เรื่องเด่น พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 25 สิงหาคม 2016.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ต้องพยากรณ์

    ไม่ได้มีและไม่ใช่เพียงบุคคลเดียว แต่คือ บุตรทุกคนที่เจริญเติบโตในพระพุทธศาสนานี้ อันรูปลักษณ์ร่างกายภายนอกเป็นเพียงธาตุที่มาประชุมอาศัยให้เกิดสฬายตนะ

    พระธรรมบุตร บุตรผู้เป็นธรรมทายาทของพระธรรมราชา ก็คือ ธรรมทายาทผู้เดินทางมาเพื่อรับธรรมสมบัติตามกาล อย่างที่ได้ต้องบุพกรรมและชี้พยากรณ์ไว้



    พระศรีอาริย์ พระจักรพรรดิ พระยาธรรมมิกราช
    ไม่ว่าใครก็ตาม ตราบใดที่ไม่มีปาฎิหาริ์ย ๓ เป็นเครื่องปรากฎ ไม่บรรลุปฎิสัมภิทาญาน ไม่รู้จัก[พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บท] (ดั้งเดิม) หรือ [ทิพยวิเศษบริสุทธิธรรม] และ *คัมภีร์อักขระพยัญชนะมาร* หรือ *อหังการวิเศษมาร* ผู้นั้นก็เป็นใครใน ฐานะ ๓ นี้ไม่ได้


    จะเอาอะไรไปสอนไปเปิดธรรมปกป้องช่วยเหลือเขาได้ถ้าไม่มีฤทธานุภาพ


    ผู้ใดมีสมบูรณ์ครบถ้วน ก็จะสามารถ คืนฐานะพุทธบริษัทดำรงสกุล.๑ ชำระธรณีสงฆ์.๑ ต่อต้านป้องกันภัยที่ ๕ .๑ ที่สำคัญที่สุดคือ การชำระสังคายนาพระไตรปิฎก.๑

    อาจไม่ใช่ชาตินี้ จักเป็นชาติต่อๆไปของธรรมทายาทผู้มีบุญทั้งหลายฯเหล่านั้น ชาตินี้ศึกษาและพิจารณาไปก่อน ก็อาจเป็นไปได้


    เราบอกแล้ว นี่ไม่ใช่เรา ในสมองเน่าๆและกายที่เน่าเหม็นอยู่เนืองนิตย์นี้ของเราไม่มีองค์ความรู้แบบนี้ นี่ไม่ใช่เรา

    หากผู้ใดสมบูรณ์ก่อนตำแหน่งและภาระหน้าที่มาพร้อมๆกันกับบุคคลนั้น

    ถ้ารู้เพียงหน้าที่และทำไปตามหน้าที่ ไม่มีตำแหน่งหน้าที่อะไรเพราะยังคุณสมบัติไม่เพียงพอ ก็เป็นปกติธรรมดาของเหล่าพุทธบริษัทที่มีศรัทธาถ้วนทั่วไปในสภานั้น


    สาธุธรรมสหายธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 11.jpg
      11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      163.6 KB
      เปิดดู:
      107
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2016
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ผมเป็นเพียงพยาน และหาหลักฐานให้ตามสมควรแก่กาล โดยเฉพาะในเรื่องพุทธทำนายมหาสุบิน เกี่ยวข้องกับ มหาสุบิน ๑๖ ประการของพระเจ้าประเสนทิโกศล โดยตรงครับ มีหน้าที่ปกป้องรักษา อภยปริตร พระไตรปิฏกทั้งหลายฉบับ พระเกียรติภูมิและพระราชวินิจฉัยของบุคคลอันควรให้ความเคารพศรัทธาและนับถือ ตลอดจน พระมหาเถระและพระสงฆ์ทั้งหลายฯ ตลอดจนพระอริยะบุคคล ที่ถูกทำลายโดยสอนไม่ให้เชื่อไม่ให้ฟัง โดยการวิสัชาธรรมอย่างผิดเพี้ยน ของโมฆะบุรุษ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล และสาวกแห่ง สำนักวัดนาป่าพง

    ***********************************************************************
    พระไตรปิฏกมีไว้สั่งสอนคนให้เป็นคนดี ไม่ใช่มีไว้ให้คนชั่วๆสั่งสอนแก่พระไตรปิฏก


    เห็นหลายท่านบ่นบอกพระไตรปิฏกไม่มีสอนพระพุทธศาสนา มีอายุเพียง ๕,๐๐๐ ปี จะเอาภัทร์กัปป์ไหนล่ะครับ ถึงจะพอใจท่าน น้อยกว่าห้าพันก็มีครับ ต้องค้นไหม?ครับ


    หลักฐาน พระพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปี

    พระราชปณิธาน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

    อันตัวพ่อชื่อว่าพระยาตาก    ทนทุกข์ยากกู้ชาติพระศาสนา
    ถวายแผ่นดินให้เป็นพุทธบูชา    แด่พระศาสดาสมณะพระพุทธโคดม
    ให้ยืนยงคงถ้วนห้าพันปี 
       สมณะพราหมณ์ชีปฏิบัติให้พอสม
    เจริญสมถะวิปัสนาพ่อชื่นชม    ถวายบังคมรอยพระบาทพระศาสดา
    คิดถึงพ่อพ่ออยู่คู่กับเจ้า    ชาติของเราคงอยู่คู่พระศาสนา
    พุทธศาสนาอยู่ยงคู่องค์กษัตรา    พระศาสดาฝากไว้ให้คู่กัน


    ****************************************************************************

    การสังคายนาพระพุทธพจน์นั้น แผ่นดินใหญ่นี้ได้สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นหวั่นไหว เป็นอเนกประการทั่วไปจนถึงน้ำรองแผ่นดิน เป็นประหนึ่งว่าเกิดความปราโมทย์ให้สาธุการว่า ศาสนาของพระทศพลนี้ พระมหากัสสปเถระได้ทำให้สามารถมีอายุยืนไปได้ตลอดกาลประมาณ ๕,๐๐๐ ปี และได้ปรากฏมหัศจรรย์ทั้งหลายมิใช่น้อยด้วยประการฉะนี้.
                   สังคายนาใดในโลกเรียกกันว่า ปัญจสตา เพราะพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ได้ทำไว้ และเรียกกันว่า เถริกา เพราะพระสงฆ์ชั้นพระเถระทั้งนั้นได้ทำไว้ สังคายนานี้ชื่อปฐมมหาสังคายนาด้วยประการฉะนี้.

    ***************************************************************
    ก็ด้วยบทว่า มหโต ตฬากสฺส ปฏิกจฺเจว ปาลี นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความนี้ไว้ว่า เหมือนอย่างว่า เมื่อเขาไม่พูนคันกั้นสระใหญ่ น้ำสักหน่อยหนึ่งก็ไม่ขังอยู่เลย แต่เมื่อเขาปิดไว้ครั้งแรกนั่นแหละ น้ำใดที่ไม่ขังอยู่ เพราะไม่ปิดกั้นเป็นปัจจัย น้ำแม้นั้นก็พึงขังอยู่ได้ฉันใด. ครุธรรมเหล่านี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราบัญญัติเสียก่อนเพื่อประโยชน์จะไม่ให้นางภิกษุณีจงใจล่วงละเมิดในเมื่อเรื่องยังไม่เกิดขึ้น เพราะเมื่อเราไม่บัญญัติครุธรรมเหล่านั้น เพราะมาตุคามบวช พระสัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๕๐๐ ปี แต่ครุธรรมที่เราบัญญัติไว้เสียก่อน พระสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้อีก ๕๐๐ ปี รวมความว่าพระสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้เพียง ๑,๐๐๐ ปี ซึ่งได้ตรัสไว้ก่อนดังกล่าวมาฉะนี้.

    ก็คำว่า วสฺสสหสฺสํ นี้ ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเท่านั้น แต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระอนาคามี ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระสกทาคามี ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระโสดาบัน ปฏิเวธสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีโดยอาการดังกล่าวมานี้ แม้พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหมือนกัน. เพราะเมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็มีไม่ได้ แม้เมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็ไม่มี ก็เมื่อปริยัติธรรมแม้อันตรธานไปแล้ว เพศ (แห่งบรรพชิต) ก็จักแปรเป็นอย่างอื่นไปแล.
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=141

    ***********************************************************************
    มีพระพุทธพจน์ ตรัสชัดเจนครับว่า

    พระพุทธศาสนาจักตั้งมั่นอยู่ได้ "หนึ่งพันปี"  (๑๐๐๐ ปี)

    พระพุทธพจน์ (จาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓)

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ หากมาตุคามจักไม่ได้ออกบวชเป็น
    บรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์ก็ยังจะตั้งอยู่ได้นาน
    สัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๑,๐๐๐ ปี แต่เพราะมาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ใน
    ธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตั้งอยู่นาน ทั้งสัทธรรมก็จัก
    ดำรงอยู่เพียง ๕๐๐ ปี
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=23&A=5753&Z=5887

    คำว่า  พันปี  นั้น    พระองค์ตรัสด้วยอำนาจพระขีณาสพผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น.    แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง   จักตั้งอยู่สิ้นพันปี  ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ,   จักตั้งอยู่สิ้นพันปี    ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามี,     จักตั้งอยู่สิ้นพันปี    ด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี,จักตั้งอยู่สิ้นพันปี  ด้วยอำนาจพระโสดาบัน,  รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดห้าพันปี   ด้วยประการฉะนี้.

    พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๙



    อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สัมปสาทนียสูตร ที่กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

    “แต่วงศ์ของสมณะผู้นุ่งผ้าขาว ไม่สามารถจะดำรงศาสนาไว้ได้ ตั้งแต่กาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ
    1. ศาสนาดำรงอยู่ได้ตลอดพันปีด้วยภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทา
    2. ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้ทรงอภิญญา ๖
    3. ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้ทรงวิชชา ๓
    4.ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้เป็นสุกขวิปัสสกะ
    5. ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยเหล่าภิกษุผู้ทรงปาฏิโมกข์
    ก็ศาสนาย่อมมีอันทรุดลงตั้งแต่การแทงตลอดสัจจะของภิกษุรูปหลังๆ และแต่การทำลายศีลของภิกษุรูปหลังๆ”

    จะเห็นได้ว่านี่ กรณีที่เชื่อกันว่า พุทธศาสนาอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนี่ มีหลักฐานว่าเป็นเหตุการณ์ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า

    ส่วนในศาสนาของพระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้าใน พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ ภิกขุนิกขันธก วรรณนา กล่าวว่า อธิบายเรื่องที่พระพุทธเจ้าบัญญัติครุธรรม ๘ ประการให้พระนางปชาบดีโคตมี ก่อนบวชภิกษุณีว่า ถ้าไม่บัญญัติครุธรรม ๘ ประการ ศาสนาอยู่ได้ ๕๐๐ ปีแทนที่จะอยู่ได้ ๑,๐๐๐ ปี  ซึ่งตรงจุดนี้อรรถถาอธิบายว่า ๑,๐๐๐ ปีแบ่งเป็นช่วงๆ ดังนี้

    “แต่คำว่า พันปี นั้น พระองค์ตรัสด้วย
    - อำนาจพระขีณาสพผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น.
    แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง จักตั้งอยู่สิ้นพันปี
    - ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ,
    - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามี,
    - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี,
    - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจพระโสดาบัน,
    รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดห้าพันปี ด้วยประการฉะนี้”
    ****************************************************************************************
    เหตุการณ์เมื่อสมัยพุทธันดรล่วงมาแล้ว

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1661

    มหากัณหชาดก
    ว่าด้วย คราวที่สุนัขดำกินคน
                   พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภความประพฤติประโยชน์แก่สัตวโลก จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า กณฺโห กณฺโห จ โฆโร จ ดังนี้.
                   ความพิสดารมีว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งในธรรมสภาพรรณนาถึงพระคุณของพระทศพล ที่ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่สัตวโลกว่า
                   
    ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระศาสดาทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นจำนวนมาก ทรงละความผาสุกส่วนพระองค์เสีย ทรงประพฤติประโยชน์แก่สัตวโลกโดยส่วนเดียว จำเดิมแต่บรรลุพระปรมาภิสัมโพธิญาณแล้ว ทรงถือบาตรจีวรด้วยพระองค์เอง เสด็จพุทธดำเนินทางสิบแปดโยชน์ ทรงแสดงธรรมจักรแก่พระเถระปัญจวัคคีย์ ในดิถีที่ ๕ แห่งปักษ์ ตรัสอนัตตลักขณสูตร ประทานพระอรหัตแก่พระเถระปัญจวัคคีย์ทั้งหมด แล้วเสด็จไปอุรุเวลาประเทศ ทรงแสดงพระปาฏิหาริย์สามพันห้าร้อยแก่ชฎิลสามพี่น้อง ให้บรรพชาแล้วพาไปคยาสีสประเทศ ทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตร ประทานพระอรหัตแก่ชฎิลพันหนึ่ง เสด็จไปต้อนรับพระมหากัสสประยะทางสามคาวุต ประทานอุปสมบทด้วยโอวาทสามข้อ

                   ครั้งหนึ่ง เวลาปัจฉาภัตร เสด็จแต่พระองค์เดียวล่วงมรรคาสิบห้าโยชน์ ให้ปุกกุสาติกุลบุตรตั้งอยู่ในอนาคามิผล เสด็จไปต้อนรับมหากัปปินะ ระยะทางยี่สิบโยชน์ ประทานพระอรหัต

                   ครั้งหนึ่งเวลาปัจฉาภัตร เสด็จแต่พระองค์เดียวล่วงมรรคาสามสิบโยชน์ ให้พระองคุลีมาลซึ่งเป็นคนหยาบช้าตั้งอยู่ในพระอรหัต ครั้งหนึ่งเสด็จล่วงมรรคาสามสิบโยชน์ โปรดอาฬวกยักษ์ให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ทรงกระทำความสวัสดีแก่กุมารที่จะเป็นอาหารยักษ์

                   ครั้งหนึ่งเสด็จจำพรรษาในดาวดึงส์พิภพ ให้เทวดาแปดสิบโกฏิบรรลุธรรมาภิสมัย แล้วเสด็จไปพรหมโลก ทำลายทิฏฐิของพวกพรหม ประทานพระอรหัตแก่พวกพรหมหมื่นหนึ่ง เสด็จจาริกไปสามมณฑลตามลำดับปี ประทานสรณะและศีลแก่พวกมนุษย์ที่มีอุปนิสัยสมบูรณ์ ทรงประพฤติประโยชน์มีประการต่างๆ แม้แก่นาคและสุบรรณเป็นต้น.

                   พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตบรรลุอภิสัมโพธิญาณแล้วประพฤติเป็นประโยชน์แก่สัตวโลกในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์ แม้ในกาลก่อนเมื่อตถาคตยังมีกิเลสมีราคะเป็นต้น ก็ได้ประพฤติเป็นประโยชน์แก่สัตวโลกมาแล้วเหมือนกัน ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.

                   ในอดีตกาล ครั้งพระศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเจ้าอุสสินนรราชเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี เมื่อพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลื้องมหาชนให้พ้นจากเครื่องผูกพันคือกิเลส ด้วยจตุราริยสัจเทศนา ทำพระนครคือพระนิพพานให้เต็มแล้วเสด็จปรินิพพาน ครั้นกาลล่วงมานาน ศาสนาก็เสื่อม ภิกษุทั้งหลายเลี้ยงชีพด้วยการแสวงหาไม่สมควร ทำการเกี่ยวข้องกับพวกภิกษุณีจนมีบุตรธิดา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและพราหมณ์ ต่างละธรรมของตนเสียสิ้น โดยมากพวกมนุษย์ประพฤติอกุศลกรรมบถสิบ ผู้ที่ตายไปๆ จึงไปอัดแน่นกันอยู่ในอบาย.

                   ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชไม่เห็นเทวบุตรใหม่ๆ จึงตรวจดูมนุษยโลก ก็ทรงทราบว่า พวกมนุษยโลกไปเกิดในอบาย ทรงเล็งเห็นความที่ศาสนาของพระศาสดาเสื่อมโทรม ทรงดำริว่า จักทำอย่างไรดีหนอ ทรงเห็นอุบายมีอยู่อย่างหนึ่ง จึงตกลงพระทัยว่า เราจักต้องทำให้มหาชนกลัว สะดุ้งหวาดเสียว แล้วค่อยปลอบโยนแสดงธรรม ยกย่องพระศาสนาที่เสื่อมแล้วให้ถาวรต่อไปได้อีกพันปี รับสั่งให้มาตลีเทพบุตรแปลงเพศเป็นสุนัขดำใหญ่เท่าม้าอาชาไนย มีรูปร่างดุร้าย มีเขี้ยวโตเท่าผลกล้วย มีรัศมีร้อนเป็นไฟ พลุ่งออกจากเขี้ยวทั้งสี่ รูปพิลึกน่าสะพรึงกลัว หญิงมีครรภ์เห็นเข้าอาจแท้งลูก มีเชือกผูกอยู่ห้าแห่งคือที่เท้าทั้งสี่และที่คอ บนศีรษะประดับพวงดอกไม้แดง

                   ท้าวสักกะแปลงเพศเป็นนายพรานป่า นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด มุ่นผมข้างหน้าไว้ข้างหลังแล้วประดับพวงดอกไม้แดง มือขวาถือปลายเชือกที่ผูกสุนัข มือซ้ายถือธนูใหญ่มีสายมีสีดังแก้วประพาฬ กวัดแกว่งวชิราวุธด้วยพระนขา เหาะลงในที่ห่างพระนครโยชน์หนึ่ง ส่งเสียงขึ้นสามครั้งว่า มนุษย์ผู้เจริญทั้งหลาย โลกจักพินาศทำให้มนุษย์ทั้งหลายหวาดเสียว แล้วไปชานพระนครส่งเสียงขึ้นอีก พวกมนุษย์เห็นสุนัขนั้นก็หวาดเสียวพากันเข้าพระนคร กราบทูลความเป็นไปให้พระราชาทรงทราบ พระราชารับสั่งให้ปิดพระนครโดยด่วน ท้าวสักกะได้โดดข้ามกำแพงสูงสิบแปดศอก เข้าไปข้างในพระนครพร้อมกับสุนัข พวกมนุษย์กลัวสะดุ้งหวาดเสียว ต่างก็หนีเข้าเรือนปิดประตู ฝ่ายสุนัขดำใหญ่ก็วิ่งไล่พวกมนุษย์ที่ตนได้เห็น ทำให้พวกมนุษย์หวาดเสียวไปพระราชนิเวศน์.

                   พวกมนุษย์ที่พระลานหลวงพากันหนีไปด้วยความกลัวเข้าพระราชนิเวศน์แล้วปิดพระทวาร แม้พระเจ้าอุสสินนรราชก็พานางสนมทั้งหลายขึ้นปราสาท สุนัขดำใหญ่ยกเท้าหน้าขึ้นเกาะบานประตูแล้วเห่าลั่น เสียงที่สุนัขเห่าดังสนั่นเบื้องล่างถึงอเวจี เบื้องบนถึงภวัครพรหม สกลจักรวาลสะเทือนทั่วถึงกันหมด  เสียงดังเช่นนี้ได้มีในชมพูทวีปสามครั้ง คือ  เสียงของพระเจ้าปุณณกราช ใน ปุณณกชาดก ครั้งหนึ่ง เสียงของพระยาสุทัศนนาคราช ใน ภูริทัตชาดก ครั้งหนึ่ง และ เสียงในมหากัณหชาดกนี้ครั้งหนึ่ง ชาวพระนครพากันกลัวสะดุ้งหวาดเสียว แม้บุรุษคนหนึ่งก็ไม่อาจมาเจรจากับท้าวสักกะได้.

                   พระราชาเท่านั้นดำรงพระสติไว้มั่นคง เยี่ยมพระแกล เรียกท้าวสักกะมาตรัสว่า ดูก่อนนายพรานผู้เจริญ สุนัขของท่านเห่าเพื่ออะไร.

                   ท้าวสักกะตอบว่า เห่าด้วยความหิว

                   พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น เราจักให้ข้าวแก่สุนัข แล้วรับสั่งให้ให้ข้าวที่หุงไว้สำหรับคนในราชสำนักและสำหรับพระองค์ทั้งหมด สุนัขได้ทำข้าวทั้งหมดนั้นเหมือนกะเป็นข้าวคำเดียว แล้วก็เห่าขึ้นอีก

                   พระราชาตรัสถามอีก ทรงสดับว่า บัดนี้สุนัขของเรายังหิวอยู่ จึงรับสั่งให้นำอาหารที่หุงไว้สำหรับช้างม้าเป็นต้นทั้งหมดมาให้ สุนัขได้กินคำเดียวหมดเหมือนกัน รับสั่งให้ให้อาหารที่หุงไว้สำหรับพระนครทั้งสิ้น สุนัขได้กินอาหารนั้นโดยทำนองนั้นแหละ แล้วก็เห่าขึ้นอีก

                   พระราชาทรงตกพระทัยสะดุ้งกลัว ทรงดำริว่า นี่เห็นจะไม่ใช่มนุษย์ ต้องเป็นยักษ์โดยไม่ต้องสงสัย เราจะถามเหตุที่มาของนายพรานนี้
                   เมื่อจะตรัสถามได้ตรัสคาถาที่ ๑ ว่า

                   ดูก่อนท่านผู้มีความเพียร สุนัขตัวนี้ดำจริง ดุร้าย มีเขี้ยวขาว มีความร้อนพุ่งออกจากเขี้ยว ท่านผูกไว้ด้วยเชือกถึง ๕ เส้น สุนัขของท่านจะทำอะไร.

                   บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กณฺโห กณฺโห ความว่า เปล่งเสียงซ้ำด้วยอำนาจความกลัว หรือด้วยอำนาจกรรมอันมั่น. บทว่า โฆโร ได้แก่ ให้เกิดความกลัวแก่ผู้ได้พบเห็น. บทว่า ปตาปวา ความว่า มีแสงร้อน ด้วยความร้อนแห่งรัศมีที่พลุ่งออกมาจากเขี้ยวทั้งหลาย. บทว่า กึ วีร ความว่า พระราชาตรัสอย่างนั้นด้วยทรงพระประสงค์ว่า ดูก่อนท่านผู้มีความเพียร สุนัขตัวดุร้ายของท่านเห็นปานนี้นั้น ทำอะไร มันจับมฤคกินหรือจับอมิตรให้ท่าน ท่านจะประโยชน์อะไรด้วยสุนัขตัวนี้ จงปล่อยมันไปเถิด.

                   ท้าวสักกะได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า

                   ดูก่อนพระเจ้าอุสินนระ สุนัขนี้มิได้มาเพื่อต้องการกินเนื้อ แต่เพื่อจะกินมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อใดจักมีมนุษย์ทำความพินาศให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อนั้นสุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินมนุษย์.

                   คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า ก็สุนัขตัวนี้มิได้มาในที่นี้ด้วยหวังว่า จะกินเนื้อมฤค เพราะฉะนั้นจะไม่มีประโยชน์สำหรับพวกมฤค แต่มาเพื่อจะกินเนื้อมนุษย์ เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะทำความฉิบหายความพินาศให้แก่มนุษย์เหล่านั้น เมื่อใด ผู้นั้นทำพวกมนุษย์ให้ถึงความพินาศ เมื่อนั้น สุนัขดำนี้ย่อมหลุด คือจักหลุดจากมือของเราไปกินผู้นั้น.

                   ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามท้าวสักกะว่า ดูก่อนนายพรานผู้เจริญ สุนัขดำของท่านจักกินเนื้อมนุษย์ทุกคน หรือว่าจักกินแต่ผู้ที่มิใช่มิตรของท่านเท่านั้น

                   ท้าวสักกะตอบว่า ดูก่อนพระราชาผู้ใหญ่ สุนัขจักกินเนื้อมนุษย์ที่มิใช่มิตรของเราเท่านั้น.

                   คนเช่นไร ที่มิใช่มิตรของท่านในที่นี้.

                   คนที่ไม่ยินดีในธรรม มีความประพฤติไม่เรียบร้อย ชื่อว่าผู้มิใช่มิตร.

                   ขอท่านจงกล่าวลักษณะคนเหล่านั้นให้เราทราบก่อน.

                   ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะตรัสบอกแก่พระราชา ได้ตรัสพระคาถาสิบคาถาว่า

                   ผู้ที่ปฏิญาณตนว่าเป็นสมณะมีบาตรในมือ มีศีรษะโล้น คลุมผ้าสังฆาฏิ ทำไร่ไถนาเลี้ยงชีพ คนเหล่านี้เป็นคนทุศีล มิใช่มิตรของเรา สุนัขของเราจักฆ่ากินเนื้อได้เมื่อใด สุนัขดำจะหลุดจากเชือกห้าเส้นไป เมื่อนั้น.

                   เมื่อใด จักมีหญิงผู้ปฏิญาณตนว่ามีตบะ บวชมีศีรษะโล้น คลุมผ้าสังฆาฏิ เที่ยวบริโภคกามคุณอยู่ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินหญิงเหล่านั้น.

                   เมื่อใด ชฎิลทั้งหลายมีหนวดอันยาว มีฟันเขลอะ มีศีรษะเกลือกกลั้วด้วยธุลีเที่ยวภิกขาจาร รวมทรัพย์ไว้ให้กู้ ชื่นชมยินดีด้วยดอกเบี้ยเลี้ยงชีพ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินชฎิลเหล่านั้น.

                   เมื่อใด พราหมณ์ทั้งหลายเรียนเวทคือสาวิตติศาสตร์ ยัญญวิธีและยัญญสูตร แล้วรับจ้างบูชายัญ เมื่อนั้น สุนัขดำเหล่านี้จะหลุดไปกินพราหมณ์เหล่านั้น.

                   เมื่อใด ผู้มีกำลังสามารถจะเลี้ยงดูมารดาบิดาได้ แต่ไม่เลี้ยงดูมารดาบิดาผู้แก่เฒ่าชรา เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินคนเหล่านั้น.

                   อนึ่ง เมื่อใด ชนทั้งหลายจักกล่าวดูหมิ่นมารดาบิดาผู้แก่เฒ่าชราว่า เป็นคนโง่เง่า เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินคนเหล่านั้น.

                   อนึ่ง เมื่อใด คนในโลกจะคบหาภรรยาของอาจารย์ ภรรยาเพื่อน ป้าและน้าเป็นภรรยา เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินคนเหล่านั้น.

                   เมื่อใด พวกพราหมณ์จักถือโล่และดาบ คอยดักอยู่ที่ทางฆ่าคนชิงเอาทรัพย์ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินพราหมณ์เหล่านั้น.

                   เมื่อใด นักเลงหญิงทั้งหลาย ขัดสีผิวกายบำรุงร่างกายให้อ้วนพี ไม่รู้จักหาทรัพย์ ร่วมสังวาสกับหญิงหม้ายที่มีทรัพย์ ครั้นใช้สอยทรัพย์ของหญิงหม้ายนั้นหมดแล้ว ก็ทำลายมิตรภาพไปหาหญิงอื่นต่อไป เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินนักเลงหญิงเหล่านั้น.

                   เมื่อใด คนผู้มีมารยา ปกปิดโทษตน เปิดเผยโทษผู้อื่น คิดให้ทุกข์ผู้อื่น มีความคิดอย่างอสัตบุรุษอยู่ในโลก เมื่อนั้น สุนัขดำจะหลุดพ้นจากเชือก ๕ เส้นไปกินคนเหล่านั้นทั้งหมด.

                   บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมณกา ความว่า ท้าวสักกเทวราชตรัสอย่างนี้โดยโวหารว่าละอายเพียงปฏิญาณตนว่า เราเป็นสมณะ. บทว่า กสิสฺสนฺติ ความว่า คนเหล่านั้นย่อมทำไร่ไถนาเลี้ยงชีพอย่างเดียว แม้ในเวลานั้น ก็ท้าวสักกะทำเป็นเหมือนไม่รู้จึงกล่าวอย่างนี้. จริงอยู่ ท่านมีประสงค์ดังนี้ว่า คนเหล่านี้ คือเห็นปานนี้ เป็นคนทุศีล ไม่ใช่เป็นมิตรของเรา เมื่อใด สุนัขของเราจักฆ่ากินเนื้อคนเหล่านี้ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ ย่อมหลุดพ้นจากเชือก ๕ เส้นนี้.

                   ด้วยอุบายนี้ พึงทราบประกอบอธิบายในคาถาทั้งปวง.

                   บทว่า ปพฺพชิตา ได้แก่ เป็นผู้บวชในพระพุทธศาสนา. บทว่า คมิสฺสนฺติ ความว่า เที่ยวบริโภคกามคุณ ๕ ในท่ามกลางเรือน. บทว่า ทีฆุตฺตโรฏฺฐา ความว่า ชื่อว่า มีริมฝีปากสูงยาว เพราะมีเขี้ยวโต. บทว่า ปงฺกทนฺตา ได้แก่ ฟันประกอบด้วยมลทินดังเปือกตม. บทว่า อิณํ โมทาย ความว่า รวบรวมทรัพย์ด้วยภิกขาจารประกอบหนี้ด้วยความเจริญ ยินดีการทำเช่นนั้น เลี้ยงชีพด้วยทรัพย์ที่ได้มาจากภิกขาจารนั้นไปในกาลใด. บทว่า สาวิตฺตึ ได้แก่เรียนเวทคือสาวัตติศาสตร์. บทว่า ยฺํ ตตฺรฺจ ได้แก่ เรียนยัญญวิธี และยัญญสูตรในที่นั้น. บทว่า ภติกาย ความว่า พวกพราหมณ์เหล่านั้นเข้าไปหาพระราชาและราชมหาอำมาตย์ แล้วบูชายัญเพื่อต้องการค่าจ้างอย่างนี้ว่า เราจักบูชายัญเพื่อท่าน ท่านจงให้ทรัพย์แก่เรา. บทว่า ปหุสนฺตา ความว่า เป็นผู้สามารถเพื่อพอกเลี้ยง.

                   บทว่า พาลา ตุมฺเห ความว่า คนพาลทั้งหลายกล่าวคำเป็นต้นว่า ท่านทั้งหลายไม่รู้อะไร. บทว่า คมิสฺสนฺติ ความว่า จักไปด้วยอำนาจการเสพโมกขธรรม. บทว่า ปนฺถฆาฏํ ความว่า ยืนอยู่ในทางเปลี่ยว แล้วปล้นฆ่าพวกมนุษย์ ยึดเอาสิ่งของๆ พวกมนุษย์เหล่านั้น. บทว่า สุกฺกจฺฉวี ความว่า นักเลงหญิงทั้งหลายตบแต่งด้วยการขัดสีด้วยจุณน้ำฝาดเป็นต้น มีผิวพรรณขาว. ในบทว่า เวธเวรา ที่ชื่อว่านักเลงหญิงเพราะอรรถว่าประพฤติเป็นเวรกับหญิงหม้าย คือหญิงผัวตายเหล่านั้น. บทว่า ถูลพาหุ ความว่า มีร่างกายอ้วนพีด้วยการบำรุงร่างกายเป็นต้น มีการนวดขยำเท้าเป็นต้น. บทว่า อปาตุภา ความว่า เพราะไม่ปรากฏ คือเพราะไม่ทำทรัพย์ให้เกิด.

                   บทว่า มิตฺตเภทํ แปลว่า ทำลายมิตร. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. ท่านกล่าวอธิบายคำนี้ไว้ว่า เมื่อใดนักเลงหญิงเห็นปานนี้คิดว่า หญิงเหล่านี้จักไม่ละพวกเรา จึงเข้าไปหาหญิงหม้ายผู้มีเงินร่วมสังวาสกัน เคี้ยวกินทรัพย์ของหญิงเหล่านั้น จักทำลายมิตรกับหญิงเหล่านั้น ทำลายความคุ้นเคยไปหาหญิงอื่นผู้มีทรัพย์ เมื่อนั้น สุนัขดำนี้จะหลุดไปกินคนเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นโจร.

                   บทว่า อสปฺปุริสจินฺติกา ความว่า มีปกติคิดอย่างอสัตบุรุษ คือคิดทำร้ายผู้อื่น.
                   เมื่อนั้น สุนัขดำหลุดออก ฆ่าพวกเหล่านั้นหมด กัดกินเนื้อแล.

                   ก็แหละครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกะได้ตรัสว่า ดูก่อนมหาราช คนเหล่านี้ไม่ใช่มิตรของเรา แล้วทรงแสดงสุนัขทำเป็นอยากจะวิ่งไปกัดพวกอธรรมนั้นๆ ขณะนั้น มหาชนมีจิตหวาดกลัว ท้าวสักกะทำเป็นฉุดเชือกรั้งสุนัขไว้ แล้วละเพศนายพราน เหาะขึ้นไปในอากาศดังดวงอาทิตย์แรกขึ้น รุ่งเรืองอยู่ด้วยอานุภาพของพระองค์ แล้วตรัสว่า
                   ดูก่อนมหาราช เราคือท้าวสักกเทวราช มาด้วยเห็นว่าโลกนี้จักพินาศ เพราะเดี๋ยวนี้ มหาชนพากันประมาทประพฤติอธรรม ตายไปๆ แออัดอยู่ในอบาย เทวโลกดุจว่างเปล่า ตั้งแต่นี้ไป เราจักรู้สิ่งที่ควรทำสำหรับผู้ไม่ประพฤติธรรม ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิดพระมหาราช แล้วทรงแสดงธรรมด้วยพระคาถาที่มีค่าตั้งร้อยสี่พระคาถาให้มนุษย์ทั้งหลายตั้งอยู่ในธรรมและศีล ทำพระศาสนาที่เสื่อมโทรมให้สามารถเป็นไปได้อีกพันปี แล้วพามาตลีเสด็จไปยังพิมานของพระองค์.

                   พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดง แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราประพฤติประโยชน์แก่โลก แม้ในกาลก่อนอย่างนี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า
                   มาตลีเทพบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์
                   ส่วนท้าวสักกะได้มาเป็น เราตถาคต แล.


                   จบอรรถกถามหากัณหชาดกที่ ๖


    หรือใครคิดว่าเหตุการณ์ใน มหากัณหชาดก นี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ว่าด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไฮเทค ศิวิไลซ์ตระการตา

    สงสัยจะลืมคิด หรือคิดไม่ออก ด้วยหวังว่าพระพุทธศาสนาจะไม่มีวันล่มสลายไปจากโลกอยู่อย่างถาวรตลอดเวลา เขาคงลืมคิดว่าในพุทธันดรนี้ ภัทรกัปป์นี้ เราได้มาเกิดในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ แล้ว พระองค์ก็ทรงตรัสแล้วว่าพระองค์ไม่ทรงพยากรณ์เรื่องแบบนั้น แล้วไปสรุปเองได้ยังไง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2016
  3. zipp

    zipp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +142
    อ สมภพ คำทำนายของพระอรหันต์
     
  4. zipp

    zipp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +142
    ตอนเล็กๆจําได้ว่าประเทศไทยฉลอง๒๕๐๐กันทั้งประเทศ คราวนี้ถ้าหมายถึง๒๕๖๐คือ๒๕๐๐ที่แท้จริงเราก็ควรจะทําบุญเพื่อเป็นศิริมงคลกันอีกครั้ง จริงไหมท่าน
     
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204

    และต่อจากนั้นอย่าลืมทำทุกวันต่อจากนั้น ให้เป็นวันมงคลสำหรับตนเองและบุคคลอันเป็นที่รักต่อไปจนสิ้นกาล



    สติมโต  สทา  ภทฺทํ
    คนผู้มีสติ มีความเจริญทุกเมื่อ

    สติมา  สุขเมธติ
    คนมีสติ ย่อมได้รับความสุข

    สติมโต  สุเว  เสยฺโย
    คนมีสติ เป็นผู้ประเสริฐทุกวัน



    สุปุพพัณหสูตร
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกายประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเที่ยง เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจาประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของสัตว์เหล่านั้น

                              สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี และบูชาดีในพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย กายกรรมเป็นส่วนเบื้องขวา วจีกรรมเป็นส่วนเบื้องขวา มโนกรรมเป็นส่วนเบื้องขวาความปรารถนาของท่านเป็นส่วนเบื้องขวา สัตว์ทั้งหลายทำกรรมอันเป็นส่วนเบื้องขวาแล้ว ย่อมได้ผลประโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องขวา ท่านเหล่านั้นได้ประโยชน์แล้ว จงได้รับความสุข จงงอกงามในพระพุทธศาสนา จงไม่มีโรค ถึงความสุข พร้อมด้วยญาติทั้งมวล

    จบมังคลวรรคที่ ๕


    ขอให้มีความสุขความเจริญในรสพระธรรมครับ

    ***************************************************************************************

    คึกฤทธิ์แห่งสำนักวัดนาป่าพง หมิ่น มโนมยิทธิญาณ ที่หลวงพ่อฤษีแสดงไว้ ว่า ไม่มีส่วนได้แห่งมรรคผล เป็นเรื่องปรุงแต่ง

    ตรวจสอบด้วยนะครับ ทำเล่ห์จ้องเล่นงานโดยเฉพาะ

    [ame]https://youtu.be/SdjCBRxIIZU[/ame]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2016
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระคำข้าว อีกไม่เกินปี พ.ศ.2565 ราคาองค์ละเป็นแสน !!!

    [​IMG]

    kim9 สมาชิก

    พระคำข้าวกับ คำพยากรณ์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ครั้งแรก ที่ได้รับฟัง รื่อง วัตถุมงคลที่สามารถป้องกันภัย ได้ถึง ปรมณู นิวเคลียร์ และ รังสี ที่กระผมเอง มีประสบการณ์ตรง เป็นอันดับแรก ก็คือ....เมื่อปี พ.ศ.2535 ที่บ้านสายลม สะพานควาย ประมาณสัก 2-3 เดือน ก่อนที่องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ(หลวงพ่อฤาษีฯ) จะละสังขาร ท่านได้บอกให้ญาติโยมที่มาถวายสังฆทาน และท่านก็แจกพระคำข้าว ว่า....(กราบขอขมาตรง ต่อองค์หลวงพ่อฯ ที่ไม่สามารถจดจำได้ทุกคำพูด)

    “..เอ่อ โยม พระคำข้าว เนื้อขาว ๆ เก็บไว้ให้ดีน่ะ ทำได้ยาก ทำพิธีเหมือนกับพิธีของสมเด็จโตฯ อีกไม่เกิน 30 ปี ราคาองค์ละเป็นแสน..”

    พระคำข้าว และวัตถุมงคลขององค์หลวงพ่อฯ ที่ทำพิธีพุทธาภิเศก หากจำไม่ผิด เท่าที่อ่านพบมา ท่านก็ยืนยันมานานแล้ว ตั้งแต่ ปี 2521 เป็นต้นมาว่า วัตถุมงคลที่ท่านทำพิธีพุทธาภิเศก นั้น ท่านก็เพียงนั่งในพิธีเฉย ๆ เรื่องพิธีปลุกเสก เป็นเรื่องของ “พระ” ท่านเป็นผู้ทำเอง และ “พระ” ก็รับรองว่า วัตถุมงคลทุกชิ้น สามารถป้องกันภัยได้ทุกอย่าง ตลอดไปจนถึง ปรมณู นิวเคลียร์ และ รังสี

    ความจริง เรื่องวัตถุมงคลขององค์หลวงพ่อฯ คงไม่ต้องกล่าวกันมากไป
    เพราะว่า ศิษยานุศิษย์ขององค์หลวงพ่อฯ ต่างก็รับรู้กันโดยทั่วไปอยู่แล้ว
    ที่ผมพูด.... นั่นมันเป็นเรื่องปัจจุบัน ที่จะเกี่ยวพันไปถึงในอนาคต....

    คือว่า เมื่อถึงเวลาที่เกิดเหตุเภทภัย คนก็ต่างแตกตื่น หาบูชากัน....
    อันดับแรก ของที่วัดฯ ก็จะหมดไป อย่างรวดเร็ว....

    ผมพูดว่า "จะหมดไปอย่างรวดเร็ว" ก็ไม่ใช่เพราะใครหรอกครับ....
    บรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ พวกเรา นี่แหละครับ....

    บุคคลในคณะอื่น ๆ ต่างก็ขวนขวายของครูบาอาจารย์ของตัวเอง เขาก็จะไม่มาสนใจของพ่อฯ ของพวกเรา....

    ที่วัตถุมงคลรุ่นที่ทันองค์หลวงพ่อฯ ยังมีเหลืออยู่เยอะ ก็เพราะว่า....
    1. บรรดาศิษยานุศิษยื ต่างก็มีกันมากอยู่แล้ว เพราะว่า เมื่อทำบุญ องค์หลวงพ่อก็แจก
    2. ไม่ได้รับแจกก็จริงอยู่ แต่ความศรัทธาก็สะสมไว้ครบถ้วน มากอยู่แล้ว ราคาบูชาก็ถูก....

    (ดังนั้น เมื่อตัวเองมีมาก มีราคาทุนเพียง 10 บาท จะไปบูชา 1,600 บาท ทำไมอีก มีเยอะแล้ว....)

    เพราะว่า ก่อน 30 ตุลาคม 2535 ราคาวัตถุมงคลจะถูกกว่านี้อย่างน้อย 16 เท่าตัว

    ยกตัวอย่างเฉพาะ "พระคำข้าว" (จริง ๆ แล้ว ราคาวัตถุ อื่น ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกัน)
    ตั้งแต่ ปี 2533 - 2534 "พระคำข้าว" ราคาองค์ละ 10.- บาท(สิบบาทถ้วน)
    พอปลายปี 2534 องค์หลวงพ่อก็สั่ง ออกไมค์ บอกลูกหลานให้เตรียมตัวกันก่อน ว่า....
    ใครจะบูชาวัตถุมงคล ก็ให้รีบบูชาน๊ะ ปี 2535 ราคราจะขึ้น ราคาจะเปลี่ยนแปลง พระคำข้าวจะขึ้นเป็น 100 บาท....

    พอถึง 1 มกราคม 2535 ราคาก็ถูกปรับให้เปลี่ยนเป็นไปตามที่ท่านพูด คือ

    "พระคำข้าว" บูชา 100 บาท....

    แต่หากทำบุญสังฆทาน 100 บาท ท่านก็ยังแจกพระคำข้าว ให้อยู่ดี....

    (ข้อนี้ ผมมานั่งตึกตรองภายหลังว่า ท่านบอกใบ้ให้แล้ว ว่าปีนี้-2535- ท่านคงไม่อยู่กับพวกเราต่อแน่ ๆ)

    ราคาวัตถุ อื่น ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปพร้อม ๆ กัน

    คำสั่งก่อนมรณภาพ เกี่ยวกับวัตถุมงคล คือ....

    เมื่อท่านละสังขาร ครบ 3 วัน ให้ปรับราคาวัตถุมงคล ขึ้นเป็น 2 เท่าตัว(พระคำข้าวเป็น 200 บาท)

    เมื่อท่านละสังขาร ครบ 7 วัน ให้ปรับราคาวัตถุมงคล ขึ้นเป็น 4 เท่าตัว(พระคำข้าวเป็น 400 บาท)

    เมื่อท่านละสังขาร ครบ 30 วัน ให้ปรับราคาวัตถุมงคล ขึ้นเป็น 8 เท่าตัว(พระคำข้าวเป็น 800 บาท)

    เมื่อท่านละสังขาร ครบ 50 วัน ให้ปรับราคาวัตถุมงคล ขึ้นเป็น 16 เท่าตัว(พระคำข้าวเป็น 1,600 บาท)

    และให้ทรงราคาอยู่ที่ 16 เท่าตัว....

    นับแต่นั้นพวกเราจึงเห็นราคาบูชาทุกอย่างที่เพิ่มขึ้น 16 เท่าตัว(ตัวเลข 16 ผมเดาว่าเกี่ยวเนื่องกับอสงไขบารมีของท่าน)

    และก็พบว่าเป็นการขึ้นราคาที่เหมาะสม สงเคราะห์ แก่ลูกหลาน ลูกศิษย์จริง ๆ เพราะว่า....

    1. หากไม่ขึ้นราคา เช่นราคา พระคำข้าวยังเท่าเดิมที่ 10 บาท หรือแม้แต่ 100 บาท
    ถามว่า จะมีพระคำข้าว และวัตถุมงคล หลงเหลือ อยู่ที่วัดอีกหรือ คนหลัง ๆ ที่มา จะเป็นอย่างไร....

    2. วัตถุมงคลทั้งหมด จะเป็นสิ่งที่ช่วยทำนุ บำรุง ซ่อมแซม อาคาร วิหาร ของวัด ในอนาคต

    3. ต่อมา ผมจำไม่ได้ว่าปีอะไร น่าจะประมาณ 2538 เศรษฐกิจกระเจิง ตกต่ำมาก....
    บรรดาศิษย์ที่มีวัตถุมงคลอยู่เป็นจำนวนมาก ก็จำต้องทยอยนำออกมาให้เช่าบูชากันบ้าง เพื่อบรรเทาฐานะทางครอบครับ....
    นับว่าท่าน เห็นด้วยญานอันสุดยอดเยี่ยม และเมตตาลูกหลานมาก....

    ท่านที่มีความรังเกียจว่า ลูกศิษย์ที่นำเอาวัตถุขององค์หลวงพ่อมาขาย ก็พึงเห็นใจกัน ในส่วนนี้....

    เคยมีคนถามปัญหาต่อ องค์หลวงพ่อฯ ที่บ้านสายลม(ผมนั่งอยู่ที่นั่นด้วย) ว่า....
    ไม่กล้าขายพระ กลัวบาป....
    องค์หลวงพ่อฯ ท่านบอกว่า "อนุญาติให้ขายได้"

    ผมว่าถึงท่านจะไม่บอกอนุญาต ผมก็ว่าน่าจะขายได้อยู่แล้ว
    เพราะว่า....
    องค์หลวงพ่อฯ เคยบอกญาติโยม และลูกศิษย์ว่า "พระคำข้าว เนื้อสีขาว ๆ น่ะ ทำด้วยความยาก
    ทำด้วยวิธีเดียวกับพระของสมเด็จโตฯ อีกไม่เกิน 30 ปี ราคาองค์ละเป็นแสน...." (ท่านพูดในปี 2535)

    ท่านบอกว่าราคาองค์ละเป็นแสน นี่ ถ้าไม่มีการซื้อ-ขาย จะเป็นแสน ได้อย่างไร ใช่ไหมครับ

    ผมก็มานั่งตรอง นั่งตรึก ครุ่นคิดเอาเองว่า(นี่ ผมคิดเองน๊ะ)
    ที่ องค์หลวงพ่อฯ กล่าวไว้นั้น ผมก็ว่า ยังน้อยไป ราคาเป็นแสน ไม่ใช่ราคา 1 แสน จริงไหม....
    ราคาอาจะเป็น 10 แสน 100 แสน ก็ได้ ใช่ไหมครับ....
    แต่หากว่าท่าน บอกราคาจริง ๆ ออกไป ก็คงจะแตกตื่นกันวุ่นวายไป....

    แล้วราคาพระคำข้าวในปัจจุบัน 1,600 บาท จะเปลี่ยนเป็น 10 แสน 100 แสน ได้อย่างไรครับ....
    ถ้าพุทธานุภาพไม่ปรากฎ ใครที่ไหนจะเช่าบูชากันครับ ราคาขนาดนี้ คนไทยจะเช่ากันทั้งหมดหรือ....
    นี่ ก็เป็นการบอกเป็น นัย ๆ

    ให้พวกเราได้คิดกันเอาเอง นะครับว่า....

    มหาสงคราม จะเกิดขึ้น หรือไม่เกิด...

    แล้วพระคำข้าว ท่านทำพิธีไว้ 5 ล้านองค์....
    คนอื่น ก็จะมองว่า วัตถุมงคลที่สร้าง ครั้งละ ตั้ง 5 ล้านองค์ จำนวนมากขนาดนี้ ถึงจะดัง ราคาก็ต้องไม่แพง....

    แล้วใครที่ไหนจะมาเช่าบูชา 5 ล้านองค์ คิดเพียงองค์ละ 1 แสน นี่ต้องใช้เงินเช่าบูชาถึง 5 แสน ล้านบาท....

    นี่คิดเฉพาะพระคำข้าวน๊ะ ไหนจะพระหางหมาก เหรียญ และอื่น ๆ อีกเยอะแยะ ...จะเอาเงินมาจากไหนมาบูชา....

    จริง ๆ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น....
    แต่ทว่าตามความรู้สึกของผม ผมว่า 5 ล้านองค์ นั้น มันน้อยไป สำหรับประชากรประเทศไทย และประชากรโลก....
    ก็ต้องติดตามกันต่อไป ..

    ที่พูดมานี้ ก็ไม่ได้บอกให้เชื่อ นะครับ....
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสสอนว่า อย่าให้เชื่อโดยง่าย ค่อย ๆ ใคร่ครวญ พิจารณา ให้ดีเสียก่อน....

    อย่างไรก็ตามไม่เกิน 30 ปี ขององค์หลวงพ่อฯ ที่ท่านกล่าวไว้ ก็คงไม่เกิน 2565
    ก็คงไม่นานเกินรอ ที่จะพิสูจน์ความจริง ยกเว้น ผมเอง และเรา ได้ตายไปเสียก่อน....
    เพราะความตายมันก็ ไม่แน่นอน ว่าจะตายเมื่อไร .... แต่มัน แน่นอน ว่า จะต้อง ตาย....

    มาเข้าเรื่องเดิม.... ที่ว่าวัตถุมงคลที่ทันสมัยองค์หลวงพ่อฯ ท่านทำพิธี ก็ยังมีอยู่มากที่วัดฯ....
    ถามว่า หากเกิดเภทภัย จริง ตูมมา แตกตื่นกันโดยทั่วไป....

    วัตถุมงคลที่วัด ก็จะมีอภิญญา กล่าวคือ หายวับ ไปกับตา....
    คือว่า บรรดาศิษย์ นี่แหละ จ้องกันอยู่แล้ว 1,600 ก็ 1,600 เหอะ จะเหลือหรือ....?

    *********************************************

    ปี นี้ปี 2554 แล้วน๊ะครับ รีบเช่าหากันซะ หลวงพ่อมรณะภาพ ไปแล้ว 18 ปี ซึ่งอีกแค่ไม่กี่ปี เท่านั้น พระคำข้าวของหลวงพ่อราคาจะองค์ละเป็นแสน

    ตามคำพยาการณ์ของหลวงพ่อ

    เพราะ อีกไม่นานจะเกิดภัยพิบัติร้ายแรง กับสงครามครั้งใหญ่มากครับ
    .............. ใครที่เชื่อก็เก็บพระคำข้าวของหลวง พ่อเอาไว้เยอะๆน๊ะ ราคาตอนนี้แค่องค์ละ 4-5 ร้อยจากเมื่อก่อนองค์ละ 10 บาท แล้วอีกไม่เกิน 2 ปีราคาจะองค์ละเป็นแสน(เพราะเกิดสงคราม และภัยพิบัติ ใหญ่ครับ)

    ใครเชื่อก็ดีครับ แต่ถ้าไม่เชื่อก็ทำใจเอาไว้เลยน๊ะครับ
    เพราะ เมื่อถึงเวลานี่ จะหาไม่ได้อีกแล้วน๊ะครับ เพราะลูกศิษย์หลวงพ่อตามเก็บหมด ไม่มีเหลือหรอกครับ อย่าหาว่าไม่เตือนน๊ะครับ

    เพราะถ้าหลวงพ่อพยากรณ์เอาไว้นี่เกิดขึ้นตรงหมดทุกอย่างครับ อย่างเรื่องบ่อน้ำมัน
    หลวง พ่อบอกว่ามี มีบ่อใหญ่ซะด้วย ซึ่งเมื่อ สมัย 20 - 30 ปีที่ผ่านมาไม่มีคนเชื่อหลวงพ่อซักคนครับ ตอนนี้อยากจะหัวเราะให้ฟันหาย ก็ในเมืองไทยผลิตน้ำมันเองกันแล้วครับ เพราะเค้าค้นพบบ่อน้ำมันในเมืองไทยกันแล้วน่ะครับ ส่วนเรื่องภัยพิบัติ กับสงครามครั้งใหญ่นี่เกิดขึ้นแน่ๆครับ ร้ายแรงมากด้วยเอาไปคิดพิจารณาให้ดีๆน๊ะครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่บอกเน้อ.....!!

    ผมยังคิดอยู่เลยว่าถ้าถึงตอนนั้นคนคงจะแย่งกันไปบูชาที่วัดกันหมด 1,600 ก็ 1,600 เถอะ เอามาคุ้มครองตัวเองให้รอดตายก่อน หมดจากวัดแน่ๆ
    พระของหลวงพ่อฤาษีนั้น ถ้าใจเชื่อพระรัตนตรัยอย่างเต็มหัวใจ พระของท่าน จะเป็นพระอะไรก็ตาม กันได้หมดครับ

    พระของท่านกันได้ทุกอย่าง ในอนาคตพระของท่านราคา จะสูงมาก แลกกับ รถเบ็นซ์ ก็ยังได้.......!!

    สมเด็จฟื้น วัดสามพระยา ท่านเคยกล่าวกับ ลูกศิษย์หลวงพ่อที่กราบนมัสการทำบุญกับท่านเป็นการส่วนตัว ท่านบอกว่า พระคำข้าววัดท่าซุง ต่อไปจะแพงมาก ไม่ใช่แค่องค์ละแสน อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีกล่าวไว้เท่านั้น แต่ราคาบูชาในอนาคตอันใกล้ องค์ละหลายสิบล้าน เลยนะครับ เก็บกันดีดีนะครับ ใครยังไม่มี ตอนนี้ยังพอบูชาได้ ในอนาคตอันใกล้ ราคาแพง จะหาบูชากันไม่ได้นะครับ รีบๆๆหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่า น้องชายคนนี้ ไม่เตือน ไม่ได้นะครับ !

    ที่มา http://palungjit.org/threads/พระคำข้าวกับ-คำพยากรณ์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ.287153/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 10photo2.1.jpg
      10photo2.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      149.3 KB
      เปิดดู:
      1,371
    • kao-mak.JPG
      kao-mak.JPG
      ขนาดไฟล์:
      93.9 KB
      เปิดดู:
      91
    • ppwtz33.jpg
      ppwtz33.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.7 KB
      เปิดดู:
      86
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2016
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ข้อมูลข่าวสาร ที่เกี่ยวข้องกับ เหตุการณ์ในห้วงกึ่งพุทธกาลตามคำทำนาย เริ่มกระจายไปแห่งหนต่างๆตามกาลมาโดยตลอดเวลา แสดงให้เห็นซึ่งทัศนคติและสติปัญญา ในการไตร่ตรองตามความคิดความเชื่อของแต่ละบุคคล ผู้มีปัญญาในธรรมส่งเสริมบุญมาดี ก็ได้ประโยชน์ มีดวงตาและจิตใจ ที่ไม่มืดบอด ย่อมเล็งเห็นประโยชน์ เห็นดี เห็นไม่ดี และสามารถ รู้จักแยกแยะ พิจารณาดีหรือชั่วได้อย่างละเอียด ตามความเพียรปัญญาของตน เสมือนคนร่อนกรวดหา แร่ทองและเพชรพลอย ที่อยู่ในโคลนตม ย่อมได้ซึ่งแร่ธาตุและอัญมณีนั้นฯ

       พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑
               
    บทว่า  ปุพฺเพ  จ   กตปุญฺญตา - ความเป็นผู้ทำบุญไว้ในกาลก่อน  ได้แก่   ความเป็นผู้สะสมกุศลไว้ในกาลก่อน.    นี้เป็นข้อกำหนดในบทนี้.   กุศลกรรมที่ทำด้วยจิตสัมปยุตด้วยญาณ    กุศลนั้นนั่นแหละ ย่อมนำบุรุษนั้นเข้าไปในประเทศอันสมควร ให้คบสัตบุรุษ    บุคคลนั้นนั่นแหละ.  ย่อมตั้งตนไว้ชอบ.

    จักกสูตร

    ความเป็นผู้มีกุศลอันสั่งสมไว้ในกาลก่อน   ชื่อว่า   ปุพฺเพ  จ  กตปฺญฺญตา   ความเป็นผู้ทำบุญมาก่อน. ข้อนี้แหละถือเอาเป็นประมาณในจักร ๔ นี้. เพราะว่ากุศลกรรมเท่านั้นอันคนใดด้วยจิตที่สัมปยุตด้วยญาณอันใด  กุศลจิตนั้น แหละย่อมนำคนนั้นเข้าไปอยู่ในถิ่นที่เหมาะ  ให้เขาคบหาสัตบุรุษ   ก็บุคคลนั้น ชื่อว่า  ตั้งคนไว้ชอบด้วยอาการอย่างนี้.


    มหามังคลชาดก

          ความสวัสดีเหล่านี้แล ผู้รู้สรรเสริญแล้ว  มีสุขเป็นผลกำไรในโลก  นรชนผู้มีปัญญาพึงเสพความสวัสดีเหล่านั้นไว้ในโลกนี้  ก็ในมงคล  มีประเภท คือ ทิฏฐมงคล  สุตมงคลและมุตมงคล  มงคลสักนิดหนึ่งที่จะเป็นมงคลจริง ๆ ไม่มีเลย.

    พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป) | WIN

    โดย Kon1Kon
    เวลา 27 ส.ค. 2559 - 12.00 น. , แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 2559 - 19.35 น.

    ********************************************************************************************

    เรื่องนี้เขียนโดย คุณวีระชัย จากเว็บบอร์ดพลังจิต http://palungjit.org (กระทู้ คำทำนายโบราณ เมื่อกึ่งพุทธกาล พระพุทธศาสนาจะกลับเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสูงสุด (พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)) โดยคุณวีระชัย ได้เรียบเรียงชี้แจงไว้ว่า แท้จริงช่วงเวลากึ่งพุทธกาลคือปี 2560 ไม่ใช่ 2500 อย่างที่เข้าใจกัน เพราะเรานับพ.ศ.ผิดกันมาตลอด ! ปี พ.ศ. 2560 คือ กึ่งพุทธกาล ครบ 2,500 ปี หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน การใช้ พ.ศ. ของประเทศไทยคลาดเคลื่อน เรานับเร็วเกินไปถึง 60ปี !

    ปัญญาญาณ สำนักข่าวทีนิวส์!

    http://panyayan.tnews.co.th/contents/y/202776/


    ร่วมเสนอข่าว


    "กล่าวถึง"
    เรามาไกลเกินกว่า “พุทธทำนาย” / จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย

    http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9590000084692

    *******************************************************************************

    "นานาทัศนะ"

    http://www.thairath.co.th/content/611801


    วันวิสาขบูชา เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2500 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม จัดงานฉลองครบรอบ 25 ศตวรรษ แต่ชาวบ้านเรียก ฉลองกึ่งพุทธกาล...ครับ

    ฉลองกันไปแล้ว ทั้งรัฐบาลทั้งชาวบ้าน ก็ไม่รู้สักเท่าไหร่ว่า ความเชื่อเรื่องกึ่งพุทธกาล หรือครึ่งหนึ่งของอายุพุทธศาสนา 5000 ปี นั้นเป็นความเชื่อของพุทธศาสนานิกายมหายาน

    ไม่ใช่ความเชื่อของพุทธศาสนา ฝ่ายหีนยาน ของพวกเรา ที่เราเรียกว่าเถรวาท เลย

    ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล นิพนธ์ไว้ในหนังสือ สารคดีที่น่ารู้ (สำนักพิมพ์คลังวิทยา พ.ศ.2518) เมื่อพระองค์อายุราว 8-9 ขวบ ไปฟังเทศน์กับคุณย่า ได้ยินพระเทศน์บอกศักราชว่า วันนั้น เดือนนั้น พ.ศ.เท่านั้น ยังเหลืออีกเท่านั้น...ปี

    ครั้นโตขึ้น อายุ 19 ปี เสด็จพ่อ (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) สอนวิชาพุทธศาสนาว่า เมืองไทยได้รับพุทธศาสนามาทั้งนิกายมหายานและหีนยาน คำสอนต่างๆจึงปะปนกันอยู่เป็นอันมาก

    จนสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงจัดระบอบสังฆมณฑลตามวิธีใหม่ ทรงเปลี่ยนวิธีบอกศักราช ให้เลิกเรื่องพุทธกาล 5000 ปีเสีย ทรงเห็นว่าไม่มีแก่นสารอะไร

    พระพุทธศาสนา จะเสื่อมหรือเจริญ ก็เพราะ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตามที่พระพุทธดำรัสต่างหาก

    เรื่องกึ่งพุทธกาล จึงสูญไป

    เมื่อรัฐบาล...รื้อฟื้นเรื่องพุทธกาล มาทำกันเป็นงานใหญ่ ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ทรงไม่สิ้นสงสัย เรียนถามไปที่ เจ้าพระคุณนิรันตรญาณมุนี วัดเทพศิรินทร์ ท่านได้ส่งหนังสือสารัตถสังคหะ มาให้อ่าน

    ได้ความรู้ เรื่องปัญจอันตรธาน คือความเสื่อม 5 ข้อ ต่อไปนี้

    1. ปริยัติอันตรธาน คือ ความรู้เสื่อม 2. ปฏิบัติอันตรธาน คือความประพฤติเสื่อม 3. ปฏิเวธอันตรธาน คือ ความหลุดพ้นเสื่อม 4. ลิงคอันตรธาน คือความเป็นระเบียบเสื่อม และ 5. ธาตุอันตรธาน คือ วัตถุธาตุต่างๆ เสื่อม

    ข้อ 1 ปริยัติเสื่อม อธิบายว่า ถ้าพระสงฆ์ไม่เอาใจใส่เล่าเรียนพระไตรปิฎกแล้ว ความรู้จะเสื่อมตั้งแต่ปลายมาต้น คือพระอภิธรรมเสื่อมก่อน พระวินัยจะเสื่อมตาม แล้วในที่สุดพระสูตรก็เสื่อมสูญ

    ข้อ 2 ความประพฤติเสื่อม ต่อไปพระสงฆ์ไม่ปฏิบัติวิปัสสนาธุระจนเกิดมรรคผล ก็จะรักษาได้แต่ศีลอย่างเดียว แล้วก็จะค่อยเสื่อมลงทุกที

    ข้อ 3 ปฏิเวธเสื่อม ไม่มีพระอรหันต์แม้เพียงขั้นพระโสดาบันแล้ว

    ข้อ 4 ลิงคอันตรธาน พระสงฆ์ไม่สำรวมให้สมกับความนับถือของคน กิริยาหลุกหลิกไม่เรียบร้อย นุ่งห่มสีต่างๆตามใจชอบ นี่คือข้อที่ผู้ใหญ่เล่าว่า ต่อไปพระสงฆ์จะมีแต่ผ้าเหลืองชิ้นน้อยห้อยติดหู

    ข้อ 5 ธาตุอันตรธาน เมื่อสิ่งทั้งปวงเสื่อมสูญไปแล้ว สถานที่สักการบูชาก็จะไม่มี

    หนังสือสารัตถสังคหะ เล่มนี้ บอกไว้ว่า พระนันทาจาริยาเจ้า แห่งลังกาทวีปอธิบาย ไทยเราคงได้คติปัญจอันตรธานนี้มาจากลังกา ถ้าอ่านด้วยพิจารณาก็จะเห็นได้ว่า เป็นการทำนายด้วยเหตุผล ถ้าเป็นเช่นนั้น จะเกิดผลเช่นนั้นๆ

    ถ้าเรากล้าพอจะสู้ความจริง ก็จะเห็นว่าคำที่ท่านทำนายไว้นั้น ได้เกิดขึ้นแล้วมิใช่น้อยๆ

    ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ทรงพระนิพนธ์ เรื่องกึ่งพุทธกาล ไว้เมื่อ พ.ศ.2500 ครับ มาถึงวันนี้ ในช่วงเวลากว่า 58 ปี พระสงฆ์ไทยหลายรูป เปลี่ยนสีจีวรไปหลายสี ทั้งสีเขียว สีดำ

    ส่วนสำนักที่ยังใช้สีเหลือง สมภารใหญ่ เปลี่ยนวิธีห่ม...ดูหรูหราอลังการ ทำท่าจะเป็นศาสดาองค์ใหม่ ต่างจากการห่มแบบมหานิกายและธรรมยุต...แบบเก่า

    เทียบกับสถานการณ์ ช่วงเวลา ลิงคอันตรธาน ข้อ 4 ก็ยังไม่น่าใจหาย เท่ากับ ที่ผู้ใหญ่บอก สัญลักษณ์บอกความเป็นพระ อยู่ที่ผ้าเหลืองชิ้นน้อยห้อยหู

    เมืองไทยเรายังโชคดี ยังมีพระสงฆ์ วัตรปฏิบัติหมดจดงดงาม สอนธรรมะแท้ๆของพระพุทธเจ้า อยู่อีกมากมาย

    เรื่องพระไม่แท้...ที่ต้องข้อหาปาราชิก ฉ้อโกงทรัพย์ รับของโจร นั้น เป็นเรื่องธรรมดา จับได้ไล่ทัน ก็สึกเอาเข้าคุก ขืนปล่อยไว้ พวกอาศัยผ้าเหลืองหากิน...จะเหิมเกริม.


    กิเลน ประลองเชิง

    **********************************************************************

    ก็แค่ไปสวดมนต์
    ก็แค่ไปสวดมนต์ : โดยวิธีของเราเอง โดย... ไพฑูรย์ ธัญญา


      ยิ่งเลยกึ่งพุทธกาลมากขึ้น สัญญาณแห่งพุทธทำนายก็ส่อรหัสเหตุออกมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้ว่าคนทุกวันนี้ยังคงเชื่อเรื่องพุทธทำนายที่ว่าด้วยการสิ้นสุดพระพุทธศาสนาอยู่อีกหรือไม่ แต่ล่าสุดสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะได้เห็นก็พลันเกิดให้เห็น การปะทะกันระหว่างหมู่ภิกษุกับทหาร ใครถูกใครผิด? ต่างก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ระเบิดเถิดเทิงอยู่โลกโซเชียล
    http://www.komchadluek.net/news/scoop/222724

    ขออนุโมทนาบุญนั้นด้วยฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2016
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    สรุป อัศจรรย์แท้ วีดีโอ อยู่มานาน เกิดกระแสอะไร? ขึ้นหรือ จึงมีการลบวีดีโอการแสดงรายการชื่อของ บทสวดมนต์ที่ทางสำนักวัดนาป่าพง กล่าวหาว่าเป็นคำแต่งใหม่ เป็นเดรัจฉานวิชา

    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น    คำว่า เจดีย์  หมายถึง  ควรบูชา ควรสักการะด้วยจิตที่อ่อนโยนนอบน้อม    ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา แสดงเจดีย์ไว้ ๓ อย่าง คือ    ปริโภคเจดีย์(สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้สอย     มี บาตร จีวร เป็นต้น      รวมถึงต้นโพธิ์  ซึ่งเป็นต้นไม้เป็นที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ด้วย)  อุทเทสิกเจดีย์ หรือ อุทิสสิกเจดีย์ (พระพุทธรูป   ที่ผู้มีศรัทธาสร้างขึ้นเพื่อคารพสักการะบูชาน้อมระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)  และ   ธาตุกเจดีย์ (พระสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)      

    ดังข้อความจากอรรถกถา นิธิกัณฑสูตร ดังนี้      พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ ๓๑๓

      ในคาถานั้น ชื่อว่า เจติยะเพราะควรก่อ  ท่านอธิบายว่า ควรบูชาชื่อว่า เจติยะ  เพราะวิจิตรแล้ว.   
    เจดีย์นั้นมี  ๓  อย่าง   คือ   บริโภคเจดีย์   อุทิสสกเจดีย์   ธาตุกเจดีย์.

         บรรดาเจดีย์ทั้ง  ๓ นั้น  โพธิพฤกษ์ ชื่อว่า  บริโภคเจดีย์     พระพุทธปฎิมา   ชื่อว่า  อุทิสสกเจดีย์   พระสถูปที่มีห้องบรรลุพระธาตุ  ชื่อว่า   ธาตุกเจดีย์.์ 


     อุทิสสกเจดีย์        เป็นเดรัจฉานวิชา สำหรับ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล และสาวกวัดนาป่าพง

    งั้นเอาวีดีโอตัวนี้ต่อครับ จะลบไหมครับ

    คึกฤทธิ์สอนสาวก รูปหล่อ รูปปั้นเป็นเดรัจฉานวิชา

    เรื่องรูปปั้น รูปหล่อ เป็นเดรัจฉานวิชา


    https://youtu.be/LRqITEuCu1A?list=PLdiN41LWNrukGBgBmoZgaoPbjxk57qRZ6

    อวชฺเช วชฺชมติโน
    วชฺเช อวชฺชทสฺสิโน
    มิจฺฉาทิฏฐิสมาทานา
    สตฺตา คจฺฉนฺติ ทุคตึ ฯ

    วชฺชญฺจ วชฺชโต ญตฺวา
    อวชฺชญฺจ อวชฺชโต
    สมฺมาทิฏฺฐิสมาทานา
    สตฺตา คจฺฉนฺติ สุคฺคตึ ฯ


    สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความรู้ว่ามีโทษในธรรมที่หาโทษมิได้
    มีปกติเห็นว่าหาโทษมิได้ในธรรมที่มีโทษ
    เป็นผู้ถือด้วยดีซึ่งมิจฉาทิฏฐิ ย่อมไปสู่ทุคติ”

    สัตว์ทั้งหลาย รู้ธรรมที่มีโทษโดยความเป็นธรรมมีโทษ
    รู้ธรรมที่หาโทษมิได้ โดยความเป็นธรรมหาโทษมิได้
    เป็นผู้ถือด้วยดีซึ่งสัมมาทิฏฐิ
    ย่อมไปสู่สุคติ.




    บทสวดและเพลงพาหุงแปล บทสวดพระคาถาชินบัญชร เพลงพระคาถาชินบัญชร รอยพระพุทธบาท พระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุ ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เป็นคำแต่งใหม่และอีก ฯลฯ ถูกรวบรวมเป็นเดรัจฉานวิชาโดยสำนักวัดนาป่าพง

    [ame]https://youtu.be/KvX_WHqLz1c[/ame]

    [ame]https://youtu.be/cGBaHOhreKk[/ame]

    [ame]https://youtu.be/zBcZhRvScYg[/ame]

    [ame]https://youtu.be/CqynMfxGpLw[/ame]

    [ame]https://youtu.be/Rib5Y4CLOO0[/ame]

    [ame]https://youtu.be/0TED0oYE-Ls[/ame]

    [ame]https://youtu.be/ceakUPHWtz8[/ame]

    ----------------------------------------------------------
    บทสวดยอดนิยม พาหุงเป็นคำแต่งใหม่ https://youtu.be/GEi_-8A-_uA
    บทสวดยอดนิยม คาถาชินบัญชรเป็นคำแต่งใหม่ [ame]https://youtu.be/cOTNdG26nqI[/ame]

    และอีก ฯลฯ ที่สำนักวัดนาป่าพงตั้งใจและรวบรวมเป็นเดรัจฉานวิชา
    ------------------------------------------------------------------


    แต่เพลงแต่งใหม่ ที่พรรณนาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ที่สำนักพุทธวจนนำออกสื่อเผยแพร่อย่างเป็นทางการ เป็นของดีของสำนัก พุทธวจน ไม่จัดเป็นเดรัจฉานวิชา ไม่เป็นคำแต่งใหม่ และถึงจะแต่งใหม่ ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้
    พุทธวจน เพลงถึงฝั่งธรรม
    https://youtu.be/tTr3n97BzwM?list=PLiOvkrXZ-xAqRnqKJUP7gfuOZlcsSg5Kx

    พุทธวจน เพลงบัวบูชา
    https://youtu.be/poHDO_TS_MA?list=PLiOvkrXZ-xAqRnqKJUP7gfuOZlcsSg5Kx

    คอนเสิร์ต " ตามรอยบาทศาสดา พุทธวจน
    https://youtu.be/-EEWwHRtXrU?list=PLiOvkrXZ-xAqRnqKJUP7gfuOZlcsSg5Kx

    เพลง บัวบูชา-ถึงฝั่งธรรม(พุทธวจน)
    https://youtu.be/2i6G7tdKPH8?list=PLiOvkrXZ-xAqRnqKJUP7gfuOZlcsSg5Kx

    ช่างยอดเยี่ยมกระเทียมเจียวจริงๆ



    อย่าคิดว่าไม่มีใคร โหลดไว้นะครับ ลบไปก็เท่านั้น ! หนังสือเดรัจฉานวิชาก็แจก จะหนีกรรมที่ตนก่อไว้หรือครับ ทำได้เท่านี้หรือครับ


    รวมเดรัจฉานวิชา สำนักวัดนาป่าพง โดย คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล และสาวกแห่งสำนักวัดนาป่าพงนำเสนอแจกจ่าย
    ที่มาที่ไปของประเพณีผิด อันเกิดจากคำแต่งใหม่ 117
    40. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป 118
    41. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ การฟังเทศน์มหาชาติ 122
    พระสัมมาสัมพุทธะ นามว่าเมตเตยยะ โดยพุทธวจน 122
    พระสัมมาสัมพุทธะ นามว่าเมตเตยยะ โดยคำแต่งใหม่ 123
    42. ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับการกรวดน้ำอุทิศบุญ 126
    43. ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับการทำน้ำมนต์ 128
    44. ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับอานิสงส์ของการสวดมนต์ 130
    45. บทสวดมนต์ยอดนิยม เป็นคำแต่งใหม่ 133
    บทสวดสัพพมังคลคาถา เป็นคำแต่งใหม่ 133
    บทสวดพาหุง (พุทธชัยมังคลคาถา) เป็นคำแต่งใหม่ 134
    คาถาชินบัญชร เป็นคำแต่งใหม่ 135
    บทสวดอภยปริตร เป็นคำแต่งใหม่ 137
    บทสวดอาฏานาฏิยปริตร เป็นคำแต่งใหม่ 138
    บทสวดโพชฌงคปริตร เป็นคำแต่งใหม่ 139
    บทสวดชัยปริตร เป็นคำแต่งใหม่ 140
    บทสวดอุทิศบุญกุศล (ปัตติทานคาถา) เป็นคำแต่งใหม่ 141


    http://download.watnapahpong.org/data/static_media/12_buddhavacana_tiracchanvijja-20141029.pdf

    หูตาจะสว่างด้วย

    เพจรวมคำสอนผิดๆของ "สำนักพุทธวจน"

    https://www.facebook.com/RealBuddhaVacana/?fref=photo

    https://www.facebook.com/groups/antikukrit/


    สำนักพุทธวจน นอกจากจะไม่สวดปาติโมกข์ 227 ข้อแล้ว
    ยังไม่สวด บทที่สำคัญๆ เหล่านี้อีกด้วย เมื่อไม่สวด ไม่สาธยาย ไม่สนใจและใส่ใจ พิจารณา ไม่ยินดี ก็หมายความว่า " เพิกเฉย " หรือ เขาเข้าใจว่าเป็นคำแต่งใหม่ เป็นเดรัจฉานวิชาอีก ท่านจงพิจารณาดูเอาเองเถิด
    -ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
    -อนัตตลักขณสูตร
    -อาทิตตปริยายสูตร
    -สาราณียธรรม
    -กรณียเมตตสูตร
    -ขันธปริตร
    -พระอภิธรรม๗คัมภีร์
    -ฯลฯ



    ไปกันใหญ่ ! นอกจากประมาทในธรรมแล้ว ยังไม่สำรวมในการบริโภค เคี้ยวของเคี้ยวในยามวิกาล ความหิวคือโรคอย่างหนึ่ง จึงต้องกินเพื่อรักษาโรค หิว

    ------------------------------------------------------------------------------------

    ปฎิสัมภิทาญาน
    ศึกษาและอ่านให้ละเอียด พิจารณาให้แยบคาย สถานะการดำรงอยู่ของพระสัทธรรมเป็นเรื่องเหนืออนันตริยจักรวาล โลกใบนี้จะมีจะได้สักกี่มากน้อยที่ได้มีโอกาสหลุดพ้นจากดินแดนแห่ง มายาคติ จงพึ่งพาตนเองอาศัยร่างที่อาศัยอยู่ ไปให้รู้ให้ถึงเถิด.

    เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นคำแต่งใหม่เป็นเรื่องนอกแนวไม่เกี่ยวของกับพระไตรปิฏกและพระพุทธศาสนาของสำนักวัดนาป่าพง

    [ame]https://youtu.be/ubuYLqmzCCc[/ame]

    ดูสติปัญญาเจ้าสำนัก สุดจะพรรณนาบรรยายสรรพโทษ สรรพทุกข์ สรรพโศกสรรพโรค สรรพภัย สรรพเคราะห์ เสนียดจัญไร



    ดูอยู่ล่ะสิ ดังไหม?ล่ะ ดังแล้วเดี๋ยวก็ดับ พวกที่ถือหางข้าง เตรียมตัวโกยเผ่นอ้าว ได้แล้ว


    **********************************************************************************
    " สาวก ไม่ต้องมีคำสอน มีไม๊ มีไม่ได้ "

    คึกฤทธิ์ผู้ไม่รู้จักการสรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พุทธานุสติ ธรรมมานุสติ สังฆานุสติ ในบทธรรม และไม่รู้จัก ปฎิสัมภิทาญาน แต่อ้างพระพุทธเจ้ารู้ธรรมโดยกำหนดสมาธิทุกครั้งในการพูด การตรัสรู้ตาม หรือเห็นธรรมตามธรรมโดยปฎิสัมภิทาญาน การทรงพระไตรปิฏกย่อมไม่มี เวรกรรม กรรมเวรของสัตว์โลก ถ้าต้องตกไปอยู่ใต้อุ้งมือมาร๕อย่างโมฆะบุรุษผู้นี้
    [ame]https://youtu.be/bWiO-mtodNE[/ame]

    สุดจะบรรยาย

    อย่าลืมเรื่องนี่ด้วย เถรคาถา คาถาของพระอรหันต์ คึกฤทธิ์ และสาวก จะแก้หรือไม่แก้ ไปปรึกษากันให้ดีๆ จะสบถโกรธแค้นอะไรกันขนาดนั้น ทำกรรมกันไว้เอง

    นอกจากลัทธิศาสนาของเดียร์ถีย์ปริพาชกที่ต่อต้านไม่ยินดีในคำภาษิตของพระอรหันต์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังมีสำนักอื่นใดใครกัน?ที่ต่อต้านสั่งสอนให้ ไม่ยินดีครวญใคร่ รับฟังในคำภาษิตของพระอรหันต์

    ใครจะมีภูมิญานหยั่งรู้หรือไม่ว่า? ตนเองก็เคยได้เป็นญาติมิตรศิษย์สหายกัลยาณมิตรของพระสาวกที่เป็นอรหันตสาวกทั้งหลายเหล่านี้ มาเป็นอเนกอนันตชาติแล้ว และได้สร้างบุญกุศลร่วมกันมามากนับต่อนับที่เกี่ยวพันเกี่ยวเนื่องกันมาโดยตลอดในกาลนั้น

    และที่สำคัญ กำลังของพระอรหันตสาวก นั้นเป็นแรงจิตอธิษฐานที่มีอานุภาพมาก ที่ได้พิจารณาธรรมไว้ตามกาลตามเหตุ เพื่ออนุเคราะห์แก่ญาติมิตรสหายในกาลล่วงไปข้างหน้านับต่อนับ ด้วยแรงจิตอธิษฐานนั้น เป็นพลานิสงส์อันเป็นพลวปัจจัยที่จะชี้นำแนะแนวให้สัตว์เกิดดำรงสติปัญญาในธรรม ให้เจริญขึ้นได้ตามจริตธรรมที่ได้บันทึกจารึกไว้ ให้ผู้มีอุปนิสัยใจคอคล้ายคลึงกันตามจริตกรรมมัฎฐาน และเป็นตัวอย่างในการพิจารณาธรรม โดยสามารถนำเข้าสู่ความเจริญในพระสัทธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าต่อไป

    สำนักใดใครกัน?ดูหมิ่นดูแคลนคำของพระอรหันต์สาวกและเหล่าพุทธบริษัทที่เจริญดีแล้วในพระพุทธศาสนาจักห่างไกลมรรคผลที่สมควรมีควรได้จะประสบทุกข์อันมิใช่น้อยอย่างยาวนานในสังสารวัฎ


    มหาสุตโสมชาดก
                 ข้าแต่ท่านสุตโสมมหาราช การสมาคมกับสัตบุรุษคราวเดียวเท่านั้นการสมาคมนั้นย่อมรักษาผู้สมาคมนั้น การสมาคมกับอสัตบุรุษแม้มากก็รักษาไม่ได้
                 พึงคบกับสัตบุรุษ พึงกระทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เพราะรู้สัทธรรมของสัตบุรุษ ย่อมมีความเจริญ ไม่มีความเสื่อม ราชรถที่เขาให้วิจิตรเป็นอันดี ยังคร่ำคร่าได้แล แม้สรีระ ก็เข้าถึงความชราได้เหมือนกัน ส่วนธรรมของสัตบุรุษ ย่อมไม่เข้าถึงความชรา สัตบุรุษกับสัตบุรุษด้วยกันย่อมรู้กันได้.

    ฟ้าและแผ่นดินไกลกัน ฝั่งข้างโน้นของมหาสมุทร เขาก็กล่าวกันว่าไกลข้าแต่พระราชา ธรรมของสัตบุรุษและธรรมของอสัตบุรุษทั้งสองนี้ ท่านกล่าวว่า ไกลกันยิ่งกว่านั้นแล.


    เถรคาถา คาถาของพระอรหันต์
    https://youtu.be/HJd1HUlLUqI?list=PL...YY9Unyjcvi0olB
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2016
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕
    ราตรียาวแก่คนผู้ตื่นอยู่ โยชน์ยาวแก่คนผู้เมื่อยล้า สงสาร
    ยาวแก่คนพาลผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม ถ้าว่าบุคคลเมื่อเที่ยวไป
    ไม่พึงประสบสหายประเสริฐกว่าตน หรือสหายผู้เช่นด้วย
    ตนไซร้ บุคคลนั้นพึงทำการเที่ยวไปผู้เดียวให้มั่น เพราะว่า
    คุณเครื่องความเป็นสหาย ย่อมไม่มีในคนพาล คนพาล
    ย่อมเดือดร้อนว่า บุตรของเรามีอยู่ ทรัพย์ของเรามีอยู่ ดังนี้
    ตนนั่นแลย่อมไม่มีแก่ตน บุตรทั้งหลายแต่ที่ไหน ทรัพย์แต่
    ที่ไหน

    ผู้ใดเป็นพาลย่อมสำคัญความที่ตนเป็นพาลได้ ด้วย
    เหตุนั้น ผู้นั้นยังเป็นบัณฑิตได้บ้าง ส่วนผู้ใดเป็นพาลมีความ
    สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต ผู้นั้นแลเรากล่าวว่าเป็นพาล ถ้าคน
    พาลเข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตแม้ตลอดชีวิต เขาย่อมไม่รู้แจ้งธรรม
    เหมือนทัพพีไม่รู้จักรสแกง ฉะนั้น ถ้าว่าวิญญูชนเข้าไปนั่ง
    ใกล้บัณฑิตแม้ครู่หนึ่ง ท่านย่อมรู้ธรรมได้ฉับพลัน เหมือน
    ลิ้นรู้รสแกงฉะนั้น

    คนพาลมีปัญญาทราม มีตนเหมือนข้าศึก
    เที่ยวทำบาปกรรมอันมีผลเผ็ดร้อน บุคคลทำกรรมใดแล้วย่อม
    เดือดร้อนในภายหลัง กรรมนั้นทำแล้วไม่ดี บุคคลมีหน้า
    ชุ่มด้วยน้ำตา ร้องไห้อยู่ ย่อมเสพผลของกรรมใด
    กรรมนั้นทำแล้วไม่ดี บุคคลทำกรรมใดแล้ว ย่อมไม่เดือดร้อน
    ในภายหลัง กรรมนั้นแลทำแล้วเป็นดี บุคคลอันปีติโสมนัส
    เข้าถึงแล้ว [ด้วยกำลังแห่งปีติ] [ด้วยกำลังแห่งโสมนัส]
    ย่อมเสพผลแห่งกรรมใด กรรมนั้นทำแล้วเป็นดี

    คนพาล
    ย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำหวาน ตลอดกาลที่บาปยังไม่ให้ผล
    แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น
    คนพาล
    ถึงบริโภคโภชนะด้วยปลายหญ้าคาทุกเดือนๆ เขาย่อมไม่ถึง
    เสี้ยวที่ ๑๖ ซึ่งจำแนกออกไปแล้ว ๑๖ หน ของพระอริย
    บุคคลทั้งหลายผู้มีธรรมอันนับได้แล้ว ก็บาปกรรมบุคคล
    ทำแล้วยังไม่แปรไป เหมือนน้ำนมในวันนี้ยังไม่แปรไป
    ฉะนั้น บาปกรรมนั้นย่อมตามเผาคนพาล เหมือนไฟอันเถ้า
    ปกปิดแล้ว ฉะนั้น ความรู้นั้นย่อมเกิดแก่คนพาลเพื่อสิ่งมิใช่
    ประโยชน์อย่างเดียว ความรู้ ยังปัญญาชื่อว่ามุทธาของเขา
    ให้ฉิบหายตกไป ย่อมฆ่าส่วนแห่งธรรมขาวของคนพาลเสีย


    ภิกษุผู้เป็นพาล พึงปรารถนาความสรรเสริญอันไม่มีอยู่ ความ
    ห้อมล้อมในภิกษุทั้งหลาย ความเป็นใหญ่ในอาวาส และ
    การบูชาในสกุลของชนเหล่าอื่น ความดำริย่อมบังเกิดขึ้นแก่
    ภิกษุพาลว่า คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งสองฝ่าย จงสำคัญ
    กรรมที่บุคคลทำแล้วว่า เพราะอาศัยเราผู้เดียว คฤหัสถ์และ
    บรรพชิตเหล่านั้นจงเป็นไปในอำนาจของเราผู้เดียว ในบรรดา
    กิจน้อยและกิจใหญ่ทั้งหลาย กิจอะไรๆ อิจฉา [ความริษยา]
    มานะ [ความถือตัว] ย่อมเจริญแก่ภิกษุพาลนั้น ภิกษุ
    ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้ารู้ยิ่งแล้ว ซึ่งปฏิปทา ๒ อย่าง
    นี้ว่า ปฏิปทาอันเข้าอาศัยลาภเป็นอย่างหนึ่ง ปฏิปทาเครื่อง
    ให้ถึงนิพพานเป็นอย่างหนึ่ง ดังนี้แล้ว ไม่พึงเพลิดเพลิน
    สักการะ พึงพอกพูนวิเวกเนืองๆ ฯ

    จบพาลวรรคที่ ๕

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2016
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    พระพุทธภาษิต

    (หันทะ มะยัง พะหุการานิ พุทธาทิภาสิตานิ ภะณามะ เส)

    นิธีนังวะ ปะวัตตารัง ยัง ปัสเส วัชชะทัสสะนัง นิคคัยหะวาทิง เมธาวิง
    ตาทิสัง ปัณฑิตัง ภะเช ตาทิสัง ภะชะมานัสสะ เสยโย โหติ นะ ปาปิโย


    คนเราควรมองผู้มีปัญญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ, และกล่าวคำขนาบอยู่เสมอไป
    ว่าผู้นั้นแหละคือผู้ชี้ขุมทรัพย์ล่ะ ควรคบหากับบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อคบหากับบัณฑิตเช่นนั้นอยู่ ย่อมมีแต่คุณอันประเสริฐส่วนเดียว ไม่มีเสื่อมเลย


    (ธรรมบท ๒๕/๒๑)

    นะ เต อะหัง อานันทะ ตะถา ปะรักกะมิสสามิ ยะถา กุมภะกาโร อามะเก
    อามะกะมัตเต


    อานนท์ ! เราจะไม่พยายามทำกะพวกเธออย่างทะนุถนอม,
    เหมือนพวกช่างหม้อทำแก่หม้อที่ยังเปียกยังดิบอยู่

    นิคคัยหะ นิคคัยหาหัง อานันทะ วักขามิ, ปะวัยหะ ปะวัยหาหัง อานันทะ
    วักขามิ, โย สาโร โส ฐัสสะติ,


    อานนท์ ! เราจะขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด
    อานนท์ ! เราจะชี้โทษแล้วชี้โทษอีกไม่มีหยุด
    ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจะทนอยู่ได้


    (มหาสุญญตสูตร ๑๔/๒๑๒)

    ยัง ภิกขะเว สัตถารา กะระณียัง สาวะกานัง หิเตสินา อะนุกัมปะเกนะ
    อะนุกัมปัง อุปาทายะ กะตัง โว ตัง มะยา


    ภิกษุทั้งหลาย ! กิจอันใดที่ศาสดาผู้เอ็นดู, แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
    จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจอันนั้นเราได้ทำแล้วแก่เธอทั้งหลาย


    เอตานิ ภิกขะเว รุกขะมูลานิ เอตานิ สุญญาคารานิ

    ภิกษุทั้งหลาย ! นั่นโคนไม้ทั้งหลาย นั่นเรือนว่างทั้งหลาย

    ฌายะถะ ภิกขะเว มา ปะมาทัตถะ

    ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส อย่าได้ประมาท

    มา ปัจฉา วิปปะฏิสาริโน อะหุวัตถุ,

    เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย

    อะยัง โว อัมหากัง อะนุสาสะนี

    นี้แลเป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนเธอทั้งหลายของเรา

    (สัลเลขสูตร ๑๒/๗๒)

    นะยิทัง ภิกขะเว พ๎รัห๎มะจะริยัง วุสสะติ ชะนะกุหะนัตถัง นะ
    ชะนะละปะนัตถัง นะ ลาภะสักการะสิโลกานิสังสัตถัง นะ
    อิติวาทัปปะโมกขานิสังสัตถัง นะ อิติ มัง ชะโน ชานาตูติ


    ภิกษุทั้งหลาย ! เราประพฤติพรหมจรรย์นี้,
    มิใช่เพื่อหลอกลวงคนเพื่อให้คนบ่่นถึง เพื่อผลคือลาภสักการะและชื่อเสียง
    เพื่อเป็นเจ้าลัทธิ หรือเพื่อให้คนทั้งหลายรู้จักเราก็หามิได้


    อะถะ โข อิทัง ภิกขะเว พรัหมะจะริยัง วุสสะติ, สังวะรัตถัง ปะหานัตถัง
    วิราคัตถัง นิโรธัตถัง


    ภิกษุทั้งหลาย ! แต่ที่แท้แล้วเราประพฤติพรหมจรรย์นี้
    เพื่อความสำรวมระวัง เพื่อละกิเลส เพื่อคลายกิเลสและเพื่อดับกิเลสเท่านั้น


    (พรหมจริยสูตร ๒๑/๒๙)

    โย โข อานันทะ ภิกขุ วา ภิกขุนี วา อุปาสะโก วา อุปาสิกา วา

    อานนท์ ! ผู้ใดจะเป็นภิกษุก็ตาม เป็นภิกษุณีก็ตามเป็นอุบาสกหรือเป็นอุบาสิกาก็ตามที

    ธัมมานุธัมมะปะฏิปันโน วิหะระติ สามีจิปะฏิปันโน อะนุธัมมะจารี

    ถ้าเป็นผู้ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติตามธรรมอยู่

    โส ตะถาคะตัง สักกะโรติ คะรุกะโรติ มาเนติ ปูเชติ ปะระมายะ ปูชายะ

    ผู้นั้นแลชื่อว่าได้สักการะ ได้ให้ความเคารพนับถือและบูชาเราตถาคต ด้วยการบูชาอย่างสูงสุดอิติ ด้วยประการฉะนี้แล.

    (มหาปรินิพพานสูตร ๑๐/๑๓๓)


    จากใจเราแด่สหายธรรม
    " ขอจงตั้งใจ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ยังไม่เคยสร้างกรรมใหญ่ ชาตินี้มีโอกาส "
    จงเลือก ไม่เลือกไม่ได้ มนุษย์สมบัติ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบัติ ไม่เลือกไม่ได้ หากจะให้เลือกระหว่าง การขุดแงะชอนไชกัดเซาะที่เป็นที่ไปที่มาของพระธรรมคำสั่งสอน๑ กับ การสรรเสริญพระธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้๒ ควรเลือกอย่างที่๒จะเป็นการดีเป็นมรรคเป็นผล ที่ไม่มีเหตุแห่งความเสื่อมเลย ผู้ใดยังสงสัยและหลงทางอยู่ ไปไม่ถูก ให้ล้างใจให้สะอาด และกล้าที่จะเผชิญกับความจริง ขอจงเดินกลับไปเริ่มต้นยังจุดเริ่มต้นใหม่ สร้างวิริยะศรัทธาให้มากขึ้นกว่าเดิม อย่าดูถูกดูแคลนตนเอง อย่าดูถูกผู้อื่น แต่จงชี้แจงเหตุและผลผิดหรือถูกตามความเป็นจริง และตามฐานะอุตริมนุษยธรรมที่มีในตน และอย่าหมายใจหวังในตนและผู้อื่นเพื่อการสรรเสริญตนเอง จงสรรเสริญพระธรรมนั้นเถิด มีพระธรรมนั้นแล จึงมีเรา ผู้ใดเห็นเรา จึงเห็นธรรม

    ราตรีกาลนี้ พักผ่อนกันเถิด สาธุธรรม ขออนุโมทนาบุญฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2016
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    เห็นโลโก้ . ด้วยแว๊บๆ คณะของท่านเอากับเขาด้วยรึ! หรือเขาถือวิสาสะเอา โลโก้ไปใช้การันตีว่าคณะรัฐบาลปัจจุบันให้การสนับสนุนครับ ส่วนภาพบุคคลอื่นๆ ที่นำมาอ้างประกอบหน่วยงานอื่นๆ ของภาครัฐหรือภาคเอกชน ผมไม่ขอแสดง เยอะแล้ว ไม่ต้องมาเชิญผมไปปรับทัศนคตินะครับ ขอแนะนำไปจับ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล สึก หรือ เนรเทศออกไปต่างประเทศ ไปอยู่กับเพื่อนๆที่เมืองนอกดีกว่าครับ

    ศึกษาตื้นลึกหนาบางให้ดีๆนะครับท่านผู้มีอำนาจ ท่านจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการล้มล้างสถาบันนะครับ


    เนื่องในวันพืชมงคล

     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ในพระราชนิพนธ์เรื่อง พระราชพิธีสิบสองเดือน ว่า

          “การแรกนาที่ต้องเป็นธุระของผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นธรรมเนียมนิยมมีมาแต่โบราณ เช่น ในเมืองจีนสี่พันปีล่วงมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงลงไถนาเองเป็นคราวแรก พระมเหสีเลี้ยงตัวไหม ส่วนจดหมายเรื่องราวอันใดในประเทศสยามที่มีปรากฏอยู่ในการแรกนานี้ ก็มีอยู่เสมอเป็นนิจไม่มีเวลาว่างเว้น ด้วยการซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดินลงมือทำเองเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎร ชักนำให้มีใจหมั่นในการที่จะทำนา เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้อาศัยเลี้ยงชีวิตทั่วหน้า เป็นต้นเหตุของความตั้งมั่นและความเจริญไพบูลย์แห่งพระนครทั้งปวง แต่การซึ่งมีพิธีเจือปนต่างๆ ไม่เป็นแต่ลงมือไถนาเป็นตัวอย่างเหมือนอย่างชาวนาทั้งปวงลงมือไถนาของตนตามปกติก็ด้วยความหวาดหวั่นต่ออันตราย คือ น้ำฝนน้ำท่ามากไปน้อยไปด้วงเพลี้ยและสัตว์ต่างๆ จะบังเกิดเป็นอันตรายไม่ให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิ และมีความปรารถนาที่จะให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิเป็นกำลัง จึงต้องหาทางที่จะแก้ไขและหาทางที่จะอุดหนุนและที่จะเสี่ยงทายให้รู้ล่วงหน้า จะได้เป็นที่มั่นอกมั่นใจโดยอาศัยคำอธิษฐานเอาความสัตย์เป็นที่ตั้งบ้าง ทำการซึ่งไม่มีโทษนับว่าเป็นการสวัสดิมงคลตามซึ่งมาในพระพุทธศาสนาบ้าง บูชาเซ่นสรวงตามที่มาทาง ไสยศาสตร์บ้าง ให้เป็นการช่วยแรงและเป็นที่มั่นใจตามความปรารถนาของมนุษย์ซึ่งคิดไม่มีที่สิ้นสุด”

    พืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ..โบราณราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงให้ความสำคัญ

    http://welovethaiking.com/blog/%E0%B...8%84%E0%B8%A5/

    สรุป ก็หมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นเคย แล้วเคสนี้หนักด้วย คงคิดออกนะ อย่างที่คึกฤทธิ์ว่า ตราบใดที่ยังมีพิธีกรรม แรกนาขวัญ เป็นต้น ผู้ที่ส่งเสริมพิธีกรรมนี้ อย่าฝันแม้แต่จะเป็นพระโสดาบัน

    พวกที่ไม่รู้จักกรรมไม่ดำไม่ขาว เป็นต้น อย่างสำนักวัดนาป่าพง มันก็พาคนโง่อย่างนี้ ไปคัดค้าน มหาจัตตารีสกสูตร

    ใครจะเอาด้วยก็เอาไป เราไม่ยินดีร่วมด้วยแน่ และถามจริงๆ ท่านผู้มีปัญญามีฐานะตำแหน่งหน้าที่ในสังฆมณฑล และ คณะรัฐบาล คสช ทำไมพวกท่านจึงปล่อยให้โมฆะบุรุษผู้นี้สำนักนี้ อยู่รอดอาศัยผ้าธงชัยในแผ่นดินนี้ได้อย่างไร?
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------
    วันนี้เป็นวันพืชมงคล วันที่พระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงศ์ทรงปฏิบัติพิธีเพื่อเป็นขวัญ เป็นกำลังใจให้แก่ชาวนาที่ปลูกข้าวให้เราและคึกฤทธิ์ได้กินเลี้ยงชีวิต แต่มาดูนะคะว่า คึกฤทธิ์พูดถึงพระราชพิธีหลวงว่าอย่างไร

    [ame]https://youtu.be/hABtR2QRyeY[/ame]


    มหาจัตตารีสกสูตร
                 ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
                 สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ

                 พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธินั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่าชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ

                 พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล
    เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิรู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิ ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ ฯ

                 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่าทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มีบิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มีนี้มิจฉาทิฐิ ฯ

                 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวสัมมาทิฐิเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาทิฐิของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระเป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชาแล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว
    มีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญา ปัญญินทรีย์
    ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ความเห็นชอบ องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่นี้แล สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ

                 ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฐิ เพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ ความพยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาทิฐิได้ มีสติบรรลุสัมมาทิฐิอยู่ สติของเธอนั้นเป็นสัมมาสติ ฯ
                 ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะสัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาทิฐิของภิกษุนั้น ฯ
                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาสังกัปปะว่ามิจฉาสังกัปปะ รู้จักสัมมาสังกัปปะว่าสัมมาสังกัปปะ ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ ฯ
                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาสังกัปปะเป็นไฉน คือ ความดำริในกาม ดำริในพยาบาท ดำริในความเบียดเบียน นี้มิจฉาสังกัปปะ ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวสัมมาสังกัปปะเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ

                 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วน
    แห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน คือความดำริในเนกขัมมะ ดำริในความไม่
    พยาบาท ดำริในความไม่เบียดเบียน นี้สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วน
    แห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ

                 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตรึก ความวิตกความดำริ ความแน่ว ความแน่ ความปักใจ วจีสังขาร ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึกมีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรคเจริญอริยมรรคอยู่นี้แล สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ

                 ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาสังกัปปะ เพื่อบรรลุสัมมาสังกัปปะความพยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ
                 ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาสังกัปปะได้ มีสติบรรลุสัมมาสังกัปปะอยู่ สติของเธอนั้น เป็นสัมมาสติ ฯ
                 ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาสังกัปปะ ของภิกษุนั้น ฯ
                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาวาจาว่ามิจฉาวาจา รู้จักสัมมาวาจาว่าสัมมาวาจา ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ ฯ
                 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาวาจาเป็นไฉน คือพูดเท็จ พูดส่อเสียดพูดคำหยาบ เจรจาเพ้อเจ้อ นี้ มิจฉาวาจา ฯ
                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวสัมมาวาจาเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาวาจาที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาวาจาของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระเป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด งดเว้นจากการพูดคำหยาบ งดเว้นจากการเจรจาเพ้อเจ้อ นี้ สัมมาวาจาที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความงด ความเว้นความเว้นขาด เจตนางดเว้น จากวจีทุจริตทั้ง ๔ ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ นี้แล สัมมาวาจาของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ

                 ภิกษุย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาวาจา เพื่อบรรลุสัมมาวาจาอยู่ ความพยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ
                 ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาวาจาได้ มีสติบรรลุสัมมาวาจาอยู่ สติของเธอนั้นเป็นสัมมาสติ ฯ
                 ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาวาจาของภิกษุนั้น ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉากัมมันตะว่า มิจฉากัมมันตะรู้จักสัมมากัมมันตะว่า สัมมากัมมันตะ ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉากัมมันตะเป็นไฉน คือ ปาณาติบาตอทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร นี้ มิจฉากัมมันตะ ฯ

                 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสัมมากัมมันตะเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมากัมมันตะที่ยังเป็น
    สาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมากัมมันตะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะที่ยังเป็นสาสวะเป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน คือ เจตนางดเว้นจากปาณาติบาต งดเว้น
    จากอทินนาทาน งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร นี้สัมมากัมมันตะที่ยังเป็นสาสวะเป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรคเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความงด
    ความเว้น เจตนางดเว้น จากกายทุจริตทั้ง ๓ ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ นี้แล สัมมากัมมันตะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ

                 ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉากัมมันตะ เพื่อบรรลุสัมมากัมมันตะความพยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ
                 ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉากัมมันตะได้ มีสติบรรลุสัมมากัมมันตะอยู่ สติของเธอนั้น เป็นสัมมาสติ ฯ
                 ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะสัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมากัมมันตะของภิกษุนั้น ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาอาชีวะว่า
    มิจฉาอาชีวะ รู้จักสัมมาอาชีวะว่าสัมมาอาชีวะ ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาอาชีวะเป็นไฉน คือ การโกงการล่อลวง การตลบตะแลง การยอมมอบตนในทางผิด การเอาลาภต่อลาภ
    นี้มิจฉาอาชีวะ ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวสัมมาอาชีวะเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาอาชีวะที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาอาชีวะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรคอย่าง ๑ ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมละ
    มิจฉาอาชีวะ เลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้ สัมมาอาชีวะที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความงด ความเว้นเจตนางดเว้น จากมิจฉาอาชีวะ ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ นี้แล สัมมาอาชีวะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ

                 ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาอาชีวะ เพื่อบรรลุสัมมาอาชีวะ ความพยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ

                 ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาอาชีวะได้ มีสติบรรลุสัมมาอาชีวะอยู่ สติของเธอนั้น เป็นสัมมาสติ ฯ

                 ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะสัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาอาชีวะของภิกษุนั้น ฯ

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ เมื่อมีสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติจึงพอเหมาะได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการนี้แล พระเสขะผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ จึงเป็นพระอรหันต์ประกอบด้วยองค์ ๑๐

                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือผู้มีสัมมาทิฐิ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาทิฐิได้ ทั้งอกุศลธรรมลามกเป็นอเนกบรรดามี เพราะมิจฉาทิฐิเป็นปัจจัยนั้น ก็เป็นอันผู้มีสัมมาทิฐิสลัดได้แล้วและกุศลธรรมเป็นอเนก ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะสัมมาทิฐิเป็นปัจจัย ฯ
                 ผู้มีสัมมาสังกัปปะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสังกัปปะได้...
                 ผู้มีสัมมาวาจา ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวาจาได้...
                 ผู้มีสัมมากัมมันตะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉากัมมันตะได้...
                 ผู้มีสัมมาอาชีวะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาอาชีวะได้...
                 ผู้มีสัมมาวายามะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวายามะได้...
                 ผู้มีสัมมาสติ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสติได้...
                 ผู้มีสัมมาสมาธิ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสมาธิได้...
                 ผู้มีสัมมาญาณะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาญาณะได้...
                 ผู้มีสัมมาวิมุตติ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวิมุตติได้ ทั้งอกุศลธรรมลามกเป็นอเนกบรรดามี เพราะมิจฉาวิมุตติเป็นปัจจัยนั้น ก็เป็นอันผู้มีสัมมาวิมุตติสลัดได้แล้ว และกุศลธรรมเป็นอเนกย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะสัมมาวิมุตติเป็นปัจจัย

                 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการนี้แล จึงเป็นธรรมฝ่ายกุศล ๒๐ ฝ่ายอกุศล ๒๐ ชื่อ ธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะ อันเราให้เป็นไปแล้ว สมณะหรือ พราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใครๆ ในโลกจะให้เป็นไปไม่ได้ ฯ
                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ใดผู้หนึ่งพึงสำคัญที่จะติเตียน คัดค้านธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะนี้ การกล่าวก่อนและการกล่าวตามกัน ๑๐ ประการ อันชอบด้วยเหตุของสมณะหรือพราหมณ์ผู้นั้น ย่อมถึง
    ฐานะน่าตำหนิในปัจจุบันเทียว ถ้าใครติเตียนสัมมาทิฐิ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีทิฐิผิด ถ้าใครติเตียนสัมมาสังกัปปะ เขาก็ต้องบูชาสรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีสังกัปปะผิด ถ้าใครติเตียนสัมมาวาจา เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีวาจาผิด ถ้าใครติเตียนสัมมากัมมันตะเขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีการงานผิด ถ้าใครติเตียนสัมมาอาชีวะ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีอาชีวะผิด ถ้าใครติเตียนสัมมาวายามะ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีความพยายามผิดถ้าใครติเตียนสัมมาสติ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีสติผิดถ้าใครติเตียนสัมมาสมาธิ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีสมาธิผิดถ้าใครติเตียนสัมมาญาณะ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีญาณผิดถ้าใครติเตียนสัมมาวิมุตติ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีวิมุตติผิด ฯ

                 ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง พึงสำคัญที่จะติเตียน คัดค้านธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะนี้ การกล่าวก่อนและการกล่าวตามกัน ๑๐ ประการ อันชอบด้วยเหตุของสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น ย่อมถึงฐานะน่าตำหนิในปัจจุบันเทียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พวกอัสสะและพวกภัญญะชาวอุกกลชนบท ซึ่งเป็นอเหตุกวาทะ อกิริยวาทะ นัตถิกวาทะ ก็ยังสำคัญที่จะไม่ติเตียน ไม่คัดค้านธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะ นั่นเพราะเหตุไร เพราะกลัวถูกนินทา ถูกว่าร้าย และถูกก่อความ ฯ

                 พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ
    จบ มหาจัตตารีสกสูตร ที่ ๗


    สัมมาทิฐิ หนึ่งในมรรค ๘ ก็ยังไม่สามารถรู้และพิจารณา จะเอามรรคจะเอาผลมาแต่ไหน อวดตนเป็นครูบาอาจารย์ อวดใหญ่อวดโตรู้ธรรม โง่เขลาแต่ไม่รู้ว่าตนเองนั้นโง่ ยังเที่ยวพาคนอื่นโง่ตามไปด้วย นี่หรือ เหล่าผู้ประกาศจะเป็นธรรมทายาทที่เลิศที่สุดในพระพุทธศาสนา

    สำนักวัดนาป่าพง มันก็พาคนโง่อย่างนี้ ไปคัดค้าน มหาจัตตารีสกสูตร



    ไปถึงคณะรัฐบาลหน่อยนะครับท่าน ยังมีอีกเยอะครับ


    ฟ้าหญิงฯ มีรับสั่งขอให้สวดมนต์บทโพชฌังคปริตร เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ

    Posted Date : วันที่ 15 ก.ย. 2558 เวลา 19:00 น.

              สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยร่วมกันสวดมนต์ในบทโพชฌังคปริตร ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน
              ดังพระดำรัสเมื่อครั้งเสด็จทรงเยี่ยมหน่วยแพทย์ พอ.สว. ณ โรงเรียนพนมอดุลวิทยา อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2558
              "ทุกคนตั้งใจสวดมนต์นะคะ เพราะว่าข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวจะหายได้ด้วยพลังใจของชาว พอ.สว. ทุกคนและของประชาชนคนไทยทุกคน"

    สำนักวัดนาป่าพง ชี้ โพชฌังคปริตร เป็นคำแต่งใหม่ เป็นเดรัจฉานวิชา

    จะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปถึงไหน จะหาว่าพระองค์ท่านเอาเดรัจฉานวิชา ถวายในหลวงเหรอ

    เกินไปแล้วนะ ถ้าเรายังมีจิตอาฆาตพยาบาทเคียดแค้นอยู่ เราพลีชีพแน่นอน อย่าคิดว่าจะรอด ก็คงจะสร้างบาปสร้างกรรมต่อไปอีกไม่จบไม่สิ้น นี่ถือเป็นบุญฯ ถ้าไม่ได้พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมมหาศาสดามาโปรด เราคงตายไปนานแล้ว ถ้าไม่ได้ออกบวชและคิดจะบวชในอนาคตก็คงตายไปแล้ว


    โพชฌังคปริตร มีความผิดตรงไหน? เป็นสิ่งที่ผิดตรงไหน? กระทำผิดตรงไหน?

    http://www.ruamchit-normklao.org/ebook/book16.pdf

    การสวดพระปริตร - มูลนิธิ ร่วมจิตต์ น้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ


    ผู้ใดทำลายพระปริตร ช่างกล้าหมิ่นนัก ดูหมิ่นพระสัทธรรมยังไม่พอ ยังหมิ่นเบื้องสูงอีก



    http://www.onab.go.th/attachments/76...____ (2).pdf

    มหาเถระสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่ายังไงครับ ปล่อยหรือครับท่าน ได้อ่านได้ศึกษาบ้างหรือเปล่า กระทู้นี้ถึงท่านไหม? แล้วชาวพุทธที่ได้อ่านกระทู้นี้อยู่ ทราบไหม?ครับ ว่าสำนักนี้ ทำอะไร?

    เจริญพระพุทธมนต์เจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรชัยมงคลและถวายเป็นพระราชกุศลแด่
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ


    จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ให้มีบ่อนทำลายเกิดขึ้นในชาติบ้านเมืองอย่างนี้อยู่ต่อไปอีกหรือ ?


    จะไม่ให้เกิดภัยพิบัติอันใหญ่หลวงได้อย่างไร? พ.ศ ไหน ศักราชไหน สมัยไหนใครเขามี ใครเขาทำกันอย่างนี้บ้าง ที่ให้บุคคลแต่งกายเลียนแบบสงฆ์มาล้มงานพระราชกรณียกิจ ดูหมิ่นราชพิธีฯลฯ เห็นเป็นสิ่งไม่ดี ไม่คู่ควร ไม่มีสามัญผล ไม่ต้องพูดนะครับ...คำต่อไป ทำอย่างนี้มันหมายความว่ายังไง

    อ่านให้ทั่วถึงครับ มีอีกมากมาย
    http://palungjit.org/threads/สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกพลาด-สร้าง-พุทธวจน-ปลอม.552222/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2016
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    พระมหากษัตริย์ไทยกับพระพุทธศาสนา

    พระพุทธศาสนา แปลว่า คำสั่งสอนของผู้รู้ ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งสันติและเมตตาธรรม พระพุทธศาสนาเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคนไทยในทุก ๆ ด้าน และพระพุทธศาสนาถือได้ว่าเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะคนส่วนใหญ่ ร้อยละ ๙๕ นับถือพระพุทธศาสนา และอยู่เคียงคู่กับชาติไทยมาโดยตลอด บัณฑิตผู้มีปัญญาจะเป็นชาวไทย หรือชาวต่างประเทศก็ตาม ผู้ได้ศึกษาปฏิบัติธรรม และเห็นแจ้งตามพระสัทธรรมที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ก็จะไม่ละพระพุทธศาสนาไปอื่นเลย   มีแต่จะยิ่งศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัยไม่มีคลอนแคลนไปได้


    พระมหากษัตริย์ทุกยุคทุกสมัย ทรงทำหน้าที่ 2 ประการ ซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจหลักคือ ด้านหนึ่ง ทรงทำหน้าที่ปกครองประเทศ โดยนำเอาหลักธรรมของพุทธศาสนาที่เอื้อต่อการปกครองเพื่อความสงบสุขของประชาชน เช่น ทศพิธราชธรรม เป็นต้น อีกด้านหนึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงทำหน้าที่อุปถัมภ์คุ้มครองพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาประจำชาติ


    พระมหากษัตริย์ไทยกับพระพุทธศาสนา | WIN



    ด้วยอำนาจและคำสั่ง. มาตรา 44 เรื่องมาตราการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาในประเทศไทย ที่ประชุมกันแล้วในวันนี้ 31/8/2559 ที่ทำเนียบรัฐบาล ขอให้ท่านใช้อำนาจให้เด็ดขาดด้วยครับ ท่านผู้เจริญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2016
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    จากศิลาจารึกในมหาวิหารเจตมหาเชตวัน ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย โดยคณะฑูตไทยที่ไปอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๕


    พุทธทำนายที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า “ ....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้นจะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น …… ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบกลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก ๕,๐๐๐ พระวรรษา …. คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล


    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอดีต ไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบ
    ด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์สิ่งนั้น ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอดีต
    เป็นของจริง เป็นของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์
    แม้สิ่งนั้น ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอดีต เป็นของจริง เป็นของแท้
    ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น
    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคตไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
    ตถาคตก็ไม่พยากรณ์สิ่งนั้น ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคต เป็นของจริง
    เป็นของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์แม้สิ่งนั้น ดูกรจุนทะ
    แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคต เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
    ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น ดูกรจุนทะ แม้หากว่า
    สิ่งที่เป็นปัจจุบัน ไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อมไม่
    พยากรณ์สิ่งนั้น ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบัน เป็นของจริง เป็นของแท้
    แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์แม้สิ่งนั้น ดูกรจุนทะ แม้หากว่า
    สิ่งที่เป็นปัจจุบัน เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อม
    เป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น ด้วยเหตุดังนี้แล จุนทะ ตถาคต
    เป็นกาลวาที เป็นสัจจวาที เป็นภูตวาที เป็นอัตถวาที เป็นธรรมวาที เป็นวินัยวาที
    ในธรรมทั้งหลายทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ชาวโลก
    จึงเรียกว่าตถาคโต ด้วยประการดังนี้แล ฯ



    อย่างที่บุคคลที่มีสติปัญญารู้ๆกันในเรื่องนี้

    สำหรับบุคคลทั้งหลายฯที่ยังมึนงงอยู่ เถียงกันไปมาว่า"พุทธทำนายนี้ไม่มีปรากฎในพระไตรปิฏก" ขออนุญาต ใช้สายตาแล้วค่อยๆพิจารณาดูให้ดีๆนะครับ ในพุทธทำนายก็แจ้งเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า เป็น "พุทธทำนายที่ได้ถอดความมาจากศิลาจารึก ที่พระเชตมหาวิหาร ในสวนมฤคทายวัน " ไม่ได้บอกว่าเป็น"พุทธทำนายที่ถอดความมาจากพระไตรปิฏก หรือนำส่วนใดส่วนหนึ่งคัดลอกมาจากในพระไตรปิฏก" หายงงไหม?ครับ หรือยังฟั่นเฟือนอยู่

    สรุปโดยรวมอีกที บางท่านเห็นว่า อะไรที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏก สิ่งเหล่านั้นจึงไม่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ของจริง และไม่มีอยู่จริงด้วยใช่ไหม?ครับ

    ก็คงเหมือนกับ คึกฤทธิ์ และสาวก ไม่เอาชื่อ เจ้าชาย"สิทธัตถะ" แสดงว่าสติปัญญาก็คงไม่แตกต่างกันกับพวกวัดนาป่าพงเสียเท่าไหร่ ขอให้เจริญๆครับ ทีหน้าทีหลังอะไรก็ตามที่ไม่มีอยู่ในพระไตรปิฏก อะไรไม่ได้เขียนไม่ได้บอกไม่ได้สอนไว้ก็อย่าเอานะครับ ซื่อๆอย่างนี้ เจริญแน่นอน


    สิทธัตถะ โคตมะ सिद्धार्थ गौतम
    สิทธัตถะ โคตมะ ในภาษาบาลี หรือ สิทฺธารฺถ เคาตมะ (/สิดทาด —/) ในภาษาสันสกฤต (เทวนาครี: सिद्धार्थ गौतम) หรือ พระโคตมพุทธเจ้า หรือที่นิยมเรียกว่า พระพุทธเจ้า เป็นพระบรมศาสดาของศาสนาพุทธ และทรงเป็นผู้เผยแพร่พระธรรมวินัย ซึ่งต่อมาเรียกว่า "พุทธศาสนา" พุทธศาสนานิกายเถรวาทถือว่า การออกพระนามด้วยโคตรนั้นเป็นการไม่เคารพ เช่น เรียกว่า "พระสมณโคดม" เป็นต้น นิกายนี้จึงมักเรียกพระองค์ด้วยศัพท์ว่า "สตฺถา" แปลว่า "ศาสดา"


    "สิทธัตถะ" มีความหมายว่า ผู้ที่สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว หรือ ผู้ปรารถนาสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น เจ้าชายสิทธัตถราชกุมาร ทรงเจริญวัยด้วยความสุขยิ่ง เพราะกำเนิดในราชตระกูลภายใต้เศวตฉัตร และได้ทรงศึกษาในสำนักอาจารย์วิศวามิตร ซึ่งเป็นสำนักที่มีชื่อเสียงที่สุด เจ้าชายได้ทรงศึกษาอย่างรวดเร็ว และจบหลักสูตรสิ้นทุกประการ คือจบศิลปศาสตร์ทั้ง ๑๘ สาขาวิชา




    ฝากบอกคึกฤทธิ์ด้วย ที่ไปอวดอ้างการันตีว่าบุคคลในสำนักตนสามารถท่องจำพระสูตรต่างๆได้มากกว่าสำนักอื่นๆ คนหนึ่งจำได้ไม่ต่ำกว่า ๑๐ พระสูตร แล้วมั่นใจเหรอว่าที่จำไว้แล้ววิสัชนาไว้อย่างนั้นถูกต้อง ซึ่งเป็นการพิจารณาธรรมที่ตื้นเขินโง่เขลาเป็นโมฆะบุรุษอย่างนั้นจะเป็นผู้รักษาคำพระตถาคตได้ แบบนั้นหรือจะสามารถเป็นผู้ที่มีศรัทธาหยั่งลงในพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องได้ การที่สามารถท่องจำพระสูตรได้เยอะๆ แล้ว วิสัชนาอย่างโง่เขลาตื้นเขินตีความอย่างผิดเพี้ยน จนถึงขนาดอหังการหวังจะเปลี่ยนพระไตรปิฏกทั้งโลกด้วยน้ำมือของตนอย่างไร้คุณสมบัติของ พระอรหันต์ผู้เป็นพระอเสขะผู้เจริญวิมุตติ หรือพระอริยะผู้มีปฎิสัมภิทาญานผู้มีวิมุตติญานทัสสนะนี่น่ะนะ จะเป็นผู้มีศรัทธาหยั่งลงในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีแต่จำนวนปริมาณแต่ไร้คุณภาพ ต่อให้ท่องจำได้หมื่นแสนพระสูตร แต่ไปวิสัชนาพระสัทธรรมให้เศร้าหมอง ตีความผิดเพี้ยนสร้างสัทธรรมปฎิรูปจนผู้มีปัญญาเขาโจทก์ทั่วบ้านทั่วเมือง นั่นเขาเรียกพวก เป็นมหาโจร ๕ อกตัญญูเนรคุณอามิสทายาท

    รอดูความเปลี่ยนแปลงครับ จะเกิดอะไรขึ้นอีก คอยดูคอยฟังกันให้ดีๆ สำหรับท่านผู้ที่สนใจใฝ่ธรรม

    วันนี้วัดนาลบคลิปวิดีโอให้ แต่ลบความผิดไม่ได้หรอกครับ ต่อให้เรียกเก็บหนังสือ หรือเผาหนังสือทิ้งก็ตาม ควรไปทำคลิปประกาศอย่างเป็นทางการ ทั้งสำนักให้สาธารณะชนได้ดูกันครับ อธิษฐานขออภัยโทษต่อองค์พระสัทธรรม ให้ทรงอดโทษให้ อย่ามาขอโทษปากเปล่า ! อภยปริตร นี้มีคุณอันใหญ่หลวงนัก ไปสำนึกให้ดีๆครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2016
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ


                    เอวมฺเม สุตํ ฯ เอกํ สมยํ ภควา คยายํ วิหรติ คยาสีเส สทฺธึ ภิกฺขุสหสฺเสน ฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ ฯ
                    สพฺพํ ภิกฺขเว อาทิตฺตํ ฯ กิญฺจ ภิกฺขเว สพฺพํ อาทิตฺตํ ฯ จกฺขุ ภิกฺขเว อาทิตฺตํ รูปา อาทิตฺตา จกฺขุวิญฺญาณํ อาทิตฺตํ จกฺขสมฺผสฺโส อาทิตฺโต ยมฺปิทํ จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา ตมฺปิ อาทิตฺตํ ฯ เกน อาทิตฺตํ ฯ อาทิตฺตํ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา อาทิตฺตํ ชาติยา ชรามรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุกฺเขหิ โทมนสฺเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตฺตนฺติ วทามิ ฯ โสตํ อาทิตฺตํ สทฺทา อาทิตฺตา โสตวิญฺญฺาณํ อาทิตฺตํ โสตสมฺผสฺโส อาทิตฺโต ยมฺปิทํ โสตสมฺผสฺ สปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ สุขํ วา ทุกขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา ตมฺปิ อาทิตฺตํ ฯ เกน อาทิตฺตํ ฯลฯ อิมสฺมิญฺจ ปน เวยฺยากรณสฺมึ ภญฺญมาเน ตสฺส ภิกฺขุสหสฺสสฺส อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ ฯ

    เอวมฺเม สุตํ อันข้าพเจ้าพระอานนท์เถระได้สดับตรับฟังแล้วด้วยอาการอย่างนี้ เอกํ สมยํ สมัยครั้งหนึ่ง ภควา องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงเสด็จประทับอยู่ ณ คยาสีสะประเทศ ใกล้แม่น้ำคยา พร้อมด้วยภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป ทรงรับสั่งเตือนพระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นว่า สพฺพํ ภิกขเว อาทิตฺตํ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน กิญฺจ ภิกฺขเว สพฺพํ อาทิตฺตํ ภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเล่าเป็นของร้อน

                    จกฺขุ ภิกฺขเว อาทิตฺตํ นัยน์ตาเป็นของร้อน รูปา อาทิตฺตา รูปทั้งหลายเป็นของร้อน จกฺขุวิญฺญฺาณํ อาทิตฺตํ ความรู้แจ้งทางตาเป็นของร้อน จกฺขุสมฺผสฺโส อาทิตฺโต ความสัมผัสถูกต้องทางตาเป็นของร้อน ยมฺปิทํ จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ ความรู้สึกอารมณ์มีขึ้นเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขบ้างทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง แม้อันนั้นก็เป็นของร้อน เกน อาทิตฺตํ ร้อนเพราะอะไร อาทิตฺตํ ชาติยา ร้อนเพราะชาติ ร้อนเพราะความกำหนัดยินดี ร้อนเพราะความโกรธประทุษร้าย ร้อนเพราะความหลงงมงาย อาทิตฺตํ ชรามรเณน ร้อนเพราะชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ มรณะ ความตาย โสก ความแห้งใจ ปริเวทะ ความพิไรรำพัน ทุกข์ เพราะความไม่สบายกาย โทมนัส เพราะความเสียใจ อุปายาส เพราะความคับแค้นใจ เราจึงกล่าวว่าเป็นของร้อน

                    โสตํ อาทิตฺตํ หูเป็นของร้อน สทฺทา อาทิตฺตา เสียงทั้งหลายเป็นของร้อน โสตวิญฺญาณํ อาทิตฺตํ ความรู้ทางหูเป็นของร้อน โสตสมฺผสฺโส อาทิตฺโต การกระทบถูกต้องทางหูเป็นของร้อน ความรู้สึกอารมณ์อันนี้เกิดขึ้น เพราะอาศัยโสตสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใดเป็นสุขบ้างทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง แม้อันนั้นก็เป็นของร้อน เกน อาทิตฺตํ ร้อนเพราะอะไร อาทิตฺตํ ร้อนเพราะความกำหนัดยินดี ร้อนเพราะความโกรธประทุษร้าย ร้อนเพราะความหลงงมงาย อาทิตฺตํ ร้อนเพราะชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ โสก ความแห้งใจ ปริยาย ความพิไรรำพัน ทุกข์ ความไม่สบายกาย โทมนัส ความเสียใจ อุปยาส ความคับแค้นใจ นั้นเรากล่าวว่าเป็นของร้อน

                    ฆานํ อาทิตฺตํ จมูกก็เป็นของร้อน คนฺธา อาทิตฺตา กลิ่นที่กระทบจมูกก็เป็นของร้อน ฆานวิญฺญาณํ อาทิตฺตํ ความรู้ทางจมูกก็เป็นของร้อน ฆานสมฺผสฺโส อาทิตฺโต การกระทบทางจมูกก็เป็นของร้อน ยมฺปิทํ ฆานสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา อารมณ์อันมีเกิดขึ้นเพราะอาศัยฆานสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง นั้นก็เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะความกำหนัดยินดี ร้อนเพราะความโกรธประทุษร้าย ร้อนเพราะความหลงงมงาย ร้อนเพราะชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ มรณะ ความตาย โสก ความแห้งใจ ปริเทวะ ความพิไรรำพันเพ้อ ทุกข์ ความไม่สบายกาย โทมนัส ความเสียใจ อุปายาส ความคับแคบใจ นั่นเรากล่าวว่าเป็นของร้อน

                    ชิวฺหา อาทิตฺตา ลิ้นก็เป็นของร้อน รสา อาทิตฺตา รสที่กระทบลิ้นก็เป็นของร้อน ชิวฺหาวิญฺญาณํ อาทิตฺตํ ความรู้สึกทางลิ้นก็เป็นของร้อน ชิวฺหาสมฺผสฺโส อาทิตฺโต ความสัมผัสแห่งลิ้นก็เป็นของร้อน ความรู้สึกอารมณ์นี้เกิดขึ้นเพราะอาศัยชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง นั่นก็เป็นของร้อน เกน อาทิตฺตํ ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะความกำหนัดยินดี ความโกรธประทุษร้าย ความหลงงมงาย ร้อนเพราะชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ มรณะ ความตาย โสก ความแห้งใจ ปริเทวะ ความพิไรรำพันเพ้อ ทุกข์ ความไม่สบายกาย โทมนัส ความเสียใจ อุปายาส ความคับแคบใจ นั่นเรากล่าวว่าเป็นของร้อน

                    กาโย อาทิตฺโต กายก็เป็นของร้อน โผฏฐพฺพา อาทิตฺตา ความถูกต้องของกาย ความสัมผัสของกาย สิ่งที่ถูกต้องกาย ก็เป็นของร้อน ความรู้แจ้งทางกายก็เป็นของร้อน ความสัมผัสถูกต้องทางกายก็เป็นของร้อน ความรู้สึกอารมณ์นี้เกิดขึ้นเพราะอาศัยกายสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง นั่นก็เป็นของร้อน เกน อาทิตฺตํ ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะความกำหนัดยินดี ความโกรธประทุษร้าย ความหลงงมงาย ร้อนเพราะชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ มรณะ ความตาย โสก ความแห้งใจ ปริเทวะ ความพิไรรำพันเพ้อ ทุกข์ ความไม่สบายกาย โทมนัส ความเสียใจ อุปายาส ความคับแคบใจ อาทิตฺตนฺติ วทามิ นั่นเรากล่าวว่าเป็นของร้อน

                    มโน อาทิตฺโต ใจก็เป็นของร้อน ธมฺมา อาทิตฺตา ธรรมทั้งหลายก็เป็นของร้อน มโนวิญฺญาณํ อาทิตฺตํ ความรู้แจ้งทางใจก็เป็นของร้อน มโนสมฺผสฺโส อาทิตฺโต ความถูกต้องทางใจก็เป็นของร้อน ความรู้สึกอารมณ์นึกคิด เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง นั่นเป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะความกำหนัดยินดี ความโกรธประทุษร้าย ความหลงงมงาย ร้อนเพราะชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ มรณะ ความตาย โสก ความแห้งใจ ปริเทวะ ความพิไรรำพันเพ้อ ทุกข์ ความไม่สบายกาย โทมนัส ความเสียใจ อุปายาส ความคับแคบใจ อาทิตฺตนฺติ วทามิ นั่นเรากล่าวว่าเป็นของร้อน


    ถึง คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล และเหล่าสมุนสาวกแห่งสำนักวัดนาป่าพงทั้งหลายฯ
    ผลกรรมจากการประพฤติที่ไม่ดี กำลังจะกระทำให้พวกท่านรุ่มร้อนและเดือดร้อน ผลกรรมในครั้งนี้ของพวกท่าน
    จะติดตามเผาไหม้พวกท่าน ไปจนกว่าจะหมดสิ้นเวรสิ้นกรรม มหาโจรมาร ๕ ทั้งหลายฯ จงรอรับผลกรรมที่ทำไว้แก่พระพุทธศาสนาเถิด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    สำนักวัดนาป่าพง แตกตื่นกัน เอาเรื่องพุทธทำนาย ที่แสดงไว้ในเว็บพลังจิต ไปตั้งคำถามวิสัชนา และสามารถวิสัชนากันได้แค่นี้ จนปัญญาและทำได้แค่เท่านี้เท่านั้นหรือ? นี่หรือ? ผู้ปฎิญานตนเป็นสมณะ และปฎิญานตนเป็น อุบาสกอุบาสิกา รัตนะ ๕ นี่หรือ?สำนักของ ผู้มีสุตตะมากสั่งสมมามากที่สุดในโลก จะเอาพุทธวจนปิฏกมาแทนที่พระไตรปิฏก ทั้งในประเทศไทยและในโลก

    ไม่ต้องลบ โหลดไว้แล้ว ที่ว่าใส่ความกล่าวหาผู้อื่นนี่ กลับไปคิดก่อนนะ ว่าใครหรือสำนักใด ที่ใส่ความกล่าวหาพระธรรม กล่าวหาพระไตรปิฏก กล่าวหาพุทธทำนายว่าไม่จริง ดูหมิ่น อภยปริตร ว่าเป็นเดรัจฉานวิชา กล่าวหา มหาสุบินชาดก แต่งใหม่ ฯลฯ กินปูนร้อนท้องจนลบวิดีโอทิ้งนี่ หลักฐานข้อมูลใครแน่นกว่า ไปคิดให้ดีๆ
    [ame]https://youtu.be/asPvXHU5las[/ame]


    ถึงลูกศิษย์สาวกวัดนาป่าพง แต่ละคนไม่น่าจะโง่ ต่างก็มีฐานะการศึกษา มีหน้าที่หน้าตาในสังคม ทำไมไปหลงเชื่ออะไรได้ง่ายจัง ไปทำกรรมอะไรด้วยกันมา หรือเป็นสาวกกันมาแต่ชาติปางก่อน เหมือน พระมหาเทวะ ในอดีต สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรมาก ประเภทเพื่อนมากลากไป ไปตามเขาร่ำลือ เราให้โอกาสถอนตัวเสีย ก่อนจะเสียหายมากไปกว่านี้ เราเตือนด้วยความหวังดี อยากรู้ว่า จริงหรือปลอม เรามีวิธีพิสูจน์ เราฝากคำถามไปถึง คึกฤทธิ์ หรือใครก็ได้ ในสำนักนั้น ที่เก่งที่สุด ไปหาคำตอบมา .... อัดลงยูทูป ด้วยนะ เอาให้แน่จริงๆ ถ้าตอบไม่ได้ เตรียมใส่เกียร์ถอยกันได้เลย เหล่าสาวก ก่อนคลื่นลูกใหญ่จะไปถึง

    ถ้าตอบไม่ได้ วิสัชนาไม่ได้ ทั้งพระน้อยพระใหญ่ ในสำนัก ให้ไปถามใครก็ได้ในโลกหรือนอกโลกก็ได้ ถ้าตอบไม่ได้ ให้สำคัญเชื่อไว้เลยว่า " ถูกหลอกลวงมาโดยตลอดแล้ว "

    ถามหน่อย ปฎิสัมภิทาญาน คืออะไร?

    ลิ่วล้อคนไหนก็ได้ ไปถามคนที่เก่งที่สุดในสำนักมา อธิบายมาให้ได้ อย่าให้เหมือนที่เราแสดงไว้นะ ห้ามขโมยธรรม อย่ามาลอก เก่งนักไม่ใช่เหรอ ถ้าตอบไม่ได้ ปิดสำนักทิ้งไปเลย พวกมาร ๕ กงจักรแอบอ้างเป็นดอกบัว

    https://www.facebook.com/groups/679713432115426/


    ไม่มีรึไง พวกชอบวางแผนระดับเสนาธิการของสำนัก กุนซือน่ะ หมดสภาพแล้วหรือ ใบ้กินหมดแล้วรึ! ทีวางแผนหลอกคนโง่ นี่วางแผนได้วางแผนดี ไหนๆทางสำนักก็รู้แล้ว ว่า กำลังกล่าวถึงในกระทู้นี้อยู่ ยอมแพ้ง่ายจัง ไหนล่ะสุตตะที่สั่งสมไว้มาก มากเสียจนหลอกพวกที่การศึกษาสูงส่งทางโลก ให้มาหมอบราบคาบแก้วได้ ไหนอาวุธ ชักออกมาให้ดูหน่อย หรือสนิมกินหมดแล้ว ก็โง่เอง เพราะดันไปเอาเปลือกไม้ผุๆปลวกมอดกินไปสร้างเป็นอาวุธ แถมยังเอาน้ำมันเบนซิลราดตนเองไว้อีก

    แค่เห็นแสงวูบวาบแสงไฟสะท้อนของอาวุธทางนี้ไป ก็ถอดใจที่จะรบแล้วรึ ! คึกฤทธิ์ ตลอดจน ภัณเต... และลิ่วล้อฯลฯ ไม่เข้ามาชี้แจงล่ะ! ชอบไม่ใช่เหรอ ทำคลิปวิดีโอ ทำเล่ห์ดูหมิ่นพระรัตนตรัย นิ่งแบบนี้แถมไปลบคลิปทิ้งอีก ก็เท่ากับได้แสดงว่า ยอมรับความผิดโดยดุษฏี งั้นก็จงก็ยุบสำนักเสีย เผาตำราคำสอนของสำนักตนทิ้งเสีย ไม่ก็เอาไปทำปุ๋ยหมัก แล้ว กลับบ้านใครบ้านมันไป

    จบตำนานมหากาพย์ สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกสร้างพุทธวจนปลอม



    สำนักวัดนาป่าพง กล่าวโทษบทสวดมนต์ต่างๆ ที่สำนักตนระบุว่าเป็นคำแต่งใหม่เป็นเดรัจฉานวิชา ว่าเป็นเหตุทำให้สัทธรรมเสื่อม และ ยังไม่เป็นเหตุเข้าถึงวิมุตติ

    อย่าคิดว่าจะไม่รู้ตัวว่าใครนะ ที่ทำคลิปรวมบทสวดมนต์เดรัจฉานวิชา แล้วกลัวจนลบคลิปหนี กลัวมาก กลัวกระแสคนรู้ความจริงนักเหรอ หรือว่ากลัวอะไร?

    https://www.facebook.com/lektv007?fref=ts

    https://www.google.co.th/search?q=จ...มนต์พาหุงเป็นคำแต่งใหม่&imgrc=ifY_EgxlDZi2GM:



    สำหรับการลบลิ รวมบทสวดที่เป็นเดรัจฉานวิชาของคึกฤทธิ์และสาวกแห่งสำนักวัดนาป่าพง เสียดายจริงๆ ถ้ามีใครโหลดไว้เป็นหลักฐานจะดีมากๆ รู้ก็รู้แล้วว่าตนเองพลาด ต่อให้เผาทิ้งทั้งหมด บาปก็ไม่หายหรอก ขโมยธรรม ไปทำลายธรรม การกู้หนี้ลักษณะนี้ บาปหนักหนามาก ยังพลาดอีกเยอะมาก แผลที่ปิดโดยไม่รักษาทายาให้ดี มันจะเน่าเหม็นจากข้างใน พิษแผลมันจะลุกลามไปที่อื่นๆทั้งหมด สุดท้ายจะเป็นแมลงมุมชักใยพันตนเองตาย


    ยิ่งผู้มีสติปัญญาเห็นพฤติกรรมแบบนั้น เขาก็จะยิ่งรู้ชัดว่าทำผิดอย่างแน่นอน คนโง่ๆก็ติดบ่วงสรรเสริญต่อไปตามความพอใจในบาปกรรม

    ขออนุโมทนาในบุญที่ร่วมสร้างกอบกู้พระพุทธศาสนานั้นด้วย ท่านสหธรรมกัลยาณมิตรทั้งหลายฯ

    เวรกรรมของสัตว์โลกจริงๆ นกกระจอกยังอาศัยปีกตนเองบินได้ แต่พวกมนุษย์ที่ว่ามีการศึกษาหากินเป็นนี่ ต้องอาศัยสมองคนโง่คนเขลาคนพาลโมฆะบุรุษสั่งสอนให้เรียนเขียนอ่านธรรม เพราะไร้สติปัญญาในการพิจารณาเอง

    ใครเป็นคนพาล ต้องไปดูว่ามันผู้ใดใครเริ่มก่อน คนฉลาดๆก็จะถอยออกมา คนโง่ก็อยู่ต่อไป

    ชาวบ้าน นับทั้งอำเภอและหลายอำเภอแดนใต้ฝากมาบอก อย่าหวังจะได้เหยียบบ้านเขาเพื่อเผยแผ่สัทธรรมปฎิรูป พุทธวจนปิฏก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2016
  16. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    เข้ากะทู้นี้เพราะ ท่านเวปสโน


    แต่..... มึนๆ งงๆ กับ จ่ายักษ์โพสอะไรมากมาย ปล่อยวางละวางมั่งน่ะคุณจ่ายักษ์



    สรุป....เราอยู่ในช่วงสงครามใหญ่ ที่ยังไม่ถึงจุดพีค มันแค่เริ่มที่ตะวันออกกลางเท่านั้นเอง.... ทำมาหากินกันต่อไป
     
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    "เพิ่นสิฮ่อนหาคนดีไผผู้มีศีลธรรมอยู่เขิงคาค้าง ไผเดินทางผิดเส้นทำตนเป็นคนชั่ว มันสิลอดกระด้งบ่มีค้างแผ่นเขิง"

    อุปมา

    เอาตะแกรงร่อนกรวดร่อนหินใหญ่ ที่เห็นเป็นก้อนใหญ่โตดังบ่ดีหลุดออกจากตะแกรงหมด ได้แต่ฝุ่นผงดีบ่ดังอยู่ติดตะแกรง ตามนัยอนาคตังสญานกถา หรือจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ

    พระยาธรรมมิกราชญานโพธิสัตว์เกิดขึ้นมาทำหน้าที่ เสด็จมาร่อนเอาคำสอนที่ผิดออก บอกหลักคำสอนที่ถูกต้องตามพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทดั้งเดิม ยังพระสัทธรรมให้ผ่องใส ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายฯ


    ธรรมทาน ชนะทานทั้งปวง สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ
    รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง สัพพัง รสัง ธัมมรโส ชินาติ
    ยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง สัพพัง รติง ธัมมรตี ชินาติ


    เมื่อผู้เสวยวิมุตติแสดงธรรม ธรรมที่แสดงนั้นย่อมเป็นวิมุตติ ย่อมเจือด้วยวิมุตติ ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส พิจารณาตามก็จะสงบระงับร่มเย็น เมื่อเร่งให้ร้อนก็ร้อนจนเผาไหม้ วิมุตติญานทัสสนะกถาวิเศษอย่างนี้
    วิมุตติญานทัสสนะกถา
    อมตะวาจาที่แท้จริง อ่านเท่าไหร่ ดูเท่าไหร่ พิจารณาตามเท่าไหร่ ในกาลล่วงสมัยไปแล้วก็ตาม ก็จะไม่มีทางรู้สึกเบื่อหน่าย สำหรับผู้ที่เห็นธรรม เคารพธรรมจริงหรอกนะ
    เพราะเป็นทิพยภาษาที่ใส่จิตลงไปด้วย แน่นอนเป็นผลดีชโลมใจของผู้มีธรรมอันบริสุทธิ์อ่อนโยน
    ส่วนผู้หยาบคายแสวงอื่น จะเห็นเป็นของหยาบสิ่งไม่ดีงามสำหรับตน เหมือนลังเลที่จะดื่มน้ำ ในทะเลทรายเพราะกลัวน้ำมีพิษฉันนั้น


    เบื่อหน่ายนั้นไม่มี แต่เข้าไม่ถึงนี่น่าคิด ต้องเพียรพยายามสั่งสม

    ผู้มีกระแสนิรุตติญานทัสสนะ วิสัชนาธรรม โดยปฎิสัมภิทาญาน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถแสดงได้เทียมเท่า .นี่คือข้อจำกัดที่ชัดเจนในพระพุทธศาสนา เป็นภูมิของพระอริยะคือพระเสขะขึ้นไปสามารถล่วงรู้โดยชัดแจ้งอย่างไร้ข้อกังขา .และแน่นอน นี่คือธรรมสมบัติ .ที่ผู้หวังความเจริญใฝ่ฝันแสวงหา
    บอกความจริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหนีได้พ้นเหมือนกัน .ว่าใครก็ตามหากได้ปฎิสัมภิทาญาน มีภูมิในองค์ผู้ที่ควรสนทนาด้วยที่แสดงตนไว้ .โดยเฉพาะปฎิสัมภิทาญานเป็นหลัก .ย่อมจะรู้ตัวดีว่า .ตนกำลังเพิกเฉยต่อภาระที่สมควรปฎิบัติและกระทำ .ในกาลนี้มีผู้ทำลายพระสัทธรรมอยู่ .รู้ทั้งรู้ว่าเขามุ่งทำลายก็ยังนิ่งเฉย ซึ่งบุคคลผู้นั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ในชาตินี้และอีกหลายๆชาติต่อๆไปจนจะมาแก้ไข ในสิ่งที่ตนปล่อยปละละเลยในครานี้ .ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือว่าฆราวาสหรือจะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม ทั้งๆที่สามารถที่จะช่วยแก้ไขดลบันดาล หรือร่วมมือร่วมใจทำกิจอันสมควรในการปกป้องรักษาพระสัทธรรมนี้อย่างสุดชีวิต .แม้จะต้องสูญสิ้นตกตายไปก็จักเจริญยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าภพเก่าภูมิเก่า นับร้อยนับพันทวีคูณเท่า ฉนั้นเราขอประกาศ ณ ที่นี้ว่า .ถ้ามีความสามารถแม้แต่จะส่งจิตอธิษฐานใจด้วยความปรารถนา แม้จะไม่สามารถมากไปกว่านี้ .เพราะ ถูกเพราะคุมขังคุกคามโดนกดขี่ข่มเหงอยู่ก็ตาม นั่นก็นับเป็นอานิสงส์มหาศาลแล้วที่ได้กระทำด้วยใจ แล้วไฉนเลย ทั้งกาย ทั้งวาจาจะน้อยกว่าเล่าซึ่งสามัญผลนี้ .ถ้าสามารถจงทำ ไม่สามารถจงตั้งจิตอธิษฐาน . ขอฝากไว้ตรงนี้ ขอให้ได้รับทราบโดยทั่วถึงกันทุกภพภูมิ .รู้สามารถแต่ไม่ช่วย แต่อยากจะได้สามัญผลในพระพุทธศาสนานี้ .แบบพวกชุบมือเปิบก็จงเตรียมตัวเดือดร้อน

    ขอขอบคุณที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ ผมเป็นเพียงพยานผู้ส่งข่าวครับ ผมเชื่อว่า ในหมู่พวกท่านทั้งหลายที่รู้ในเรื่องนี้ เป็นบุคคลสำคัญ มีโอกาสจุติธรรมในตนทั้งนั้นครับ คือ พระธรรมลงมาโปรด ขอให้ได้พบครับ ทราบเรื่องราวเช่นนี้แล้ว จะต้องมีศรัทธาและได้พบเองแน่ๆ จะได้สิ้นสงสัยครับ ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมอันยิ่งขึ้นไปครับ ความรู้สึกและความรู้ของพวกท่านจะเปลี่ยนไป เมื่อได้พบกับสัจธรรมที่ข้าพเจ้านำมาแสดง อย่างไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต เชื่อเถอะครับ รอดูภาวะจิตของตนเองให้ดีๆ และดูภาวะฐานะในธรรมด้วย หากไม่มีบุญไม่ได้อ่านแน่นอนครับ เราต้องทำบุญร่วมกันมาแน่นอนครับ

    สาธุธรรม ขออนุโมทนาบุญฯ




    [ame]https://youtu.be/GyExvdY5tFs[/ame]


    4,899 - 10,000 Share Non STop
    https://www.facebook.com/PalungjitFan/?fref=ts

    สุภาษิตอีสาน
    ฟังเอาท่อนคำสอนโลกใหม่ไผยังบ่ฮู้เขิงแก้วสิฮ่อนคนฟังเอาเด้อพี่น้องเพิ่นสิฮ่อนหาคนดีไผผู้มีศีลธรรมอยู่เขิงคาค้าง ไผเดินทางผิดเส้นทำตนเป็นคนชั่ว มันสิลอดกระด้งบ่มีค้างแผ่นเขิงเขิงแผ่นนี้ได้ชื่อว่าเขิงคำ เป็นคำสอนพระพุธโธเฮาตั้ง เพิ่นได้วางเอาไว้โพธิ์ศรีห่มใหญ่ สิเอาคนอยู่ซ้น โพธิ์กว้างสิอยู่เย็น โพธิ์นี้บ่ได้ปลูกตามดินเป็นโพธิ์ศีลโพธิ์ธรรมหว่านมาแต่เมืองฟ้าเว้านำธรรมคงฮู้ครูเฮาสอนสั่งคำพระสังฆเจ้าโปราณเฒ่าว่ามา พระศรีอาริยะเพิ่นสร้างโพธิ์ศรีสามห่มเอาคนเข้าอยู่ซ่นโพธิ์สิอยู่เย็นนี้หาหกแม่นคำสอนบ่อนพระองค์นำทางชี้ เอาว่าโพธิ์ศรีสามต้นคนเฮาสิได้เพิ่งตกมาฮอดเขิงข่อนตอนท้ายศาสนา

    พระศรีอารย์เพิ่นสิลงมาค้นเอาผู้ประเสริฐเลือกแต่ผู้ล้ำเลิศกระทำสร้างแต่บ่อนดีอันว่าพวกปล้นจี้เรื่องโหดสามารย์ ยมพิบาลมาจับเข้าสู่อเวจีกว้างให้ทำดีเอาไว้ เพื่อเอาตนเข้าฮ่ม มนุษสาโลกกว้างคนสิล้มท่าวตาย เพิ่นสิมาเลือกเอาไว้สามร่มโพธิ์ศรีให้พอดีเขิงแก้ว มันหากเถิงคาวแล้ว คนเฮาอย่านอนอยู่ ให้พากันตื่นถ้อนอย่านอนนิ่งสิเพิงไผ เดียวนี้แสงธรรมจ้าองค์พุทโธกำลังส่องมองไปไสก็เจิดจ้าแสงธรรมเจ้าส่องมาหวังให้โลกนี้กว้างปวงประชาชาวโลกพ้นจากมารหมู่ฮ้าใจเจ้าสิอยู่เย็น อย่าพากันเกียจคร้านเด้อท่านผู้ถือศิ่นถ้าไปกินนำพระผู้เพิ่นมีบุญล้นไผผู้ทนเอาไว้มีใจมั่นเที่ยงกะสิเถิงแห่งห้องวิมานแก้วอยู่เย็นทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนแต่อนิจจังวะคะสังขาราบ่เที่ยงตรงเด้อฟ้า ให้ทำดีเอาไว้เอาคนเข้าฮ่มให้พากันสร้างทางสิเข้าร่มโพธิ์ อย่าทำตนเป็นคนโก้หากินนำคนโง่ ฮู่ว่าโง่แล้วอย่าไปซ้ำตื่มแถม กรรมสิแนบนำก้นบ่ทันคนสิเห็นดอกไผผู้ทำชั่วช้ากรรมฮ้ายหากสิเห็นมันสิลอนกระด้งบ่ค้างว่างตาเขิง อย่าพากันเลวทรามให้จำจื่อเอาไว้ หากแม่นคำสอนเจ้าองค์พุทโธสอนสั่งขอให้ชาวพี่น้องฟังแล้วให้จื่อเอาจังสิเห็นทางเข้า โพธิ์ศรีสามห่มสู่อันมีทางลมภัยน้ำทั้งสามสิไหวหวั่นเฮงสิมาเตงตื่มซ้ำทำให้หมุ่นมะลายคนจะตายไปพร้อมนๆ นับบ่กัน ปีกุนผ่านเข้าไปแล้วสิแพวขึ้นกว่าแต่หลัง

    ไผผู้ยังอยู่เหลือค้างสิเห็นทางบุญบาป นอกจากกรรมหมู่ฮ้ายใจเจ้าสิชื่นบาน อย่าพากันเกียจคร้านให้ตั่งต่อถือศีลธรรม จังสิมีอันสูงอยู่สบายหายฮ้อนองค์พระธรรมเจ้าสิลงมาครองโลก หากสิเห็นเที่ยงแท้ไผทำสร้างบุญทันนั้น พระองค์เนาอยู่ยังเมืองใหญ่กรุงศรีปัจจุบัน อยู่เมืองล้านช้าง เพิ่นสิมาถึงแท้เดือนสิบเอ็ดมื้อแปดค่ำ พ.ศ. สองพันห้าร้อยปีกุนแท้แน่นอน พ.ศ. ล่วงมาถึงห้าโลกากว้างเมืองหลวงสิฮอดแฮ่งมนุษย์สิประสบเดือดฮ้อนทางสิพ้นแม่นบ่มี คันไผทำชั่วฮ้ายเมืองฟ้าสิบ่เห็น มีแต่จมลงพื้นอเวจีหม้อใหญ่ ท่านพระศรีเพิ่นสิกอดบ่ได้ อันนี้หากมีในห้องครองธรรม โลกใบนี้เป็นโลกใหม่ภัยมหันต์ศาสนาสองพันล่วงมาถึงแล้วคนเขาแซว ๆ

    เว้าโลกาบ่เก่าบางผองเจ็บป่วยไข้ตายเกินวัยเกินขนาดโรคประหลาดก็หากมาใหม่เรื่อยยาแก้ก็บ่ทัน อัศจรรย์น้อฟ้าโลกามันเปลี่ยนบ่เคยเห็นกะซ่างพ้อน้อนี้จังแม้นกรรม อันว่าทางฝนโลกาบ่คือเก่าคั่นว่าตกก็หากตกมาล้นจนท่วมทั่วแดนดินว่าแล้งจนแผ่นดินแดงคันว่าหนาวก็หนาวพาโลต่างหลังเหลือล้น คนเขาแซวๆ เว้าเป็นไปหมดทุกอย่างภัยพิบัติต่างๆก็หากบังเกิดขึ้นตายได้ง่าย พระเจ้ากล่าว ขอให้ชางพี่น้องฟังแล้วให้จื่อเอาท่านเอย


    ความหมายที่แท้จริง
    อัญญาสิทธิ์ อัญญาธรรม ผู้ดำรงด้วยปาฎิหาริย์ ๓ และเชี่ยวชาญ ปฎิสัมภิทาญาน


    พุทธทำนายจากพระโอษฐ์...จากหนังสือผูกอีสาน

    จังสิฮูงเหลื่อมเสมอแก้วหน่วยพิฑูรย์ ไผผู้มาเพียรสู้ตามพระธรรมเฮาชี้ช่องมานั้น สิบ่ขำเขือกฮ้อนคาถานั้นให้ฮ่ำเฮียน หรือสิเขียนใส่ผ้าพันหัวกันเสนียด หรือเอาไปกราบไหว้แลงเซ้าก่อนเข้านอนอานนท์เอ่ย อานนท์เป็นศิษย์แก้วเพียรเฮาบ่ได้ห่าง เฮาสงสารมากล้นภายหน้าศาสนา ฝูงหมู่อุบาสกอุบาสิกาคณาญาติ ให้พร่ำเพียรต่อสู้อย่าคร้านเศิกยาม เฮาแนะซ่องให้ยากง่ายตามความจริง อันความชั่วให้ละทิ้งเพียรไว้ตั้งแต่ดี ทางไกลก็สิเป็นทาง

    …บัดนี้จักกล่าวภาคพื้นติดต่อตามประวัติ ตามแต่เฮามองเห็น หากสิจาไปหน้า อันว่าแนวนามเชื้อผิวเหลืองชนะเลิศ พวกพระสังฆเจ้าประจำไว้สู่เมือง จำพวกผิวขาวเผี้ยงสิพากันแพ้พ่าย พญาครุฑราชเจ้าสิบินเข้าสู่สถาน อันนรานอรินเดินจรก็สิได้กลับต่าว สิได้ไหลหลั่งเข้ากรุงกว้างดั่งเดิม ยูท่างบำเพ็ญสร้างศีลทานบ่ได้ขาด ศาสนาของเฮาใกล้ คนเฮาไปบ่ได้หย่อน ควรหมั่นสีของหม่นเศร้าให้ใสแจ้งอยู่เฮิ่ง

    ไผผู้บ่เกียจคร้านเพียรหมั่นภาวนา ก็จักมีอายุยืนอยู่เสถียรหายฮ้อน องค์พระยาธรรมเจ้า(พระยาธรรมิกราช)สิลงมาครองโลก หากสิเห็นเที่ยงแท้ให้เพียรสร้างส่วนบุญ หัวทีนั้นพระองค์ทรงยั้งอยู่เมืองใหญ่สีปาด (กรุงเทพ)เป็นปัจจุบันเป็นเมืองลานช้าง(อีสาน)เฮาแท้เที่ยงจริง เผินจักมาเถิงแท้เดือน ๑๑ ขึ้น ๘ ค่ำ

    ครั้น พ.ศ. ไปเถิงสองพันห้าฮ้อยแล้วปีกุนหน้า(๒๕๕๐)เที่ยงจริง ลูกแก่นต้นสิตามพ่อโดยเสด็จ กับทั้งหลานสององค์สิเหล่าเทียมมาพร้อม ตามแต่มาศะเกณฑ์ตั้งในระหว่างปีเถาะ(๒๕๕๔) ก็จักมีมหาสองยักษ์ยกพลมาล้นมาแต่ทางหนห้องทางปัจฉิมเอ้าอูด มากินสะมะณะพราหมณ์ทั้งหลายให้ตายประมาณได้เจ็ดล้านสามแสนห้าหมื่น บ่ใส่แต่ทอนั้นทวีเท่าทั่วแดน จนว่ามาเถิงปีมะโรง(๒๕๕๕)จังสิได้โค้งอ่วย

    ครั้นผู้ใดอยากพบหน้าพระธรรมเจ้าให้หมั่นเพียร เต็มใจสู้ทำศีลทานเททอด ให้พากันอุปฐากพ่อแม่เจ้าสองเฒ่าให้อยู่เย็น ลุเถิงเข้าเขตปีมะเสง(๒๕๕๖) แม่น้ำมหาสมุทรไหลเซาะออกมาพังม้าง ฝูงหมู่สังโฆเจ้ามัวหมองปองหาลาภ ธุดงคะคุณมีแต่ละน้อยเพียรสู้ก็บ่หลาย

    พอมาเถิงห้องปีมะเมีย(๒๕๕๗)แถมถ่าย คนจักละถิ่นบ้านเดินดั้นเทียวขอ ฝูงลูกเต้าสิพรากแม่มารดา กับทั้งบิดาพลัดพรากกันคนก้ำในระหว่างคราวนั้น มันจักเกิดเป็นหนามเสี้ยนคันคายอยู่ในบ่อน เพราะว่าผีป่าในบ้านอืดเสียงผีเมืองดั้นหนีภัยเข้าป่า เมืองกรุงศรีอยุธยาก็จักเกิดเดือดร้อนการเขี้ยวขุ่นมัว อันว่านารีสร้อยฝูงผู้หญิงสิลำบาก จักเกิดเข็ญยากยุ่งเสมอด้ามดั่งกัน วันคืนมื้อกังวนไหวหวั่น

    อานนท์เอ๋ยหากสิเนเที่ยงแท้ภายสร้อยศาสนา พอมาเถิงห้องพระยาลิงปีวอก(๒๕๕๙) คนสิออกจากบ้านเดินเข้าสู่ทะเล ถัดจากนั้นมาจวบปีระกา กรรมของพวกชาวมนุษย์มันสิบันดาลให้มีมืดควันคุงฟ้า ดูประมาณได้เจ็ดวันเป็นเขต ในเวลามืดนั้นเทวดาเฮียกเอิ้นเอาผีเสื้อยักษ์หลวง นับอ่านได้เถิงโกฏิเป็นประมาณมากินฝูงหญิงชายหมู่กรรมเหลือล้น กับทั้งฝูงผีเสื้ออีกแสนตัวแข็งขนาด ฝูงคนบุญอย่าได้ประมาทแท้คุณแก้วให้ฮำเพิง ให้พากันบำเพ็ญสร้างบำเพ็ญบำเพ็ญบุญอย่าได้หย่อน ลางเทื่อบุญช่วยยู้เวรฮ้ายสิแล่นหนีแท้แล้ว

    จำจากนี้สิเข้าเขตปีจอ(๒๕๖๑) พระยาอินทร์เผิ่นสิแปลงสารทิพย์หว่านโปรยลงพื้น สาส์นนั้นอินตาใช้ตัวทองเขียนขีด เพราะว่าบอกล่วงหน้าพระธรรมเจ้าสิล่วงลง บ่นานแท้ปีเดียวเสด็จด่วน ลงมาเที่ยวตรวจค้นตามบ้านหมู่คน ถ้าบ่ได้พบพ้อคำแห่งพระคาถา อันพระสงฆ์ทำนายคำสอนสั่งมาจริงแจ้ง กับทั้งเป็นคนฮ้ายประมาทธรรมหีนะโหด บอกว่าโทษผู้นั้นเห็นแท้สิเกิดกรรม เลยสิบรรดาลให้ตายโหงลงเลือด เพราะว่าเขาบ่ฮู้จำข้อแห่งพระธรรม ในคราวนั้นคนสิเกิดเหลือหลาย ทั้งหญิงชายบ่คัณนาได้ ฝูงหมู่อาหารเข้าบ่พอกินสิเขินขาด ความอดอยากก็จะบังเกิดขึ้นทั้งเฝ้าฮบเฮ็วแท้แล้ว

    ครั้นผู้ใดได้ฟังแล้วให้เว้าต่อกันฟังแด่เดอ ก็จักมีอานิสงส์อายุยืนยาวมั่น กับทั้งหวังเห็นหน้าพระยาธรรมิกราช เผินสิขึ้นผ่านแผ้วครองคุ้มให้อยู่เย็น ครั้นไผบ่บอกเล่าจาต่อกันไปมัวแต่ปิดบังเสียสิเกิดโภยภายซ้อย ทั้งบ่หวังเห็นห้องความเจริญดั่งเฮาบอก พระยาธรรมิกราชเจ้าเลยจ้อยแม่นบ่เห็น

    ...ข้อหนึ่งนั้นยังมีสามพี่น้องประสงค์แข่งแดงฤทธิ์ กำหนดกาลเวลาแข่งดีให้เห็นแจ้ง เจ้าผู้พี่ขานไขตามใจเฮารบสิบห้าวันจิงเซายั้ง องค์กลางนั้นเจ็ดวันหักเที่ยง พระองค์น้อยผู้หลังว่าสามมื้อบ่ให้กลายไผสิดีก็ดีหั้น ไผสิตายก็ตามช่าง บ่ให้๙กว่านั้นสิฮามมื้อเศิกคราว แต่นั้นมีมหาเถรเฒ่ากายงามเฮืองฮุ่ง ท่านนั้นเสด็จออกมาจากสามทวีปซ้ำมากั้นบ่ให้เฮ็ว ท่านนั้นโฉมสีเหลื่อมปุนเปรียบพระอาทิตย์ ฮองๆ ใสดั่งมณีโชติแก้ว ยังจักมาแถมซ้ำหกสิบองค์โดยด่วน เผิ่นประสงค์สิมาบอกห้ามภัยฮ้ายแห่งพระยา

    …เวลาเข้าเถิงปีกุล(๒๕๖๒)จำจือเอาเนอเดือนสิบเอ็ดข้างขึ้นจำไว้อย่าสิลืม ให้พวกท่านทั้งหลายพร้อมหญิงชายชาวโลกเฮาเฮ๋ย ฮีบหากันก่อสร้างกุศลไว้ฮับพระองค์ ครั้นผู้ใดโมโหฮ้ายโลภาโลภมาก ศีลบ่เข้าพระธรรมเจ้าบ่เหลียว มีแต่เมาทางได้บ่ตรึกตรองทางชอบ เห็นแต่ทางหม่อตื้นตัวได้แม่นเอา อันว่าในหนห้วงศีลธรรมพระเจ้าเทศน์มานี้ เขาบ่ตั้งต่อสร้างให้เห็นแจ้งแก่ใจ คนผู้นั้นสิบ่ได้พบพ้อองค์เอกพระยาธรรม สิเกิดมีโภยภัยเบียดเบียนให้ตายเมี้ยน เพราะว่ายุคกุลีขึ้นนำภัยนับบ่ข่วย เมตตานับมื้อน้อยโมโหหุ้มห่อใจ

    ตามกระบิลเบื้ององค์พุทโธเผิ่นกล่าวมานั้น เผิ่นว่า พ.ศ. ๒๕๐๐ กลางปีมาแถมถ่ายมานั้น อุบาทฮ้ายโฮมฮ้อนสิเกิดเป็น มีแต่กุมกันวุ้นถกเถียงหาเหตุ เหลียวเห็นกันมีแต่คิดอยากฆ่าก็ทำได้ดั่งใจ บ่ว่าแต่ไกลและใกล้จีนจามแขกฝรั่ง เกิดรบเร็วอยู่บ่มั้วยั้งเขี้ยวเขาใส่กัน จนว่าโลหิตห้งเสมอธารแม่น้ำใหญ่ เลือดสิท่วมเล็บช้างหนูน้อยได้ล่องลอยพุ้นแล้ว เผิ่นจึ่งซ้ำแล้วซ้ำให้เฮาหน่ำทำบุญ ใ ห้พากันบำเพ็ญจิตใจให้อ่อนโอนหายกระด้าง ลางเทือพอไขได้กันคะดีให้เบาห่าง หรือเพื่อตัดขาดเว้นให้หายเสี้ยงหมู่เวร องค์ก็จึ่งตรัสเผือไว้เสมือนตืมเต็มปัญญา เถิงคราวหน้าปัญญาเฮานับมื้ออ่อน อวิชาตัณหานับมื้อแก่กล้า ธรรมสิเศร้าหม่นหมอง ความจริงธรรมหากรักษาไว้โลกาจิงบ่แตก โลกของเฮานี้หากจักยังอยู่ได้พระธรรมเจ้าจ่องดึง

    …อันคราวไปหน้า ความโมหังนับมื้อแผ่ ความมืดใจนั้นนับมื้อห่อหุ้มขังไว้บ่ให้เห็น พอปานเอาฟืนมาอ่อยไว้ทางเย็นนั้นแม่นบ่มี ความดีเผิ่นว่าได้ขันตีธรรมให้เพียรฮำเอาท่อญ หากสิเห็นทางดับมอดเชื้อไฟได้บ่หล่ายความ องค์นั้นมาเป็นกำแพงแก้วกันไฟกองใหญ่เอาความอีดู เมตตากรุณานั้นเป็นน้ำบ่แก้วเทเข้ามอดไฟโลกของเฮา จังสิเย็นอยู่ได้หายกังวลแสนแสบ หัวทีนั้นหัดให้ฮักใกล้ๆ คือพ่อแม่เป็นประถม หักให้สงสารกันตลอดทั้งลุงป้า หัดให้ดีไปเรื่อยๆ ญาติกาชั้นใกล้ก่อน ต่อจากหั้นขอให้รักเพื่อนบ้านบ่มีขั้นต่อไป จนตลอดสัตว์สองเท้าทุบบาทพระหุบท ทั้งอยู่ในดินแดนหมู่ปลาในน้ำ ครั้นว่าเฮาฮักกันแล้ว ความชังก็เลยผ่าย

    ครั้นความชังหนีจากแล้วความอยากฆ่าแม่นบ่มี ความอยากหักง้าวปืนกระสุนก็อิ๊ดอ่อน มีแต่ฮักฮ่วมห้องเสมอน้องพี่กัน ยู่ถ่างทำการสร้างหากินโดยทางชอบ ประกอบอาชีพล้นชาวเผี้ยงโทษบ่ดี อินทรีพรหมฟ้าเทวดาก็ยินม่วนนำแล้ว เหตุว่าอานิสงส์เมตตานั้น เป็นเสน่หาจ่องน้าวจิตใจนั้นให้ชื่นชม ก็จิงบรรดาลให้ชลธาไหลหลั่ง ข้าวในนาและหมากไม้หวานส้มก็มากมูล ครั้นแม่นมันแข็งกล้าหมดโลกาบ่มีอ่อน ดั่งนั้นก็จักเกิดเดือดร้อนคุงฟ้าดั่งกัน อินตาเจ้าจึ่งหลิงโลกโลกา เผิ่นก็ยินระอาเมืองมนุษย์บาปหนาเหลือล้น อันว่าธรณีเจ้าพระสุธาก็อกแตก เกิดระแหงแผ่ม้างดังขึ้นทั่วไป

    ฝูงหมู่คนกลัวย้านขวัญหายอกสั่น ย้านแต่ภัยห่อหุ้มสิตายเมี้ยนบ่นาน มันหากบรรดาลขึ้นเพราะเข็ญกรรมที่สัตว์ก่อ พร้อมทั้งฝนขาดฟ้าน้ำขาดห้วยอึดล้นยิ่งทวี ตามทีเผิ่นกล่าวไว้ในปีจอ(๒๕๖๑)คนสิเข้ามามาก แต่ว่ามันสิลดน้อยเพราะฝนฟ้าบ่ซุ่มเลิ่งแท้แล้ว แต่ว่าราคาข้าวเกวียนเดียวหกร้อยชั่งพุ้นแล้ว นับเงินใส่เม็ดข้าวเสมอเท่าพอกันนั่นแล้ว แต่นั้นอานนท์ต้านขานตอบองค์พุทโธ ครั้นแม่นเป็นจั่งซั้นไผหนอสิค้างโลกพระองค์เอ๋ย แต่นั้นพระองค์แย้มไขวาจาแล้วตรัสบอก

    อานนท์เอ๋ยโชคไผมีจิงสิได้พ้นคือความดั่งกล่าวมานั้น อันนี้เผิ่นกล่าวไว้ตามแห่งสรญาณ ตามความมีแต่ประถมประเหียนได้ ครั้นบ่เป็นจริงแท้สาธุการเป็นจังโชค ขอให้มนุสสาโลกกว้างเจริญขึ้นอย่าเสื่อมถอย อันนี้องค์พุทโธเจ้าหลิงโลกาสอดส่อง เผิ่นก็รู้เหตุฮ้อนดีแล้วจิงเผย เผิ่นเทศนาเอาไว้อาจารย์เฮาจำจื่อจึงดาย เผิ่นได้จารึกไว้เสาหินหน้าวัดใหญ่ เผิ่นบอกให้ฮอดห้องคราวนี้ให้ฮินตรองนั่นท่อญ ไผผู้ได้ฟังแล้วให้พยายามเพียรเอาแน่อีเฮียมเอ๋ย.

    อ้างอิง : คัดจาก “พุทธทำนายจากพระโอษฐ์ และพระปฐมสมโพธิ์ ภาคอีสานฉบับสมบูรณ์” พิมพ์ที่โรงพิมพ์ ลูก ส.ธรรมภักดี พ.ศ. ๒๕๒๙) โดย เอกอิสโร วรุณศรี

    ที่่มา พุทธทำนายจากพระโอษฐ์...จากหนังสือผูกอีสาน

    พระเดชพระคุณขาวกับดำมาเกิดพร้อมกันในหนึ่งเดียว


    ตำนานพระอุปคุต
    https://www.tci-thaijo.org/index.php/Wannawithat/article/download/48392/40202
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2016
  18. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    คนอื่นพูดว่าจะมาผมยัง 50 50 จ่าพูดว่าจะมานี่ ผม+เพิ่มอีก 20 เลยนะ

    ตกลงผู้มีบุญ จะมาจริงหรือครับจ่า
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระยาธรรมิกราชา เข้ามาปีกุน (พ.ศ.2562)

    [​IMG]

    พุทธทำนายจากศิลาจารึก ในมหาวิหารเชตวัน ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย โดยคณะทูตไทยที่ไปอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี พ.ศ.2485 ตามคำแปลเป็นภาษาไทย ว่าดังนี้

    สาธุ อะระหัง สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาสรรพสัตว์ทั่วโลก ที่เกิดมาแล้ว แต่ลำบากทั่วหน้า ทุกชาติ ทุกศาสนาตามธรรมชาติ เมื่ออาตมาเข้านิพพานไปแล้วครบห้าพันปี ศาสนาของอาตมาจะเป็นที่สุด เมื่อโลกหมุนไปถึงสองพันห้าร้อยปีเศษ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติใหญ่เสียครั้งหนึ่ง สิ่งที่สาธุชนไม่เคยเจอะจะได้เห็น ไม่เคยพบจะได้พบ ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับ กลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งนัก

    ใกล้กับ พ.ศ. 2560 ยิ่งทวีกันใหญ่ขึ้นทุกทิวาราตรี มนุษย์นอกพระศาสนา จะรบราฆ่าฟันกันจนถึงเลือดนองเต็มพื้นดิน พื้นน้ำ จะลุกลามเผามนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายเหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินจะเป็นเปลวไฟ จะตายไปอย่างละครึ่งหนึ่ง จึงจะเลิกล้ม ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกันตามวิสัยยักษ์ร้ายนอกศาสนา ซึ่งถือกำเนิดจากป่าอำมหิต

    ส่วนพุทธศาสนิกชนผู้ทำแต่บุญ เดินตามทางตถาคต สามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดได้บูชาพระโพธิสัตว์ผ้ากาสาวพัตร์ ก็จะรับภัยพิบัติเบาบางแต่หนีภัยธรรมชาติไม่พ้น

    ไฟจะลุกลามมาทางทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม สมณะชีพราหมณ์ จะอดอยากยากเข็น ลูกไฟจะตกจากฟ้า เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำ สงครามจะเกิดทั่วทิศ พระยานาคจะพ่นพิษเป็นเพลิง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวสารจะขาดแคลน ทุกแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง สีเหลืองจะชนะ พระยังอยู่คู่เมืองอีกต่อไป สีขาวจะแพ้ภัยในที่สุด ครุฑจะบินกลับฐาน คนจะกลับบำรุงพระพุทธเจ้า

    ว่าดังนี้ ชา ตะ มะ สะ ละ วา พรุ พระคาถานี้ท่านให้เขียนใส่กระดาษ หรือผ้าขาวติดไว้หน้าบ้าน หรือหัวนอน ดังนี้จะมีอายุยืนยาว จะทันผู้มีบุญชื่อ พระยาธรรมิกราชา เมื่อแรกสถิตอยู่เขตอยุธยา ต่อมาท่านเสด็จอยู่ลานช้าง ( ภาคอีสานในปัจจุบัน ) พระยาธรรมิกราชา เข้ามาปีกุน (พ.ศ.2562) เดือน 11 เป็นเที่ยงแท้หนักหนา ท่านเสด็จมาก่อนหน้าในปีระกา (พ.ศ.2560) แรม 5 ค่ำ มหากษัตริย์มาทางทิศตะวันตก สมณะชีพราหมณ์ตามมาพอประมาณได้ 76,400 รูป ทั่วอาณาจักรสมเด็จพระบรมนักปราชญ์ได้ประกาศคาถาว่า ดังนี้ นะ สัจ จัง ทะ คะ ยัง มะ สำ คำ ปัง

    คอยดูในปีมะโรง (2555) คนจะเดินโก่ง คลาน ผู้ใดอยากพบผู้มีบุญชื่อพระยาธรรมิกราชให้ภาวนา ให้หมั่นรักษาศีล สดับตรับฟังพระธรรมเทศนา
    คอยดูปีมะเส็ง (2556) ตลิ่งจะพัง มหาสมุทรจะชอกช้ำ อย่าเที่ยวไปกลางแจ้ง ท่านเข้ามาปีกุน (พ.ศ.2562) เดือน 11 เป็นเที่ยงแท้ ผู้ใดไม่เชื่อ ให้คอยดูกันต่อไป คอยดูในปีจอ (พ.ศ.2561) คนจะพ้นภัยด้วยคุณงามความดี

    สะโรนะกา โททายะโม พุทธะตะยะ ภาวนาทุกเช้าค่ำ ผู้นั้นจะมีอายุยืนนาน จะได้เห็นพระธรรมมิกราช (พระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรย) ในปีกุน ท่านจะเข้ามาอีก รู้แล้วให้บอกต่อกันด้วย

    คำเตือน โลกมนุษย์กำลังจะเข้าสู่กลียุค จะทำให้เกิดภัยธรรมชาติจาก ดิน น้ำ ไฟ ลม จะเกิดมหาสงครามโลกครั้งที่ 3 ตามมา มนุษย์จะตายไปกว่าครึ่ง

    สำหรับประเทศไทย จะเริ่มเกิดตั้งแต่ปี 2555 คาดว่า จะได้รับภัยทางน้ำ และ แผ่นดินไหวที่หนักมากกว่าปี 2554 โดยเฉพาะจังหวัดที่ติดชายทะเลและกรุงเทพฯ แผ่นดินจะยุบตัว คลื่นน้ำจะพัดเข้าถล่มความสูง 20 เมตร มนุษย์จะล้มตายมากกว่าครึ่ง น้ำจะเข้าถึงสระบุรี ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ สุดท้ายในปี 2562 ประเทศไทยจะเหลือประชากรมากกว่าประเทศอื่นๆ

    ส่วนประเทศอื่นทั่วโลก จะเหลือเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น บุคคลที่รอดชีวิต ส่วนมากก็สูญเสียสติสัมปชัญญะ ไม่ปลอดภัยเหมือนเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนา เพราะไม่เข้าใจบำเพ็ญฌานภาวนา ฉะนั้น อย่าหลงใหลในทรัพย์สินของตนเองให้มากนัก เพราะเมื่อเข้ายุคศิวิไล เงิน ทอง จะไม่มีค่า เพราะมนุษย์ยุคนั้น วัดกันที่ความดี ความมีศีลธรรม หรือบุญกุศลเท่านั้น (ปีมะโรง พ.ศ. 2555 ปีมะเส็ง พ.ศ. 2556 ปีระกา พ.ศ. 2560 ปีจอ พ.ศ. 2561 ปีกุน พ.ศ.2562 )

    พุทธพยากรณ์ดังกล่าวข้างต้นนี้ เกิดขึ้นแน่นอน และในช่วงชีวิตของพวกเราในยุคนี้จักได้พบเห็นแน่นอน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรประมาท ไม่ควรตระหนก แต่ต้องตระหนัก และ ไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยไม่ทำอะไร อย่างน้อยที่สุด ท่านควรทำทุกหน้าที่ของท่านให้ดีกว่าเดิม ท่านมีหน้าที่อะไร ในสถานที่ไหน ขอให้ท่านอยู่กับปัจจุบันขณะ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในรูปที่คิดดี พูดดี และ ทำดี ในทุกวันเวลาที่เปิดช่องให้สามารถกระทำได้ อย่างน้อยต้อง

    - ตั้งใจมีเมตตาต่อสรรพสัตว์ คือ ตั้งจิตปรารถนาและกระทำให้ผู้อื่นสัตว์อื่นมีความสุข

    - ตั้งใจมีความกรุณา คือ ตั้งจิตปรารถนาและกระทำให้ผู้อื่นสัตว์อื่นพ้นจากความทุกข์

    - ตั้งใจมีมุทิตา คือ ตั้งจิตปรารถนาและยินดีด้วยความจริงใจที่ผู้อื่นได้ดีมีความสุขความสำเร็จ และ

    - ตั้งใจมีอุเบกขา คือ ตั้งจิตวางเฉยเป็นกลาง เมื่อกระทำให้ผู้อื่นสัตว์อื่นมีความสุขไม่ได้ หรือ พ้นจากความทุกข์ไม่ได้

    สิ่งใดเหลือวิสัยที่เราเข้าไปช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ไปแก้กรรมให้ผู้อื่นไม่ได้ กรรมใครกรรมมัน ทุกชีวิตมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ผู้ใดทำกรรมใดไว้ ย่อมต้องได้รับผลของกรรมของตนเอง ไม่ต้องไปทุกข์ใจใดๆด้วย แต่อย่างน้อยที่สุด อยากเชิญชวนท่านให้จัดสรรเวลามาสวดมนต์ในบทที่ท่านชอบ และ ทำสมาธิ ปฏิบัติกรรมฐานในสถานที่ใดๆ ก็ได้ที่ท่านสะดวก ฝึกให้ชำนิชำนาญท่านจะได้ประโยชน์อย่างยิ่ง

    ที่มา https://watthungsretthree.wordpress.com/พุทธทำนาย/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • bud1709_06.jpg
      bud1709_06.jpg
      ขนาดไฟล์:
      261.6 KB
      เปิดดู:
      1,836
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    อ้างถึง

    ธรรมอันยิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายฯทรงพึงเคารพพึ่งพึ่งพระสัทธรรม

    “ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก
    เป็นธรรมสงบ ประณีต ไม่หยั่งลง สู่ความตรึก ละเอียด
    เป็นวิสัยของบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง
    ฐานะคือความที่อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารเป็นต้นนี้
    เป็นสภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นนี้ แม้ฐานะคือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง
    เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
    หากิเลสเครื่องร้อยรัดมิได้ นี้ก็แสนยากที่จะเห็นได้
    ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม สัตว์เหล่าอื่นก็จะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา
    ข้อนั้นจะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา
    จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา”


    ปฏิสัมภิทามรรค

    " ผู้ที่มีจิตไม่มั่นคง ไม่ทราบพระสัทธรรม
    มีความเลื่อมใสรวนเร ย่อมมีปัญญาบริบูรณ์
    ไม่ได้"


    {O}ผู้เห็นธรรมมีเพียง ๓ สถานะเพียงเท่านั้น{O}
    " ผู้เห็นธรรม๑ คือเห็นธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์,พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เห็นโดยตรง ตลอดจนพระอริยะสงฆ์สาวกและอุบาสกและอุบาสิกา ตรัสรู้เห็นโดยตรง" ซึ่ง"พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บท"โดยปฎิสัมภิทาญาน"
    " ผู้เห็นธรรม๒ คือการพิจารณาธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง อันสำเร็จด้วยพระพุทธประสงค์ให้เห็นตามด้วยพระทศพลญาน
    " ผู้เห็นธรรม๓ คือการพิจารณาธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สืบทอดด้วยมุขปาฐะและการจารึกตีพิมพ์ กันมาด้วยความเพียรพยายาม ด้วยสภาวะบุญอันเข้าถึงในอดีตชาติที่สั่งสมการพิจารณาใคร่ครวญปฎิบัติมาดีแล้ว

    ปฏิสัมภิทัปปัตตะ ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ คือ
    ๑) อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถหรือปรีชาแจ้งเจนในความหมาย
    ๒) ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม หรือปรีชาแจ้งเจนในหลัก
    ๓) นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ หรือปรีชาแจ้งเจนในภาษา
    ๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ หรือปรีชาแจ้งเจนในความคิดทันการ
    ผู้ที่ได้ปฎิสัมภิทาญานคือเป็นผู้เห็นยังพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทโดยขอให้คำจำกัดความตามจริงว่า ได้เห็นจริงตรองตามนี้ได้
    ๑.จะรู้และเข้าได้ทันที่ว่า ตีมุมกลับ "พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายตลอดจนพระอริยะสงฆ์สาวกและอุบาสกและอุบาสิกาเป็นผู้ทรงปฏิสัมภิทารู้แจ้งเห็นธรรมอันเดียวกัน ซึ่งแสดงให้เห็นซึ่งรูปแบบหนึ่งเดียวของพระสัทธรรม
    ๒.จะรู้แล้วเข้าใจได้ทันทีว่า ในช่วงที่ว่างเว้นคือ ว่างจากการเสด็จมาตรัสรู้ในพุทธันดรนั้น พระสัทธรรมนี้ก็ยังคงอยู่ ไม่ได้เลือนหายไปไหน
    ๓.จะรู้และเข้าใจได้ทันที่ว่า เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงทรงเคารพพึ่งพิงสรรเสริญแด่พระธรรม นั้นเพราะการตรัสรู้พระธรรมนั้นทำให้พระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ๔.จะรู้และเข้าใจในสิ่งที่ไม่มีจารึกเลยว่า ที่พระองค์จะสั่งหรือเคยบอกการใดใด เลยว่าพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้เห็นนั้น เป็นพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทฉบับดั้งเดิม เพราะเป็นสิ่งที่เกินวิสัยสามัญมนุษย์ธรรมดาจะพึงเห็นได้ นอกจากที่ทรงตรัสเอาไว้ซึ่งบทธรรมนั้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดในยุคปัจจุบันที่สามารถเข้าใจและรู้คุณความหมายอันเป็นปัตจัตตังโดยเฉพาะนี้ได้
    ๕.จะรู้และเข้าใจในสิ่งที่ไม่มีจารึกเลยว่า ในพระปัจฉิมโอวาททรงเน้นย้ำให้ถือว่า พระธรรมคำสั่งสอนและพระธรรมวินัยเป็นศาสดา และจงพึ่งพาตนเอง พร้อมตรัสปลอบให้กำลังใจ ในหลายต่อหลายครั้งในเรื่องการปฎิบัติ เช่นในเรื่อง หากยังมีผู้ปฎิบัติตามธรรมนี้อยู่ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ แต่ไม่ทรงถือตัวพระองค์เองเลยว่า หากขาดพระองค์ไปแล้ว ย่อมขาดผู้หยั่งสภาวะธรรมด้วยพระทศพลญาณ๑๐ อันเป็นกำลังแห่งพระพุทธเจ้า ที่จะสามารถแก้ไขข้อติดขัดในการพิจารณาธรรมของพระสงฆ์สาวกได้อย่างดีที่สุด ฉนั้นการที่ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นก็คือ ความวิบัติ ขาดสูญ ในการสำเร็จธรรมของเหล่าพระสงฆ์สาวกโดยแท้ เพราะไม่มีผู้ใดจะปรีชาญาณเทียมเท่าพระองค์อีกแล้ว
    ๖.ผู้ได้พบได้เห็นพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บท ย่อมจักเป็นผู้ได้เสวยวิมุตติธรรมตั้งแต่ระดับ วิกขัมภนวิมุตติ ตทังควิมุตติ ตลอดจนขึ้นไปถึง สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ
    ๗.ปริยัติอันตรธาน ยังไงก็ต้องเกิดขึ้นและอันตรธานหายไปอย่างแน่นอน และต่อพระปริยัติหายไปจากโลกธาตุ แต่ก็จะยังคงอยู่เหมือนเดิม ด้วยสภาวะสูญญตาธรรม เรื่องปฎิสัมภิทาญาน นั้นขึ้นอยู่กับว่า ท่านใด มีบุญบารมีทรงจำได้มากหรือน้อย นี่คือความแตกต่างของ ระดับการทรงจำ ปฎิสัมภิทาญานจึงมีความแตกต่างกันอย่างเดียวคือ การทรงจำได้มาก หรือ น้อย เพียงเท่านั้น นั่นก็หมายถึงความสามารถในการแจกแจงแสดงธรรมทั้งมวลนั่นเอง

    "จงพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงเถิดว่า"
    องค์สมเด็จพระบรมมหาศาสดาทรงจำแนกพระธรรมคำภีร์คำสั่งสอนออกมาเป็นทางสายกลางสายเดียวไม่มีแปลกแยกเป็นอื่น ผู้ที่ถือพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทโดยปฎิสัมภิทาญานได้ "เปรียบเสมือนผู้ถือแท่งทองชมพูนุช"เป็นแม่แบบ เป็น"รัตนมหาธาตุ"ย่อมสามารถมองล่วงรู้เห็นว่า ทองคำแท่งใดปลอมปน วัสดุอื่นตามได้อย่างละเอียด ว่ามีเหล็กบ้าง ตะกั่วบ้าง เป็นต้น ถ้าถึงกาลเวลานั้น คือมีผู้สามารถรวมรวมการแตกแยกของนิกายทั้งหมดมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้เมื่อไร ด้วย ปาฎิหาริย์ ๓ ตอนนั้นจักรวรรดิธรรม ก็จะพร้อมเรียกชื่อ นิกาย อันมีนามแท้"ดั้งเดิม" อันเป็นนามที่แท้จริงของพระศาสนา เหมือนกับสมัยพุทธันดรก่อนๆ นั้นแล

    ในกาลนี้ที่ประเทศนี้หรือในต่างประเทศยังไม่มีผู้ใดไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต หรือแม้แต่นักบวชนอกพระพุทธศาสนาเหล่าอื่นใด ที่สามารถบ่งบอกสถานะการมีอยู่ ของพระสัทธรรมได้เทียมเท่ากับเราแม้แต่เพียงผู้เดียว ผู้ใดเห็นและรู้ตามเราผู้นั้นคือผู้เห็นธรรมอันแสนจะเห็นได้ยากโดยแท้ และแม้พระไตรปิฏกธรผู้ทรงจดจำ ก็ไม่สามารถเห็นธรรมนั้น และไม่สามารถสงเคราะห์เหล่าธรรมต่างๆ เพื่อแยกแยะแจกแจง ลงได้ในมหาปัฏฐานปกรณ์และธาตุกถาโดยหลักในพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ได้แม้แต่เพียงผู้เดียว ในโลกนี้ตอนนี้ไม่มีผู้สามารถทำเช่นนั้นได้ ถือว่าเป็นงานที่ยากที่สุดและมีคุณค่าความหมายเป็นที่สุด นี่จึงเป็นการแสดงการแจกแจงแสดงพระสัทธรรมทั้งมวลฯ อันยอดเยี่ยมยิ่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธรรมโปรดต่อพระพุทธมารดาและเหล่าเทพยดาเทวาทั้งหลายฯ พุทธบริษัท ๔ สาวกใดเมื่ออ่านข้อความนี้จากเราแล้ว และจักเป็นประโยคอันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่จักเคยได้อ่านผ่านตา ซึ่งคุณอันลึกซึ้งนี้ คงจะพอทราบฐานะธรรมและจักรู้และได้ประโยชน์ในธรรมที่เราแสดงไว้นี้สืบไปชั่วกาลนาน

    จงค้นหาตนเองให้เจอ แล้วมากับเรา
    อสัทธรรม คัมภีร์อหังการวิเศษมาร คือศัตรูที่มองไม่เห็นนั้น ได้เริ่มก่อการอย่างเงียบๆและได้ปรากฎขึ้นแก่เรามาตั้งแต่ ๒,๕๕๔ แล้ว ผู้ใดมีภาระหน้าที่เช่นเราและเกี่ยวข้องกับเรา จงจดจำภาษิตนี้เอาไว้
    ขอมอบเป็นธรรมทานเข้าพรรษาปีนี้

    *******************************************

    ผู้มีบุญมาแน่นอนสหายธรรม ผู้ที่ทราบในสิ่งที่เราแสดงอยู่ตรงนี้ก็มีบุญ มีโอกาสบรรลุปาฎิหาริย์ ๓ และปฎิสัมภิทาญาน ถึงเวลานั้น ถ้าจะเรียกให้ถูก ควรเรียกว่าแสดงตนจะเหมาะสมกว่า สำหรับผู้จุติมาก่อนและยังเสวยชาติอยู่ เหล่าอัญญาสิทธิ์ อัญญาธรรม เข้าถึงปาฎิหาริย์ ๓ และทรงพระไตรปิฏกด้วยปฎิสัมภิทาญาน จะไม่ยอมอยู่นิ่งๆแน่นอน เพราะธาตุขันธ์ ๕ ของบุคคลเหล่านั้นจะปราศจากการดำรงอิทธิบาท ๔ ในธรรมมิได้

    *ในอดีตชาติพระราชปาล และผู้ครองปราสาทมุกสวรรค์อันเงียบสงบ ตลอดชั้นฟ้า* เราเป็นผู้แสดงภัยของการระลึกชาติ

    สำหรับในชาตินี้เราถือตนเองว่าเป็นผู้ร่ำเรียนศึกษามาน้อยที่สุด แม้ชีวิตจริงครอบครัวยากจนข้นแค้น เพราะตั้งใจเลือกมารดาเกิด ในนิมิตมารดาของเราก็ไม่เลือกแก้วแหวนเงินทองเหมือนสตรีหญิงอื่นที่นุ่งห่มโจงกระเบนนับร้อยพัน กลับเลือกเพียงนาฬิกาเรือนเก่าๆ ในทุ่งต้นกัลปพฤกษ์ จนสตรีอื่นเหล่านั้นต้องมาขอแลก ไม่ต้องกล่าวถึงเหล่าบุคคลที่่จะแสดงตนตามมาเลย ว่าจะมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ขนาดไหน เมื่อเหล่าอัญญาสิทธิ์ อัญญาธรรมเหล่านั้นได้เข้าสู่ทิพยภูมิของพระอริยะ ก็จะรู้กิจที่กำหนดรู้อันเป็นทุกข์ของพระอริยะได้เอง สุดท้ายก็จะมารวมตัวกันโดยมิได้นัดหมาย รอเพียงฐานะของบุคคลเบื้องสูงปรากฎ


    เราเป็นผู้แสดงปฎิสัมภิทาญาน องค์กำเนิดธรรม อันขึ้นชื่อว่า พระไตรปิฏก เป็นบุคคลแรกในรอบกึ่งพุทธกาล เพื่อเตรียมการรอคอยบุคคลอื่น และที่สำคัญ ในเว็บพลังจิตนี้ จะต้องมีพยานหรือบุคคลที่รู้เห็นตามอย่างแน่นอน อย่างที่ได้เสวนากันไปแล้ว แม้จะถูกมาร ๕ ครอบ ผู้ดูแลลบทิ้งไป โดยข้อหาเพ้อเจ้อ เพราะด้วยความเข้าใจผิด แต่ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าใจ อะไรที่มันใหม่เกินไป และยังไม่ทราบความจริง มันยากที่จะให้ความเชื่อถือได้ เพราะความไม่รู้ เป็นธรรมดา ไม่ว่ากันของจริงอันเป็นสัจจะ ก็ไม่ได้สูญหายไปไหน ก็เลยพยายามหาหลักฐานแสดงมาโดยตลอด ถ้าลบเที่ยวนี้ก็ให้ตามหาเอากันเอง เว็บพลังจิตนี้มีกระแสของบุญกุศลมาก เข้าถึงได้มากสำหรับผู้เล่าเรียนและปฎิบัติธรรมต่างๆ


    http://palungjit.org/threads/ทำผิดกฏ-ใบแดง-สำหรับ-คุณ-จ่ายักษ์-เพ้อเจ้อ.549179/



    ในกาลนี้เราเป็นเพียงพยาน เป็นผู้รู้เห็นและพิจารณาตามกาล และเมื่อเราออกบวชไปแล้ว สิ่งที่เราแสดงไปเบื้องต้นนี้ จะเป็นหลักฐานที่เราชี้แจงไว้ก่อนล่วงหน้า นับตั้งแต่ห้วงเวลาตามพุทธพยากรณ์ที่ทรงแสดงไว้ และ พระอรหันต์เถระและพระสงฆ์สาวกหลวงปู่หลวงตาได้แสดงไว้โดยไม่ขัดกันและวิสัชนาให้ยิ่งไปอีก อะไรที่เปิดหมดทุกอย่าง แต่ยังไม่ปรากฎก็จะมักมีการแต่งเสริมลอกเลียนแบบ นียัตถะและเนยยัตถะ

    ผมเน้นอย่างแรกนะครับ เพราะทรงตรัสเป็นเนยยัตถะ ถึงเรื่อง ภัยที่ ๕ พุทธทำนาย ,ตลอดจน พระอรหันต์เถระ จนมาถึงพระสงฆ์หลวงปู่หลวงตาหลวงพ่อ

    พระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัส ว่าโดยการแปลความหมาย มี 2 ประเภท คือ
    1. เนยยัตถะ
    [พระสูตร]ซึ่งมีความหมายที่จะต้องไขความ, พุทธพจน์ที่ตรัสตามสมมติ
    อันจะต้องเข้าใจความจริงแท้ที่ซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง เช่นที่ตรัสเรื่องบุคคล ตัวตน เรา-เขา ว่า บุคคล 4 ประเภท, ตนเป็นที่พึ่งของตน โดยเฉพาะ เรื่องที่เกี่ยวกับ พุทธพยากรณ์ เป็นต้น



    2. นีตัตถะ
    [พระสูตร]ซึ่งมีความหมายที่แสดงชัดโดยตรงแล้ว, พุทธพจน์ที่ตรัสโดยปรมัตถ์ซึ่งมีความหมายตรงไปตรงมาตามสภาวะ เช่นที่ตรัสว่า รูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น


    ผู้ใดแสดงพระสูตรที่เป็นเนยยัตถะ ว่าเป็นนีตัตถะ หรือแสดงพระสูตรที่เป็นนีตัตถะ ว่าเป็นเนยยัตถะ
    ผู้นั้นชื่อว่ากล่าวตู่พระตถาคต



    คือเราสามารถตั้งข้อสงสัยได้ โดยไม่ต้องกล่าวตู่พระพุทธเจ้า

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
    อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต
    ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
    คนที่แสดงพระสุตตันตะที่มีอรรถจะพึงนำไปว่า พระสุตตันตะมีอรรถนำไปแล้ว ๑
    คนที่แสดงพระสุตตันตะที่มีอรรถอันนำไปแล้วว่า พระสุตตันตะมีอรรถที่จะพึงนำไป ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล ย่อมกล่าวตู่ตถาคต

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมไม่กล่าวตู่ตถาคต
    ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
    คนที่แสดงพระสุตตันตะที่มีอรรถจะพึงนำไปว่า พระสุตตันตะมีอรรถที่จะพึงนำไป ๑
    คนที่แสดงพระสุตตันตะที่มีอรรถอันนำไปแล้วว่า พระสุตตันตะมีอรรถอันนำไปแล้ว ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล ย่อมไม่กล่าวตู่ตถาคต ฯ



    เมื่อมี นียัตถะ และ เนยยัตถะ คำว่าปรุงแต่งเนื้อเรื่องแต่งเรื่องราวจึงไม่มีไม่เกิด เพราะจะต้องวิสัชนาให้เป็นไปในทางเดียวเท่านั้น ไม่ดิ้นเป็นอื่น


    เมื่อปาฎิหาริย์ ๓ ปรากฎ เวลานั้น จะมาถึง เพราะฉนั้นควรหมั่นเจริญภาวนารักษาศีลให้บริสุทธิ์ ตามกาล เมื่อสภาวะถึง ท่านอาจเป็นหนึ่งในนั้น โดยไม่ต้องงกับตนเองอยู่ ว่าสภาวะนั้นคืออะไร? มีความหมายอะไร?


    กระทู้นี้
    ครั้งแรกในรอบ๒๕๐๐ปีอรรถาธิบายสาธยายการจุติ"พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ดั้งเดิม"

    http://palungjit.org/threads/ทั้งชีวิตขอเรื่องเดียว.548578/

    (f)ลบไปแล้ว เสียดายจัง(kiss)


    ปาฌิมฺหิ เจ วโณ นาสฺส หเรยฺย ปาณินา วิสํ
    นาพฺพณํ วิสมนฺเวติ นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต.

    ถ้าฝ่ามือไม่มีแผล ก็พึงนำยาพิษไปด้วยฝ่ามือได้ ยาพิษซึมเข้าฝ่ามือ ไม่มีแผลไม่ได้ ฉันใด บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ ฉันนั้น.
    (พุทฺธ) ขุ. ธ. ๒๕/๓๑.


    พุทธทำนาย
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    https://th.wikipedia.org/wiki/พุทธทำนาย


    ต้นกัลปพฤกษ์ : อุตรกุรุทวีป และต้นกัลปพฤกษ์ต้นไม้ประจำทวีป
    ต้นกัลปพฤกษ์ : ต้นไม้ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กับ จิตรกรรมไทยประเพณี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2016

แชร์หน้านี้

Loading...