดงธรรมกถาแก่
    ข้าพเจ้า ได้บรรเทาทิฏฐิผิดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมกถาของ
    ท่านนั้นแล้ว ได้ประกาศตนเป็นอุบาสก งดเว้นจากปาณาติบาต จาก
    อทินนาทาน สันโดษยินดีด้วยภรรยาของตน ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมา
    ข้อนั้นเป็นวัตรและเป็นพรหมจรรย์ของข้าพเจ้า นี้เป็นวิบากแห่งบุญที่
    ข้าพเจ้าได้สั่งสมไว้ วิมานนี้ข้าพเจ้าได้มาเพราะบุญกรรมอันดีงามนั้น
    นั่นแล.
    พวกพ่อค้าถามว่า
    ได้ยินว่า ถ้อยคำของนรชนผู้มีปัญญา เป็นบัณฑิต ที่ได้พูดไว้เป็นคำจริง
    ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่นว่า บุคคลผู้ทำบุญจะไปในที่ใดๆ ย่อมได้ตาม
    ความปรารถนา บันเทิงใจในที่นั้นๆ ความเศร้าโศก ความร่ำไร การ
    เบียดเบียน การจองจำ ความเศร้าหมอง มีอยู่ในที่ใดๆ คนทำบาป
    ย่อมไม่พ้นจากทุคติในกาลไหนๆ ดูกรกุมาร เพราะเหตุใดหนอ ความ
    โทมนัสจึงได้บังเกิดแก่เทวดาผู้เป็นบริวารของท่านนี้และแก่ท่าน ดุจคน
    ผู้หลงใหลฟั่นเฟือน และดุจน้ำอันขุ่นในครู่เดียวนี้.
    เสริสสกเทพบุตรตอบว่า
    แน่ะพ่อทั้งหลาย ป่าไม้ซึกเหล่านี้เป็นทิพย์มีกลิ่นหอมฟุ้งตระหลบไปทั่ว
    วิมานนี้ ใช่แต่เท่านั้น ป่าไม้ซึกนี้ยังกำจัดความมืดได้ทั้งกลางวันและ
    กลางคืน ล่วงไปร้อยปี เปลือกฝักแห่งต้นซึกนี้จึงจะสุกหล่นลงครั้งหนึ่งๆ
    เป็นอันรู้ว่าร้อยปีของมนุษย์ล่วงไปแล้ว ดูกรพ่อทั้งหลาย ตั้งแต่ข้าพเจ้า
    เกิดในเทพนิกายนี้จักตั้งอยู่ในวิมานนี้ตลอด ๕๐๐ ปีทิพย์ แล้วจึงจุติ
    เพราะสิ้นอายุ เพราะสิ้นบุญ ข้าพเจ้าสยบซบเซา เพราะความเศร้าโศก
    นั้นนั่นแล.
    พวกพ่อค้ากล่าวว่า
    ท่านได้วิมานนี้มานาน จะนับประมาณมิได้ เมื่อท่านเป็นเช่นนั้น
    จะเศร้าโศกไปทำไมเล่า ก็แหละคนที่มีบุญน้อย เข้าอยู่วิมานนี้นิดหน่อย
    ควรเศร้าโศกแน่แท้ แต่ท่านมีอายุถึง ๙ ล้านปีของมนุษย์ จะเศร้าโศก
    ไปทำไมเล่า ท่านอย่าเศร้าโศกไปเลย.
    เสริสสกเทพบุตรกล่าวว่า
    ดูกรท่านทั้งหลาย การที่ท่านทั้งหลายกล่าวตักเตือนข้าพเจ้าด้วยวาจาอัน
    เป็นที่รักนั้น สมควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะตามรักษาพวกท่าน ท่าน
    ทั้งหลายจงไปโดยสวัสดี ยังที่ที่ท่านทั้งหลายปรารถนาเถิด.
    พวกพ่อค้ากล่าวว่า
    ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความต้องการทรัพย์ปรารถนาอดิเรกลาภเพิ่มพูน จึงไป
    สู่สินธุประเทศและโสวีระประเทศ บัดนี้ พวกข้าพเจ้าขอบวงสรวงท่าน
    ขอให้ปฏิญาณไว้แก่ท่าน ถ้าพวกข้าพเจ้าได้ทรัพย์สมความปรารถนาแล้ว
    จักทำการบูชาเสริสสกเทพบุตรให้ยิ่ง.
    เสริสสกเทพบุตรกล่าวว่า
    ท่านทั้งหลายอย่าได้ทำการบูชาแก่เสริสสกเทพบุตรเลย สิ่งที่ท่านพูดถึง
    ทั้งหมด จักเป็นของท่าน ขอพวกท่านจงงดเว้นกรรมทั้งหลายอันเป็นบาป
    และจงอธิษฐานการประกอบตามซึ่งธรรม ในหมู่พ่อค้าเกวียนนี้ มีอุบาสก
    ผู้เป็นพหูสูต สมบูรณ์ด้วยศีลและวัตร มีศรัทธา มีปกติบริจาค มีศีลเป็น
    ที่รัก มีปัญญาเครื่องพิจารณา เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้รู้ เมื่อรู้สึกอยู่ไม่
    พูดมุสา ไม่คิดเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ไม่พึงกล่าวคำส่อเสียดให้เขาแตก
    กัน พูดแต่วาจาอ่อนหวานละมุนละม่อม มีความเคารพ ยำเกรง
    อ่อนน้อม ไม่เป็นคนทำบาป หมดจดในอธิศีล เป็นคนเลี้ยงมารดา
    และบิดาโดยธรรม มีความประพฤติบริสุทธิ์ แสวงหาโภคะทั้งหลาย
    เพราะเหตุแห่งมารดาและบิดา ไม่ใช่เพราะเหตุแห่งตน เมื่อมารดาบิดา
    ล่วงลับไปแล้ว มีจิตน้อมไปในเนกขัมมะ จักประพฤติพรหมจรรย์ เป็น
    คนตรง ไม่คดโกง ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา ไม่พูดโยด้วยอ้างเลศ
    อุบาสกผู้ทำงานอันบริสุทธิ์ตั้งอยู่ในธรรม เช่นนี้ จะพึงได้ทุกข์อย่างไร
    เล่า เพราะอุบาสกนั้นเป็นเหตุข้าพเจ้าจึงมาแสดงตนให้ปรากฏ ดูกรพ่อ
    ค้าทั้งหลาย เพราะฉะนั้น พวกท่านจึงได้เห็นข้าพเจ้า ก็ถ้าเว้นอุบาสก
    นั้นเสีย พวกท่านก็จักมืดมน ดุจคนตาบอด หลงเข้าไปในป่า จักเป็น
    เถ้าถ่านไป อันคนอื่นเบียดเบียนคนอื่นนั้น เป็นการกระทำได้ง่าย การ
    สมาคมด้วยสัปบุรุษ นำมาซึ่งความสุข.
    พวกพ่อค้าถามว่า
    อุบาสกนั้นชื่ออะไร ทำกรรมอะไร มีชื่ออย่างไร มีโคตรอย่างไร ดูกร
    เทพเจ้าผู้ควรบูชา ท่านมาในที่นี้เพื่ออนุเคราะห์อุบาสกคนใด แม้พวก
    ข้าพเจ้าก็ต้องการจะเห็นอุบาสกนั้น แม้ท่านรักอุบาสกคนใด ก็เป็นลาภ
    ของอุบาสกคนนั้น.
    เสริสสกเทพบุตรกล่าวว่า
    บุรุษใดเป็นกัลบกมีชื่อว่า สัมภวะเป็นคนรับใช้สอยของพวกท่าน
    อาศัยการตัดผมเลี้ยงชีพ ท่านทั้งหลายจงรู้บุรุษนั้นว่าเป็นอุบาสก ท่าน
    ทั้งหลายอย่าได้ดูหมิ่นอุบาสกนั้น ด้วยว่าอุบาสกนั้นผู้มีศีลเป็นที่รัก.
    พวกพ่อค้ากล่าวว่า
    ดูกรเทพเจ้าผู้ควรบูชา ท่านพูดถึงช่างตัดผมคนใด ข้าพเจ้าทั้งหลายรู้จัก
    แล้ว แต่ก่อนข้าพเจ้าทั้งหลายไม่รู้จักว่าเป็นเช่นนี้เลย เพราะฟังคำ
    ของท่าน แม้ข้าพเจ้าทั้งหลายก็จักบูชาอุบาสกนั้นเป็นอย่างยิ่ง.
    เสริสสกเทพบุตรกล่าวว่า
    มนุษย์ทั้งหมดในโลกนี้ เป็นหนุ่ม แก่หรือปานกลาง มนุษย์เหล่านั้น
    ทั้งหมดจงขึ้นสู่วิมานนี้แล้ว จงดูผลบุญของคนตระหนี่.
    พระธรรมสังคีตีกาจารย์ได้รจนาคาถาเหล่านี้ไว้ในที่สุดว่า
    พวกพ่อค้าเหล่านั้นทั้งหมดในที่นั้น พากันห้อมล้อมช่างกัลบกนั้นขึ้นสู่
    วิมาน ดุจวิมานแห่งท้าววาสะ ด้วยการกล่าวว่าเราก่อนๆ พวกพ่อค้า
    ทั้งหมดนั้น ได้ประกาศความเป็นอุบาสกว่า เราก่อนๆ ดังนี้ เป็นผู้งด
    เว้นจากปาณาติบาต จากอทินนาทาน ยินดีด้วยภรรยาของตน ไม่พูดเท็จ
    และไม่ดื่มน้ำเมา พวกพ่อค้าทั้งหมดนั้น ครั้นประกาศความเป็นอุบาสก
    แล้ว ผู้อันเสริสสกเทพบุตรบอกแล้ว บันเทิงอยู่ด้วยเทวฤทธิ์บ่อยๆ
    แล้วหลีกไป พวกพ่อค้าเหล่านั้นมีความต้องการด้วยทรัพย์ ปรารถนา
    อดิเรกลาภเพิ่มพูน ได้ไปยังสินธุประเทศและโสวีระประเทศ พยายาม
    ทำตามความปรารถนาของตน ได้ทรัพย์บริบูรณ์ตามความปรารถนา กลับ
    มาสู่ปาตลีบุตรดังเดิม หาอันตรายมิได้ มีความสวัสดี ไปสู่เรือนของตน
    พรั่งพร้อมด้วยบุตรและภรรยา มีจิตยินดีโสมนัสปลาบปลื้ม ได้ทำการ
    บูชาอย่างยิ่งแก่เสริสสกเทพบุตร ให้สร้างเทวาลัยชื่อว่าเสริสสกะ การ
    คบหาด้วยสัปบุรุษยังประโยชน์ให้สำเร็จอย่างนี้ การคบหาบุคคลผู้มี
    คุณธรรม มีประโยชน์มาก สัตว์ทั้งปวงย่อมได้รับประโยชน์ และมีความ
    สุข เพราะคบหาอุบาสกคนหนึ่งๆ
    จบ เสริสสกวิมานที่ ๑๐
     
  12. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๑๑. สุนิกขิตตวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในสุนิกขิตตวิมาน

    พระมหาโมคคัลลานเถระถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า
    [๘๕] วิมานแก้วมณีของท่านนี้ สูง ๑๒ โยชน์โดยรอบ มีปราสาท ๗๐๐ มีเสา
    ล้วนแล้วไปด้วยแก้วไพฑูรย์ ปูลาดด้วยเครื่องลาดอันงามยิ่ง ท่านอยู่
    ดื่ม และบริโภคสุธาโภชน์ในวิมานนี้ อนึ่ง เทพบุตรผู้นี้มีเสียงอัน
    ไพเราะพากันมาบรรเลงพิณทิพย์ เบญจกามคุณซึ่งมีรสเป็นทิพย์ก็มีอยู่
    พร้อมในวิมานนี้ ทั้งเหล่าเทพนารีปกคลุมด้วยเครื่องประดับทองคำ
    พากันมาฟ้อนรำอยู่ ท่านมีวรรณะเช่นนี้เพราะบุญอะไร อิฏฐผลย่อม
    สำเร็จแก่ท่านในวิมานนี้ และโภคสมบัติอันเป็นที่รักแห่งใจทุกสิ่งทุก
    อย่าง ย่อมเกิดขึ้นแก่ท่านเพราะบุญอะไร ดูกรเทพเจ้าผู้มีอานุภาพมาก
    อาตมาขอถามท่าน ท่านเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไร ท่านมีอานุภาพอันรุ่งเรือง
    และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญอะไร?
    เทพบุตรนั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ
    จึงพยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่าข้าพเจ้าได้จัดดอกไม้ อัน
    มหาชนจัดไว้แล้วไม่เรียบร้อย แล้วได้ประดิษฐานไว้ที่พระสถูปของพระ
    สุคตเจ้า จึงเป็นผู้มีฤทธิ์มากและมีอานุภาพมาก พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ
    อันเป็นทิพย์ ข้าพเจ้ามีวรรณะเช่นนี้เพราะบุญนั้น อิฏฐผลสมบัติอันเป็น
    ที่รักแห่งใจทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมเกิดแก่ข้าพเจ้าเพราะบุญนั้น ข้าพเจ้ามี
    อานุภาพอันรุ่งเรือง และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะ
    บุญนั้นๆ.
    จบ สุนิกขิตตวิมานที่ ๑๑

    จบ สุนิกขิตตวรรคที่ ๗
     
  13. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    รวมวิมานที่มีในวรรคนี้ คือ
    ๑. จิตตลดาวิมาน ๒. นันทนวิมาน
    ๓. มณิถูณวิมาน ๔. สุวรรณวิมาน
    ๕. อัมพวิมาน ๖. โคปาลวิมาน
    ๗. กัณฐกวิมาน ๘. อเนกวรรณวิมาน
    ๙. มัฏฐกุณฑลีวิมาน ๑๐. เสริสสกวิมาน
    ๑๑. สุนิกขิตตวิมาน.
    จบ ภาณวารที่ ๔​
     
  14. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    เปตวัตถุ
    (มาดูคนที่ได้รับบาปกรรมกันบ้างครับ)

    ๑. เขตตูปมาเปตวัตถุ ว่าด้วยพระอรหันต์เปรียบเหมือนนา

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ความว่า
    [๘๖] พระอรหันต์ทั้งหลายเปรียบด้วยนา ทายกทั้งหลายเปรียบด้วยชาวนา
    ไทยธรรมเปรียบด้วยพืช ผลทานย่อมเกิดแต่การบริจาคไทยธรรมของ
    ทายกและปฏิคคาหกผู้รับ พืชที่บุคคลหว่านลงในนานั้น ย่อมเกิดผลแก่
    เปรตทั้งหลายและทายกเปรตทั้งหลายย่อมบริโภคผลนั้น ทายกย่อมเจริญ
    ด้วยบุญ ทายกทำกุศลในโลกนี้แล้ว อุทิศให้เปรตทั้งหลาย ครั้นทำกรรม
    ดีแล้วย่อมไปสวรรค์.
    จบ เขตตูปมาวัตถุที่ ๑
     
  15. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๒. สูกรเปตวัตถุ ว่าด้วยบุพกรรมของเปรตปากหมู

    ท่านพระนารทะถามเปรตตนหนึ่งว่า
    [๘๗] กายของท่านมีสีเหมือนทองคำทั่วทั้งกาย รัศมีกายของท่านสว่างไสวไป
    ทั่วทุกทิศ แต่ปากของท่านเหมือนปากสุกร เมื่อก่อนท่านได้ทำกรรม
    อะไรไว้?
    เปรตนั้นตอบว่า
    ข้าแต่พระนารทะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าได้สำรวมกาย แต่ไม่ได้สำรวมวาจา
    เพราะเหตุนั้นรัศมีกายของข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นกับที่ท่านเห็นอยู่นั้น เพราะ
    เหตุนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวกะท่าน สรีระของข้าพเจ้าท่านเห็นเองแล้ว ขอ
    ท่านอย่าทำบาปด้วยปาก อย่าให้ปากสุกรเกิดมีแก่ท่าน.
    จบ สูกรเปตวัตถุ
     
  16. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๓. ปูตีมุขเปตวัตถุ ว่าด้วยบุพกรรมของเปรตปากเน่า

    ท่านพระนารทะถามเปรตตนหนึ่งว่า
    [๘๘] ท่านมีผิวพรรณงามดังทิพย์ ยืนอยู่ในอากาศ แต่ปากของท่านมีกลิ่น
    เหม็น หมู่หนอนพากันมาไชชอนอยู่ เมื่อก่อนท่านทำกรรมอะไรไว้?
    เปรตนั้นตอบว่า
    เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นสมณะลามก มีวาจาชั่ว สำรวมกายเป็นปกติ ไม่
    สำรวมปาก ผิวพรรณดังทองข้าพเจ้าได้แล้ว เพราะพรหมจรรย์นั้น แต่
    ปากของข้าพเจ้าเหม็นเน่าเพราะกล่าววาจาส่อเสียด ข้าแต่ท่านพระนารทะ
    รูปของข้าพเจ้านี้ท่านเห็นเองแล้ว ท่านผู้ฉลาดอนุเคราะห์กล่าวไว้ว่า
    ท่านอย่าพูดส่อเสียดและอย่าพูดมุสา ถ้าท่านละคำส่อเสียดและคำมุสา
    แล้ว สำรวมด้วยวาจา ท่านจักเป็นเทพเจ้าผู้สมบูรณ์ด้วยสิ่งที่น่าใคร่.
    จบ ปูติมุขเปตวัตถุที่ ๓
     
  17. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๔. ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ ว่าด้วยการทำบุญอุทิศให้เปรต

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
    [๘๙] บุคคลผู้ไม่ตะหนี่ ควรทำเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือปรารภถึงบุรพเปตชน
    เทวดาผู้สิงอยู่ในเรือน หรือท้าวมหาราชทั้ง ๔ ผู้รักษาโลก ผู้มียศ คือ
    ท้าวธตรัฐ ๑ ท้าววิรุฬหก ๑ ท้าววิรูปักษ์ ๑ ท้าวกุเวร ๑ ให้เป็นอารมณ์
    และพึงให้ทาน ท่านเหล่านั้นเป็นผู้อันบุคคลได้บูชาแล้ว และทายกก็ไม่
    ไร้ผล ความร้องไห้ ความเศร้าโศก หรือความร่ำไห้อย่างอื่น ไม่ควรทำ
    เลย เพราะความร้องไห้เป็นต้นนั้น ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ล่วงลับ
    ไปแล้ว ญาติทั้งหลายคงตั้งอยู่ตามธรรมดาของตนๆ อันทักษิณาทานนี้
    ที่ท่านเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์ให้แล้ว ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่บุรพเปต-
    ชนโดยทันที สิ้นกาลนาน.
    จบ ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุที่ ๔
     
  18. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๕. ติโรกุฑฑเปตวัตถุ ว่าด้วยบุพกรรมของเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร

    พระผู้มีพระภาคตรัสกะพระเจ้าพิมพิสารว่า
    [๙๐] เปรตทั้งหลายพากันมาสู่เรือนของตนแล้ว ยืนอยู่ภายนอกฝาที่ตรอก
    กำแพง และทาง ๓ แพร่ง และยืนอยู่ที่ใกล้บานประตู เมื่อข้าว น้ำ
    ของกิน ของบริโภคเป็นอันมากเขาเข้าไปตั้งไว้แล้ว แต่ญาติไรๆ ของ
    สัตว์เหล่านั้นระลึกไม่ได้ เพราะกรรมเป็นปัจจัย เหล่าชนผู้อนุเคราะห์
    ย่อมให้น้ำและโภชนะอันสะอาด ประณีตสมควรแก่ญาติทั้งหลายตามกาล
    ดุจทานที่มหาบพิตรทรงถวายแล้วฉะนั้น ด้วยเจตนาอุทิศว่า ขอทานนี้แล
    จงสำเร็จผลแก่ญาติทั้งหลายของเรา ขอญาติทั้งหลายของเราจงเป็นสุข
    เถิด ส่วนเปรตผู้เป็นญาติเหล่านั้น พากันมาชุมในที่นั้น เมื่อข้าว
    และน้ำมีอยู่บริบูรณ์ ย่อมอนุโมทนาโดยเคารพว่า เราได้สมบัติเพราะ
    เหตุแห่งญาติเหล่าใด ขอญาติของเราเหล่านั้น จงมีชีวิตอยู่ยืนนาน
    การบูชาเป็นอันพวกญาติได้ทำแล้วแก่เราทั้งหลาย และญาติทั้งหลายผู้ให้
    ก็ไม่ไร้ผล เพราะในเปรตวิสัยนั้น ไม่มีกสิกรรม ไม่มีโครักขกรรม ไม่
    มีการค้าขายเช่นนั้น ไม่มีการซื้อการขายด้วยเงิน เปรตทั้งหลายผู้ไปใน
    ปิตติวิสัย ย่อมเยียวยาอัตภาพด้วยทานที่ญาติหรือมิตรให้แล้วแต่มนุษย-
    โลกนี้ น้ำฝนอันตกลงในที่ดอน ย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด ทานอัน
    ญาติหรือมิตรให้แล้วในมนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่เปรตทั้งหลาย
    ฉันนั้นเหมือนกัน ห้วงน้ำใหญ่เต็มแล้ว ย่อมยังสาครให้เต็มเปี่ยม
    ฉันใด ทานอันญาติหรือมิตรให้แล้ว แต่มนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จผล
    แก่เปรตทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน กุลบุตรเมื่อระลึกถึงอุปการะที่ท่าน
    ทำแล้วในกาลก่อนว่า ญาติมิตรและสหายได้ให้สิ่งของแก่เรา ได้ช่วย
    ทำกิจของเรา ดังนี้ พึงให้ทักษิณาแก่เปรตทั้งหลาย ความเศร้าโศก
    หรือความร่ำไรอย่างอื่น ไม่ควรทำเลย เพราะความร้องไห้เป็นต้นนั้น
    ไม่เป็นประโยชน์แก่เปรตทั้งหลาย ญาติทั้งหลายย่อมดำรงอยู่โดยปกติ
    ธรรมดา อันทักษิณานี้แลที่ท่านเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์ ให้แล้ว ย่อม
    สำเร็จประโยชน์แก่เปรตนั้นโดยพลัน สิ้นกาลนาน ญาติธรรมมหาพิตร
    ได้แสดงให้ปรากฏแล้ว การบูชาอันยิ่งเพื่อเปรตทั้งหลาย มหาพิตรทรง
    ทำแล้ว และกำลังกายมหาบพิตรได้เพิ่มให้แก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว บุญมี
    ประมาณไม่น้อยมหาบพิตรได้ทรงขวนขวายแล้ว.
    จบ ติโรกุฑฑเปตวัตถุที่ ๕
     
  19. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๖. ปัญจปุตตขาทิกเปตวัตถุ ว่าด้วยบุพกรรมของเปรตกินลูกคราวละ ๕ คน

    พระสังฆเถระถามว่า
    [๙๑] ท่านเปลือยกาย มีผิวพรรณเลวทราม มีกลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งไป หมู่แมลง
    วันพากันตอมเกลื่อนกล่น ท่านเป็นใครหนอมายืนอยู่ในที่นี้?
    หญิงเปรตนั้นตอบว่า
    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรต ถึงทุคติ เกิดในยมโลก เพราะทำ
    กรรมอันลามกจึงต้องจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก เวลาเช้าคลอดบุตร ๕ คน
    เวลาเย็นอีก ๕ ตน แล้วกินลูกเหล่านั้นหมด ถึงบุตร ๑๐ คนเหล่านั้น
    ก็ยังไม่อาจบรรเทาความหิวของดิฉัน หัวใจของดิฉันเร่าร้อนอยู่เป็นนิจ
    เพราะความหิวดิฉันไม่ได้ดื่มน้ำที่ควรดื่ม ขอท่านจงดูดิฉันผู้ถึงความ
    พินาศเช่นนี้เถิด.
    พระเถระถามว่า
    เมื่อก่อน ท่านได้ทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ หรือท่านกินเนื้อ
    บุตรทั้งหลาย เพราะวิบากแห่งกรรมอะไร?
    หญิงเปรตนั้นตอบว่า
    เมื่อก่อน หญิงร่วมสามีของดิฉันคนหนึ่งมีครรภ์ ดิฉันคิดชั่วต่อเขา มีใจ
    ประทุษร้าย ได้ทำให้ครรภ์ตกไป เขามีครรภ์ ๒ เดือนเท่านั้น ไหลออก
    เป็นโลหิต ครั้งนั้น มารดาของเขาโกรธ เชิญพวกญาติของดิฉันมา
    ประชุมซักถาม ให้ดิฉันทำการสบถและขู่เข็ญให้กลัว ดิฉันได้กล่าวคำ
    สบถและมุสาวาทอย่างแรงว่า ถ้าดิฉันทำชั่วอย่างนี้ ขอให้ดิฉันกินเนื้อ
    บุตรเถิด ฉันมีกายอันเปื้อนด้วยหนองและโลหิต กินเนื้อบุตรทั้งหลาย
    เพราะวิบากแห่งกรรม คือ การทำให้ครรภ์ตกและการพูดมุสาทั้งสองนั้น
    จบ ปัญจปุตตขาทิกเปตวัตถุที่ ๖
     
  20. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ๗. สัตตปุตตขาทิกเปตวัตถุ ว่าด้วยบุพกรรมของเปรตกินลูกคราวละ ๗ ตน

    พระเถระถามหญิงเปรตตนหนึ่งว่า
    [๙๒] ท่านเปลือยกายมีผิวพรรณเลวทราม มีกลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งไป หมู่แมลงวัน
    พากันตอมเกลื่อนกล่น ท่านเป็นใครหนอมายืนอยู่ที่นี้?
    หญิงเปรตนั้นตอบว่า
    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรต ถึงทุคติ เกิดในยมโลก เพราะทำ
    กรรมอันลามกจึงต้องจากโลกนั้นไปสู่เปตโลก เวลาเช้าคลอดบุตร ๗ ตน
    เวลาเย็นอีก ๗ ตน แล้วกินบุตรเหล่านั้นหมด ถึงบุตร ๑๔ คนนั้นก็ยัง
    ไม่อาจบรรเทาความหิวของดิฉันได้ หัวใจของดิฉันย่อมเร่าร้อนอยู่เป็น
    นิจเพราะความหิว ดิฉันเป็นดุจถูกเผาด้วยไฟในที่อันร้อนยิ่ง ไม่ได้
    ประสบความเย็นเลย.
    พระเถระถามว่า
    ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ หรือท่านกินเนื้อบุตรเพราะ
    วิบากแห่งกรรมอะไร?
    หญิงเปรตนั้นตอบว่า
    เมื่อก่อนดิฉันมีบุตร ๒ คน บุตร ๒ คนนั้นกำลังหนุ่มแน่น ดิฉันเป็น
    ผู้เข้าถึงกำลังคือบุตร (ถือตัวว่ามีบุตร) จึงได้ดูหมิ่นสามีของตน ภาย
    หลังสามีของดิฉันโกรธ จึงได้หาภรรยามาใหม่ ก็ภรรยาใหม่นั้นมีครรภ์
    ดิฉันคิดชั่วต่อเขา มีใจประทุษร้าย ได้ทำให้ครรภ์ตกไป ภรรยาใหม่มี
    ครรภ์ ๓ เดือนเท่านั้น ตกเป็นโลหิตเน่า มารดาของเขาโกรธแล้วเชิญ
    พวกญาติของดิฉันมาประชุมซักถาม ให้ดิฉันทำการสบถและขู่เข็ญดิฉัน
    ให้กลัว ดิฉันได้กล่าวคำสบถและมุสาวาทอย่างแรงว่า ถ้าดิฉันทำชั่ว
    อย่างนี้ ขอให้ดิฉันกินเนื้อบุตรเถิด ดิฉันมีกายเปื้อนหนองและโลหิต
    กินเนื้อบุตรทั้งหลาย เพราะวิบากแห่งกรรม คือ การทำครรภ์ให้ตกไป
    และมุสาวาททั้งสองนั้น.
    จบ สัตตปุตตขาทิกเปตวัตถุที่ ๗
     

แชร์หน้านี้

Loading...