พัฒนาคุณภาพแห่งชีวิตตามแบบฉบับของพระพุทธศาสนา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย phodej, 15 มิถุนายน 2013.

  1. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    บรรยายโดย...พระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ (ยอดหอ)
    วัดไตรสิกขาทลามลตาราม บ้านฝาง ตำบลแพด อำเภอคำตากล้า
    จังหวัดสกลนคร ....บรรยายไว้เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๔ ณ วัดนิพเพธพลาราม
    ถอดคำบรรยาย/พิมพ์ต้นฉบับ/ทำเชิงอรรถ โดย... ปัญญา เประยะโพธิ์เดช

    หมายเหตุ : เนื่องจากการถอดเสียงคำบรรยายเรื่องนี้ ผู้ถอดคำบรรยายไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือ และความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน จึงยังไม่สามารถจะตรวจสอบความถูกต้องต่าง ๆ ได้ทั้งหมด เช่น เรื่องศัพท์ภาษาอังกฤษ ศัพท์ภาษาบาลี เป็นต้น ซึ่งอาจมีผิดพลาดบ้างในบางแห่ง เพราะเป็นการเปิดฟังเสียงในแถบบันทึกเสียง (เทปคลาสเซ็ต) แล้วค่อย ๆ เขียนร่างเป็นตัวหนังสือไปทีละประโยค ก่อนนำมาพิมพ์ลงในเครื่อง Computer ทีหลัง จึงต้องขออภัยไว้ก่อนล่วงหน้า...

    **********

    ...อำนวยพรศิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล ความสงบเยือกเย็นแห่งจิตใจและความผาสุกทุกประการ จงบังเกิดมีแก่ญาติโยมพุทธบริษัทเพื่อนร่วมพุทธศาสนาท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจใฝ่ในธรรม ผู้แสวงหาคุณงามความดี ผู้ใฝ่บุญใฝ่กุศลทั้งหลาย โดยทั่วกันทุกท่านทุกคน ณ โอกาสนี้ ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป เป็นเวลาที่ท่านทั้งหลายจะได้ฟังการกล่าวธรรมิกถา คือถ้อยคำอันประกอบไปด้วยธรรมอันเป็นคำสั่งสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งอกตั้งใจสดับตรับฟัง เพื่อจะได้เกิดประโยชน์ในการฟังจะได้นำไปเป็นข้อคิดในการปฏิบัติกิจชีวิตประจำวัน ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง แก่ครอบครัว แก่ประเทศชาติ แก่สังคม แก่พระศาสนาสืบต่อไป ตามสมควรแก่เวลาอันจะพึงมีในวันนี้
    ธรรมิกถาที่จะนำมากล่าวในวันนี้ ขอให้หัวข้อว่า “พัฒนาคุณภาพแห่งชีวิตตามแบบฉบับของพระพุทธศาสนา” ทบทวนอีกทีหนึ่งว่า พัฒนาคุณภาพแห่งชีวิตตามแบบฉบับของพระพุทธศาสนา ชีวิตนี้ต้องการคุณภาพอย่างไร ? เป็นสิ่งที่เราจะต้องมาทำความเข้าใจ ชีวิตนี้ต้องการความเป็นผู้ไม่มีโรค อยู่สะดวกสบาย ชีวิตนี้สังคมที่มีชีวิตหลากหลาย ชีวิตอยู่รวมกันเป็นสังคมนี้ ต้องการความเป็นบุคคลไม่มีโทษ ไม่เป็นโทษแก่ตนเอง ไม่เป็นโทษแก่คนอื่น ปราศจากโทษนี้ต้องเข้าใจเสียก่อน ในคุณภาพของชีวิตและคุณภาพของสังคม ชีวิตนี้ สังคมนี้ ต้องการความเป็นอยู่อย่างผาสุก “สุขวิปาก” ภาษาบาลีบอก มีผลคือความสุข ชีวิตนี้ สังคมนี้ ต้องการความเป็นอยู่อย่างประกอบไปด้วยปัญญา ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง
    เพราะเหตุนั้น การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามแบบฉบับของพระพุทธศาสนาก็เป็นสิ่งที่เราควรจะได้ยินได้ฟังกัน ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อเดือนเมษา ฯ ที่ผ่านมาหยก ๆ เราทั้งหลายได้มีกิจกรรมอันหนึ่งทั่วทั้งประเทศไทย ในภาคอีสานถิ่นแดนกันดารแห้งแล้งอดอยากหิวโซของเราก็ตามก็ทำด้วยกัน คือการบวชเณรภาคฤดูร้อน นั้นเป็นการพยายามที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตคือเริ่มต้นด้วยการพัฒนาจิตใจ เณรภาคฤดูร้อนเราทั้งหลายได้ประโคมกัน ได้พยายามกันมาตั้งแต่สมัย ๖๐ ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บวชเณรเทิดพระเกียรติเหลืองอร่ามทั้งแผ่นดินผืนแผ่นดินไทย แต่เสร็จจากนั้น เสร็จแล้วสิ่งเหล่านั้นก็ได้เลือนหายไป ต่อมาเมื่อครบปีหนึ่ง เมื่อโรงเรียนปิดเทอม ก็เริ่มจะเป็นประเพณีคือบวชเณรภาคฤดูร้อน อาตมาก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่งาม
    ในวัดของอาตมานั้นก็บวชเหมือนกัน แต่เพียงแต่ไม่ได้ตีฆ้องร้องป่าว ว่าบวชเณรภาคฤดูหรอกฤดูร้อนให้ใครมาทำข่าวทำคราว ให้ใครมาสนับสนุน แต่ที่วัดอาตมานั้นบวชพ่อขาวน้อยภาคฤดูร้อนพัฒนาคุณภาพชีวิตเหมือนกัน ในขณะที่ปิดเทอม พ่อขาวน้อยนุ่งขาวห่มขาวโกนผมถือศีล ๘ ฉันข้าวเวลาเดียว ในกาละมังอันเดียว และภาพพจน์ของพ่อขาวน้อย ๆ รู้สึกว่าจะงดงามกว่าภาพผ้าเหลืองพะรุงพะรังที่บวชแล้วยังนุ่งผ้าไม่มั่น อุ้มบาตรเที่ยวไปบิณฑบาต นุ่งห่มผ้าเหลืองเป็นธงชัยของพระอรหันต์ เป็นเครื่องแบบของพระอรหันต์ พระอริยเจ้า แล้วก็สับหมากกอกตอกหมากเดือยกันไป เปิดผ้าสบงกันไป ลักสิกไป ลักษณะอย่างนี้ ถ้าดูในแง่ลบก็เป็นการทำลายภาพพจน์ของศาสนา คนที่ยังไม่พร้อมมากุมยัดเขาให้บวช ดู ๆ ไปก็เหมือนพวกเราในหน่วยงานราชการทางรัฐบาลก็ดี หรือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องก็ดี คล้าย ๆ จะมีความจองหองบางสิ่งบางอย่าง สิ่งที่ยังไม่พร้อมมายัดเยียดบังคับกัน คนยังไม่พร้อมจะบวชมาบังคับมายัดเยียดบังคับให้เขาบวช เขาบวช เณรน้อย ๆ ที่บวชก็คือเด็กน้อยธรรมดา ซึ่งลักษณะเช่นนี้ พระพุทธเจ้าของเรานะ ขออภัย ท่านไม่ให้ความสนับสนุน ให้ความสำคัญเท่าใดนักกับเด็กตัวเล็ก ๆ นี้ แต่ก็เป็นการดีอยู่ดอกไม่ใช่ว่าไม่ดี เดี๋ยวนี้เรากำลังพากันจองหอง จะว่าไปแล้ว ไปทำสิ่งที่ยังไม่พร้อมที่จะเป็น แต่สิ่งที่กำลังจะเป็นกลับไม่สนับสนุนกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2013
  2. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    ความคิดของอาตมา บางหมู่บ้านยังไม่พร้อมที่จะพัฒนา รัฐบาล เออ ทางหน่วยงานราชการไปบีบ ไปคั้น ไปชักชวนเขาพัฒนา ไปปลุกไปเร้าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองลงไปร่วม อ้าว ไปตัดไม้ ไปทำอะไร มาทำรั้ว ทำป้าย เขียนให้เอง ทาสีให้เอง ยังไม่พร้อมที่จะมีส้วม ไปขุดส้วมให้อย่างดี ขุดส้วมให้เสร็จก็ยังถ่ายไม่เป็น หนัก ๆ เข้าก็จะได้ไปเช็ดก้นให้โน่นแน่ะ พัฒนาเพื่อประกวดประชันกัน หอบขี้งัวขี้ควาย ฟ้อนรำทำเพลง เมื่อพัฒนาแล้ว ประกวดแล้ว ไม่ได้ที่ ๑ กับเขา หมดเรี่ยวแรง สกปรกยิ่งกว่าบ้านที่ไม่เคยพัฒนาอะไรเลย ลักษณะเช่นนี้เราทำกันโดยเอากิเลสเป็นเครื่องจูงใจเอาพวกรางวงรางวัลอะไร เป็นการพัฒนาที่งมงาย เขายังไม่พร้อมที่จะพัฒนา
    พระพุทธเจ้าของเรานั้น ท่านเลือกบุคคลที่จะพัฒนาเสียก่อน เอาบุคคลชนิดที่จะพูดกันรู้เรื่อง ที่ว่า อนุกมฺเปยฺยาถ เย จ โสตพฺพํ มญฺเญยฺยํ บุคคลที่พอจะอนุเคราะห์ได้ บุคคลที่พอจะพูดกันรู้เรื่องได้ พอจะฟังคำสั่งสอนได้นั่นแหละ เวลาท่านสอนพระให้ไปแสดงธรรม ท่านก็ไม่ได้บอกให้ไปสอนพวกที่กิเลสท่วมหัว บัวใต้น้ำ ที่ยังไม่พร้อมนะ ไปดึงเขาขึ้นมา ท่านไม่ได้บอกไปตรงนั้นดอก ท่านให้ไปสอนพวกที่พอจะพูดกันรู้เรื่อง พอจะอนุเคราะห์กันได้เสียก่อน พวกนี้แหละจะช่วยกันห้อมล้อมพวกนั้นอีกทีหนึ่ง อย่างที่ว่า เย เต ภิกฺขเว อนุกมฺเปยฺยาถ เย จ โสตพฺพํ มญฺเญยฺยํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชนทั้งหลายเหล่าใด ที่เธอทั้งหลายจะพึงอนุเคราะห์ได้ ชนทั้งหลายเหล่าใดที่พอจะรับฟังคำสั่งสอนได้ เธอจงไปบอกไปสอนบุคคลเหล่านั้น มิตฺตา วา อมจฺจา วา ญาตี วา สาโลหิตา วา เต (ภิกฺขเว) มิตรก็ดี อำมาตย์ก็ดี คนร่วมงานก็ดี สายเลือดของตนเองก็ดี ญาติของตนเองก็ดี ทำไมต้องพูดถึงมิตร ถึงสายเลือด ถึงคนร่วมงาน เพราะมิตรนี้ก็ดี บางทีก็พูดกันไม่รู้เรื่องเลย มันไปกันคนละทิศละทางกันเลย ญาติสายเลือดกันนี้ก็ดี คลานตามหลังกันมานี้ก็ดี มันยังจงเกลียดจงชัง แนะนำให้มันก็ไม่เอาด้วย เขาเรียกว่าพวกที่ไม่พูดกันรู้เรื่อง ไม่เอา ไม่ต้องพูดกันหรอก พวกที่เอิ้นไม่ลุก ปลุกไม่ตื่นนั้น เลิกกันเสียก่อนพวกนั้น
    ญาติของเรานี้ก็ไม่ใช่ว่าจะช่วยกันได้ทั้งหมด บางทีตั้งป้อมเป็นปฏิปักษ์กันเลย ไม่ใช่แต่เดียวนี้ พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ญาติของท่านอย่างนายทัณฑปาณิ พุทธเจ้าแสดงธรรมอยู่ มันมายืนเอาไม้เท้าค้ำคางแล้วก็ถาม สิทธัตถะเธอเอาอะไรมาสอนชาวบ้าน พุทธเจ้าของเราบอกว่า เอาสิ่งที่คนไม่ทะเลาะกัน เพราะตาคนนั้นแกชอบหาเรื่อง ไปไหนต้องได้เรื่อง พูดภาษาอีสานว่า ตาสีหาเหตุ ไปไสหาเหตุให้ได้หมอนี่ พุทธเจ้าก็ชี้แทงใจดำว่า พูดสิ่งที่คนจะไม่ทะเลาะกัน แกก็แลบลิ้นทำหน้าผากย่น ๓ รอยอยู่ใต้ต้นหมากตูม แล้วก็เดินไปเลย ไม่ได้ประโยชน์อะไร
    พระเทวทัตนั้นญาติของพระพุทธเจ้า มาบวชกับพระพุทธเจ้า นั้นมันไม่ได้เรื่อง ประพฤติปฏิบัติดี... แล้วก็หาทางทำลายมัน เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงให้เลือกมิตรก็ดี มิตฺตา วา อมจฺจา วา ญาตี วา สาโลหิตา วา เต ภิกฺขเว ภิกษุทั้งหลาย มิตรก็ดี คนร่วมงานก็ดี สายเลือดก็ดี ญาติของตนก็ดี บุคคลเหล่านี้ก็ยังต้องเลือก ญาติบางคนพูดดี ๆ มันเข้าใจผิด โห ! จะเป็นพระอรหันต์เดี๋ยวนี้ละน้อ มันไม่เอาด้วย เพราะเหตุนั้นจึงเลือก ทีนี้พวกเราคล้าย ๆ จะจองหองกันนะ ที่เขายังไม่พร้อม ไปกุมยัด กุมเยียด มันก็สูญเปล่า สูญเสียพลังงาน สูญเสียเวลา สูญเสียอะไรต่างๆ ทุ่มเทลงไป ทีนี้ควรที่จะพัฒนาคนที่พร้อมที่จะพัฒนา ที่จะรับฟังกันรู้เรื่องนั้นจะดีกว่า
     
  3. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    พัฒนาคุณภาพแห่งชีวิตตามแบบฉบับของพระพุทธศาสนา (ต่อ)

    เมื่อพระพุทธเจ้าของเราท่านตรัสรู้ใหม่ ๆ ท่านต้องคิดอยู่ถึง ๔๙ วันนะ ไม่กินข้าวกินน้ำ ว่าจะไปสอนใคร สิ่งที่เราเห็นมันเป็นเรื่องยากลำบาก ทีนี้ท่านก็มองเห็นบุคคลที่มีผงธุลีในตาน้อย บ่อปึกเกินไป บ่อแบกแป้นปีกมาเกิด พอที่จะพูดกันรู้เรื่อง สนฺตีธ สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา (สฺยามรฏฺฐสฺส เตปิฏกํ. วิ.มหา. ๔/๘/๙... “สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา...) ผู้มีผงธุลีในตาน้อย ก็เลยเลือกได้ปัญจวัคคีย์ ๕ คนนี่แหละ พูดกันก็เลยได้เรื่องกัน จนได้เข้าอกเข้าใจ จนได้ปฏิบัติธรรมเป็นพระอรหันต์ ในที่สุดก็เที่ยวสอนไปได้ ๖๐ ใน ๖๐ คน ท่านก็แจกไปเลย แจกไปก็ให้ไปหาคนที่พอจะพูดกันรู้เรื่อง แม้ตัวท่านเองก็รีบต่อไป ท่านมุ่งหน้าเข้าไปสู่บุคคลชั้นแนวหน้าที่ชาวบ้านชาวเมืองเคารพนับถือ บุคคลเหล่านี้มี Common Sense มีสามัญสำนึกที่ดีงามอยู่แล้ว ปรารถนาความหลุดพ้นอยู่แล้ว เพียงแต่เขายังไม่พบทาง ท่านก็ไปหา ครั้งแรกท่านก็บุกไปที่โน่น วัง ในดงของนักบวชหนึ่งพันรูป จะเป็นกลุ่มของชฎิล ไปเทศน์ ไปสอน เขาพวกนี้ฝักใฝ่ เป็นนักบวชอยู่แล้วเขาก็ได้ผลตั้งหนึ่งพันคน หลังจากนั้นท่านก็บุกเข้าไปสู่มหานครอันยิ่งใหญ่ระดับมหาอภิมหาอำนาจ คือเมืองราชคฤห์ของพระเจ้าพิมพิสาร เอาวันเดียวเลยได้แสนสองหมื่นคน
    พวกปัญญาชนพอพูดกันรู้เรื่อง หลังจากนั้นมันก็กระจัดกระจายไปอย่างรวดเร็ว นักบวชทั้งหลายเมื่อศาสนาพุทธประดิษฐานลงไม่กี่ปี เลือกเอาบนดินแดนที่เจริญแล้ว ที่มีอภิมหาอำนาจที่สุด อย่างแคว้นมคธ อย่างกรุงราชคฤห์ อาศัยอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินช่วยด้วย แล้วก็เอาภาษาของชาวมคธ คือภาษาบาลีนี้แหละเป็นต้นฉบับ ทั้งคนรู้จักกันมาก อย่างทุกวัน อย่างภาษาอังกฤษอย่างนี้ แล้วมันก็ได้ผลกันอย่างรวดเร็ว อย่างทันอกทันใจอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น ทีนี้ เมื่อหลังจากนั้นไม่นานนัก ก็มีการประชุมสันนิบาตนักบวช พันสองร้อยห้าสิบรูป ทั้งหมดนั้นก็คือกลุ่มนักบวชตั้งแต่โบราณอยู่ในแถบชมพูทวีป ที่ได้รับพระธรรมคำสั่งสอนเข้าอกเข้าใจ เป็นพระอรหันต์มีกลุ่มปริพพาชกบ้าง กลุ่มชฎิลบ้าง กลุ่มฤาษีบ้าง อย่างปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ นี้เป็นกลุ่มของฤาษี อย่างหนึ่งพันรูปของอุรุเวลากัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ หนึ่งพันรูปนี้กลุ่มของชฎิล และกลุ่มปริพพาชกของโมคคัลลา สารีบุตร
    เพราะฉะนั้น การเผยแผ่พุทธศาสนาของพระศาสดา ท่านไปต่อยอดเอาเลยสำหรับบุคคลผู้มีพื้นฐานอย่างดีงามอยู่แล้ว มันก็ได้ประโยชน์ แต่พวกเรานี้บวชเณรภาคฤดูร้อนชั่วเดือน หนึ่งเดือน ครึ่งเดือนนี้ อาตมาว่ามันได้ผลน้อย ดีไม่ดี ให้โทษ คนต่างศาสนาเขามาเห็นผ้าเหลือง ๆ โกนผมแล้วมัน เฮ้อ เด็ก ๆ ธรรมดานี่ยังไม่ได้มีสามัญสำนึกอะไรในทางสูงส่ง เพราะเหตุนั้น สิ่งที่ควรจะต้องมองกันต่อไปในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมในแนวของพุทธศาสนานั้น มันไม่ควรหยุดอยู่เพียงแค่บวชเณรภาคฤดูร้อน เมื่อบวชเณรภาคฤดูร้อน ปิดฤดูกันแล้วก็ควรจะบวชพระภาคฤดูฝน บวชเณรภาคฤดูร้อนด้วยเอานักเรียนมาบวช ทีนี้ก็มาถึงเวลาหน้าฝน ก็มาบวชพระภาคฤดูฝน
    บวชพระภาคฤดูฝนนี้เรามีประเพณีอยู่แล้ว แต่อาตมาอยากจะมองให้ซึ้งลงไปกว่านั้น อยากจะชักชวน... เมื่อหน้าฝนเข้ามาแล้ว บวชเณรภาคฤดูร้อนมาแล้ว ทีนี้มาบวชผู้ใหญ่คือบวชพระภาคฤดูฝน เอาใครมาบวช ? เอาครูนั่นแหละ ครู ๆ ๆ ที่สอนเด็กอยู่ทุกวันนี้แหละ ตามโรงเรียนตามปกติแล้วทางกฎหมายบ้านเมืองก็อนุญาตให้อยู่แล้ว ตั้ง ๑๒๐ วัน ให้ลาบวชได้ ได้เงินเดือนพร้อมฟรี ๆ คล้าย ๆ ว่าทางราชการ ทางรัฐบาลจ้างให้มาบวชอีกด้วยตามเงินเดือน ทำไมเราไม่คิดจะบวชกัน อาตมาคิดว่าถ้าครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ยังเป็นหนุ่ม เป็นแน่น จบปริญญามาเนี่ย ควรจะได้ลองบวชพัฒนาชีวิต เวลาบวชนี่อาตมาชื่นใจเหลือเกิน ถ้าเห็นพวกครูบาอาจารย์มาบวช บวชระยะ ๓ เดือน บวชให้มันได้ประโยชน์ บวชกันจริง เรียนกันจริง ปฏิบัติจริง มันก็ได้ผลจริง ๆ ๓ เดือนนี่อาจจะมีค่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2013
  4. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    บางท่านบวชมา ๒๐, ๓๐ ปี ไม่เคยประพฤติ ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา อะไรมากมาย บวชมาตามประเพณี กินไป ฉันไป อยู่ไปตามธรรมดาให้เขาว่าญาครูเท่านั้นก็พอ แต่ผู้ที่บวชจริง ๆ บวชเรียนจริงๆ ปฏิบัติจริง ๆ ๓ เดือน โดยเฉพาะพวกครูบาอาจารย์ที่มีความรู้พื้นฐาน มี Basic อย่างดีแล้วเนี่ย อาตมาเชื่อว่าจะทำให้ความเข้าใจทางศาสนา คุณธรรมต่าง ๆ ซึมซาบอาบรสสู่จิต สู่ใจ นำไปประพฤติปฏิบัติเป็นเนติ เป็นแบบ เป็นอย่างแก่ลูก แก่หลาน นักเรียน นิสิต นักศึกษา เป็นเบ้าหล่อหลอมสังคม เป็นแบบเป็นพิมพ์ที่ดี ที่งาม
    เดี๋ยวนี้ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ส่วนมากมักจะมองข้ามคำสั่งสอนในทางพระพุทธศาสนา ยังเข้าใจว่าตนเองมีความรู้ ความเข้าใจ จบปริญญามาเรียบร้อยแล้ว พระอยู่ตามบ้าน ตามป่า ตามเขา จะมีอะไรมาสอนเรา จะมาดีอะไรเกินกว่าเรา อันนี้แหละเป็นสิ่งที่ Provoke อยู่ตลอดเวลา ท้าทาย มาลองดูก่อนซี่ อย่าเพิ่งมาดูถูก ดูแคลน จบปริญญาของท่าน คนโบราณเขาพูดเอาไว้ว่า อัศจรรย์ใจแข้หางยาว ๆ สามาบ่อได้ฮองนั่ง บาดกระต่ายหางก้อม ๆ สามาได้นั่งฮอง ไม่จบปริญญา พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลอ่านหนังสือไม่ได้ดอก แต่ความรู้ชนิดที่จะชำแรกกิเลสไปสู่ความสิ้นทุกข์ พัฒนาคุณภาพชีวิตครบวงจร
    นิพฺเพนิกาย สมฺมา ทุกฺขกฺขยคามนียา ชำแรกกิเลสไปสู่ความสิ้นทุกข์โดยชอบ เอวํ โห นาถกรณธมฺโม โหติ นี่แล เป็นธรรมอันกระทำที่พึ่ง ให้แก่ตน
    เพราะเหตุนั้นควรจะได้บวชครูภาคฤดูฝน บวชเณรภาคฤดูร้อน บวชพระภาคฤดูฝน ครูบาอาจารย์ที่มีศิษย์ดีงาม เงินเดือนก็ได้ดี เขาไม่ได้หักแม้แต่บาทเดียวเลย มาลองบวช ลองสละดู ใครมีเมียแล้ว ก็ลองให้เมีย ให้ลูกเป็นทาน ไม่ทานนานดอก ทานสัก ๓ เดือน นี่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านสร้างบารมีมาให้ครบวงจรทั้งสิบอัน บารมีทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา เราก็มาลองดู ทานอย่างธรรมดา ใส่บาตรหยาดภพธรรมดาก็ทานมาแล้ว ทานเงิน ทานทอง ทานมาแล้ว ก็ลองมาทานลูก ทานเมีย
    สมมติว่าผู้มีเมียลองทานดู เพียง ๓ เดือนเท่านั้น คือไม่เกี่ยว ไม่ข้องเลย สมมติว่าไม่มีก็แล้วกัน มาฝึกจิต ฝึกใจ ในวัดในวา อย่างอาตมาที่พูดปาว ๆ อยู่นี่ ก็ทานมาแล้วนะ ทานลูก ทานเมีย ชนิดที่ว่าทานล่วงหน้าเลยตั้งแต่ยังไม่ได้มี ถ้าจะมีก็ได้ โอ้ย บ่อแหม่นขี้หล้ายปานได๋เด้ แม่ฮ้าง นางหม้าย ฮักข่อยอยู่ เห็นหว่ากะดาย แต่อาตมาไม่เอา ทาน ๆ ๆ ทานให้คนอื่นเสียในโลกนี้ สมมติว่าเกิดมาในโลกกี่พัน กี่หมื่นล้านคนก็ตาม จะต้องมีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเมียเราถ้าหากเราไม่บวช ทานมันเสียเลย ไม่ต้องเอา ยกให้ ใครอยากได้ เอาไปโลดทั้งโลกนี้ เรียกว่าทานล่วงหน้าเลย Beforehand giving ไปเลย ให้มันล่วงหน้าโลด อย่างนี้อาตมาก็ทานลูก ทานเมียเหมือนกัน เมื่อทานเมียแล้วก็ทานลูก คือบ่อมีเมีย มันจะมีลูกได้จั่งได๋ เพราะฉะนั้นเรามีแล้วก็ดี เป็นครูบาอาจารย์เงินเดือนก็มีอยู่ ๒ – ๓ เดือน พอได้เลี้ยงลูก เลี้ยงเต้า ลองทานเมีย เอาเงินเดือนให้พร้อม เจ้าไปรับเงินเดือนข้อยเด้อ เลี้ยงลูก จะทาน แล้วก็ลองมาบวช ตรงนี้ ครูบาอาจารย์ไหนคิดจะบวช อาตมาก็อยากจะชักชวนอวนต้าน
    บวชเณรภาคฤดูร้อน บวชพระภาคฤดูฝน บวชเณรนั้นก็คือเอาเด็กนักเรียนตัวเล็ก ๆ ทีนี้บวชพระภาคฤดูฝนนี้ต้องเอาครู ครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้สอนเด็กนั่นแหละ จะได้เข้าใจหลักธรรมของพุทธศาสนา ถ้าจะบวชกันจริง เรียนกันจริง ๆ ปฏิบัติกันจริง มันย่อมได้ผลจริง การจะบวชนี่ บวชที่ไหน ? นี่สำคัญที่สุด ควรจะได้เลือก ไม่จำเป็นต้องว่าอาจารย์สมภพนะ อาจารย์อื่นก็ได้ แต่ให้ท่านเลือก เพราะเวลา ๓ เดือน ขอให้มันมีค่า มีความหมายที่สุด เงินเดือนเขาก็จ้างแล้ว แต่เราจะมาอยู่อย่างมีประโยชน์ มีคุณค่า ให้เราเนี่ยถือเอาศาสนา เอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้เป็นที่พึ่งพิง พักพาหลักใจตนเอง นอกจากนั้นตนเองยังจะได้เป็นแบบอย่าง เป็นที่พึ่งแก่คนอื่นได้ เลือก เลือกที่ เลือกครูบาอาจารย์ เลือกกัลยาณมิตร ตรงไหนที่จะพร่ำจะสอน จะมีแบบมีอย่างที่ดีที่งามแก่เรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2013
  5. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +3,776
    ธรรมะของพระอาจารย์สมภพ ผมฟังเกือบทุกวัน
    เพราะพ่อผมเปิดเกือบ ๒๔ ชั่วโมง
     
  6. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    พัฒนาคุณภาพแห่งชีวิตตามแบบฉบับของพระพุทธศาสนา (ต่อ) ...

    การบวชนั้นมันง่ายถ้าไม่เลือก บวชที่ไหนก็ได้ โกนผมห่มจีวรนอนในวัด ๓ เดือนสึกออกไป เงินเดือนก็ได้อยู่ ไม่สำคัญ แต่มันสำคัญตรงที่การประพฤติปฏิบัติ มีกัลยาณมิตร มีผู้แนะนำพร่ำสอน มีเพื่อนรอบล้อม มีระบบชีวิต ระเบียบสังคมอันงดงามในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า จะเป็นเบ้าหล่อหลอมจิตใจของเราให้มันดีมันงามขึ้นมา อันนี้สิหายาก เพราะเหตุนั้น ตามเรื่องตามราว ยื่นขอลาบวชแล้วก็ไปหาวัดหาวา หาครูบาอาจารย์ดี ๆ ที่ไหนสงบรำงับ มีแบบมีอย่างที่ดีที่งาม... ว่าเออ ๓ เดือนของเรานี้จะศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ ไหน ๆ เราก็ได้เป็นครูบา เป็นอาจารย์แล้ว ความรู้ ความเข้าใจ พวกเราจบปริญญามาแล้ว ป.ว.ช., ป.ว.ส., ค.บ. อะไร ก็จบกันมาแล้ว มาศึกษาในทางพระพุทธศาสนา
    การศึกษาในทางพุทธศาสนานั้น ท่านทั้งหลายอย่าได้เข้าใจว่า ตนเองจบปริญญาแล้วจะเข้าใจพุทธศาสนาง่าย ๆ นะ พุทธศาสนาจะว่าไปแล้วไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าใจได้ในกระดาษง่าย ๆ จะต้องเข้าใจในการเรียนรู้ชีวิตจริง ๆ ถ้าผู้ใดสามารถเข้าถึงชีวิตธาตุแท้ธรรมชาติแห่งชีวิตจริง ๆ ผู้นั้นจะจบขบวนการศึกษาในพุทธศาสนา พุทธศาสนานี้มีปริญญาไว้รอรับนักศึกษาอยู่ถึง ๓ ปริญญาเลยทีเดียว ไหนจะปริญญาตรี โท เอก อย่างที่เราเรียนได้ประกาศนียบัตร ได้ปริญญาตรี ได้ Diploma Degree ปริญญา Master of Arts , Doctor Degree อะไรต่าง ๆ ไม่ใช่ แต่พุทธศาสนามีปริญญา ๓ ขั้นตอน คือ รู้จักสิ่งทั้งหลายตามสภาพของมันซะก่อน เรียกว่า “ญาตปริญญา” กำหนดรู้ ๆ ๆ ๆ มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา หลังจากนั้นก็จะเห็นเบื้องหลังแห่งปรากฏการณ์สิ่งที่เรารู้ ไม่ว่าจะเป็นรูป เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นความคิดต่าง ๆ ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ แล้วรู้จักมัน ๆ ๆ ๆ เรียกว่า “ญาตปริญญา” เมื่อเรารู้จักมันมาก ๆ เราก็จะเห็นเบื้องหลัง Factor ส่วนประกอบของมันให้มาเป็นเรื่องเป็นราว ให้เรามาคิดเป็นทุกข์ ก็จะเห็นเบื้องหลังของมัน ทำให้เราพิจารณาเองได้อย่างละเอียดลงไป เรียกว่า “ตีรณปริญญา” ได้มาจากการพิจารณา มันพิจารณาตนเอง หมุนติ้วเลยทีเดียว ความรู้ความเข้าใจก็หมุนลงไป เออ แต่ก่อนเราไม่เคยเข้าใจความคิดก็ดี ปรากฏการณ์แห่งความคิดที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ เกิด Egoism เกิด Self อะไรขึ้นมาต่าง ๆ อย่างนี้
    เมื่อเราเห็นส่วนประกอบของมัน Factor ของมัน หนัก ๆ เข้า ดูไป ๆ อีกทีหนึ่งก็จะมีลักษณะอันหนึ่ง คือเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นอาศัยเหตุ อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ เมื่อมันอาศัยเหตุ อาศัยเกิด ปัจจัยเกิดขึ้นแล้วมันก็มีลักษณะคือความไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ดับ ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ไม่ว่าจะเป็นรูปก็ดี ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมก็ดี ไม่ว่าจะเป็นกาย ไม่ว่าจะเป็นจิตก็ดี มันก็เลยเป็นอนัตตา นั้น... ไม่ใช่ตัวตนของเรา ของใครที่ไหน เนี่ยเป็นขบวนการของธรรมชาติ จิตมันก็จะปล่อยทันที เกิดปริญญาขึ้นมาในใจเรียกว่า “ปหานปริญญา” ปล่อยวาง ฆ่ากิเลสตายไปอย่างนี้
    พูดด้วยความเร็วสูง ดูเหมือนจะเข้าใจง่าย ๆ แต่ท่านจะต้องมาศึกษา การศึกษาในทางพุทธศาสนาจึงไม่มีดีกรีปริญญาที่แท้จริงที่จะเป็นสิ่งรับประกันได้ แต่สิ่งที่ท่านจะได้พบคือความดับลงแห่งความทุกข์ ถ้าความทุกข์ของท่านดับลง ๒๕ % ก็เชื่อได้ว่า มีความทุกข์ ๑๐๐ % เหลือเพียง ๗๕ % ก็บอกได้เลยว่าท่านคือพระโสดาบัน แต่ความทุกข์ ๑๐๐ % ลดลงไป ๕๐ % ก็บอกได้เลยว่าท่านคือสกิทาคามี แต่ความทุกข์ที่มีอยู่ ๑๐๐ % หมดไป ๗๕ % เหลือ ๒๕ % ท่านคืออนาคามี แต่ความทุกข์ ๑๐๐ % ในใจ ไม่มีเหลืออีกเลย ใครด่าก็ไม่โกรธ ใครกระทืบหน้าก็ยังให้อภัยได้ เฉยเลยอย่างนี้ ท่านไม่มีทุกข์เลยแม้แต่น้อย นั้นท่านก็เป็นพระอรหันต์ทันที ความทุกข์นั้นจะเป็นผู้สอบวัดผลของท่าน ทุกข์เกิดมาจากไหน ? เกิดมาจากกิเลสที่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเราของเรา หลงเอาก้อน... ธรรมชาติเป็นตัวเรา อัสมิมานะ ความสำคัญมั่นหมายคำว่า เรา ๆ ๆ ๆ ทีนี้เมื่อถอนอันนี้ออกไปได้ เห็นสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา “อสฺมิมานสฺส วินโย” ถอนความสำคัญมั่นหมายคำว่าเราออกเสียได้ “เอตํ เว ปรมํ สุขํ” เป็นสุขอย่างยิ่ง สุขชนิดที่ไม่ต้องซื้อด้วยเงิน สุขชนิดที่ไม่มีทุกข์เข้ามาปนอีกเลย
    เพราะฉะนั้น ๓ เดือนที่ท่านลาได้ ท่านจะบวชนี่ อาตมาอยากจะแนะนำให้เลือก เลือกที่บวช ปัญญาชนให้เหมาะสม ที่ไหนที่จะสอนเราได้ ที่จะพาเราประพฤติปฏิบัติ ๓ เดือนนี้จะมีคุณค่ามากมาย ถ้าครูบาอาจารย์พากันบวชมั่ง แล้วจะไม่ได้ดูถูก ไม่ได้มองข้ามศาสนาว่ามันไม่มีประโยชน์ เพราะเหตุนั้น อาตมาจึงอยากจะชักชวนท่านทั้งหลายเข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนา มาพักผ่อนทางกาย มาพักผ่อนทางจิต จิตที่มันทำงานเต็มไปด้วย Attach ๆ คือความยึดมั่นถือมั่นในการปรุงแต่ง การที่ได้กัน มีอยู่ จะสูญเสียไป อะไรต่าง ๆ มาลองพักมัน พักสิ่งเหล่านี้ลงมา อ่านสิ่งเหล่านี้ ดูใจของตนเองให้มันถนัดถนี่ขึ้น เรียกว่า ดู ผูกใจให้มันอยู่ ดูใจให้มันออก บอกใจให้มันได้ ก็จะใช้ใจเป็น เห็นสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง การศึกษาในทางพุทธศาสนามันก็จะจบขบวนความลงมา อันนั้นแหละที่อาตมาอยากจะชักชวนท่านผู้เป็นครูบาอาจารย์ หรือทหาร ตำรวจ ที่มีความรู้ความเข้าใจอะไรได้ง่าย ควรที่จะได้บวชได้ศึกษา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2013
  7. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    การอ่านตำรับตำรานั้นไม่ต้องบวชก็ได้ นอนอ่านอยู่ที่บ้านก็ได้ แต่บวชมานั้นเพื่อจะปลีกตนเองจากสภาพแวดล้อมที่วุ่นวาย ที่สับสนไม่เอื้ออำนวยต่อการศึกษาที่แท้จริง การศึกษาในทางพุทธศาสนานั้น จะว่าไปแล้วมันไม่ใช่การอ่าน นอนอ่านอยู่ที่บ้าน เดี๋ยวนี้เราเข้าใจกันแคบเหลือเกิน พระสงฆ์องคเจ้าของเราก็เหมือนกัน เวลาประชุมกันจะพูดในเรื่องการศึกษาของพระ พูดกัน ๓ วัน ๓ คืน ก็ไม่เข้าสู่เป้าประเด็นแห่งการศึกษา การศึกษาในทางพุทธศาสนานั้น จะมีอยู่ ๓ อัน ศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา เรียกว่าไตรสิกขา “ไตร” แปลว่า “สาม”, “สิกขา” แปลว่า “การอบรม” ภาษาบาลีว่าสิกขา สันสกฤตว่าศึกษา ภาษาไทยว่าศึกษาตามสันสกฤต ยังไม่แปล ภาษาอังกฤษว่า Training ๆ ๆ การฝึกฝนตนให้มันดีมันงามขึ้นมา เป็นอย่างนี้
    เพราะเหตุนั้น ตลอดเวลาที่ได้บวช ๓ เดือนนี้ ควรจะได้บวชมาเพื่อการศึกษาเรียนรู้พุทธศาสนา เรียนรู้ชีวิต เรื่องราวในพุทธศาสนา ทั้งหมดนั้นคือการพัฒนาคุณภาพของชีวิต มนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งที่ได้เดินดินกินข้าว ตายเน่าเข้าโลงเมื่อแก่เมื่อเฒ่า เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยธรรมดานี้ สามารถที่จะพัฒนาตนให้มีคุณภาพตามระบบไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้สูงขึ้นไปเกินกว่าเทวดา เกินกว่ามาร กว่าพรหม สตฺถา
    เทวมนุสฺสานํ
    พระพุทธเจ้าของเราเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ท่านก็คือคนธรรมดาเดินดินกินข้าวเหมือนกับเรานี่ เข้าห้องน้ำ ห้องส้วม เหมือนกับเรานี่แหละ ตายเน่าเข้าโลงไปธรรมดา แต่จิตใจที่ได้รับการศึกษาอบรมด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา นี่มันทำให้ประเสริฐสูงส่ง ที่ท่านกล่าวว่า วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมนุสฺสา ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และการประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องแล้ว ก็ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น การที่เราจะได้มาบวชในธรรมวินัย ในพระศาสนาอันดีอันงามนั้น เป็นสิ่งที่เราทั้งหลายควรจะได้คิดได้พินิจพิจารณา ยิ่งเป็นผู้มีบุญได้เกิดในประเทศไทย ในประเทศไทยนี้ต้องถือว่ามีบุญ ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ย่อมถือว่าเป็นผู้มีบุญอย่างยิ่ง แล้วยังมีครูบาอาจารย์ผู้แสดงธรรมวินัยคำสั่งสอนของพุทธเจ้าให้ปรากฏอยู่ในโลก แม้ท่านปรินิพพานไป ๒๕๓๔ ปี แล้วก็ตาม พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ยากเหมือนกันที่จะมีสิ่งเหล่านี้ แต่การพบสิ่งเหล่านี้ก็นับว่าเป็นบุญ การมีอินทรีย์ครบถ้วน ตาไม่บอด หูไม่หนวก ไม่ง่อยเปลี้ยเสียขา ปากวากดังเวิก พิกลพิการ นับว่าเป็นบุญเป็นกุศลอันที่ ๔ อันที่ ๕ การเป็นผู้ไม่ใบ้บ้าปัญญาทราม ไม่เป็นคนไม่เต็มบาทหรือไม่เกินบาท แต่พวกเรานั้นมันมีครบ จนกระทั่งเป็นครูบาอาจารย์ จนจบปริญญง ปริญญา เป็นทหาร ตำรวจมาแล้ว
     
  8. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    ตัวสุดท้าย กุสลธมฺมจฺฉนฺโท ทุลฺลโภ โลกสฺมึ ความเป็นผู้พอใจฝักใฝ่ในกุศลธรรมคำสั่งสอนของพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่หายากที่สุดในโลก เดี๋ยวนี้มันจะขาดแคลนก็ตรงนี้เอง ตรงที่ว่าเราไม่มีความพอใจฝักใฝ่ในกุศลธรรมคำสั่งสอนของพุทธเจ้า ลองประพฤติ ลองปฏิบัติดู มัวแต่เย้ว ๆ ๆ จะให้แต่เณรภาคฤดูร้อน บวชหัดกิริยามรรยาท นบไหว้ ให้เณร ให้เด็กรู้จักบุญคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เณรมันก็ซาบซึ้งตรึงใจ เมื่อครูบาอาจารย์ พระสงฆ์องค์เจ้าสอน สึกออกไปนี้ก็เป็นคนดีประมาณครึ่งเดือน หลังจากนั้นโทรทัศน์เอาไปกินบ้าง หนังเอาไปกินบ้าง หนังก็แก้ผ้า กอดจูบลูบคลำ เดี๋ยวนี้โป๊เปลือยกันหมดเลยแหละ ได้ข่าวเขาว่าเห็นหมดทุกสิ่งทุกอย่างการเสพการสม เด็กหัวเท่ากำปั้นมันก็มี Conception ขึ้นมา มันก็รู้ การบวชเณรครั้งหนึ่งมันก็หลาบตายไปอีก ปีหน้ามันไม่อยากบวช ต่อมาความประพฤติปฏิบัติที่ดีที่งามจากวัดไม่นานมันก็หายไป พ่อแม่บอก โอ้ย ลูกของฉันดีเหลือเกิน เมื่อได้บวชกับครูบาอาจารย์ ว่าง่าย ฟังคำ อย่างนี้น่าอบอุ่นใจ ต่อมาไม่นานนักก็บอกเหมือนมันไม่ได้บวชสักครั้งเลย บ่อเป็นตาสาแตกบาดนี้ ปานมันบ่อเคยได้บวชสักเถื่อ
    ทั้งหมดนั้นคือสิ่งแวดล้อมที่ยั่วย้อมมอมเมา ได้กลืนกินเข้าไปแล้ว ศรัทธาเขายังไม่เข้มแข็ง ศีลเขายังไม่เข้มแข็ง ปัญญาจาคาเขายังไม่เข้มแข็งพอ กำลังจะหัดเดินเตาะแตะ ๆ ก็มีสิ่งที่มาทำลาย ทีนี้บุคคลที่เจอสภาพแวดล้อมจากสภาพแวดล้อมที่มาทำลายจิตใจของเด็กไม่ใช่ใครคือผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็คือผู้ที่มีอภิสิทธิ์ อิทธิพล อำนาจวาสนาในหมู่บ้าน ก็คือกำนันผู้ใหญ่บ้าน ครูบาอาจารย์นี่เอง
    เพราะเหตุนั้น ภาคฤดูร้อน เณรบวชไปแล้ว ภาคฤดูฝนจะต้องพระคือผู้ใหญ่ เอาครูบาอาจารย์ เผลอ ๆ กำนันผู้ใหญ่บ้าน ลาบวชภาคฤดูฝนบ้างก็ยิ่งจะเป็นการดี แต่ต้องเลือกวัด เลือกวา ที่ดี ที่งามนะ อาตมามีความคิดอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านเน้นไปที่ผู้ใหญ่
    คุนฺนญฺเจ ตรมานานํ ชิมฺหํ คจฺฉติ ปุงฺคโว
    สพฺพา ตา ชิมฺหํ คจฺฉนฺติ เนตฺเต ชิมฺหํ คเต สติ
    เอวเมว มนุสฺเสสุ โย โหติ เสฏฺฐสมฺมโต
    โส เจ อธมฺมํ จรติ ปเคว อิตรา ปชา
    สพฺพํ รฏฺฐํ ทุกฺขํ เสติ ราชา เจ โหตฺยธมฺมิโก​

    (สฺยามรฏฺฐสฺส เตปิฏกํ. อํ.จตุกฺก. ๒๑/๗๐/๙๘-๙๙)

    เมื่อหัวหน้าฝูงโค ได้ข้ามไปแล้ว ลูกฝูงโคทั้งหลายก็ข้ามตามไป เมื่อหัวหน้ามันไปคด ลูกฝูงมันก็ไปคด ในหมู่มนุษย์ผู้ที่ถูกสมมติเป็นหัวหน้า เป็นครูบาอาจารย์ เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไม่ตั้งอยู่ในศีล ในธรรม เป็นผู้คดในข้องอในกระดูก ชาวบ้านทั้งหลายก็จะต้องเป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม สพฺพํ รฏฺฐํ ทุกฺขํ เสติ แว่นแคว้นทั้งหลาย รัฐทั้งหลายก็จะประสบกับความทุกข์ นี่เห็นไหมล่ะ ทีนี้ถ้าหัวหน้าดี เป็นยังไง สพฺพา ตา ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า เมื่อฝูงโคข้ามไปนั่น ถ้าหัวหน้าไปตรง ลูกฝูงก็ไปตรง
    คุนฺนญฺเจ ตรมานานํ อุชํ คจฺฉติ ปุงฺคโว
    สพฺพา ตา อุชํ คจฺฉนฺติ เนตฺเต อุชํ คเต สติ
    เอวเมว มนุสฺเสสุ โย โหติ เสฏฺฐสมฺมโต
    โส เจ ธมฺมํ จรติ ปเคว อิตรา ปชา
    สพฺพํ รฏฺฐํ สุขํ เสติ (ราชา เจ โหติ ธมฺมิโก) ​

    (สฺยามรฏฺฐสฺส เตปิฏกํ. อํ.จตุกฺก. ๒๑/๗๐/๙๙)

    เมื่อหัวหน้าโคข้ามไปแล้ว ฝูงโคก็ว่ายไปตาม เมื่อหัวหน้ามันไปตรง ลูกฝูงมันก็ไปตรง เมื่อหัวหน้าของคนที่ถูกสมมติ ตนเองเป็นหัวหน้าตั้งอยู่ในศีลในธรรม เมื่อนั้นประชาชนทั้งหลายก็จะเป็นผู้ตั้งอยู่ในศีลในธรรม สพฺพํ รฏฺฐํ สุขํ เสติ แว่นแคว้น บ้านเมือง ประเทศชาติทั้งหลาย ย่อมประสบกับความสุข นี่ พระพุทธเจ้าท่านพูดอย่างนี้ ..... (หมดข้อความจากแถบบันเสียงหน้าที่ ๑)...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2013
  9. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    .....(เริ่มหน้าที่ ๒ จากแถบบันทึกเสียง ข้อความขาดหายไป)..... ประชาชนอบรมลูกเสือชาวบ้าน อบรมพวก อ.ค.ปง., ค.ป. เอาครูบาอาจารย์มาร่วม เอาวิทยากอก วิทยากรมา ชาวบ้านตั้งใจกันมาอบรม เสียสละเวล่ำเวลา ชาวบ้านชาวช่องไม่ทำงานทำการ ทั้งทุกข์ทั้งยากทั้งที่ไม่มีเงินเดือน สละเวลามาอบรม แต่พวกวิทยากร ครูบาอาจารย์ที่เข้าร่วมนี่ พาทำตัวอย่างไม่ดี กินเหล้าเมายา ร้องรำทำเพลง สนุกสนาน เหมือนตั้งใจจะมากิน มันไม่มีอุดมการณ์อะไรเลย ที่จะทำให้ดีให้งามขึ้นมา อย่างนี้จึงคิดว่าควรจะต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตตามแบบของพุทธศาสนา การบวชนั้นคือการมาพัฒนาชีวิตให้มีคุณภาพ ถ้าครูบาอาจารย์เจ้านาย ผู้หลัก ผู้ใหญ่ ผู้ที่เป็นปัญญาชนในสังคมได้รับการฝึกฝน ได้รับการอบรม ได้รับการ Training ศึกษาในแบบพุทธศาสนา มันก็จะเป็นแบบเป็นอย่างที่ดีที่งาม จะไม่ได้มองข้ามศาสนาว่าไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมาย
    เดี๋ยวนี้ศาสนากำลังรอวันตาย อย่างชนิดที่ว่าจะฟื้นไปได้หรือไม่ บัดนี้อาตมาไม่ไว้ใจเสียแล้ว ปัญหาต่างๆ ประดังประเดกันมา เพราะคนไม่เข้าใจศาสนา เอาไปเอามาทางวัดวาอารามก็ไม่มีศักยภาพให้คนอื่นที่อยู่ภายนอกได้มั่นใจได้ เกิดสมีโน้น สมีนี้ เดี๋ยวพระมีเงิน เดี๋ยวพระมีเมีย เดี๋ยวพระมีลูก เดี๋ยวพระข่มขืนกระทำชำเรา โอ้ย เดี๋ยวสารพัดอย่าง อ้าว อยู่ดี ๆ มาเผากุฏิวิหารกัน ตีกัน ฆ่ากัน อย่างนี้ก็สั่นคลอนศรัทธาปสาทะมหาชน ปัญญาชนทั้งหลายซึ่งยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งก็โมเมไปหมดเลย ก็ลองมาบวชดูซี่ ลองมาบวชมาศึกษาด้วยกันดู ศึกษาในทางพุทธศาสนานั้น เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่แท้จริง
    มาดูการศึกษากับการพัฒนาคุณภาพชีวิต มันจะมีอยู่ ๔ อัน มี ๔ อัน ซอยให้ละเอียดหน่อย ภาษาพระท่านเรียกว่า ภาวิตา ภาวิตา ภาวิตา ตัวนี้ แปลว่าพัฒนา ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Development ภาวิตา หรือภาวนานั้น ตรงกับคำว่า Development แปลว่าการพัฒนากระทำให้มันดีมันงามขึ้นมา ในทางพุทธศาสนานั้นจัดไว้ถึง ๔ อัน ภาวิตกาย ภาวิตศีล ภาวิตจิต ภาวิตปัญญา มีการอบรมกาย มีการอบรมศีล มีการอบรมจิต มีการอบรมปัญญา การบวชมานั้น มาเพื่อจะอบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุที่จะให้ศาสนาเสื่อมในอนาคต เดี๋ยวนี้ยังไม่มี จะเกิดมีในอนาคต ก็เพราะว่า เมื่อต่อไป ภิกษุเข้ามาบวชในธรรมวินัยนี้ ไม่เป็นผู้พัฒนากาย คือเป็นผู้ไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา ให้ยิ่งแล้ว เมื่อบวชนานเข้าก็เป็นพระเถระ เป็นพระเถระแล้ว ก็จะเป็นอุปัชฌาย์ให้คนอื่นบวช เมื่อลูกศิษย์ลูกหาสัทธิวิหาริก อันเตวาสิกบวช ตนเองก็ไม่ได้อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา ก็ไม่สามารถที่จะบอกเขาว่า นั่งสมาธิอย่างไร ? ทำอย่างไร ? อบรมจิตอย่างไร ? อบรมปัญญาอย่างไร ? อบรมศีล อบรมกายอย่างไร ? ก็ไม่มีหนทางที่จะบอกเขาได้ เพราะตนเองก็ไม่เคย ในที่สุดก็เกิดอาการเลอะเลือน ต่อมา ๆ ๆ การบวชก็เลยเป็นเพียงประเพณีพิธีรีตองว่าได้บวชโกนหัวห่มจีวรนอนในวัดได้บุญโลด โอ เตรียมตัวตกนรกให้ดี ๆ ถ้ายังไม่เอากันจริง ๆ จัง ๆ
     
  10. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    การบวชนั้นพระพุทธเจ้าท่านว่า กุโส ยถา ทุคฺคหิโต หตฺถเมวานุกนฺตติ สามญฺญํ ทุปฺปรามฏฺฐํ นิรยายู... นิรยายูปกฑฺฒติ (สฺยามรฏฺฐสฺส เตปิฏกํ. สํ.ส. ตายนสุตฺตํ. ๑๕/๒๓๙/๖๘;
    ขุ.ธ. ๒๕/๓๒/๕๖)
    ขออภัยพูดภาษาบาลีเร็วหน่อย มันก็รัวลิ้นอยู่อย่างนี้ แปลว่าหญ้าคาจับไม่ดีแล้วจะบาดมือ การบวชไม่ดี การประพฤติพรหมจรรย์นี้หละหลวม รังแต่จะลากลงสู่นรก นี่ จะลากท่านลงสู่นรกเร็วที่สุดเลย เพราะเหตุนั้น การบวชนี้คือการพัฒนาชีวิตให้มีคุณภาพ อ้าว ตอนต้น ๆ เราได้พูดกันว่า คุณภาพของชีวิตที่จำเป็นที่อยากให้มีในทางพุทธศาสนานั้น เรามาดูตัวคุณภาพของชีวิตเสียก่อน และวิธีพัฒนาให้ไปสู่คุณภาพนั้น คุณภาพจะมี ๔ อัน
    ๑). มีความเป็นอยู่อย่างผาสุก พูดเป็นภาษาบาลีหน่อย เพื่อให้มันเป็นหลักเป็นฐาน เริ่มด้วยคำว่า “อโรคฺย” ไม่มีโรค ฟังให้ดีนะ ไม่มีโรคนี่คือคุณภาพอันหนึ่งของชีวิตในทางพุทธศาสนา พุทธศาสนาไม่ได้มองข้ามสิ่งเหล่านี้ ทั้งกาย ทั้งจิตละนะ
    ๒). อนวชฺช มีชีวิตอย่างปราศจากโทษ เป็นผู้ดำเนินชีวิต เป็นผู้ดำรงชีวิตอยู่ ดำเนินชีวิตไปอย่างเป็นผู้ไม่มีโทษ ไม่มีโทษแก่ตนเอง แก่คนอื่น แก่สังคม แก่ดิน ฟ้า อากาศ แก่สภาพแวดล้อม มลพิษต่าง ๆ
    ข้อที่ ๓). สุขวิปาก มีความเป็นอยู่อย่างผาสุกเป็นผล แม้จะไม่มีเงินสักบาทเดียวก็ยังมีความสุขใจได้ นั้นคือชีวิตที่มีคุณภาพ ไม่เป็นโรคประสาทป้ำ ๆ เป๋อ ๆ อยากจะผูกคอตาย กินยาตาย ไหลตายไม่มี
    อันที่ ๔). อันสุดท้าย “โกสลสมฺโภต” มีความเป็นอยู่ด้วยความฉลาดรู้เท่าทัน เข้าใจตัวธรรมชาติ กฎธรรมชาติ หนทางปฏิบัติตามวิถีทางกฎของธรรมชาติอย่างถูกต้อง
    นี่คือคุณภาพของชีวิต ทบทวนอีกทีหนึ่ง ๔ อัน อโรคฺย, อนวชฺช, สุขวิปาก, โกสลสมฺโภต นี่คือคุณภาพของชีวิตในทางพุทธศาสนา แปลเป็นภาษาไทยรวดเลย ไม่ต้องว่าภาษาบาลี ว่าอยู่อย่างปราศจากโรค อยู่อย่างปราศจากโทษ ไม่เป็นพิษเป็นภัย ทั้งแก่ตนเอง ผู้อื่น อันที่ ๓ เป็นอยู่อย่างผาสุก แม้แต่จะไม่มีอะไรเลย ทางจิตใจก็ยังผาสุกได้ อันที่ ๔ สุดท้าย เป็นอยู่อย่างฉลาด รู้เท่าทันสิ่งที่เป็นปัญหาแก่ชีวิต เหตุให้เกิดปัญหา ความดับลงปัญหา หนทางปฏิบัติเพื่อจะแก้ปัญหานั้น นี่คือคุณภาพในทางพุทธศาสนา คุณภาพชีวิตที่ต้องการ
    ทีนี้การบวชมาปั๊บ ก็มาพัฒนาคุณภาพแห่งชีวิตที่ยังไม่มีให้มี ๔ อันนี้ ให้มีความเป็นผู้ไม่มีโรค ให้มีความเป็นผู้ไม่เป็นโทษ เป็นภัยแก่ตนเอง แก่ผู้อื่น ให้มีความเป็นผู้มีความเป็นอยู่อย่างผาสุก ให้มีความเป็นผู้ไม่เป็นโทษ เป็นภัยแก่ตนเอง แก่ผู้อื่น ให้มีความเป็นผู้มีความเป็นอยู่อย่างผาสุก ให้มีความเป็นผู้ประกอบไปด้วยสติปัญญาทุกเมื่อ ทีนี้เมื่อจะให้มี ๔ อันนี้ ก็พัฒนา พัฒนาอย่างไร ?
    ภาวิตกาย พัฒนากาย เพื่อจะได้ไม่มีโทษ เออ เพื่อจะได้ไม่มีโรคเสียดแทง
    ภาวิตศีล พัฒนาศีล เพื่อตนเองจะไม่เป็นโทษ เป็นภัยแก่ใคร แก่คนอื่น แก่โลก แก่สังคม แก่สิ่งแวดล้อม แก่ดิน แก่น้ำ แก่ฟ้า แก่ไฟ แก่ลม
    ต่อมาก็ ภาวิตจิต อบรมจิต ให้จิตนี้บริสุทธิ์ ตั้งมั่น ควรแก่การงาน สงบเยือกเย็น สะอาด บริสุทธิ์ ไม่เป็นพิษ เป็นภัย สว่างไสว ด้วยคุณธรรม ด้วยสติปัญญา จิตชนิดนี้จึงจะทำให้อยู่เป็นสุข เรียกว่าสุขวิปากะ ถ้ามีจิตชนิดนี้แล้วมันก็สบายใจ แม้จะไม่ร่ำรวย เข้าทำนองคนที่โบราณของเราหัวเราะเยาะเย้ยคนร่ำรวย แต่ไม่มีจิตชนิดนี้ ก็เลยบอกว่า เจ้าผู้นอนในมุ้ง สามาให้ยุงกัด เด้นอ ข้อยผู้นอนเปลือยปะ ส่างบ่อมียุงต้อง สักกะโยงทะยานเต้น สามายืนม่องเก่า สังมายืนตั้งเที่ยง ของท่อคำหมากเหมี่ยง สังเจ้าหาบบ่อไหว ของหนักส่างถือได้ไปมาโดยง่าย คำแพงเอ้ย สังมาปากบ่อพ้น เสียงเจ้าบ่อได้ยิน คำโบราณพูดอันนี้ก็คือความเป็นอยู่อย่างผาสุก ไม่มีเงินมีทองมากมายก่ายกองก็อยู่ผาสุกได้ เหมือนไม่ต้องกางมุ้งไม่ให้ยุงมันกัด ถ้ามีมากก็โลภมาก อยากได้มาก ยุงคือความทุกข์ ขบกัดจิตใจ นอนอยู่ห้องแอร์ มันก็ยังร้อน เอาผ้าขาวม้ามาเช็ดหน้า เอาผ้าขาวม้ามาวีวาบ ๆ นั่งรถติดแอร์มันก็ร้อนหัวใจ มันจะตาย เห็นไหม เจ้าผู้นอนในมุ้งสามาให้ยุงกัด สักกะโยงทะยานเต้น สังมายืนตั้งเที่ยง เต้นไป ดิ้นไป วิ่งไป วนไป ร่ำไป รวยไป ถูไป ตกนรกไป ร้องไห้ไป ในที่สุดตายไปไม่ได้อะไรเลย ยืนอยู่ของเก่า ของท่อคำหมากเหมี้ยง สังเจ้าหาบบ่อไหว ของหนักส่างถือได้ไปมาโดยง่าย สิ่งที่มันไม่ยากเย็นคือการปรับจิตใจของเราให้รู้จักพอดี พองาม กับสิ่งที่เราได้มา ได้มา มันได้เท่าไหร่มันก็ไม่พอ ก็มาจัดการใจให้มันรู้จักพอ รู้จักพอ ๆ ๆ สิ่งนี้ไม่ต้องซื้อด้วยเงิน ของท่อคำหมากเหมี้ยง สังเจ้าหาบบ่อไหว ทำจิตใจให้มีสติ ให้มีสมาธิ ให้มีปัญญาขึ้นมา ไม่ต้องซื้อ อย่างนี้จึงรียกว่าภาวิตจิต อบรมจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2013
  11. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    เมื่ออบรมจิตแล้วมันก็จะเกิดสุขวิปากะ เป็นอยู่อย่างสามารถมีความสุขในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ไม่ว่าธรรมชาติจะผันผวนวิกฤตการณ์จะแปรปรวนยังไง จะเกิดสงครามร้อน สงครามเย็น ไต้ดิน บนดิน จะเข่นฆ่า ด้วยระเบิดนาปาล์ม ด้วยจรวด R.P.G. สกั๊ดบง สกั๊ดบี อะไรต่าง ๆ ซำบาย รู้เท่าทัน โกสลสัมโภตะ เป็นอยู่อันประกอบไปด้วยปัญญา ไม่ worry ต่อสิ่งใด เห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นจริง ตรงนี้ต้องมาพัฒนาปัญญา เรียกว่าภาวิตปัญญา
    เพราะเหตุนั้น การพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อชีวิตที่ดีงาม ก็เลยต้องมา ภาวิตกาย ภาวิตศีล ภาวิตจิต ภาวิตปัญญา อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา ให้ถูกต้อง ให้ดีงาม การบวช ๓ เดือนของปัญญาชน พวกที่เป็นครูบาอาจารย์ เป็นทหาร เป็นตำรวจ ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ได้มีพื้นฐานดีงาม คงไม่เหลือวิสัยที่จะมาทำความเข้าใจสิ่งนี้ แล้ววางท่าทีของชีวิตอย่างถูกต้องได้ง่าย แต่อย่าคุยโม้อวดโตไปนะ ว่ามีความรู้ทางโลก จบปริญญาแล้วจะแก้ปัญหาได้ Doctor ปืนยิงหัวตนเองตาย มีมาแล้วนะ จะบอกให้ นั้นถือว่าไม่มีอะไรที่จะมาช่วยปัญหาได้ จบปริญญายาวมาเป็นหาง ระดับ Doctor ก็เหมือนจระเข้หางยาว ๆ บ่อมีได้ฮองนั่ง อัศจรรย์ใจแข้หางยาว ๆ บ่อได้ฮองนั่ง กระต่ายหางก้อม ๆ สามาได้นั่งฮอง
    ถ้าเข้าใจความหมายคำสั่งสอนในทางพุทธศาสนา พัฒนากายขึ้นมา พัฒนาศีล พัฒนาจิต พัฒนาปัญญาขึ้นมา จ้างก็ไม่มีว่าการที่จะผูกคอตาย จ้างก็ไม่ไหลตาย ไม่เป็นโรคประสงประสาทตาย ทุกวันนี้คนมีความทุกข์มาก มาหาอาตมาแต่ละที มีแต่คนมีความทุกข์ บางคนอยากจะฆ่าตัวตาย บางคนอยากจะยิงตัวตาย บางคนก็บอกกลุ้มใจ ทำอะไรก็ขาดทุนสูญกำไร มีแต่ความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่เป็นอันอยู่อันกิน ท่านอาจารย์ไปโรงพยาบาลไหน เขาก็นัดให้มาแต่ที่นี่ บอกให้ไปหาอาจารย์สมภพ นั่น เห็นไหมนั่น หนีพ้นหรือไม่ ?
    อาตมาก็เทศน์ให้ฟัง คุณอยู่ยังไง ? กินยังไง ? ทุกวันนี้ มีบ้านไหม ? ..มี.. มีลูกกี่คน ? ..๓ คน.. ทุกวันนี้ยังนอนหลับไหม ? ..นอนไม่หลับเพราะกลัดกลุ้ม.. ทำไมจึงนอนไม่หลับ ระเบิดเขาโยนใส่หัวหรือ ? เหมือนในประเทศอีรัค หรือเหมือนชาวเคิร์ด คุณเห็นในโทรทัศน์ไหม ? เห็นชาวเคิร์ดในโทรทัศน์ไหม ? อพยพโยกย้ายเป็นแสน ๆ เป็นล้าน ๆ ตายไป อดอาหารตายไป ขาดแคลน อดอาหาร เป็นโรคระบาดตาย เห็นแล้วคุณเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ? ..ไม่เป็น.. แล้วคุณจะมาทุกข์อะไร ? ทุกข์ จนเพราะไม่พอ กับ จนเพราะไม่มี มันต่างกัน ถ้าจนเพราะไม่มี มันพอจะหาได้ดอกประเทศไทยนี้ บ้านดี เมืองดี ถ้าจนเพราะไม่พอ ไปอยู่เมืองสวรรค์มันก็ไม่พอ มันเป็นเปรต เรียกว่าวิมานิกเปรต หิวกระหายอยู่บนวิมาน ถ้าอย่างนั้นจะแก้ด้วยธรรมะเท่านั้น สนฺตุฏฺฐี ปรมํ ธนํ ความรู้จักพอใจเป็นทรัพย์อันประเสริฐ
    เพราะเหตุนั้น เราจะต้องมาพัฒนา การพัฒนากายนั่นไม่ใช่ว่าออกกำลังกาย ตื่นมาก็ต้องวิ่งแต่เช้าวันละ ๑๐ กิโล ฯ ๒๐ กิโล ฯ ยกน้ำหนักให้ก้ามเป็นมัด ๆ อย่างนั้นมันพัฒนาให้กิเลสฟูขึ้นมา อ้วนขึ้นมา กายมีก้ามเนื้อมาก กิเลสมันก็อ้วนมาก การพัฒนากายของพระพุทธเจ้า เมื่อบวชปั๊บก็จะเริ่มพัฒนากาย อุปัชฌาย์ก็จะเริ่มบอกทันทีเลย สิ่งที่จะเกี่ยวข้องกับกายคือเครื่องนุ่งห่ม เครื่องอยู่เครื่องกิน ที่อยู่ ที่อาศัย ยารักษาโรค อุปัชฌาย์จะต้องบอกเลย ปพฺพชฺชํ อุปนิสฺสาย... ปิณฺฑิลาโยปโภชนํ ปพฺพชฺชํ อุปนิสสาย ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย เจ้าบวชแล้ว เจ้าบ่อต้องย้านอึดอยากเด้อ เรื่องอยู่เรื่องกิน ปิณฑบาตกิน พยายามจั่งซี้เลี้ยงชีวิตจนตาย น่าน ไม่ต้องมา worry กับเรื่องอยู่เรื่องกินอะไรมาก กินวันละครั้งเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2013
  12. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    เวลากินก็มาพิจารณา ปฏิสงฺขา โยนิโส ปิณฺฑปาตํ ปฏิเสวามิ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว จึงฉันบิณฑบาตนี้ ไม่ได้ฉันเพื่อเล่น เพื่อประดับ เพื่อตกแต่ง เพื่อเกิดความอิ่มอึดอัด เกิดความกำหนัดมัวเมา เกิดความเพลิดเพลิน ไม่ได้กินเพื่อประดับประดา คาบมาสูบมาดม มาอมมาเคี้ยว สิ่งที่ไม่จำเป็น สุดท้ายก็มาลงท้ายว่า กินอาหารนี้เพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้ เพื่ออนุเคราะห์ชีวิตยังอยู่ เพื่อจะได้ประพฤติพรหมจรรย์
    สุดท้าย ยาตฺรา จ เม ภวิสฺสติ อนวชฺชตา จ ผาสุวิหาโร จาติ อนึ่งความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพนี้ด้วย ความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วย และความเป็นอยู่โดยผาสุกด้วย จักมีแก่เรา, ๓ อันนี้ เป็นบทสรุปแห่งการกิน คือการพัฒนากาย เป็นผู้หาโทษมิได้ ความเป็นอยู่อย่างผาสุก ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพ การกินเพื่อไม่ให้มีโทษนั่น มันผิดกับกินให้มีโทษ กินเพื่อให้มีโทษ กินเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกาย พอดีอิ่ม ๆ กินวันละครั้งเดียว ไม่มีโทษแก่ร่างกาย กินมาก ๆ มีโทษก็ได้ สูบบุหรี่เข้าไป มีโทษแก่ร่างกาย กินเหล้าเข้าไป มีโทษแก่ร่างกาย กินอยู่บ้านไม่ดี ต้องไปหากินสิ่งที่มันมีโทษ เข้าคลับ เข้าบาร์ ไฟวับ ๆ แวม ๆ ไฟแสงสี เพลงเบา ๆ เหล้าบาง ๆ นางงาม ๆ สลัว ๆ เงินเดือนออก ๒ วันหมดเกลี้ยง นั่นเห็นไหม มันกินแบบมีโทษ มันไม่ใช่ อนวัชชตา
    พระท่านกินแบบ อนวัชชตา ไม่ให้มีโทษ กินเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกาย เป็นไปเพื่อความผาสุก ผาสุกบ่อแหม่นกินแซ่บ ๆ บ่อแซ่บกะผาสุกได้ หมายความว่ากินแล้วมันไม่ทุกข์ เดี๋ยวนี้มันกินให้ไม่ผาสุก กินเหล้าเข้าไปทำลายสติปัญญา ผาสุกไหมล่ะ ? ปวดหัว ปวดท้อง เป็นโรคตับด้าน ตับแข็ง ซอยแซ่ซกเล็ก ลาบเลือด เป็นโรคใบไม้ในตับ แซ่บอยู่ แต่ว่าไม่ผาสุก นำโรคมาให้ พระท่านไม่กินอย่างนั้น การพัฒนากาย สิ่งที่กินก็ยังกินอย่างที่มีความรู้ รู้เท่าทันคุณค่าแท้ คุณค่าเทียม คุณค่าแท้คือความต้องการของร่างกายตั้งอยู่ได้ ต้องอาศัยสติปัญญาจึงจะเข้าถึง ส่วนคุณค่าเทียม มันไปตามกิเลส ต้องไปกินที่มีเหล้า ที่มีผู้หญิงสวย ๆ มาคอยป้อนเอาอกเอาใจ ฟังเสียงเพลงไปด้วย เกิดกำหนัดก็ Entertainment ก็เสียเงินเพิ่มเติมไป ต่อมาก็เป็นโรคอง โรคเอดส์ เยี่ยวออก ๓ รูบ้าง อย่างนี้มันกินแบบมีโทษ เห็นไหมล่ะ
     
  13. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    พัฒนาคุณภาพแห่งชีวิตตามแบบฉบับของพระพุทธศาสนา (ต่อ)

    เพราะเหตุนั้นการกินของพระนั่นคือการพัฒนากาย เรื่องกินก็กินไม่ให้มีโทษ กินให้มีความผาสุก ไม่ให้กินเพื่อเกิดทุกข์เหมือนพวกเรา เรานี้กินให้เกิดความทุกข์ กินทางปากไม่พอ กินทางจมูก กินทางตา กินทางหู กินทางกาย กินทางปาก ตาก็จะกินโทรทัศน์ หูก็จะฟังเสียงนักร้อง ตาก็จะกินผู้หญิงสวย ๆ งาม ๆ นุ่งน้อยห่มน้อย ไฟวับ ๆ แวม ๆ ปากก็กินไป ตาก็กินไป หูก็กินเพลงไป สเตอร์ริโอไป เพลงผู้หญิงที่ร้องเพราะ ๆ ไป เอ้า จมูกก็กินน้ำหอม กลิ่นหอม ๆ ซื้อมากิน ผิวหนังก็จะกิน ซื้อเครื่องสำอง สำอาง มาทา กลัวจะไม่งาม กินทางหนัง กินทางกายกินแล้วก็ไปล้างออก แล้วก็ไปซื้อมาทาใหม่ ซื้อมาทาหาสาแตกเฮ็ดหยัง ถ้าจะไปล้างออกอยู่... ว่ามันดี สิไปล้างออกหาสาแตกเฮ็ดหยัง ทาอืดลืด ๆ ๆ เพิ่มเข้า ๆ ๆ นี่ไปซื้อแพง ๆ เอามาทาให้ตนเองรู้สึกว่างาม บางทีหน้าเปื่อยยุ่ยไปเลยก็มี อย่างนี้เรียกว่ากินทางกาย กินทางผิวหนัง
    นอกจากนั้นกินทางจมูก น้ำหม น้ำหอม ราคาเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น ขวดละหกหมื่น ซื้อมากิน หยดเดียวซื้อข้าวสารได้กระสอบหนึ่งสำหรับคนจนยังไม่พอ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่รู้จักคุณค่าแท้ คุณค่าเทียม หลังจากนั้นก็กินทางใจ มีเงินเท่าไหร่มันก็ไม่พอ เงินเดือนขึ้นมาอีก ๕ หมื่น มันก็ไม่พอจะกิน อย่างนี้ไม่รู้จักคุณค่าแท้ ทางพระท่านก็สอนพัฒนาตน การพัฒนากายคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกาย เรื่องกินก็ดี เครื่องนุ่งห่มก็ดี นุ่งห่มก็ไม่ว่า จะเอากี่ชุด กี่แฟชั่นอะไรขึ้นมา ปกปิดอวัยวะส่วนที่น่าละอาย บำบัดความร้อน บำบัดความหนาว ก็เพียงพอแล้ว หลังจากนั้นเรื่องที่อยู่อาศัย กันแดด กันฝน กันเหลือบยุง ริ้น ไร สัตว์เลื้อยคลานก็พอแล้ว
    เราสร้างบ้านเหมือนจะอยู่อีก ๕ พันปีจึงจะตาย สร้างมาใหญ่โต ยืมเงินธนาคาร ยืมอะไรมาสร้าง บางทีสร้างยังไม่เสร็จตายก่อน บางทีเสร็จแล้วอยู่ไม่ถึงสิบปีก็ตาย ลักษณะเช่นนี้ยังไม่ได้พัฒนา ไม่ถือว่าพัฒนา พูดภาษาฝรั่งก็ว่า Modernization without Development ทันสมัยแต่ไม่ได้พัฒนาทางด้านจิตใจ มันก็เลยมีปัญหาขึ้นมา ยารักษาโรค เดี๋ยวนี้ไม่เป็นโรค ไปหาซื้อยากระตอก ยากระตุ้นอะไรมากิน ยาก็ไม่กินเวลา... เมื่อเราพัฒนากายอย่างนี้ มันก็ปราศจากโรค โรคแปลว่าสิ่งที่เสียดแทง ไม่ได้หมายเจ็บหัว ปวดท้องอย่างเดียว คือเสียดแทงใจนั้นแหละ พัฒนากายให้เรียบร้อย ปราศจากโทษทางกาย โทษทางใจ กายก็ไม่เป็นโทษ ทุกวันนี้ อาหารเนี่ยมันทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ พวกไปกินเหล้า กินยา ราคาแพงเอร็ดอร่อยนั่นแหละ ยิ่งมีปัญหา มีโรคภัยไข้เจ็บมากกว่า
     
  14. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    อาตมาอยู่ที่วัดกินวันละครั้งเดียว ฉันอยู่ในบาตรอย่างนี้ บางครั้งเคยอดทีเดียวรวด ๒๐ วัน ยังไม่เคยเป็นโรคกระเพาะ กระเพอะอะไรเลย เห็นไหมล่ะ มันผิดกันตรงนี้ เอ้า เลยผ่านไป พัฒนาศีล ภาวิตศีล คือการรู้จักรับผิดชอบทางกาย ทางวาจาให้ปกติ รับผิดชอบใจให้ปกติ ศีล ๕ นั้นแหละคือการพัฒนา ข้อที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ พัฒนากาย รับผิดชอบทางกาย ไม่ไปลักของเขา ไม่ไปฆ่าไปแกงเขา หลังจากนั้นไม่ล่วงล้ำก้ำเกินของรักของเขา นี่เรียกว่ามีการรับผิดชอบทางกายให้มันปกติ ไม่เบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น ข้อที่ ๔ ไม่เบียดเบียนทางวาจา มุสาวาทา ข้อที่ ๕ ไม่เบียดเบียนใจตนเอง
    เมื่อตนเองไม่เบียดเบียน มันก็อยู่ในภาวะปกติ กาย วาจา ใจ ชีวิตก็ปราศจากโทษ อนวัชชะ อ้า...ก็เกิดปราศจากโทษ เป็นคุณภาพอันที่ ๒ คือไม่มีโทษ ไม่มีโทษแม้แต่ตนเอง ไม่มีโทษแม้แต่คนอื่น คนมีศีลที่ดีงาม ไปไหนก็อบอุ่นชุ่มเย็น ไม่เป็นโทษแก่ตนเอง ไม่เป็นโทษแก่คนอื่น พูดด้วยความเร็วสูงนะ เวลามันจะหมด ต่อมาก็ภาวิตจิต อบรมจิต ตรงนี้การอบรมจิตก็คือ การฝึกจิตให้มีสมาธิ ภาวนารู้สึกเนื้อ รู้สึกตัว พูดภาษาอีสานบ้านเฮาง่าย ๆ ว่า ฮู้เมื่อคีง ฮู้เมื่อความ ฮู้เมื่อใจ ฮู้เมื่อฮู้
    เดี๋ยวนี้ไม่รู้สึกตัวเลยว่า ตนเองกำลังทำอะไร กำลังเป็นอะไร พอใจมันคิดมาก็ไปกับใจ มันคิดจะไปเที่ยวก็ไป มันคิดจะไปกินเหล้าก็ไป มันจะคิดจะไปสถานที่อัปรีย์กาลกิณีจัญไรอบายมุขก็ไป เดี๋ยวนี้ไม่รู้จักใจตนเองเลย ใจมันจะลากไปไหนก็ไปกับมัน ในที่สุดใจเป็นนายกายเป็นบ่าว กายเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ แต่ใจเป็นนายที่โหดร้ายเพราะไม่รู้จักใจ ใจก็เลยพาไปเข้าคลับ เข้าบาร์ ใจก็เลยพาไปทำชั่ว มัวหมอง ใจก็เลยพาไปเที่ยวผู้หญิง จนป็นโรคอง โรคเอดส์ อะไรขึ้นมามั่ว ใจก็เลยพาไปคบเพื่อนไม่ดี ไปสนุกสนาน เงินเดือนหมด เป็นโรคประสาท ไปยืมเงินคนโน้น คนนี้ อยากจะฆ่าตัวตาย ใช้หนี้ใช้สินหน้าดำคร่ำเครียด กิเลสมันแผดเผา ไม่รู้จักใจ
    เพราะฉะนั้น ภาวิตจิต พัฒนาใจ ให้ใจนี้ วิสุทฺโธ สมาหิโต กมฺมนีโย บริสุทธิ์อยู่มั่นคง อยู่ไม่รักง่าย โกรธง่าย เกลียดง่าย ต่อสิ่งที่ยั่วเย้ามอมเมาจิตใจ ไม่หวั่นไหวกับมันง่าย ฝังหลักมั่น ลมตีฮ้อยห่า ทอดสะเนิ้งแหงนหน้าเบิ่งลม หลังจากนั้นมีปัญญา กัมมนีโย ควรแก่การงาน มีความรับผิดชอบสูง ไม่เป็นพิษเป็นภัยเลย การพัฒนาใจชนิดนี้ ใจก็จะได้รับผลออกมาสุขวิปากะ คุณภาพอันที่ ๓ แห่งชีวิต คือมีความเป็นอยู่อย่างผาสุก แม้จะเป็นผู้น้อย มีเงินน้อย เหมือนนกน้อย นกน้อยทำรังอยู่อบอุ่นแต่พอตัว สบาย สบาย อาจจะมีความสุขกว่าเสี่ยมีเงินเป็นร้อย เป็นพันล้านก็ได้ ถ้าพัฒนาใจได้อย่างนี้
    หลังจากนั้น ภาวิตปัญญา พัฒนาปัญญา รู้เท่าทัน รู้อะไร ? รู้ในสิ่งที่ตนเองหลง ไม่ใช่หลงแต่ในสิ่งที่ตนเองรู้ เดี๋ยวนี้จบปริญญามาก็หลงความรู้ตนเองแล้วในที่สุดก็เมาความรู้ เอาความรู้ไปพาทุกข์ จะเป็นโรคประสาทตาย เดี๋ยวนี้เราจะไม่หลงความรู้ แต่เราจะรู้สิ่งที่หลงนั้น เห็นไหมล่ะ ? มันไม่ต้องไปอ่านในหนังสือ อ่านใจนี่แหละ รู้ใจอยู่ทุกเมื่อ รู้ความรู้สึก Feeling อยู่ทุกเมื่อ มันมีความรู้สึกยังไง ? เป็น Negative เป็น Positive รู้เท่าทันมัน อย่างนี้เรียกว่าพัฒนาปัญญา พัฒนาปัญญาให้รู้สึกตัว ให้รู้สึกต่อความรู้จักความรู้สึกของตนเอง รู้จักพอใจ ไม่พอใจ ไม่เป็นทาสของมัน รู้จักมันไว้ หลังจากนั้นรู้จักใจ ใจดี ใจชั่ว ใจมัว ใจหมอง มีโลภะ โทสะ โมหะ รู้มันอ่านมันให้ออก บอกมันให้ได้ ใช้มันให้เป็น เห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงอยู่ในใจนั้น อย่างนี้เขาเรียกว่าพัฒนาปัญญา ไม่หลงไปในสิ่งที่รู้ สิ่งที่ตารู้ สิ่งที่หูรู้ สิ่งที่จมูกรู้ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์มาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันสัมผัส มันรู้อย่างนี้ ไม่หลงในสิ่งที่เข้ามารู้สัมผัสในประสาท แต่จะรู้ในสิ่งที่หลง มันตรงกันข้าม
    รู้ในสิ่งที่หลง กับหลงในสิ่งที่รู้ มันผิดกัน ถ้าหลงในสิ่งที่รู้มันมีโอกาสจะทุกข์ทนลอยอยู่ในวัฏฏะสงสาร ชีวิตตกต่ำลงไปเรื่อย แต่ถ้ารู้ในสิ่งที่เราหลง มันจะถอนตัวออกมาจากความหลง จะสว่างไสว รู้ในสิ่งที่เราหลง ต่อมาก็รู้ในสิ่งที่มันรู้ หลังจากนั้นรู้จักว่ามันรู้ขึ้นมาอย่างนี้ รู้ความจริงของความรู้ รู้ในหลงไม่หลงในรู้ หลังจากนั้นก็รู้เข้าไปในตัวรู้ รู้ความจริงของตัวผู้รู้ คือธรรมชาติวิญญาณธาตุที่อาศัยอยู่ในกาย ที่อาศัยอยู่ในดิน น้ำ ไฟ ลม ในกายนี้ยังมีช่องว่าง เรียกว่าอากาสธาตุ แล้วยังมีวิญญาณธาตุ วิญญาณธาตุ Conscious Element แหมพูดภาษาฝรั่งหน่อยก็ดีนะ ไม่ว่าธรรมชาติฝ่ายที่มันรู้ พวกที่มันเป็น Sense นี้ ที่มันรอรับ Sense Object รู้จักมัน นี้คือธรรมชาติ ๆ ๆ แล้วมันก็จะรู้จักการปลดปล่อยตัวมันเอง มันจะได้ปริญญา เรียกว่าปหานปริญญา การพัฒนาคุณภาพชีวิตในทางพุทธศาสนา มันเป็นอย่างนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2013
  15. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    พระอรหันต์อ่านหนังสือไม่ได้ สามารถทำลายกิเลส รู้เข้าไปในตัวผู้รู้ จนตัวผู้รู้ไม่อาศัยอยู่กับดีกับชั่ว กับทุกข์กับสุข กับรักกับชัง วิญฺญาณํ อตฺถํ คมาคมา ? วิญญาณความรู้ ไม่แอบอิงอาศัยสิ่งใดเลย ตรงนั้นไปไหน วิมุตติ หลุดพ้น ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตาย ไม่เป็นเจ้าของความเกิด ไม่เป็นเจ้าของความตาย หลุดพ้นอิสระ วิญฺญาณํ อตฺถํ คมาคมา ? วิญญาณนั้นไม่มีที่ตั้งอยู่ ไม่มีที่แอบอิงอาศัย นี่ไม่มีอะไรมาแอบอิงอาศัยมัน มันก็ไม่ไปอาศัยสิ่งใดเลย หลุดออกไป มันเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่ไปสวรรค์ ไม่ไปนรก ไปไหน ไปที่อมตะ ไม่ต้องตาย ไม่ต้องเกิด พูดไปแล้วจะเข้าป่าเข้าดง สำหรับคนที่ฟังไม่ถูก
    เพราะเหตุนั้น อย่างไรก็ตามเรามาพัฒนาความรู้ เรียกว่าภาวิตปัญญา พัฒนาปัญญา อบรมปัญญาให้ยิ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ โดยไม่ต้องเอาปริญญาทางโลก เมื่ออบรมปัญญายิ่ง มันจะโกศลสัมโภตะ เป็นอยู่ด้วยปัญญารู้เท่าทันแม้เวลาตาย ตายก็ยังนอนดูตัวเองตาย เหมือนดูคนอื่นตายอยู่ในโรงพยาบาล ตนเองจะตายพะงาบ ๆ ก็นอนดูตัวผู้รู้ รู้เข้าไปในตัว โอนี่ กำลังตาย ร่างกายกำลังแตกสลายทำลายไป เหมือนเราดู เรานอนหลับ เหมือนเราดูตะเกียงมอด ตะเกียงหมดน้ำมัน.... . เหมิดไป จิตใจไม่ละห้อยหาอดีต ไม่ปรารถนาสวรรค์ชั้นไหน ไม่ปรารถนานรกชั้นไหน แต่จะตื่นโพลงด้วยปัญญาที่รู้เท่าทัน โอ นี่กำลังดับไป กำลังสิ้นไป กำลังแตกสลายไป อย่างนี้เรียกว่าภาวิตปัญญา ปัญญาชนิดนี้ Doctor หรือ Post Doctor… ไม่สามารถจะเข้าถึงได้นะจะบอกให้ แต่สมัยพุทธกาลมีอเสขบุคคลเป็นจำนวนมาก ผู้จบการศึกษาไม่ต้องศึกษาอะไร
    เพราะเหตุนั้นการบวช ๓ เดือน ครูบาอาจารย์ ปัญญาชนทั้งหลาย ทหาร ตำรวจ ก็ดี ให้เลือกวัดวาอาราม เลือกครูบา เลือกอาจารย์ สถานที่ฝึกฝนอบรมที่ดี ที่งาม สามเดือนของเราให้มันมีคุณค่า ให้มันมีความหมาย เกิดมาชาติหนึ่ง อย่าให้เสียชาติเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ให้ท่านได้เลือก แล้วท่านจะได้เป็นแบบเป็นอย่าง แก่ลูกศิษย์ลูกหา แก่บ้านแก่เมือง จะเป็นแบบพิมพ์ จะเป็นเบ้าหล่อหลอมสังคมที่ดี ที่งามขึ้นมา การพัฒนาตน พัฒนาคุณภาพชีวิตของตนก็จะส่งไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตสังคม ครูนั่นแหละเป็นผู้สร้างโลก สร้างสังคม คนในโลกเขาจะเป็นคนอย่างไรก็แล้วแต่ เขาจะได้รับการศึกษามาอย่างไร ? เขาจะได้รับการศึกษามาอย่างไรก็แล้วแต่ ผู้สอนจะสอนเขาอย่างไร ผู้สอนจะสอนเขาอย่างไร ก็คือครูนั่นแหละเป็นผู้สอนเขาไปกินเหล้า สอนเขาไปเจ้าชู้ สอนเขาไปสนุกสนานเฮฮา ประพฤติมรรยาทเลวทรามให้เขาเห็น เขาก็ได้แต่ตัวอย่างอย่างนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2013
  16. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    พัฒนาคุณภาพแห่งชีวิตตามแบบฉบับของพระพุทธศาสนา...

    เพราะเหตุนั้น บวชเณรภาคฤดูร้อนผ่านไป ได้อะไรบ้าง ? มาทบทวนดู ถ้ายังไม่เห็นคุณค่าการบวชเณรภาคฤดูร้อนได้ผลนั้น มาบวชพระภาคฤดูฝน คือบวชครู บวชเณรนั้นคือบวชนักเรียน บวชครูในหน้าฝน ๓ เดือน ๑ พรรษา ได้เงินเดือนพร้อม ประเทศไทยนี้มีบุญเหลือเกิน แม้จะเป็นเจ้า เป็นนาย จะบวช เขาก็ยังจ้างให้บวชคือมีเงินเดือนอยู่ ไม่น่าเป็นห่วง น่าจะได้ศึกษาพระธรรมวินัย พัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี ที่งาม อาตมาคิดว่า ถ้าครูบาอาจารย์ทั้งหลายลองฝึกฝนตนเอง ลองลาบวช แล้วก็ไปบวชกับวัดครูบาอาจารย์ที่ดีที่งาม ศึกษาดู คิดว่าครูจะมีคุณภาพ การจะปรับปรุงแก้ไข ปรับหลักสูตรใหม่ จัดระบบการศึกษาอีก ๙ ปี อาตมายังไม่แน่ใจ ไม่หวังว่ามันจะดีขึ้น ทำให้คนมีคุณภาพชีวิตดังที่กล่าวนี้ แต่ถ้าจะให้คนมีคุณภาพชีวิตดังที่กล่าวนี้ จะต้องมายกครู จะต้องมาพัฒนาครู ไม่ต้องไปพัฒนาเด็กให้เรียนถึง ๙ ปี ๑๐ ปี ดอก มาพัฒนาครูนี่แหละ ให้ครูมีคุณธรรม มีการควบคุมจิตใจตนเองได้ เอาชนะใจตนเองได้ สลายพฤติการณ์ชั่วช้าลามกของตนเอง เป็นแบบเป็นอย่าง พูดให้คนอื่นฟัง ทำให้คนอื่นดู อยู่ให้คนอื่นเห็นได้ อย่างชัดเจน อย่างเปิดเผย ถ้าอย่างนี้ การปรับปรุงระบบการศึกษา ไม่ต้องถึง ๙ ปี ก็ได้ดอก มันสำคัญอยู่ที่ครูเดี๋ยวนี้
    เพราะเหตุนั้น ในสมัยโบราณโน้น เขาไม่มี ป.๖, ป.๗ เขาเรียนจบ ป.๔ กันเท่านั้นเอง อย่างอาตมาที่พูดปาว ๆ อยู่นี้ จบที่ไหน อาตมาจบ ป.๔ ชั้นไหนก็ไม่ได้ นักธรรมใดก็ไม่ได้ แต่ป.๔ ในสมัยโบราณนะ ไม่ได้เรียนถึง ป.๖ ไม่ได้เรียนถึง ป.๙ คนในสมัยโบราณ ลูกเชื่อฟังพ่อ แม่ ลูกศิษย์เคารพครูบาอาจารย์ บ้านเมืองมีระเบียบวินัย เมตตาปราณี เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ เอื้ออาทรต่อกันและกันกว่าทุกวันนี้เยอะ เพราะเขามีคุณภาพทางจิตใจ ด้วยศีล ด้วยธรรม เพราะเหตุนั้น ชีวิตทุกวันนี้กำลังขาดคุณภาพทางจิตทางใจ เรามาพัฒนาจิตใจของเรา พัฒนาครูบาอาจารย์ พัฒนาเบ้าหลอมสังคม พัฒนาแบบพิมพ์ของสังคมให้มันดี ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะดีของมันไปเอง ไม่มีอะไรมากไปเกินกว่านี้ สมฺมาทิฏฺฐิสมาทานํ สพฺพทุกฺขํ อุปจฺจคํ เมื่อมีความเข้าใจต่อสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องแล้ว ปัญหาทั้งปวง ความทุกข์ทั้งปวงมันก็จะพ้นไป มันก็จะสิ้นไป มันอยู่ตรงนี้เอง เพราะเหตุนั้น อย่ามามัวพัฒนาตั้งแต่เด็กอยู่เลย เรามาพัฒนาผู้ใหญ่กันเถิด เด็กมันจะดีของมันไปเอง ถ้าหากผู้ใหญ่ทางบ้านทางเมืองของเรามันดีกันไป
     
  17. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    กำหนดงานทอดกฐินวัดไตรสิกขา ฯ ปี ๒๕๕๖

    กำหนดการทอดกฐิน วัดไตรสิกขาทลามลตาราม จ.สกลนคร ประจำปี ๒๕๕๖ คือ เริ่มงาน วันศุกร์ ที่ ๒๕ ทอดถวาย วันเสาร์ ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2014
  18. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    กำหนดงานทอดกฐินวัดไตรสิกขา ฯ ปี ๒๕๕๗

    กำหนดการทอดกฐิน วัดไตรสิกขาทลามลตาราม จ.สกลนคร ประจำปี ๒๕๕๗ คือ เริ่มงาน วันเสาร์ ที่ ๑๑ ทอดถวาย วันอาทิตย์ ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ...
     
  19. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    ...ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคสร้างศาลาเชียงคำ...

    การก่อสร้างศาลาเชียงทองบนภูเขาตุงควารี (เป็นดอยเตี้ย ๆ ที่สร้างขึ้นมาโดยฝีมือของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน) กำลังดำเนินการไปเรื่อย ๆ ตามกำลังปัจจัยเท่าที่มีครับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Photo1849.jpg
      Photo1849.jpg
      ขนาดไฟล์:
      148.1 KB
      เปิดดู:
      155
    • Photo1844.jpg
      Photo1844.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.3 KB
      เปิดดู:
      77
    • Photo1853.jpg
      Photo1853.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104.4 KB
      เปิดดู:
      89
    • Photo1851.jpg
      Photo1851.jpg
      ขนาดไฟล์:
      126.7 KB
      เปิดดู:
      183
    • Photo1842.jpg
      Photo1842.jpg
      ขนาดไฟล์:
      111.4 KB
      เปิดดู:
      77
    • Photo1850.jpg
      Photo1850.jpg
      ขนาดไฟล์:
      144.9 KB
      เปิดดู:
      74
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2014
  20. phodej

    phodej เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    190
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +300
    ...จากก่อรูปร่าง มาถึงปัจจุบัน...

    เก็บภาพมาให้ดูเพียงเล็กน้อยครับ ว่าดำเนินการสร้างคืบหน้าไปมากเท่าใดแล้ว...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Photo1685.jpg
      Photo1685.jpg
      ขนาดไฟล์:
      117.7 KB
      เปิดดู:
      70
    • Photo1687.jpg
      Photo1687.jpg
      ขนาดไฟล์:
      117.6 KB
      เปิดดู:
      94
    • Photo1694.jpg
      Photo1694.jpg
      ขนาดไฟล์:
      99.1 KB
      เปิดดู:
      70
    • Photo1739.jpg
      Photo1739.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.9 KB
      เปิดดู:
      77
    • Photo1841.jpg
      Photo1841.jpg
      ขนาดไฟล์:
      87.2 KB
      เปิดดู:
      57
    • Photo1948.jpg
      Photo1948.jpg
      ขนาดไฟล์:
      128.4 KB
      เปิดดู:
      79
    • Photo1974.jpg
      Photo1974.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.6 KB
      เปิดดู:
      85
    • Photo1977.jpg
      Photo1977.jpg
      ขนาดไฟล์:
      161.7 KB
      เปิดดู:
      65
    • Photo2019.jpg
      Photo2019.jpg
      ขนาดไฟล์:
      127 KB
      เปิดดู:
      67
    • Photo2025.jpg
      Photo2025.jpg
      ขนาดไฟล์:
      141.3 KB
      เปิดดู:
      91

แชร์หน้านี้

Loading...