"พระ" ท้าสู้กับ "ผี" !!! ครั้งเมื่อ "หลวงปู่ตื้อ" เจอผีเจ้าถิ่น...อยากลองของดี "ปลุกให้ภาวนา"

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย อกาลิโก!, 13 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. อกาลิโก!

    อกาลิโก! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    609
    กระทู้เรื่องเด่น:
    531
    ค่าพลัง:
    +3,731
    8888-9.jpg


    ปาฏิหาริย์ของ หลวงปู่ตื้อนั้น จากที่ท่านได้ออกจาริกธุดงค์ไปตามป่าเขา ท่านได้ประสบพบเจอกับวิญญาณ ภูตผี ปีศาจมากมาย แต่ด้วยบารมีของท่าน ท่านก็ได้โปรดวิญญาณเหล่านั้นบ้าง แผ่บุญกุศลให้บ้าง แต่มีหลายครั้งที่ท่านได้เจอกับวิญญาณมิจฉาทิฐิ มาลองดีบ้าง แต่ท่านก้ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวแต่อย่างใด

    เมื่อครั้งหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม มาพำนักที่พระพุทธบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี เป็นครั้งที่สอง ในขณะที่หลวงปู่กำลังเดินจงกรม เกิดมีก้อนหินตกลงมาจากที่สูงหลายสิบก้อน แต่ตกห่างจากที่เดินจงกรม หลวงปู่ไม่ได้ให้ความสนใจ ยังคงเดินต่อไป ไม่นานก็มีก้อนหินตกมาอีก คล้ายกับถูกปาลงมา คราวนี้ใกล้กับทางเดินจงกรมมากกว่าเดิม หลวงปู่จึงพูดขึ้นดังๆ ว่า

    "ใครเก่งก็ให้ออกมาต่อสู้กันเลย"

    tueburma2(1)(1).jpg




    คราวนี้ได้ยินเสียงก้อนหินตกรอบตัวหลายสิบก้อน หลวงปู่จึงได้หยุดการเดินจงกรม แล้วเข้ามุ้งกลดนั่งสมาธิภาวนาต่อไปเสียงก้อนหินก็ยังตกลงมาเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนขว้างเข้ามา ในคืนนั้น มีญาติโยมชาวบ้านมารักษาศีลอุโบสถด้วยกัน ๕ คนหลวงปู่ได้บอกให้พระอีกองค์หนึ่งที่ไปด้วยกันมาภาวนาอยู่ใกล้ๆ โยมเสียงก้อนหินก็ยังตกมารอบๆ บริเวณนั้น ตกมาเป็นระยะๆ มองออกไปรอบบริเวณก็เห็นเป็นก้อนหินจริงๆ ถ้าโดนศีรษะใครก็จะต้องแตกอย่างแน่นอน สักพักใหญ่ๆ ก็มีเสียงดังคล้ายกับมีคนออกแรงผลักก้อนหินขนาดใหญ่กลิ้งลงมาจากยอดเขา เสียงนั้นอยู่ห่างจากที่ๆ พระกับโยมพักพอสมควร หลวงปู่ได้กำหนดจิตดู เห็นมีชายร่างใหญ่ผลักก้อนหินลงมาจากยอดเขาจริงๆ จะด้วยจุดประสงค์อันใดนั้นท่านไม่สามารถกำหนดรู้ได้

    ในมุ้งกลดของพระอาจารย์ที่อยู่เป็นเพื่อนโยมได้จุดเทียนขึ้นสว่างไสว ท่านเฝ้าคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดทั้งคืน ทั้งหลวงปู่ และญาติโยมต่างไม่ได้หลับนอนกันเลยหลวงปู่ท่านบอกภายหลังว่า

    "พอนึกถึงคำพูดของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นที่ว่า ผีมันปลุกให้ภาวนา แล้วก็มีกำลังแข็งแรงทั้งกายและจิตทุกครั้งไป"

    พอสว่างหลวงปู่ก็เตรียมตัวออกไปบิณฑบาต วันนั้นได้ไปเที่ยวบิณฑบาตที่บ้านติ้ว อำเภอบ้านผือ พอฉันอาหารเสร็จ พระอาจารย์ที่เป็นเพื่อนอยู่ในคืนนั้นก็เก็บบริขาร เตรียมตัวจะย้ายไปอยู่ที่อื่น หลวงปู่ถามพระองค์นั้นว่า

    "ท่านจะไปที่ไหน"

    พระอาจารย์องค์นั้นตอบว่า "ผมอยู่ไม่ได้หรอก เพราะตลอดคืนมีแต่ก้อนหินตกลงมาจะภาวนาก็ไม่สะดวก"

    หลวงปู่ตื้อจึงแก้ว่า "เมื่อสมัยพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่องเวสสันดรชาดก เมื่อพระองค์กล่าวคาถาขึ้นเท่านั้น ก็มีฝนเงินฝนทองตกลงมาเป็นพุทธบูชา และเมื่อมีการแสดงธรรมเวสสันดรทุกวันนี้ พระท่านกล่าวคาถาพันเท่านั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายก็โปรยข้าวตอกดอกไม้เป็นเครื่องบูชาเช่นกัน ก็เมื่อคืนนี้ ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าภาวนาพุทโธ เทวดาเขาก็อนุโมทนาโปรยดอกไม้ทิพย์เป็นเครื่องสักการบูชา"

    ท่านพระอาจารย์องค์นั้นกล่าวสวนว่า

    "ดอกไม้ทิพย์อะไรกัน เห็นมีแต่ก้อนหินเท่านั้น ก็เรื่องข้าวตอกดอกไม้นั้น เป็นสิ่งที่เห็นด้วยตาและรู้สาเหตุที่มาด้วย แต่นี่ไม่เห็นอะไรเลย"

    145f05829e82(3)(1).jpg



    ทุกคนที่อยู่ที่นั้นต่างพากันหัวเราะขบขัน แล้วต่างแยกย้ายไปสู่ที่พักบำเพ็ญเพียรของตน แล้วพระอาจารย์องค์นั้นก็กราบลาย้ายไปที่อื่น หลวงปู่ตื้อ ยังคงพักอยู่ที่เดิม ตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่ไปก่อน เพราะเพิ่งมาถึงคืนแรกเท่านั้นก็จะท้อถอยกลัวมันแล้ว เจ้าผีจะหัวเราะเยาะเอาว่าเรากลัวมันและเมื่อคืนนี้เราก็ไม่ได้เจ็บกายอะไรจากการกระทำของมันเลย เพียงแต่มันรบกวนให้เราได้รับความรำคาญเท่านั้นเอง ถ้าหากเราไปอยู่ที่อื่นแล้ว เจอเจ้าที่ที่อื่นอีกก็ต้องถูกลองดีกันเรื่อยไป เราต้องทำความเข้าใจกันเป็นที่ๆ ไป หลวงปู่ตื้อ ก็พักบำเพ็ญภาวนาอยู่ ณ ที่นั้นต่อไป

    Ajaladhammo_Bhikhu(7)(1).jpg

    ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.dharma-gateway.com


    เรียบเรียงโดย

    ปิยะนัย เกตุทอง

    http://www.tnews.co.th/contents/412776
     
  2. sutin_boons

    sutin_boons เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +12,792
    ไม่มีตอนต่อไปหรือครับ เหมือจะค้างๆไว้กลางๆเรื่องเลย :):):rolleyes:
     
  3. fu

    fu Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +42
    ตอนต่อไปมีอยู่ในเว็บ http://www.dharma-gateway.com/ ค่ะ
    เราขอนำเนื้อหาจากในเว็บนั้นมาลงต่อจากเจ้าของกระทู้ละกันน่ะค่ะ


    เจ้าที่ยังลองดีต่อไป

    ในคืนต่อมาแค่เวลาเพียง ๓-๔ ทุ่ม เท่านั้นเอง หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโมกำลังนั่งภาวนาอยู่ภายในกลดธุดงค์ ก็ได้ยินคล้ายเสียงฝีเท้าม้า เดินไปเดินมารอบๆ บริเวณที่ท่านนั่งอยู่ เสียงม้าเดินดังอยู่ที่ก้อนหินเป็นจังหวะ เสียงฝีเท้าม้าหนักเข้า เดินเข้ามาหามุ้งกลดของท่าน เสียงใกล้จนชิดมุ้ง

    หลวงปู่เลิกมุ้งกลดขึ้นดู ก็เห็นม้าสีขาวมีขนาดใหญ่เดินเสียงห่างออกไป ท่านเอามุ้งกลดลงแล้วนั่งภาวนาต่อไป

    เสียงม้ายังดังรบกวนแบบเดิมอยู่อีก หลวงปู่จึงออกจากมุ้ง แล้วมาเดินจงกรมแทน

    อีกไม่นานก็ได้ยินเสียงม้าเดินอีก แต่อยู่ห่างออกไป เสียงเดินยังดังอยู่รอบๆ ห่างๆ มันคงไม่กล้าเข้ามาใกล้ท่าน

    หลวงปู่คงเดินจงกรมเป็นปกติ ไม่นานนักเสียงฝีเท้าม้านั้นก็เงียบหายไป

    หลังจากนั้นอีกสักครู่ ปรากฏว่า ที่ทางเดินจงกรมของท่าน มีงูเลื้อยยั้วเยี้ยอยู่หลายสิบตัว จนหลวงปู่เดินจงกรมไม่ได้ พิจารณาดูงูเหล่านั้นล้วนมีสีดำสนิท ถ้าหากท่านเดินไป จะต้องเหยียบพวกมันอย่างแน่นอน

    หลวงปู่ จึงหยุดเดิน และยืนดูเฉยๆ บนทางจงกรมนั้น หลับตาเพ่งดูพวกงูเหล่านั้นว่าจะพบอะไรบ้าง

    หลวงปู่ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นค่อนข้างนาน ปรากฏว่ามีงูมามากขึ้นกว่าเดิม แต่พวกมันไม่ได้เลื้อยมาใกล้ท่านเลย อยู่ห่างท่านในช่วง ๑ วาเศษ เท่านั้น

    หลวงปู่ตั้งใจว่า จะต้องยืนอยู่ที่นั้นจนกว่าบรรดางูจะหนีไปหมด ท่านไม่ได้ให้ความสนใจกับพวกมันว่าจะมีมากหรือน้อยเพียงใด ยืนกำหนดจิตภาวนาอยู่อย่างนั้น

    ปรากฏว่ามีบุรุษคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น มาบอกหลวงปู่ว่า ขอให้ท่านเดินจงกรมต่อไปเถิด กระผมจะจับงูเหล่านี้ไปให้หมด จะเอาไปให้เป็นอาหารพญาครุฑ

    บุรุษนั้นเก็บเอางูทั้งหมดใส่ลงในถุงใบใหญ่ได้เกือบเต็มถุงแล้วก็เดินหายไป

    หลวงปู่มองดูที่เดินจงกรม ก็ไม่มีงูเหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว ท่านจึงออกเดินจงกรมต่อไป ตั้งใจว่าคืนนี้จะไม่นั่งและไม่นอน จะเดินและยืนภาวนาอยู่ในที่เดินจงกรมนี้จนสว่าง


    เจ้าที่ยังไม่ยอมลดละ

    หลังจากบรรดางูทั้งหลายหมดไปจากทางเดินจงกรมแล้ว หลวงปู่ก็เริ่มเดินจงกรมต่อไป เดินไปได้สักครู่ก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันประมาณว่ามี ๔-๕ คน หลวงปู่ไม่ได้สนใจว่าเขาพูดอะไรกัน เพียงแต่สักว่าได้ยินเท่านั้น ท่านยังคงเดินจงกรมต่อไป

    สักครู่เดียวก็เห็นคนเดินถือคบไฟลงมาจากก้อนหินใหญ่ด้านหน้าแล้วก็เลี้ยวขึ้นไปทางหลังเขา มีคนเดินตามหลังไปจำนวนหนึ่ง ท่านคิดว่าน่าจะเป็นกลุ่มคนที่คุยกันเมื่อสักครู่นี้เอง คนเหล่านั้นเดินหายไป

    หลวงปู่เดินจงกรมต่อไปจนได้อรุณวันใหม่ จึงเตรียมตัวเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน แล้วกลับมาฉันที่โรงฉันตามปกติรวมกับพระองค์อื่นๆ

    ชาวบ้านได้เล่าให้พระอาจารย์ที่เป็นประธาน ณ ที่นั้นฟังว่า

    “เมื่อคืนนี้ วิญญาณเจ้าปู่ได้เข้าลงชาวบ้าน พูดชัดถ้อยชัดคำว่ามีเจ้าหัวธรรมมารบกวนที่อยู่ ลูกหลานทั้งหลายเดือดร้อนมาก ไม่ได้หลับนอนตลอดทั้งคืน ต้องการให้เจ้าหัวธรรมหนีไปเสียจากที่นี่

    ถ้าไม่หนีจะทำให้มีฝนและมีฟ้าผ่าลงมาให้ได้รับความเดือดร้อนกัน ทุกคน

    วิญญาณเจ้าปู่บอกอีกว่า เจ้าหัวธรรมชุดนี้ เราพยายามขับไล่อย่างไรก็ไม่หนี ถ้าเขาไม่หนีก็จะต้องทำฝนให้ตกจนอยู่ไม่ได้”

    พระอาจารย์ผู้เป็นหัวหน้าพูดขึ้นว่า “ถ้าฝนตกและมีฟ้าผ่าลงมาจริง อาตมาจะยอมกินขวานเจ้าปู่เลย”

    แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า “ผีมันโกหกเฉยๆ พูดไม่จริงหรอก ไม่มีอะไรจะจริงเหมือนพระพุทธเจ้าเลยในโลกนี้”

    เมื่อพระอาจารย์พูดหนักแน่นเช่นนี้ ชาวบ้านก็นิมนต์ให้พระสงฆ์พำนักอยู่ที่นั่นต่อไปอีก เพื่อพิสูจน์ความจริง พระสงฆ์เหล่านั้นได้พักปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั้นอีกหลายราตรี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามคำขู่ของวิญญาณเจ้าปู่ ชาวบ้านเหล่านั้นจึงหันมานับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก เลิกการนับถือผี แล้วพากันสร้างเสนาสนะให้เป็นที่พักสงฆ์เป็นการถาวรต่อไป


    หลวงปู่พูดถึงการเชื่อถือเรื่องวิญญาณ

    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการเผชิญภูตผีวิญญาณที่ผ่านมาว่า

    “...หากวิญญาณเหล่านั้นได้รู้ความเป็นจริงแล้วก็จะไม่หลงวนเวียนอย่างนั้น กิเลส ทิฏฐิ มานะ นี่ร้ายกาจมาก มันสามารถดึงเอาคนตกเป็นทาสของมันให้วนเวียนอยู่ในวัฏสงสารได้อย่างง่ายดายมาก

    ในโลกนี้ คนที่ตกเป็นทาสของมันมีมาก เพราะขาดจากการเข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง การนับถือผีสางอันเป็นจำพวกวิญญาณที่หลงทางเดิน เมื่อตายแล้วนั้น เป็นการเชื่อแบบขอความอ้อนวอน จึงเป็นการเชื่อที่ไม่แน่นอน

    พระพุทธองค์จึงทรงแนะนำไม่ให้พุทธศาสนิกชนหลงเชื่อในเรื่องเช่นนี้ พระองค์สอนให้เชื่อเรื่องกรรมคือ เชื่อการกระทำของตนเองดีกว่า”

    ลูกศิษย์ลูกหาผู้ใกล้ชิดต่างยืนยันว่า หลวงปู่ตื้อ ท่านก็สอนศิษย์และประชาชนทั่วไปในทำนองนี้มาโดยตลอด

    พระบูรฉัตร พรหฺมจาโร ศิษย์ผู้บันทึกเรื่องราวของหลวงปู่ ได้บันทึกไว้ว่า

    “ตอนหนึ่งท่านหลวงตา (หลวงปู่ตื้อ) ได้เล่าให้ฟังว่า เรื่องของวิญญาณต่างๆ ในโลกนี้มีหลายจำพวกเหลือเกิน บางพวกเป็นวิญญาณที่มีความเป็นอยู่ดีมาก มีศีลธรรม แต่พวกเราชอบเรียกรวมไปหมดว่า ผี

    ความจริงแล้ว ผีหรือวิญญาณต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมเลย เพราะในโลกนี้มีทั้งน่ารัก น่าชังทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้ ครบถ้วนอยู่แล้ว เหตุการณ์ทั้ง ๔ อย่างนี้ มีครบอยู่ในโลก และมีพร้อมๆ กันเลย

    มันก็น่าแปลก คนเราเวลาตาย เกิดอารมณ์ร้องไห้ ทำให้เศร้าใจแต่เวลาเกิด กลับหัวเราะชอบใจ ทำให้ดีใจ

    คนที่หัวเราะก็หลง คนที่ร้องไห้ก็หลง หลงในฐานะที่ไม่รู้อะไรเป็นเหตุเป็นผล ความจริงแล้ว ตายหรือเกิดก็อันเดียวกันนั่นเอง เป็นแต่ว่าเขาเปลี่ยนกันทำหน้าที่เท่านั้นเอง”
    ____________________________​
     

แชร์หน้านี้

Loading...