พุทธพยากรณ์ และภัยพิบัติโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 8 เมษายน 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    วิถีอนุตตรธรรมเป็นแนวทางที่ใครก็บำเพ็ญได้ เป็นวิถีธรรมชั้นสูงที่สะดวกในการปฏิบัติ

    ผู้ที่เพิ่งรับวิถีธรรมหรือผู้ที่จะค่อยมาฟังธรรมครั้งแรก จงตั้งใจฟังให้ดีนะ
    วิถีธรรมที่เจ้าได้รับในวันนี้ วิถีธรรมที่เจ้ากำลังปฏิบัติอยู่นี้ เป็นหนึ่งเดียวกับที่พระบรรพจารย์ที่มีโองการสวรรค์ทั้งหลายในอดีตกาล ถ่ายทอดสัจธรรมแท้สืบต่อกันมา ความแยบยลแห่งพระนิพพาน ก็คือวีถีธรรมที่เจ้าได้รับในวันนี้แหละ เป็นพระคัมภีร์รวมของทั้งห้าศาสนา เป็นสัจธรรมที่กลั่นกรองความสุดยอดจากสรรพศาสตร์ทั้งปวง “เต๋า” หนึ่งนิ้วจุดเจิมโองการสวรรค์พระวิสุทธิอาจารย์เป็นสัจธรรมของหมื่นคัมภีร์แสนสรรพศาสตร์ ที่กลั่นกรองเอาแต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมมารวมกันไว้ อนุตตรธรรมหนึ่งเดียวนั้นถ่ายทอดโดยวิถีแห่งจิต ชี้ตรงเข้าสู่จิตคน ประจักษ์จิตเดิมแท้สำเร็จเป็นพุทธ เป็นวิธีฉับพลันที่ชี้ให้เห็นจิตเดิมที่ใสบริสุทธิ์แห่งตน เป็นวิถีธรรมการบำเพ็ญชั้นสูงที่เป็นไปตามธรรมชาติ
    สัจธรรมที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในคัมภีร์ หรือตัวอักษรของคัมภีร์ แต่อยู่ที่การได้ฉุดช่วยเวไนยให้ได้เกิดใหม่อีกครั้ง (พ้นจากการทำบาปทั้งปวง) ให้ได้รู้ทางหลุดพ้นตายเกิดเป็นหลัก เป็นอัญมณีล้ำค่าที่นำให้เราตัดขาดจากทุกข์ทั้งปวงในจักรวาล เป็นธรรมะชั้นสูง และเป็นกุญแจสำคัญที่นำพาเราทะยานเข้าสู่ประตูนิพพาน เพราะฉะนั้น อนุตตรธรรมก็คือรากหรือแก่นแท้ของปัญญาธรรมแห่งจิตวิญญาณได้ถ่ายทอดและดึงเอาสิ่งจริงแท้ความแยบยลที่มีอยู่แล้วในตัวเราออกมา จุดมโนทวารก็คือที่ที่จิตวิญญาณของเจ้าสถิตอยู่นั่นเอง
    การได้รับการเบิกเนตรก็คือการกลับสู่ต้นตอเดิม กลับสู่แดนเดิม ได้มีโอกาส เข้าเฝ้าพระแม่องค์ธรรม ได้รับชีวิตที่เป็นนิรันดร หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เป็นวิถีทางเดียวที่จะตัดให้หมดสิ้นจากทุกข์ทั้งปวง
    อาจารย์เจิมเป็นตัวแทนทำพิธีเจิมแทนพระวิสุทธิอาจารย์ เปิดประตูทางตรงแห่งดวงจิตวิญญาณ ประตูแห่งการเกิดดับ เป็นวิถีธรรมหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะนำพาศิษย์ทั้งหลายตัดขาดจากรากกรรมทั้งปวงเพื่อเข้าสู่ความเป็นนิรันดร และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
    ด้วยเหตุฉะนี้ ศิษย์เจ้าทั้งหลายเอ๋ย อนุตตรธรรมนั้นล้ำค่ามาก แต่ว่าเจ้าจะต้องรู้จักบำเพ็ญให้ถูกต้อง จึงจะแสดงถึงคุณค่านั้นได้ ธรรมะนั้นไร้รูปไร้นาม แต่ว่าคุณธรรมในตัวเจ้านั้น สามารถทำให้ผู้คนรับรู้ได้ ดังนั้นสมควรที่จะเอาคุณธรรมในตัวเจ้ามาฉุดช่วยเวไนย มากล่อมเกลาจิตใจเวไนยทั้งหลายมิยิ่งได้ผลเร็วยิ่งขึ้นหรือ ส่วนตัวเจ้าเองก็ สามารถสร้างบุญกุศลชำระปณิธานกลับขึ้นสู่พระนิพพานได้เร็วยิ่งขึ้น จะต้องชำระปณิธานแล้วสิ้น ถึงจะได้กลับขึ้นเข้าสู่พระนิพพานได้
    อนุตตรธรรมเป็นวิถีธรรมที่ใครๆก็บำเพ็ญได้ เป็นวิถีธรรมชั้นสูงที่ทุกๆคนสะดวกในการบำเพ็ญ ขอแต่เพียงว่าศิษย์เจ้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะทำอะไรขอให้ทำด้วยจิตคุณธรรม ด้วยความรู้สึกที่ดี ด้วยความสามารถที่ถูกต้อง มาติดต่อ รับใช้ผู้คนในหน้าที่การงาน อีกทั้งในเรื่องของชีวิตประจำวัน การนั่งการนอน การเดินเหิน การอยู่กินทุกๆอย่างล้วนเป็นธรรมะ หากมีศิษย์เจ้าพูดว่า “การบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องที่น่ารำคาญมากจะต้องละซึ่งความโลภ โกรธ หลง ละซึ่งอารมณ์ทั้งเจ็ด ความอยากทั้งหกและต้องตัดนิสัยที่ไม่ดีทั้งหมดทิ้งไปด้วย อย่างเช่นการสูบบุหรี่ การพนัน แหมมันช่างยากเหลือเกินนะ หากต้องเป็นเช่นนี้แล้ว ชีวิตคนเราจะไปมีรสชาติอะไรเหลืออยู่อีกเล่า” ถ้าหากว่ามีศิษย์เจ้ารู้สึกว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องที่ลำบากและยุ่งยากมากละก็ ถ้าเช่นนั้นสมควรที่จะสำรวจตัวเอง ถามใจตัวเอง พิจารณาตัวเองให้ดีว่า อารมณ์เจ็ดและกิเลสทั้งหกในตัวนะมีมากเกินไปหรือเปล่า ความโลภ ความเพ้อฝันในตัวเองมีมากเกินไปหรือเปล่า และก็อาจจะมีบางคนสงสัยอยู่ในใจว่า ท่านอาจารย์ครับคนเราเกิดมาก็มีอารมณ์เจ็ด ตัณหาหกเป็นกิเลส มีโลภ โกรธ หลง ก็ล้วนมีอยู่ในตัวทุกคน ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีคำพูดอยู่คำหนึ่งว่า “สือ เซ่อ วิ่ง เย” ใช่ไหมครับ ถ้าเช่นนั้นจะหมายความว่าอย่างไร เอาละอาจารย์ก็จะมาอธิบายให้ฟัง
    คำว่า “ซิ่ง” ใน “สือ เช่อ ซิ่ง เย” นั้น ไม่ใช่ “ซิ่ง” ที่แปลว่าอุปนิสัยเดิมแท้ที่มีมาก่อนเราลงมาเกิดในโลกนี้ แต่เป็น “ซิ่ง” ที่เป็นจิตเดิมแท้นั้นได้ถูก “ซิ่ง” หรืออุปนิสัยใจคอ อารมณ์ สันดานทางโลกครอบคลุมเสียหมด จึงเป็นเหตุแห่งการเวียนว่ายไม่รู้จบสิ้น ศิษย์เจ้าทั้งหลายควรรู้ไว้ด้วยว่า เมื่อตอนที่เจ้ามาเกิดที่โลกนี้นั่นนะ สองมือเจ้าล้วนว่างเปล่า แต่เนื่องจากอายุไขก็มากขึ้นไปตามวันเวลา ตัวเองก็จมปลักอยู่แต่ในการเสพสุขทางโลก อันนำมาซึ่งความทุกข์เป็นชั้นๆ ความเหนื่อยกายเหนื่อยใจมากมาย และพอดำเนินมาจนบั้นปลายแห่งชีวิตแล้ว จึงสำนึกได้ว่า ”อะไรๆในโลกก็เอาไปไม่ได้ มีแต่บุญบาปเท่านั้นที่ติดตัวไป” ดังนั้นคนเราเมื่อได้ลงมาเกิดในโลกนี้แล้ว ไม่ใช่มาเพื่อเพียง กิน นอน เที่ยว อึถ่าย ไม่ใช่มาเพียงเพื่อเสพสุขทางโลกเท่านั้น ถ้าหากจะเป็นเช่นนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน แต่ว่าเกิดเป็นคนก็ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ทำงานหาเงินเลี้ยงชีพเพราะความผูกพันเท่านั้น การใช้ชีวิตคนอย่างนี้ก็จะค่อนข้างเสียโอกาสไป​
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ปณิธาน


    ศิษย์ธรรมกาลยุคขาว ล้วนมีภารกิจ และปณิธานที่ต้องฉุดช่วยโลก ฉุดช่วยเวไนย ฉุดช่วยจิตวิญญาณทุกคน มนุษย์เราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนมีภารกิจกันทุกคน ดังคำที่ว่า “เทียนมิ่งจืออวุ่ยซิ่ง” จิตญาณของคนนั้นฟ้าเป็นผู้ประทานให้ ฟ้าได้ประทานดวงวิญญาณที่ใสสะอาดให้แก่ศิษย์เจ้าทุกคน ส่งเจ้าลงมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ หรือบางคนก็เสนอตัวยินยอมลงมาเกิดเป็นคนเพื่อที่จะมาฉุดช่วยเวไนยกลับขึ้นไป ลงมาเกิดเพราะว่าต้องมากระทำภารกิจหน้าที่ของตัวเอง ดังนั้นศิษย์เจ้าทั้งหลายจงรีบๆตื่นจากภวังค์เถิด จงมาร่วมกระทำภารกิจในวาระโอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้ ฉุดช่วย เก้าหก จิตญาณเดิมให้ได้กลับขึ้นไปเบื้องบน ในช่วงปลายยุคนี้ ศิษย์อนุตตรธรรมทุกๆคนที่ได้พบ ได้รับมหาสัจธรรมนี้ ล้วนแล้วแต่มีภาระหน้าที่ ที่จะต้องลงมาโปรดโลกด้วยกันทั้งนั้น แต่ละคนก็มีความสามารถเฉพาะตัวที่จะไปโปรดโลก ภาระ หน้าที่ของแต่ละคนนั้นต้องแบกรับเอง และนี่คือการช่วยฟ้าเบื้องบนเกื้อหนุนโลกมนุษย์ เป็นการดำเนินงานธรรมให้กับสวรรค์ และก็เป็นการแบ่งเบาความเหน็ดเหนื่อยของอาจารย์ แบ่งปันความทุกข์ของ พระแม่องค์ธรรม
    หากว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแต่ไร้ซึ่งปณิธานแล้ว ก็เสมือนหนึ่งเป็นคนไร้ซึ่งจุดมุ่งหมายในชีวิต ไม่สามารถที่จะบังคับตัวเองพุ่งทะยานไปข้างหน้า อีกทั้งยังจะรู้สึกว่าชีวิตนี้ช่างเลือนรางเหลือเกิน “ฉันจะบำเพ็ญอย่างไรดี ฉันจะทำอย่างไรดี” แต่ศิษย์เจ้าทั้งหลาย ในปลายยุคนี้ได้มีโอกาสพบและได้รับสิ่งที่ล้ำค่าของมหาสัจธรรม ได้มีโอกาสมากมายที่จะสร้างกุศลและชำระปณิธาน แต่เจ้ากลับไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญอย่างไร จะทำอย่างไร มันช่างน่าเสียดายจริงๆใช่ไหม



    จงเอาแรงปณิธานฉุดช่วยตัวเอง เป็นการเดินเข้าสู่กุศลหนทางธรรมแท้
    ศิษย์เจ้าทั้งหลาย เมื่อตอนที่เจ้าทั้งหลายรับธรรมะนั้นล้วนได้ตั้งปณิธานสิบข้อ สิบข้อไหนบ้าง
    (จะมั่นคงในศรัทธา จะสำนึกด้วยจริงใจ จะบำเพ็ญด้วยจริงใจ หากว่ามีการ เคลือบแฝงเสแสร้ง ถดถอยไม่ก้าวหน้า หลอกลวงลบล้างบรรพจารย์ ดูถูกนักธรรมอาวุโส ไม่ทำตามกฎพุทธระเบียบ แพร่งพรายความลับสวรรค์ ปิดบังธรรมะไว้ไม่ให้ปรากฏ ไม่ทำตามกำลังที่มี ไม่บำเพ็ญโดยศรัทธา ขอยอมรับโทษจากสวรรค์) ศิษย์เจ้าทั้งหลาย ปณิธานสิบข้อทำได้หรือเปล่า จงไปศึกษาให้มาก จงไปดำเนินให้ดี
    ศิษย์เจ้าทั้งหลายเมื่อตอนที่เจ้ารับวิถีธรรมนั้นได้ตั้งปณิธานสิบข้อ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเอาปณิธานมาต้านอำนาจแห่งกรรม ฟ้าเบื้องบนเมตตาชะลอกรรมของเจ้าไว้ชั่วคราว เพื่อที่จะให้เจ้าได้รับธรรมะไปอย่างราบรื่น ต่อไปก็สามารถบำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรมไปได้สะดวก หลังจากนั้นก็ให้อธิษฐาน ตั้งใจว่า จะกินเจบริสุทธิ์ หรือไม่ก็อธิษฐานว่าจะให้ความร่วมมือในการดำเนินงานของสถานธรรม หรืออาจจะตั้งจิตอธิษฐานไว้ในใจ หรือกล่าวเป็นสัจจะวาจาว่าจะมาร่วมชั้นเรียนธรรมะทุกๆชั้นเรียน มีชั้นเรียนอะไรบ้าง (ชั้นเรียนศึกษาธรรมะทั่วไป ชั้นเรียนบุคคลากร ชั้นเรียน……) หรือไม่เจ้าก็อาจจะตั้งจิตอธิษฐานว่า ยินดีที่จะให้ความร่วมมือช่วยสร้างงานธรรม หรือช่วยบุกเบิกงานธรรม คำอธิษฐานต่างๆที่ทำให้เจ้าสามารถได้มีโอกาสสร้างบุญกุศลชำระปณิธาน มีประโยชน์ต่อส่วนรวม (เวไนยแห่งสามภพ) แล้วยังเป็นปณิธานที่ช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งหมดนี้ศิษย์เจ้าทั้งหลายจงตั้งอธิษฐานจิตไปเถิด แต่ขอให้เจ้าเพียงในใจมีปณิธานมีกำลังพอ ก็สามารถที่จะตั้งปณิธานเปิดห้องพระได้ จะเป็นห้องพระเล็กๆส่วนตัว หรือห้องพระส่วนรวมก็ได้ แต่ทั้งหมดจะต้องมีข้อแม้ว่าจะต้องตามกฎพุทธระเบียบพื้นฐาน คือ หนึ่ง เจ้าตัวจะต้องตั้งปณิธานกินเจตลอดชีวิต และต้องอยู่ในกฎพุทธระเบียบที่มีอยู่ การตั้งสถานธรรม สามารถช่วยเหลือเวไนยทั่วสารทิศ และยังทำให้เจ้าตัวและสาธุชนทั้งหลายมีโอกาสมาชำระปณิธานอีกด้วย
    ดังนั้นหากว่าศิษย์เจ้าทั้งหลาย หลังจากได้รับธรรมะแล้ว ควรจะละชั่วทำดี และควรที่จะละสิ่งที่เป็นอบายมุขทั้งหลาย จิตโลภะและเพ้อเจ้อ จงเอาแรงปณิธานมาขจัดไปเสียซึ่งความคิดที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลาย เอาแรงปณิธานของพวกเจ้ามาแก้ไขบำเพ็ญการดำเนินกาย วาจาของตน เสริมสร้างจิตใจด้วยสัทธรรม จงเอาแรงปณิธานมาฉุดช่วยตัวเอง จนสามารถเข้าสู่เส้นทางสัทธรรมที่แท้จริง



    ความสำเร็จของงานธรรมะต้องอาศัยแรงปณิธานเป็นพลังผลักดันมากที่สุด
    ศิษย์เจ้าทั้งหลาย รู้สึกไหมว่า ตัวเองต้องมีภาระหน้าที่สำคัญขึ้นมาอย่างกะทันหัน หรือรู้สึกว่าถูกแรงปณิธานกดดันเสียจนหายใจไม่ออกเสียแล้ว ศิษย์บางคนอาจจะว่า “ตั้งปณิธานแล้วแรงกดดันเยอะมาก สู้ไม่ตั้งปณิธานดีกว่า” ขอศิษย์เจ้าจงรู้ไว้ด้วยว่า แรงปณิธานนี้นะเป็นแรงผลักดันที่ใหญ่ที่สุดในการที่จะให้งานธรรมสำเร็จ แรงปณิธาน คือแรงดันสำคัญในการสำรวจงานธรรม และเป็นแรงดันในการสำเร็จมรรคผลชั้นสูง แรงปณิธานสามารถชักจูงให้ตัวเจ้าเองเน้นทางธรรม เบาทางโลก เป็นแรงจูงใจให้เจ้าหลุดจากความเป็นปุถุชนและเข้าสู่ความเป็นอริยะ ดังนั้น หากเจ้าตั้งปณิธานแล้วก็ดำเนินการตามปณิธาน ชำระปณิธาน จึงเป็นการนำพาการบำเพ็ญที่แท้จริง หากเจ้าได้บำเพ็ญอย่างเท้าติดดิน มีบุญกุศลและคุณธรรมอันแท้จริงแล้ว ก็จะสามารถชำระเวรกรรม หนี้กรรมของเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองได้โดยอัตโนมัติ
    สรุปก็คือต้องการที่จะยกระดับจิตความเป็นคนของพวกเจ้าให้สูงขึ้น จนถึงระดับจิตแห่งความเป็นพุทธะและเทพเซียน หากว่าไม่ยอมยกระดับจิตแล้ว ก็หมายถึงต้องตกต่ำลง นั่นหมายถึงการตกเข้าสู่วัฏจักรแห่งการเวียนว่ายอีกต่อไป เป็นเช่นนี้แล้วพวกเจ้าจะยกระดับจิตขึ้นหรือจะปล่อยจิตตกต่ำลง (ยกระดับจิต) หากจะยกระดับจิตจะต้องมีแรงหนุนและแรงกดดัน ตัวเองต้องรู้จักให้ความกดดันตัวเองในระดับพอสมควร แล้วเบื้องบนก็จะให้แรงสนับสนุนตามแรงปณิธานของเจ้าที่มีอยู่ แล้วมิใช่เป็นการเพิ่มพลังธรรมดา แต่เพิ่มพลังแรงเป็นหลายเท่าตัว เป็นเช่นนี้แล้วมิใช่ยิ่งดีหรือ



    การบำเพ็ญธรรมไม่ยากไม่ลำบาก แต่จะยากก็ที่ใจของตัวนั่นแหละ
    จงอย่าคิดว่า “อนุตตรธรรมนั้นบำเพ็ญยากนักหนา ช่างลำบาก ยากเข็ญ” การบำเพ็ญอนุตตรธรรมนั้นถึงแม้จะไม่ง่ายดายนัก แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องไปบำเพ็ญ หากว่าเจ้าไม่ยอมบำเพ็ญธรรมะแล้วจะฉุดช่วยจิตญาณแห่งตนได้อย่างไร จะหลุดพ้นได้อย่างไร ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องขจัดโลกีย์วิสัยออกไป ขัดเกลาอุปนิสัยใจคอและสันดานที่ไม่ดีไม่งามออกไป ค่อยๆทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะค่อยๆรู้สึกว่า “การปฏิบัติธรรมนั้นช่างไม่นักหนาเลย มันช่างดีจริงๆ แยบยลจริงเลยเชียวละ” หากว่าเจ้ารู้สึกว่า “การปฏิบัติธรรมนั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญ ช่างลำบากเสียนี่กระไร ฉันไม่ปฏิบัติธรรมแล้ว” ยังไม่ทันจะได้เดินได้ทำ ก็ได้ถูกความคิดว่า ช่างลำบาก แสนทุกข์เข็ญของตัวเองตีกรอบเสียแล้วนี่ ดังนั้นจึงไม่มีวันที่จะได้ประสบความสำเร็จแน่นอน ก็เพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายๆ ดังนั้นศิษย์เจ้าทั้งหลายจึงต้องยิ่งที่จะใช้ความจริงใจ ศรัทธา ตั้งใจทุ่มเทจิตใจเข้าไปข้างในแดนของมัน ไปสัมผัส ไปทำความเข้าใจ ให้รู้ซึ้งถึงความหมายและความแยบยลของธรรมะ นานๆเข้าเจ้าจะรู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ทำไปตามธรรมชาติ ไม่ลำบากยากเข็ญเลย ก็เป็นเพราะว่าตอนนั้นจิตของเจ้าได้รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมะแล้วนั่นเอง ดังนั้นจึงพูดได้ว่า การบำเพ็ญปฏิบัติธรรมนั้นไม่ยากลำบาก จะยากก็อยู่ที่ใจของคนจะทำหรือไม่เท่านั้นเอง
    หลังจากที่ได้รับวิถีธรรมแล้ว ควรใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป ด้านหนึ่งสร้างกุศลชำระปณิธาน เพื่อที่จะลดกรรมลดเวรของตัวเอง อีกด้านหนึ่งคอยบำเพ็ญกาย หมั่นขัดเกลาจิตใจ เสริมสร้างคุณธรรมให้กับอุปนิสัยใจคอของตน สร้างความวิริยะ บุคลิกที่ดีในตน อีกด้านหนึ่งพยายามเผยแพร่ข่าวสารงานธรรมอย่างขยันขันแข็ง ผูกบุญสัมพันธ์ให้กว้าง ให้ความร่วมมืองานธรรม การดำเนินงานธรรมแบบค่อยเป็นค่อยไปเช่นนี้ มันจะไม่กระทบกระเทือนชีวิตประจำวันของพวกเจ้าหรอก ตรงกันข้าม กลับจะช่วยหนุนส่งการงานของเจ้าให้สะดวกราบรื่นมากยิ่งขึ้น ก็เพราะเหตุว่าเจ้าบำเพ็ญกายรักษาจิต ขัดเกลาจิตฝึกฝนใจ ดังนั้นกิริยามารยาทต่อผู้อื่นก็ต้องออกมาอย่างอ่อนน้อม เช่นนี้แล้วความมีมนุษย์สัมพันธ์ต่อผู้อื่นย่อมราบรื่น ดังนั้นหากเจ้าสร้างกุศล สร้างคุณธรรม ชำระปณิธาน ชำระหนี้กรรมส่วนตัว เจ้ากรรมนายเวรที่ใกล้ตัวก็จะไม่คอยขัดขวางหรือมารบกวนเจ้า ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดก็รู้สึกว่าสะดวกไปหมด การที่เจ้าออกไปผูกบุญสัมพันธ์ข้างนอกมากๆ เวลาไปโปรดคนเกี่ยวกับงานธรรมก็มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทุกอย่างสอดคล้องกับงานธรรม นี่แหละที่จะทำให้งานทางโลกและทางธรรมของเจ้ามีแต่คำว่า “สะดวก” ไม่มีคำว่า “อุปสรรค” การที่มีใจทางโลก มีใจยึดติดในความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นมูลเหตุของคำที่ว่า “มีอุปสรรค”




    การเกิดมาในวาระกาลที่พอดีกับมีการปรกโปรด จะต้องรีบฉวยโอกาสนี้ดำเนินงาน
    วันนี้เจ้าทุกคนก็เป็นผู้รับธรรมะแล้ว และยิ่งโชคดีที่ได้รับข่าวสารของการโปรดสามภพ เป็นการพูดได้ว่าพวกเจ้าทั้งหลายมีโอกาสได้เปรียบในเรื่องเงื่อนไขทางฟ้า ทางชัยภูมิและความสามัคคีของความสงบสุขระหว่างผู้คนด้วยกัน ศิษย์เจ้าทั้งหลายควรจะรับรู้ไว้ด้วยว่า ในชั่วชีวิตของคนๆหนึ่งนั้น หากว่ามีโอกาสได้เปรียบในเรื่องของกาลเวลาของฟ้า ชัยภูมิในการทำมาหากิน และการสนับสนุนจากผู้คนทั่วๆไปนั้น อีกทั้งยังมีโอกาสดีมาร่วมงานธรรมปรกโปรดเก็บรวมมวลญาณ ร่วมกับเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และสามารถใช้ “กายสังขาร”มาร่วมมือทำงานให้ฟ้าเบื้องบนได้ มนุษย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่วมกันเป็นหนึ่งทำงานโปรดสามโลก อีกทั้งยังสามารถเอาสังขารที่ติดกรรมของเจ้าสร้างกุศลเพื่อชำระปณิธาน เผยแพร่งานธรรม โปรดชาวโลก แบกรับภาระหน้าที่สวรรค์ร่วมสร้างงานธรรม จงรู้ไว้ด้วยว่าตั้งแต่โบราณกาลมายังไม่เคยมีใครได้มีโอกาสดีเช่นนี้เลยนะจะบอกให้ เพราะเหตุใดหรือ ก็เพราะว่าเจ้าเกิดมาได้จังหวะเหมาะกับกาลเวลาช่วงโอกาสนี้พอดี
    “โอกาสเหมาะแก่กาลเวลา” ก็คือ ช่วงกาลเวลาโปรดสามภพ
    “เกิดมาได้จังหวะเวลา” ก็คือ เป็นกาลเวลาแห่งธรรมกาลยุคขาว เวลาและวาระของการโปรดของฟ้าเบื้องบน​
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
    วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2546
    เมื่อเกิดมหันตภัยไอความแค้น พระโพธิสัตว์ปรากฏ
    มหาธรรมแยบยล ฉุดพ้นวิปโยค
    ภัยอันตรายในปลายยุค
    (ตอนที่ 2)




    ผู้ที่เกิดเป็นศิษย์แห่งธรรมกาลยุคขาวควรต้องรู้ไว้ และเข้าใจวาระการโปรดของฟ้าเบื้องบนของธรรมกาลยุคขาวนั้น แนวทางการปฏิบัติไน้มไปทางใด วาระกาลฟ้าเบื้องบนโปรดธรรมกาลยุคขาวนั้นแนวโน้ม นโยบายของฟ้าเป็นอย่างไร ก็คือก่อนที่ฟ้าดินนี้จะถูกเก็บ จะต้องมีการฉุดช่วยสามโลกเก็บรวมญาณครั้งยิ่งใหญ่ ฉุดช่วยเหล่าญาณเดิมเก้าหก และญาณทั้งหลายที่กระจัดกระกระจายให้ได้กลับคืนขึ้นสู่ ฟ้าเบื้องบนให้หมด ตัดขาดจากต้นตอแห่งความทุกข์ทั้งหลาย ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ต่อให้นักวิทยาศาสตร์ในโลกนี้สามารถคิดค้น แยกแยะโครงสร้างที่เล็กที่สุดของเชื้อโรค มีอะตอมนิวตรอนโปรตอน การก่อตัวและโครงสร้างของเคมีและสะสารต่างๆจนกระทั่งสามารถคำนวณถึงเวลาอายุและการก่อตัวเกิดของดวงดาวและจักรวาลได้ นักวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ทั้งหลายสามารถคิดค้น แยกแยะประมาณการเรื่องราวเหล่านี้ได้ แต่นักวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์มิสามารถคำนวณ กาลเวลา วาระชะตา ของฟ้าเบื้องบนได้ ก็เพราะว่ากาลเวลา วาระชะตาแห่งฟ้าเบื้องบนนั้นจะต้องอาศัยผู้ที่มีฐานปัญญาธรรม ปัญญาทิพย์แห่งพุทธจิตเท่านั้นจึงสามารถหยั่งรู้ได้
    ศิษย์เจ้าทั้งหลายรับธรรมะ ปฏิบัติธรรม ดำเนินงานธรรมก็คือได้มาในจังหวะเวลา วาระกาลแห่งฟ้าแต่ทว่าวาระกาลก็ต้องเป็นโอกาสที่เหมาะสมพอดี ธรรมกาลยุคขาวในปลายกัปนี้ เป็นวาระที่ปรกโปรดทั่วไป เวไนยทั้งหลายต่างก็มีโอกาส มีบุญที่จะได้รับวิถีธรรม และดำเนินงานธรรม นี่เป็นวิถีทางที่สะดวกที่สุดที่เบื้องบนได้ประทานให้กับเหล่าศิษย์ในการปฏิบัติธรรม นี่เป็นความรักที่หา ประมาณมิได้ที่ฟ้าเบื้องบนได้มอบให้แก่พวกเจ้า ฟ้าเบื้องบนได้ประทานความรักความอาทรและได้นิรโทษเป็นกรณีพิเศษให้กับศิษย์เจ้าทั้งหลายแล้ว ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าก็ควรที่จะจับจวงจังหวะและโอกาสนี้ให้ดี



    ปริศนาธรรมของฟ้าดิน
    ในปลายยุคกัปนี้ ความลับของสวรรค์หลายๆเรื่องได้ค่อยๆเปิดเผยออกมา เรื่องราวความลี้ลับของสวรรค์นั้นก็คือ “เทียนตี้ฉันอวี่” (ปริศนาธรรมแห่งฟ้าดิน) “เทียนตี้ฉันอวี่” ก็คือความหมายที่แท้จริงของการโปรดสามโลก ปริศนาธรรมแห่งสวรรค์------เทียนตี้ฉันอวี่------ปรกโปรดสามโลก ก็คือตั้งแต่ฟ้าดินเริ่มมีการปรกโปรดมา เริ่มตั้งแต่ธรรมกาลยุคเขียว ยุคแดง จวบจนกระทั้งยุคปัจจุบัน ยังไม่เคยมีการเปิดเผยมาก่อน จนกระทั้งมาถึงธรรมกาลยุคขาวแห่งปลายกัปนี้ จึงได้มีการเปิดเผยสิ่งลี้ลับบนสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ศิษย์เจ้าทั้งหลายควรที่จะรองรับวาระแห่งธรรมกาลยุคขาว วาระแห่งฟ้า ชะตาแห่งฟ้ากำหนด และความลี้ลับของสวรรค์ในปลายกัปยุคนี้ก็คือ ต้องรับวิถีธรรม ปฏิบัติธรรม ปรกโปรดเวไนยทั่วไป ฉุดช่วยเวไนยทั้งสามโลก โปรดคนมารับธรรมะ เผยแพร่งานธรรม
    หากว่าในวิถีชีวิตของศิษย์เจ้าสามารถทำงานธรรมะ สอดคล้องกับวาระ ชะตาและโอกาสที่ฟ้าต้องการแล้วละก็ เจ้าไม่เพียงทำอะไรก็สะดวกราบรื่นไปหมด แถมยังได้รับการคุ้มครองจากโองการสวรรค์อีกต่างหาก ทั้งหมดนี้ก็ล้วนได้รับพระมหากรุณาเมตตาจากฟ้าเบื้องบน และพระบรรพจารย์ที่ทรงคุณธรรมทุกพระองค์นั่นเอง นี่ก็คือการที่ฟ้าเบื้องบนให้เป็นกรณีพิเศษแก่ศิษย์ธรรมกาลยุคขาวทุกคน
    ศิษย์เจ้าทั้งหลายรู้สึกว่าคำพูดของอาจารย์นั้นช่างมีความกดดันแก่ตัวเองเหลือเกินหรือไม่ ไม่หรือตัวอาจารย์เองนั้นน่ะกลับกลัวจะแย่อยู่แล้วนะ “ภัยพิบัติ” ภัยพิบัติยังไม่ปรากฏชัดอีกหรือ (มีผู้เข้าชั้นเรียนบางคนพอได้เห็นคำว่าภัยพิบัติก็เกิดอาการกลัวมาก) พอเห็นหนังสือตัวนี้แล้วก็กลัวมากเลย ดังนั้นอาจารย์จึงมาบอกกล่าวกับพวกเจ้า ปราศรัยธรรมะในลักษณะที่หัวเราะร่าเริง แต่ที่จริงแล้วในใจของอาจารย์นั้นก็กระวนกระวายมากเชียวละ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าภัยพิบัติในช่วงชีวิตของเจ้านั้น มันจะเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็เพราะว่าตัวเจ้าไม่รู้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องรีบปฏิบัติ รีบทำ รีบชำระปณิธาน เพราะไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าอีกวินาทีต่อไปนั้นจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ขอแต่เพียงเจ้ายังมีลมหายใจอีกเพียงอึดเดียว เจ้าก็ต้องมีความคิดที่จะทำอย่างไรจึงจะไปโปรดคน ทำอย่างไรจึงจะสร้างกุศลชำระปณิธานได้เร็วไว
    ความหมายที่แท้จริงในการโปรดสามโลก มันเป็นสิ่งที่เหนือความรู้สึก เหนือเกินกว่าปัญญา ความรู้หรือขอบเขตของมุมมองที่มนุษย์โลกจะไปเข้าใจได้ ความหมายที่แท้จริงของการโปรดสามโลกนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเอาสายตา หรือความคิดเห็น ความแยกแยะของความเป็น “คน” มาคาดเดาได้ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกได้ว่า “เป็นความลี้ลับแห่งฟ้าดิน” จะเอาแค่ความคิดของความเป็นคน เอาตาเนื้อและใจปุถุชนมารู้แจ้งเรื่องราวของฟ้านั้นและของสามโลกนั้น มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน​
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หม้อโฮ่อวี่เหจา การโปรดสามโลก


    ผู้ที่มาในวันนี้ ถึงแม้จะมาจากต่างสายกัน แต่ก็ล้วนเป็นศิษย์อาจารย์ทั้งสิ้น อาจารย์เองก็ทราบดีว่า มีบางคนก็ยังมีความไม่แน่ใจในการโปรดสามโลก ศิษย์สายต่างๆของอนุตตรธรรมต่างก็พูดว่า “การโปรดสามโลก ฉุดช่วยสามโลก” หากว่าในวันนี้เจ้าไม่เจาะลึกเข้ามาในอาณาจักรธรรมของสามภพ ไม่ไปโปรดเวไนยสามโลกอย่างจริงจัง หรือแพร่ข่าวสารของสามภพ แต่ในชีวิตประจำวันนั้นกลับมีแต่พูดว่า “ปรกโปรดสามภพ สามภพโปรดทั่วไป” ก็เป็นแค่ลมปากเท่านั้น มิได้มีการกระทำที่แท้จริงออกมาเลย มีแต่เพียงการโปรดมนุษย์โลก อยู่ในขอบเขตของมนุษย์ที่มีรูปลักษณ์เท่านั้นที่ได้รับบุญบารมี ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของเบื้องบนที่ต้องการจะโปรดสามโลก ภาระหน้าที่ของอาจารย์นั้นอยู่ที่การโปรดสามโลก ส่วนปณิธานพวกเจ้านั้นคือช่วยสามโลก
    ธรรมกาลยุคขาวเปิดฟ้าปรกโปรดทั่วไป จะต้องโปรดสามโลก ก็เป็นการสร้างบุญสร้างกุศลก็จริงอยู่แต่มันก็จำกัดอยู่เพียงแค่เวไนยที่มีรูปลักษณ์ในโลกนี้เท่านั้นที่ได้รับบุญบารมี ยังไม่เข้าถึงจุดหมายและเนื้อแท้ในการโปรดของอนุตตรธรรม และก็ไม่สอดคล้องกับภารกิจของอาจารย์ และแรงปณิธานของศิษย์ดวงดาวจุติทั้งหลายด้วย เพราะฉะนั้นการทำงานฉุดช่วยและการโปรดสามโลกที่แท้จริงก็คือ เวไนยที่มีรูปลักษณ์และไร้รูปลักษณ์ทั้งหมดจะต้องมีโอกาสได้รับบุญบารมี นี้ร่วมกัน
    การฉุดช่วยและดำเนินงานของสามภพ ไม่เพียงแต่พวกเจ้าศิษย์ทั้งหลายจะมีโอกาสและจังหวะที่จะได้สร้างบุญสร้างกุศล ชำระปณิธาน ลดล้างเวรกรรมของตัวเอง อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะได้ฉุดช่วยบรรพบุรุษของตัวเอง รวมทั้งฉุดช่วยวิญญาณผู้ที่มีบุญสัมพันธ์กับตัวเจ้าในอดีตชาติอีกด้วย นี่ช่างเป็นเรื่องที่แยบยลจริงๆเชียว
    หากว่าศิษย์เจ้าทุกคนสามารถมาเข้าชั้นเรียนได้ทุกครั้งไป ก็จะมีโอกาสได้เห็นวิญญาณเดิมของสามโลกมาผ่านร่าง ซึ่งจะทำให้เจ้าได้รู้สึกถึงจิตใจและความทุกข์ลำบากของพวกเขาว่าน่าเวทนาสงสารแค่ไหน พวกเจ้าไม่เพียงแต่จะต้องให้ความสงสารและเห็นอกเห็นใจเขาเหล่านั้น ยังจะต้องหาทางไปฉุดช่วยพวกเขาอีกด้วย นี่เป็นงานอริยะที่ยิ่งใหญ่และแยบยลมาก ในนี้คงจะมีบางคนที่ยังไม่เคยเห็นการแสดงตนของวิญญาณใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นต้องมาเข้าชั้นประชุมธรรมทุกๆครั้ง ก็จะมีโอกาสได้เห็นวิญญาณต่างๆของสามภพมาสำแดงตน แต่ว่าไม่ใช่ให้มาดูการสำแดงตนเท่านั้นนะ แต่ให้ไปฉุดช่วยพวกเขาไปฉุดช่วยเหล่าวิญญาณแห่งสามภพ ให้พวกเขาได้มีบุญกุศลเพื่อที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์เวทนา มีโอกาสได้รับการช่วยเหลือเพื่อฟื้นตัว ดังนั้นเจ้าทุกคนมีโอกาสที่จะได้สร้างบุญกุศล และชำระปณิธานมากมายเหลือเกิน
    การทำงานให้อาณาจักรธรรมสามภพ ก็สามารถฉุดช่วยวิญญาณเดิมแห่งเทวโลก และในยมโลก ให้พวกเขามีโอกาสและบุญสัมพันธ์ที่จะได้รับส่วนบุญ มีโอกาสได้ถูกฉุดช่วย มีโอกาสได้มาช่วยงานธรรม และมีโอกาสได้รับวิถีธรรมนี้อย่างเร็วไว และยังสามารถที่จะได้ช่วยให้วิญญาณที่อยู่ในนรกภูมิได้รับการลดโทษทัณฑ์ ทั้งนี้รวมถึงเวไนยที่อยู่ในทุคติสามด้วย พวกเขาสามารถอาศัยปัจจัยทานและธรรมทานของพวกเจ้าที่ส่งไปให้ มาลดการถูกลงโทษ หรืออาจโชคดีมีโอกาส บุญบารมีมากพอที่จะได้รับป้ายอาญาสิทธิ์ให้มาสำแดงกายที่สถานธรรม มาตักเตือนชาวโลกให้ทำดี วิญญาณก็จะมีโอกาสได้รับการปลดปล่อยเร็วขึ้น
    ศิษย์เจ้าทั้งหลาย การกอบกู้สามโลกในวาระสุดท้ายนี้ มันเป็นข่าวที่สะท้านสะเทือนให้กับเหล่าญาณ เก้าหกอย่างหาประมาณมิได้ เพราะว่านี่คือข่าวดีที่สรรพสัตว์ในสัพพโลกจะได้มีโอกาสประสบสุขหลุดพ้นจากความทุกข์ กลับเข้าสู่มาตุภูมิเดิม (นิพพาน) เสียที และก็เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้รับการช่วยเหลือ ศิษย์เจ้าทั้งหลายพึงรู้ไว้ การที่เข้ามาร่วมงานสามภพ ดำเนินงานสามภพ ไม่ใช่สิ่งที่ตาเนื้อของปุถุชนทั่วไปที่มองเห็นการทำงานของบุคคลทั้งหลายที่มาทำงานด้วยกันเท่านั้น แต่การดำเนินกอบกู้ของสามภพคืองานอันยิ่งใหญ่ ที่คนและฟ้าร่วมกัน ดำเนินต่างหาก กอบกู้สามโลกก็คืองานใหญ่ที่ทำร่วมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง เบื้องบนเป็นตัวหลัก คนเป็นตัวช่วย แต่ว่า “คน” ก็มีบทบาทที่สำคัญมาก เพราะเหตุใดหรือ ก็เพราะว่างานโปรดของสามโลกนั้นดำเนินอยู่ที่บนโลกใบนี้ และศิษย์เจ้าทุกคนก็เป็นคนในโลกที่รู้เรื่องธรรมะ รู้เรื่องของสามโลกดี ดังนั้นพวกเจ้าล้วนเป็นบุคคลที่สำคัญยิ่ง
    การที่อนุตตรธรรมมีการปรกโปรดสามโลก มิใช่เป็นการสร้างศาสนาหรือสร้างความเชื่อขึ้นมาใหม่ การกอบกู้สามโลกก็มิเป็นการที่จะให้เจ้าไปขบคิดว่า “สามโลกนั้นคืออะไรกันแน่” ก็คือ อนุตตรธรรมมิใช่ศาสนาทั่วๆไป อนุตตรธรรมมิใช่จู่ๆก็มีขึ้นมา หรือเป็นศาสนาที่สถาปนาขึ้นมาใหม่ อนุตตรธรรมนั้นมีมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว อนุตตรธรรมนั้นมีพระบรรพจารย์ซึ่งมีโองการสวรรค์ได้สืบทอดกันมาตามประวัติศาสตร์นานแล้ว ถ้าหากว่าอนุตตรธรรมนั้นเหมือนกับศาสนาทั่วๆไปแล้วละก็ อาจารย์เองก็ไม่ต้องลงมาโปรดแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์ก็ไม่ต้องลงมาช่วยเหลืองานธรรม วิญญาณเดิมของสามโลก ก็ไม่ต้องได้มีโอกาสมีวันได้ฟื้นตัวเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ได้เลย แต่ขอให้พวกเจ้าทั้งหลายจงคิดดูสักนิดสิว่า ทั้งหมดล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันจาก องค์ธรรมมารดา เราจะดูดายไม่ช่วยเหลือเลยหรือไร
    การแพร่กระจายงานของอนุตตรธรรม การกอบกู้ของสามโลกนั้นเป็นพระมหากรุณาจากเบื้องบนที่โปรยปรายไปทั่วสามโลก หญิงชายได้รับกันทั่วหน้า ณ ปัจจุบันนี้ก็ได้เผยแพร่ไปทั่วโลกแล้ว ส่วนข่าวที่น่ายินดีของการกอบกู้สามโลกนั้นก็ได้กระหึ่มตามไปติดๆ การดำเนินงานธรรม การทำงานกอบกู้สามโลกล้วนแต่จะต้องได้รับพระบัญชาและทำตามพระบัญญัติแห่ง พระแม่องค์ธรรมทั้งสิ้น ฟ้าเบื้องบนจุติมหาธรรมนี้ลงมา เพื่อให้เป็นการกอบกู้แก่สามโลกนั้น เป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอนที่สุด วิถีธรรมในการสอนสั่งนั้นแจ้งชัดเป็นหลักธรรมแท้ การกอบกู้สามโลกของอนุตตรธรรมนั้นจะต้องเจิดจ้าแจ่มใส อนุตตรธรรมสายต่างๆที่มีมาอยู่ก่อนแล้วนั้น ล้วนมีท่านอาวุโสที่ทรงคุณธรรม และท่านซ่านเต๋อได้ปูทางที่ดีและสะดวกไว้กับเหล่าศิษย์อนุตตรธรรมรุ่นหลังไว้แล้ว ดังนั้นศิษย์เจ้าทั้งหลายจงตั้งใจบำเพ็ญให้ดี ดำเนินงานธรรมให้ดี จงอย่าทำให้ความตั้งใจและความเสียสละ ที่อาวุโสผู้ทรงคุณธรรมทุกท่านและท่านซ่านเต๋อ ที่ได้ทำมาทั้งหมดต้องผิดหวัง กว่าจะก่อตั้งตีแผ่อาณาจักรธรรมของอนุตตรธรรม อาณาจักรธรรมของสามภพ ท่านเหล่านั้นต้องผ่าน ความทุกข์ระทม ทั้งกายและใจที่ทุ่มเทให้กับงานธรรม มากมายเหลือเกิน ดังนั้นจงอย่าทำให้ท่านเหล่านั้นต้องผิดหวังนะ​
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ความเป็นมาแห่งพงศาธรรมของมหาธรรม


    อนุตตรธรรมถึงแม้จะได้กระจายออกไปเป็นสิบแปดสายก็จริง แต่หากรวมกันแล้วมีเพียงหนึ่งเท่านั้น เรามักจะได้ยินคำพูดที่ว่า “ลูกจากแม่เดียวกัน ศิษย์สำนักอาจารย์เดียวกัน” นี่ก็แสดงว่าสิบแปดสายมาจากสายทองเดียวกัน จากสายธรรมหนึ่งเดียว ระบบเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกใดๆทั้งสิ้น ทั้งสิบแปดสายล้วนมีจุดประสงค์ แนวทางร่วมกัน จุดประสงค์และแนวทางร่วมกันนั้นก็คือ “ฉุดช่วยเวไนย กอบกู้สามโลก” จุดมุ่งหมายและแนวทางนี้ก็คือแรงปณิธานและภารกิจของเราศิษย์และอาจารย์ หากว่าอาจารย์ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเจ้าก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เป็นเช่นนี้ดีไหมละ (ดี) สิบแปดล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็เพราะว่าต้องการที่จะให้ศิษย์เจ้าทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาของอนุตตรธรรมใต้หล้านี้ มีโอกาสได้ผนึกกำลัง ร่วมแรงร่วมใจสามัคคีธรรมเป็นหนึ่ง มาช่วยกันเสริมสร้างงานธรรมแห่งสามโลก ขอจงอย่าได้ถ่วงเวลา ถ่วงงานของเบื้องบนให้ชักช้าลงเลย



    ทำอย่างไรจึงจะตอบแทนพระคุณแห่งฟ้าและคุณพระบรรพจารย์
    วันนี้เราเกิดมาเป็นศิษย์ของอนุตตรธรรม ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงจากฟ้าและพระบรรพจารย์ทุกๆพระองค์ หากว่าตัวเราทำให้งานของเบื้องบนต้องล่าช้า ไม่ยอมมั่นใจในงานของสามภพ ไม่ให้ความร่วมมือในการดำเนินงานของสามภพ หากเป็นเช่นนี้แล้วก็นับว่าช่างน่าละอายต่อฟ้าและพระบรรพจารย์ทั้งหลายที่ทรงมีพระมหาเมตตาต่อเรา ณ วันนี้ศิษย์เจ้าทุกคนไหนๆก็ได้รับการถ่ายทอดสิ่งที่มีค่าที่สุด สิ่งที่เป็นสัจธรรมแล้ว ก็ไม่ควรที่จะเนรคุณต่อพระคุณของฟ้าและพระบรรพจารย์ หากจะต้องตอบแทนพระคุณแห่งฟ้าและพระบรรพจารย์ให้ดีนั้นเราควรจะทำอย่างไร ก็คือต้องบำเพ็ญธรรมดำเนินงานธรรม ช่วยงานธรรม สร้างกุศลชำระปณิธาน ช่วยโปรดเวไนย ฉุดช่วยสามโลก รีบเผยแพร่เนื้อหาแท้ที่จริงของสามโลก



    การบำเพ็ญธรรม จำจะต้องมีความมุ่งมั่นและศรัทธาที่แท้จริง
    ศิษย์เจ้าทั้งหลายได้เวียนว่ายตายเกิดมาหกหมื่นกว่าปีแล้ว เป็นการยากเหลือเกินที่หมุนอยู่ในภูมิวิถีหกจนบัดนี้มาได้กายสังขารที่ล้ำค่าของมนุษย์ ซึ่งสามารถยืมกายปลอมนี้มาปฏิบัติของจริง ดังนั้นจึงขอให้พวกเจ้าจงยึดโอกาสนี้ วาระ ชะตา โอกาสทางธรรมนี้ บำเพ็ญให้ดีๆ เพราะว่าตั้งแต่โบราณกาลมา องค์เทพ พุทธหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์ต่างก็บำเพ็ญมาจากมนุษย์โลกทั้งสิ้น



    การเวียนว่ายระหว่างสัพโลกและนรกภูมิ
    เป็นการยากนักที่จะได้สังขารมนุษย์อันมีค่านี้ และยิ่งโชคดีมากยิ่งขึ้นที่ได้รับฟังข่าวสารของอนุตตรธรรมและการกอบกู้ของสามโลก หากว่ากายที่เป็น “คน” ของเจ้า ทำไม่ดี บำเพ็ญไม่ดี เมื่อถึงวาระละสังขาร ก็ต้องไปรายงานตัวเพื่อรับโทษที่นรกภูมิ หรือไม่ก็เวียนว่ายตายเกิดระหว่างโลกและนรกภูมิอยู่นั่นแหละ หรืออาจจะตกไปเป็นเวไนยแห่งเดรัจฉานภูมิก็เป็นได้ เวไนยที่ตกอยู่ในร่างเดรัจฉาน หากจะกลับเข้าสู่มนุษย์ภูมิละก็ จะต้องเอากายสังขารที่เป็นสัตว์เดรัจฉานมารับการเวียนว่ายของกฎแห่งกรรมเสียก่อน เหมือนดังเช่นหมูที่ถูกเลี้ยงด้วยเศษอาหารและของสกปรก ม้า วัวควาย แพะ กระต่าย ต้องกินหญ้า ยังมีสัตว์ต่างๆมากมายหลายชนิดที่ต้องต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเอง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการเวียนว่ายตายเกิดระหว่างโลกและนรกภูมิ



    การเวียนว่ายระหว่างโลกและเทวภูมิ
    ศิษย์เจ้าทั้งหลาย ตอนนี้คาบอยู่ในระหว่างการเวียนว่ายของโลกและเทวภูมิ ดังนั้นเมื่อมีกายสังขารของมนุษย์นี้แล้ว จักต้องรักษาไว้ให้ดี หมั่นสร้างกุศลชำระปณิธานไว้ ยกระดับความเป็นมนุษย์ให้สูงจนเทียบเท่าชั้นอริยะ พุทธ เทพ เวียน หากว่าเจ้าบำเพ็ญได้ดี จิตใจ บุญกุศลครบสมบูรณ์ เมื่อวันใดละสังขารแล้ว จิตญาณก็จะลอยผ่านเทวโลก ตรงเข้าสู่แดนพระนิพพาน
    หากว่าศิษย์เจ้าได้บำเพ็ญอยู่ แต่ดีไม่ถึงขั้น ไม่สมบูรณ์ ก็จะต้องไปรายงานตัวที่ด่าน “ซันกวนจิ๋วโค่ว” ไปบำเพ็ญต่อไป (หรืออาจจะต้องถูกตีกลับลงมาเกิดในโลกมนุษย์อีก) แต่ทว่า หากเอาจิตวิญญาณไม่มีกายสังขารนี้มาบำเพ็ญแล้ว ก็จะลำบากเป็นทวีคูณ ดังนั้นเมื่อมีกายสังขารนี้แล้ว จงรีบบำเพ็ญกายหล่อเลี้ยงใจ ฝึกฝนใจหล่อเลี้ยงจิต
    หากว่าไม่ฝึกฝนไม่บำเพ็ญ ไม่ยอมสร้างกุศล คนเหล่านี้นอกจากจะไม่ดีแก่ตัวเองแล้ว ยังจะต้องไปตามกฎแห่งกรรม วิบากกรรมของแต่ละคน เข้าสู่การเวียนว่ายแห่งภูมิวิถีหก อันนี้แหละคือ ทุกข์ ที่แท้จริงของสัตว์โลกเลยเชียวละ
    ชาตินี้ได้บำเพ็ญธรรม จะต้องมีความมานะและจิตที่มุ่งมั่นและศรัทธาที่มั่นคง ตัวเราต้องบำเพ็ญ เราต้องทำสำเร็จ เพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เกื้อหนุนเรามามากมายขนาดนี้ วิญญาณเดิมแห่งสามโลกช่วยเหลือเราอยู่เยอะแยะ พระอาจารย์ก็เอ็นดูเรามากโข ฉะนั้นตัวเราจะต้องบำเพ็ญให้ได้ ถึงแม้จะพบกับอุปสรรค เราก็ต้องฝ่าฟันต่อไปให้ได้ เพราะถ้าหากว่าตัวเองไม่บำเพ็ญแล้วละก็ มีหวังต้องตกต่ำลงไปแน่นอน ตกลงไปที่ไหนหรือ ก็ไปเวียนว่ายตายเกิดต่อไปนะสิ​
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การบำเพ็ญธรรมะ จะต้องบำเพ็ญอย่างไร


    พลังไม่ดีที่คอยทำลายการบำเพ็ญจิตใจ บั่นทอนความวิริยะในตัวเรา อันมีอุปนิสัยใจคอ อารมณ์ที่ไม่ดี สันดานที่ไม่ดี ความคิดที่เป็นอกุศล เป็นอบายมุขทั้งหลายต้องตัดทิ้งไปให้หมด ไม่ว่าเหตุผลใดๆที่เป็นข้ออ้างและความลำบาก อันเป็นอุปสรรคในวาระการบำเพ็ญธรรมของตัวเราเอง ต้องโค่นทิ้งไปให้หมด หมั่นหาเวลาว่างมาร่วมเข้าชั้นเรียนธรรมะ มาเข้าชั้นเรียนใหญ่ ถึงแม้ใหม่ๆอาจจะฟังไม่รู้เรื่องแต่ว่ามาแล้วก็ฟัง ฟังแล้วก็จะรู้ไปเอง หากว่ายังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ไม่เป็นไร มาสถานธรรมเข้าชั้นเรียนเพื่อรับแสงแห่งธรรมะ เพื่อปลูกฝังเมล็ดพันธ์แห่งปัญญาและการรู้แจ้ง เป็นการหว่านเมล็ดพันธ์ที่จะสำเร็จเป็นพุทธ สำเร็จธรรมต่อไปในอนาคตกาล เมื่อถึงเวลา วาระโอกาสที่เหมาะสม ก็จะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปโดยธรรมชาติ ความเขลาถูกขจัด บังเกิดปัญญาธรรมอันยิ่งใหญ่ได้
    ศิษย์เจ้าเอ๋ย จงเชื่อมั่นในอนุตตรธรรม มั่นใจในสามภพ จะต้องยิ่งมีจิตศรัทธา ยิ่งเข้าใจธรรมะเช่นนี้จึงจะทำให้จิตที่ฝักใฝ่ในธรรมของเจ้ายิ่งหนักแน่น เจ้าจะต้องเอาจิตธรรมะ และความเชื่อถือตั้งไว้บนหลักแห่งสัจธรรม ต้องเป็นเช่นนี้มรรคผลและคุณธรรมในตนจึงจะยิ่งแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น การปฏิบัติธรรมะจะต้องเข้าใจหลักธรรมจึงจะเกิดปัญญา ปัญญาสามารถช่วยให้พวกเจ้าผ่านการทดสอบจากฟ้าและคน เพราะฉะนั้นจงเอาหลักธรรมที่เจ้าเข้าใจ มาเปลี่ยนเป็นปัญญา มาเปลี่ยนเป็นคุณภาพชีวิตของเจ้ามาเป็นหลักแนวทางแห่งชีวิตของเจ้า
    ศิษย์เจ้าทั้งหลายในเมื่อพวกเจ้าต่างก็ได้เคยเกิดรู้แจ้งในปัญญาธรรม “ฉันรู้แล้วว่าโลกีย์โลกนี้คือทะเลทุกข์ ฉันก็ไม่อยากที่จะลงมาเวียนว่ายในทางเรื่องราวทางโลกนี้อีกต่อไป” หากว่าเจ้ามีความรู้แจ้งแห่งปัญญานี้แล้ว เจ้าก็จงอย่าไปแตะต้องกับเรื่องราวที่จะทำให้เรามีนิสัยไม่ดี เพราะจะทำให้ตัวเจ้าหลงทางอีกครั้ง ควรจะหมั่นสร้างกุศล ทำปัจจัยทานและวิทยาทาน มาอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรใกล้ตัว ขอจงอย่าให้กรรมเวร แรงวิบากกรรม
    ของตัวเอง มาผูกมัดตัวเองเลย หากว่าถูกบาปกรรม แรงวิบากกรรมของตัวเองผูกมัดเสียแล้ว ก็รังแต่จะทำให้ตัวเองเดินหลงทางในชีวิตตกลงสู่อบายภูมิอีกครั้ง ดังนั้นจงรักษาจิตญาณของเจ้าไว้ให้ดี อย่าให้สีสันแห่งโลกีย์โลกนี้มาผูกมัดจิตใจเราเลย
    อะไรคือคำว่า “หมี” (ภาษาจีนกลางแปลว่า หลง) นั่นก็คือ ไม้กางเขนตรงกลางหมายถึง จิตของตัวเราถูก รูป ทรัพย์ ความมัวเมา อารมณ์ พาออกจากตัวไป ถูกสิ่งเหล่านี้ตีกรอบเข้าเสียแล้วเพราะนั้นจิตวิญญาณจึงไม่อยู่ในตำแหน่งเดิม ถูกดึงให้เคลื่อนออกไปตามทางแพร่ง หากว่าจิตวิญญาณถูกดึงออกไปตามทางแพร่งแล้ว นั่นก็หมายถึงต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในภูมิวิถีหกและอุบัติสี่ ดังนั้น สุรา รูป ทรัพย์และอารมณ์สิ่งเหล่านี้ จึงจำเป็นต้องขจัดออกไปให้หมด
    สุดท้ายนี้อาจารย์ต้องขอถามเจ้าทั้งหลายว่า บำเพ็ญธรรมะจะต้องบำเพ็ญอย่างไร (ทุกคนเงียบกริบ) ธรรมะจะต้องบำเพ็ญอย่างไร อาจารย์จะมาบอกแก่เจ้าทั้งหลายก็ได้ว่า “ธรรมะจะต้องบำเพ็ญอย่างไร” อันที่จริงธรรมะนั้นไม่มีคำพูด แต่ว่าวันนี้เพื่อศิษย์รักทั้งหลาย อาจารย์จึงจำเป็นที่จะต้อง เอาวาจา คำพูด รูปลักษณ์ทั้งหลายมาบรรยายให้ศิษย์เจ้าทั้งหลายฟัง ธรรมะควรจะบำเพ็ญอย่างไร ธรรมะก็คือเหตุผลที่ถูกต้อง หรือสัจธรรมนั่นเอง สัจธรรมนั้นเป็นสิ่งที่จริงแท้สมบูรณ์และสวยงามที่สุด หากว่าเจ้าเอาสิ่งที่ดีงามที่สุดของความเป็นมนุษย์แสดงออกมา เอาความบริสุทธิ์ ความเป็นกุศลจิตของจิตวิญญาณแสดงออกมา เอามาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา เท่านี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมแล้ว อาจารย์จะกล่าวอีกครั้ง ฟังแล้วต้องเอาไปทำนะ
    เต๋า หรือ ธรรมะนั้นก็คือสัจธรรม สัจธรรมก็คือสิ่งที่เป็นกุศล สวยงามดีพร้อม หากว่าเราเอาสิ่งดีงามที่สุด ความเป็นกุศลที่สุด ความบริสุทธิ์ของจิตเดิมแท้ของเรา แสดงออกมาใช้ให้มากที่สุดในชีวิตประจำวัน นั่นคือการปฏิบัติธรรมแล้ว
    อะไรคือความหมายของ “ความจริงแท้ แห่งความดีงามของกุศลทั้งปวง” ก็คือไม่แปดเปื้อนกับกิเลศทางโลก ไม่มีข้อบกพร่องในอารมณ์ ไม่มีใจที่เป็นเจ้าเล่ห์เพอุบาย อันตราย หรือนิสัยที่ไม่ดีต่างๆตรงกันข้าม เจ้ามีแต่จิตใจที่สว่างและใสสะอาด จิตกุศลที่บริสุทธิ์ใสสะอาด นั่นแหละคือความจริงแท้แห่งความดีงามของกุศลทั้งปวง ถ้าเช่นนั้นการบำเพ็ญธรรมยากลำบากไหม ที่จริงก็ไม่ต้องหลอกอาจารย์หรอก เพราะว่าคอยไว้พอถึงเวลาเจ้าพบกับอุปสรรคเรื่องราวที่ปวดหัวมากๆ คำว่าบำเพ็ญธรรมก็จะถูกเขี่ยไว้ข้างๆ “เอาไว้ฉันสามารถแก้ปัญหาของฉันได้เสียก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน” อันที่จริงการที่จะบำเพ็ญธรรมท่ามกลางโลกโลกีย์นี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่มีการประชุมธรรม อาจารย์ถึงจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องมาจ้ำจี้จ้ำไชเที่ยวสอนพวกเจ้าว่าจะต้องปฏิบัติธรรมอย่างไร บำเพ็ญอย่างไร เพราะนี่คือภาระหน้าที่ของอาจารย์ หากว่าไม่สอนพวกเจ้าให้ดี ถ้าเช่นนั้นลูกศิษย์ทั้งหลาย สาธุชนและสานุศิษย์ทั้งหลายของห้าศาสดา จะมาเข้าอนุตตรธรรมได้อย่างไร หากว่าพวกเจ้าซึ่งเป็นศิษย์ของอาจารย์ไม่ทำตัวเป็นแบบอย่าง ตัวอย่างที่ดีก่อน แล้วเจ้าได้แต่พูดว่า อนุตตรธรรมดีอย่างโน้นดีอย่างนี้ หากเป็นเช่นนี้แล้วสาธุศิษย์ทั้งหลายของห้าศาสนา เขาจะมาเชื่อว่า อนุตตรธรรมเป็นของจริงหรือเป็นสิ่งที่ดีไหม ด้วยเหตุนี้อาจารย์จึงจำเป็นต้องมาสอนสั่ง มาปรับจิตใจให้กับศิษย์เจ้าทั้งหลาย เพราะว่านี่คือภาระหน้าที่ของอาจารย์ นั่นคือต้องสอนให้พวกเจ้าให้ได้ดี​
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การที่จะเดินตามรอยเท้าของอาจารย์ ก็คือต้องทำงานฉุดช่วยสามโลกอย่างจริงจัง


    ศิษย์เจ้าทั้งหลาย ความสูงส่งของอนุตตรธรรม คุณค่าของอนุตตรธรรม จะแสดงออกมาได้จากตัวเจ้าให้เห็นถึงความแยบยลของอนุตตรธรรม ทำให้พี่น้องทั้งโลกได้มีโอกาสได้สดับรับฟังข่าวดีของอนุตตรธรรม และข่าววิเศษในการฉุดช่วยสามโลกนี้ จงตั้งหน้าตั้งตาขยันไปเผยแพร่ข่าวสารและฉุดช่วยชาวโลก เพราะว่า “ภัยพิบัติ” เพราะว่า มหันตภัย ทั้งหลายกำลังคืบคลานเข้ามาติดๆกันและกระชั้นชิดมาก พวกเจ้าได้เห็นเวไนยทั้งหลายต้องได้รับความเสียหาย ความทุกข์ทรมานจากภัยพิบัติทั้งหลาย จะรู้สึกลำบากใจมาก ศิษย์เจ้าทั้งหลายต้องมีใจที่มีเหตุมีผล ต้องมีการกระทำที่จริงจังออกมา ไม่ใช่สักแต่พูด ต้องทำออกมาอย่างจริงจังจะเป็นผู้ติดตามอาจารย์จริงๆ เป็นผู้ที่เกาะติดชายเสื้ออาจารย์ได้จริง สำหรับคนที่เอาแต่พูดแต่ไม่มีการกระทำออกมาละ อาจารย์เรียกเขา เขาก็ไม่มา ถ้าอย่างนี้ อาจารย์ก็ขอก้าวเดินไปก่อนละ รู้ไหม คนที่ทำงานจริงจัง ถึงจะเป็นคนที่เดินตามหลังอาจารย์ได้จริงๆ สำหรับผู้ที่ได้แต่พูดแล้วไม่รู้จักทำ อาจารย์ก็จะเรียกเขาให้รีบๆออกมา จงอย่าเสียวันเวลาอันมีค่านี้ไปเพราะเจ้าจะรู้หรือว่าตัวเองยังมีเวลาเหลืออยู่ในโลกนี้นานเท่าไหร่
    เอาละ ขอกล่าวเพียงแค่นี้ก่อน ไม่มากความต่อไป ศิษย์เจ้าทั้งหลายควรจะมาศึกษาให้เข้าใจงานของสามภพ เจาะลึกเข้าไปในสามภพ จะต้องหมั่นมาเข้าทุกๆ ชั้นเรียน ร่วมประชุมธรรมะครั้งใหญ่​

    http://www.mindcyber.com
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    วาระสุดท้ายของโลก

    ปัญหา นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า โลกของเราจะมีอายุประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านปีแล้วก็จะแตกดับ ทางพระพุทธศาสนาแสดงเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้าง ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม.... ควรเบื่อหน่าย.... ควรคลานกำหนัด.... ควรหลุดพ้น
    “ขุนเขาสิเนรุโดยยาว ๘๔,๐๐๐ โยชน์ โดยกว้าง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หยั่งลงในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงจากมหาสมุทรขึ้นไป ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มีกาลบางคราวที่ฝนไม่ตกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี เมื่อฝนไม่ตก พืชคาม ภูตคามและติณชาติป่าไม้ใหญ่ย่อมเฉา เหี่ยวแห้ง เป็นอยู่ไม่ได้
    “.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่สองปรากฏ...แม่น้ำลำคลองทั้งหมดย่อมงวดแห้ง.... ไม่มีน้ำ
    “.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๓ ปรากฏ...แม่น้ำสายใหญ่ ๆ คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรพู มหี ทั้งหมดย่อมงวดแห้ง.... ไม่มีน้ำ
    “.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๔ ปรากฏ...แม่น้ำสายใหญ่ ๆ ที่ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำใหญ่ คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรพู มหี ทั้งหมดย่อมงวดแห้ง.... ไม่มีน้ำ
    “.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๕ ปรากฏ...น้ำในมหาสมุทรลึก ๑๐๐ โยชน์ก็ดี.... ๗๐๐ โยชน์ก็ดี ย่อมงวดลงเหลืออยู่เพียง ๗ ชั่วต้นตาลก็มี ๖ ชั่วต้นตาลก็มี.... ชั่วต้นตาลเดียวก็มี แล้วยังจะเหลืออยู่ ๗ ชั่วคน ๖ ชั่วคน.... เพียงเขา... เพียงรอยเท้าโค
    “.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๖ ปรากฏ...แผ่นดินใหญ่นี้และเขาสินเนรุ ย่อมมีกลุ่มควันพลุ่งขึ้น เปรียบเหมือนนายช่างหม้อเผาหม้อที่ปั้นดีแล้ว ย่อมมีกลุ่มควันพลุ่งขึ้น ฉะนั้น
    “.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฏ...แผ่นดินใหญ่นี้และเขาสินเนรุ ไฟจะติดทั่วลุกโชติช่วง มีแสงเพลิงเป็นอันเดียวกัน.... เมื่อแผ่นดินใหญ่และเขาสิเนรุ ถูกไฟเผาผลาญอยู่ ย่อมไม่ปรากฏขี้เถ้าและเขม่า.....
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย..... สังขารทั้งหลาย.... เป็นสภาพไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม ควรจะเบื่อหน่าย.... ควรคลานกำหนัด.... ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง



    สุริยสูตร ส. อํ. (๖๓)
    ตบ. ๒๓ : ๑๐๒-๑๐๕ ตท. ๒๓ : ๙๕-๙๗
    ตอ. G.S. IV : ๖๔-๖๘
     
  9. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ไปเจอคำอธิษฐานที่คุณคณานันท์บรรจงเสกสรรขึ้นเพื่อพวกเราทุกๆ คน เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อพวกเรามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใกล้จุดไคล์แม๊กซ์แบบนี้... ช่วยๆ กันอธิษฐานด้วยค่ะ...

    คำอธิษฐานเพื่องานส่วนรวมของ ชาวพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    "ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมจิตระลึกถึงบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ อันมีองค์สมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย เทพพรหมเทวา สัมมาทิฐิทั้งหลายทั่วทุกๆจักรวาล ได้โปรดมาเป็นพยานในการทำงานถวายพระพุทธศาสนา รักษาชาติและค้ำชูสถาบันพระมหากษัตริย์ ของเหล่าข้าพเจ้าทั้งหลาย

    ขอให้เหล่าข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้ระลึกรู้จดจำคำอธิษฐานและหน้าที่ที่ได้อธิษฐานมาก่อนลงมาเกิดในชาตินี้ได้อย่างกระจ่างแจ้ง หากเพื่อนพรรคที่ลงมายังไม่ตื่น ยังไม่รู้สึกตัวถึงหน้าที่ ขอทวยเทพเทวา มาดลจิตดลใจพวกเขาให้ตื่นรู้ซึ่งหน้าที่ด้วยเถิด

    ขอให้ดวงจิตของข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ มีองค์พระพุทธองค์ทรงคุ้มครองปกป้องดวงจิตของข้าพเจ้าไว้ไม่ว่ายามหลับก็ดี ยามตื่นก็ดี ยามมีสติก็ดี คลาดจากสติก็ดี ขอทวยเทพเทวาช่วยชักนำจิตข้าพเจ้ากลับเข้าสู่กุศลไว้เสมอตลอด แม้เพื่อนพรรคผู้เป็นมิจฉาทิฐิ ก็ขอให้พลิกจิตฟื้นกลับคืนสู่ความเป็นสัมมาทิฐิด้วยเถิด ทุกคนทุกท่าน

    ขอให้วาสนาบารมีเก่าที่ได้บำเพ็ญมา ทั้งสามสิบทัศน์จงได้กลับคืนเพื่อนำมาใช้ในการสร้างบุญบารมีในชาตินี้ ขอสายกุศลสมบัติทั้งปวงจงกลับมาเพื่อการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ขอกรรมฐานเก่า อภิญญาจงกลับมาเพื่อความก้าวหน้าแห่งการปฏิบัติ

    และขอให้เหล่าข้าพเจ้าทั้งหลายจงมีกำลังใจ จงมีบารมีที่เต็มเปี่ยมในการทำงานเพื่อการรักษาบวรพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้รุ่งเรืองประดุจครั้งพระพุทธองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ตราบจนห้าพันวัสสากาลแห่งพุทธศาสนาด้วยเทอญ.."

    "ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพพรหมเทวาสัมมาทิฐิทั้งหลาย ได้โมทนาในบุญที่พวกเราทั้งหลายได้ตั้งใจไว้ดีแล้ว ขอให้ช่วยเมตตาปกปักรักษาคุ้มครอง กาย วาจา ใจ ของพวกเรานี้รวมไว้เป็นหนึ่งเดียว สามัคคี มั่นคง เห็นประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ด้วยเทอญ"

    ขอให้ทุกท่านจงสำเร็จในความปรารถนาทุกประการไม่ว่าเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณก็ดี หรือเพื่อพระนิพพานก็ดี ขอให้บารมีของทุกท่านจงสำเร็จสมหวังร้อยเท่าพันทวีด้วยเทอญ

    แล้วอย่าลืมการอธิษฐานถวายกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระสังฆราชฯ ด้วยนะคะ
     
  10. น้องบุญน้อย

    น้องบุญน้อย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +44
    ขอบคุณคะ
     
  11. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    VANCO<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_546145", true); </SCRIPT>
    ทีมงานเว็บพลังจิต (เต้)

    [​IMG]

    ภาพเมื่อโลกถูกระเบิดนิวเคลียร์ทำลาย

    ในหนังสือ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาส” ศุภนิมิตถอดความไว้ว่า:-
    เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2531 เวลา 17.10 น.

    เด็กหญิง “เทียนไฉ” ถอดจิตออกจากร่างติดตามพระอรหันต์จี้กงขึ้นไปเหนือเมฆ
    มองดูภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าสภาพ อันน่าเวทนาเมื่อเวลาระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดขึ้น มีดังนี้

    ระเบิดนิวเคลียร์ลูกหนึ่ง ได้ยิงไปตกลงยังเมือง ๆ หนึ่ง หัวระเบิดได้ระเบิดขึ้นกลางอากาศเกิดเปลวไฟ
    และ แสงสว่างอันแรงกล้า แล้วทันใดนั้นมันก็ทำลายสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ทั้งหมดชั่วพริบตา พร้อมกับ
    เสียงดัง กัมปนาทและแรงสะเทือนอย่างรุนแรงจาก ระเบิด ความกดอากาศเปลี่ยนแปลงทันที คน และ
    สัตว์ทั้งหลายบาดเจ็บและล้มตายลงนับจำนวนไม่ถ้วน

    ทุกหนทุกแห่งเห็นแต่ภาพน่าอนาถ

    กลุ่มควันที่เหมือนเมฆสีดำรูปดอกเห็ด ขยายตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าสีดำมืด และ มีกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ
    อากาศใน ขณะนั้นให้ความรู้สึกอึดอัด เหมือนกำลังจะขาดใจตาย บริเวณที่ได้รับความเสียหายกว้าง
    ไกลออกไปถึงร้อยกว่ากิโลเมตร ส่วน กัมมันตภาพรังสีนั้น ครอบคลุมไปไกลถึงหลายร้อยกิโลเมตร
    คนที่ไม่ตายด้วยไฟและแสงหรือจากแรงระเบิด ก็วิ่งพล่าน กระเจิดกระเจิงไป

    เสียงเรียกพ่อ เรียกแม่ กรีดร้องก้องฟ้า เป็นที่น่าเวทนา หาที่เปรียบไม่ได้เลย

    ทันใดนั้นเมฆบนท้องฟ้าก็ เคลื่อนไหวม้วนตัวอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสี
    แดงเรื่อ ๆ เป็นสีแดงคล้ำแล้วกลับกลายเป็นสีเทาขาว แล้วในทันใดก็เปลี่ยนเป็นสีเทาดำ และ ดำมืด

    ถึงตอนนั้นแม้จะชูมือขึ้นตรงหน้า ก็มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าได้ คนที่ยืนอยู่ต่อหน้ากัน ก็มองไม่เห็นกัน

    พระอาจารย์จี้กงตรัสไว้ว่า นั่นคือ “ เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน อันยาวนานที่รัตติกาลมาสู่โลก

    เวลาอันน่าสะพรึงกลัวกำลังเริ่มแล้ว ณ บัดนี้

    วันที่ 30 มกราคม เวลาเช้า 9.00 น. อันเป็นเวลาฝึกสมาธิ
    ดรุณีน้อยเอี้ยนอี๋ (เทียนไฉ) ก็ได้ถอดจิตติดตาม
    พระอาจารย์จี้กง ไปดูสถานที่เกิดเหตุมหันตภัยต่อไปดังนี้:


    ขณะนั้น ลมมหาประลัย โหมมาทั้งสี่ทิศพร้อมกันตึกใหญ่ ๆ ที่ยังมิได้พังทลายทั้งหมด ท่ามกลางแรงระเบิด
    และแสงไฟโชติช่วง ได้พังคลืนลงมาทั้งหมด เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้แต่ต้นไม้ขนาดสิบคนโอบรอบ
    ก็ถอนรากถอนโคน ล้มระเนระนาด ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาล้วนเป็นสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก

    แล้วเธอก็ได้เห็นหมู่บ้านใหม่แห่งหนึ่ง ตรงกลางเป็นพุทธสถาน
    บ้านเรือน ที่อยู่ในรัศมีโดยรอบหลายร้อยเมตร

    ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเรืองรอง ผู้คนที่อยู่ในพุทธสถาน
    และ ภายใต้การห่อหุ้มของแสงสี ม่วงพ้นภัยโดยทั่วกัน

    ส่วนที่อยู่ห่างไกลออกไปแต่เป็นคนที่มีจิตใจดี ดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลใจให้เขาวิ่งเข้ามาหลบภัยใน
    พุทธสถานด้วย โลกภายนอกมืดมิดไปทั่ว ไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้าหรือดวงไฟจากสิ่งใดเลย สายฟ้าแลบ

    พร้อมกับฟ้าคะนอง หยดน้ำสีแดง ๆ เหมือนสายฝน แต่มิใช่ โกรกลงมาจากฟ้าแต่ละหยดมีน้ำหนัก
    เหมือนเศษแก้ว กลิ่นเหม็นเอียนจัด เหมือนยา พิษร้ายแรง มันทะลุผ่านอิฐ หิน ปูน เหล็กกล้าและทุกอย่าง
    แต่ที่น่าอัศจรรย์คือ เมื่อมันหยดลงมาบนรัศมีครอบที่เป็นสีม่วง มันจะสลายตัวหายไปจนหมดสิ้น

    ในตำหนักพระมีพระพุทธประทีป 3 ดวง บนแท่นบูชาสาดส่องประกายไฟอยู่สว่างไสว ไม่นาน

    ต่อมาเธอก็ได้เห็น

    พื้นดินแยกออกเป็นร่องลึกใหญ่ทั่วไป
    ผีนรก ทั้งหลายกรูกันออกมาจากรอยแยกเหล่านั้น ทุกคนดูกระเหี้ยน

    กระหือรือ พอเห็นศัตรูคู่อาฆาตลูกหนี้ในชาติก่อนของเขาก็ฉุดกระชากตัวลงไป ในร่องลึกใต้ดินโดยทันที
    โดยไม่มีการพูดจาต่อรองใด ๆ เป็นภาวะที่ผีคร่ำครวญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่ำร้องโดยแท้สยองขวัญยิ่งนัก

    พระอาจารย์จี้กงบอกหนูเอี้ยนอี่ว่า
    นั่นคือการ หักล้างบัญชีครั้งใหญ่

    ในรอบหกหมื่นปีที่ผ่านมา ทันใดนั้น เธอก็เห็น

    สถานที่แห่งหนึ่ง ถูกห่อหุ้มด้วยแสง สีม่วง เหมือนกัน
    แผ่รัศมีรอบวงค่อนข้างมัวหมองเหมือนถ้ำ และ เหมือนบ้านเก่า
    ภายในบริเวณไม่มีแท่นที่บูชาพระ มุมหนึ่งในบริเวณนั้นมีไหวาง เรียงอยู่หลายใบ
    ไหทุกใบมีฟองเหมือนน้ำ และเหมือนน้ำมันผุดขึ้นจนล้นออกมา ฟองเหล่านั้นมีสีแดงเรื่อ ๆ
    ให้ความรู้สึกที่ไม่ สบายใจเลย บนผนังบ้านติดยันต์เต็มไปหมด

    ดูอึมครึมน่ากลัว พระอาจารย์จี้กงบอกว่า ที่นั่นเป็นเมืองในม่านเมฆจอมปลอม
    เป็นถ้ำมารที่ปีศาจมารร้ายจำแลงไว้ล่อใจ คนโลภหลงให้เข้าไปติดกับ

    ไม่นานนักเธอก็เห็น พระศรีอาริย์ " ปลอม " ลอยลงมาจากฟากฟ้า หัวเราะร่าร้องเรียก
    ผู้บำเพ็ญอนุตตรธรรม และ คนทั้งหลาย ที่ยังไม่ทันได้ไปหลบภัยในพุทธสถานที่แท้จริงว่า ให้ติดตาม
    เรามา เจ้าจะหลบเลี่ยงภัยพิบัติได้ อีกทั้งแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ให้แสงสีม่วงห่อหุ้มพวกคน ให้พ้นจากการ

    ทำลายของฝนพิษได้ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมาตะโกนเรียกผู้บำเพ็ญธรรมที่หลบภัยอยู่ในตำหนักพระ
    ภายใต้ครอบแสงสีม่วงให้ตามไป จะได้ยกระดับ และ มอบหมายตำแหน่งงานธรรมชั้นสูงให้ ใครก็ตาม
    ที่หลงเชื่อตามไปในครั้งนี้ ก็จะไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป โดยแท้จริง
    แล้ว คนที่เข้าพุทธสถานแล้ว ภัยพิบัติมิอาจเข้ามาทำลายได้เลย
    เมื่อถึงเวลานั้นคนที่บำเพ็ญธรรมจงพึงระวังตัวให้รอบคอบ ทีเดียว

    วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เวลาบ่ายสองโมงโดยประมาณ
    พระอาจารย์จี้กงพาหนูน้อยเอี้ยนอี๋ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป:

    แม้จะผ่านช่วง 49 วันอันยาวนาน และ น่าสะพรึงกลัวไปได้แล้วก็ตาม แต่โลกก็ยังตกอยู่ในความมืดมิด
    ต่อมาจึงค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย เห็น ศพ * เกลื่อนกลาดกองพะเนิน
    มีแต่ หัวขาด แขนขาด ขาขาด
    หรือตัวขาดเป็นท่อน จนแทบไม่มีศพเต็มร่างเลย

    โลหิตสีดำคล้ำนองไหลมารวมกัน จนเหมือนแม่น้ำ
    เลือดกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่วจนอยากอาเจียน
    พูดได้ว่ามันคือนรกใน เมืองมนุษย์จริง ๆ

    ไม่นานต่อมา แสงสีม่วงที่ครอบพุทธสถานก็ค่อย ๆ จางไป ญาติธรรมทั้งหลายพากันออกมาภายนอกได้แล้ว
    โลกทั้งโลกเงียบสงัด สัตว์ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้มีเพียงประเภทเดียว คือสัตว์ที่กินหญ้าหรือกินพืชผักเป็นอาหาร
    คือ กระต่าย แกะ วัว ควาย และ ม้าเท่านั้น จากนี้คือความทุกข์ยากหลังจากวันเกิดมหันตภัย

    วันที่ห้าสิบ - เจ็ดสิบ คนที่ไม่ได้ถือศีลกินเจมาก่อน ยากที่จะผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้
    เพราะทุกหนแห่งในโลกล้วนอาบไปด้วยพิษ ของกัมมันตภาพรังสี พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่มีอะไรเหลือเลย
    ผู้ที่ทนต่อความอดอยากไม่ได้

    ผู้ที่กินเจ เฉพาะวัน หรือไม่ได้กินเจ แต่โชคดีที่รอดพ้นสี่สิบเก้าคืนมาได้
    ภายในร่างกายของเขายังมีสิ่งสกปรกหลงเหลืออยู่ อีกทั้งอารมณ์โหดจะเกิดขึ้น
    พวกคน เหล่านั้นจะฉีกเนื้อกระต่าย แกะ วัว ควาย หรือม้ากินดิบ ๆ ได้ แต่ไม่นานต่อมาเขาก็จะต้องตาย

    เพราะสารพิษ พระอาจารย์จี้กง ได้โปรดเมตตาบอกว่า มีแต่ คนที่กินเจ เท่านั้น
    ที่ จะอยู่รอดจากความอดอยาก หลังจากภัยพิบัติใหญ่แล้วจริง


    วันที่ 5 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง พระอาจารย์จี้กงได้โปรดนำหนูเอี้ยนอี๋ไปดู
    เหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป:


    ขณะนั้นท้องฟ้าสว่างแล้ว ทุกสิ่งบนพื้นโลกมีแต่ซากที่ถูกทำลายล้าง
    แผ่นดินที่แยกออกปิดเข้าหากันแล้ว เหลือแต่รอยแยกเป็น ทาง ๆ แม่น้ำเลือดที่ไหลนองก็แห้งลง และ ซึมลง
    ไปในดิน ทุกอย่างที่เห็นมีแต่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน น่าสมเพชเวทนา และน่าอนาถใจ คนถือศีลกินเจทั้งหลาย
    เริ่มจะลงมือเก็บฝังหรือเผาซากศพกันอย่างเป็นงานเป็นการ

    เมื่อหิวกระหายก็เพียงแต่ใช้นิ้วจุ่มน้ำทิพย์ที่บูชาแตะลงที่ปลายลิ้น
    แล้วคนเหล่านั้นก็ ประทังชีวิตอยู่กันต่อไปได้ อย่างไม่เดือดร้อน คนที่ยังไม่เคยกินเจตลอด
    เสมอมา จะไม่กล้าเดินออกไปนอกตำหนักพระเลยแม้สักก้าวเดียว .

    ------------------------------------------------------------------------------

    rabbit_rabbit_rabbit_

    “ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาส ”
    วันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2531 เวลา 17.10 น. หนูยังไม่ได้เกิดมาบนโลกนี้เลยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...