เรื่องเด่น พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 25 สิงหาคม 2016.

  1. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    หาได้สิครับ ถึงอยากเจอ.
     
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    มีบุญเพียงพบรูปเคารพ

    พระศรีอาริยเมตไตรย
    เคยได้นิมิตไปกราบนมัสการรูปเคารพท่าน บนปราสาทที่มีฐานเป็นเรือบนชั้นเมฆ หรือปราสาทวัดบรรไดเมฆ มีบุคคลคอยเฝ้าดูแล จึงถามไป ทำไมรูปเคารพพระศรีอาริยเมตไตรยจึงดูไม่สดใส ***นั่งห้อยพระบาท*** ลุงผู้เฝ้า แต่งตัวชาวบ้านๆ จึงตอบ ว่ามีบุคคลแอบอ้างเป็นท่านมากมาย ไปหลอกลวงผู้คน ไปทำมาหากินรูปเคารพท่านจึงเศร้าหมอง อีกมิหน้าซ้ำภายใต้ปราสาทรอบนอก น้ำเอ่อล้นมาท่วมพื้น

    พิจารณาแล้ว ก็เป็นเช่นนั้นตามที่ได้ยินมา

    **********************************************************************


    ภัยมฤตยูจากอมนุษย์นอกภิภพ

    พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปยังจักรวาลอื่น


    ณ สถานที่ที่หมู่มารทั้งหลายนั่งประชุม พึงทราบว่า มารบริษัท อนึ่ง บริษัทนั้นแม้ทั้งหมด ของมารทั้งหลาย ไม่ได้ถือเอาด้วยสามารถแห่งการเห็นสถานที่เลิศ. เพราะมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่อาจเพื่อจะกล่าวแม้คำปกติว่า พระราชาประทับนั่งในที่นี้ เหงื่อทั้งหลายย่อมไหลออกจากรักแร้. ขัตติยบริษัทเลิศอย่างนี้.

    พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้ฉลาดในเวทสาม. คหบดีทั้งหลายย่อมเป็นผู้ฉลาดในโวหารต่าง ๆและในการคิดอักษร. สมณะทั้งหลายย่อมเป็นผู้ฉลาดในวาทะของตนและวาทะของคนอื่น.


    ชื่อว่า การกล่าวธรรมกถาในท่ามกลางบริษัทเหล่านั้นเป็นภาระหนักอย่างยิ่ง.แม้อมนุษย์ทั้งหลายก็เป็นผู้เลิศ. เพราะครั้นแม้เพียงกล่าวว่า อมนุษย์ สรีระทั้งสิ้นย่อมสั่น.สัตว์ทั้งหลายได้เห็นรูป หรือฟังเสียงของอมนุษย์นั้น ย่อมปราศจากสัญญาได้. บริษัทของอมนุษย์เลิศอย่างนี้.

    ชื่อว่าการแสดงธรรมกถาในอมนุษย์บริษัทแม้เหล่านั้น ย่อมเป็นภาระหนักมาก.อมนุษย์บริษัทเหล่านั้น พึงทราบว่า ท่านถือเอาแล้ว ด้วยอำนาจแห่งการเห็นฐานะอันเลิศ ด้วยประการฉะนี้.


    บทว่า อชฺโฌคาหติ คือ ตามเข้าไป. บทว่าอเนกสต ขตฺติยปริส คือ เช่น สมาคมพระเจ้าพิมพิสาร สมาคมพระญาติและสมาคมเจ้าลิจฉวี. ย่อมได้ในจักรวาลแม้เหล่าอื่น.


    ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปสู่แม้จักรวาลเหล่าอื่นหรือ. เออ เสด็จไป. เป็นเช่นไร. เขาเหล่านั้นเป็นเช่นใด พระองค์ก็เป็นเช่นนั้นเทียว. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า

    ดูก่อนอานนท์ ก็เราเข้าไปหาขัตติยบริษัทหลายร้อย ย่อมรู้เฉพาะแล ว่า ในบริษัทนั้น พวกเขามีวรรณะเช่นใด เราก็มีวรรณะเช่นนั้น พวกเขามีเสียงเช่นใด เราก็มีเสียงเช่นนั้น และเราให้เห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญให้รื่นเริง ด้วยธรรมมีกถา และพวกเขาไม่รู้เราผู้กล่าวอยู่ว่า ผู้กล่าวนี้เป็นใครหนอ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ และครั้นให้เห็นแจ้งแล้ว ให้สมาทานแล้ว ให้อาจหาญแล้ว ให้รื่นเริงแล้ว ด้วยธรรมีกถาก็หายไป และพวกเขาไม่รู้เราผู้หายไปว่า ผู้ที่หายไปนี้เป็นใครหนอแล เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้.

    เหล่ากษัตริย์ทรงประดับประดาด้วยสังวาลมาลา และของหอมเป็นต้น ทรงผ้าหลากสี ทรงสวมกุณฑลแก้วมณี ทรงโมลี ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประดับพระองค์เช่นนั้นหรือ กษัตริย์แม้เหล่านั้นมีพระฉวีขาวบ้าง ดำบ้าง คล้ำบ้าง แม้พระศาสดาทรงเป็นเช่นนั้นหรือ. พระศาสดาเสด็จไปด้วยเพศบรรพชิตของพระองค์เอง แต่ทรงปรากฏเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้น ครั้นเสด็จไปแล้วทรงแสดงพระองค์ซึ่งประทับนั่งบนพระราชอาสน์ ย่อมเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้นว่า ในวันนี้พระราชาของพวกเรารุ่งโรจน์ยิ่งนักดังนี้. ถ้ากษัตริย์เหล่านั้น มีพระสุรเสียงแตกพร่าบ้าง ลึกบ้าง ดุจเสียงกาบ้างพระศาสดาก็ทรงแสดงธรรมด้วยเสียงแห่งพรหมนั้นเทียว ก็บทนี้ว่า เราก็มีเสียงเช่นนั้น


    ตรัสหมายถึงลำดับภาษา. ก็มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังเสียงนั้นแล้วย่อมมีความคิดว่า วันนี้ พระราชาตรัสด้วยเสียงอันอ่อนหวาน. ก็ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วเสด็จหลีกไป เห็นพระราชาเสด็จมาอีก ก็เกิดการพิจารณาว่า บุคคลนี้ใครหนอแล. พระองค์จึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า บุคคลนี้ใครหนอแล อยู่ในที่นี้ บัดนี้ แสดงด้วยเสียงอ่อนหวาน ด้วยภาษามคธ ด้วยภาษาสีหล หายไป เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้. ถามว่า ทรงแสดงธรรมแก่บุคคลทั้งหลายผู้ไม่รู้อย่างนี้เพื่ออะไร. ตอบว่า เพื่อประโยชน์แก่วาสนา. พระองค์ทรงแสดงมุ่งอนาคตว่า ธรรมแม้ได้ฟังอย่างนี้ ย่อมเป็นปัจจัยในอนาคตนั้นเทียว.

    เมื่อไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดเหมือนในอดีตพุทธกาล เผ่าพันธุ์ใหม่ที่ห่างไกลพระธรรม จึงคิดทำสงครามยึดครอง ทำลายล้างดวงดาว ข้อนี้ก็สามารถถือทิฏฐิได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2016
  3. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    ผมเคยคุยกับคนนึงนานมาแล้ว
    เค้าบอกว่าเค้าคือพระศรีฯ
    แต่จากความเป็นจริง
    ถ้าเค้าคิอพระศรีฯแล้วเค้าหายไปไหน?
    ปล.แค่นี้ก่อนนะฮะ ขอตัวไปทำอะไรเพื่อตัวเองก่อน อิอิ.:boo:
     
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอดีต ไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์สิ่งนั้น
    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอดีตเป็นของจริง เป็นของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์แม้สิ่งนั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอดีต เป็นของจริง เป็นของแท้ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคตไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ตถาคตก็ไม่พยากรณ์สิ่งนั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคต เป็นของจริงเป็นของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์แม้สิ่งนั้น

    ดูกรจุนทะแม้หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคต เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อมไม่พยากรณ์สิ่งนั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบัน เป็นของจริง เป็นของแท้แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์แม้สิ่งนั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบัน เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น ด้วยเหตุดังนี้แล

    จุนทะ ตถาคตเป็นกาลวาที เป็นสัจจวาที เป็นภูตวาที เป็นอัตถวาที เป็นธรรมวาที เป็นวินัยวาทีในธรรมทั้งหลายทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ชาวโลกจึงเรียกว่าตถาคโต ด้วยประการดังนี้แล ฯ


    สิ่งที่จะช่วยให้พ้นในสถานะการณ์
    เป็นของจริง๑ เป็นของแท้๑ ประกอบด้วยประโยชน์๑

    บุคคลผู้เป็นบัณฑิตอาศัยธรรมเข้าสู่ทิพยภูมิของพระอริยะ
    บุคคลผู้เป็นพาลอาศัยธรรมเข้าสู่อบาย ทุคติวินิบาต นรก


    ************************************************************************

    ตติยอนาคตสูตร

    ว่าด้วยภัยในอนาคต ๕ ประการ



    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ๕ ประการนี้ ยังไม่บังเกิดในปัจจุบัน แต่จะบังเกิดในกาลต่อไป ภัยเหล่านั้น เธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะครั้นแล้ว พึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้น ภัยในอนาคต ๕ ประการเป็นไฉน คือ


    ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิตไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล
    ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญาจักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาแม้กุลบุตรเหล่านั้น ก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีลไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิตไม่อบรมปัญญา ก็จักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้นก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๑ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น.




    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลาย จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีลไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา จักให้นิสัยแก่กุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้นก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา ก็จักให้นิสัยแก่กุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาแม้กุลบุตรเหล่านั้นก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๒ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น.



    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อแสดงอภิธรรมกถา เวทัลลกถา หยั่งลงสู่ธรรมที่ผิดก็จักไม่รู้สึก เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรมการลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๓ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น.



    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา พระสูตรต่าง ๆ ที่ตถาคตได้ภาษิตไว้ เป็นสูตรลึกซึ้งมีอรรถลึกซึ้งเป็นโลกุตระ ประกอบด้วยสุญญตาธรรม เมื่อพระสูตรเหล่านั้นอันบุคคลแสดงอยู่ก็จักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยโสตลงสดับ จักไม่ตั้งจิตเพื่อรู้จักไม่ใฝ่ใจในธรรมเหล่านั้นว่าควรศึกษาเล่าเรียน แต่ว่าสูตรต่าง ๆ ที่นักกวีแต่งไว้ ประพันธ์เป็นบทกวี มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะสละสลวย เป็นพาหิรกถา เป็นสาวกภาษิต เมื่อพระสูตรเหล่านั้น อันบุคคลแสดงอยู่ ก็จักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักตั้งจิตเพื่อรู้ จักฝักใฝ่ใจในธรรมเหล่านั้นว่าควรศึกษาเล่าเรียน เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมี เพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมี เพราะการลบล้างวินัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๔ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้เธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้ว พึงพยายามเพื่อละภัยนั้น.




    อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิตไม่อบรมปัญญา ภิกษุผู้เถระก็จักเป็นผู้มักมาก มีความประพฤติย่อหย่อนเป็นหัวหน้าในความล่วงละเมิด ทอดธุระในความสงัด จักไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ประชุมชนรุ่นหลังก็จักถือเอาภิกษุเหล่านั้นเป็นตัวอย่าง แม้ประชุมชนนั้นก็จักเป็นผู้มักมาก มีความประพฤติย่อหย่อน เป็นหัวหน้าในความล่วงละเมิด ทอดธุระในความสงัด จักไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมี เพราะการลบล้างวินัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๕ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อัน เธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น.


    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ๕ ประการนี้แล ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จะบังเกิดในกาลต่อไป ภัยเหล่านั้นอันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้น.

    จบตติยอนาคตสูตรที่ ๙
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2016
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พระธรรมจะเริ่มเปล่งรัศมีฉายแสงส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อ
    มีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์
    ทั้งสองพระองค์สถิตย์ ณ เบื้องต้นตะวันออกของมัชฌิมประเทศ
    จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคต ให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕,๐๐๐ พระวัสสา



    อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค ๑. พุทธาปทาน
    อวิทูเรนิทานกถา  


    พระมหาสัตว์ก็มองเห็นกาลว่า เป็นกาลที่ควรบังเกิด.
                   จากนั้น เมื่อจะตรวจดูทวีป ได้ตรวจดูทวีปทั้ง ๔ พร้อมทั้งทวีปบริวาร จึงเห็นทวีปหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่บังเกิดในทวีปทั้งสามบังเกิดเฉพาะในชมพูทวีปเท่านั้น.
                   จากนั้นก็คิดว่า ขึ้นชื่อว่าชมพูทวีปเป็นทวีปใหญ่ มีประมาณหมื่นโยชน์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายบังเกิดในประเทศไหนหนอ จึงตรวจดูโอกาสก็ได้เห็นมัชฌิมประเทศ.
                   ชื่อว่ามัชฌิมประเทศ คือประเทศที่ท่านกล่าวไว้ในวินัยอย่างนี้ว่า ในทิศตะวันออก มีนิคมชื่อกชังคละ ถัดจากนั้นไปเป็นมหาสาลประเทศ ถัดจากมหาสาลประเทศนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีแม่น้ำชื่อว่าสัลลวดี ถัดจากแม่น้ำสัลลวดีนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศใต้ มีนิคมชื่อว่าเสตกัณณิกะ ถัดจากเสตกัณณิกนิคมนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศตะวันตก มีพราหมณคามชื่อว่าถูนะ ถัดจากนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศเหนือ มีภูเขาชื่อว่าอุสีรธชะ ถัดจากนั้นออกไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ.
                   มัชฌิมประเทศนั้นยาวสามร้อยโยชน์ กว้างสองร้อยห้าสิบโยชน์ วัดโดยรอบได้เก้าร้อยโยชน์ ดังนั้น ในประเทศนั้น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระอสีติมหาสาวก พระเจ้าจักรพรรดิและขัตติยมหาศาล พราหมณมหาศาลและคหบดีมหาศาล ผู้มเหสักข์เหล่าอื่นย่อมเกิดขึ้น และนครชื่อว่ากบิลพัสดุ์นี้ก็ตั้งอยู่ในมัชฌิมประเทศนี้ พระโพธิสัตว์จึงได้ถึงความตกลงใจว่า เราควรบังเกิดในนครนั้น.

    ชมพูทวีปเป็นทวีปใหญ่ มีประมาณหมื่นโยชน์

    มัชฌิมประเทศนั้นยาวสามร้อยโยชน์ กว้างสองร้อยห้าสิบโยชน์ วัดโดยรอบได้เก้าร้อยโยชน์

    ลองคิดลองแล้วตีเส้นพิจารณาโดยประมาณดูครับ



    อินเดีย 3,287,000 ตร.กม.
    ศรีลังกา 65,610 ตร.กม.
    เนปาล 147,181 ตร.กม.
    ภูฏาน 38,394 ตร.กม.
    ปากีสถาน 796,095 ตร.กม.
    มองโกลเลีย 1,566,000 ตร.กม.
    จีน 9,597,000  ตร.กม
    ไทย 513,120 ตร.กม.
    บังกลาเทศ 147,570 ตร.กม.
    พม่า 676,578 ตร.กม.
    ลาว 236,800 ตร.กม.
    กัมพูชา 181,035 ตร.กม.
    เวียดนาม 331,210 ตร.กม.
    พิจารณาดูนะครับ โดยประมาณ


    *********************************************************************************

    ภัยจากธาตุ ๔ กำเริบ

    ร้อยแปดพันเก้าวิธีการของมนุษย์ ในการเบียดเบียน ซึ่งกันและกันตลอดจนการสังหารสรรพสัตว์อื่น อาจนำมาซึ่งหายนะ เป็นที่แน่นอนว่า สักวันจะต้องมีการหลอมรวมโลกใบใหม่ด้วยการเอาคืนของโลกะภาวะ Return Transfer oF Earth จากภาวะตัณหา ของมนุษย์เป็นเรื่องร้ายแรงที่สุด ในห่วงโซ่วัฎจักร อะไรที่ขุดเจาะขึ้นมา ซึ่งทรัพยากรทางธรรมชาติ และธรณีวิทยาต่างๆ เช่น น้ำมัน สายแร่ ทอง โลหะต่างๆ น้ำมัน ถ่านหิน รวมทั้งการขุดเจาะ สร้างสรรเปลี่ยนแปลงทุกประเภท เพื่อเปลี่ยนธรรมชาติ ให้กลายเป็น กามคุณ ๕ ของมนุษย์

    การฆ่าฟัน ทำร้ายซึ่งกันและกัน ทั้งทางกาย วาจา ใจ ที่ทุจริต ที่มีความต้องการที่หนาแน่นเพิ่มขึ้นทุกๆวัน อย่างไม่มีที่สิ้นสุดของความพึงพอใจ จากรุ่นสู่รุ่น จากอดีตสู่ปัจจุบัน อาจจะเป็นห้วงเวลาการตัดสิน ของกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ และกฎหมู่ของผู้มีอำนาจที่แท้จริงเสียแล้ว

    เมื่อโลกสั่นคลอน แมกม่าใจกลางโลกได้รับการตอบสนองของ สภาวะต่างๆ ทางธรณีวิทยา เช่นการสลับขั้วแม่เหล็กโลก หรือการเปลี่ยนแปลง ของ ดิน น้ำ ลม และ ไฟในโลกที่แปรปรวน สภาพอากาศจาก นอกโลก ความกดดันที่เปลี่ยนแปลง ที่ร้ายที่สุด ซึ่งมีความน่าจะเป็นไปได้มาก คือ แผ่นเปลือกโลก ธารลาวา โผล่ขึ้นมาปกคลุมทั่วแผ่นผืนดินน้ำ เพื่อทวงคืนในสิ่งที่ขุดเจาะมา เอามาหลอมรวมกับคืน นี้ยังไม่รวมกับการเสียสมดุลที่เอาทรัพยากรที่อยู่ในโลก ขนออกไปนอกโลกนั้นอีก รวมถึงการระเหิดระเหยของธาตุต่างๆ ไปในชั้นอากาศและอวกาศนั่นด้วย


    ตามทฤษฏีที่ปรากฎดวงดาวทุกดวงอาจจะเป็นดวงอาทิตย์ลูกน้อย มาก่อน และก็อาจจะกลับไปเป็นดวงอาทิตย์อีก ก็อาจจะเป็นได้ และเช่นเดียวกันกับน้ำแข็งในโลกก็อาจเป็นน้ำมาก่อน แต่ถูกแช่แข็งด้วยปาฎิหาริย์ ๓ แต่เมื่อห่างไกลจากอานุภาพของพระธรรมพระราชตราศาสตร์ ผนวกกับกำเนิดแต่โมฆะบุรุษอามิสทายาทมาทำลายบวรพระพุทธศาสนา จึงเข้าสู่การล่มสลายมลายไป ข้อนี้เป็นไปได้ เพราะมีตำนาน

    พระอุปคุตมหาเถระ
    "พระอรหันต์หลังพุทธกาล...ที่ครูบาอาจารย์หลายท่านและชาวพุทธเชื่อว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ ใต้ท้องสะดือทะเล เพื่อคอยอยู่ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุธเจ้าสมณโคดม ให้ครบ ๕,๐๐๐ ปี"

    ผู้ที่จะรอดพ้นจึงจะต้องมีอะไร เพื่อปกป้องรักษาตนเอง ?ไกลพระศาสนามากไม่มีศีลธรรมดังเดิมโลกธาตุ ๔ จึงวิบัติ ด้วยน้ำมือของมนุษย์ ต้องยอมรับผลกรรมที่ได้ เวียนว่ายก่อกรรม กระทำไว้


    *******************************************************************

    ทรงเตือน
    ปโลภสูตร

    ครั้งนั้นแล พราหมณ์มหาศาลคนหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับมาต่อบุรพพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวไว้ว่า ได้ยินว่า แต่ก่อนโลกนี้ ย่อมหนาแน่นด้วยหมู่มนุษย์ เหมือนอเวจีมหานรก บ้านนิคมชนบทและราชธานี มีทุกระยะไก่บินตก ดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์ ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรมมนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม ต่างก็ฉวยศาตราอันคมเข้าฆ่าฟันกันและกัน เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงล้มตายเสียเป็นอันมาก ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ


    ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำ ประกอบด้วยมิจฉาธรรม เมื่อมนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ฉะนั้น จึงเกิดทุพภิกขภัย ข้าวกล้าเสีย เป็นเพลี้ย ไม่ให้ผล เพราะเหตุนั้นมนุษย์จึงล้มตายเสียเป็นอันมาก ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุก วันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ


    ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำ ประกอบด้วยมิจฉาธรรมเมื่อมนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม พวกยักษ์ปล่อยอมนุษย์ที่ร้ายกาจลงไว้ เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงล้มตายเสียเป็นอันมาก ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ


    พราหมณ์มหาศาลนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2016
  6. noum77

    noum77 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2010
    โพสต์:
    189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +620
    อยากเป็นพระพุทธเจ้าต้องสั่งสมบารมีนานครับ เเละมีหลายคิวต่อเเถวอยู่ ก่อนพระตถาคตก็มีพระพุทธเจ้าเป็นล้านหละผมว่า ไปนิพพานน่าจะง่ายกว่ามากถ้าเทียบกับการเป็นพระพุทธเจ้า อย่าพระศรีท่านก็สั่งสมบุญบารมีมานานอย่างชาตินี้เป็นพระ ชาติหน้าก็มาเกิดเป็นพระอีกสร้างบุญบารมีกันไปเรื่อยหรือเป็น King เเละสร้างความดีไปเรื่อย บางคนบอกอยากเจอพระศรี ท่านอาจจะเป็นพระหรือเป็นคนปฏิบัติดี เเล้วเรารู้จักก็ได้ดังนั้นเห็นใครทำดีจงยินดีกับเค้า
     
  7. noum77

    noum77 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2010
    โพสต์:
    189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +620
    อเมริกาเตรียมเครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียเเล้วตอนนี้เพื่อเล่นจีนกับรัสเซียติดตั้งฐานทัพเเถวเเปซิฟิก คาดว่าจะเล่นกันช่วงพ้นหน้าหนาวปีหน้านี้2560 ถามผมเชื่อคำทำนายหรือเปล่าผมเชื่อเพราะตอนนี้สงครามโลกครั้งที่3เกิดเเล้ว. เเต่สื่อถูกควบคุมให้เสนอเเต่ด้านดีๆเรือดำน้ำติดหัวรบนิวเคลีย์กระจ่ายอยู่ทั่วโลกเเล้วตอนนี้ ตื่นเช้ามาอาจจะมีข่าวใหญ่เมื่อไหร่ก็ได้คืนนี้หรือปี 2560 ถามว่ารู้ได้ยังไงเพราะผมติดตามเรื่องพวกนี้ ส่วนสาเหตุก็เรื่องเงินเเละอำนายที่ไม่รู้จักพอกันที่มีก่อการร้ายทั่วโลกเค้าต้องการเช็คชื่อว่าใครเเตกเเถว
     
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เย ธมมา เหตุปปะภะวา ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ
    เตสัง เหตุง ตถาคโต พระตถาคต กล่าวเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
    เตสัญจ โย นิโรโธ จ  และความดับของธรรมเหล่านั้น
    เอวัง วาที มหาสมโณฯพระมหาสมณะมีวาทะอย่างนี้


    เห็นหลายท่านสงสัย กันมากถึงวันเวลาที่ผ่านพ้นไป ปัญหาการทำสังคายนา ขอให้ศึกษาเกี่ยวกับ

    ปฎิสัมภิทามรรค ปฎิสัมภิทาญาน คือ องค์กำเนิดพระไตรปิฏกที่สมบูรณ์ การสังคายนาที่สมบูรณ์ ในแต่ละครั้งจะมีพระอรหันต์ที่ทรงปฎิสัมภิทาญาน ทรงพระไตรปิฏก เท่านั้นที่ได้เข้าร่วม และบุคคลผู้ใดก็ตามที่เข้าสู่ทิพยภูมิของพระอริยะ ถึงเวลานั้น ท่านจะเป็นผู้บอกผู้แสดง ย่อมเหนือกว่านักวิจัยต่างๆที่ครุ่นคิดวิเคราะห์อยู่


    ญานกถาทัสสนะวิสุทธิใน ปฎิสัมภิทามรรค ผู้ใดเข้าถึงสามารถวิสัชนาและค้นหาที่มาและแสดงเหตุของธรรมเหล่านั้น และความดับธรรมของธรรมเหล่าต่างๆได้อย่างดีที่สุด



    ธรรม ๓ ประการนี้ จำเป็นมากสำหรับผู้ใครพิจารณาธรรมและต้องการเจริญในพระสัทธรรม
    ๑.นวังคสัตถุศาสน์ ๒.อนุปุพพิกถา ๓.สัปปุริสธรรม
    เมื่อสามารถเรียนรู้ทั่วถึง จะสามารถพยากรณ์กถาต่างๆ ที่มีมาในพระไตรปิฏกได้เป็นเลิศที่สุดด้วย


    ผู้อยู่ป่าชนะภัย ๕ อย่าง.
    บาลี พระพุทธภาษิต ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๑๕/๗๗.


    ภิกษุ ท.! ภัยในอนาคตเหล่านี้ มีอยู่ ๕ ประการ ซึ่งภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็นอยู่ ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว. ภัยในอนาคต ๕ ประการนั้นคืออะไรบ้างเล่า? ห้าประการคือ:


    (๑) ภิกษุผู้อยู่ป่าในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ผู้เดียวในป่า งูพิษ หรือแมลงป่อง หรือตะขาบ จะพึงขบกัดเราผู้อยู่ผู้เดียวในป่า, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อแรก อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.


    (๒) อีกข้อหนึ่ง, ภิกษุผู้อยู่ป่า พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เราจะพึงพลาดตกหกล้มบ้าง อาหารที่เราบริโภคแล้ว จะพึงเกิดเป็นพิษบ้าง น้ำดีของเรากำเริบบ้าง เสมหะของเรากำเริบบ้าง ลมมีพิษดั่งศัสตราของเรากำเริบบ้าง, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อที่สอง อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.


    (๓) อีกข้อหนึ่ง, ภิกษุผู้อยู่ป่า พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า จะพึง มาร่วมทางกันด้วยสัตว์ทั้งหลาย มีสิงห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี หรือเสือดาว, สัตว์ร้ายเหล่านั้นจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อที่สาม อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.



    (๔) อีกข้อหนึ่ง, ภิกษุผู้อยู่ป่า พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า จะพึงมี มาร่วมทางด้วยกันพวกคนร้าย ซึ่งทำโจรกรรมมาแล้วหรือยังไม่ได้ทำ (แต่เตรียมการจะไปทำ) ก็ตาม, พวกคนร้ายเหล่านั้นจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นอนาคตภัยข้อที่สี่ อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.



    (๕) อีกข้อหนึ่ง, ภิกษุผู้อยู่ป่า พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า พวกอมนุษย์ดุร้ายก็มีอยู่ในป่า พวกมันจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา,เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นอนาคตภัยข้อที่ห้า อันภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็น ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.


    ภิกษุ ท.! ภัยในอนาคต ๕ ประการเหล่านี้แล ซึ่งภิกษุผู้อยู่ป่ามองเห็นอยู่ ควรแท้ทีจะเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสียโดยเร็ว.


    ****************************************************************

    ฝากไว้หนึ่งกระทู้ที่เกี่ยวข้องกับ พุทธทำนายโดยตรง กับสำนักที่บิดเบือนทำลายพระพุทธศาสนา สร้างสัทธรรมปฎิรูป และทำลาย อภยปริตร กับ มหาสุบิน ของพระเจ้าประเสนธิโกศล ซึ่งเป็นที่มาของพุทธทำนายนี้

    http://palungjit.org/threads/สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกพลาด-สร้าง-พุทธวจน-ปลอม.552222/


    ขอเชิญชวนให้มามีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็นด้วยกันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2016
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    สงครามข้ามภพ

    ผนวก ศึกษากำลังพระตถาคตให้ดีๆครับ เรียกได้ว่า ย่นย่อ ขยาย ย้าย อนันตริยจักรวาลได้เลย สภาวะของพระสัทธรรม อันเป็น ธรรมราชา สามารถแปลงธาตุได้ทุกอย่างครับ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น นิวเคลียร์ เลเซอร์ Solar storm BlackHole หรือแม้แต่ BIGBANK ของแบบนั้น ไม่ได้ติดฝุ่นเบื้องพระบาทของ[พระพุทธเจ้า]และพระอรหันต์ที่ทรงปาฎิหาริย์ ๓ ได้หรอกครับ

    ให้ อาจหาญ ร่าเริง บันเทิงใจ ในธรรม ด้วยธรรมีกถา

    ธชัคคสูตรที่ ๓
                 สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ฯ
                 ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฯ
    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว สงครามระหว่างเทวดากับอสูรประชิดกันแล้ว

    ดูกรภิกษุทั้งหลายครั้งนั้นแล ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทวดาตรัสเรียกเทวดาชั้นดาวดึงส์มาสั่งว่าแน่ะ ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย หากความกลัวก็ดี ความหวาดเสียวก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี จะพึงเกิดขึ้นแก่พวกเทวดาผู้ไปในสงคราม
    สมัยนั้นพวกท่านพึงแลดูยอดธงของเราทีเดียว เพราะว่าเมื่อพวกท่านแลดูยอดธงของเราอยู่ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป

    ถ้าพวกท่านไม่แลดูยอดธงของเรา ทีนั้นพวกท่านพึงแลดูยอดธงของท้าวปชาบดีเทวราชเถิด เพราะว่าเมื่อพวกท่านแลดูยอดธงของท้าวปชาบดีเทวราชอยู่ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป

    หากพวกท่านไม่แลดูยอดธงของท้าวปชาบดีเทวราช ทีนั้นพวกท่านพึงแลดูยอดธงของท้าววรุณเทวราชเถิด เพราะว่าเมื่อพวกท่านแลดูยอดธงของท้าววรุณเทวราชอยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป

    หากพวกท่านไม่แลดูยอดธงของท้าววรุณเทวราช ทีนั้นพวกท่านพึงแลดูยอดธงของท้าวอีสานเทวราชเถิด เพราะว่าเมื่อพวกท่านแลดูยอดธงของท้าวอีสานเทวราชอยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป ฯ

                 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพวกเทวดาแลดูยอดธงของท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทวดาก็ดี แลดูยอดธงของท้าวปชาบดีเทวราชอยู่ก็ดี แลดูยอดธงของท้าววรุณเทวราชอยู่ก็ดี แลดูยอดธงของท้าวอีสานเทวราชอยู่ก็ดี ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นพึงหายไปได้บ้าง ไม่ได้บ้างข้อนั้นเป็นเหตุแห่งอะไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุว่า ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทวดา ยังเป็นผู้ไม่ปราศจากราคะ ไม่ปราศจากโทสะ ไม่ปราศจากโมหะ ยังเป็นผู้กลัว หวาดสะดุ้ง หนีไปอยู่ ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนเราแลกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดีพึงบังเกิดแก่พวกเธอผู้ไปในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนที่ว่างเปล่าก็ดี ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึงเรานี้แหละว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นจะยิ่งไปกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดังนี้

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงเราอยู่ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป หากพวกเธอไม่ตามระลึกถึงเรา ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึงพระธรรมว่าพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว บุคคลพึงเห็นได้เอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดูได้ ควรน้อมเข้าไปในตน อันวิญญูชนพึงรู้แจ้งได้เฉพาะตน ดังนี้

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงพระธรรมอยู่ ความกลัวก็ดีความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป หากพวกเธอไม่ตามระลึกถึงพระธรรม ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึงพระสงฆ์ ว่าพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบยิ่ง พระสงฆ์นั้นคือใคร ได้แก่คู่แห่งบุรุษสี่รวมเป็นบุรุษบุคคลแปด นี้คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ทักขิณา เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลี เป็นบุญเขตของโลก ไม่มีบุญเขตอื่นยิ่งไปกว่า เพราะว่า เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงพระสงฆ์อยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุแห่งอะไร เพราะว่าพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ไม่เป็นผู้กลัว ไม่หวาด ไม่สะดุ้ง ไม่หนีไป ฯ

                  พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดีอยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี พึงระลึกถึงพระสัมพุทธเจ้าเถิด ความกลัวไม่พึงมีแก่เธอทั้งหลาย ถ้าว่าเธอทั้งหลายไม่พึงระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจกว่านรชน ทีนั้น เธอทั้งหลายพึงระลึกถึงพระธรรมอันนำออกจากทุกข์ อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงดีแล้ว ถ้าเธอทั้งหลายไม่พึงระลึกถึงพระธรรมอันนำออกจากทุกข์ อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงดีแล้วทีนั้น เธอทั้งหลายพึงระลึกถึงพระสงฆ์ผู้เป็นบุญเขต ไม่มีบุญเขตอื่นยิ่งไปกว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์อยู่ ความกลัวก็ดีความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี จักไม่มีเลย ฯ



    ***************************************************************************

    อย่ากลัวเมื่อภัยมาถึง รีบเร่งเพียรศึกษาหาอริยะทรัพย์เพื่อเข้าสู่ ทิพยภูมิของพระอริยะย่อมพ้นภัยในอนาคต


    ขอจงเจริญในพระสัทธรรมและอาราธนาธรรมบทนี้เพื่อปกปักรักษาตนเองอยู่เนืองนิตย์เถิด นี่คือ

    "พระไพรีพินาศในพระพุทธศาสนา"

    หรือเรียกตามสภาวะธรรมอีกอย่างหนึ่งว่า ธาตุทัณฑ์

    ไม่ต้องหวาดระแวงหรือเกรงกลัวของแบบนั้น หรือแบบไหนๆ เมื่อมีสิ่งที่สูงกว่า และมีจิตใจที่บริสุทธิ์ดีงาม

    ในอดีตกาลผู้ใดใครหาคำตอบไม่ได้ ? เรานี้แลจักตอบไว้เพื่อประโยชน์ในกาลข้างหน้าต่อไป เมื่อรู้จัก ไพรีพินาศ แล้ว ฉนั้นก็อย่าเกรงกลัวการประทุษร้ายหรือการปองร้ายใดๆ จงสำรวมตนด้วยความไม่ประมาทเถิด



    การทำร้ายทางการกระทำ คำพูด ความคิด ต่อผู้ไม่ทำร้ายตอบย่อมถึงฐานะ ๑๐

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า๑

    “ผู้ประทุษร้ายในท่านผู้ไม่ประทุษร้าย หาอาชญามิได้ ด้วยอาชญา ย่อมพลันถึงฐานะ ๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่งทีเดียว




    โย ทณฺเฑร อทณฺเฑสุ
    อปฺปทุฎฺเฐสุ ทุสฺสติ
    ทสนฺนมญฺญตรํ ฐานํ
    ขิปฺปเมว นิคจฺฉติ ฯ


    ผู้ทำร้ายลงทัณฑ์แก่บุคคล
    ผู้ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายใคร
    ย่อมได้รับผลสนองกลับอย่าง
    อย่างใดอย่างหนึ่งทันตาเห็น



    เวทนํ ผรุสํ ชานึ
    สรีรสฺส จ เภทนํ
    ครุกํ วาปิ อาพาธํ
    จิตฺตกฺเขปํว ปาปุเณ ฯ



    ได้รับเวทนาอย่างรุนแรง
    ได้รับความเสื่อมเสีย
    ถูกทำร้ายร่างกาย
    เจ็บป่วยอย่างหนัก
    กลายเป็นคนวิกลจริต


    ราชโต วา อุปสคฺคํ
    อพฺภกฺขานํ ว ทารุณํ
    ปริกฺขยํ ว ญาตีนํ
    โภคานํ ว ปภงฺคุณํ ฯ


    ต้องราชภัย
    ถูกกล่าวหาอย่างรุนแรง
    ไร้ญาติพี่น้อง
    ทรัพย์สมบัติก็พินาศสิ้น



    อถวาสฺส อคารานิ
    อคฺคิ ฑหติ ปาวโก
    กายสฺส เภทา ทุปฺปญฺโญ
    นิรยํ โส อุปปชฺชติ ฯ


    หรือไม่บ้านเรือนของเขาย่อมถูกไฟไหม้
    ตายไป เขาผู้ทรามก็ตกนรก


    ----------------------------------------------------

    โย อปฺปทุฎฺฐสฺส นรสฺส ทุสฺสติ
    สุทฺธสฺส โปสสฺส อนงฺคณสฺส
    ตเมว พาลํ ปจฺเจติ ปาปํ
    สุขุโม รโช ปฏิวาตํว ขิตฺโต.



    ผู้ใดประทุษร้ายต่อนรชนผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสดุจเนิน,
    บาปย่อมกลับถึงผู้นั้น ซึ่งเป็นคนพาลนั่นเอง เหมือนธุลี อันละเอียดที่
    เขาซัดทวนลมไปฉะนั้น.



    นอกจากนี้ยังมี มิจฉัตตะ ๑๐ อันผู้ประทุษร้ายต่อพระอริยะเจ้า ต้องประสบรับเคราะห์กรรมนี้

     มิจฉัตตะ ๑๐  แปลว่า ภาวะที่ผิด หรือความเป็นสิ่งที่ผิด มีอยู่ ๑๐ ประการ

    มิจฉัตตสูตร
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มิจฉัตตะ (ความเป็นผิด) ๑๐ ประการนี้๑๐ ประการเป็นไฉน คือ มิจฉาทิฐิ ๑ มิจฉาสังกัปปะ ๑ มิจฉาวาจา ๑ มิจฉากัมมันตะ ๑มิจฉาอาชีวะ ๑ มิจฉาวายามะ ๑ มิจฉาสติ ๑ มิจฉาสมาธิ ๑ มิจฉาญาณะ ๑ มิจฉาวิมุติ ๑  ดูกรภิกษุทั้งหลาย มิจฉัตตะ ๑๐ ประการนี้แล ฯ
    จบสูตรที่ ๑๐


       มิจฉัตตะ ๑๐  แปลว่า ภาวะที่ผิด หรือความเป็นสิ่งที่ผิด มีอยู่ ๑๐ ประการ
          

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุริสบุคคลผู้มีความเห็นผิด มีความดำริผิด มีวาจาผิด มีการงานผิด มีการเลี้ยงชีพผิด มีความพยายามผิด มีความระลึกผิด มีความตั้งใจผิด มีความรู้ผิด มีความหลุดพ้นผิด สมาทานกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมให้บริบูรณ์ตามความเห็นอย่างไรแล้ว เจตนา ความปรารถนา ความตั้งใจ และสังขารเหล่าใด ธรรมเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเป็นไปเพื่อผลที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ไม่เกื้อกูล เป็นทุกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเป็นทิฐิอันชั่วช้า ฯ



    ในศาสนาพุทธถ้าจะเกรงกลัวในเรื่องราวอันใด ก็จงเกรงกลัวต่อผลของความชั่ว ต่อผลของความทุจริตที่ทำไว้ ดังที่มีมาใน หิริและโอตตัปปะเถิด


    ถึงกาลเวลาที่จักต้องปรากฎเมื่อใด เมื่อนั้นก็เป็นไปตามภาระหน้าที่ที่แบกเอาไว้

    [ame]https://youtu.be/VLhi9yUbsp4[/ame]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2016
  10. ThugLifer

    ThugLifer สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +4
    ใครอยากเผยแผ่พระธรรมก็เอาเลยครับ ผมไม่อยากเลย...ทุกวันนี้เว็บนี้ก็เผยแผ่อยู่แล้ว แล้วก็เว็บอื่นๆ วัดต่างๆ พระต่างๆ ก็เผยพระธรรมกันอยู่แล้วทั่วโลก... ศาสนาอื่นเขาก็เผยความเชื่อของเขา
     
  11. ThugLifer

    ThugLifer สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +4
    ส่วนตัว คิดว่าโลกมีแต่แย่ลง แย่ลง เพราะนี่มันขาลง บางทีอาจมี "พระ" มาโปรด เป็นช่วงๆ แต่พอไม่มีคนพยุงก็ลงอยู่ดี คนชั่วก็รับกรรม คนมาผิดทางก็รับการลงโทษ คนไหนมาถูกทางก็ไปดี สำคัญอีกอย่าง เรื่อง "ธรรมของแท้" ไม่ใช่ใครก็จะทำได้ ถ้าง่ายจริง คนก็กลายเป็น "พระ" กันหมดแล้ว.... (ไม่ใช่พระแบบสมมุติ) แล้วยุคนี้เป็นยุคขาลง จริงอยู่คนมีสติปัญญาก็มีอยู่เยอะ แต่มันจะเป็นยุคที่ธรรมจะเฝื่องฟูหรือเปล่า

    ผมจะบอกให้ว่าอนาคตของโลกขึ้นอยู่กับนิติยะพระโพธิสัตว์เลย คนธรรมดาก็เหมือนกับผักปลาฝึกเท่าที่ฝึกได้ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของความสามารถบารมี ไม่ใช่ใครอยากเป็นก็จะเป็นพระเจ้าได้ หรือจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ (อยากนะได้ แต่จะได้เป็นเมื่อไหร่ อีกกี่ล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆปี....จะได้เป็นจริงหรือ...หรือจะ...)...ถามจริง มีใครพลิกแผ่นดินทั้งผืนแล้วกินอาหารด่านล่างได้บ้าง....มีใครเดินบนน้ำได้บ้าง....มีใครเดินช้าแล้ว คนวิ่งตามไม่ทันได้บ้าง...อันนี้ไม่เอาแบบถอดกายทิพย์...เอาจะๆ คนเห็นกันหมดได้เลย....

    เรืองการเปลี่ยนโลกแบบดราแมติคต้องเป็น "พระ" จัด...แล้วถามว่า "พระ" จะจัดเมื่อไหร่ ก็ต้องไปดูอีกว่าตอนนี้ ท่านไปถึงไหนแล้ว....ท่านทำอะไรอยู่....ท่านจะเอาเมื่อไหร่...แต่ท้ายที่สุดโลกจะเป็นยังไงก็เป็นไปตามกรรมที่ทำมา...
     
  12. ใบโพริ์

    ใบโพริ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +212
    สัตว์ในโลกอยู่อาศัย ก็มีผู้นำ พญา จ่าฝูง มนุษย์ก็ต้องมีมนุษย์นำ ในครอบครัวก็มีผู้นำ. ประเทศก็มีผู้นำ. โลกก็มีผู้นำ. แล้วผู้นำโลกอยู่ใส. ปลอมก็คือปลอม แท้ก็คือแท้
     
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    โปรดพิจารณา

    ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงทราบแน่ชัดว่า พระสมณโคดมผู้ยอดเยี่ยมได้ทรงผนวชจากศากยตระกูล ดังนี้

    ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็พวกศากยตระกูลยังต้องเป็นผู้โดยเสด็จพระเจ้าปเสนทิโกศลอยู่ทุกๆ ขณะและพวกเจ้าศากยะต้องทำการนอบน้อม กราบไหว้ ต้อนรับอัญชลีกรรม สามีจิกรรมในพระเจ้าปเสนทิโกศลอยู่

    ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วยประการดังที่กล่าวมานี้แล พวกเจ้าศากยะยังต้องกระทำการนอบน้อม กราบไหว้ ต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรมอันใดอยู่ในพระเจ้าปเสนทิโกศล แต่ถึงกระนั้น กิริยาที่นอบน้อม กราบไหว้ ต้อนรับ อัญชลีกรรม และสามีจิกรรมอันนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ยังทรงกระทำอยู่ในตถาคตด้วยทรงถือว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มีพระชาติสูง เรามีชาติต่ำกว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มีพระกำลัง เรามีกำลังน้อยกว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มีคุณน่าเลื่อมใส เรามีคุณน่าเลื่อมใสน้อยกว่า พระสมณโคดมเป็นผู้สูงศักดิ์ เราเป็นผู้ต่ำศักดิ์กว่าดังนี้ แต่ที่แท้ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสักการะ เคารพ นับถือ บูชานอบน้อมพระธรรมนั้นเทียว พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงกระทำการนอบน้อม กราบไหว้ ต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม ในตถาคตอยู่ด้วยอาการอย่างนี้

    ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ โดยปริยายนี้แล เธอทั้งสองพึงทราบเถิดว่า ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐที่สุดในหมู่ชน ทั้งในเวลาที่เห็นอยู่ ทั้งในเวลาภายหน้า ฯ


    " มหาบพิตร ผลแห่งสุบินแม้นี้ ก็จักมีในรัชกาลแห่งพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ในอนาคตเหมือนกัน"

    ครั้นทรงทำนายผลแห่งสุบินใหญ่ๆ ๑๖ ข้อ อย่างนี้แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

    ดูก่อนมหาบพิตร มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่มหาบพิตรได้เห็นสุบินเหล่านี้ แม้พระราชาทั้งหลายแต่ก่อนๆ ก็ได้ทรงเห็นแล้วเหมือนกัน แม้พวกพราหมณ์ก็ถือเอาสุบินเหล่านี้ นับเข้าในยอดยัญพิธีอย่างนี้เหมือนกัน ภายหลังอาศัยคำแนะนำที่พวกเป็นบัณฑิตพากันกราบทูล จึงถามพระโพธิสัตว์ แม้ท่านโบราณกบัณฑิตทั้งหลาย เมื่อทำนายสุบินเหล่านี้แก่พระราชาเหล่านั้น ก็พากันทำนายทำนองนี้แหละ"

    อภยปริตร

          ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงพระสุบินนิมิต ถึงอาเพศ ๑๖ อย่าง แล้วให้เกิดความหวาดหวั่น ต่อมรณภัยที่มองไม่เห็น จึงทรงเล่าพระสุบินนั้น ให้พราหมณ์ปุโรหิตรับฟัง พราหมณ์ปุโรหิตพยากรณ์ว่าจะบังเกิดเหตุการณ์ให้พระองค์มีอันตรายอย่างหนึ่งอย่างใด รวมทั้งราชสมบัติด้วย
         
          ปุโรหิตนั้น ได้ทูลแนะวิธีป้องกันอันตราย ด้วยบัญญัติวิธี คือ เอาสัตว์อย่างละ ๔ ๆ มาฆ่าบูชายัญ
         
          พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงทรงมีรับสั่งให้จัดเตรียม ประจำพิธีและสิ่งของ ตามถ้อยคำของปุโรหิตบอก
         
          ครานั้น พระนางมัลลิกาเทวี พระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล จึงทูลขึ้นว่า เสด็จพี่อย่าพึ่งทำยัญพิธีกรรมใด ๆ เลย ขอได้โปรดเสด็จไปทูลถาม ถึงพระสุบินนิมิตนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน พระองค์ทรงเป็นสัพพัญญู มิมีสิ่งใดที่พระพุทธองค์ไม่รู้
         
          ราชาโกศล จึงเสด็จพร้อมมเหสีและบริวาร ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ เชตวันมหาวิหาร แจ้งทูลถามถึงสุบินนิมิตทั้ง ๑๖ ข้อนั้น
         
          พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร ภัยอันตรายใด ๆจะพึงบัง เกิดมีแก่พระองค์ จากเหตุแห่งพระสุบินนิมิตนั้น หามีไม่ สุบินนิมิตของพระองค์ เป็นสิ่งบอกเหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หวังจากเราตถาคตนิพพานไปแล้ว และในที่สุดพระผู้มีพระภาค จึงทรงขอให้พระเจ้าปเสนทิโกศล ล้มเลิกยัญพิธีทั้งปวงเสีย
         
          บัดนี้ถึงกาลอันควรแล้ว ขอเชิญพระสาวกแก้ว ได้โปรดสาธยาย อะภะยะปริตร เพื่อพิชิตอวมงคลทั้งหลายที่บังเกิดขึ้น ให้พินาศไป ด้วยเทอญ


    อรรถกถา มหาสุบินชาดก
    ว่าด้วย มหาสุบิน

    http://www.84000.org/tipitaka/atita100/jataka500.php?s=77


    ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศลและคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๖ ประการ ประกอบด้วย

                   ๑.ทรงฝันว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ ๔ ตัว ต่างคิดจะชนกัน ก็พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวงจาก ๔ ทิศ ฝูงชนต่างรอดู โคทั้งสี่ก็ส่งเสียงคำรามลั่น แต่แล้วต่างก็ถอยออกไป ไม่ชนกัน

                   องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงทำนายว่า ในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์ เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น คล้ายเมฆตั้งเค้าจะมีฝน มีเสียงคำรามกระหึ่ม แต่แล้วก็ไม่ตก กลับเลยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แต่ไม่ชนกันฉะนั้น

                   ๒.ทรงฝันว่า ต้นไม้เล็กๆและกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ก็ออกดอกออกผลแล้ว

                   พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า ต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์ มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆเหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว

                   ๓.ทรงฝันว่า ทรงเห็นแม่โคใหญ่ๆพากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด

                   ทรงทำนายว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่เมื่อหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนไม่ได้ ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็กๆดังที่แม่โคที่ต้องกินนมลูกโคฉะนั้น

                   ๔.ทรงฝันว่าผู้คนไม่ใช้วัวตัวใหญ่ที่สมบูรณ์แข็งแรงเทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆที่ยังปราศจากกำลังมาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไม่ด้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย

                   ทรงทำนายว่า ในภายหน้าเมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่องและมอบหมายหน้าที่ให้กับผู้มีสติปัญญา ความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี กิจการต่างๆก็ไม่สำเร็จ ก็เหมือนใช้โครุ่นมาเทียมแอก เกวียนก็แล่นไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น

                   ๕.ทรงฝันว่าเห็นม้าตัวหนึ่ง มีปากสองข้าง ฝูงชนก็เอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง

                   ทรงทำนายว่า ในอนาคตเมื่อผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือ คนไม่มีศีลธรรมไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญคุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ ดังม้าที่กินหญ้าทั้งสองปาก

                   ๖.ทรงฝันว่าฝูงชนเอาถาดทองราคาแพง ไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้นถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น

                   ทรงทำนายว่า ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำหรือคนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโต และคนมีตระกูลก็จะต้องยกลูกสาวให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น เหมือนเอาถาดทองไปให้หมาปัสสาวะรด

                   ๗.ทรงฝันว่า มีชายคนหนึ่งนั่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่งนอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว

                   ทรงทำนายว่า ในกาลข้างหน้า ผู้หญิงจะเหลาะแหละ โลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วก็จะเอาทรัพย์ที่สามีหาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้ เหมือนนางหมาโซที่นอนใต้ตั่งคอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่นและหย่อนลงไว้ใกล้เท้า

                   ๘.ทรงฝันว่ามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมตุ่มหนึ่งวางอยู่ตรงประตูวัง แวดล้อมด้วยตุ่มว่างๆเป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่ จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆนั้นเลย

                   ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่หรือมีอำนาจจะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้วก็จะมีคนจนหารายได้ ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น ดังฝูงชนที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่มใหญ่ที่เต็มอยู่แล้วจนล้น ส่วนตุ่มที่ว่างอยู่กลับไม่ไปใส่น้ำ

                   ๙.ทรงฝันเห็นสระแห่งหนึ่งมีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆก็พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือ เหยียบย่ำแทนที่จะใส กลับขุ่นข้น

                   ทรงทำนายว่า ต่อไป เมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสินบน ชาวบ้านชาวเมืองก็จะหนีไปอยู่ตามชายแดนหรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้นๆที่คนพากันไปอยู่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เหมือนน้ำรอบๆสระที่ใส ส่วนเมืองหลวงกลับว่างเปล่า เหมือนกลางสระที่ขุ่น

                   ๑๐.ทรงฝันว่า เห็นข้าวที่คนหุงในหม้อใบเดียวกัน สุกไม่เท่ากัน โดยแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุกดี

                   ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง ทำให้การเพาะปลูกบางแห่งได้ผล บางแห่งก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับข้าวที่มีสุกบ้าง ดิบบ้าง และแฉะบ้าง

                   ๑๑.ทรงฝันว่าคนนำแก่นจันทน์ที่มีราคาแพง ไปแลกกับเปรียงเน่า (อ่านว่า เปฺรียง มี ๓ ความหมาย คือ ๑. นมส้มผสมน้ำแล้วเจียวให้แตกมัน ๒.น้ำมันจากไขข้อวัว และ ๓.เถาวัลย์เปรียง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงเถาวัลย์เปรียง เทียบกับแก่นจันทน์ที่เป็นไม้เหมือนกันมากกว่า ๒ ความหมายแรก)

                   ทรงทำนายว่า กาลภายหน้า พระภิกษุอลัชชีเห็นแก่ได้ทั้งหลาย แทนที่จะนำธรรมะที่พระพุทธองค์สอนไปสอนสั่งให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ และละความโลภ กลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหากิน หาปัจจัยบริจาคเข้าตัวเอง เหมือนเอาแก่นจันทน์ (ธรรมะคำสอนที่ดี) ไปแลกเอาเถาวัลย์เน่า (ลาภอามิสที่ได้รับมา ซึ่งไม่จีรังและไม่ช่วยให้พ้นทุกข์จริงๆได้)

                   ๑๒.ทรงฝันเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้

                   ทรงทำนายว่า ต่อไปคำพูดของคนที่ไม่ควรจะได้รับความเชื่อถือ กลับจะได้รับความเชื่อถือ โดยเปรียบถ้อยคำของคนที่ไม่น่าเชื่อว่ามีน้ำหนักเบาเหมือนกับผลน้ำเต้า ซึ่งปกติจะลอยน้ำ แต่เมื่อคนเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนัก หรือหนักแน่น จึงเปรียบคำพูดนั้นว่ามีน้ำหน้กราวกับน้ำเต้าที่จมน้ำได้

                   ๑๓.ทรงฝันว่าศิลาแท่งทึบขนาดเรือน ลอยน้ำได้เหมือนเรือ

                   ทรงทำนายว่า ถ้อยคำของคนที่ควรได้รับการเชื่อถือ ซึ่งหนักแน่น มีน้ำหนักเปรียบประดุจแท่งศิลา กลับไม่ได้รับความเชื่อถือ หรือกลายเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนักเหมือนเรือที่ลอยได้ ข้อนี้ตรงกันข้ามกับข้อที่แล้ว คือ คนหันไปเชื่อคำพูดคนที่ไม่ควรเชื่อ เหมือนสิ่งที่ควรลอยกลับจม สิ่งที่ควรจมกลับลอย

                   ๑๔.ทรงฝันว่า ทรงเห็นฝูงเขียดตัวเล็กๆ วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ และกัดเนื้องูเห่าขาดเหมือนกัดก้านบัว แล้วกลืนกินเข้าไป

                   ทรงทำนายว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ราคะ สามีจะตกอยู่ในอำนาจของเมียเด็ก และจะถูกดุด่าว่ากล่าวเช่นเดียวกับคนรับใช้ เหมือนเขียดตัวเล็กๆแต่กลับกินงูได้

                   ๑๕.ทรงฝันว่า ฝูงพญาหงส์ทอง ที่มีขนเป็นทอง ถูกแวดล้อมด้วยกา

                   ทรงทำนายว่า ในอนาคตผู้มีตระกูลต้องไปเที่ยวประจบ และสวามิภักดิ์ต่อผู้ไม่มีตระกูลเหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกา

                   ๑๖.ทรงฝันว่า ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง และกัดกิน ทำให้เสืออื่นๆสะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ

    ทรงทำนายว่าต่อไปภายหน้า คนชั่ว หรือคนที่ไม่ดีจะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจเป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ

                   เมื่อพิจารณาความฝัน จะเห็นว่าหลายข้อในความฝันเป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่น แม่โคกินนมลูกโค ม้าสองปาก เขียดกินงู และแกะกินเสือ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมีนัยอันไปสู่พุทธทำนายทั้งสิ้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล ทำไมฝันได้ไกลไปถึงอนาคต อันไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ได้ถึงเพียงนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคงเป็นเพราะเทวดาดลใจให้พระองค์ฝันแปลกประหลาด เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ฝาก “ พุทธทำนาย ” เป็นคำพยากรณ์อันอมตะไว้เป็นเครื่องเตือนสติให้มนุษย์โลกได้ตระหนักและระมัดระวังภัยพิบัตินานัปการที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เพราะคงเล็งเห็นด้วยญาณวิเศษแล้วว่า นับวันคนเราก็จะห่างไกลจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จนเป็นเหตุให้มนุษย์มุ่งทำลาย เอารัดเอาเปรียบทั้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อกอบโกยไปบำรุงบำเรอกิเลสแห่งตน โดยขาดความรัก ความเมตตาต่อกัน จึงทำให้คนเห็นแก่ตัว และมีผลให้สภาพแวดล้อม ธรรมชาติแปรปรวนไปหมด

                   ในปัจจุบัน เหตุการณ์หลายๆอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง อันทำให้เพาะปลูกได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ปัญหาเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เช่น เด็กและเยาวชนแก่แดดขึ้น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยเพิ่มขึ้น ลูกขาดความกตัญญูและความเคารพยำเกรงต่อพ่อแม่ อลัชชีหรือพระทุศีลมีมากขึ้น ชายแก่ตกอยู่ในอำนาจเมียเด็ก หรือ ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น คนขาดความรู้ประสบการณ์ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรับสินบนก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คนรวยยิ่งรวยเพราะมีช่องทางและโอกาสเอาเปรียบคนจน เหมือนตุ่มใหญ่ที่คนตักน้ำไปใส่จนเต็มแล้วเต็มอีก แล้วปล่อยตุ่มเล็กให้ว่างเปล่า ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่พ้นคำพยากรณ์ที่ทรงทำนายบอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตของสมัยโน้น ก็คือ สมัยนี้หรือปัจจุบันนั่นเอง

    เมตตาธรรม การไม่เบียดเบียนชีวิตสรรพสัตว์ มีอานิสงส์มาก
    [ame]https://youtu.be/EbyWSumN_l0[/ame]
    *********************************************
    หน้าที่ทำให้คนแปลก ถ้าเขาไม่ทำลาย อภยปริตร เราคงไม่ได้ปรากฎขึ้น

    เป็นไปตามพุทธประสงค์ของ
    พระสัทธรรมและพระธรรมราชา

    พระสัทธรรม[o]พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทดั้งเดิม[o] หรือ {O} ทิพยวิเศษบริสุทธิธรรม {O} อันจุติธรรมด้วย [ปฏิสัมภิทาญาน]

    ได้ถูกถอดโดยคึกฤทธิ์ แห่ง สำนักวัดนาป่าพง และถูกบัญญัติใหม่ให้เป็นเดรัจฉานวิชา

    บทสวดยอดนิยม อภยปริตรเป็นคำแต่งใหม่ เป็นเดรัจฉานวิชา

    อ้าวโดนลบไปเสียแล้ว อยู่มาตั้งนานเดือนนานปี มาลบเอาวันนี้ ที่เรานำมาแสดงงั้นหรือ? ใครหนอดลใจ 31/8/2559 ก่อน 00.00 โดยประมาณ สำนักวัดนาป่าพงลบคลิปรวมบทสวดเดรัจฉานวิชาเพื่อหนีภัย

    [ame]https://youtu.be/jBIMisvVwJY[/ame]
    ------------------------------------------------------------

    แต่เรา คือผู้รักษาพระปริตรนี้
    [ame]https://youtu.be/5NNBqCPYkyA[/ame]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2016
  14. อณูธาตุ

    อณูธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +191
    เห็นภาพ ซากสัตว์ในการบูชายัญ ที่ท่านจ่ายักษ์เอามาลง แล้วสลดใจ ว่านี่แหละหนอการตีความพระเวทผิด เรื่องการสะเดาะเคราะห์

    การตีความคำภีร์โบราณ เป็นเรื่องลึกซึ้งละเอียดอ่อน ต้องถึงสภาวะจริงๆถึงจะทำได้ถูกต้องไม่คลาดเคลื่อน

    ในความเห็นส่วนตัว คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้แย้งพระเวทเสียทีเดียว แต่ท่านแก้ความเข้าใจผิดของพราหมณ์ยุคนั้น ดังจะเห็นว่าพระองค์ท่านก็ทรงใช้คำว่า อาตมา แทนตัวอยู่ (อาตมัน พรหมัน เป็นสิ่งเดียวกัน ต่างกันที่ว่า อยู่ในสัตตานัง กับอยู่นอกสัตตานัง นั่นเอง)

    คำว่า อกาลิโก (ไม่ประกอบด้วยกาล)ที่ถูกต้องตรงกับศัพท์ คือ ไม่มีที่ล่วงมาแล้วและที่ยังไม่มาถึง, ไม่มีทั้งที่กำลังเป็นอยู่ ผู้ใดเข้าไปในสภาวะ อกาลิโกได้ ผู้นั้นก็เข้าสภาวะที่ไร้อุปทาน เหนือสมมติ บัญญัติ ที่เป็นอสังขตธรรมนั่นเอง ทำไมคนส่วนมากถึงแปล อกาลิโก ว่าไม่จำกัดกาล เพราะเป็นการยากที่ใครจะเข้าไปรู้ว่าสภาวะที่ไม่มีกาลเวลานั้นเป็นอย่างไร คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งนั้นมีจริง

    อันว่าสัจจะธรรมย่อมไม่ล้าสมัยไม่จำกัดกาลในตัวเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอา คำอกาลิโกไปใส่ ในคาถาบทสั้นๆเพื่อย้ำว่าไม่จำกัดกาล ซึ่งปราชญ์ ทั่วไปเขาไม่ทำกัน แต่ที่พระพุทธองค์ กล่าวไว้ต้องมีนัยยะที่ลึกซึ้งพิเศษเป็นแน่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2016
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    จากอัคคัญญสูตรกับทฤษฎีวิวัฒนาการ วิวัฒนาการของโลก ตามนัยอัคคัญญสูตร โลกดับเกิดอาภัสสรพรหม ล่องลอยในจักรวาล โลกเย็น หลังจากนั้นเกิดดวงอาทิตย์ขึ้นมากี่ดวง และถ้ามีดวงอาทิตย์ถึง ๗ ดวงครานั้นก็ถึงกาลอวสาน นั่นหมายถึง ต้องเกิดการแปรปรวนผกผันของสนามแม่เหล็กต่างๆ ซึ่งมีผลต่อสหโลกธาตุอื่นๆด้วย ไม่ใช่มีแค่โลกมนุษย์ที่นี่เพียงโลกธาตุเดียว


    ทีนี้มาดูกันว่า ดาวฤกษ์ที่มีระบบการเผาไหม้ แบบดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะและนอกระบบที่นักดาราศาสตร์ค้นพบ มีกี่ดวงตามลิงค์วิดีโอนี้ นั่งนับได้เลยครับ

    [ame]https://youtu.be/lRU43nbVaz8[/ame]

    ดวงอาทิตย์บนโลก หรือ THE SUN เด็กๆไปเลย

    บุคคลผู้มีทิฏฐิปัญญาคงสรุปได้ว่านั่นคือดวงอาทิตย์ ที่มีอายุและก็แปรสภาพไปเรื่อยๆเสมือนๆกับดวงอาทิตย์บ้านเรา บางท่านในขณะนั่งนับอาจจะลุ้นจนขนลุกเลยก็ได้ ผมก็เหมือนกัน


    เอาใจสำหรับสาวกสำนักวัดนาป่าพง ที่เราท่านเห็นกันในวีดีโอ นั่นไม่ใช่ดวงอาทิตย์คับ เพราะดวงอาทิตย์มีดวงเดียว ไม่มีในสหโลกธาตุอื่นๆ มีแค่โลกธาตุนี้โลกธาตุเดียว มีระบบสุริยะเดียว บัวมีสามเหล่า เสาอโศกมีพุทธวจนะ ฯลฯ

    เอาแค่ดาวศุกร์ที่เผาไหม้ใกล้ๆโลกนี่ อุณหภูมิของดาวศุกร์ ด้วยชั้นเมฆหนาของดาวศุกร์ทำให้เกิดสภาวะเรือนกระจก อุณหภูมิบนดาวศุกร์สูงมาก ประมาณ 500 องศาเซลเซียส เทียบกับ ดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิประมาณ 5,515 องศาเซลเซียส ก็น้องๆดวงอาทิตย์แล้ว ในกระบวนการเผาไหม้ ตามผังอายุดวงอาทิตย์ ถ้าจะเปลี่ยนเป็นดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะดวงที่สอง ก็มีความเป็นไปได้ และบางศาสนาเฝ้ารอวันสิ้นโลก เครื่องหมายก็คือ ฟ้าผ่าเปรี้ยงดังๆสักครั้ง กับ มีดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ก็สามารถเป็นได้ ถ้าไม่ใช่ดวงอาทิตย์เสกเอาแบบคึกฤทธิ์และสาวกแห่งสำนักวัดนาป่าพง

    จากพุทธพยากรณ์คำว่าเกิดขึ้นตามมา นี่หมายถึงอะไร?

    ต้องเกิดแบบวิเศษ ปิ๊ง!!!เลยงั้นรึ!

    ขอนักมายากลเสกดวงอาทิตย์ให้สำนักวัดนาป่าพงหน่อย เสกเอาทีละลูกที่ละลูกจะได้สมใจ

    ไปสอนคนสุ่มสี่สุ่มห้า วิสัชนาอุปมาตื้นเขิน

    ถ้าบอกว่าความร้อนมันเพิ่มขึ้นสูงจนดูเหมือนมีพระอาทิตย์อยู่ ๗ ดวง ยังน่าฟังหน่อย ใครจะอยู่ถึง สงสัยต้องพึ่งเครื่องทำความเย็น และไปอยู่ใต้ดินใต้มหาสมุทธรเอาหนีออกนอกโลกก็ยังน่าฟังน่าคิดตามได้

    ใครจะอุปมาได้อย่างไร ตามกำลังของสติปัญญาในเรื่องที่สามารถเป็นไปได้?

    ดวงอาทิตย์มีกี่ดวงที่มนุษย์ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ หรือเป็นผู้มีวิทยาการในปัจจุบันรู้ แต่ที่นำมามีแสดงไว้คร่าวๆ ตามที่พิจารณาได้ เท่านี้ก็คงจะมากเพียงพอ

    หรือ จะมีผู้ใดคิดว่า ดวงอาทิตย์ ที่เป็นดาวฤกษ์ ที่นักวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศนักดาราศาสตร์ รู้เห็นและนำมาศึกษาเผยแผ่เหล่านี้เป็นต้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระสัพพัญญุตญานจะไม่ทรงล่วงรู้ว่า มันคือ ดาวฤกษ์ซึ่งเป็นประเภทเดียวกับดวงอาทิตย์



    ถ้าคิดว่าไม่ใช่ก็เป็นพวก โลกแคบ ไม่ยอมรับดวงอาทิตย์ดวงอื่นๆ จะเอาดวงอาทิตย์ของที่มองเห็นอยู่ในโลก ได้ใกล้ชิดเหมือนกับเปรียบตนเองเป็นต้นทานตะวันอยู่ในทุกๆวัน แต่ถ้าวันไหนเกิดความผันผวนในอากาศโลก ดวงอาทิตย์ดวงอื่นๆเคลื่อนที่เข้ามาหา มันก็อาจไม่ยอมรับอีก เพราะมันจะเอาแบบ ดวงอาทิตย์เสก แบบนักมายากล พริบตาเดียว ดวงอาทิตย์ปรากฎขึ้นมาเลย ๗ ดวงทันที ไปขอพระพรหมจะดีกว่ามั้งถ้าจะเอาแบบนั้น


    ไม่มีปเทสญาน อนาคตังสญาน อย่ามาประมาณเรื่องกาลเวลา ไม่อย่างนั้น คำว่า อกาลิโกคงไม่มีปรากฏ ฝากไปถึง สำนักวัดนาป่าพงที่วิสัชนาธรรมหลอกเด็กอ่อนแถวนั้นด้วย กินยาบำรุงสมอง พักผ่อนให้เยอะๆ โตไวๆ


    อย่าคิดว่าทุกๆอย่างจะเป็นไปตามกฎธรรมชาติทั้งหมดฯ แม้พระสัทธรรมจะยังมีอยู่และยังไม่สูญสิ้นจากมนุษย์โลก หากจะถามว่าอันเหตุการณ์เหล่านี้เช่นดวงอาทิตย์ ผู้มีฤทธิ์สามารถบันดาลได้ไหม? โดยเฉพาะพระพรหมฝ่ายมิจฉาทิฏฐิต่างๆ หรือเทพเทวดาฝ่ายใดที่จักแสดงฤทธิ์กลั่นแกล้งได้เช่นนั้น



    "ดาวบีเทลจุส Betelgeuse เป็นดาวยักษ์ใหญ่แดง (Red supergiant star) มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1000 เท่า ของดวงอาทิตย์ อยู่ไกลออกไป 640 ปีแสง จึงเป็นดาวฤกษ์ดวงแรกนอกระบบสุริยะ ที่เราสามารถวัดขนาดของมันได้สำเร็จ ในปี 1920 และยังเป็นดาวฤกษ์ดวงแรก ที่เราสามารถถ่ายภาพชั้นบรรยากาศได้อีกด้วย

    ไหนล่ะ พระอาทิตย์เพิ่งมาแค่ดวงแรก เขารู้กันทั้งโลกว่ามันเป็นดวงอาทิตย์ นอกระบบสุริยะ อย่างสำนักวัดนาป่าพงที่ไปหลอกลวงชาวบ้าน อะไรที่มองไม่เห็นไม่รู้ด้วยตาเปล่าอย่าพึ่งคำนวนต่อให้อยู่ห่างไกลขนาดไหน ถึงเวลามันผันผวนแปรปรวนขึ้นมา สนามแม่เหล็กแรงดึงดูด ฯลฯ


    แต่พอนำดวงอาทิตย์ไปเทียบกับดาวอื่นๆ เราจะพบว่าดาวพฤหัสเหลือแค่ Pixel เดียว ส่วนโลกหายไปเลย ดวงอาทิตย์มีขนาดเล็กไปถนัดเมื่อเทียบกับเพื่อนๆอย่าง

    ซีรีอุส พอลลักซ์ หรืออาร์คทูรัส อาร์คทูรัสที่ว่าใหญ่แล้วในภาพก่อน พอมาเทียบกับไรเจล Rigel อัลเดอบาราน Alderbaran แอนทาเรส Antares หรือบีทัลจูส Betelgeuse นั่นดูเป็นเม็ดกรวดเม็ดทรายไปเลย ส่วนดวงอาทิตย์พอเทียบกับ Betelgeuse ก็กลายเป็นเชื้อโรคไปทันที
    นี่ยังไม่ได้ค้นคว้าหามาทั้งหมดนะ อย่าโลกสวย พวกอยากได้ดวงอาทิตย์เสกแบบนักมายากลเสกให้

    ตรรกะวิบัติจริงๆ สงสัยต้องให้มีการรวมมวลสารและมีการเกิดฟิวชั่นจนเกิดเป็นดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นดวงที่สอง ที่สาม ที่สี่ฯ ถึงจะพอใจ





    *************************************************************************


                พระพุทธศาสนามองว่า โลกมีการแตกดับและพินาศไปนั้นเป็นกฎของธรรมชาติ ตามหลักของสามัญญลักษณะ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนอนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง ทุกข์ขัง คือ ความทุกข์ และอนัตตา คือ ความไม่มีตัวตน ไม่เว้นแม้กระทั่งโลกที่เราอาศัยอยู่ มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่บนโลก การแตกดับของโลกนั้น พระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า

                “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จะมีสมัยหนึ่งถัดจากนี้ไปหลายแสนปีที่ฝนจะหยุดตก และต่อจากนั้นต้นไม้ใหญ่น้อยทั้งปวงก็จะเหี่ยวแห้งและถูกทำลายไปตามกัน ดวงอาทิตย์ดวงที่สองจะเกิดขึ้น มาแผดเผาลำธารใหญ่น้อยให้เหือดแห้งไป เมื่อดวงอาทิตย์ที่สามเกิดขึ้น แม่น้ำ เช่น แม่น้ำคงคา ยมนา ก็จะเหือดแห้งในทำนองเดียวกัน ทะเลสาบและมหาสมุทรก็จะเหือดแห้งไปตามกัน เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๔, ๕, ๖ เกิดขึ้นตามมา ครั้นแล้วดวงอาทิตย์ดวงที่ ๗ เกิดขึ้น โลกและภูเขาพระสุเมรุก็จะลุกโพลงเป็นไฟไปทั่ว เปลวไฟเหล่านี้ต่อมาก็จะลุกลามเข้าหากันและติดเป็นผืนเดียวกัน กลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่มาลุกโพลงและแตกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หาเถ้าและถ่านเหลือมิได้ในที่สุด ”

                เมื่อโลกพินาศ แตกดับไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมืดมน จะเต็มไปด้วยน้ำ ไม่มีพื้นดิน และสิ่งมีชีวิตอื่น โลกก็จะเริ่มแข็งตัวขึ้น เจริญขึ้นไปตามกาลเวลา “จักรวาลทั้งสิ้นนี้เต็มไปด้วยน้ำทั้งนั้น มืดมนและไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ก็ไม่ปรากฏ ดวงดาวนักษัตร กลางวัน กลางคืน เดือนหนึ่ง กึ่งเดือน ฤดู และปีก็ไม่ปรากฏ” (ที. ปา.  ๑๑/๕๖/๖๕)

    “สมัยนั้น จักรวาลทั้งสิ้นนี้แลเป็นน้ำทั้งนั้น มืดมนและไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฎ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ยังไม่ปรากฎ     เพศชาย และเพศหญิงก็ยังไม่ปรากฎ สัตว์ทั้งหลายถึงซึ่งอันนับเพียงว่า “สัตว์” เท่านั้น…” (ที. ปา.  ๑๑/๕๖/๗๖)



    คำว่าสัตว์ในที่นี้ ไม่ใช่มนุษย์ผู้เจริญ หากพิจารณาตามสติปัญญา ก็จะสามารถเข้าใจแล้วอุปมาได้ว่า เรื่องสัตว์โลกล้านปีต่างๆ ก็เป็นสัตว์ในที่ทรงกล่าวพวกนี้ และสามารถวิสัชนาเชื่อมต่อ กันถึงการเกิดดวงอาทิตย์และวิวัฒนาการต่างๆ ในโลกนี้ด้วยและในโลกธาตุอื่นด้วย พระญานของพระพุทธเจ้ากว้างขวางอย่างนี้ ไม่ใช่คับแคบอย่างที่คึกฤทธิ์วิสัชนาว่าเหตุนั้นเกิดเพียงโลกนี้โลกเดียว และสิ่งที่พระองค์ทรงยกนำขึ้นมาตรัส พระองค์ทรงบอกทรงจำกัดไว้โดยเฉพาะหรือว่า นี่เป็นคำทำนายเป็นพยากรณ์ที่เราระบุเวลาไว้ตามนี้นะ ใช้กับโลกธาตุที่เรามาอุบัตินี้เพียงโลกธาตุเดียว

    คิดดูให้ดี นี่คือพุทธทำนาย ของแท้ดั้งเดิมด้วย จะอ้างว่าไม่ใช่ก็ไม่ได้ เพราะแม้แต่คึกฤทธิ์แห่งสำนักวัดนาป่าพง ปทุมธานีและสาวกเชิดชูให้เป็นพระอรหันต์ผู้ประเสริฐที่สุดในรอบ ๒,๕๐๐ปี ยังบอกยังวิสัชนานำมาแสดงว่านี่คือ พุทธทำนาย หรือ พุทธพยากรณ์ ของจริง

    ถ้ายังสงสัยเชิญไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์และถามพระอรหันต์คึกฤทธิ์แห่งสำนักวัดนาป่าพง

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า :ธรรมใดที่เราได้ตรัสรู้แล้ว เราก็สักการะเคารพพึ่งพิงธรรมนั้นอยู่มาก็แต่ว่าเมื่อใด แม้สงฆ์ถึงพร้อมด้วยความใหญ่แล้ว เมื่อนั้นเราจะเคารพในสงฆ์ด้วย
     อุรุเวลสูตรที่ ๑

    สำนักไม่เคารพสงฆ์ จะเชื่อถืออะไรได้ แต่มันเชื่อตัวมันเอง ว่ามันเป็นสงฆ์

    เชิญดูคลิปปัญญาอ่อนที่ไม่เอาใคร? สุดท้ายก็ไม่เอาพระเจ้าประเสนทิโกศล ไม่เอาพระนาคเสน ไม่เอาสงฆ์ ไม่เอาดวงอาทิตย์ ฯลฯ
    [ame]https://youtu.be/QLq1NMkNQHU[/ame]

    จบสิ้นดวงพระอาทิตย์วัดนาป่าพง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • stars.jpg
      stars.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.7 KB
      เปิดดู:
      113
    • sun1.jpg
      sun1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.8 KB
      เปิดดู:
      107
    • sun2.jpg
      sun2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      100.5 KB
      เปิดดู:
      114
    • earth1.jpg
      earth1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      97 KB
      เปิดดู:
      135
    • earth2.jpg
      earth2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.1 KB
      เปิดดู:
      121
    • 1434728962-2015061921-o.jpg
      1434728962-2015061921-o.jpg
      ขนาดไฟล์:
      569.3 KB
      เปิดดู:
      122
    • Sun_Life.png
      Sun_Life.png
      ขนาดไฟล์:
      48.8 KB
      เปิดดู:
      127
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2016
  16. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    "เวลาเป็นเพียงนามสมมติ มิถือเป็นสาระในทางธรรม"
     
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ผู้มีสติปัญญา และพิจารณาด้วยปัญญา ให้กว้างขวางไม่คับแคบก็จะได้จะรู้รายละเอียดเพิ่มมากขึ้น ผู้ประสงค์ทางตรงก็เข้าหาแก่นและสงบไป อย่าลืมว่าสติปัญญาและความสามารถของพระอรหันต์ท่านมีกี่แบบ

    ผู้ไม่มีปัญญามากไม่ต้องการที่จะรู้เห็นและได้ยินอะไรๆ ไม่ต้องการอะไรๆ ก็จะไม่สนใจ ไม่เชื่อไม่เอาอะไรทั้งนั้น เพราะตนก็พอใจในรังในโลกของกะลาที่ครอบตนเองอยู่

    เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ไม่พิจารณาศึกษาให้ดี ก็ไม่มีทางจะวิสัชนาพูดคุยอะไรกับใครได้

    เพราะตนเชื่อว่าไม่มีอะไร? และอย่างที่บุคคลอื่นเห็นก็ต้องไม่มีด้วย

    ไม่สามารถแม้แต่จะเป็นผู้ที่ถือทิฏฐิได้เลย เป็นความวิบัติขาดสูญอย่างหนึ่ง


    ไม่ต้องกล่าวถึง ปฎิสัมภิทามรรคเลย ว่าจะรู้จะเห็นวิสัชนาปัญหาในกถาที่มาได้มากมายขนาดไหน?

    พระพุทธพจน์ที่ยกขึ้นสู่แบบแผนด้วยมาคธีภาษา ยังไม่บรรลุถึงคลองแห่งโสตประสาทของพระอริยบุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทานั้น เป็นการเนิ่นช้า. แต่เมื่อโสตประสาทพอพระพุทธพจน์กระทบแล้วเท่านั้น เนื้อความก็ปรากฏตั้งร้อยนัย พันนัย. ก็พระพุทธพจน์ที่ยกขึ้นสู่แบบแผนด้วยภาษาอื่น ก็ย่อมต้องเรียนเอาแบบตีความแล้วตีความเล่า.
    อันธรรมดาว่า การเรียนพระพุทธพจน์แม้มากมายแล้วบรรลุปฏิสัมภิทา ย่อมไม่มีแก่ปุถุชน, แต่พระอริยสาวกที่จะชื่อว่าไม่บรรลุปฏิสัมภิทานั้น ย่อมไม่มีเลย.
    ความรู้แตกฉานในญาณทั้ง ๓ เหล่านั้นของพระอริยบุคคลผู้กระทำญาณอันมีในที่ทั้งปวงให้เป็นอารมณ์แล้วพิจารณาอยู่, หรือว่า ญาณอันถึงความกว้างขวางในญาณทั้ง ๓ เหล่านั้น ด้วยสามารถแห่งอารมณ์และกิจเป็นต้น ชื่อว่าปฏิภาณปฏิสัมภิทา.
    ก็บัณฑิตพึงทราบปฏิสัมภิทา ๔ เหล่านี้ว่า ย่อมถึงซึ่งประเภทในฐานะ ๒. ย่อมผ่องใสด้วยเหตุ ๕.
    ย่อมถึงซึ่งประเภทในฐานะ ๒ เป็นไฉน?
    คือ ในเสกขภูมิ ๑ อเสกขภูมิ ๑.
    ใน ๒ ภูมินั้น ปฏิสัมภิทาของพระมหาเถระ ๘๐ องค์ มีพระเถระผู้มีนามอย่างนี้ คือ พระสารีบุตรเถระ, พระมหาโมคคัลลานเถระ, พระมหากัสสปเถระ, พระมหากัจจายนเถระ, พระมหาโกฏฐิตเถระเป็นต้น ถึงซึ่งประเภทในอเสกขภูมิ, ปฏิสัมภิทาของพระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระอริยบุคคลผู้มีนามอย่างนี้ คือพระอานนทเถระ, ท่านจิตตคฤหบดี, ท่านธรรมมิกอุบาสก, ท่านอุบาลีคฤหบดี, ขุชชุตตราอุบาสิกาเป็นต้น ถึงซึ่งประเภทในเสกขภูมิ, ปฏิสัมภิทาย่อมถึงซึ่งประเภทในภูมิ ๒ เหล่านี้ด้วยประการฉะนี้.





    โปฏฐปาทสูตร
            “....ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สัจจะที่ว่า โลกเที่ยง  นี้เท่านั้นเป็นคำจริง  คำอื่นเป็นโมฆะ ดังนั้นหรือ พระเจ้าข้า ?”
            โปฏฐปาทะ !         ข้อที่ว่า “โลกเที่ยง นี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ”  ดังนี้นั้น    เป็นข้อที่   เราไม่พยากรณ์.
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สัจจะที่ว่า โลกไม่เที่ยง นี้เท่านั้นเป็นคำจริง   คำอื่นเป็นโมฆะ ดังนั้นหรือ ?”
            โปฏฐปาทะ !         ข้อที่ว่า “โลกไม่เที่ยง นี้เท่านั้นเป็นคำจริง    คำอื่นเป็นโมฆะ”  ดังนี้นั้น   เป็นข้อที่ เราไม่พยากรณ์.
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สัจจะที่ว่า โลกมีที่สิ้นสุด นี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ ดังนั้นหรือ ?
            โปฎฐปาทะ !         ข้อที่ว่า “โลกมีที่สิ้นสุด   นี้เท่านั้นเป็นคำจริง   คำอื่นเป็น โมฆะ”  ดังนี้นั้น เป็นข้อที่ เราไม่พยากรณ์.
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สัจจะที่ว่า โลกไม่มีที่สิ้นสุด นี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ ดังนั้นหรือ ?”
            โปฏฐปาทะ !         ข้อที่ว่า “โลกไม่มีที่สิ้นสุด นี้เท่านั้นเป็นคำจริง  คำอื่นเป็นโมฆะ”  ดังนี้นั้น   เป็นข้อที่ เราไม่พยากรณ์.
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สัจจะที่ว่า ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น นี้เท่านั้นเป็น คำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ ดังนั้นหรือ ?”
    โปฏฐปาทะ !        ข้อที่ว่า  “ชีวะก็อันนั้น   สรีระก็อันนั้น   นี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ”  ดังนี้นั้น   เป็นข้อที่ เราไม่พยากรณ์.
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สัจจะที่ว่า   ชีวะก็อันอื่น  สรีระก็อันอื่น  นี้เท่านั้นเป็น คำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ ดังนั้นหรือ ?”
            โปฏฐปาทะ !         ข้อที่ว่า “ชีวะก็อันอื่น  สรีระก็อันอื่น  นี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ”   ดังนี้นั้น   เป็นข้อที่ เราไม่พยากรณ์.
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สัจจะที่ว่า   ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว   ย่อมมีอีกนี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ ดังนั้นหรือ ?”
            โปฏฐปาทะ !           ข้อที่ว่า    “ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้วย่อมมีอีกนี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ”  ดังนี้นั้น   เป็นข้อที่ เราไม่พยากรณ์.
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !    สัจจะที่ว่า    ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมไม่มีอีกนี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ ดังนั้นหรือ ?”
            โปฏฐปาทะ !         ข้อที่ว่า    “ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้วย่อมไม่มีอีกนี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ”  ดังนี้นั้นเป็นข้อที่ เราไม่พยากรณ์.
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  สัจจะที่ว่า  ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว   ย่อมมีอีกก็มี  ไม่มีอีกก็มี นี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ ดังนั้นหรือ ?”
    โปฏฐปาทะ !         ข้อที่ว่า    “ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว   ย่อมมีอีกก็มี   ไม่มี อีกก็มี นี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ” ดังนี้นั้น  เป็นข้อที่ เราไม่พยากรณ์.
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !    สัจจะที่ว่า    ตถาคตภายหลังแต่ตาย     แล้วย่อมมีอีก  ก็หามิได้  ไม่มีอีกก็หามิได้  นี้เท่านั้นเป็นคำจริง  คำอื่นเป็นโมฆะ  ดังนั้นหรือ ?”
            โปฏฐปาทะ !         ข้อที่ว่า  “ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว   ย่อมมีอีกก็หามิได้ไม่มีอีกก็หามิได้ นี้เท่านั้นเป็นคำจริง คำอื่นเป็นโมฆะ” ดังนี้นั้น   เป็นข้อที่ เราไม่พยากรณ์.
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !   เพราะเหตุอะไรเล่า   ข้อนั้น ๆ  จึงเป็นสิ่งที่ไม่ทรงพยากรณ์ ?
            โปฏฐปาทะ !          เพราะเหตุว่า   นั่นไม่ประกอบด้วยอรรถะ  ไม่ประกอบ ด้วยธรรมะ ไม่เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายความคลายกำหนัด ความดับ ความระงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน, เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์.
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  เพราะเหตุอะไรเล่า  เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงพยากรณ์ ?”
            โปฏฐปาทะ !         ข้อที่เราพยากรณ์นั้นคือ    นี้ทุกข์,   นี้เหตุให้เกิดทุกข์, นี้ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์,  นี้ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, ดังนี้.
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  เพราะเหตุอะไรเล่า  จึงทรงพยากรณ์ ?”
            โปฎฐปาทะ !          เพราะเหตุว่า นั่นประกอบด้วยอรรถะ ประกอบด้วยธรรมะ  เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์  เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่าย  ความคลายกำหนัดความดับ ความระงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน,   เหตุนั้นเราจึงพยากรณ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2016
  18. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,324
    ค่าพลัง:
    +4,774
    ผมคาดคะเนความหมายนัยยะนี้ว่าว่า ในอนาคตพระอาทิตย์ จะกลายเป็นดาวยักษ์แดง แล้วกลืนเผาดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ไป เจ็ดดวง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ดูในลิงค์ท่านคิดว่าเป็นพวกนางเองหรือญาติฝ่ายไหนของนาง?

    https://www.youtube.com/watch?v=lRU43nbVaz8&feature=youtu.be



    ภัยจากมาร ที่ครอง คัมภีรอักขระพยัญชนะมาร (อหังการวิเศษมาร)


    ภัยภายในของศาสนาพุทธ มีเพียงแค่ อามิสทายาท และ สัทธรรมปฎิรูป
    คือผลที่ได้รับ จากสัทธรรมปฎิรูป สัมมาทิฎฐิมาเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีการล่มสลาย๑
    เป็นไปตามกรรมพุทธพยากรณ์อยู่แล้ว ในพระพุทธศาสนา

    แต่ อสัทธรรม เป็น มิจฉาทิฏฐิอยู่แล้วโดยปรมัตถ์ ยังเพิ่มดรีกรีเข้าไปอีก คลื่นลมจึงเร็วแรงขึ้น มันทำลายสิ้นเสียทุกสิ่ง๑

    ที่สำคัญนั่นคือระหว่าง การที่ได้พบเห็นการปรากฎของพระไตรปิฏกพระธรรมคำภีร์ดั้งเดิม และ การที่ได้เห็นการปรากฎของคัมภีร์มารคือคำสั่งสอนของมารนอกพระพุทธศาสนาโดยยกทั้ง ๒อย่างนี้เป็นหลักในการพิจารณาในขั้นที่๑
    ประเภทที่๑.๑
    {เป็นพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ดั้งเดิมทางพุทธศาสนา} และ ‪#‎คัมภัร์อักขระพยัญชนะมารดั้งเดิม‬# ที่ไม่ใช่ไม่เหมือนกับที่ถูกตีพิมพ์ในโลกมนุษย์ อยู่ในฐานะเป็น
    {ทิพยวิเศษบริสุทธิธรรม} และ ‪#‎อหังการวิเศษมาร‬# แตกต่างกันชัดเจน
    และ

    ยกทั้งสองอย่างที่ปรากฎเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาในกาลปัจจุบันคือ การปรากฎของพระสัทธรรมที่คงเหลืออยู่จริง และ การปรากฎของสัทธรรมปฎิรูปที่เกิดขึ้นมาใหม่ เป็นหลักพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงในขั้นที่ ๒

    ประเภทที่ ๒.๒ เป็นพระไตรปิฏกจารึก {พระสัทธรรม} ที่แท้จริง ที่หลงเหลือบันทึกอยู่จริงในพระไตรปิฏกที่แม้จะแตกแยกนิกายออกไป แต่ยังมีอยู่เหมือนเดิม และ ‪#‎สัทธรรมปฎิรูป‬# อันเป็นคำส่งสอนที่สร้างขึ้นมาใหม่ โดยจริตธรรมของการยอมรับตกลงในมิจฉาชนหมู่มากที่แสวงอื่น ไม่ใช่พระธรรมแท้ที่มีอยู่จริง ไม่มีมรรคผลเป็นที่รองรับ เป็นสิ่งที่นำพาไปสู่มิจฉาทิฐิ อย่างเช่น แอบอ้างว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่ถูกต้องในพระไตรปิฏกแต่อย่างนั้นไม่ถูกเป็นต้น

    ถ้าปรากฏ คัมภีร์มารขึ้นมา แบบนี้ ต้องดูที่ฤทธิ์มารแล้ว คำนวนดูก่อนเถิดว่า วิวัฒนาการทำไมมันจึงเร็วนัก เขาสู้รบกันมาหลายร้อยหลายพันปี มีแค่อาวุธธรรมดาๆ (อย่าพึ่งไปคิดถึงรามายณะ रामायण) ยิงธนูลูกเดียวออกเป็นพันเป็นหมื่นดอก) ตอนนี้ ลูกเดียวกระจุยหมด สิ่งล่อหูล่อตา เทคบาร์คาเฟ่ ห้องน้อยคอยรัก ฯลฯ รูป เสียง กลิ่น รส เกสา โลมา นะขา ทัน ตา ตะโจ เพียบ ล่อให้สวยงามหลงตาม โทรทัศน์สื่อTV WIFI ฯลฯ ตีรันฟันแทง ฆ่าแกงกัน ขโจรขโมยผู้ร้ายเพียบ แม้แต่ในวัดสถานธรรม ก็เป็นโจรกันเสียเอง ตามข่าวสารบ้านเมือง ถ้าได้ พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ดั้งเดิม อันจุติธรรมด้วย ปฎิสัมภิทาญาน และดำรงด้วยปาฎิหาริย์๓ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธอะไรก็ตาม ของแบบนั้นไร้ประสิทธิภาพครับ นี่เป็น วัฎจักรของมาร เป็นผู้หมุนทวนพระธรรมจักร ของ[พระพุทธเจ้า] เหตุผลนี้กว้างขวางนัก พิจารณาดูตามกาลเถิดครับ เวลาผันผวน สิ่งต่างๆจึงปรวนแปรตาม

    คือใจความจะกล่าวนั้น เป็นการแสดงถึงตัณหาความทะยานอยากของมนุษย์ที่มีมากขึ้นไม่รู้จักจบจักพอ

    มาร ๕
    สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณความดีหรือจากผลที่หมายอันประเสริฐ, สิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี,ตัวการที่กำจัดหรือขัดขวางบุคคลมิให้บรรลุ ผลสำเร็จอันดีงาม

    ๑. กิเลสมาร มารคือกิเลส, กิเลสเป็นมารเพราะเป็นตัวกำจัดและขัดขวางความดี ทำให้สัตว์ประสบความพินาศทั้งในปัจจุบันและอนาคต

    ๒. ขันธมาร มารคือเบญจขันธ์, ขันธ์ ๕ เป็นมาร เพราะเป็นสภาพอันปัจจัยปรุงแต่ง มีความขัดแย้งกันเองอยู่ภายใน ไม่มั่นคงทนนาน เป็นภาระในการบริหาร ทั้งแปรปรวนเสื่อมโทรมไปเพราะชราพยาธิเป็นต้น ล้วนรอนโอกาสมิให้บุคคลทำกิจหน้าที่ หรือบำเพ็ญคุณความดีได้เต็มปรารถนา อย่างแรง อาจถึงกับพรากโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง

    ๓. อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร, อภิสังขารเป็นมาร เพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม นำให้เกิดชาติชราเป็นต้น ขัดขวางมิให้หลุดพ้นไปจากสังขารทุกข์

    ๔. เทวปุตตมาร มารคือเทพบุตร, เทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรตนหนึ่งชื่อว่ามาร เพราะเป็นนิมิตแห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้ มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดยชักให้ห่วงพะวงในกามสุขไม่หาญ เสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดียิ่งใหญ่ได้

    ๕. มัจจุมาร มารคือความตาย, ความตายเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาส ที่จะก้าวหน้าต่อไปใน คุณความดีทั้งหลาย

    นอกจากเทวดาที่กุมเชิงดูแลสวรรค์และภพภูมิต่างๆอยู่แล้วเทพยาดาที่หายไป จากส่วนหนึ่งที่มัวเมาในการเสวยกามคุณอันเป็นทิพย์ การที่เราจะหวังพึ่งเขานั้นยังพอมีได้อยู่เพราะอะไรจึงเป็นเหตุ เพราะในตอนนี้มีภัยมาก ในสหโลกธาตุตอนนี้ มีมารครอบอยู่ แม้พระอินทร์ยังต้องหนีมาร มารสิงกายพระพรหม มารฆ่าได้แม้พระปัจเจกพุทธเจ้า มารยังก่อกวนไม่เลิกราพระอินทร์พระพรหมยังต้องหนีการเกะกะระราน จากพญามารไปจนสุดขอบจักรวาล เพราะรังเกียจอกุศลกรรมจากความทุจริต โลกนี้จึงเต็มไปด้วยเสนามาร และสายสืบของเสนามาร ถ้าเทวดาใดเอื้อเฟื้อประโยชน์ในธรรมมากเกินไปจน เสนามารจับพิรุธได้ ก็จะถูกรายงานไปถึงหูพญามาร แล้วพญามารก็จะเล่นงานผู้นั้นจึงจำเป็นต้องหนี ห่างหายไปทั้งหมด

    แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีช่องว่าง แห่งบุญพลานิสงส์ที่บำเพ็ญมาดีแล้ว ด้วยเหตุนี้แล มนุษย์เมื่อฝึกตนดีแล้วเป็นผู้มีธรรมอันประเสริฐ จึงเป็นผู้ที่ เทพ เทวดา มาร พรหม ฯต่างให้การเคารพสักการะ ดังนี้แลฯ

    อวิชชาจะสิ้นเมื่อมองเห็นธรรม จบการสงสัยเรื่อง การห่างหายไปของเรื่อง เทพ พรหม เทวดาฯ

    *************************************************************************

    ปัญญัติสูตร
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การบัญญัติซึ่งสิ่งที่เลิศ ๔ ประการนี้ ๔ ประการ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์ผู้มีอัตภาพ (ใหญ่) อสุรินทราหูเป็นเลิศ
    บรรดาบุคคลผู้บริโภคกาม พระเจ้ามันธาตุราชเป็นเลิศ บรรดาผู้ใหญ่ยิ่ง มารผู้มีบาปเป็นเลิศ
    พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อันโลกกล่าวว่าเป็นเลิศในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การบัญญัติสิ่งที่เลิศ ๔ ประการเหล่านี้แล ฯบรรดาสัตว์ผู้มีอัตภาพ (ใหญ่) อสุรินทราหูเป็นเลิศ บรรดาบุคคลผู้บริโภคกาม พระเจ้ามันธาตุราชเป็นเลิศ บรรดาผู้ใหญ่ยิ่ง มารเป็นเลิศ

    พระพุทธเจ้าผู้รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ อันโลกกล่าวว่าเป็นเลิศในโลก ทั้งเทวดาและมนุษย์ ทั่วภูมิเป็นที่อยู่ของสัตว์ ทั้งเบื้องบน ท่ามกลาง และเบื้องต่ำ ฯ
    จบสูตรที่ ๕

    เป็นไปไม่ได้ที่ผู้เป็นใหญ่ทั้ง ๓ เหล่านี้ จะไม่รู้เหตุของเรื่องนี้ คือ เหตุของภัยที่ ๕


    ยกเว้นไว้ ณ ที่สูงยิ่ง
    โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าของเราท่านทั้งหลายฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2016
  20. zipp

    zipp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +141
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 757 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 755 คน )
     

แชร์หน้านี้

Loading...