พร่องในศีล ไม่มีหวังที่จะทรงสมาธิเพื่อฌานสมาบัติได้เลย ไม่ได้สำเร็จผลใดๆ แม้แต่ฌานโลกีย์ก็ไม่ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 15 เมษายน 2015.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    การทรงอารมณ์ฌาณสมาบัติ
    ศีล คือ ความปกติ
    ความปกติของกรรมสาม
    โดยเฉพาะ ความปกติของใจ
    เปรียบเสมือนน้ำไหลนิ่ง
    สายน้ำนั้นไหล แต่ดูเหมือนไม่ไหล
    เพราะมันนิ่งอยู่ ทั้ง ๆ ที่มันไหล
    ความปกติของใจ ให้เป็นดั่งสายน้ำ
    ทั้งที่ยังมีกิเลสอยู่ แต่ควบคุมใจไม่ให้กระเพื่อมหวั่นไหว
    ศีลของผู้ทรงฌาณสมาบัติ

    ถูกไหมคะท่าน จขกท
     
  2. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    อ้าว. แล้วที่ผมบอกว่าการที่พระพุทธเจ้าอดข้าวนั้นเป็นอัตกิลมถานุโยค. ทำไมท่านถึงยกย่องว่าเป็นการดีสำหรับท่านที่กระทำล่ะ. ทีนี้มาบอกว่าขวางพระนิพพาน.
     
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เราตอบไปแล้ว โปรดพิจารณา เรื่องพระนิพพาน

    และการรู้เรื่องสถานะพระนิพพาน ท่านยังไม่ทราบไม่รู้เท่าเรา ได้โปรดอย่ามาสอนเรา
    เรื่องพระนิพพาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2015
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    อัตตกิลมถานุโยค ขวาง การบรรลุมรรผลนิพพานไม่ถึงตายถ้าหากทำได้ ก็ทำไปเถอะ ทำแล้วตายก่อนอย่าทำ เฮ้อ! เข้าใจไหม?


    ประเภทของพระนิพพานคร่าวๆ

    พระนิพพาน มี ๑ ได้แก่

    สันติลักษณะ คือ ความสงบจากกิเลสและขันธ์ทั้งหลาย

    พระนิพพาน มี ๒ ได้แก่

    ๑. สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ยังเป็นไปกับขันธ์ หมายถึง นิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่

    ๒. อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ไม่เป็นไปกับขันธ์ ได้แก่ นิพพานของพระอรหันต์ที่สิ้นชีวิตแล้วเรียกว่า "ปรินิพพาน"

    พระนิพพาน มี ๓ ได้แก่

    ๑. อนิมิตตนิพพาน คือ ภาวะของนิพพานนั้น ไม่มีนิมิตเครื่องหมายใดๆ ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจร ผู้เจริญวิปัสสนา เห็นว่า นาม-รูป นั้น ไม่เที่ยง การตามเห็นความไม่เที่ยงนี้ เรียกว่า อนิจจานุปัสนา ย่อมเข้าถึงพระนิพพานที่ไม่มีเครื่องหมายนิมิตใดๆ เรียกว่า อนิมิตตนิพพาน

    ๒. อัปปณิหิตนิพพาน คือ ภาวะของพระนิพพานนั้น เห็นว่าไม่เป็นที่ตั้ง แห่งความสุข และความปราถนาใดๆ ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจร ที่เจริญวิปัสสนาเห็นไตรลักษร์โดยความเป็นทุกข์ เห็นว่ารูป-นามขันธ์ ๕ นี้ เป็นที่ตั้งของทุกข์โดยแท้ แล้วตามความเห็นเป็นทุกข์ด้วย ทุกขานุปัสสนา ย่อมเข้าถึงพระนิพพานที่ไม่เป็นที่ตั้งของสุขใดๆเลย เรียกว่า อัปปณิหิตนิพพาน

    ๓. สุญญตนิพพาน คือภาวะของพระนิพพานนั้น ว่างจากตน ว่างจากกิเลสและขันธ์ ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจร ผู้เจริญวิปัสสนา เห็นไตรลักษณ์ โดยความเป็น อนัตตา เห็นว่า รูป-นามขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตน ไม่เป็นสาระแก่นสาร ไม่อยู่ในอำนาจของใคร และไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ แล้วตามเห็นอนัตตา ด้วยอนัตตานุปัสสนา ย่อมเข้าถึงพระนิพพาน ที่เรียกว่า สุยยตนิพพาน

    อีกนัยหนึ่ง นิพพาน มี ๓. ประเภท คือ

    ๑. กิเลสนิพพาน หมายถึง อนุสัยกิเลสดับเป็นสมุจเฉทปหาน

    ๒. ขันธนิพพาน พระอรหันต์ที่ดับขันธ์ปรินิพพาน ไม่มีการเกิดอีก

    ๓. ธาตุนิพพาน หมายถึง อันตรธาน แห่งพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า ในกาลที่จะสิ้น พระพุทธศาสนา (พ.ศ. ๕๐๐๐)

    พระนิพพานนี้ เป็น ขันธวิมุตติ คือถูกปฏิเสธความเป็นขันธ์ทุกอย่างว่า ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่จิต ไม่ใช่วิญญาน ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกหน้า ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ศีล ไม่ใช่สมาธิ ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่อะไรทุกๆอย่าง

    นิพพาน คือ อารมณ์ ที่จิตเข้าไปรู้ เป็นนามธรรม

    แต่ทำไม เราจึงรู้ได้ว่า พระนิพพาน มีจริง

    ตอบว่า - ที่รู้ว่า พระนิพพาน มีจริง เพราะ

    - อาศัยการบรรลุของบุคคลผู้เข้าถึงมีอยู่

    - ความไม่เป็นหมันของมรรค ที่สมควรแก่การบรรลุพระนิพพานนั้นก็มี ถ้าพระนิพพานไม่มีข้อปฏิบัติ คือ มรรคก็จะถึงความเป็นหมันไป คือไม่มีข้อปฏิบัติ

    อีกประการหนื่ง ที่เชื่อว่า พระนิพพานมีจริงนั้น เพราะคุณของพระนิพพานมีอยู่ ความดับของกิเลสมีอยู่ ความพ้น(จากกิเลส และทุกข์)มีอยู่ และผู้ดับ มีอยู่ คุณธรรมของพระนิพพานนั้น มีโดยเอนกประการ จนไม่อาจพรรณนาให้หมดสิ้นสมบูรณ์ได้.

    ไปเรียนสูตรการสำเร็จเป็นพระอรหันต์ตามจริตธรรมแต่ล่ะท่านก่อน ว่าแต่ละท่านเหมือนกันไหม เอาที่พระอัครสาวกพระมหาโมคคัลนะปฎิบัติก่อนพระนิพพานก็ได้ ทำไมถึงทำ ด้วยระลึกถึงกรรม จึงปรารถนาแสดงเป็นตัวอย่าง เป็นต้น หากไปดูรูปอื่นแล้วจะสะอื้นกว่านี้ ไม่ได้ฉันอะไรเลยจนกระทั่งจะนิพพานจึงได้ฉันคำข้าวผ่านลำคอ ตั้งใบมีดจ่อคอ เคยบอกแล้วว่า

    {O}จริตธรรมที่แตกต่างกันเมื่อได้รับการอบรมที่ดีแล้วย่อมมุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน{O}
    กายจะเป็นอย่างไรช่างมัน ขันธ์ ๕ นี้จะทรุดโทรม ขนาดไหนปล่อยมันไป จะบังคับตนไม่ได้ อุจจาระหรือปัสสาวะราดก็ยอมรับมัน มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น ดำรงใน[อัตตาธรรม]แล้วทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์เถิด
    นี่บอกตรงสุดๆแล้ว


    รถกถา ขุททกนิกาย อุทาน ปาฏลิคามิยวรรคที่ ๘ นิพพานสูตรที่ ๓
    อรรถกถาตติยนิพพานสูตร
    ตติยนิพพานสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
    บทว่า อถ โข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า
    ได้ยินว่า ในกาลนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศโทษในสงสารโดยอเนกปริยายแล้ว ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอันเกี่ยวด้วยพระนิพพาน โดยการแสดงเทียบเคียงเป็นต้นแล้ว
    ภิกษุเหล่านั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศสงสารนี้ พร้อมด้วยเหตุ มีอวิชชาเป็นต้น อันชื่อว่าสเหตุกะ แต่ไม่ตรัสถึงเหตุอะไรๆ แห่งพระนิพพานซึ่งเป็นเหตุสงบสงสารนั้น พระนิพพานนี้นั้นจัดเป็นอเหตุกะ อเหตุกะนั้นจะเกิดได้ เพราะอรรถว่า มีการกระทำให้แจ้ง และมีอรรถเป็นอย่างไร.
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอรรถนี้ ตามที่กล่าวแล้วของภิกษุเหล่านั้น.
    บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า พระองค์ทรงเปล่งอุทานนี้อันเป็นเหตุประกาศอมตมหานิพพาน อันมีอยู่โดยปรมัตถ์ เพื่อกำจัดความสงสัยของภิกษุเหล่านั้น และเพื่อหักรานมิจฉาวาทะ ของสมณพราหมณ์ในโลกนี้ ผู้ปฏิบัติผิด ผู้มีทิฏฐิคติหนาแน่น ในภายนอกทีเดียว เหมือนบุคคลผู้ยึดโลกเป็นใหญ่ว่า คำว่า นิพพาน นิพพาน เป็นเพียงแต่เรื่องพูดกันเท่านั้น แต่ความจริง เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ชื่อว่าพระนิพพาน ย่อมไม่มี เพราะมีการไม่เกิดเป็นสภาวะ.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ ทั้งหมดเป็นไวพจน์ของกันและกัน.
    อีกอย่างหนึ่ง พระนิพพานชื่อว่าอชาตะ เพราะไม่เกิด คือไม่บังเกิด เพราะความพรั่งพร้อมแห่งเหตุ คือการประชุมแห่งเหตุและปัจจัย เหมือนเวทนาเป็นเป็นต้น ชื่อว่าอภูตะ เพราะเว้นจากเหตุ และตนเองเสีย ย่อมไม่มี คือไม่ปรากฏ ได้แก่ไม่เกิด ชื่อว่าอกตะ เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่สร้างขึ้นเพราะไม่เกิด และเพราะไม่มีอย่างนี้.
    อนึ่ง เพื่อจะแสดงว่าสังขตธรรมมีนามรูปเป็นต้น มีการเกิด การมี การสร้างขึ้นเป็นสภาวะ พระนิพพานซึ่งมีอสังขตธรรมเป็นสภาวะ หาเป็นเช่นนั้นไม่ จึงตรัสว่า อสงฺขตํ ดังนี้.
    อนึ่ง เมื่อว่าโดยปฏิโลมตรัสว่า สังขตธรรม เพราะถูกปัจจัยอาศัยกันและกันสร้างให้มีขึ้น. อนึ่ง ท่านกล่าวว่าเป็นอสังขตะ เพราะไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือเว้นจากลักษณะที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง.
    เมื่อภาวะที่พระนิพพานบังเกิดด้วยเหตุมากมายอย่างนี้ สำเร็จแล้ว เพื่อจะแสดงว่า พระนิพพานไม่มีปัจจัยอะไรๆ แต่งขึ้น ด้วยความรังเกียจว่า พระนิพพานจะพึงมีเหตุอย่างหนึ่ง ตบแต่งหรือหนอ จึงตรัสว่า อกตํ ไม่ถูกเหตุอะไรๆ ตบแต่ง.
    แม้เมื่อพระนิพพานไม่มีปัจจัยอย่างนี้ เพื่อจะให้ความรังเกียจว่า พระนิพพานนี้เป็นขึ้น ปรากฏขึ้นเองหรือหนอ เป็นไปไม่ได้ จึงตรัสว่า อภูตํ.
    เพื่อจะแสดงว่า พระนิพพานนี้นั้น ไม่มีปัจจัยปรุง ไม่ได้แต่ง ไม่มีนี้ จะมีได้ เพราะพระนิพพานมีการไม่เกิดเป็นธรรมดา โดยประการทั้งปวง จึงตรัสว่า อชาตํ.
    บัณฑิตพึงทราบความที่บททั้ง ๔ นี้มีประโยชน์อย่างนี้แล้ว พึงทราบว่า พระองค์ทรงประกาศว่า พระนิพพานมีอยู่โดยปรมัตถ์ โดยพระบาลีว่า ภิกษุทั้งหลาย พระนิพพานนี้นั้นมีอยู่.
    ก็ในพระสูตรนี้พึงทราบเหตุในบท อาลปนะว่า ภิกฺขเว โดยนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงเปล่งจึงตรัสไว้แล้วในหนหลังแล.
    ดังนั้น พระศาสดา ครั้นตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พระนิพพานไม่เกิด ไม่มี อันปัจจัยอะไรๆ ไม่แต่ง ไม่ปรุง มีอยู่ เมื่อจะทรงแสดงเหตุในข้อนั้น จึงตรัสคำว่า โน เจ ตํ ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น.
    พระบาลีนั้น มีความสังเขปดังต่อไปนี้.
    ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอสังขตธาตุ ซึ่งมีสภาวะไม่เกิดเป็นต้น จักไม่ได้มี หรือจักไม่พึงมีไซร้ ความสลัดออก คือความสงบโดยสิ้นเชิง ซึ่งสังขตะ กล่าวคือขันธ์ ๕ มีรูปเป็นต้น ซึ่งมีสภาวะเกิดขึ้นเป็นต้น ไม่พึงปรากฏ คือไม่พึงเกิด ไม่พึงมีในโลกนี้.
    จริงอยู่ ธรรมคืออริยมรรคมีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น อันกระทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น ย่อมตัดกิเลสได้เด็ดขาด. ด้วยเหตุนั้น ในที่นี้ ความไม่เป็นไป ความปราศจากไป ความสลัดออกแห่งวัฏทุกข์ทั้งสิ้น ย่อมปรากฏ.
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงถึงพระนิพพานว่ามีอยู่ โดยที่ภาวะตรงกันข้าม. บัดนี้ เพื่อจะแสดงพระนิพพานนั้น โดยนัยที่คล้อยตามจึงตรัสคำมีอาทิว่า ยสฺมา จ โข ดังนี้.
    คำนั้น มีอรรถดังกล่าวแล้วนั่นแล.
    ก็ในที่นี้ เพราะเหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงอนุเคราะห์แก่สัตวโลกทั้งมวล จึงทรงแสดงความเกิดมีแห่งนิพพานธาตุโดยปรมัตถ์ โดยสุตตบทเป็นอเนกมีอาทิว่า๑- ธรรมที่ไม่มีปัจจัย ธรรมที่เป็นอสังขตะ.
    ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ในที่ที่ปฐวีธาตุ ไม่มีเลย ฐานะแม้นี้แลเห็นได้แสนยาก คือความสงบสังขารทั้งปวง การสละคืนอุปธิกิเลสทั้งปวง๒-
    ภิกษุทั้งหลาย ก็เราจักแสดงอสังขตธรรม และปฏิปทาเครื่องให้สัตว์ถึงอสังขตธรรมแก่เธอทั้งหลาย.๓-
    ____________________________
    ๑- อภิ. สงฺ. เล่ม ๓๔/ข้อ ๓
    ๒- ขุ. อุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๑๕๘
    ๓- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๗

    และด้วยสูตรแม้นี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย พระนิพพาน ไม่เกิด มีอยู่ ฉะนั้น แม้ถ้าวิญญูชน ผู้กระทำไม่ให้ประจักษ์ในพระนิพพานนั้นไซร้ ก็ย่อมไม่มีความสงสัย หรือความเคลือบแคลงเลย. เพื่อจะบรรเทาความเคลือบแคลงของเหล่าบุคคล ผู้มีความรู้ในการแนะนำผู้อื่น ในข้อนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้.
    การสลัดออกอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามและอารมณ์มีรูปเป็นต้นที่เวียนซ้าย คือที่มีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากนั้น ย่อมปรากฏโดยมุข คือการถอนออกจากทุกข์ หรือเพราะกำหนดรู้ อันมีการพิจารณาที่เหมาะสม พระนิพพานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสังขตธรรมทั้งหมด ซึ่งมีสภาวะเป็นเช่นนั้น คือมีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากนั้น พึงเป็นเครื่องสลัดออก.
    ก็พระนิพพาน อันเป็นเครื่องสลัดออกจากทุกข์นั้น ก็คืออสังขตธาตุ.
    พึงทราบให้ยิ่งขึ้นไปอีกเล็กน้อย.
    วิปัสสนาญาณก็ดี อนุโลมญาณก็ดี ซึ่งมีสังขตธรรมเป็นอารมณ์ ย่อมไม่อาจจะละกิเลสได้โดยเด็ดขาด. อนึ่ง ญาณในปฐมฌานเป็นต้น ซึ่งมีสมมติสัจจะเป็นอารมณ์ ย่อมละกิเลสได้ ด้วยวิกขัมภนปหานเท่านั้น หาละได้ด้วยสมุจเฉทปหานไม่. ดังนั้น อริยมรรคญาณอันกระทำการละกิเลสเหล่านั้นได้เด็ดขาด ก็พึงเป็นอารมณ์ ซึ่งมีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากญาณทั้งสองนั้น เพราะญาณซึ่งมีสังขตธรรมเป็นอารมณ์ และมีสมมติสัจจะเป็นอารมณ์ ไม่สามารถในการตัดกิเลสได้เด็ดขาดนั้น ชื่อว่า อสังขตธาตุ. อนึ่ง พระดำรัสที่ส่องถึงบทแห่งพระนิพพาน ซึ่งมีอยู่โดยปรมัตถ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นอรรถที่ไม่ผิดแผก ดังบาลีนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย พระนิพพาน ไม่เกิด ไม่มี อันปัจจัยอะไรๆ ไม่แต่ง ไม่ปรุง มีอยู่, จริงอยู่ คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ซึ่งมีอรรถไม่ผิดแผก ดังที่ตรัสไว้ว่า๔- สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาดังนี้.
    ____________________________
    ๔- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๗๖

    อนึ่ง นิพพานศัพท์ มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ ตามเป็นจริง แม้ในอารมณ์บางอย่าง เพราะเกิดมีความเป็นไปเพียงอุปจาร เหมือนศัพท์ว่า สีหะ. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบอสังขตธาตุว่ามีอยู่โดยปรมัตถ์ แม้โดยยุติ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า เพราะพระนิพพาน มีสภาวะพ้นจากสิ่งที่มีภาวะตรงกันข้ามนั้น นอกนี้ เหมือนปฐวีธาตุ หรือเวทนา.

    จบอรรถกถาตติยนิพพานสูตรที่ ๓
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2015
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กลับไปอ่าน คำเทศน์สอน ของครูบาอาจารย์ ให้ดีๆ ครับ ^^

    ไม่ใช่ แค่เห็นคำว่า อดข้าว อดข้าว ก็จับมาใช้

    ถ้าจะค้าน คำเทศน์สอน ครูบาอาจารย์ ก็ให้ไปเรียนถามปัญหากับครูบาอาจารย์ โลด

    .
     
  6. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    สนทนากรุณาอย่าเอาบุคคลที่สามเขามานะครับ. ขอท่านแสดงด้วยภูมิที่มีอยู่เถอะ. ถูกผิดไม่ต้องกลัวใครๆก็ผิดได้ จงแสดงมาสิครับมันดีอย่างไร.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2015
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ผมยิงสายตรงครับ เรื่องพระนิพาน ผมพิจารณาตามพระพุทธเจ้าผู้เดียวครับ เรื่องนี้เคยอธิบายแล้วครับ อยากดูไหม?ครับ คอยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2015
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ผมยิงสายตรงครับ เรื่องพระนิพพาน ผมพิจารณาตามพระพุทธเจ้าผู้เดียวครับ เรื่องนี้เคยอธิบายแล้วครับ อยากดูไหม?ครับ คอยครับ

    การที่เราจะถ่อมลดตัว ถอยสัก ๑ ก้าวเพื่อให้เกียรติบุคคล ในอดีตสักครั้ง ทั้ง ทาง กาย วาจา ใจ สำหรับฐานะบุรุษแล้ว นับเป็นการน่านับถือใจ แต่หากไม่เป็นที่ชอบใจ ก็ไม่ใช่ว่าจะต้อง ทุกข์ร้อนอันใด เพราะเราได้แสดงความจริงใจ ที่มีนั้นแล้ว สำหรับผู้มีปัญญา ย่อมมองเห็นว่า ไม่เป็นการเสียหายอะไร ในฐานะปุถุชน แต่ในฐานะอื่นที่เจริญปัญญา มากกว่านี้ ใน[พระสัทธรรม] นั่นมิอาจยอมเสียได้ รู้ดังนี้ก็วางเฉย ผู้หวังความเจริญ ย่อมมองเห็น และสามารถประเมินกาล ล่วงหน้าถึงกาลอนาคตได้ ย่อมปล่อยวาง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 26--1.jpg
      26--1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.1 KB
      เปิดดู:
      50
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2015
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ตัวคุณเอง ฟังธรรม อ่านธรรม เทศน์สอน ของครูบาอาจารย์ ไม่เข้าใจ ก็เป็นเรื่องของคุณ ภูมิธรรม ของตัวคุณเองนะครับ ^^

    ใครก็ช่วยไม่ได้เน้อ กลับไปพิจารณาตัวเองดีกว่านะ ว่า ครูบาอาจารย์เทศน์สอนเรื่องอะไร และทำไม ตัวเองถึงแยกไม่ออก ฟังธรรมไม่รู้ หรือไม่เข้าใจ

    เป็นเรื่องของตัวบุคคลนั้น ใครที่ไหนก็แก้ให้ไม่ได้ ถ้าไม่แก้ที่ใจตัวเอง
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ตามพระพุทธเจ้า ก็คงเป็น สาวกภูมิ :cool:
     
  11. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    คุณฟังคิดว่าดัถึงนำมาเสนอ. จึงถามว่าดีอย่างไร. ผมว่าไม่ใช่. เพราะมันเป็นการทรมานตนไม่มีประโยชน์
     
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พิจารณาให้กว้างขวาง



    ชี้แจ้งเรื่องพระนิพพานที่ชัดเจนที่สุด เพื่อทำลายความเข้าใจผิดและคำสอนผิด

    เหมือนการจะค้นหาแหล่งที่ไปที่มาของการหาต้นกำเนิดของพระธรรมคำสั่งสอน พระธรรมแม่บทพระสัทธรรม ,หาต้นการกำเนิดพระพุทธเจ้า ท่านจะให้ผู้ใดมาตอบสาเหตุที่มาที่ไปได้ จากการยกเมฆคิดเข้าใจเอาเอง หรือมายาคติขึ้นมาแล้วยอมรับเชื่อตามกันอย่างนั้นหรือ

    "จงพิจารณาเถิดว่า"

    เพราะฐานะสภาวะบางอย่างนั้นเป็นอจิณไตย ในสุดจะพรรณนาตามได้ถึงบรมสุข อยู่นอกเหตุเหนือผลอันกาลวิสัย ที่จะพิจารณาสิ่งที่ยังไม่สามารถเปิดข้างในออกมาดู ถ้าเห็นเป็นของง่ายอย่างนั้น ป่านนี้แล้วก็คงจะมีผู้นั่งทางในหลับตาหาพระนิพพานมาสอนมาบอกกันเกลื่อนเต็มโลก แล้วจะบอกเขายังไงถึง สามัญลักษณะของ พระนิพพาน จะสามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจในพระนิพพานได้ดีกว่าองค์พระสัพพัญญูอย่างนั้นหรือ

    เพราะ"พระนิพพาน"นั้นอยู่นอกเหตุเหนือผล เดียวกับ สิ่งที่เรียกว่า ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเขา ไม่ใช่ของเรา เป็นสูญญตาและก็ไม่ใช่สูญญตา เป็น ความหมายของอันเกินจะพิจารณาได้ ถ้าไม่เห็นเอง และแม้เห็นแล้วแต่ตนเองไม่มียังเครื่องหมายแห่ง{พระทศพลญาณ๑๐}

    ก็ต้องพึงระลึกไว้เถิดว่าตนนั้นไม่มีภูมิรู้ตามที่จะน้อมนำยกนำมาแสดงอย่างถูกต้องสมบูรณ์อย่างวิสุทธิคุณได้


    เรื่องนี้ข้าพเจ้าก็ไร้ความสามารถที่จะอธิบายได้ ในอนาคตถ้าไปถึงที่นั่น แล้วสามารถกลับออกมาได้ แล้วจะมาบอกเรื่องราวในพระนิพพาน {ถ้ามีความสามารถจะจัดทริปพาไปเที่ยวด้วย } น่าน....แล้วจะถือเอาลักษณะอาการใดมาบอก เพราะดับสนิทสุดวิเศษไปเสียแล้ว:ซึ่งรูปรสกลิ่นเสียงของสหโลกธาตุุ and จะแอบดูทางหน้าประตูทางเข้า แล้วอัดVDO ทำสารคดีมาดูกันอย่างนั้นรึ! ถ้าออกมาได้ บุคคลที่เข้าถึงพระนิพพานก็คงจะเข้าๆออกๆมาเที่ยวดูความศิวิไลในยุคปัจจุบันเต็ม๓โลกแล้ว ...รึจะเป็นอย่างนั้น พิจารณา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images (9).jpg
      images (9).jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.1 KB
      เปิดดู:
      49
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2015
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ถ้ามีพลานิสงค์บุญเยอะจริงๆให้ทำตามนี้

    ถามพระอินทร์พรหมเทวดา

    เจริญในบุพเพนิวาสานุสสติญาณ


    เข้าไปอยู่ในองค์ประชุมที่นั่น ณ ที่พระองค์ ขอโอกาสกราบทูลถามพระองค์ตรงๆ ให้ทรงประทานตอบให้หายคลายเสียสิ้นซึ่งข้อสงสัย ในกรณีที่สามารถย้อนเวลาเข้าไป พระองค์ย่อมทราบด้วยข่ายพระญาณและคงจะมีพระสูตรที่กล่าวว่า ดูก่อน ภิกษุ บุคคลนั้น เป็นผู้เก่งกาจมาก เป็นโคตรภูสงฆ์ ย้อนเวลาจากอนาคตมาถามหา เอาพระนิพพานจากเราตถาคต ดูก่อน ภิกษุ เราจึงตอบตามนี้..


    ถ้าทำไม่ได้มีความสงสัยอะไรก็หลับตาสักนิด พิจารณาให้ถึง คิดว่า อะไรกันหนอที่ทำให้พระมหาโพธิสัตว์พ้นทุกข์ได้

    ถ้ายังนึกไม่ออกก็คือเป็นอาการนี้

    ถ้าทำไม่ได้ ก็ให้นึกถึงพระสัทธรรมคำสั่งสอนที่นำพาไปสู่ การคลายข้อกังวลและสงสัย โดยไม่ลืมตนว่า เรากำลังกล่าวถึงธรรมราชาผู้เป็นเจ้าของเรือน โดยไม่รู้ว่า ธรรมราชานั้นก็เพ่งมองพิจารณามันสมองสติปัญญาของเรานั้นอยู่อย่างลุ้นๆ คืออยากให้ฉลาดคิดได้ด้วยตนเอง ปฎิบัติให้ถึงด้วยตนเอง แต่ด้วยไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นผู้อาศัยเรือนเลยทำให้ลืมถามเจ้าของเรือน


    พระธรรมคำสั่งสอนและพระธรรมวินัยทั้งหลายที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว จะเป็นศาสดาของท่านเป็นบรมครูที่ดี

    กรณียังไม่ถูกทำลายขาดหายทำใหม่หรือเพิ่มเติม


    ถ้าถามแล้วทราบโปรดมาบอกด้วยนะครับ อยากจะนิพพานเหมือนกัน นิพพานเป็นยังไงกันหนอ? คิดไม่ออก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2015
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ถ้าโดนสงสัย หาว่า นิพพานไม่มี ถ้ามีเอานิพพานมาแสดง จากคนตาบอดในพระศาสนาจนตลอดเดียร์ถีย์ทั้งปวง

    ตอบอย่างนี้ครับ

    วิสัชนาซ่อมเมฆ สามารถใช้ตอบ ในการโต้วาทีกับเดียรถีย์ได้ชัดเจนที่สุด

    {พระนิพพาน}

    จะทำอย่างไรล่ะ! ถึงจะรู้ได้ว่ามีอยู่จริง มีทางไปจริง และเป็นบรมสุขจริง การอธิบายพระนิพพานไม่ใช่ของง่าย

    ถ้าไม่มี[พระพุทธเจ้า] จะเอาคำว่า[นิพพาน]มาแต่ไหน พึงพิจารณา แสดงให้ถึงสถานะบรมครูผู้สอน คือเอามาแสดงว่าเป็นยอดสุด แต่ต้องปฎิบัติเพื่อเข้าถึงเองจึงจะรู้ จึงจะทราบได้ ผู้มีปัญญาเจริญในธรรมอันดีแล้ว ปฎิบัติตามดีแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงพระนิพพานเลย
    เพียงแค่ได้ สามัญผล โลกียะญาณ จนถึงขั้นปฐมมรรค ก็สิ้นสงสัยในการมีอยู่ในพระนิพพานแล้ว ที่พระบรมมหาศาสดากล่าวแล้ว เพราะท่านไม่เคยกล่าววาจาที่ไม่จริง ต้องเรียนวาทีสูตรก่อนจะเข้าใจ


    แล้วเดียร์ถีย์ที่ว่าจะถามหาเอาแก่นจันทร์ นี่ เศษใบไม้ที่ร่วงหล่นจากต้นในพระธรรมคำสั่งสอนนี่ มองเห็นหรือเก็บเอามาทำประโยชน์บ้างหรือยัง

    หรือเดียร์ถีย์เข้าใจว่า [พระนิพพาน] นั้นไม่มี ถ้ามีจงเอามาดู น่าน เช่นนั้นเหมือนกัน ถ้า GOD มี จงเอา GOD มาดู ก๊อตซิลล่า หรือ ก๊อต จักรพรรณ์ ทามาก๊อต ไม่เอานะคับ บอกเขาก่อน

    พระนิพพานไม่ใช่ของแจกโชว์ตามห้าง อยากได้ต้องพยายามเอง พระพุทธเจ้าท่านเป็นพระสัพพัญญูท่านทรงทราบ ท่านสอนไว้แล้วไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้าสักกี่พระองค์ก็ตามในอดีตหรือเบื้องหน้าก็ดี ก็ทำได้เพียงเอามาสอนทางไปอย่างพระองค์เท่านั้น

    เรานี่แหละสุดยอดของเดียรถีย์ผู้ได้พบ#คัมภีร์อักขระพยัญชนะมาร# "อหังการวิเศษมาร" แต่พ่ายแพ้แก่{ พระไตรปิฎกพระธรรมคำภีร์ดั้งเดิม} {ทิพยวิเศษบริสุทธิธรรม}ไปจนหมดสิ้นภูมิปัญญาแล้ว

    ขอบอกว่า ไม่ใช่แบบเดียวกับของ ที่ตีพิมพ์ บันทึกจารึกในโลกมนุษย์ เห็นเองเมื่อไหร่ จะหายสงสัยเองเมื่อนั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images (2).jpg
      images (2).jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.5 KB
      เปิดดู:
      64
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2015
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    ค้านคำเทศน์สอนของครูบาจารย์ ก็ปล่อยไปตามกรรม ^^
     
  16. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    หุหุ หมดมุกก็แบบนี้. ผมเคยบอกไปแล้วนะครับว่า. ท่านใดที่เคยทำอย่างนั้นก็จะรู้ว่ามันไม่ใช่ทาง. ก็แค่นั้น. พระพุทธองค์ท่านก็เคยทำมาแบบนั้นท่านก็รู้ว่าไม่ใช่ทาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2015
  17. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ท่านเคยคิดกลับแบบนี้มั้ยว่าถ้าอะไรมันดีอย่างที่ว่า
    ก็ต้องเอามาปฎิบัติให้สม่ำเสมอเป็นประจำ. แม้แต่ตัวท่านเองยังขัดแย้งกับตัวเองเลย. ถ้าดีจริงท่านต้องเอามาปฎิบีตินีีท่านก็ไมีเคยคิดถ้าเคยยทำแล้ววก็ต้องทำเป็นประจำ. แล้วมีใครบ้างมั้ยที่เอามาทำประจำๆ. นี่คือมุมมองที่ต้องพิจารณา. จะเชื่ออะไรก็ต้องไตร่ตรองพิจารณา. อย่าเอาศรัทธาที่แบบผิดๆซิ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2015
  18. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ก็คงเป็นกรรมส่วนบุคคลนั้นเอง ที่คิดได้อย่างนี้
     
  19. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    การอดอาหารที่ท่านsaberกล่าวคืออดด้วยสติปัญญาครับ เป็นกุลสโลบายในการเห็นกิเลสคือความอยาก คนเราเมื่อหิวก็อยาก ใช้สำหร้บผู้ที่มีจริตเกี่ยวกับการกินครับ คือกินเพราะอยาก มิใช่ทรงขันธ์ แต่ถ้าอดเฉยๆไม่ใช้สติปัญญาคืออดโดยไม่รู้ไม่เข้าใจว่าทำเพื่อผลอะไรอันนั้นไม่สมควรครับ ไม่เหมาะสม. อุปมาเราเจอเสือบางคนใช้มีดเป็นอาวุธ บางคนใช้ปืน บางคนใช้ไม้ บางคนใช้มือเปล่า แต่ทุกคนมีสิ่งต้องการเหมือนกันคือฆ่าเสือ. แต่อาวุธที่ใช้แตกต่างกันออกไป เสือก็คือกิเลส. อาวุธต่างๆคือกุลสโลบาย. ตามแต่จริตของแต่ละบุคคล. คร้บ คงเข้าใจนะครับท่าน. สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2015
  20. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ผมว่ากรรมของคนที่คิดว่าการทรมานตนเป็นทางเหมือนพระจักขุบาลที่มีกรรมน้อมจิตปฎิบัติแบบลำบาก. นั้นก็เป็นผลของกรรมของท่านครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...