พลังงูไฟ( กุลฑณี )

พลังกุณฑลิณี

ในร่างกายของมนุษย์เรามีพลังไฟฟ้าอยู่
พลังขั้วบวกอยู่ที่ตอนบนของศรีษะ
พลังขั้วลบอยู่ที่ปลายสุดของกระดูกสันหลัง
ระหว่างขั้วทั้ง 2 นี้เอง ที่เกิดเป็นพลังชีวิตขึ้น

ตามปรัชญาของโยคะแต่โบราณ
เรียกขั้วบวกนี้ว่า

 

พลังกุณฑลิณี

กุณฑลิณีและจักรทั้ง 7



<O(โปรดสังเกต : ตำแหน่งและชื่อของจักระ<O</O
ที่กล่าวถึงจากตำราแต่ละเล่ม
อาจจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยนะครับ-Chayutt)
<O</O
จักรที่ 1
คือตำแหน่งที่เป็นบัลลังก์ของกุณฑลิณี<O</O
อยู่ที่ปลายสุดของกระดูกไขสันหลัง
ซึ่งตำแหน่งนี้เรียกว่า

 

พลังกุณฑลิณี

กระดูกสันหลังมีช่องทางเดิน 3 ช่อง
เรียกช่องทางเหล่านี้ว่า

 

พลังกุณฑลิณีและพลังที่หมุนเวียน

พลังกุณฑลิณี ตามรากศัพท์ภาษาสันสกฤต
หมายถึง “พลังที่หมุนเวียนเป็นวงกลม”

เป็นพลังรากฐานของแต่ละคน
คนเราเกิดมาพร้อมกับพลังกุณฑลิณี
ที่ไหลเวียนอยู่แล้วบางส่วน

ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ที่โง่หรือฉลาดแค่ไหนก็ตาม
ก็สามารถพบ และนำพลังนี้มาใช้ได้เช่นเดียวกัน
เพราะว่า..คนเราแต่ละคนมีพลังกุณฑลิณี
ที่ตื่นและรอคอยการถูกปลดปล่อย
อยู่ในแอ่งแห่งพลังกุณฑลิณี..มากมาย
<O</O
ผู้ที่พัฒนาพลังกุณฑลิณีอย่างเต็มที่
จะมีความสามารถพิเศษทางจิตที่กล้าแข็ง
และถือเป็นผู้ปราดเปรื่องอย่างแท้จริง

คนเราแต่ละคน จะต้องเกี่ยวข้องกับ
พลังกุณฑลิณี...ไม่ช้าก็เร็ว..

ดังนั้น..
การที่เราหาความรู้และเตรียมความพร้อมเอาไว้
ประสบการณ์ที่น่าอัศจรรย์ก็จะบังเกิดขึ้น

....<O</O

 

พลังกุณฑลิณี

การปลดปล่อยพลังกุณฑลิณีอย่างไม่ได้ตั้งใจ


พลังกุณฑลิณี..เปรียบเป็นพลังที่ขดม้วน
อยู่ในแอ่งตรงปลายกระดูกสันหลัง

การปลดปล่อยพลังโดยไม่ได้ตั้งใจ
สามารถเกิดขึ้นได้..กับทุกๆคน

ซึ่งไม่ได้หมายถึงเราไม่ต้องการมัน
เพียงแต่อยากบอกว่ามันสามารถเกิดขึ้นเองได้
โดยตัวมันเองเท่านั้น
<O</O

การปลดปล่อยพลังโดยไม่ได้ตั้งใจนี้
มีทั้งข้อดีข้อเสีย...
โดยเฉพาะหากปลดปล่อย
ในขณะที่ระบบของร่างกายยังไม่พร้อม
ก็จะเกิดผลเสียตามมา..

อาจจะเล็กน้อย หรือรุนแรง..แล้วแต่กรณี

.....

 

พลังกุณฑลิณี

สาเหตุ การปลดปล่อยพลังกุณฑลิณีอย่างไม่ได้ตั้งใจ<O</O
<O</O
1. การใช้ยาเช่น ยากล่อมประสาท(อันตราย)
2. เกิดจากการตื่นเต้นมากเกินไปเช่น ในสภาวะคับขัน
3. เกิดจากการเจ็บปวดที่บริเวณก้นกบ
ซึ่งอาจเกิดจากการหักโหมทำงานหนักเกินไป
อย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายดึงเอาพลังกุณฑลิณี
มาใช้มากเกินไป
4. เกิดจากความทุกข์ใจมากๆ
5. เกิดจากการได้รับบาดเจ็บมากๆ
6. เกิดจากการตื่นกลัวมากเกินไป
7. เกิดจากการเข้าฌานลึกๆ
จะทำให้เกิดการปลดปล่อย
พลังกุณฑลิณี อย่างน้อย 1 ชั้น
(การปลดปล่อยพลังมีอยู่หลายชั้น
เหมือนการปอกหัวหอม
คนๆหนึ่ง สามารถปลดปล่อยพลังได้ 2

 

พลังกุณฑลิณี

การปลดปล่อยพลังกุณฑลิณี<O</O
<O</O
การปลดปล่อยพลังกุณฑลิณีที่ถูกต้อง
คือการเคลื่อนของพลังจากจักระที่ 1
ไปตามแนวกระดูกสันหลังไปยังจักระที่ 7
แล้วทะลุจักระที่ 7 ขึ้นไปเหนือศรีษะ

<O</O
พลังกุณฑลิณีที่ถูกปลดปล่อยออกมา
เปรียบได้กับคลื่นจำนวนมาก ที่ถูกปลดปล่อย
ออกมาหมด ในครั้งหนึ่ง
หากในระหว่างการปลดปล่อยนั้น
กระดูกสันหลังตั้งตรง
พลังก็จะไหลผ่านขึ้นสู่กระหม่อมอย่างอิสระ

แต่ถ้ากระดูสันหลังคด โค้ง หรือถูกกดดัน
การไหลของพลังก็จะถูกกีดขวางบริเวณนั้นๆ
พลังก็จะหยุดอยู่ตรงบริเวณนั้น และกระจาย
ไปสู่บริเวณที่ใกล้เคียงที่สุด เช่น ช่องท้อง เป็นต้น
ก็จะทำให้มีอารมณ์ฉุนเฉียว
แต่ถ้าพลังไปหยุดอยู่ที่ช่องอก ก็จะเกิดปัญหาขึ้นกับหัวใจ
แต่ถ้าไปจุกอยู่ที่สมอง ก็อาจจะทำให้ความจำเสื่อม
หรือจิตวิปลาสได้...
(evil) (b-malang)

<O</O

 

พลังกุณฑลิณี

การปลดปล่อยพลังกุณฑลิณีก่อนเวลาอันควรหรือมากเกินไป หรือผิดปกติ

คำว่าก่อนเวลาอันควร หมายถึง
ก่อนที่จะได้ทำการชำระล้างความบริสุทธิ์
และมีการรับรู้ทางจิตที่เพียงพอ
อาจจะทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้
<O</O
- เจ็บป่วยอย่างไร้สาเหตุ
- มีพฤติกรรมไม่อยู่กับร่องกับรอย
- หลงๆลืมๆจำอะไรไม่ค่อยได้
- หนาวๆร้อนๆ
- มีบุคลิกภาพที่ซับซ้อน
- มีอารมณ์แปรปรวน รู้สึกหดหู่ หรือมีปิติมากเกินไป
- ปัญญาทึบ แล้วอาจจะกลับมาฉลาดมากๆในตอนท้ายของการปลดปล่อย
- สูญเสียความทรงจำ หรือความจำเสื่อม
- ในส่วนของใบหน้ามีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นๆลงๆ
สลับกันระหว่างหน้าเด็กลงหลายปี
และดูแก่ขึ้นซัก 20 ปี ในเวลาเพียงไม่นาน

......
(evil) (evil)

 

พลังกุณฑลิณี

อาการเจ็บป่วยจากการปลดปล่อยพลังกุณฑลิณีก่อนเวลาอันควรหรือผิดวิธี
<O</O
<O</O
บางคนผิวหนัง
อาจจะเป็นสีเหลืองและดูสกปรก
หรือบางแห่งของร่างกายอาจจะมีสีแดงระเรื่อ
สีน้ำเงินอ่อนๆ หรือเป็นสีอื่นๆ
ขึ้นกับการรวมพลังของระดับการสั่นสะเทือน
(ในแต่ละระดับการสั่นสะเทือนจะมีสีเฉพาะตัว)

อาจจะเหนื่อยหรือป่วย แต่หลังจากนั้น 2-3 ชั่วโมง
จะดูอ่อนกว่าวัยหลายปีและกระปรี้กระเปร่าขึ้น
<O</O
หรือบางรายอาจจะเป็นตรงข้ามกับที่กล่าวมานี้ก็ได้

บางราย อาจจะมีนิ้วโป้งที่กลายเป็นสีดำ
เพราะเกี่ยวพันถึงความผิดปกติของกลุ่มเส้นประสาทในช่องท้อง
<O</O
บางรายอาจจะกล้ามเนื้อตื่นตัว เพราะมีการปล่อยพลัง
จำนวนมากสู่ปลายเส้นประสาท ซึ่งจะทำให้รูสึก
ถึงความกดดันและจุกแน่นอยู่ภายใน จนต้องอาเจียนออกมา
<O</O
บางคนอาจจะมีเลือดกำเดาไหล
เพราะพลังกุณฑลิณีที่ปล่อยออกมามากนี้
สามารถฉีกเนื้อเยื่อของมนุษย์ได้เลยทีเดียว..

(evil)
.................

 

วิธีนี้ง่ายที่สุดผมทดลองใช้มาแล้วครับ ดังนี้


๑. หากมีคู่นอนฝึกด้วย ต้องเลือกคู่นอนที่เข้าใจการฝึกแบบนี้จริงๆ
และจิตใจประสานกัน รบกวนสมาธิไม่ได้เลยแม้นแต่น้อย จะปวดสมอง
อย่างรุนแรง (ยิ่งกว่าไมเกรน)

ผมจึงไม่เลือกฝึกแบบคู่


๒. ให้ฝึกเดี่ยว โดยการตรึกนึกถึงเรื่องกาม ราวกับเราจะมีเพศสัมพันธ์
แล้วจะพบว่ามีพลังมากมาย รวมเข้ามาอัดบริเวณอวัยวะเพศและก้นกบ
มีขนลุกซู่ชูชัน และอาการที่พร้อมใช้พลังงานมากมายในการร่วมเพศ

จากนั้น ให้จินตนาการรวมพลังนั้นดึงไล่มาตามไขสันหลังจนถึงตาที่สาม
รวมไว้ที่ตาที่สามเล็กน้อย แล้วปล่อยให้พุ่งพรวดออกไปทะลุหัว งที่เกิด
ขึ้นคือ "อวัยวะเพศจะหดตัวลง" เหมือนหมดแรง เหมือนปล่อยน้ำกาม
หมดฉะนั้น แต่มันยังไม่หมดพลัง จะปล่อยไปเรื่อยๆ เป็นระยะ จนกว่าจะ
ไม่เหลือ

ปกติ เวลาฝึกมักไม่อาจห้ามใจที่จะ "ช่วยตัวเอง" ดังนั้น จึงต้องฝึกลับๆ
และห้ามมีคนรบกวนเด็ดขาด เพราะอันตรายมาก (จะปวดขมับรุนแรงมาก)

เมื่อฝึกไปนานๆ จะเริ่มเห็นรสเพศสัมพันธ์เป็นของธรรมดา
ธรรมดามากขึ้นๆๆๆๆๆ จนมันเฉยๆ มีก็ได้ไม่มีก็ได้
แต่ขอไม่ยุ่งกะใครดีกว่า สงบดี หึๆๆ

ฝึกไปนานๆ พลังมันจะเบาบางลง เมื่อก่อนแรงมาก หลังๆ เบาสบาย
แรกๆ จะร้อนผ่าว รุนแรง หลังๆ เริ่มผ่อนคลายสบาย เบาบาง เย็น


แปลกมะ?

 

มีครั้งหนึ่งผมดันเผลอฝึกแล้วถูกรบกวนสมาธิ
ปวดหัวรุนแรงมาก ไปครึ่งซีก เหมือนกับคนจะเป็นบ้าเลย


ขอเตือนไว้ ระวังมากๆ ครับ เวลาฝึกห้ามมีอะไรรบกวนเป็นอันขาด!

 

อ้าว ตรูเคยเป็นมาแย้วนี่หว่า ๕๕๕

 

ดีแล้วครับ..
(b-malang) ที่มีผู้ที่มีประสบการจริงๆ มาเล่าให้ฟัง
.......................................

 

การฝึกกุลฑาลิณีบางท่านเห็นว่าอันตรายแต่ทำไมยังฝึก?


๑. จริงๆ แล้ว ถ้าระมัดระวังและจัดสถานที่ดีๆ ก็เลี่ยงอันตรายได้
และอันตรายนั้น ไม่ได้ถึงขั้นตาย เพียงแต่อาจเจ็บปวดบ้างเท่านั้น

๒. บางท่านตัด "กาม" ได้ยาก "กุณฑาลิณี" ช่วยให้เข้าใจเรื่องกาม
ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และจบลงด้วยเห็นความธรรมดาของมัน จึง
เร็วลัด และง่ายกว่ากรรมฐานตัวอื่นที่ช่วยในการตัดกาม อนึ่ง การใช้
อศุภะตัดกามก็ให้ผลร้ายแรงเหมือนกัน (กินไม่ได้นอนไม่หลับเลย)

๓. กระตุ้นจิตเดิมแท้ ให้ยอมรับตัวเอง มองโลกทั้งด้านดีและเลว
อย่างซื่อใส ตรงไปตรงมา ไม่คิดว่าคนเราต้องดีสมบูรณ์แบบ เพราะ
ยอมรับทั้งสองสิ่ง แล้วนำสู่การปรับตัวสู่สมดุลในตัวเองได้

๔. หลังผ่านช่วงอันตรายแล้ว กลับให้ผลแตกต่างจากเดิมอย่างชัดเจน
ฝึกวิชชาอื่นๆ ง่ายดายและรวดเร็วขึ้นมาก ลดระยะเวลาในการฝึกลงได้

๕. ทะลวงจักระทั้งเจ็ดได้ง่ายในทีเดียว ทำให้เข้าสมาธิง่าย เดินลมปราณง่าย
บางท่านไม่ได้ทะลวงจักระทั้งเจ็ดด้วยกุณดาลิณี เมื่อลมปราณในร่างตื่นตัว
ก็หาทางออกไม่ได้ ศิษย์น้องของผม จุกในท้อง แล้วปลดปล่อยออกทาง
ท้องน้อยด้านหลัง จึงค่อยหายได้ ส่วนอาจารย์ของผม ลมปราณดันขึ้น
กระหม่อม เจ็บเหมือนเข็มเป็นพันเล่มทิ่มหัว จนอาจารย์คิดว่าจะตายแน่
แล้วอาจารย์ก็ยอมปล่อยให้ตนเอง ตายก็ตายไป จึงทะลวงลมปราณออก
ทางจักระเจ็ดได้

จะเห็นว่าการทะลวงลมปราณออกไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่การใช้พลังกุณฑาลิณีทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก
ในกรณีคนฝึกลมปราณธรรมจักร จะมีอาการหมุนวน
หาทางออกไม่ได้ นั่งสมาธิแล้วหมุน กลิ้งไปก็มี
ทำให้หมดกำลังใจจะฝึก เพราะลมปราณตื่นแล้ว
ทะลวงออกไม่ได้นั่นเอง

ดังนั้น กุณดาลิณีจึงแก้ปัญหาการติดขัดของลมปราณในร่างได้ทั้งหมด

 

อ่านแล้วก็ชักเสียวๆเหมือนกัน เพราะผมเคยฝึกแบบเพ่งเป็นจุด เคยมีประสบการณ์เหมือนชีพจรตรงหัวใจเต้นแรงมากๆ จากนั้นก็เหมือนอาการเต้นของชีพจรนี้มันวิ่งขึ้นไปข้างบนจนกระทั่งไปเต้นตึ๊บๆแรงมากที่กระหม่อม จากนั้นก็วิ่งลงมาจนถึงก้นกบ แล้วก็วิ่งขึ้นวิ่งลงแบบนี้แหละครับนานพอสมควรทีเดียวอาการนี้ถึงจะหายไป แปลกมาก........(และยังมีอะไรแปลกๆอีกมากมายที่เกิดขึ้นในกายของผม)

ปล.แต่ว่ามาตอนหลังๆ ผมใช้วิธีแผ่สติดูครอบคลุมทั้งร่างกายแทนแล้วน่ะครับ รู้สึกเหมือนเราไม่เพ่งหรือทำให้จักระใดจักระหนึ่งต้องรองรับพลังมากเกินไปจนจักระอื่นขาดความสมดุลน่ะครับ(แต่ถ้าท่านอื่นๆชอบดูแบบเป็นจุดก็แล้วแต่นะครับ นี่อาจจะเป็นประสบการณ์และความชอบเฉพาะบุคคลน่ะครับ)

 

บางที "ของเก่าในอดีตชาติ" ที่คุณเคยบำเพ็ญมา
มันใกล้จะต้องการอิสระนะ จิตเดิมแท้มันจะกระตุ้น
ให้คุณต้องใช้มัน

ลองคิดว่ามันเป็นเพื่อนเก่าของคุณสิ
ทำความรู้จักกับมัน เชื่อใจธรรมชาติ
ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
จิตเดิมแท้ของคุณปกป้องตัวคุณเสมอ

แต่ใจหรือสมองคิดนี่ละที่ทำคุณหลง

ดังนี้ ไม่ต้องกลัว ค่อยๆ ปลดปล่อยมันออกมา
แล้วเรียนรู้มัน อาจมีผิดพลาดกันบ้าง เจ็บปวดกันบ้าง
ถือว่าชดใช้กรรมไป แต่ไม่มีอะไรน่ากลัวเกินไปครับ

 

ผมกลัวตัวเองน่ะครับ เคยฝึกแล้วมีสภาวะที่รุนแรงพลังพลุ่งพล่านมากๆ ผมเลยอธิษฐานกำกับจิตไว้ว่า ขอให้มีฤทธิ์หรืออภิญญาเมื่อจิตเราพร้อมน่ะครับ(กลัวนำไปใช้ในทางไม่ดี) ตั้งแต่นั้นมาก็ค่อยยังชั่วครับ สภาวธรรมก็ค่อยเป็นปกติไม่ค่อยหวือหวาแล้ว

แต่ที่ผมหันมามีสติรู้ตัวทั่วพร้อมนี่ อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ มันรู้สึกเป็นธรรมชาติมากกว่าในการที่จะกำหนดสติในอิริยาบถและขณะกระทำสิ่งต่างๆด้วยน่ะครับ ^ ^

 

เหมือนกันเลย ผมก็กลัวตัวเอง ไม่ไว้ฝจตัวเองลึกๆ ว่าจะพลั้งทำผิด
เพราะหากพลังมาก พลั้งขาดสติ ก็เท่ากับกรรมมหันต์ ผมจึงกักตนเอง
ช่วงหนึ่ง


จริงๆ แล้วมันมีในหนังจีนที่เราดูมานั่นเพี้ยน
ลมปราณจริงๆ มันก็ไม่เว่อร์ขนาดนั้น แต่ก็
มีเอาไปใช้กับคาราเต้ เทควันโดเหมือนกัน
อีกประการหนึ่ง จิตเราฝึกมาระดับนี้ ผมคิดว่า
มันค่อนข้างออกนอกลู่นอกทางยากแล้วครับ
การกระตุ้น "จิต" และ "วิญญาณ" (ปราณ)
จะทำให้ปัญญาเพิ่มอย่างรวดเร็ว ราวกับเป็นคนใหม่เรื่อยๆ
เพราะจิตเองรู้ได้ อาศัยวิญญาณร่วม ทำงานร่วมกันเมื่อไร
การรับรู้ของมันจะรวดเร็วยิ่งขึ้น มากขึ้นเท่าตัว


อยากให้ลองเปิดหีบพลังตนเองดู
เพราะบางทีพลังของคุณอาจเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นนะ


หรือมันอาจบอกคุณมานานแล้วว่า ถึงเวลานานแล้วที่คุณควรใช้มัน

 

อืม....ข้อนี้ผมเห็นด้วยครับ และก็มีประสบการณ์ด้วยตนเองเหมือนกัน

<!-- / message --><!-- sig -->

คงจะยากน่ะครับ ถ้าใครเจอสภาวธรรมแบบผมไม่กลัวก็คงต้องแปลกแล้วล่ะครับ แล้วตอนที่ผมอธิษฐานจิตปิดกั้นฤทธิ์นี่ ก็ค่อนข้างมั่นคงและมุ่งมั่นพอสมควร ตั้งแต่นั้นมาภาพนิมิตที่ผมเคยเห็นก็กลายเป็นไม่เห็น หรือแม้ว่าจะทดลองฝึกกสิณเล่นฤทธิ์ดู ก็ทำไม่สำเร็จสักอย่างเลยครับ(ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นยังพอเห็นผลอยู่บ้าง)

ตอนนี้ทำได้อย่างมากก็แค่นั่งสมาธิทำจิตให้สงบ และก็ศึกษาธรรมทำบุญให้ทานทำความดีไปเรื่อยๆน่ะครับ(จริงๆจิตลึกๆผมก็พอใจแค่นี้แล้วล่ะครับ การช่วยคนด้วยฤทธิ์นั้นผมอาศัยการสนับสนุนคนอื่นแทนก็ได้ หรือถ้าจะสอนคนให้เข้าใจหรือตั้งมั่นในธรรมผมก็ใช้การศึกษาธรรมการเรียนรู้ธรรมให้เป็นประโยชน์ การนั่งสมาธิทำจิตให้สงบก็เพื่อพักผ่อนและเสริมสร้างกำลังใจในการทำความดีหรือในการแผ่เมตตาให้ผู้อื่นน่ะครับ ถ้าถึงเวลาอันเหมาะสมตามที่ผมตั้งเงื่อนไขไว้ตอนอธิษฐานจิต เดี๋ยวฤทธิ์อภิญญาก็คงเกิดขึ้นเองครับ)

ปล.เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ผมว่าก็เพียงพอและสามารถที่จะช่วยเหลือคนได้พอสมควรแล้วล่ะครับ

 

555

ให้มันได้อย่างนี้ดิ อธิษฐานเสียเลย
แหม แล้วนี่ผมใช้ "ธูปดำเจ็ดดอก"
อธิษฐานให้ตายภายใน ๓ วัน ๗ วัน
ไปแล้วนะ ว่า ถ้าผมไม่มีบุญบารมีพอ
ที่จะช่วยค้ำจุนศาสนาได้ ก็ขอให้เอา
ชีวิตผมไปเลย

เป็นพุทธบูชา


นี่มันก็ไม่เห็นอารายจะเกิดสักอย่าง

555