เรื่องเด่น พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 25 สิงหาคม 2016.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ยังเหลืออะไรอีก ช่วยรวบรวมด้วยนะครับท่าน

    การทำลาย อภยปริตร มหาสุบิน ๑๖ ของสำนักคลอง๑๐
     
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    คิดแล้วภาคภูมิใจ น้ำมือคนไทยทำเอง

     
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    https://petmaya.com/great-smog-of-london-1952
    หวังว่าคงไม่ใช่หมอกควันที่เป็นอยู่นี้ มืด7วันที่ว่า จะดีมากถ้าประเทศไทยไม่เจอแบบนี้

    ฝุ่นเต็มๆในประเทศไทย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2019
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เอาตามพุทธทำนาย มันเลยคำว่าผิดวินัยไปแล้วครับ เรียกว่าหายนะ จะดูเหมาะสมกว่า เรื่องแมวกินปลาดิบต้องอาบัตินี่เล็กไปเลย ดาวน์โหลด.jpg
     
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เราไม่ได้ติดตามเช็คบิลอะไรหรอก เราสนใจว่า พฤติกรรมที่เกิดขึ้นในหมู่สงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาของประเทศไทย ตามกาลมันจะทำให้เกิดเภทภัยร้ายแรงอันใดขึ้น อันจักเป็นไปตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระพุทธพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า
    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
    ไม่ได้ว่างมาเล่นแมววิ่งไล่จับหนู แต่เป็นการสแกนเรดาร์หาสิ่งผิดปกติและเกี่ยวพันกับภัย ๕ ประการ ที่กำลังจะเกิดขึ้นตามกาลเวลา อนาคตสูตร หลังเกิด มหาสุบิน ๑๖ จนไปถึงขั้นตอนเข้าสู่ ปโลภสูตร ฯลฯ
    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑




    ปโลภสูตร
    ครั้งนั้นแล พราหมณ์มหาศาลคนหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับมาต่อบุรพพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวไว้ว่า ได้ยินว่า แต่ก่อนโลกนี้ ย่อมหนาแน่นด้วยหมู่มนุษย์ เหมือนอเวจีมหานรก บ้านนิคมชนบทและราชธานี มีทุกระยะไก่บินตก ดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์ ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรมมนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม ต่างก็ฉวยศาตราอันคมเข้าฆ่าฟันกันและกัน
    เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงล้มตายเสียเป็นอันมาก ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ



    ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำ ประกอบด้วยมิจฉาธรรมเมื่อมนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ฉะนั้น จึงเกิดทุพภิกขภัย ข้าวกล้าเสีย เป็นเพลี้ย ไม่ให้ผล เพราะเหตุนั้นมนุษย์จึงล้มตายเสีย
    เป็นอันมาก ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ


    ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำ ประกอบด้วยมิจฉาธรรมเมื่อมนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม พวกยักษ์ปล่อยอมนุษย์ที่ร้ายกาจลงไว้ เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงล้มตายเสียเป็นอันมาก ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ

    พราหมณ์มหาศาลนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ








    mSQWlZdCq5b6ZLkt5h0hhaTTpn86pFZ8.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2020
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก

    เตรียมตัวเตรียมใจรับภัยที่ในตอนนี้ไม่อาจมีจะใครรู้เถอะ ว่าจะต้องเจอกับอะไร? ถ้าไม่ได้พุทธทำนาย พระเถระทำนาย ฏีกาทำนาย ฯลฯ

    จะได้เจอแน่ !!!!

    อนาคตสูตรที่ ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อยู่ป่า เห็นภัยในอนาคต ๕ ประการนี้ควรเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ภัย ๕ ประการ
    เป็นไฉน คือ

    ภิกษุผู้อยู่ป่าในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้เราอยู่ในป่าผู้เดียว งูพึงกัดเรา แมลงป่องพึงต่อยเรา หรือตะขาบพึงกัดเรา เพราะการกัดต่อยแห่งสัตว์เหล่านั้น เราพึงทำกาละ พึงมีอันตรายแก่เรา ผิฉะนั้น เราจะปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อยู่ป่า เห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๑ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้อยู่ป่า ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้เราอยู่ในป่าผู้เดียว เมื่อเราอยู่ในป่าผู้เดียว พึงพลาดล้มลง ภัตตาหารที่ฉันแล้วไม่ย่อย ดีของเราพึงกำเริบ เสมหะพึงกำเริบ หรือลมมีพิษเพียงดังศัตราพึงกำเริบ เพราะเหตุนั้นๆ เราพึงทำกาละ พึงมีอันตรายแก่เรา ผิฉะนั้น เราจะปรารภความเพียร
    ... ภิกษุผู้อยู่ป่าเห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๒ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท ... ฯ
    อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้อยู่ป่า ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้เราอยู่ในป่าผู้เดียว เมื่อเราอยู่ในป่าผู้เดียว พึงพบสัตว์ร้าย คือสีหะ เสือโคร่งเสือเหลือง หมี หรือเสือดาว สัตว์เหล่านั้นพึงทำร้ายเราถึงตาย เพราะการทำร้ายนั้น เราพึงทำกาละ พึงมีอันตรายแก่เรา ผิฉะนั้น เราจะปรารภความเพียร ... ภิกษุผู้อยู่ป่า เห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๓ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท ... ฯ


    อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้อยู่ป่า ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้เราอยู่ในป่าผู้เดียว เมื่อเราอยู่ในป่าผู้เดียว เราพึงพบคนร้าย ผู้มีกรรมอันทำแล้ว หรือมีกรรมยังไม่ได้ทำ คนร้ายเหล่านั้นพึงปลงเราจากชีวิต เพราะการปลงนั้น เราพึงทำกาละ พึงมีอันตรายแก่เรา ผิฉะนั้น เราจะปรารภความเพียร ... ภิกษุผู้อยู่ป่าเห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๔ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้อยู่ป่า ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้เราอยู่ในป่าผู้เดียว เมื่อเราอยู่ในป่าผู้เดียว ในป่าย่อมมีพวกอมนุษย์ดุร้าย อมนุษย์เหล่านั้นพึงปลงชีวิตเรา เพราะการปลงชีวิตนั้นเราพึงทำกาละ พึงมีอันตรายแก่เราผิฉะนั้น เราจะปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อยู่ป่าเห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๕ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อยู่ป่า เห็นภัยในอนาคต ๕ประการนี้แล ควรเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ฯ
    จบสูตรที่ ๗

    อนาคตสูตรที่ ๒
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เห็นภัยในอนาคต ๕ ประการนี้ ก็ควรเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ภัย ๕ ประการเป็นไฉน คือ

    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้ เรายังเป็นหนุ่มแน่น มีผมดำสนิท ประกอบด้วยความเป็นหนุ่มอันเจริญ ตั้งอยู่ในปฐมวัย ถึงกระนั้น ก็มีสมัยที่ชราย่อมจะถูกต้องกายนี้ได้ ก็ผู้ที่แก่แล้ว ถูกชราครอบงำแล้วจะมนสิการคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ทำได้ง่าย จะเสพเสนาสนะอันสงัดคือ ป่า และป่าชัฏ ก็ไม่ใช่ทำได้ง่าย ก่อนที่ธรรมอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจนั้นจะมาถึงเรา เราจะรีบปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง เสียก่อนทีเดียว ซึ่งเราประกอบแล้ว แม้แก่ก็จักอยู่สบาย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๑ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้ เรามีอาพาธน้อยมีโรคเบาบาง ประกอบด้วยไฟธาตุสำหรับย่อยอาหารสม่ำเสมอ ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก ขนาดกลาง ควรแก่การบำเพ็ญเพียร แต่ย่อมมีสมัยที่พยาธิจะถูกต้องกายนี้ ก็ผู้ที่ป่วยไข้อันความป่วยไข้ครอบงำแล้ว จะมนสิการคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ทำได้ง่าย ... ซึ่งเราประกอบแล้ว แม้ป่วยไข้ก็จักอยู่สบายภิกษุเห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๒ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้แล ข้าวกล้าดีบิณฑบาตก็หาได้ง่าย สะดวกแก่การแสวงหาเลี้ยงชีพ แต่ก็ย่อมมีสมัยที่มีข้าวแพงข้าวกล้าไม่ดี บิณฑบาตหาได้ยาก ไม่สะดวกแก่การแสวงหาเลี้ยงชีพ อนึ่ง ในสมัยข้าวแพง พวกมนุษย์ย่อมหลั่งไหลไปในที่ที่มีอาหารดี ในที่นั้นย่อมมีการอยู่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ มีการอยู่พลุกพล่านกัน เมื่อมีการอยู่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ อยู่พลุกพล่านกัน จะมนสิการคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ทำได้ง่าย ... ซึ่งเราประกอบแล้ว ก็จักอยู่สบายแม้ในเวลาทุพภิกขภัย ภิกษุผู้เห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๓ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้แลมนุษย์ทั้งหลายย่อมเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ชื่นชมต่อกัน ไม่วิวาทกัน เป็นดังน้ำนมกับน้ำ มองดูกันด้วยนัยน์ตาแสดงความรักอยู่ แต่ย่อมมีสมัยที่มีภัย มีความปั่นป่วนในดง ประชาชนวุ่นวายและเมื่อมีภัย พวกมนุษย์ย่อมหลั่งไหลไปในที่ที่ปลอดภัย ในที่นั้นย่อมมีการอยู่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ มีการอยู่พลุกพล่านกัน เมื่อมีการอยู่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ อยู่พลุกพล่านกัน จะมนสิการคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ทำได้ง่าย ... ซึ่งเราประกอบแล้วก็จักอยู่สบายแม้ในสมัยที่มีภัย ภิกษุผู้เห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๔ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้แลสงฆ์เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ชื่นชมต่อกัน ไม่วิวาทกัน มีอุเทศร่วมกัน อยู่ผาสุก แต่ก็ย่อมมีสมัยที่สงฆ์แตกกัน ก็เมื่อสงฆ์แตกกันแล้ว จะมนสิการคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ทำได้ง่าย จะเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า และป่าชัฏ ก็ไม่ใช่ทำได้ง่ายก่อนที่ธรรมอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจนั้นจะมาถึงเรา เราจะรีบปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ซึ่งเราประกอบแล้ว ก็จักอยู่สบายแม้ในเมื่อสงฆ์แตกกัน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เห็นภัยในอนาคตข้อที่ ๕ นี้ ควรเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุภัยในอนาคต ๕ ประการนี้แล ควรเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ฯ
    จบสูตรที่ ๘


    อนาคตสูตรที่ ๓
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ๕ ประการนี้ ยังไม่บังเกิดในปัจจุบัน แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยเหล่านั้น เธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะครั้นแล้ว พึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้น ภัยในอนาคต ๕ ประการเป็นไฉน คือ
    ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิตไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญาจักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีลอธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้น ก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา ก็จักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีลอธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้นก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญาเพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๑ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น

    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลาย จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีลไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา จักให้นิสัยแก่กุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้นก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา ก็จักให้นิสัยแก่กุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้นก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๒ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น ฯ

    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีลไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อแสดงอภิธรรมกถา เวทัลลกถา หยั่งลงสู่ธรรมที่ผิดก็จักไม่รู้สึกเพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๓ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น ฯ

    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีลไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา พระสูตรต่างๆ ที่ตถาคตได้ภาษิตไว้ เป็นสูตรลึกซึ้ง มีอรรถลึกซึ้งเป็นโลกุตระ ประกอบด้วยสุญญตาธรรม
    เมื่อพระสูตรเหล่านั้นอันบุคคลแสดงอยู่ก็จักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยโสตลงสดับ จักไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ จักไม่ใฝ่ใจในธรรมเหล่านั้นว่าควรศึกษาเล่าเรียน แต่ว่าสูตรต่างๆ ที่นักกวีแต่งไว้ ประพันธ์เป็นบท
    กวี มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะสละสลวย เป็นพาหิรกถา เป็นสาวกภาษิตเมื่อพระสูตรเหล่านั้น อันบุคคลแสดงอยู่ ก็จักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับจักตั้งจิตเพื่อรู้ จักฝักใฝ่ใจในธรรมเหล่านั้นว่าควรศึกษาเล่าเรียน เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๔ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้ว พึงพยายามเพื่อละภัยนั้น ฯ

    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมจิตไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญาภิกษุผู้เถระก็จักเป็นผู้มักมาก มีความประพฤติย่อหย่อน เป็นหัวหน้าในความล่วงละเมิด ทอดธุระในความสงัด จักไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ประชุมชนรุ่นหลังก็จักถือเอาภิกษุเหล่านั้นเป็นตัวอย่าง แม้ประชุมชนนั้นก็จักเป็นผู้มักมากมีความประพฤติย่อหย่อน เป็นหัวหน้าในความล่วงละเมิด ทอดธุระในความสงัดจักไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุเพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ข้อที่ ๕ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ๕ ประการนี้แล ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยเหล่านั้นอันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้น ฯ
    จบสูตรที่ ๙


    อนาคตสูตรที่ ๔
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ๕ ประการนี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยเหล่านั้นอันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้น ๕ ประการเป็นไฉน คือ

    ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้ชอบจีวรดีงาม เมื่อชอบจีวรดีงาม ก็จักละความเป็นผู้ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร จักละเสนาสนะอันสงัดคือป่าและป่าชัฏจักประชุมกันอยู่ที่บ้าน นิคมและราชธานี และจักถึงการแสวงหาไม่สมควร อันไม่เหมาะสมต่างๆ เพราะเหตุจีวร

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๑ นี้ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยนั้นอันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น ฯ

    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้ชอบบิณฑบาตที่ดีงามเมื่อชอบบิณฑบาตที่ดีงาม ก็จักละความเป็นผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ละเสนาสนะอันสงัดคือป่าและป่าชัฏ จักประชุมกันอยู่ที่บ้าน นิคม และราชธานี แสวงหาบิณฑบาตที่มีรสอันเลิศด้วยปลายลิ้น และจักถึงการแสวงหาอันไม่สมควร ไม่เหมาะสมต่างๆ เพราะเหตุแห่งบิณฑบาต

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อ
    ที่ ๒ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยนั้นอันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น ฯ

    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้ชอบเสนาสนะดีงามเมื่อชอบเสนาสนะดีงาม ก็จักละความเป็นผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ละเสนาสนะอันสงัดคือป่าและป่าชัฏ จักประชุมกันอยู่ที่บ้าน นิคม และราชธานี และจักถึงการแสวงหาอันไม่สมควร ไม่เหมาะสมต่างๆ เพราะเหตุแห่งเสนาสนะ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๓ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาล
    ต่อไป ภัยนั้นอันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น ฯ


    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้อยู่คลุกคลีด้วยภิกษุณีนางสิกขมานา และสมณุทเทส เมื่อมีการคลุกคลีด้วยภิกษุณี นางสิกขมานาและสมณุทเทส พึงหวังข้อนี้ได้ว่า เธอเหล่านั้นจักเป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ จักต้องอาบัติเศร้าหมองบางอย่าง หรือจักบอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อเป็นคฤหัสถ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๔ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยนั้นอันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น ฯ

    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้คลุกคลีด้วยอารามิกบุรุษ และสมณุทเทส เมื่อมีการคลุกคลีด้วยอารามิกบุรุษ และสมณุทเทสพึงหวังข้อนี้ได้ว่า เธอเหล่านั้นจักเป็นผู้ประกอบการบริโภคของที่สะสมไว้มีประการต่างๆ จักกระทำนิมิตแม้อย่างหยาบที่แผ่นดินบ้าง ที่ปลายของเขียวบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๕ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยนั้นอันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ๕ ประการนี้แล ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยเหล่านั้นอันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้น ฯ
    จบสูตรที่ ๑๐

    หวังว่าคงมิใช่เหตุมหานิมิตในวิปัสสนาญานของเรา

    13811271921381127291l.jpg

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2020
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    สุดท้ายก็ได้กระทำจนแทบสิ้นไม่เหลืออะไรเลย?

    ผู้อยู่ป่าชนะภัย ๕ อย่าง.
    บาลี พระพุทธภาษิต ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๑๕/๗๗.

    ภิกษุ ท.! ภัยในอนาคตเหล่านี้ มีอยู่ ๕ ประการ ซึ่งภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็นอยู่ ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว. ภัยในอนาคต ๕ ประการนั้นคืออะไรบ้างเล่า? ห้าประการคือ:


    (๑) ภิกษุผู้อยู่ป่าในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ผู้เดียวในป่า งูพิษ หรือแมลงป่อง หรือตะขาบ จะพึงขบกัดเราผู้อยู่ผู้เดียวในป่า, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อแรก อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.


    (๒) อีกข้อหนึ่ง, ภิกษุผู้อยู่ป่า พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เราจะพึงพลาดตกหกล้มบ้าง อาหารที่เราบริโภคแล้ว จะพึงเกิดเป็นพิษบ้าง น้ำดีของเรากำเริบบ้าง เสมหะของเรากำเริบบ้าง ลมมีพิษดั่งศัสตราของเรากำเริบบ้าง, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อที่สอง อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.


    (๓) อีกข้อหนึ่ง, ภิกษุผู้อยู่ป่า พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า จะพึง มาร่วมทางกันด้วยสัตว์ทั้งหลาย มีสิงห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี หรือเสือดาว, สัตว์ร้ายเหล่านั้นจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อที่สาม อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.



    (๔) อีกข้อหนึ่ง, ภิกษุผู้อยู่ป่า พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า จะพึงมี มาร่วมทางด้วยกันพวกคนร้าย ซึ่งทำโจรกรรมมาแล้วหรือยังไม่ได้ทำ (แต่เตรียมการจะไปทำ) ก็ตาม, พวกคนร้ายเหล่านั้นจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นอนาคตภัยข้อที่สี่ อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.



    (๕) อีกข้อหนึ่ง, ภิกษุผู้อยู่ป่า พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า พวกอมนุษย์ดุร้ายก็มีอยู่ในป่า พวกมันจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา,เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นอนาคตภัยข้อที่ห้า อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.



    ภิกษุ ท.! ภัยในอนาคต ๕ ประการเหล่านี้แล ซึ่งภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็นอยู่ ควรแท้ทีจะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.


    1432528922-IMG2015032-o.jpg
     
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ทุกครั้งที่โลกธาตุสั่นสะเทือนหวั่นไหว ด้วยการสำเร็จในการบรรลุพระสัทธรรม นั้นจะยืดเวลารักษาสภาพของโลกธาตุต่างๆไว้

    แต่ทุกครั้งที่
    พระสัทธรรมถูกแต่งเติมด้วยสัทธรรมปฎิรูปและถูกย่ำยีด้วยอามิสทายาทที่เนรคุณต่อพระสัทธรรมธรณีจะหวั่นไหวพินาศ(ธาตุ๔)

    และทุกครั้งที่
    อสัทธรรมเจริญโชติช่วงจนถึงขีดสุดก็ถึงคราวิบัติของโลก

    2.1.jpg
     
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    โดนเต็มเครื่อง อุปมาความรู้สึกเหมือนเป็นเจ้ามือ แล้วบรรดาลูกค้ารุมแทงเทพนันหมดหน้าตัก แล้วลูกค้าแทงถูก

    พระพรหมเทพยักษ์เทวาผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายฯ จะยื้อได้ขนาดไหน
    ผนึก
    พระมหาเวชตราศาสตร์จะพ่ายพังตอนไหน

    เพราะไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว!! หมดตัวแล้ว!!

    ล้มเจ้าของจริง!

    1422181663.jpg
     
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    (ความจริงที่ถูกซ่อนอยู่ในพระมหาชนก)

     
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พุทธศาสนสุภาษิต : พระราชา

    ราชา รฏฺฐสฺส ปญฺญาณํ
    พระราชาเป็นเครื่องปรากฏของแว่นแคว้น

    ราชา มุขํ นุสฺสสานํ
    พระราชาเป็นประมุขของประชาชน

    สพฺพํ รฏฺฐํ สุขํ โหตุ ราชา เจ โหติ ธมฺมิโก
    ถ้าพระราชาเป็นผู้ทรงธรรม ราษฎรทั้งปวงก็เป็นสุข

    กุทฺธํ อปฺปฏิกุชฺฌนฺโต ราชา รฏฺฐสฺส ปูชิโต
    พระราชาผู้ไม่กริ้วตอบผู้โกรธ ราษฎรก็บูชา

    สนฺนทฺโธ ขตฺติโย ตปติ
    พระมหากษัตริย์ทรงเครื่องรบย่อมสง่า

    ขตฺติโย เสฏฺโฐ ชเนตสฺมิง เย โคตฺตปฏิสาริโน
    พระมหากษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยสกุล

    buddhist-proverb.jpg
     
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ผู้แสดงธรรมเรื่องระเบียบการจัดการ




    บุฟเฟ่ต์ กับ สังฆภัตร [สะท้อนความไร้ระเบียบวินัย]
    มีกระแสข่าวพูดถึง การฉันอาหารของพระวัดหนึ่ง
    ที่เลือกให้พระตักเองตามชอบใจ คล้ายบุฟเฟ่ต์ของชาวบ้าน
    เรื่องนี้มีคนพูดถึงมาก แต่เท่าที่ฟัง ยังไม่สามารถเคลียร์ให้ชัดเจน โดยเฉพาะ (๑) ข้อปฏิบัติในการแจกจ่ายอาหารของพระสงฆ์ (๒)อาหารดิบ เนื้อสด (๓)ความเหมาะสมในทางพระวินัย
    เนื่องจากผู้เขียน ทำวิจัยเรื่อง "การบริหารจัดการปัจจัย ๔ ของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเถรวาท" ในนั้นมีประเด็นเรื่องการจัดการของสงฆ์ ซึ่งมีเรื่องภัตตาหาร สังฆภัตร ๑๘ ชนิด รวมอยู่ด้วย
    เห็นว่า ทั้งสำนักงานพระพุทธศาสนา ที่มาให้ข้อมูล ยืนยันความถูกต้อง ก็ไม่ได้นำหลักฐานตามพระวินัย หลักวิธีปฏิบัติมาอธิบายประกอบ และพระที่ให้สัมภาษณ์ก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างในด้านวินัยในการแจกของสงฆ์ให้ชัด
    คนก็ยังคลางแครงใจสงสัยว่าที่ถูกมันจะเป็นยังไง ?

    ประเด็นที่คน สงสัย คือ (๑) พระสามารถเดินเลือกอาหารตักเองแบบนั้น ได้หรือไม่ ? ผิดวินัยหรือไม่ ?
    (๒) อาหารบางอย่าง เช่น ปลาดิบ เนื้อสด เห็นได้ชัดว่าขัดกับหลักวินัย ทำไมจึงทำได้
    รวมกันเข้า กลายเป็น พระสงฆ์ประพฤติเหมือนชาวบ้าน

    ก่อนอื่นควรทราบ ประเด็นทางวินัย ในเรื่องอาหารของพระภิกษุ มี ๒ อย่างที่ต้องเข้าใจตามหลักพระวินัย และวัตรปฏิบัติ(ศีล/วัตร) ซึ่งเป็นหลักกำหนด มีดังนี้

    ๑) การได้มาซึ่งอาหาร/ปัจจัยสี่ เป็นอย่างไร
    ๒) การแบ่งปันอาหาร/ปัจจัยสี่ มีวิธีอย่างไร ?

    ปัจจัยสี่ มีอาหาร ผ้าจีวร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ๔ ประการนี้ แต่ละอย่าง มีรายละเอียดข้อกำหนดในการแสวงหาแตกต่างกัน ต้องยืนอยู่บนพื้นฐาน ศีล ๒๒๗, อาชีวปาริสุทธิศีล, ปัจจยสันนิสิตศีล

    การได้ อาหาร มี ๒ แนวทาง

    แนวทางที่ ๑ เป็นหน้าที่ต้องปฏิบัติ มีข้อกำหนดเบื้องต้นว่า
    ปิณฺฑิยา โลปโภชนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถเต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย.
    การบวช จะได้อาหารมาต้องอาศัยการเที่ยวไปขอ ต้องมีความอุสสาหะในการบิณฑบาต ตลอดชีวิต นี้เป็นช่องทางที่ ๑ สำหรับการเลี้ยงชีพ

    แนวทางที่ ๒
    อติเรกลาโภ : - สงฺฆภตฺตํ อุทฺเทสภตฺตํ นิมนฺตนํ สลากภตฺตํ ปกฺขิกํ อุโปสถิกํ ปาฏิปทิกํ. (สำหรับภัตร ๗ อย่างนี้ คือ) สังฆภัตร อุทเทส...ปาฏิปทิกภัตร เป็นลาภพิเศษ (เกิดขึ้นเหรับสงฆ์ จะมีการแบ่งปันกัน)
    ภัตร ๗ ประเภทนั้น มีวิธีแจกเฉพาะ ไม่เหมือนกัน จะกล่าวเฉพาะสังฆภัตร
    สังฆภัตร คือ อาหาร ที่ญาติโยมนำมาถวาย เพื่อพระสงฆ์ในวัดนั้นๆ โดยมิได้เจาะจงรูปใด เป็นลักษณะ การทำบุญเพื่อสงฆ์ส่วนรวม เผื่อเหลือเผื่อขาด พระที่บิณฑบาตไม่ได้ ไม่มีลาภ จะได้อาศัยมาฉันสังฆภัตร ที่เรามักเรียกว่า "สังฆทาน" นั่นแหละ ความจริง เรียกว่า "สังฆภัตร" โดยการจำแนกประเภทตามจุดมุ่งหมายและวิธีการที่แจกแบ่งปันกัน
    ถ้ามุ่งเอาการทำบุญของทายก หรือตัวเจตนาของผู้ทำบุญเป็นหลัก เรียก สังฆทาน

    ในการจัดการเรื่อง สังฆภัตร ในพระวินัยมีข้อกำหนด ละเอียด ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องแต่งตั้งพระเจ้าอธิการ ขึ้นมาสำหรับทำหน้าที่ "แจกภัตร" ในโรงฉัน โดยให้มีการประชุมสงฆ์ในสีมาเสนอชื่อ พระรูปหนึ่งในท่ามกลางสงฆ์แล้ว สวดประกาศเป็น ญัตติทุติยกรรมวาจา เมื่อไม่มีใครคัดค้าน จึงจะถือว่า เป็นพระเจ้าหน้าที่ ที่มีหน้าที่แจกอาหาร ในโรงฉัน

    เมื่อมีญาติโยมนำของมาถวายเป็นสังฆภัตร สังฆทาน
    พระรูปนี้ จะประจำอยู่ในศาลาโรงฉัน มีหน้าที่ ๒ ประการ คือ
    ๑) รับอาหาร ที่ญาติโยมนำมาถวาย รวบรวมไว้
    ๒) แจกอาหาร ที่ได้รับมา แก่พระภิกษุสามเณร ที่มาโรงฉัน

    หลักปฏิบัติ
    การปฏิบัติ จะไม่ทำแบบที่พระเมืองไทยทำกันอยู่
    คือ ไม่รับประเคนของ แล้วให้พระไปตักเอง อย่างที่เป็นข่าว
    ถามว่าทำไม ?
    1. เพราะจะเกิดความวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ เช่นยื้อแย่งกัน
    2. ไม่ทั่วถึงกับจำนวนพระที่มา ไม่เกิดความยุติธรรม

    ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงใช้วิธี ตั้งพระรูปหนึ่งขึ้นมา ทำหน้าที่รับภัตรประเภทนี้ และแจกพระที่มาถึง
    ถือเป็นอำนาจ และสิทธิ์ขาด ของท่านในการจัดการเรื่องนี้ และมีแนวปฏิบัติเป็นขั้นตอนให้ ดังจะกล่าวต่อไปนี้

    ในกรณี พระที่ไม่มีหน้าที่ได้รับสมมติให้เป็นผู้แจก สังฆภัตร แต่ไปทำหน้าที่แทนพระภัตตุทเทสก์ มีการปรับอาบัติถึงขั้นปาราชิก โดยนับมูลค่าอาหารที่แจกไปนั้นเป็นเกณฑ์
    ดังนั้น ข้อที่ต้องระวัง ผู้ที่ไม่มีหน้าที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอธิการภัตร จะไปทำหน้าที่แจกไม่ได้ !
    ในการแจกของ มีระเบียบวิธีแจก คือ
    1. รับประเคนจากญาติโยมมาแล้ว
    2. ให้สัญญาณระฆัง เมื่อพร้อมกันที่ศาลาโรงฉัน
    3. นับจำนวนพระที่มาถึงในโรงภัตร (รูปไม่มาถือว่าสละสิทธิ์)
    4. แบ่งของเท่ากับจำนวนพระที่มี ถ้าไม่ครบ ให้ใช้วิธีอื่นประกอบ เช่น ของมีชิ้นเดียว ให้จับสลากเอา

    -ข้อปฏิบัติพระที่รับแจกสังฆภัตรเป็นต้น

    จะถูกกำหนดโดยการนับอายุพรรษา
    ระเบียบวิธีนี้ถูกนำไปใช้ในทุกกรณีในการแจกของ (ยกเว้นการเข้าห้องน้ำ ไม่ให้เรียงตามลำดับพรรษา) ดังนั้น พระที่มาถึง จะต้องนั่งตามลำดับพรรษาของตน แต่เมื่อให้สัญญาณระฆังแล้ว มีพระที่มาช้ามาทีหลัง ไม่ให้ไปนั่งแทรกกลาง ให้ไปนั่งลำดับท้าย เพื่อแก้ปัญหาความไม่เป็นระเบียบ
    เมื่อนั่งประจำที่แล้ว พระที่มีหน้าที่ก็จะมีวิธีแจกของตามที่นับจำนวนของและนับจำนวนคน แบ่งสรรเรียบร้อยแล้ว
    อาจจะเดินเอามาใส่ให้ หรืออาจจะให้ลุกเดินไปรับยังจุดที่กำหนด ก็ได้
    พระภัตตุทเทสก์ อาจจะมีมากกว่าหนึ่งรูปก็ได้ กรณีมีพระจำนวนมาก

    ปัญหาคือ ในเมืองไทย ไม่ได้ใช้วิธีการจัดการตามพระวินัยบัญญัติ ที่มีหลักการ วิธีการ และกำหนดให้มีบุคคลากร ประเภท อธิการไว้ ตามปัจจัยที่มี เช่น
    (๑) พระที่ดูแลเรื่องจีวร มีพระจีวรคาหาปโก หรือจีวราธิการ (๒) พระที่ดูแลเรื่องอาหาร-ภัตตุทเทสโก
    (๓)พระที่ดูแลจัดการเรื่องเสนาสนะ -เสนาสนคาหาปโก (๔)พระที่ดูแลเรื่องเภสัช (ไม่มีชื่อเฉพาะ ตั้งพระภัทตุทเทสก์ทำหน้าที่คลอบคลุมเรื่องเภสัช)
    เหล่านี้ เรียกว่า พระเจ้าหน้าที่อธิการ ซึ่งมีหน้าที่เป็นใหญ่ในกิจของตน โดยการแบ่งสายงานปฏิบัติดูแลรับผิดชอบตาม ประเภท ของที่เป็นของสงฆ์

    เมื่อไม่ได้ใช้วิธีการของพระพุทธเจ้าจัดการกับปัจจัย ๔ จึงทำให้ภาพลักษณ์ของพระสงฆ์เสียหาย แม้ในสายธรรมยุติ หรือมหานิกายก็ปฏิบัติคล้ายกัน ซึ่งการไปเดินเลือกตักอาหารไม่มีในพระวินัยบัญญัติ !
    งานชุมนุมสงฆ์ งานปฏิบัติธรรมต่างๆ
    จะใช้วิธีให้พระรูปหนึ่งรับประเคน และให้พระภิกษุเดินถือบาตรไปเลือกตักอาหาร โดยอิสระ ซึ่งวิธีการนี้ ผู้ตักจะเป็นผู้เลือกเอาอาหารที่ตนชอบ
    ดังนั้นจึงเป็น ข้อที่ไม่สอดคล้องกับพระวินัย
    เพราะพระวินัยจะถือว่า "ไม่ใช่วิธีแจกอาหาร" และเปิดโอกาสให้กิเลสเกิดได้ง่าย พระด้วยกันก็นินทากัน ปัญหาที่พบส่วนใหญ่ คือ ผู้ที่ตักก่อนจะได้ของดีและตักมาก
    บางรูป ตักจนล้นบาตร แล้วฉันไม่หมด เททิ้ง
    ส่วนพระรูปที่ตักทีหลัง จะไม่มีอาหารเหลือให้ นี่คือปัญหาที่พบจากการปฏิบัติแบบให้เดินเลือกตัก

    วิธีแบบบุฟเฟ่ต์ ให้พระเลือกตักอาหารเอง จุดมุ่งหมายเพื่อจะแก้ปัญหาอาหารที่มีจำนนวนน้อย ให้เพียงพอทั่วถึงกัน
    แต่วิธีนี้กลับสร้างปัญหา โดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงเท่ากับ ไม่ได้แก้ปัญหา และสร้างปัญหาใหม่

    การไม่มีระบบแจก เกิดปัญหามาก
    ระบบ เลือกตักอาหารตามชอบใจ ถือว่าไม่ใช่วิธีตามพระวินัยตามที่กล่าว เป็นวิธีการที่พระสงฆ์ คิดกันขึ้นมาเองเพื่อแก้ปัญหา อาหารไม่เพียงพอ
    การขาดระบบจัดการ นี้สะท้อนถึงความ ไร้ระเบียบปฏิบัติ ที่สอดคล้องสีลสิกขา ความมักน้อยสันโดษ ในอริยวินัย ดูคล้ายฆราวาส ดังที่มีผู้วิจารณ์
    จึงถือเป็นการ แก้ปัญหาที่ล้มเหลวของคณะสงฆ์

    ส่วนประเด็น อาหารเนื้อดิบ ปลาดิบ เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง
    แต่สามารถแก้ไขได้ไม่ยาก ก่อนประเคน
    ก็หาโยมหรือสามเณรทำให้สุก คำว่าสุก ต้องเข้าใจความหมายตามพระวินัย อย่าเอาความเข้าใจของคนไทยเป็นเกณฑ์ เพราะไม่เหมือนกัน ในวินัย คำว่าเนื้อดิบ หมายถึง ดิบทั้งหมด 100% ส่วนเนื้อที่มีบางส่วนดิบบางส่วนสุก จะไม่เรียกว่าเนื้อดิบ (เพราะมีทั้งดิบและสุกปนกัน) ดังนั้น ในอาหารบางประเภท ทายกต้องการถวายตามวิธีการของอาหาร เมื่อคำนึงถึงพระวินัย พระที่เป็นภัตตุทเทสก์ จะต้องเข้าใจ และก่อนรับประเคน ต้องทำให้สุกก่อน เพื่อไม่ให้เป็นอาบัติ เช่น การเอาไฟจี้ เอาถ่านวางลงไป พระวินัยถือว่าเป็นการทำกัปปิยะแล้ว อาหารทั้งถาดนั้น ไม่เรียกว่า เป็นปลาดิบ เนื้อดิบ (เพราะมีบางส่วนที่สุก)

    สรุป
    อาหารที่เป็นของสงฆ์ ญาติโยมนำมาถวาย ตามหลักพระวินัยจะมีระเบียบปฏิบัติ เพราะถือว่าเป็นของส่วนรวม
    อุปมาเหมือนของราชการ จะต้องมีวิธีปฏิบัติ และมีผู้รับผิดชอบเสมอ
    การให้พระเดินเลือกตักอาหารเอง (แม้จะประเคนแล้ว) ไม่ชอบด้วยพระวินัย ไม่ถือเป็นการแจกของสงฆ์ และส่งเสริมให้เกิดกิเลสได้ความโลภ ไม่ได้แก้ปัญหาความไม่พอเพียง และได้สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา คือความไร้ระเบียบ ไม่ตั้งอยู่บนความสันโดษ

    #บุฟเฟ่ต์พระสงฆ์ #สังฆภัตร #ความไร้ระเบียบวินัย #ภัตตุทเทสก์ #แจกของสังฆทาน
     
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ๑. ปุสสเถรคาถา
    คาถาสุภาษิตของพระปุสสเถระ
    [๓๙๕] ฤาษีมีชื่อตามโคตรว่า ปัณฑรสะ ได้เห็นภิกษุเป็นอันมาก ที่น่าเลื่อมใส มีตนอันอบรมแล้ว สำรวมด้วยดี จึงได้ถามพระปุสสเถระว่า “ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จักมีความพอใจอย่างไร มีความประสงค์อย่างไร กระผมถามแล้วขอจงบอกความข้อนั้นแก่กระผมเถิด?”
    พระปุสสเถระจึงกล่าวตอบด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า “ดูกรปัณฑรสฤาษี ขอเชิญฟังคำของอาตมา จงจำคำของอาตมาให้ดี อาตมาจะบอกซึ่งข้อความที่ท่านถามถึงอนาคต คือในกาลข้างหน้า ภิกษุ เป็นอันมากจักเป็นคนมักโกรธ มักผูกโกรธไว้ ลบหลู่คุณท่าน หัวดื้อ โอ้อวด ริษยา มีวาทะต่างๆ กัน จักเป็นผู้มีมานะในธรรมที่ยังไม่รู้ทั่วถึง คิดว่าตื้นในธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นคนเบา ไม่เคารพธรรม ไม่มีความเคารพ กันและกัน ในกาลข้างหน้า โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตวโลก ก็เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา จักทำธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนี้ ให้เศร้าหมอง ทั้งพวกภิกษุที่มีคุณอันเลว โวหารจัด แกล้วกล้า มี กำลังมาก ปากกล้า ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน ก็จักมีขึ้นในสังฆมณฑล ภิกษุทั้งหลายในสังฆมณฑล แม้ที่มีคุณความดี มีโวหารโดยสมควรแก่ เนื้อความ มีความละอายบาป ไม่ต้องการอะไรๆ ก็จักมีกำลังน้อย ภิกษุทั้งหลายในอนาคตที่ทรามปัญญา ก็จะพากันยินดีเงินทอง ไร่นา ที่ดิน แพะ แกะ และคนใช้หญิงชาย จักเป็นคนโง่มุ่งแต่จะยกโทษ ผู้อื่น ไม่ดำรงมั่นอยู่ในศีล ถือตัว โหดร้าย เที่ยวยินดีแก่การทะเลาะ วิวาท จักมีใจฟุ้งซ่าน นุ่งห่มแต่จีวรที่ย้อมสีเขียวแดง เป็นคนลวงโลก กระด้าง เป็นผู้แส่หาแต่ลาภผล เที่ยวชูเขา คือมานะ ทำตนดั่งพระอริยเจ้าท่องเที่ยวไปอยู่ เป็นผู้แต่งผมด้วยน้ำมัน ทำให้มีเส้นละเอียด เหลาะแหละ ให้ยาหยอดและทาตา มีร่างกายคลุมด้วยจีวรที่ย้อมด้วยสี งา สัญจรไปตามตรอกน้อยใหญ่ จักพากันเกลียดชังผ้าอันย้อมด้วยน้ำ ฝาดเป็นของไม่น่าเกลียด พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้หลุดพ้นแล้วยินดียิ่งนัก เป็นธงชัยของพระอรหันต์ พอใจแต่ในผ้าขาวๆ จักเป็นผู้มุ่งแต่ลาภผล เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม เห็นการอยู่ป่าอันสงัดเป็น ความลำบาก จักใคร่อยู่ในเสนาสนะที่ใกล้บ้าน ภิกษุเหล่าใดยินดีมิจฉา ชีพ จักได้ลาภเสมอๆ จักพากันประพฤติตามภิกษุเหล่านั้น (เที่ยวคบหา ราชสกุลเป็นต้นเพื่อให้เกิดลาภแก่ตน) ไม่สำรวมอินทรีย์ เที่ยวไป อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายจะไม่บูชาพวกภิกษุที่มีลาภน้อย จัก ไม่สมคบภิกษุที่เป็นนักปราชญ์มีศีลเป็นที่รัก จักทรงผ้าสีแดง ที่ชนชาว มิลักขะชอบย้อมใช้ พากันติเตียนผ้าอันเป็นธงชัยของตนเสีย บางพวก ก็นุ่งห่มผ้าสีขาวอันเป็นธงของพวกเดียรถีย์ อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุ เหล่านั้นจักไม่เคารพในผ้ากาสาวะ จักไม่พิจารณาในอุบายอันแยบคาย บริโภคผ้ากาสาวะ เมื่อทุกข์ครอบงำ ถูกลูกศรแทงเข้าแล้ว ก็ไม่ พิจารณาโดยแยบคาย แสดงอาการยุ่งยากในใจออกมา มีแต่เสียงโอด ครวญอย่างใหญ่หลวง เปรียบเหมือนช้างฉัททันต์ ได้เห็นผ้ากาสาวะ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ที่นายโสณุตระพราน นุ่งห่มไปในคราว นั้น ก็ไม่กล้าทำร้าย ได้กล่าวคาถาอันประกอบด้วยประโยชน์มากมาย ว่า ผู้ใดยังมีกิเลสดุจน้ำฝาด ปราศจากทมะและสัจจะจักนุ่งผ้ากาสาวะ ผู้นั้นย่อมไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดคายกิเลสดุจน้ำฝาดออกแล้ว ตั้งมั่นอยู่ในศีลอย่างมั่นคง ประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นจึงสมควรจะ นุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใดมีศีลวิบัติ มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำตามความใคร่อย่างเดียว มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่ขวนขวายในทางที่ควร ผู้นั้นไม่สมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจาก ราคะ มีใจตั้งมั่น มีความดำริในใจผ่องใส ผู้นั้นสมควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใดไม่มีศีล ผู้นั้นเป็นคนพาล มีจิตใจฟุ้งซ่าน มีมานะฟูขึ้นเหมือน ไม้อ้อ ย่อมสมควรจะนุ่งห่มแต่ผ้าขาวเท่านั้น จักควรนุ่งผ้าห่มผ้ากาสาวะ อย่างไร อนึ่ง ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จักเป็นผู้มีจิตใจชั่ว ร้าย ไม่เอื้อเฟื้อ จักข่มขี่ภิกษุทั้งหลายผู้คงที่ มีเมตตาจิต แม้ภิกษุ ทั้งหลายที่เป็นคนโง่เขลา มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำ ตามความใคร่ ถึงพระเถระให้ศึกษาการใช้สอยผ้าจีวร ก็จักไม่เชื่อฟัง พวกภิกษุที่โง่เขลาเหล่านั้น อันพระเถระทั้งหลายให้การศึกษาแล้วเหมือน อย่างนั้น จักไม่เคารพกันและกัน ไม่เอื้อเฟื้อในพระอุปัชฌายาจารย์ จักเป็นเหมือนม้าพิการไม่เอื้อเฟื้อนายสารถี ฉะนั้น ในกาลภายหลังแต่ ตติยสังคายนา ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย ในอนาคต จักปฏิบัติอย่างนี้.”
    ครั้นพระปุสสเถระแสดงมหาภัยอันจะบังเกิดขึ้น ในกาลภายหลังอย่างนี้แล้ว เมื่อจะ ให้โอวาทภิกษุที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นอีก จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า “ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้ ก่อน ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่าง่าย จงพูดแต่ถ้อยคำที่สละสลวย มีความเคารพกันและกัน มีจิตเมตตากรุณาต่อกัน จงสำรวมในศีล ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวบากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์ ขอท่าน ทั้งหลายจงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัย และจงเห็นความไม่ ประมาทโดยความเป็นของปลอดภัย แล้วจงอบรมอัฏฐังคิกมรรค เมื่อ ทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะบรรลุนิพพานอันเป็นทางไม่เกิดไม่ตาย.”
     
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ลองคิดพิจารณาดูเถิดว่า สหโลกธาตุทั้งหลายฯ ที่มี พระมหาไตรลักษณะ อันมี ชาติ ชรา มรณะ ต่างก็อยากให้มีพระพุทธเจ้า เสด็จไปโปรดในโลกของเขาทั้งนั้น จริงหรือไม่จริง

    และดาวโลกนี้ มีโค้วต้า เป็นมหาทวีป เลยผูกขาด ทรงเห็นว่าชมพูทวีปเป็นทวีปที่เหมาะสมที่จะลงมาตรัสรู้เหตุนี้พระบรมโพธสัตว์ซึ่งบังเกิดเป็นสันดุสิตเทวราชเสวยทิพยสมบัติอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต เลือกลงมาจุติในชมพูทวีป เพราะถือเป็นทวีปที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในยุคนั้น พระพุทธเจ้าทั้งปวงในอดีตล้วนประสูติในมัชฌิมประเทศ และกรุงกบิลพัลดุ์แคว้นสักกะนั้นก็ตั้งอยู่ในมัชฌิมประเทศแห่งชมพูทวีป



    เราต่างพยายามจะไปให้ถึง แต่สิ่งที่ทำให้เกิดผลกระทบแก่เขา ก็เพราะเราไปทำลาย
    พระสัทธรรมเจ้าเข้า ไม่ดูแลรักษาตามคำมั่นสัญญา โลกธาตุของเขาก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย ต้องมีการรายงานผลตลอดระหว่างโลกต่อโลกติดตามสถานการณ์โลกของเรา


    สิ่งทรงภูมิปัญญา



    ภัยมฤตยูจากอมนุษย์นอกภิภพ

    พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปยังจักรวาลอื่น


    ณ สถานที่ที่หมู่
    มารทั้งหลายนั่งประชุม พึงทราบว่า มารบริษัท อนึ่ง บริษัทนั้นแม้ทั้งหมด
    ของมารทั้งหลาย ไม่ได้ถือเอาด้วยสามารถแห่งการเห็นสถานที่เลิศ. เพราะ
    มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่อาจเพื่อจะกล่าวแม้คำปกติว่า พระราชาประทับนั่งใน
    ที่นี้ เหงื่อทั้งหลายย่อมไหลออกจากรักแร้. ขัตติยบริษัทเลิศอย่างนี้.

    พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้ฉลาดในเวทสาม. คหบดีทั้งหลายย่อมเป็นผู้ฉลาดในโวหารต่าง ๆ
    และในการคิดอักษร. สมณะทั้งหลายย่อมเป็นผู้ฉลาดในวาทะของตนและวาทะของคนอื่น.

    ชื่อว่า การกล่าวธรรมกถาในท่ามกลางบริษัทเหล่านั้นเป็นภาระหนักอย่างยิ่ง.
    แม้อมนุษย์ทั้งหลายก็เป็นผู้เลิศ. เพราะครั้นแม้เพียงกล่าวว่า อมนุษย์ สรีระทั้งสิ้นย่อมสั่น.
    สัตว์ทั้งหลายได้เห็นรูป หรือฟังเสียงของอมนุษย์นั้น ย่อมปราศจากสัญญาได้.
    บริษัทของอมนุษย์เลิศอย่างนี้.

    ชื่อว่าการแสดงธรรมกถาในอมนุษย์บริษัทแม้เหล่านั้น ย่อมเป็นภาระหนักมาก.
    อมนุษย์บริษัทเหล่านั้น พึงทราบว่า ท่านถือเอาแล้ว ด้วยอำนาจแห่งการเห็น
    ฐานะอันเลิศ ด้วยประการฉะนี้.

    บทว่า อชฺโฌคาหติ คือ ตามเข้าไป. บทว่า
    อเนกสต ขตฺติยปริส คือ เช่น สมาคมพระเจ้าพิมพิสาร สมาคมพระญาติ
    และสมาคมเจ้าลิจฉวี. ย่อมได้ในจักรวาลแม้เหล่าอื่น.


    ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปสู่แม้จักรวาลเหล่าอื่นหรือ. เออ เสด็จ
    ไป. เป็นเช่นไร. เขาเหล่านั้นเป็นเช่นใด พระองค์ก็เป็นเช่นนั้นเทียว. เพราะ
    ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ก็เราเข้าไปหาขัตติยบริษัทหลายร้อย
    ย่อมรู้เฉพาะแล ว่า ในบริษัทนั้น พวกเขามีวรรณะเช่นใด เราก็มีวรรณะเช่นนั้น
    พวกเขามีเสียงเช่นใด เราก็มีเสียงเช่นนั้น และเราให้เห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญ
    ให้รื่นเริง ด้วยธรรมมีกถา และพวกเขาไม่รู้เราผู้กล่าวอยู่ว่า ผู้กล่าวนี้เป็นใครหนอ
    เป็นเทวดาหรือมนุษย์ และครั้นให้เห็น
    แจ้งแล้ว ให้สมาทานแล้ว ให้อาจหาญแล้ว ให้รื่นเริงแล้ว ด้วยธรรมีกถาก็
    หายไป และพวกเขาไม่รู้เราผู้หายไปว่า ผู้ที่หายไปนี้เป็นใครหนอแล เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้.

    เหล่ากษัตริย์ทรงประดับประดาด้วยสังวาลมาลา และของ
    หอมเป็นต้น ทรงผ้าหลากสี ทรงสวมกุณฑลแก้วมณี ทรงโมลี ฝ่ายพระผู้มี
    พระภาคเจ้าทรงประดับพระองค์เช่นนั้นหรือ กษัตริย์แม้เหล่านั้นมีพระฉวีขาว
    บ้าง ดำบ้าง คล้ำบ้าง แม้พระศาสดาทรงเป็นเช่นนั้นหรือ. พระศาสดาเสด็จ
    ไปด้วยเพศบรรพชิตของพระองค์เอง แต่ทรงปรากฏเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่า
    นั้น ครั้นเสด็จไปแล้วทรงแสดงพระองค์ซึ่งประทับนั่งบนพระราชอาสน์ ย่อม
    เป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้นว่า ในวันนี้พระราชาของพวกเรารุ่งโรจน์ยิ่งนัก
    ดังนี้. ถ้ากษัตริย์เหล่านั้น มีพระสุรเสียงแตกพร่าบ้าง ลึกบ้าง ดุจเสียงกาบ้าง
    พระศาสดาก็ทรงแสดงธรรมด้วยเสียงแห่งพรหมนั้นเทียว ก็บทนี้ว่า เราก็มี
    เสียงเช่นนั้น ตรัสหมายถึงลำดับภาษา. ก็มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังเสียงนั้นแล้ว
    ย่อมมีความคิดว่า วันนี้ พระราชาตรัสด้วยเสียงอันอ่อนหวาน. ก็ครั้นเมื่อ
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วเสด็จหลีกไป เห็นพระราชาเสด็จมาอีก ก็เกิดการ
    พิจารณาว่า บุคคลนี้ใครหนอแล. พระองค์จึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า บุคคลนี้ใคร
    หนอแล อยู่ในที่นี้ บัดนี้ แสดงด้วยเสียงอ่อนหวาน ด้วยภาษามคธ ด้วยภาษา
    สีหล หายไป เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้. ถามว่า ทรงแสดงธรรมแก่บุคคล
    ทั้งหลายผู้ไม่รู้อย่างนี้เพื่ออะไร. ตอบว่า เพื่อประโยชน์แก่วาสนา. พระองค์
    ทรงแสดงมุ่งอนาคตว่า ธรรมแม้ได้ฟังอย่างนี้ ย่อมเป็นปัจจัยในอนาคตนั้น
    เทียว.

    เมื่อไม่มีพระพุทธเจ้าไปโปรดเหมือนในอดีตพุทธกาล เผ่าพันธุ์ใหม่ที่ห่างไกลพระธรรม และโดนผลกระทบจากการทำลายพระสัทธรรม จึงคิดทำสงครามยึดครอง ทำลายล้างดวงดาว

    ๘-๕-๒๕๕๘
    บันทึกความฝันสุดพิศดาร ในวันพักผ่อน
    (ไม่เกี่ยวกับนิมิตภาคปาฎิหาริย์ขณะวิธี)

    เริ่มต้นด้วยวิถีชีวิตที่มีอิสระของมนุษย์ในยุคศิวิไลนี้
    ใช้ชีวิตที่ยึดติดกับความสร้างสรรในอริยทรัพย์ในทางโลก
    มนุษย์ที่ชอบเข่นฆ่าหาเลี้ยงชีวิตที่เบียดเบียนสัตว์ด้วยเทคโนโลยีทุกๆประการ
    ต่างใช้ชีวิตอย่างหลงระเริงในรสชาติแห่งความหายนะที่ไดรับมาจากที่อื่นที่ใดที่นั้น


    และแล้วก็มาถึงวันที่มนุษย์โลกถึงภาวะต้องได้รับรู้ จากการปรากฎของอภิมหามฤตยู
    จากนอกภิภพหรือพูดง่ายๆว่าเป็นกลุ่มของพวกที่มีวิวัฒนาการสูงส่งที่สุดที่สามารถควบคุมส่งผลในสภาพดินฟ้าอากาศได้อย่างอัศจรรย์พันลึก แม้แต่บรรยากาศในห้วงจักรวาลหรือชั้นบรรยากาศก็สามารถเปลี่ยนจากปกติมืดสว่างให้กำเนิดมีสีมีสันแพรวพราวไปทั้งชั้นฟ้าด้วยพลังที่มีอานุภาพมากโดยที่พระจันทร์และพระอาทิตย์ได้หายไปจากมิตินั้นๆ


    การปรากฎการณ์นี้ยิ่งใหญ่มาก ผู้คนต่างแหงนหน้ามองสิ่งอัศจรรย์นี้ ด้วยนึกว่ามีผู้มีบารมี อันมีสถานที่อยู่คือเสมือนสวนลอยบาบิโลน แต่ไม่ใช่ในลักษณะสวนป่าไม้อย่างที่เราได้เคยพบเห็นกันมาก เพราะเป็นกึ่งธรณีวิทยาประสานการเล่นแร่แปรธาตุจนกลายเป็นสภาวะหนึ่งเดียว คือสามารถทำให้ทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าโลหะหรืออะไร?ก็ตามมีบทบาทหน้าที่และมีชีวิตจิตใจ และสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของตนเองได้ เมื่อไปอยู่ไปจับกับสิ่งที่ไปยึดเกาะอยู่ เป็นเทคโนโลยีที่สูงกว่า นาโน มากถึงมากที่สุด


    ในห้วงเวลานั้น ในพื้นที่หนึ่ง และเราก็ปรากฎในรูปบุรุษหนึ่ง ที่ถูกกระแสพลังบางอย่างกดทับให้ต้องนอนหงายอยู่อย่างฉงนสงสัยในตนเอง ทำไมไม่สามารถควบคุมตนเองได้ จึงพยายามดิ้นรนขัดขืนจากสภาวะนั้น พลันก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่แพรวพราวพรรณรายด้วยแสงสีประหลาดตายิ่งกว่าสายธารสีรุ้งเหล่านั้นด้วย เป็นอะไรที่งดงามมาก แต่ทันใดก็เป็นห้วงมิติที่เปิดออก เรามองเห็น บุคคลหนึ่งนั้นโดยฐานะใหญ่มาก มีเกราะที่คุ้มกายด้วยสีสรรแปลกตา ยังกับพวกราชาปีศาจพวกมดเอ็กซ์ เห็นแค่ช่วงบนที่ปรากฎและก็พูดภาษาที่เราไม่เข้าใจ กับบริวารของตนเอง และก็ทิ้งแผ่นสามเหลี่ยมสีเหลืองทอง มีลักษณะโค้งงอ เหมือนกับกลีบดอกบัว ลงมาโดยกะให้เฉียดศรีษะของเราทีละแผ่นสองแผ่น ต้องโยกศรีษะหล่นตลอดเวลา


    ในที่สุดก็ได้ประมาณ ห้าหกแผ่น เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร จะว่าเป็นอาวุธที่ตั้งใจส่งมาเพื่อทำร้ายเราก็ไม่ใช่ ในขณะเดียวกัน เมื่อมีหอคอยที่ถูกสร้างโดยแปลกประหลาดอะไรสักอย่างเกิดขึ้น จากการสร้างประตูเชื่อมมิติ โดยมีชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่อีกหนึ่งคน กำลังต่อสู้อยู่โดยใช้กำลัง จนสุดความสามารถของพวกที่อาศัยอยู่ในหอหอยนั้น และทันใดนั้นเอง ชิ้นส่วนต่างๆได้หล่นลงมานั้น ได้กลายเป็นชุดเกราะพิศดารเป็นวัสดุเดียวกันกับพวกนั้น มีสีแดง๑ชุด และมีสีดำหนึ่งชุด เราจึงรีบวิ่งไปคว้าเอาโดยใช้การตัดสินใจ อย่างรวดเร็วว่าจะเอาชุดไหน จึงเลือกชุดสีดำ ใส่เข้าไปและหายไปเลย จึงเอาชุดสีแดงที่เหลือ มองให้กับอีกคนหนึ่งนั้น ซึ่งเขาก็รับรู้และรับเอาไว้


    ตอนนี้จึงเป็นห้วงโกลาหล มากขึ้นเพราะมองเห็นสัญญานการปล่อย หรือสั่งการพวกอมนุษย์เหล่านั้น ซึ่งกำลังจัดแปรขบวนทวนอวกาศ หมุนวนทวนเข็มนาฬิกาในชั้นบรรยากาศ อย่างใช้เวลาค่อนข้างจะเนิ่นนานพอสมควร ในการเคลื่อนย้ายมา ซึ่งเป็นสัญญานภาพมิติที่สวยสดงดงามมาก แต่ว่าหลังความงดงามนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่รู้และไม่น่าจะยินดีเสียแล้ว


    ผู้คนในวงกว้างต่างสับสนอลหม่าน ต่างยื้งแย่งฉุดรั้งเหนี่ยวร้างกัน แย่งชิงอาหาร เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม อาหาร อาวุธต่างๆ เท่าที่จะสรรหาแย่งชิงกันมาได้ ผู้คนโดยเฉพาะบุรุษเพศ กลายเป็นพวกไม่มีศีลธรรมประจำใจ ต่างยกขบวนกันจับกันเป็นกลุ่มแก๊ง ที่หาประโยชน์จากภัยนี้ และสิ่งที่เราไปเห็นขณะเลือกหาสิ่งของ เครื่องใช้ในเซฟเฮาส์ที่มีผู้คนมาพลุกพล่าน มากๆ ในบริเวณตัวเมืองใหญ่ ในตรอกซอกชานร้านค้าต่างๆ


    ขณะที่เรากำลังเลือกรองเท้า ที่ความเหมาะสมกับเราสักคู่หนึ่ง และออกมาจากในห้องเก็บดาบหรือของมีคมชนิดต่างๆ ของเพื่อนคนนั้นที่ได้รับเกราะสีแดง เราเลือกดาบที่พ่อของเขาตีหรือหลอมสร้างเอาไว้แบบเป็นแท่งเหล็ก TAMAHAGANE เป็นเพียงแท่งเหล็กแท่งสี่เหลี่ยม สีดำยาวประมาณ ๑๒๐ เซนต์ เป็นดาบประจำตระกูล ไม่สิต้องเรียกแท่งเหล็กเสียมากกว่า ดูแข็งแรง แต่ไม่มีคมดาบ เพราะมีแต่มุมเหล็กสี่เหลี่ยมทื่อๆเท่านั้น แต่เบามือมากๆ ผิดกับเหล็กทั่วไป เหมือนมีไฮคาร์บอน์ประเภทแปลกๆสูงมาก แล้วเขาก็แยกไปที่อื่น ส่วนเราก็อยู่ตรงแถวนั้นเพื่อ เตรียมรับกับสิ่งที่จะต้องเผชิญ เราสังเกตุเห็น กลุ่มบุรุษผู้ชายโดยมีตัวหัวหน้ากลุ่ม ใส่ชุดสีขาวรูปร่างสูงใหญ่ และพรรคพวก กำลังจับเด็กผู้ชายวัยประมาณ ๒-๓ ขวบประมาณนั้นได้


    เพื่อขู่กรรโชกแม่ของเด็กเพื่อประสงค์ลวนลาม ทำอนาจารทางเพศ โดยเอาของมีคมขู่แนบเฉือนไว้ที่บริเวณศรีษะและใบหน้าของเด็ก ไม่ว่าแม่เด็กจะร้องขอความเห็นใจ ปฎิเสธสักเพียงใดก็ตามก็ตาม กลุ่มคนเหล่านั้นนับสิบก็ยัง ลวนลามไม่เลิก เราทนเห็นไม่ได้จึงวิ่งเข้าไปบังร่างเด็กและแม่เด็กพร้อมพลักพวกนั้นออก ตัดสินใจในชั่ววินาที เอาแท่งเหล็กที่ได้ตีกระหน่ำ ไปที่ร่างนั้นและร่างลูกสมุน อีกร่างจนนอนหงายอย่างหมดสภาพ เราคิดว่ามันไม่น่าจะสร้างความบาดเจ็บ ให้มากเท่าไหร่ เพราะไม่มีบาดแผลใดๆเกิดขึ้น จึงไปคว้าดาบที่มีคมยาวประมาณ ๑๕๐ เซนต์ ใบดาบกว้างประมาณ ๓ นิ้ว มีคมค่อนข้างใช้ได้ ฟันสับเข้าไปที่ร่าง ๒ นั้นอย่างไม่ยั้งมือ ชนิดกะสับให้ละเอียดให้เละเป็นโจ๊กอย่างที่สุด

    ทันใดนั้นก็มีเสียงจากโลกแห่งความเป็นจริง ที่รบกวนมาปลุกให้ตื่นจากฝัน เฮ้อ!มันช่างน่าเสียดายจริงๆ ยังไม่ทันได้เริ่มเลย จบซะแล้ว อยากฝันเรื่องนี้ต่อจริงๆ



    เสียงเรียกร้องขอชีวิต ขอความเป็นธรรม ของสรรพสัตว์ที่ทนทุกข์ทรมาน อาจจะถูกส่งไปยังที่ใด สักที่หนึ่ง ที่ที่ เป็นตุลาการแห่งจักรวาล ก็อาจเป็นไปได้

    1432529679-Image-o.jpg
     
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พระพุทธเจ้าตรัสถึงโลกอื่น (ปรโลก) อยู่เสมอๆ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า จักรวาล ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน จะมีขุนเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) (เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญา) ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัย นั้นคือ
    ชมพูทวีป (โลกมนุษย์)
    อมรโคยานทวีป
    ปุพพะวิเทหะทวีป
    และอุตรกุรุทวีป
    ***ทวีปหรือโลกเหล่านี้ เป็นไปได้สูงที่จะเป็นที่อยู่ของพวกมนุษย์ต่างดาวเพราะพระพุทธเจ้าตรสถึงรูปร่างหน้าของมนุษย์ในแต่ละทวีปไว้


    1.ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
    มนุษย์ ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระวิปัสสี" มนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
    สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระเรวะตะ" มนุษย์ในชมพูทวีปมีความสูงถึง ๘๐ ศอก แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จิตใจหยาบช้าลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง ร่างกายก็เตี้ยลง ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาดต้องสอยมะเขือกิน เรียกยุคนั้นว่า "ยุคทมิฬ" เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของ "ชมพูทวีป" ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป"เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"
    ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องมาตรัสรู้ที่ทวีปนี้เท่านั้น


    2. อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    เป็นแผ่นดินกว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้ว ผลึก
    มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว) ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"


    3. ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
    มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์ มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุเป็นกฏตายตัว) -ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"


    4. อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง
    มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)" ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา มนุษย์ที่ อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ ชั้นตาวติงสาห์ภูมิ" ทุกๆคนเป็นกฏตายตัว ในภาษาบาลี "อุตร" แปลว่า "เหนือ" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกทวีปนี้ว่า "อุตรกุรุทวีป"


    ดวงอาทิตย์มีกี่ดวงที่มนุษย์ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ หรือเป็นผู้มีวิทยาการในปัจจุบันรู้ แต่ที่นำมามีแสดงไว้คร่าวๆ ตามที่พิจารณาได้ เท่านี้ก็คงจะมากเพียงพอ

    หรือ จะมีผู้ใดคิดว่า ดวงอาทิตย์ ที่เป็นดาวฤกษ์ ที่นักวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศนักดาราศาสตร์ รู้เห็นและนำมาศึกษาเผยแผ่เหล่านี้เป็นต้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระสัพพัญญุตญานจะไม่ทรงล่วงรู้ว่า มันคือ ดาวฤกษ์ซึ่งเป็นประเภทเดียวกับดวงอาทิตย์


    ถ้าคิดว่าไม่ใช่ก็เป็นพวก โลกแคบ ไม่ยอมรับดวงอาทิตย์ดวงอื่นๆ จะเอาดวงอาทิตย์ของที่มองเห็นอยู่ในโลก ได้ใกล้ชิดเหมือนกับเปรียบตนเองเป็นต้นทานตะวันอยู่ในทุกๆวัน แต่ถ้าวันไหนเกิดความผันผวนในอากาศโลก ดวงอาทิตย์ดวงอื่นๆเคลื่อนที่เข้ามาหา มันก็อาจไม่ยอมรับอีก เพราะมันจะเอาแบบ ดวงอาทิตย์เสก แบบนักมายากล พริบตาเดียว ดวงอาทิตย์ปรากฎขึ้นมาเลย ๗ ดวงทันที ไปขอพระพรหมจะดีกว่ามั้งถ้าจะเอาแบบนั้น






    "ดาวบีเทลจุส Betelgeuse เป็นดาวยักษ์ใหญ่แดง (Red supergiant star) มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1000 เท่า ของดวงอาทิตย์ อยู่ไกลออกไป 640 ปีแสง จึงเป็นดาวฤกษ์ดวงแรกนอกระบบสุริยะ ที่เราสามารถวัดขนาดของมันได้สำเร็จ ในปี 1920 และยังเป็นดาวฤกษ์ดวงแรก ที่เราสามารถถ่ายภาพชั้นบรรยากาศได้อีกด้วย

    อะไรที่มองไม่เห็นไม่รู้ด้วยตาเปล่าอย่าพึ่งคำนวนต่อให้อยู่ห่างไกลขนาดไหน ถึงเวลามันผันผวนแปรปรวนขึ้นมา สนามแม่เหล็กแรงดึงดูด ฯลฯ


    แต่พอนำดวงอาทิตย์ไปเทียบกับดาวอื่นๆ เราจะพบว่าดาวพฤหัสเหลือแค่ Pixel เดียว ส่วนโลกหายไปเลย ดวงอาทิตย์มีขนาดเล็กไปถนัดเมื่อเทียบกับเพื่อนๆอย่าง

    ซีรีอุส พอลลักซ์ หรืออาร์คทูรัส อาร์คทูรัสที่ว่าใหญ่แล้วในภาพก่อน พอมาเทียบกับไรเจล Rigel อัลเดอบาราน Alderbaran แอนทาเรส Antares หรือบีทัลจูส Betelgeuse นั่นดูเป็นเม็ดกรวดเม็ดทรายไปเลย ส่วนดวงอาทิตย์พอเทียบกับ Betelgeuse ก็กลายเป็นเชื้อโรคไปทันที





    ที่สำคัญในชมพูทวีป นั้นมีดวงอาทิตย์กี่ดวง แล้วที่ค้นพบหรือคาดการณ์หรือแต่งเติมไว้แล้วล่ะกี่ดวง ดวงไหนกันแน่ จับเอาดวงไหนชี้วัด หรือ มันมีทวีปอื่นที่ซ่อนไว้อีก
    *************************************************************************


    พระพุทธศาสนามองว่า โลกมีการแตกดับและพินาศไปนั้นเป็นกฎของธรรมชาติ ตามหลักของสามัญญลักษณะ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนอนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง ทุกข์ขัง คือ ความทุกข์ และอนัตตา คือ ความไม่มีตัวตน ไม่เว้นแม้กระทั่งโลกที่เราอาศัยอยู่ มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่บนโลก การแตกดับของโลกนั้น พระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า

    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จะมีสมัยหนึ่งถัดจากนี้ไปหลายแสนปีที่ฝนจะหยุดตก และต่อจากนั้นต้นไม้ใหญ่น้อยทั้งปวงก็จะเหี่ยวแห้งและถูกทำลายไปตามกัน ดวงอาทิตย์ดวงที่สองจะเกิดขึ้น มาแผดเผาลำธารใหญ่น้อยให้เหือดแห้งไป เมื่อดวงอาทิตย์ที่สามเกิดขึ้น แม่น้ำ เช่น แม่น้ำคงคา ยมนา ก็จะเหือดแห้งในทำนองเดียวกัน ทะเลสาบและมหาสมุทรก็จะเหือดแห้งไปตามกัน เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๔, ๕, ๖ เกิดขึ้นตามมา ครั้นแล้วดวงอาทิตย์ดวงที่ ๗ เกิดขึ้นโลกและภูเขาพระสุเมรุก็จะลุกโพลงเป็นไฟไปทั่ว เปลวไฟเหล่านี้ต่อมาก็จะลุกลามเข้าหากันและติดเป็นผืนเดียวกัน กลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่มาลุกโพลงและแตกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หาเถ้าและถ่านเหลือมิได้ในที่สุด ”

    เมื่อโลกพินาศ แตกดับไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมืดมน จะเต็มไปด้วยน้ำ ไม่มีพื้นดิน และสิ่งมีชีวิตอื่น โลกก็จะเริ่มแข็งตัวขึ้น เจริญขึ้นไปตามกาลเวลา “จักรวาลทั้งสิ้นนี้เต็มไปด้วยน้ำทั้งนั้น มืดมนและไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ก็ไม่ปรากฏ ดวงดาวนักษัตร กลางวัน กลางคืน เดือนหนึ่ง กึ่งเดือน ฤดู และปีก็ไม่ปรากฏ” (ที. ปา. ๑๑/๕๖/๖๕)

    “สมัยนั้น จักรวาลทั้งสิ้นนี้แลเป็นน้ำทั้งนั้น มืดมนและไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฎ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ยังไม่ปรากฎ เพศชาย และเพศหญิงก็ยังไม่ปรากฎ สัตว์ทั้งหลายถึงซึ่งอันนับเพียงว่า “สัตว์” เท่านั้น…”
    (ที. ปา. ๑๑/๕๖/๗๖)

    940316-img.rn3fdt.13r7m.jpg



    maxresdefault.jpg





    นั่นล่ะปัญหา ? ดวงอาทิตย์ที่เหลืออยู่ตรงไหน? ท่านใดมีความรู้ก็พ๊อตพิกัดลงเลยครับ แต่ชัวร์แน่นอนว่า มีดวงอาทิตย์มากกว่า ๑ และมีดวงดาวแบบไหนก็ตามหลายดวงและกำลังแตกดับอยู่เนืองๆ ในสหโลกธาตุถ้วนทั่วอนันตริยะจักรวาล อาจมาถึงคิวของเราเมื่อไหร่ก็ได้นะ



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2019
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ถ้าฝุ่นมากเป็นอานุภาค โปรตอน อิเล็กตรอน โปรโตซัวร์ แลคโตบาซิลลัส แลคตาซอย โออิชิ อะไรก็ตามฯลฯ (ผมไม่ได้เรียนวิทย์)
    ปกคลุมมากๆเข้า จะเป็นสื่อเป็นสสารที่เป็นชนวนวัตถุ ที่ก่อให้เกิดสิ่งอื่นตามเหตุปัจจัยสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี ร้ายแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    เกิดมาอย่างร้ายๆ เกิดมาอย่างมีภัย ก็ยิ่งทวีความรุนแรง เพราะตามหาส่วนประกอบกันจนเจอ


     
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    1434435412-1140152748-o.jpg 1434435424-1105321948-o.jpg ]]]].jpg

    รอยุคมืด ( เดี๋ยวมนุษย์ต่างดาวแกล้งดวงอาทิตย์ใส่โลกล่ะเป็นเรื่อง)






    U14814756354144632221572551.jpg


    ถ้าไม่ใช่ภาพตกแต่ง ก็พระอรหันตมหาเถระองค์ใดองค์หนึ่งสะพายกลดและบาตรกระมัง จินตนาการ

    เรื่องแค่ขยายธาตุ ถ้าเป็นท่าน ท่านไปตรวจสอบอะไร?
    ถ้าไม่ใช่เราก็ไม่ได้เพ้อเจ้อเพราะมันถือทิฎฐิได้ หลังฐานมันอิงให้คาดคะเน

    1434435412-1140152748-o.jpg




    1434435462-1042131148-o.jpg



    ถ้ามันเหนือธรรมชาติมากเกินไป ระบุไปเลยว่า ระบบเออเร่อ
    ลองดูจากภาพของจริง ใส่วัน เวลาตามรูปเลยครับ

    https://helioviewer.org/

    1434594368-2015061809-o (1).jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2019
  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    09.52 น. 17 ม.ค. 62 แผ่นดินไหวในทะเล ขนาด 5.8 ความลึก 10 กม. บริเวณหมู่เกาะนิโคบาร์ ประเทศอินเดีย ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ประมาณ 465 กม. ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย หากมีข้อมูลเพิ่มเติม ศภช. ปภ. จะแจ้งให้ทราบเป็นระยะต่อไป

    FB_IMG_1547740073325.jpg
     
  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    สุภาษิตอีสาน
    ฟังเอาท่อนคำสอนโลกใหม่ไผยังบ่ฮู้เขิงแก้วสิฮ่อนคนฟังเอาเด้อพี่น้องเพิ่นสิฮ่อนหาคนดีไผผู้มีศีลธรรมอยู่เขิงคาค้าง ไผเดินทางผิด
    เส้นทำตนเป็นคนชั่ว มันสิลอดกระด้งบ่มีค้างแผ่นเขิงเขิงแผ่นนี้ได้ชื่อว่าเขิงคำ เป็นคำสอนพระพุธโธเฮาตั้ง เพิ่นได้วางเอาไว้โพธิ์ศรีห่มใหญ่ สิเอาคนอยู่ซ้น โพธิ์กว้างสิอยู่เย็น โพธิ์นี้บ่ได้ปลูกตามดินเป็นโพธิ์ศีลโพธิ์ธรรมหว่านมาแต่เมืองฟ้าเว้านำธรรมคงฮู้ครูเฮาสอนสั่งคำพระสังฆเจ้าโปราณเฒ่าว่ามา พระศรีอาริยะเพิ่นสร้างโพธิ์ศรีสามห่มเอาคนเข้าอยู่ซ่นโพธิ์สิอยู่เย็นนี้หาหกแม่นคำสอนบ่อนพระองค์นำทางชี้ เอาว่าโพธิ์ศรีสามต้นคนเฮาสิได้เพิ่งตกมาฮอดเขิงข่อนตอนท้ายศาสนา พระศรีอารย์เพิ่นสิลงมาค้นเอาผู้ประเสริฐเลือกแต่ผู้ล้ำเลิศกระทำสร้างแต่บ่อนดีอันว่าพวกปล้นจี้เรื่องโหดสามารย์ ยมพิบาลมาจับเข้าสู่อเวจีกว้างให้ทำดีเอาไว้ เพื่อเอาตนเข้าฮ่ม มนุษสาโลกกว้างคนสิล้มท่าวตาย เพิ่นสิมาเลือกเอาไว้สามร่มโพธิ์ศรีให้พอดีเขิงแก้ว มันหากเถิงคาวแล้ว คนเฮาอย่านอนอยู่ ให้พากันตื่นถ้อนอย่านอนนิ่งสิเพิงไผ เดียวนี้แสงธรรมจ้าองค์พุทโธกำลังส่องมองไปไสก็เจิดจ้าแสงธรรมเจ้าส่องมาหวังให้โลกนี้กว้างปวงประชาชาวโลกพ้นจากมารหมู่ฮ้าใจเจ้าสิอยู่เย็น อย่าพากันเกียจคร้านเด้อท่านผู้ถือศิ่นถ้าไปกินนำพระผู้เพิ่นมีบุญล้นไผผู้ทนเอาไว้มีใจมั่นเที่ยงกะสิเถิงแห่งห้องวิมานแก้วอยู่เย็นทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนแต่อนิจจังวะคะสังขาราบ่เที่ยงตรงเด้อฟ้า ให้ทำดีเอาไว้เอาคนเข้าฮ่มให้พากันสร้างทางสิเข้าร่มโพธิ์ อย่าทำตนเป็นคนโก้หากินนำคนโง่ ฮู่ว่าโง่แล้วอย่าไปซ้ำตื่มแถม กรรมสิแนบนำก้นบ่ทันคนสิเห็นดอกไผผู้ทำชั่วช้ากรรมฮ้ายหากสิเห็นมันสิลอนกระด้งบ่ค้างว่างตาเขิง อย่าพากันเลวทรามให้จำจื่อเอาไว้ หากแม่นคำสอนเจ้าองค์พุทโธสอนสั่งขอให้ชาวพี่น้องฟังแล้วให้จื่อเอาจังสิเห็นทางเข้า โพธิ์ศรีสามห่มสู่อันมีทางลมภัยน้ำทั้งสามสิไหวหวั่นเฮงสิมาเตงตื่มซ้ำทำให้หมุ่นมะลายคนจะตายไปพร้อมนๆ นับบ่กัน ปีกุนผ่านเข้าไปแล้วสิแพวขึ้นกว่าแต่หลัง ไผผู้ยังอยู่เหลือค้างสิเห็นทางบุญบาป นอกจากกรรมหมู่ฮ้ายใจเจ้าสิชื่นบาน อย่าพากันเกียจคร้านให้ตั่งต่อถือศีลธรรม จังสิมีอันสูงอยู่สบายหายฮ้อน
    องค์พระธรรมเจ้าสิลงมาครองโลก หากสิเห็นเที่ยงแท้ไผทำสร้างบุญทันนั้น พระองค์เนาอยู่ยังเมืองใหญ่กรุงศรีปัจจุบัน อยู่เมืองล้านช้าง เพิ่นสิมาถึงแท้เดือนสิบเอ็ดมื้อแปดค่ำ พ.ศ. สองพันห้าร้อยปีกุนแท้แน่นอน พ.ศ. ล่วงมาถึงห้าโลกากว้างเมืองหลวงสิฮอดแฮ่งมนุษย์สิประสบเดือดฮ้อนทางสิพ้นแม่นบ่มี คันไผทำชั่วฮ้ายเมืองฟ้าสิบ่เห็น มีแต่จมลงพื้นอเวจีหม้อใหญ่ ท่านพระศรีเพิ่นสิกอดบ่ได้ อันนี้หากมีในห้องครองธรรม โลกใบนี้เป็นโลกใหม่ภัยมหันต์ศาสนาสองพันล่วงมาถึงแล้วคนเขาแซว ๆ เว้าโลกาบ่เก่าบางผองเจ็บป่วยไข้ตายเกินวัยเกินขนาดโรคประหลาดก็หากมาใหม่เรื่อยยาแก้ก็บ่ทัน อัศจรรย์น้อฟ้าโลกามันเปลี่ยนบ่เคยเห็นกะซ่างพ้อน้อนี้จังแม้นกรรม อันว่าทางฝนโลกาบ่คือเก่าคั่นว่าตกก็หากตกมาล้นจนท่วมทั่วแดนดินว่าแล้งจนแผ่นดินแดงคันว่าหนาวก็หนาวพาโลต่างหลังเหลือล้น คนเขาแซวๆ เว้าเป็นไปหมดทุกอย่างภัยพิบัติต่างๆก็หากบังเกิดขึ้นตายได้ง่าย พระเจ้ากล่าว ขอให้ชางพี่น้องฟังแล้วให้จื่อเอาท่านเอย
    FB_IMG_1547751625838.jpg
     
  20. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939
    ถอดเกราะ ทำไมหละ จ่า ย.

    ลูกหมู่ เปน เกราะทาง ยุทธวิธี มะใช่หรือจ่า

    ถอดเกราะ เท่ากับ ให้เหล้า

    ทีจริงจะบอกว่า หาก บ.ประกันมาเหนข้อความ
    เขาจะถือเอาเปนเหตุ บางประการ อะ จ่า ค๊ฟ
     

แชร์หน้านี้

Loading...