พึงรู้ว่าธรรมชาติมีเพียงแค่ 2 อย่างทางพ้นทุกข์ก็แค่เอื้อม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 9 พฤษภาคม 2019.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    หลวงตาฯหลังไมค์ท่านว่า
    1.ธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่ง อันได้แก่กายสังขาร
    จิตสังขาร หรือโดยรวมคือขันธ์ 5
    เป็นธรรมชาติที่จะต้องเกิดดับอยู่ภายในธรรมชาติ
    ที่ไม่ปรุงแต่ง (วิสังขาร)
    ดังนั้น จึงเป็นธรรมชาติที่เคลื่อนไหวไม่เที่ยงเป็นทุกข์
    กับ
    2. ธรรมชาติฝ่ายไม่ปรุงแต่ง หรือวิสังขาร
    เป็นธรรมชาติที่ไม่มีการเกิดดับ ไม่เป็นทุกข์

    แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติฝ่ายสังขาร หรือฝ่ายวิสังขาร
    ก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
    แต่เพราะความหลงผิดคิดว่ามีเรา มีตัวเรา
    เราจึงไปเป็นส่วนเกินในธรรมชาติ
    ดังนั้น
    เพราะความเข้าใจผิดจึงเป็นอวิชชา
    ไปยึดตัวตน
    จึงเกิดตัณหาอุปาทาน
    เกิดภพชาติไม่รู้จบ!!
    พอจะเห็นแนวทางออกจากทุกข์กันยังฮับ
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    เมื่อรู้ความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติ
    เช่นนี้แล้ว
    แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องชัดเจน
    เกี่ยวกับกายและจิต
    ของตนว่าทั้งกายและจิต(วิญญาณ)
    เป็นแต่สังขารทั้งสิ้น
    ไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวตนของเรา
    ยึดถือไม่ได้
    ยกเว้นจิตเดิมแท้ หรือจิตพุทธะ
    เท่านั้น
    ที่เป็นเราแต่ไร้ตัวตน
     
  3. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ที่จรืงคือกามตัณหา ภาวะตัณหา วิภาวะตัณหา ของสามอย่างนี้แหละที่ต้องรู้
     
  4. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เพราะทุกการรับรู้ล้วนมาจากตัณหาทั้งสิ้น
     
  5. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    และจะนำไปสู่ธรรมด้านบนที่หลวงปู่หลวงตาตลอดจนหลวงพ่อกล่าวไว้ ดังเรื่องจ้างบนสุดตามหัวข้อ
     
  6. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ตัณหาอุปาทานคือการยึดมั่นไปในตัณหา
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ประมานนั้นหละครับ
    ที่ยากคือ วิธีที่ตัวจิตมัน
    เข้าถึงและรู้อย่างที่นำมาลงให้อ่านครับ
    เริ่มจากเจริญสติ แยกจิต ความคิด ขันธ์ ๕
    เดินปัญญาไประยะหนึ่งก่อน แล้วมาดูว่า

    ถ้าหนักสมถะมากไป
    ก็เห็นด้านหนึ่งในมุมนั้นแต่ไม่ครบ
    คือเห็นจิต รู้ว่ามีผู้ดู(ตัวที่ตามจิต) แต่จะเข้าใจว่าจิตนั้น
    เป็นผู้รู้(ตัวที่ส่งออกจากจิต ซึ่งยังไม่ใช่ผู้รู้จริง เพราะรู้แต่สิ่งที่กระทบและเห็น) ด้วยผลของสมถะ
    ที่ทำให้เห็นอย่างนั้น

    หนักปัญญามากไปก็เห็นอีกด้านแต่ไม่ครบ
    เพราะไม่เห็นจิต แต่ไปเห็นกระบวนการที่เกิด
    ที่ส่งออกจากจิต ที่ยังไม่ใช่ผู้รู้จริง เพราะเจ้าใจกระบวนการที่เกิดไปแล้ว เลยไม่รู้ว่ามันเป็นโปรแกรมอย่างหนึ่งอยู่
    เลยจะเข้าใจว่า ผู้ดูซึ่งตามจิตอยู่เป็นตัวจิตเป็นผู้รู้เป็นตัวเดียวกันครับ
    ผลของหนักปัญญาเลยทำให้เห็นแบบนี้

    ต้องหาสมดุลย์ทั้งปัญญาทั้งสมถะให้เจอ
    แล้วมาเพิ่มการสังเกตุการพิจารณา
    สาเหตุที่เกิดเพราะอะไร สาเหตุที่ดับเพราะอะไร รวมทั้งเกิดตอนไหน ดับตอนไหน
    เพื่อเป็นอุบายค่อยๆย้อน
    ถอยไปถึงต้นเหตุจริงๆ

    มันถึงจะเริ่มมาเอะใจได้ว่า เห้ย!
    ๑.ผู้ดู(ตัวตามจิตหรืออยู่หลังจิต)มาทางสมถะถึงเห็น ๒.ตัวจิต และ๓.ตัวที่ส่งออกจากจิต(หนักทางปัญญาจะเห็น)
    ที่มักเข้าใจว่าเป็นผู้รู้จริง มันเป็นเป็นแค่โปรแกรมอย่างหนึ่งเท่านั้น

    มันถึงจะเอะใจอีกว่า เห้ย! มันไม่ใช่ตัวเรา
    ของเราเลยนี่หว่าได้ครับ

    ยกตัวอย่างเปรียบ ถ้าอ่านแล้วงง
    เอาเปรียบเรื่องการเห็นผี

    เช่น นาย ก มีสติมีสมาธิ เข้าสมาธิระดับแยกกายกับจิตได้ชั่วคราว
    ก็ จะมองเห็นจิต และเข้าใจได้ว่า
    ตัวที่มองเห็นจิตคือผู้ดู

    แต่ถ้าจิตส่งกะแสหนึ่ง
    ออกไปกระทบ ให้เห็นผีต่างๆ
    ซึ่ง ตอนนั้น ผู้ดูกับจิต
    จะทำงานพร้อมกัน แต่ก็จะเห็นแต่ผี
    ถ้านาย ก เน้นสมถะต่อ
    ก็จะเข้าใจว่า การที่เห็นผีต่างๆนั้น
    คือผู้รู้ การรู้ จากจิต
    ทั้งที่แท้จริงแล้ว มันรู้จากสัญญาในจิต
    ที่ออกจากตัวจิตมาทั้งนั้น
    ในขณะที่จิตกับผู้ดู
    ทำงานพร้อมกันครับ
    นี่เป็นโปรแกรมอย่างหนึ่งเรื่องปกติ

    ทีนี้ นาย ข เน้นปัญญา
    เลยไม่เน้น ตัวผีที่เห็น
    เพราะรู้ว่าเป็นการปรุงแต่ง เลยมาเห็น
    ขั้นตอนในขณะที่
    กะแสตัวที่ส่งออกจากจิต ที่กำลังจะไปสร้าง
    ให้เกิดเป็นภาพผีแทน นาย ข ไปเห็นกระบวนในการเป็นภาพผีตรงนี้
    ถ้าหนักปัญญาต่อ ก็จะไปรู้เห็นกระบวณ
    การตรงนี้ต่อ ถ้าสังเกตุดีๆขณะที่เห็นกระบวนการสร้างเป็นภาพผี
    ทั้งผู้ดูและจิตมันทำงานร่วมกันและรวมกันอยู่
    เหมือนสมถะ หนักปัญญาจะเห็นเข้าใจว่ามันเป็นตัวเดียวกัน เพราะไม่เห็นตัวจิตมาก่อน

    การเห็นกันคนละมุม กับสมถะ แต่ด้วยที่เข้าใจกระบวนการไปสร้างภาพ จากจิตไปเป็นภาพผี เลยจะเข้าใจว่า ตัวที่เห็น
    กระบวนการนี้ เป็นผู้รู้ ซึ่งแท้จริงแล้ว
    มันก็ยังสร้างมาจากสัญญาในจิต
    ในขณะที่มันทำงานร่วมกับผู้ดูอยู่
    เหมือนการเห็นแต่ภาพผีจากสมถะนั่นเอง
    นี่โปรแกรมอย่างหนึ่งเรื่องปกติ


    นาย ก กับ ข จะคุยกันไม่รู้เรื่องครับ
    ต้องมีกระบวนการสังเกตุ ที่ทำให้เอะใจ
    ถอยออกมา ย้อนออกมา คือหาสมดุลย์
    เพิ่มการสังเกตุ มันถึงจะเริ่มเอะใจ

    อนาคตถึงจะพอรู้ว่า เห้ย ทั้งหมดนี้ที่เล่ามา
    ทั้งที่หนักทางสมถะและปัญญา มันเป็นแค่กระบวนการ เป็นโปรแกรมอย่างหนึ่งปกติ

    มันถึงจะเข้าใจสภาวะไม่ใช่เรา
    ไม่ใช่ตัวตนของเราได้
    ตัวจิตมันถึงจะคลายตัวเอง
    ค่อบๆถอย
    กลับคืนสู่เนื้อหาเดิมแท้ของมันได้
    เองตามธรรมชาติของมันในเวลปกติครับ

    การฟังผู้ปฎิบัติได้ มากปัญญา
    ที่ท่านเข้าใจสภาวะแล้วท่าน
    มากล่าวในภาพปลาย มันดูง่าย
    เพราะเราเกท เนื่องจากจิตเราอยู่ใน
    วิถี(มีเขื้อ) เราเลยรู้สึกว่า ใช่นะ แบบนี้

    แต่การที่จิตเราจะเข้าถึงสภาวะปลาย
    อย่างที่ท่านเล่าได้จริงไหม
    ก็ยังต้องอาศัยเหตุและปัจจัย
    ต่างๆมาหนุนส่งเสริมอยู่ครับ


    ยกตัวอย่าง สมมุติ
    เช่นเจอ เซียนยกล้อจักรยานจนถึงปลายทาง
    ถ้าเราเคยยกมาบ้าง แล้วท่านแนะทริค
    เราจะเกท แต่ความชำนาญเราต้องสร้างเอง
    กว่าจะเป็นเซียนเหมือนท่านที่แนะนำ


    แต่ถ้าเราไม่ชอบยกล้อเลย ก็จบไป
    และไม่สนใจฟังอะไรทั้งนั้น อาจะสงสัย
    ว่ายกทำไม ขี่ธรรมดาก็ถึงปลายทาง
    เดินก็ได้ พาหนะอื่นๆก็มี แถมแย้งคืนด้วย


    หรือมาชอบยกล้อภายหลัง แต่ไม่เคยยก
    มาก่อนในอดีต ก็จะใช้เวลาในการปรับตัว
    ทำความเข้าใจยอมรับตรงนี้เช่นกันครับ

    เล่าพอให้เห็นภาพนะครับ ^_^
     
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    ใช่ใช่ ต้องรู้เพื่อที่จะละได้ถูก
     
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    ลต.หลังไมคํสอนหนักไปทางปัญญาใช้การ
    สังเกตจิตดูจิต โดยส่วนใหญ่แนะลูกศิษยํ
    ให้รู้จักสังเกตมองหาตัวผู้รู้(จิตวิญญาณ)
    ให้พบเพื่อจะได้เห็นกระบวนการทำงาน
    ของจิตผู้รู้ ตามที่ท่านนพกานต์ได้กรุณา
    ได้กล่าวถึงขบวนการต่างๆ ในสังเกตจิตฮับ
     
  10. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    ใช่ครับ การฝึกเดินมรรคเป็นนามธรรมล้วนๆ
    ถ้าเข้าใจคลาดเคลื่อนผิดจุดนิดเดียวก็จะกลาย
    เป็นเรื่องมโนเป็นหลงเป็นอวิชชาทันที
    ถ้าแก้ไม่ถูกก็หลงยาววววอยู่อย่างนั้น
    ลต.ท่านได้ย้ำๆ
    และเป็นห่วงเป็นใยเรื่องการโฟกัสผิดที่
    ผิดทางอยู่ครับ
    ทุกครั้งที่สอนการเข้าหาผู้รู้หรือการค้นพบ
    ผู้รู้
    และการปล่อยวางผู้รู้(ข้ามผู้รู้)(ฆ่าผู้รู้)
    ลต.ท่านจะะอธิบายรายละเอียด
    อย่างยิบย่อย เพื่อป้องกันการไปจับ
    ไปวางอย่างเข้าใจผิเด
    หรือการหลงไปยึดไปแช่อย่างผิดฝา
    ผิดตัว
     
  11. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    การสิ้นยึดเป็นทางออก
    เป็นการละอวิชชา ตัณหาอุแาทานได้อย่าง
    ตรงจุด นอกจากนี้ไม่ตรงฮับ
     
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    ใช่ใช่ กิเลสตัณหาอุปปาทานเกิดเองและดับไปเอง
    ถ้าเรายอมรับการเกิดดับของธรรมฝ่ายสังขาร
    นี้โดยไม่ยึดว่ามันต้องไม่เกิดกับตัวเรา
    แต่ปล่อยให้กิเลสตัณหาอุปปาทานนั้น
    เกิดขึ้นหรือดับลงไปตามธรรมชาติ
    เราก็จะไม่ทุกข์
    ไม่เดือดร้อนด้วย
    เพราะไม่มีใครไปรองรับสังขารธรรม
    เหล่านั้น
    โอเคมะฮับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...