พุทธพยากรณ์ และภัยพิบัติโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 8 เมษายน 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ คำว่า "อัจฉริยธรรม" นั้นแปลว่า ธรรมะที่น่า อัศจรรย์ คำว่า "อัศจรรย์" แปลว่า ควรปรบมือให้ ควรยกนิ้วให้ว่าดี เลิศ ประเสริฐ ยอดเยี่ยม อธิบายว่า นิยตโพธิสัตว์นั้น มีธรรมควรที่เทวดา มนุษย์จะยกนิ้วให้ ปรบมือให้ว่ายอดเยี่ยมที่สุด
    อัจฉริยธรรมนั้น มีอยู่ ๗ ประการ คือ

    ๑. ปาปะปะฏิกุฏจิตโต
    มีจิตหดหู่จากบาป คือ จิตของนิยตโพธิสัตว์นั้น ไม่สู้กับความชั่ว ไม่สู้กับบาปอกุศล มีแต่ละอายบาป กลัวบาป ละอายชั่ว กลัวชั่ว เกลียดความบาป เกลียดความชั่ว
    ๒. ปะสาระณะจิตโต
    มีจิตแผ่ออกแต่ความดี คือ เป็นจิตที่เบิกบานต่อ ความดีอยู่เป็นนิจ คอยรับแต่ความดีอยู่เสมอ มีอาการแผ่ออก ไม่ถอย จากความดี ถ้ายังไม่ถึงจุดมุ่งหมาย เป็นอันไม่หยุดความเพียร ไม่ละเลิก ความเพียรเป็นอันขาด
    ๓. อธิมุตตะกาละกิริยา
    น้อมใจตาย คือ เมื่อได้เกิดในสวรรค์ที่มีอายุ ยืนนาน ท่านกลัวเสียเวลาสร้างบารมีไปนาน (เพราะในสวรรค์เป็นที่ เสวยสุขเป็นส่วนมาก โอกาสที่จะได้บำเพ็ญบุญบารมีต่างๆ มีน้อย ไม่เหมือนเกิดเป็นมนุษย์- deedi) จึงอธิษฐานขอให้สิ้นชีวิต คำอธิษฐานนั้นว่า



    "ขออย่าให้ชีวิตของข้าพเจ้ามีอยู่ต่อไปเลย" พออธิษฐานเสร็จก็จุติทันที
    ข้อนี้ถ้าไม่ใช่นิยตโพธิสัตว์ทำไม่ได้



    ๔. วิเสสะชะนัตตัง
    ความเป็นคนวิเศษ คือ เป็นคนแปลกไม่เหมือนคนอื่นๆ เมื่อนิยตโพธิสัตว์อยู่ในครรภ์มารดาในชาติที่สุด (คือ ชาติสุดท้าย ชาติที่ จะได้ตรัสรู้- deedi) จะไม่เหมือนคนทั้งหลายคือ คนธรรมดาเรานั้น เมื่ออยู่ในครรภ์มารดานั่งทับอาหารเก่า ทูนอาหารใหม่ของมารดาไว้ ๑ ผินหน้าเข้า ข้างหลังมารดา ๑ ผินหลังออกไปข้างหน้ามารดา ๑ นั่งยองๆ เอามือทั้งสอง ค้ำคางไว้ ๑ ส่วนนิยตโพธิสัตว์ตรงกันข้ามคือ นั่งอยู่ในที่สะอาด ไม่เปื้อน อะไร ๑ ผินหน้าออกทางหน้ามารดา ๑ นั่งพับพะแนงเชิงเหมือนพระนั่งเทศน์ บนธรรมาสน์ ๑
    ๕. ติกาลัญญู
    รู้กาล ๓ นิยตโพธิสัตว์ในชาติที่สุดนั้น รู้พระองค์ใน ๓ กาล คือ เมื่อจะจุติจากสวรรค์ลงสู่พระครรภ์ ก็รู้ว่าจะจุติลงสู่พระครรภ์ ๑ เวลาที่ อยู่ในพระครรภ์ ๑๐ เดือน ก็รู้ว่าอยู่ในพระครรภ์ ๑ เวลาประสูติจากพระ ครรภ์ก็รู้ว่าประสูติจากพระครรภ์ ๑ ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้า

    (พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แต่ไม่ได้ออกสั่งสอนเวไนยสัตว์ ไม่สามารถรื้อถอนสัตว์ออกจากสังสารวัฏได้- deedi) กับพระอัครสาวกทั้ง สอง เป็น ทวิกาลัญญู รู้กาล ๒ คือ เวลาจุติลงสู่ครรภ์ ๑ เวลาที่อยู่ในครรภ์ ๑ อสีติมหาสาวกใหญ่ทั้ง ๘๐ เป็น เอกาลัญญู รู้กาลเดียว คือ เวลาจะถือ ปฏิสนธิเท่านั้น
    นอกจากบุคคล ๓ ประเภทนี้ เป็น อกาลัญญู คือ ไม่รู้กาลทั้งหมดฯ
    ๖. ปสูติกาโล
    กาลประสูติ เวลาประสูติ หมายความว่า ในชาติที่สุดนั้น นิยตโพธิสัตว์มีการประสูติดังนี้ คือ เวลาจะประสูติ พระมารดายืน ส่วน พระองค์ท่านที่อยู่ในครรภ์ ก็ยืนขึ้นและทรงเหยียดพระหัตถ์ทั้งสองลงไป ตามลำขา มีอาการเหมือนพระเทศน์ลงจากธรรมาสน์ ไม่รู้สึกลำบาก พระองค์และพระมารดาเลย หมื่นโลกธาตุก็หวั่นไหวใหญ่

    ๗. มะนุสสะชาติโย
    เกิดเป็นมนุษย์ หมายความว่า การที่นิยตโพธิสัตว์ ผู้มีบุญญาภินิหารเต็มที่สามารถเลือกเกิดได้ตามชอบใจในชาติที่สุด แต่ต้องเกิดเป็นมนุษย์นั้น ก็นับเป็นข้อควรอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ท่านอ้างเหตุ ไว้ ๓ อย่าง คือ
    ๑. มนุษยโลกสมควรเป็นที่ตั้งศาสนพรหมจรรย์ คือ การบรรพชาอุปสมบท ซึ่งทรงคำสั่งสอนไว้
    ๒. เป็นที่อัศจรรย์ในพุทธานุภาพ
    ๓. เป็นที่มีโอกาสไว้พระสารีริกธาตุในเวลาพระองค์นิพพาน
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ส่วนต่อไปนี้นับว่าเป็นส่วนเพิ่มเติมเพราะส่วนข้างบนทั้งหมดเป็นคำสนทนา โดยตรงระหว่างพระศรีอริยเมตไตรยกับพระอรหันต์พระนามพระมาลัยเถระ แต่ส่วนที่จะยกมาตรงนี้เป็นบทสนทนาระหว่างสมเด็จพระอมรินทราธิราช (คิดว่าท่านเป็น ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นะคะ- deedi) กับพระมาลัยเถระ เกี่ยวกับ พระศรีอาริย์ก่อนที่พระมาลัยจะได้มีโอกาสกราบเข้าเฝ้าและทูลถามความ ต่างๆ ดังที่นำมาให้อ่านแล้ว
    ______________________
    ดูกรมหาบพิตร สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยนั้น พระองค์ท่านได้ทรงบำเพ็ญ กุศลธรรมเป็นประการใด จึงประกอบไปด้วยรัศมีเครื่องประดับประดา อาภรณ์วิภูสิตงดงามยิ่งกว่าเทพยดาองค์ไหนๆ ทั้งมีเทพบุตรเทพธิดาเป็น บริวารถึงแสนโกฏิปานนี้ มหาบพิตร
    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ อันกุศลกรรมของพระศรีอริยเมตไตรยหน่อพระ- พุทธางกูร พระองค์ทรงก่อสร้างกุศลสมภารมา ก็ด้วยความปรารถนาจะ ปลดเปลื้องซึ่งหมู่สัตว์อันขัดข้องอยู่ด้วยเครื่องจองจำคือกิเลสมาร ทรงตั้ง พระทัยจะโปรดปรานมนุสสมบัติแก่หมู่สรรพสัตว์ จึงได้อุตส่าห์บำเพ็ญ เนกขัมมบารมีเป็นหลายแสนโกฏิแห่งกัปป์ฯ
    หวังจะโปรดประทานพระโสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผล แก่บุคคลผู้เห็นทุกข์ จึงอุตส่าห์บำเพ็ญปัญญาบารมีฯ
    หวังจะโปรดประทานพระสกทาคามิมรรค แก่นรชนผู้เห็นประจักษ์ในทาง อนิจจัง จึงทรงบำเพ็ญวิริยบารมี
    หวังจะโปรดประทานพระอนาคามิผล (ตรงนี้หนังสือเขียนว่าพระสกทาคา- มิผล ดิฉันสงสัยว่าจะพิมพ์ผิดเลยแก้มาตามนี้ ผิดถูกประการใด ขออภัย ด้วยนะคะ- deedi) แก่นรชนผู้เห็นแจ้งโดยทางอนัตตา จึงอุตส่าห์บำเพ็ญ ขันติบารมีฯ
    หวังจะโปรดประทานพระอรหัตตมรรคอรหัตตผล แก่บุคคลผู้เห็นแจ้ง ประจักษ์ในพระไตรลักษณะทั้ง ๓ ประการ จึงอุตส่าห์บำเพ็ญสัจจบารมีฯ
    หวังจะโปรดประทานพระอัฏฐังคิกมรรค แก่บุคคลผู้งดเว้นจากปาณาติบาต จึงหมั่นบำเพ็ญอธิษฐานบารมีฯ
    หวังจะโปรดประทานนิพพานสมบัติ แก่สัตว์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร จึงอุตส่าห์บำเพ็ญเมตตาบารมีและอุเบกขาบารมีฯ
    สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยบรมพุทธางกูรนี้ ได้ทรงสร้างบารมีมาหลาย แสนกัปป์ ก็เพื่อจะโปรดประทานศีล สมาธิ ปัญญา แก่เวไนยสัตว์ให้ล่วงพ้น จากวัฏฏสงสาร บรรลุถึงฟากฝั่งพระนิพพาน เห็นสภาวะปานฉะนี้ ขอพระคุณเจ้าจงรอคอยพระองค์ก่อน เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงเมื่อใด ขอพระคุณเจ้าจงได้ไต่ถามพุทธการกภูมิให้พิสดารกว้างขวาง ตามอัธยาศัยของพระคุณเจ้าเมื่อนั้นเถิดฯ


    จาก "พระมาลัยโปรดสัตว์นรก" รจนาโดย พระเทพสิทธิมุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ. ๙) พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ค้นเจอในหนังสือ พระศรีอารย์ โดย ส. พลายน้อย
    (ได้รับคัดเลือกให้ใช้ในห้องสมุดโรงเรียน สำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๔๒)

    คัดลอกจากคำนำ

    การที่คนโบราณมุ่งหวังที่จะไปเกิดในศาสนาพระศรีอารย์นั้น ก็เพราะเข้าใจว่าเป็นศาสนาที่มีแต่ความสะดวกสบาย ชีวิตมีแต่ความสดชื่นรื่นรมย์ ไม่ต้องขวนขวายดิ้นรนให้เหนื่อยยาก

    แต่บางคนอาจไม่ทราบเรื่องตลอดว่า การที่จะไปพบศาสนาพระศรีอารย์ได้นั้น จะต้องเตรียมตัวหรือปฏิบัติตนอย่างไร บางคนอาจคิดว่าตั้งความปรารถนาไว้ก็จะได้ไปเกิด

    ซึ่งแท้จริงแล้วไม่เพียงแต่ตั้งความปรารถนาอย่างเดียว หากจะต้องเป็นผุ้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในขณะที่อยู่ในพระพุทธศาสนานี้เสียก่อน ถ้าไม่ปฏิบัติเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็จะไม่มีโอกาสได้พบศาสนาพระศรีอารย์อย่างแน่นอน

    ฉะนั้นเรื่องของศาสนาพระศรีอารย์จึงไม่ใช่เรื่องที่จะคิดฝันจะไปพบได้ง่าย ๆ เพราะเป็นศาสนาที่รับเฉพาะคนดีเท่านั้น หรือกล่าวให้ชัดเจนขึ้นไปอีกก็คือ รับเฉพาะพุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดเท่านั้น...

    ...เรื่อง "พระศรีอารย์" นี้อาจเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านที่ต้องการรู้เรื่องพระศรีอารย์ในด้านตำนานและความเชื่อ แต่ในด้านสาระก็จะเห็นว่าพระพุทธศาสนายังเป็นศาสนาที่สำคัญและจำเป็นอยู่

    ถ้ามัวแต่หวังตั้งปณิธานว่าจะไปเกิดในศาสนาพระศรีอารย์ โดยไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติความดีตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสได้ไปเกิดในศาสนาพระศรีอารย์อย่างแน่นอน เพราะพระศรีอารย์ได้กำหนดไว้อย่างนั้น

    อนึ่งเรื่องพระศรีอารย์ มิใช่จะมีกล่าวถึงในประเทศไทยเท่านั้น ในจีน เกาหลี ญี่ปุ่นก็มี แต่เรื่องราวที่กล่าวถึงจะมีพิสดารอย่างไร หาเอกสารได้น้อยมาก ถ้ามีคงเป็นเรื่องแปลก ๆ อาจไม่เหมือนกับที่กล่าวถึงในเมืองไทยที่เขียนไว้ในเล่มนี้

    เพราะเพียงชื่อและรูปก็ต่างกันมากมาย ในภาษาจีนเรียกพระศรีอารย์ว่า มิไล (Mi - Li) หรือ มิโลโฟ ในภาษาญี่ปุ่นเรียก มิโรกุ ในภาษาเกาหลีเรียกว่า ไมรัก [Miruk] หรือ ไมรอก (Mirok)

    ซึ่งเพี้ยนมาจากภาษาสันสกฤต ไมเตฺรย (maitreya) รูปพระศรีอารย์ก็ทำต่างกัน ทางไทยเป็นรูปคล้ายพระพุทธแต่ไม่มีพระเกศมาลา ทางจีนเป็นรูปพระอ้วนหน้าตาอวบอมยิ้มอย่างใจดี นิยมเรียกกันว่า พระยิ้ม

    ส่วนของเกาหลี ก็ทำเป็นรูปนั่งบนตั่งห้อยเท้าซ้าย เท้าขวาพาดบนเข่าซ้าย มือขวางอข้อศอกวางบนเข่าขวา นิ้วชี้กับนิ้วกลางเหยียดแตะแก้ม และยังมีลักษณะอาการอย่างอื่นอีก ซึ่งได้พยายามหามาพิมพ์ไว้ในหนังสือเล่มนี้...
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    คัดลอกจากหน้า ๑ อายุของพระพุทธศาสนา

    ...พระศรีอารย์มีชื่อเรียกต่างกัน เพราะมีหลายคัมภีร์ ทางฝ่ายมหายานเรียกว่า พระเมตไตรย ทางฝ่ายหินยานหรือทางไทยเรียกว่า พระศรีอริยเมตไตรยก็มี เรียกว่า พระศรีอาริยไมตรีก็มี พระเมตไตย์

    ภาษาสันสกฤต ไมเตฺรย หรือ พระเมตเตยยก็มี แต่ส่วนมาก รู้จักกันในนามพระศรีอารย์ เป็นอนาคตพุทธเจ้าที่มีผู้กล่าวถึงและปรารถนาที่จะไปเกิดในยุคที่พระศรีอารย์มาตรัสรู้กันมาก

    การที่พุทธศาสนิกชนพากันเลื่อมใสพระศรีอารย์น่าจะเนื่องมาจากเหตุ ๒ ประการ

    ประการแรก ศาสนาพระศรีอารย์มีแต่ความสุขสนุกสบาย มนุษย์ทั้งหลายชอบความสะดวกสบาย ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อยยาก จึงชอบศาสนาดังกล่าวนี้

    ประการที่สอง เชื่อกันว่าในปัจจุบันเป็นยุคกึ่งพุทธกาล เพราะเข้าใจกันว่า พระพุทธศาสนาจะมีอายุอยู่เพียง ๕๐๐๐ ปีเท่านั้น ผู้ที่หวังจะเกิดใหม่ จึงปรารถนาที่จะเกิดในศาสนาพระศรีอารย์

    ดังจะเห็นได้จากคำอธิษฐานต่าง ๆ ของคนโบราณ เช่นในศิลาจารึกวัดสรศักดิ์ เมื่อมหาศักราช ๑๓๓๔ (พ.ศ. ๑๙๕๕) กล่าวถึงการสร้างวัดและพระวิหาร ผู้สร้างได้ตั้งความปราถนาไว้ว่า

    "ตูข้าท่านทั้งหลายขวนขวาย ทำในศาสนานี้ จะปรารถนาทันศาสนาพระศรีอาริยไมตรีโพธิสัตว์ทุกชาติ"

    ความจริงถ้าจะเชื่อว่าพระพุทธศาสนาจะมีอายุเพียง ๕๐๐๐ ปี ก็ยังมีเวลาอีกตั้งสองพันปี ก็น่าจะอธิษฐานหรือตั้งความปรารถนาให้เกิดในพระพุทธศาสนาอีกก็ยังทัน

    ถ้าเชื่อว่าตายแล้วเกิด เอาไว้ใกล้ ๆ ห้าพันปีจึงค่อยปราถนาศาสนาพระศรีอารย์ ก็ยังไม่สายเกินไป...

    ...ความจริงพระพุทธเจ้าทรงทราบดี ถึงเหตุที่พระพุทธศาสนาจะเสื่อมและจะไม่เสื่อม ดังปรากฏในพระไตรปิกฏกปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ดังต่อไปนี้

    "สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ป่าไผ่ใกล้เมืองมิถิลา ลำดับนั้น ท่านพระกิมพละเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคม นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้ว กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

    'ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ! อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยที่ทำให้พระสัทธรรมไม่ตั้งอยู่ยั่งยืน ในเมื่อพระตถาคตเจ้าปรินิพพานแล้ว'

    'ดูก่อน กิมพิละ ! เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในพระธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพ ไม่ยำเกรง ในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในการศึกษาไม่เคารพยำเกรงกันและกัน

    นี้แล กิมพิละ! เป็นเหตุ เป็นปัจจัยที่ทำให้พระสัทธรรมไม่ตั้งอยู่ได้นาน ในเมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว'

    สรุปว่า ความเสื่อมเกิดจากพุทธบริษัทเอง เมื่อพุทธมามกะไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ พระพุทธศาสนาก็ย่อมหมดอายุไปเป็นธรรมดา...
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    คัดลอกจากบทที่ ๑๐ เมื่อพระศรีอารย์ตรัสรู้
    หน้า ๖๙ - ๗๓

    เมื่อพระศรีอารย์จะมาตรัสรู้นั้น จะจุติจากดุสิตสวรรค์มาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ พระพุทธบิดาทรงพระนามว่า พระสุพรหมพราหมณ์ เป็นปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรตราธิราช ครองเกตุมวดี บุรีนคร พระพุทธมารดามีพระนามว่า พราหมณวดี

    ไม้พระมหาโพธิที่พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้นั้นคือ ไม้กากระทิง...

    ...ตามหนังสือไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา...พระศรีอริยเมตไตรยเมื่อเสด็จมาตรัสรู้นั้น มีพระวรกายสูงได้ ๘๔ ศอก คือตั้งแต่พื้นพระบาทขึ้นไปถึงพระชาณุ (เข่า) ๒๒ ศอก แต่เข่าขึ้นไปถึงพระนาภี ๒๒ ศอก

    แต่พระนาภีขึ้นไปถึงพระรากขวัญ ๒๒ ศอก แต่พระรากขวัญ (ไหปลาร้า) ขึ้นไปถึงปลายพระอุณหิส คือพระโมลีได้ ๒๒ ศอก

    ระหว่างพระพาหา (แขน) ทั้งสองนั้นกว้างได้ ๒๕ ศอก พระกรรณทั้งสองนั้นยาวมีประมาณได้ข้างละ ๗ ศอก พระเนตรทั้งสองมีกำหนดยาวข้างละ ๕ ศอก พระขนงทั้งคู่ก่งค้อมประดุจคันธนู มีประมาณยาวข้างละ ๕ ศอก ระหว่างพระขนงนั้นห่างกัน ๕ ศอก

    พระนาสิกยาว ๗ ศอก พระโอษฐ์นั้นมีกำหนดยาวได้ ๕ ศอก พระชิวหายาว ๑๐ ศอก พระอุณหิศมีประมาณโดยกลมได้ ๒๕ ศอก ดวงพระพักตร์มีประมาณโดยกลมได้ ๒๕ ศอก

    พระหัตถ์ซ้ายขาวกำหนดแต่พระอังสะลงไปถึงข้อพระหัตถ์ยาวข้างละ ๔๐ ศอก ฝ่าพระหัตถ์กว้างข้างละ ๕ ศอก พระศอโดยรอบ ๑๕ ศอก


    พระศรีอริยเมตไตรยนั้นมีพระเนตรกว้างบริสุทธิ์ไม่กะพริบ และพระเนตรนั้นมีกำลังแลเห็นเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่อยู่ในความมืดได้ และอาจมองได้ไกลถึง ๑๒ โยชน์ เมื่อพระพุทธองค์จะทอดพระเนตร ด้วยพุทธานุภาพนั้น อาจมองได้ไกลหาที่สุดมิได้

    ฉัพพัณณรังษีที่แผ่เป็นวงล้อมพระองค์นั้นเป็นรัศมีที่แผ่ไปไกลแสนไกลหาที่สุดมิได้ ขณะที่เสด็จพระพุทธดำเนินนั้นเล่า ก็จะมีดอกบัวขาวใหญ่ผุดขึ้นรองรับพระบาท

    ดอกบัวแต่ละดอกนั้นมีกลีบใหญ่ยาวได้กลีบละ ๓๐ ศอก กลีบน้อยที่รองกลีบใหญ่ยาวได้ ๒๕ ศอก เมื่อกลีบแลเกสรร่วงไปสิ้นแล้ว ก็จะเป็นฝักใหญ่ประมาณ ๑๖ ศอก

    ศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยนั้น จะสว่างทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ต้องตามประทีปโคมไฟ เพราะพระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ไพศาลไปทั่ว ถ้าไม่สังเกตจากธรรมชาติแล้ว จะไม่รู้เลยว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน

    ธรรมชาติที่จะสังเกตเห็นได้คือ ถ้าเป็นเพลาค่ำจะสังเกตได้จากเสียงนกกา ถ้าเป็นเวลารุ่งสว่างจะสังเกตได้จากดอกบัวบาน
    ...

    ...พระศรีอริยเมตไตรยจะเข้าสู่พระปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๘๐,๐๐๐ ปี

    อนึ่ง ได้กำหนด ลักษณะของผู้ที่จะไม่ได้พบศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย ไว้ดังนี้คือ

    ๑. บุคคลที่ฆ่ามารดา บิดา พระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้า ยุยงให้แตกจากกัน พวกนี้ตกนรกอเวจี ห่างไกลจากพระศรีอริยเมตไตรย

    ๒. บังเกิดในที่ไกล ไม่ทราบว่าพระศรีอริยเมตไตรยมาตรัส

    ๓. พวกคนพาลนอกพระพุทธศาสนา

    ๔. คนพาลที่ลักขโมยของสงฆ์

    ๕. บุคคลที่ไม่ละอาย ลับลอบกินของที่เขานำมาถวายพระสงฆ์
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ส่วนคนที่จะได้พบศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย นั้น มีนิสัย ปัจจัย ดังต่อไปนี้

    ๑. บำเพ็ญทานถือศีล

    ๒. เคยบวชเป็นภิกษุ สามเณร ในพระพุทธศาสนา

    ๓. คนที่เคยปลูกต้นไม้ไว้ในวัด ให้ภิกษุสามเณรแลโยมวัด ทั้งหลายได้อาศัยดอกและผล

    ๔. คนที่สร้างสะพานใหญ่น้อยให้พระสงฆ์ และคนเดินทางได้รับความสะดวก

    ๕. คนที่ทำถนนหนทางให้พระสงฆ์ และคนเดินทางได้รับความสะดวก

    ๖. คนที่สร้างศาลาให้คนอื่นได้พักอาศัย

    ๗. คนที่ขุดบ่อน้ำไว้เป็นทาน

    ๘. คนที่เคยทำบุญตักบาตรพระสงฆ์

    ๙. คนที่มีความกตัญญูเลี้ยงดูบิดามารดา

    ๑๐. คนที่มีความอ่อนน้อมเคราพยำเกรงผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูล

    สรุปว่า ใครทำดีตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ก็จะได้พบพระศรีอริยเมตไตรยอย่างแน่นอน...
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หน้า ๗๔ - ๗๕

    ...พุทธศาสนิกฝ่ายใต้ในลังกา พม่า และประเทศไทย นับถือพระเมตไตรยเป็นเพียงพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ในอินเดียเหมือนจะนับถือพระมานุสสพุทธพระองค์นี้มาก

    ได้ความจากรายงานการสืบพระศาสนาของนักพรตฟาเหียนของจีน แจ้งว่า ได้เห็นรูปพระเมตไตรยแบบคันธาระมีอยู่มาก ตามแหล่งที่ได้ท่องเที่ยวไป พระมานุสสพุทธองค์นี้ จีนเรียกว่า มิโลโฟ ญี่ปุ่น เรียกว่า มิโรกุ

    อนึ่งในหนังสือ A Summer Ride Through Western Tibet ของ Jane E.Duncan กล่าวว่าที่ทิเบตมีรูปพระศรีอารย์สลักหินขนาดใหญ่ ตามความเชื่อของชาวทิเบตว่า พระศรีอารย์เป็นคนขาว จะนั่งแบบชาวยุโรป ไม่นั่งขัดสมาธิแบบชาวตะวันออก...

    ...คือ นั่งห้อยพระบาทข้างซ้าย พระบาทข้างขวาพาดที่พระชาณุ (เข่า) ของด้านซ้าย

    ส่วนพระศรีอารย์แบบจีน เป็นรูปนั่งชันเข่าข้างขวาก็มี นั่งมือทั้งสองวางที่หัวเข่าก็มี ที่เป็นรูปยืนมือขวายกขึ้นเหมือนจะถือลูกประคำ ส่วนมือซ้ายรวบปากถุงหิ้วอยู่

    สัญญลักษณ์ที่สำคัญอยู่ที่ถุง ซึ่งจะมีเหมือนกันหมด ในเรื่องพระศรีอริยเมตไตรย (มีเหล็กฮุด) ของวัดจีนประชาสโมสร "เล่งฮกยี่" ได้กล่าวถึงลักษณะของพระศรีอารย์แบบจีนไว้ตอนหนึ่งว่า

    "พระนามอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งชาวจีนเรียกว่า โป่วต่อฮั่วเสียง (พระมหาเถระเจ้าผู้ทรงย่าม) เกิดในมณฑลจิกกัง อำเภอฮ่งห่วย ของจีนสมัยราชวงค์เนี้ย

    มีลักษณะพิเศษรูปร่างอ้วนท้วนแก้มเป็นพวง ปากกว้างยิ้มเสมอ อุระและอุทรตอนบนเปิดให้เห็น หัตถ์ขวาทรงลูกประคำ หัตถ์ซ้ายทรงย่ามและรวบปากย่ามไว้

    มีอินทรีย์ผ่องใสสมบูรณ์ทุกประการ จึงได้นามว่า โป่วต่อฮั่วเสียง เที่ยวแสดงธรรมโปรดชาวนิกรให้ละอกุศลกรรม ตั้งอยู่ในกุศลธรรม ช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากตลอดพระชนมายุก่อนดับขันธ์ ได้จารึกปริศนาธรรมไว้ว่า พระองค์คือพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์

    สาธุชนคงเคยเห็นรูปพระทำด้วยกระเบื้องเคลือบหรือบางที ก็เป็นลายคราม รูปพระอ้วนท้องพลุ้ยนั่งหัวเราะ มีรูปตั้งแต่ขนาดใหญ่จนเล็ก รูปพระท้องพลุ้ยนี้คือ มีเหล็กฮุด

    ผู้เข้าใจผิดเรียกพระสังกัจจายน์ เพราะรูปไปตรงลักษณะกันเข้า ผิดกันคือพระสังกัจจายณ์หัตถ์ทั้งสองทรงพระอุทร มีลักษณะสำรวม ส่วนมีเหล็กฮุดมีลักษณะหัวเราะ หัตถ์ขวาทรงประคำ หัตถ์ซ้ายทรงย่าม

    จีนก็เข้าใจว่าพระสังกัจจายน์เป็นมีเหล็กฮุด ฝ่ายไทยก็เข้าใจว่ามีเหล็กฮุดเป็นสังกัจจายน์ เป็นการเข้าใจผิดทั้งสองฝ่าย"
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระสุตตันตปิฎก ออนไลน์
    Larntum Suttanta-Pitaka Online
    พระไตรปิฎกเล่มที่ 11 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 3
    ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตร

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เมืองพาราณสีนี้ จัก
    เป็นราชธานีมีนามว่า เกตุมดี เป็นเมืองที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก มีผู้คน
    คับคั่ง และมีอาหารสมบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี
    ในชมพูทวีปนี้จักมีเมือง ๘๔,๐๐๐ เมือง มีเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักมีพระเจ้าจักร
    พรรดิ์ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรง
    ธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต
    ทรงชนะแล้ว

    มีราชอาณาจักรมั่นคงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ๑
    ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑ คฤหบดีแก้ว ๑ ปริณายกแก้วเป็น
    ที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์
    สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้

    พระองค์ทรงชำนะโดยธรรมมิต้องใช้อาชญา มิต้อง ใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรง
    พระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เอง
    โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี
    ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้
    เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม

    เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้ง โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม

    พระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้ แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้

    ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่า

    เมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งาม ในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์
    บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้ แสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
    งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์
    บริบูรณ์สิ้นเชิง

    พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหาร
    ภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าสังขะจักทรงให้ยกขึ้นซึ่งปราสาทที่
    พระเจ้ามหาปนาทะทรงสร้างไว้ แล้วประทับอยู่ แล้วจักทรงสละ จักทรงบำเพ็ญ
    ทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย จัก
    ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากเรือน

    ทรงผนวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท้าวเธอทรงผนวชอย่างนี้แล้ว ทรงปลีกพระองค์อยู่แต่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ไม่ช้านักก็จักทรงทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย พากันออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ต้องการ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง ใน ทิฐธรรมเทียว เข้าถึงอยู่ ฯ
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อชิตะ(โพธิสัตว์),พระศรีอาริย์
    พระอชิตะ คือ พระราชโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรู ประสูติแต่
    พระนางกาญจนาเทวี ซึ่งเป็นพระมารดา
    เป็นผู้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้พาบริวาร
    ๑,๐๐๐ คน ออกบวชเป็นภิกษุ
    คราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์ครั้งที่สอง
    พระอชิตะเมื่อบวชใหม่ ๆ ได้เป็นผู้รับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน)
    ของ พระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งมีความพิสดารอย่างย่อว่า
    พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงเสียพระทัย ที่ตั้งใจจะถวาย
    ให้แด่พระพุทธองค์ แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงรับเพราะเพื่อ
    อนุเคราะห์แก่สงฆ์ในอนาคต เพื่อให้ชนทั้งหลายซึ่งเกิด
    ภายหลังให้เกิดจิตคิดการกระทำเคารพสงฆ์ให้จงมาก และ
    ทรงอนุเคราะห์แก่พระนางเอง เพราะทานที่ให้แด่สงฆ์โดย
    มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขย่อมมีพลานิสงส์มากกว่า
    พระนางมหาปชาบดีโคตมีไม่ทรงทราบดำริของพระพุทธองค์
    จึงเข้าไปหาพระอานนท์ ให้พระอานนท์ทูลถามว่า สาเหตุใดจึง
    ไม่ทรงรับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน) นั้น
    กาลต่อมา พระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
    มีสาเหตุใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่รับทรงรับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน)
    นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงปาฏิบุคลิกทักษิณาทาน
    โดยพิสดาร แล้วตรัสเทศนาทักษิณาวิภังคสูตร จำแนกประเภท
    แห่งปาฏิบุคลิกทาน แลสังฆทาน โดยพิสดาร แก่พระอานนท์.
    เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีได้ทรงทราบในเทศนา
    ทักษิณาวิภังคสูตรในภายหลังแล้ว จึงทรงถือซึ่งภูษาทั้งคู่เข้าไป
    หาพระสารีบุตรท่านก็ไม่ได้รับ เข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานะ
    ท่านก็ไม่ได้รับ แม้ในที่สุดแห่งพระอสีติมหาสาวกก็ไม่พระรูป
    ใดรับไว้เลย จนกระทั่งองค์สุดท้ายซึ่งเป็นพระนวกะชื่อพระอชิตะ
    ท่านจึงรับไว้.
    ในเวลานั้นพระนางปชาบดีโคตมีก็ทรงน้อยพระทัยว่า
    พระนางตั้งใจในการทำผ้าทั้งคู่นี้ด้วยว่า จะถวายแด่พระผู้มีพระภาค
    แต่ก็ไม่ทรงรับ แม้นพระอสีติมหาสาวกรูปใดรูปหนึ่งก็ไม่ทรงรับ
    แต่มาบัดนี้ พระภิกษุหนุ่มซึ่งเป็นพระนวกะมารับซึ่งผ้าของพระนาง
    พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระนางเสียพระทัย จึงทรง
    พระดำริว่า จะทำให้พระนางบังเกิดโสมนัสในวัตถุทานนี้ จึงมี
    พระพุทธดำรัสเรียกพระอานนท์ว่า
    ท่านจงไปนำบาตรของตถาคตมา แล้วทรงพุทธาธิษฐานว่า
    พระอัครสาวกและสาวกทั้งปวงอย่าได้ถือบาตรนี้ได้เลย ให้
    พระอชิตภิกษุหนุ่มนี้จงถือซึ่งบาตรของตถาคตได้ แล้วทรงโยน
    บาตรนั้นขึ้นไปบนอากาศ แลบาตรนั้นก็ลอยขึ้นไปในกลีบเมฆ
    อันตธานไปมิได้ปรากฏ
    ในลำดับ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระอสีติสาวก
    ทั้งหลาย ก็อาสานำบาตรนั้นกลับคืนมา แต่ก็หาไม่พบ
    พระผู้มีพระภาคจึงตรัสสั่งพระอชิตภิกษุว่า ท่านจงไปนำบาตร
    ของตถาคตมา
    ในลำดับนั้น พระอชิตะได้มีดำริว่า
    ควรจะเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก พระอสีติมหาสาวกนี้ ล้วนเป็นพระ
    อรหันต์มีฤทธาอานุภาพมาก แต่มิอาจนำบาตรมาถวายแด่พระพุทธ
    องค์ได้ แลอาตมะนี้ไซร้มีจิตอันกิเลสครอบงำอยู่ แลเหตุไฉน
    พระบรมครูจึงตรัสสั่งอาตมาให้แสวงหาซึ่งบาตรนั้น จะต้องมี
    เหตุอันใดอันหนึ่งเป็นมั่นคง จึงรับอาสาที่จะนำบาตรนั้นคืนมา
    พระอชิตะได้ไปยืนในที่สุดบริษัท มองขึ้นไปบนอากาศแล้ว
    กระทำสัตยาธิษฐานว่า
    อาตมาบรรพชาในพระพุทธศาสนา ไม่ได้หวังซึ่งลาภยศทั้ง
    หลาย แต่อาตมาบวชประพฤติพรหมจรรย์เพื่อประโยชน์ที่จะ
    ตรัสรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง อันอาจสามารถรื้อสัตวโลกให้พ้นจาก
    สงสารทั้งสิ้น หากว่าศีลของอาตมามิขาดทำลายและด่างพร้อย
    บริสุทธิ์อยู่เป็นอันดี ขอให้บาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าจงมา
    สถิตในมือของอาตมาด้วยเทอญ
    พระอชิตะทรงตั้งสัตยาธิษฐานแล้ว จึงเหยียดมือออกไป
    ขณะนั้น บาตรก็ปรากฏตกลงจากอากาศ ประดิษฐานอยู่ที่มือ
    ของพระอชิตะ
    พระอัครมหาสาวกและพระอสีติมหาสาวก ได้มีดำริว่า
    บาตรนี้ควรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ควรแก่มหาสาวกทั้งหลาย
    แลภิกษุรูปนี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเป็นแน่.
    พระนางประชาบดีโคตมีได้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็
    มีความปิติโสมนัสเป็นกำลังด้วยวัตถุทานที่ถวายให้แก่พระอชิตะ
    แล้วกราบทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จคืนพระราชนิเวศน์สถาน
    เมื่อพระอชิตะได้รับผ้าคู่นั้นมาแล้ว เห็นว่า ไม่ควรแก่ท่าน
    จึงนำผ้าผืนหนึ่งไปปูบนเพดานบนพระคันธกุฎี แห่ง
    พระผู้มีพระภาคเจ้า อีกผืนหนึ่งแบ่งเป็น ๔ ท่อน ผูกเป็นม่าน
    ห้อยลงในที่สี่มุมแห่งเพดานนั้น แล้วอธิษฐานว่า ขอให้เป็น
    พระพุทธเจ้าในอนาคต.
    พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า ท่านอชิตภิกษุรูปนี้เป็น
    พระโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระเมตไตรย พุทธเจ้าในอนาคต(๑)
    ในอนาคตวงศ์(๒) เล่าว่า ในภัททกัลปนี้ ชาติสุดท้ายคือ
    ชาติที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระเมตไตรยพุทธเจ้า
    เมื่อยังมิได้ทรงผนวชก็ทรงพระนามว่า อชิตะ

    #๑. ปฐม. แปล. -/๓๑๕-๓๒๘ ๒. อนาคตวํส. -/๔๓-๕๖
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระคัมภีร์ พระคาถา ของพระศรีอาริย์

    พระคัมภีร์ พระคาถา
    ของ
    องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย
    ผู้เป็นเจ้าแห่งสรวงสวรรค์

    คำนำ

    ฤทธิ์ธานุภาพ พระคาถาของพระองค์พระคัมภีร์เล่มนี้ มีฤทธิ์ธานุภาพมาก สามารถบันดาลให้มนุษย์หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ดังกล่าวคือ

    ถ้าหากภายในจิตใจมีความทุกข์เศร้าหมองแก้ไขมิได้ หรือต้องตกอยู่ภายในภาวะแวดล้อมของคนพาลทั้งหลาย ให้อ่านเป็นเนืองนิจ องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย พระผู้อยู่เบื้องบน จะดลบันดาลให้พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ แม้บุตรชายหญิงประพฤติมิชอบ ทั้งนิสัยจิตใจดื้อดึง แข็งกร้าว ไม่อาจอบรมว่ากล่าวตักเตือนได้ ให้ผู้เป็นพ่อแม่อ่านภาวนาความคุ้มครองอยู่เสมอๆ

    องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยและองค์เทพทั้งหมด ผีสาง เทวดา จะดลใจบุตรชายหญิงของผู้อ่านให้กลับตัวกลับใจจทำตัวเป็นคนดี หรือถ้าภายในครอบครัวมีคนป่วยเรื้อรังใช้ยารักษาไม่หาย ให้อ่านพระคัมภีร์มากๆ ผู้ป่วยจะได้หายหรือจะได้พบหมอที่มีความสามารถเยียวยาให้หายขาดจากโรคนั้นๆ ได้

    ครอบครัวใด หากเกิดภัยร้ายแรงเป็นเหตุให้พ่อแม่พี่น้อง สามีภรรยา หรือบุตร ถึงกับล้มหายตายจากกันก็ตาม ให้อ่านหนังสือเล่มนี้เป็นประจำทุกวันเช้าค่ำ จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ไปสู่สวรรค์ได้ ผู้มีชีวิตอยู่ก็จะได้พบทางสว่างต่อการดำรงชีวิต หรือคนที่ถูกของทำด้วยอาคมก็ตาม ก็สามารถอ่านพระคัมภีร์นี้ขับไล่แก้ไขได้ผลนักแล อ่านพระคัมภีร์นี้แล้วสิ่งชั่วร้ายจะหมดไปโดยไม่หลงเหลืออยู่เลย เกิดความเป็นศิริมงคลสงบสุขปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย คำบูชา

    องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย พระผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์ ทรงเป็นพระผู้นำอันศักดิ์สิทธ์ยิ่งของมนุษย์ชาติทั้งมวล พระองค์ทรงเสด็จลงมาปกป้องภัยร้ายทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเมืองมนุษย์ เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของสัตว์โลกทั้งหลาย องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวโลกเป็นล้นพ้น พระองค์งรับสัทรงสร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่ไว้จนมาที่สุดมิได้ องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยทรงไว้ซึ่งเมตตาธรรม พร้อมทั้งมีคุณธรรมประจำพระทัยอันสูงส่ง การยอมเสียสละพระองค์เอง พร้อมทั้งรับสั่งองค์เทพทุกๆ พระองค์ เสด็จลงมาเพื่อช่วยสัตว์โลกทั้งหลาย ให้คงความอยู่รอดปลอดภัย จงประสบความสำเร็จนั้น

    พระเกียรติประวัติอันดีงามของพระองค์ ยังคงกึกก้องกังวานอยู่คู่ฟ้าดิน บุคคลในทุกศาสนาย่อมเคารพเทิดทูนสักการะบูชา ดวงพระจิตของพระองค์ ด้วยองค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยทรงไว้ ซึ่งคุณธรรมความเมตตากรุณาแก่สัตว์โลก จนสำเร็จถึงซึ่งมรรคผล

    บัดนี้องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยถึงยุคของท่านแล้ว พระองค์ทรงมุ่งมั่นเสด็จมาโปรดสัตว์โลก ให้คงความอยู่รอดปลอดภัย พร้อมทั้งร่มเย็นผาสุกโดยทั่วถึงกันหมด พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ พระองค์ทรงหมายมุ่งให้การอบรมสั่งสอนเมืองวิญญาณและมวลมนุษย์โลกทุกหมู่เหล่าให้มารับองค์ ให้มาเร่งประพฤติดีปฏิบัติชอบโดยพร้อมเพรียงกันหมด องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยจึงมีพระบัญชาให้เขียนคำสั่งสอนลงมาให้มนุษย์โลก ประพฤติปฏิบัติชอบด้วยกุศล กล่าวคือ เกิดเป็นคนต้องมีความกตัญญูรู้คุณ รักพี่รักน้อง ซื่อสัตย์สุจริต มีสัจธรรม มีธรรมจริยางาม มีศีลธรรม สงบเสงี่ยมเจียมตัว และให้มีความละอายแก่ใจ ทั้งเกรงกลัวต่อบาป พระองค์ทรงพระราชทานหลักธรรมปฏิบัติดังกล่าว ซึ่งเป็นคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ชาวโลกมนุษย์ แม้ใครได้อ่านและปฏิบัติพระคัมภีร์นี้ ทั้งผีสาง เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะรักใคร่เมตตาปรานี คนแก่ เด็ก หนุ่มสาว ตั้งใจอ่านทุกๆ เช้าค่ำ แม้นคิดประกอบการสิ่งใด จะราบรื่นได้ผล ปลอดภัย ดังใจสมหวังทุกอย่าง ภายใต้สรวงสวรรค์ แบ่งออกเป็นสามภพ คือ เทวโลก มนุษย์โลก และยมโลก การเกิดดับของสัตว์โลกในแต่ละภพ องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยจะทรงกำหนดโดยยุติธรรมด้วยพระองค์เอง พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นทั่วทุกพื้นภพและสว่างแจ้ง ไม่มีแม้เพียงเศษธุลีใดจะรอดพ้น ด้วงพระเนตรอีก องค์เทพทุกๆ พระองค์ช่วยดูอยู่ก็ทรงมีเมตตาธรรมอันสูงส่ง เมื่อพระองค์มีชีวิตอยู่ทางโลกยอมเสียสละตัดเนื้อกายตนอุทิศให้ใช้เป็นยารักษาโรคแก่ผู้ยากไร้ องค์เทพผู้รับสนองตามพระบัญชาขององค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย ฉะนั้น ทุกๆ พระองค์ได้ลงมาช่วยเรื่องในทางโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความทุกข์ร้อนต่างๆ นานา พระองค์ทรงช่วยเหลือหมด พระองค์เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่แต่งตั้งเทพยดามาเป็นจอมพล มีทหารนับร้อยล้านที่ทรงพลัง มีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สำหรับหลักคำสอนของพุทธศาสนา อบรมสั่งสอนให้ยึดความมีเมตตากรุณา และคุณธรรมเป็นหลักต่อการดำรงชีวิต ตามหลักคำสอนเป็นหลักเดียว ธรรมะทั้งหมดต้องเริ่มต้นที่ใจก่อน พระบรมราชโองการขององค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ไม่ว่าจะเป็นเจ้าที่เจ้าทาง รวมถึงตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวาอารักษ์ทังปวงที่สถิตอยู่ทั่วพิภพ จะต้องเคารพเทิดทูนยึดถึงปฏิบัติตามพระบัญชาโดยเคร่งครัด คำสอนบทนี้ประดุจแสงสว่างของพระอาทิตย์ ยังความซาบซึ้งปลื้มปิติแก่ฟ้าดิน เพราะเป็นสัจธรรมที่จะยืนยงอยู่ได้ตลอดกาล ทั้งนี้เนื่องจากเป็นคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์สูงส่งหาที่สุดมิได้ สามารถช่วยให้คนยึดศาสนาเป็นที่พึ่ง และสามารถใช้ส่งช่วยเหลือดวงวิญญาณของคนตายแล้วให้พ้นทุกข์ได้
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย ทรงพระบรมเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและความมีเมตตากรุณาอันสูงส่ง ความมีเมตตาธรรมของพระองค์ประดุจแสงสว่างส่องไปทั่วคุณธรรมเป็นสิ่งคู่ฟ้าดิน ผู้มีคุณธรรมย่อมพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง และสามารถช่วยเหลือปกปักษ์รักษาสัตว์โลกทั้งมวลให้พ้นทุกข์ได้ พระองค์ทรงตั้งพระหฤทัยแน่วแน่ที่จะช่วยทางโลก โดยจะช่วยโปรดสัตว์โลกทั้งหลายให้คงอยู่และด้วยความร่มเย็นผาสุก คำสอนนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นพระหรือเซียน เป็นหลักคำสอนให้แก่ชาวโลกให้ตั้งใจอ่าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมาโปรดถึงบ้านทันที อ่านทุกเช้าค่ำ ผู้มีเกียรติหรือคนดีมีคุณธรรมจะไปมาหาสู่ช่วยเหลือเจือจุน อ่านเป็นประจำภยันอันตรายใดๆ มลายสูญ พระกับเซียนเทพทั้งหลายมีอิทธิฤทธิ์และธรรมนุภาพสูงส่งมาก ให้ความเมตตาช่วยเหลือส่งเสริมชาวโลก ลูกศิษย์ที่ได้อ่านคัมภีร์นี้ตลอดไป

    ระเบียบพระธรรมคำสั่งสอนทั้งหมดเป็นแห่งสวรรค์ เป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย พระองค์ทรงมีเมตตาจิตเป็นกุศล พร้อมทั้งมีเมตตาธรรมอันสูงส่ง ให้พยายามท่องอ่านวันละหนึ่งครั้ง ชะตาชีวิตย่อมจะถึงซึ่งความรุ่งโรจน์เป็นที่แน่นอน ด้วยองค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยพระผู้ทรงไว้ซึ่งความมีเมตตาธรรม แม้นได้อ่านระเบียบคำสอนอยู่เป็นเนืองนิจ บุญวาสนาและโชคลาภทั้งปวงย่อมจะมาสู่บ้านเรือนตน พระองค์ทรงพลีชีพจนสำเร็จซึ่งความมีเมตตาธรรม และการยอมสละเลือดเนื้อวรกาย จึงได้มาซึ่งศีลสัตย์ ควรเข้าถึงและใกล้ชิดผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์เอาไว้ แม้หญิงชายทั้งแก่เฒ่าหรือหนุ่มสาวกับวัยรุ่นทั้งหลาย จงตั้งใจฟังคำสอนที่อยู่ในพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ และจงพยายามค้นคว้าศึกษาเพื่อเรียนรู้คำสอนของสวรรค์ ย่อมจะเป็นศรีแก่ตนและนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในอนาคตได้ พ่อแม่เป็นผู้บังเกิดเกล้า เป็นผู้ประทานร่างกายสังขารให้แก่เรา ฉะนั้นเมื่อเติบใหญ่แล้วจึงต้องประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ผู้เป็นลูกต้องมีความกตัญญูรู้คุณและเชื่อฟัง ลูกเชื่อฟัง และกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า จึงเหมือนกับเคารพเทิดทูนสักการะบูชาฟ้าดิน ด้วยพ่อแม่บังเกิดเกล้ามีคุณต่อลูกมากมายเหลือล้นเหนือพรรณนา และตัวเองก็ต้องเป็นพ่อแม่ของตนต่อไป ฉะนั้นถ้าลูกแช่งด่าพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า ไม่เพียงแต่ต้องถูกขึ้นชื่อว่าเป็นลูกทรพีเท่านั้น หากยังขัดต่ออาญาฟ้าดิน ขัดต่อองค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย ต่อองค์พระองค์เจ้า ซึ่งต้องรับโทษอันมหันต์ยิ่งนักบ้างถึงต้องไปเกิดเป็นสัตว์
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ยอดผู้กตัญญูยี่สิบสี่ท่านที่ครั้งกระโน้น บัดนี้ยังคงเสวยสุขอยู่บนวิมานสวรรค์ สวรรค์มาสอนคนสมัยโบราณยึดความกตัญญ เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่เป็นที่ตั้ง และคนที่มีความกตัญญูเชื่อฟังพ่อแม่นั้น ยังความซาบซึ้งปิติยินดีแก่องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย แก่องค์พระองค์เจ้าและเสด็จปู่สวรรค์ เสด็จย่าสวรรค์ เสด็จพ่อฟ้า เสด็จแม่พระธรณี จงอย่าได้เอาใจออกห่างจากผู้มีกตัญญูรู้คุณ รู้เตือนตัวเตือนตนตลอดเวลา เมื่อพ่อแม่ให้ความรักใคร่เมตตาปรานีต่อลูก ลูกย่อมกตัญญูเชื่อปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพ่อแม่พี่น้องผ่อนปรนอดใจเพื่อได้มาสามัคคี ความสุขทั้งหลายมีย่อมเกิดขึ้นจากการนี้ ให้นั่งสงบนิ่งแล้วคิดทบทวนความผิดพลาดของตนเอง เพื่อแก้ไขทำตัวเสียใหม่ กลับใจเป็นคนดี จงอย่าพูดคุยเรื่องไร้สาระที่หาคุณประโยชน์มิได้ การพูดกล่าวโทษผู้อื่นเกินข้อเท็จจริงหาควรไม่ เพราะความยุติธรรมมีอยู่พร้อมแล้วตามกฎธรรมชาติ คนที่พูดมากเพ้อเจ้อมักผิดพลาด และก่อให้เกิดความเสียหายได้ การจะพูดอื่นๆ ก็ตามอย่ากล่าวหาให้ร้ายส่อเสียดผู้อื่นอย่างยิ่ง ถ้ายังไม่พยายามขัดเกลานิสัยจิตใจของตนเองให้เป็นคนดีมีศีลธรรม ความทุกข์และภัยร้ายย่อมมาถึงตน กุข่าวก่อให้เกิดเป็นเรื่องราวอันมิชอบทั้งปวง แกล้งกล่าวหาให้ร้ายใส่ความผู้อื่นโดยปราศจากความจริง ยังความเสียหายและโกรธแค้นแก่ผู้เสียหาย ในผู้ที่มีการกระทำอันมิชอบดังกล่าว ภัยร้ายจะถึงตน ทั้งโทษทุกข์จักท่วมท้น อย่าใช้เสียงพูดดังจนเกินไปและหยาบคาย จงระวังรักษาคำพูดของตนเอง อย่าก้าวร้าว ดุดัน อย่าใช้คำพูดแช่งด่า หรือใช้คำพูดสาบถสาบาน และคำพูดที่เป็นความอัปมงคลเหล่านั้น ล้วนแต่จะกลับมาตอบสนองแก่ตนเองทั้งสิ้น คนที่ใจร้อนและอารมณ์ฉุนเฉียวมักจะมีแต่เรื่องปัญหาอันมิชอบ อีกโทษทุกข์ภัยร้ายจะมากมี ทั้งอริศัตรูจะมีไปทั่วทุกแห่งหน ฉะนั้นจึงต้องระงับยับยั้งอารมณ์ของตน ด้วยความอดทนอดกลั้นให้ถึงที่สุด นับครั้งแล้วครั้งเล่า การมีปากเสียง เถียงทะเลาะวิวาทหรือคดีความใดๆ ถึงแม้จะเป็นผู้แพ้หรือชนะก็ตาม ในที่สุดก็ได้แต่ความว่างเปล่า ด้วยเหตุนี้จึงควรอดทนอดกลั้นต่อความมิชอบทั้งปวง ย่อมจะคุ้มทรัพย์ได้และมีประโยชน์มากกว่า ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นในโลก แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ฟ้าดินย่อมรู้เห็น บุคคลที่มีใจเป็นกุศล นิสัยดี สุขุมรอบคอบ เยือกเย็น ใครๆ ก็ยอมรับนับถือและเกรงใจ ผู้ที่มีนิสัยใจคอกว้างขวาง ทั้งรอบคอบ ละเอียดอ่อน แม้จะทำการสิ่งใดย่อมสำเร็จได้ การรู้จักให้อภัยก็คือผู้มีเมตตาธรรม ฉะนั้น จึงควรดับความใจร้อนและอารมณ์อันฉุนเฉียวของตนด้วยตนเอง ระเบียบ คำสั่งสอนเป็นหลักธรรมแห่งสวรรค์ อบรมสั่งสอนให้ชาวโลก ประพฤติดีปฏิบัติชอบ เพียบพร้อมทั้งคุณธรรมและความมีเมตตากรุณา นี่เป็นหลักอันสำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิตของความเป็นมนุษย์ สำหรับข้าว ปลา อาหาร และเครื่องบริโภคทั้งปวง เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย สอนว่าอย่ากินทิ้งกินขว้าง หรือทำให้สูญเสียหมดเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์ ใช้จ่ายเกินความพอดีเป็นหนี้ตลอดชีวิต จะเป็นผีตายอดอีกด้วย จงระลึกไว้เสมอว่า เครื่องบริโภคทั้งปวงมิใช่เป็นสิ่งที่จะได้มาโดยง่าย ข้าวปลาอาหารเป็นสิ่งที่ดำรงชีวิตคนให้คงอยู่รอด หากไม่กินอาหารชีวิตจะอยู่รอดไม่ได้ พืชไร่ที่เป็นอาหาร ถึงแม้จะเกิดจากพื้นดิน แต่จงรู้ไว้ด้วยว่า การจะเจริญเติบโตผลิดอกออกผลได้ก็ด้วยความยากลำบาก สัตว์เลี้ยงก็เช่นเดียวกัน จงอย่าฆ่าทำลายชีวิตสัตว์ตามใจชอบ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันควร จึงฆ่าสัตว์ได้ตามความจำเป็น ฆ่าทำลายสัตโดยไม่มีเหตุอันควร อีกทั้งกินทิ้งกินขว้างข้าวปลาอาหาร ย่อมจะถูกฟ้าดิน นายบัญชีสวรรค์ จดชื่อเอาไว้ว่าเป็นผู้ที่ทำกรรมบาป เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเกิดขึ้นโดยฟ้าดิน องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยสร้างมา ฉะนั้นผู้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมากโดยไม่มีเหตุอันควร ผลกรรมจะกลับตามสนอง บุญกับบาปไม่มีรูปร่างตัวตน แม้ร่องรอยก็มองไม่เห็น ถึงจะใช้จมูกดมก็ปราศจากกลิ่น มองดูท้องฟ้าเห็นแต่ความว่างเปล่า แต่ก็มีอากาศธาตุกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และผีวิญญาณผ่านไปผ่านมา ตลอดจนบุญบาปก็เป็นเรื่องจริง องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยทรงรักใคร่เมตตาต่อมนุษย์มาก และทุกๆ คำโอวาททรงสั่งสอนให้คนประพฤติดีปฏิบัติชอบ พร้อมทั้งให้มีคุณธรรมประจำใจ และความมีเมตตากรุณา พระองค์ทรงรักใคร่เมตตาต่อปวงชนยิ่ง พระองค์ได้เสด็จลงมาโปรดสัตว์โลก ไม่มีการแบ่งแยก ฉะนั้นมนุษย์ชาติทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ ก่อนอื่นจะต้องระวังรักษาซึ่งความสงบเสงี่ยมเจียมตนเอาไว้เป็นดีที่สุด แม้นไม่ประกอบอาชีพโดยถูกต้องชอบธรรมแล้ว สักวันหนึ่งต้องพบกับความหายนะที่รออยู่ข้างหน้าเป็นแน่แท้ เที่ยวซ่องโสเภณี ทั้งเล่นการพนันขันต่อ เป็นการทำลายตัวเองให้ต่ำทราม เนื่องจากทรัพย์สินเงินทองของแต่ละคนที่เกิดมาในชาติหนึ่งๆ นั้น ฟ้าดินกำหนดให้มีจำนวนเพียงจำกัดเท่านั้น การที่เราเอาไปใช้จ่าย ที่มีผลไม่ดีก็จะเกิดโทษตามมา ต่อจากนั้นเราจะเป็นคนไม่มีเงินทอง
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การที่มีความรักสามัคคีต่อกันภายในครอบครัว เป็นสิ่งอันประเสริฐสุด และพึงนับได้ว่าเป็นความสุขอันดับแรกของครอบครัวนอกจากนี้ให้มีความขยันหมั่นเพียรต่อการประกอบสัมมาอาชีพ ทั้งประหยัดมัธยัสถ์ ยังเป็นคุณงามความดีที่ไม่อาจจะประมาณคุณค่าได้ แต่ถ้าหวังรวยด้วยเล่นการพนันจะทุกข์เข็ญ ทั้งถิ่นฐานบ้านช่องมีอันเป็นต้องสิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อสำนึกได้ให้ตั้งใจอ่านระเบียบคำสั่งสอนนี้ทุกวันไป แล้วรีบกลับใจแก้ไขทำตัวใหม่ ครอบครัว ภรรยา สามี บุตร จะได้อยู่รวมกันอย่างสุขเกษมสำราญเบิกบานใจ คนทุกคนมีความผิดก็จริงอยู่ ผู้ที่รู้ต้องแก้ไขที่ใจตนเอง แล้วนำความผิดพลาดประสบการณ์ของตนทั้งหมดที่แล้วมา ให้การอบรมสั่งสอนแก่บุตรหลานต่อไป ระเบียบคำสอนนี้สอนให้คนยึดคุณธรรมเป็นหลัก ฉะนั้น การดำรงชีวิตของคนต้องใช้ความนึกคิด จิตใจ สติปัญญา ไตร่ตรองในกิจการนั้นๆ ให้ถ่องแท้ รอบคอบเสียก่อน แม้จะทำการสิ่งใดย่อมสำเร็จได้ด้วยดี การใช้ความนึกคิด จิตใจ สติปัญญา ใคร่ครวญ ไตร่ตรองต่อการที่จะกระทำใดๆ ก็ตาม ย่อมเป็นหลักพื้นฐานโดยชอบของความเป็นมนุษย์ โดยต้องเริ่มต้นจากการเป็นผู้มีใจกตัญญูรู้คุณ เพราะการนี้เป็นหลักธรรมะแห่งสวรรค์ หากเป็นผู้ที่ไม่มีความกตัญญูรู้คุณคนแล้ว แม้จะทำการสิ่งใดก็ตามก็ยากที่จะสำเร็จได้ และก็เช่นเดียวกัน ถ้าคนไม่ใช้ความนึกคิด จิตใจ สติปัญญา ต่อการกระทำทั้งปวงให้ถูกต้องตามทำนองครองธรรมแล้ว ย่อมจะผิดพลาดได้ และเป็นการทำลายอนาคตของตนเอง จากนั้นทุกข์ภัยทั้งปวงก็ติดตามมา ทั้งนี้เป็นการก่อภัยพิบัติให้แก่ตน ด้วยน้ำมือของตัวเองโดยแท้ การผูกมิตรคบค้าสมาคมต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน และเมื่อร่วมกันประกอบกิจการงานใดๆ ก็ตาม อย่าได้เห็นแก่ตัวและอย่าเห็นแก่ได้ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่แต่ฝ่ายเดียว คนที่โลภมาก มักใหญ่ใฝ่สูงโดยไม่ประมาณตน จะนำแต่ฝ่ายเดียว คนที่โลภมาก มักใหญ่ใฝ่สูงสบาย ความสุข อยู่ที่มีบุตรหลานเป็นคนดีมีสติปัญญา จึงมีความสุขสบายที่แท้จริงครอบครัวที่มีฐานะดี มั่งมีศรีสุข อย่าได้คุยโตโอ้อวด เพราะผู้ที่อวดตัว ทระนง หยิ่งยะโส ส่วนมากจะอยู่ได้ไม่นาน ผู้มีใจเมตตาธรรม ซื่อสัตย์สุจริต ย่อมมีความสุขสบาย และนับวันความสุขสบายยิ่ง จะเพิ่มพูนมากขึ้น การทำตนเป็นคนมือเติบ หรูหรา ฟุ่มเฟือย เปรียบเหมือนดอกไม้ ถึงจะมีกลิ่นหอมและบานสะพรั่ง แต่อยู่ได้ไม่นานก็โรยร่วง ยังสู้ทำตนเป็นคนบริจาคบุญทานอยู่เสมอไม่ได้ ผู้ที่กระทำแต่คุณงามความดีย่อมมีศิริมงคลติดตามมาสนอง สิ่งซึ่งฟ้าดินประทานให้ย่อมจะภาคภูมิใจได้ ผู้ยากไร้ทั้งหลายอย่าได้หมดอาลัยในชีวิต เพราะคนที่ท้อแท้ใจจะทำการสิ่งใดก็ไม่สำเร็จ จงขยันหมั่นเพียรต่อหน้าที่การงาน และด้วยความประหยัดมัธยัสถ์พร้อมกับให้สงบเสงี่ยมเจียมตนเอาไว้ ความมั่งมีศรีสุขของคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ แม้แต่คนที่อาศัยอยู่ตามกระท่อมที่เห็นทั่วไป วาสนาบุญญาบารมีจะมีได้ขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติของตัวเองทั้งนั้น ถึงแม้จะไม่มีพัพิงอาศัยอยู่เลยก็ตาม เพียงแต่ให้ประพฤติดี ปฏิบัติธรรมะ พระธรรมคำสั่งสอน มีความเมตตา กรุณา และทำบุญสร้างกุศลเอาไว้อยู่เสมออย่าได้ขาด ให้กระทำแต่ความดีโดยไม่ต้องระแวงสงสัย แม้คิดหรือก่อกรรมทำชั่วใดๆ ไว้ ให้รีบแก้ไขกลับตัวกลับใจเสียใหม่โดยเร็ว ถึงแม้จะเป็นคนยากจนทุกข์เข็ญก็ให้สร้างทำและคงไว้ซึ่งคุณงามความดีเอาไว้ สวรรค์ย่อมจะทรงโปรดผู้ไม่ก่อกรรมทำชั่วใดๆ ตลอดเวลาของการดำรงชีวิตองค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย และพระเจ้า เทพเทวาอารักษ์ ย่อมรักใคร่ปรานี ส่วนผีวิญญาณจะยกย่องเทิดทูน
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    จะกระทำการใดๆ ด้วยใจเป็นธรรม บุญกุศลจากการอุทิศตัวทำงานให้กับเมืองสวรรค์ สร้างวัดวาอารามหรือได้สร้างสะพานหรือถนนหนทาง กับทำบุญให้ทานด้วยยารักษาโรคแก่ผู้ยากไร้ ตลอดจน ทำบุญสร้างทานอันมีมหากุศลอื่นๆ อยู่เสมอ จะทำให้มีความปิติแก่องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ ย่อมจะได้ทรงโปรดจากพระองค์ การทำงานให้กับเมืองสวรรค์ การประพฤติดีปฏิบัติชอบและทำบุญให้ทานเป็นความสุขยิ่ง แต่ถ้าก่อกรรมทำชั่ว ฟ้าดินหาอภัยให้ไม่ได้ ดังตัวอย่างเช่นที่แล้วมา คนที่กระทำความผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง ในที่สุดเรื่อของเขาต้องจบลงด้วยวิธีถูกลงโทษ ติดคุก ติดตะราง ฉะนั้นหากได้ก่อกรรมทำชั่วอะไรไว้ก็ตาม ต้องรีบแก้ไขการกระทำทั้งนิสัยจิตใจ ให้เป็นคนดีมีคุณธรรม ถ้าไม่เร่งรีบแก้ไข กลับตัวกลับใจเสียใหม่โดยเร็วหาไม่แล้ว ความชั่วทั้งปวงจะฝังอยู่ในความนึกคิด จิตใจ ติดเป็นนิสัยเหมือนดังพวกผี ปีศาจ มารร้าย เข้าสิงอยู่กับตัว หาความดีไม่ได้ตลอดไปจนถึงวันตาย จงอย่าได้กระทำตัวเป็นผู้ปราศจากความละอายแก่ใจ และไม่เกรงใจกลัวต่อบาป ผู้ที่โลภมากยังความยิ่งยากใจและกังวล และคนที่ฉลาดหลักแหลมในทางผิดศีลธรรม ย่อมเป็นภัยแก่ตัวเองในที่สุด ด้วยเหตุนี้จงรีบแก้ไขทำตัวทำใจเสียใหม่ให้เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง โดยปราศจากความมัวหมองในทางมิชอบ เพราะฟ้าดิน องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยบันดาลให้คนเป็นไปตามกฎของกรรม ผู้ที่ทำดีย่อมได้ดี ส่วนคนที่ทำแต่ความชั่วต้องได้รับกรรมชั่ว คนจะดีจะชั่วเกิดจากความนึกคิดจิตใจและเกิดจากการกระทำของมนุษย์เองทั้งสิน ผู้ที่ทำแต่ความดีย่อมได้รับความร่มเย็นผาสุกแก่ครอบครัว ส่วนคนที่ก่อกรรมทำชั่วจะมีก็แต่โทษทุกข์อัมหันต์ ฉะนั้นชายหญิงที่รักและมุ่งหวังความก้าวหน้า จงประพฤติดีปฏิบัติชอบ และให้ระวังรักษาวันเวลาอันมีค่ายิ่ง อย่าต้องให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ความมีเมตตาธรรมเป็นหลักพื้นฐานของการดำรงอยู่ในโลกมนุษย์ สำหรับผู้ที่เป็นบุตรหลานจะต้องเริ่มด้วยมีความกตัญญูรู้คุณเป็นที่ตั้ง ส่วนคนชั่วร้าย จิตใจย่อมปราศจากเมตตาธรรม ผู้ที่มีพฤติธรรมดังที่ว่านี้ ให้เร่งรีบกลับตัวกลับใจเสียใหม่โดยเร็ว เพราะวันข้างหน้ายังมีกิจกรรมที่ได้บุญอีกมากมาย ทั้งยังมีอนาคตอีกยาวนาน ฉะนั้นให้ระวังการทำตัว อย่าเป็นคนล้าหลัง ห่างไกลความเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคนที่มีใจโหดเหี้ยมดุร้ายทั้งหลาย เมื่อสำนึกผิดได้ให้รีบแก้ไขกลับตัวกลับใจเสียใหม่ด้วยตัวเอง รวมทั้งพวกที่ให้ร้ายทำลายคนลับหลังก็เช่นเดียวกัน ถ้า ไม่แก้ไขกลับตัวกลับใจเสียใหม่ ให้เป็นคนดีมีคุณธรรม หาไม่แล้วจะต้องได้รับโทษทัณฑ์จากสวรรค์เป็นแน่แท้ แม้กระนั้นผู้ที่มีการกระทำเยี่ยงคนพาล โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม ย่อมจะเป็นโทษทุกข์ภัยแก่ตนเองทั้งสิ้น และคนจำพวกนี้ถึงแม้คิดจะประกอบการสิ่งใดก็ตาม ย่อมประสบแต่ความยากลำบาก ทั้งยังหาสำเร็๗ไม่ นอกจากนี้ยังเป็นภัยแก่ครอบครัว ภรรยาและบุตร ต่างแยกหลบลี้หนี้หายกันไปคนละทิศละทาง
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อนึ่ง ลูกอกตัญญูและไม่เชื่อฟังคำกล่าวตักเตือนนั้น ทำให้ผู้เป็นพ่อแม่ต้องทนทุกข์ยากลำบากใจเป็นที่สุด จากพฤติการณ์อันมิชอบของผู้ที่เป็นลูกนี้จะมันเป็นไป ดังนี้กงกรรมกงเกวียนหมุนเวียนเหมือนวัฎจักรของฟ้าดิน กล่าวคือ ผู้ที่เป็นลูกอกตัญญูจะต้องรับกรรมอันเป็นบาปหนายิ่ง อีกทั้งโทษทุกข์ในชาติปัจจุบันเป็นทวีคูณไปตลอดชั่วชีวิต ฉะนั้นถ้าผู้ใดรู้สำนึกผิดได้ จงเร่งรีบกลับตัวกลับใจทำตนเป็นคนดีเสียใหม่โดยเร็วที่สุด ให้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ และอ่านคัมภีร์ภาวนา สั่งสมบุญกุศลเอาไว้นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปอย่าได้ขาก การกระทำความดีหรือความชั่วก็ตาม จงอย่าคิดว่าฟ้าดินไม่รู้เห็น เพียงแต่ผลกรรมจะติดตามมาสนองช้าหรือเร็วเท่านั้น คนที่ทำดีพระเจ้าย่อมคุ้มครองและประทานความเป็นศิริมงคลให้ ส่วนคนที่ทำชั่วต้องถูกลงโทษด้วยกรรมตามสนอง เรื่องของทำความดีและก่อกรรมชั่วนี้ จงจำใส่ใจและให้ระลึกไว้อยู่เสมอตลอดเวลาของการดำรงชีวิต ระเบียบคำสอนนี้ถูกต้องตรงตามหลักคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย พระคัมภีร์คำสอนอันศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ หลังจากอ่านจบแล้วให้เก็บรักษาไว้ ณ เบื้องสูง และให้ผู้มีจิตศรัทธาดำเนินการจัดพิมพ์ตามรูปแบบต้นฉบับเพื่อการสืบทอดต่อไป จงเทิดทูนและรักษาให้คงไว้ตลอดไปนานเท่านาน อีกทั้งให้นำคัมภีร์ขององค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยออกไปเผยแพร่ทั่วโลก เพื่ออบรมสั่งสอนคนให้มีและคงไว้ซึ่งคุณธรรมประจำใจ การให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนมนุษย์ในทางโลก ฟ้าดินย่อมรู้เห็น และการสั่งสอนชี้แนะให้คนประพฤติดีปฏิบัติธรรมเป็นการสร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่ ครอบครัวที่ทำบุญให้ทานสร้างกุศลและสั่งสมแต่กรรมดี สวรรค์ย่อมประทานความมีศิริมงคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยจะประทานความสุขและให้มีอายุยืนยาว ตลอดจนสุขภาพร่างกายพลานามัยดี อีกทั้งบุตรหลานจะมีแต่ความสุขเจริญรวยร่ำในทางโลก ผู้สละทุนทรัพย์พิมพ์แจกเป็นธรรมทางหนึ่งร้อยเล่ม คิดจะทำการสิ่งใดจะมีคนมาให้ความช่วยเหลือ ผู้ออกทุนพิมพ์แจกเป็นธรรมทาน 300 เล่มหรือแจกบ่อย บุตรหลานที่พาลเกเรจะกลับตัวเป็นคนดี และคนเจ็บป่วยเรื้อรังจะหายจากโรคภัยไข้เจ็บ และจะมั่งมีศรีสุขร่ำรวยตลอดไป ทุกๆ ชั่วอายุคน ผู้ร่วมสมทบทุนสร้างระเบียบขององค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยแจกจ่าย หรือซื้อทำบุญเป็นธรรมทาน เป็นการสร้างสมบุญกุศล ความมีศิริมงคลย่อมจะมีมาสู่ถึงบ้านเรือนตน ล้วนเป็นผู้ปฏิบัติชอบและเป็นการสร้างทำบุญกุศลทั้งสิ้น องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย พระผู้ซึ่งทรงไว้ซึ่งความมีเมตตาธรรมอันสูงส่ง ย่อมไม่ทอดทิ้งบุคคลที่ทำความดีนี้ แต่กลับจะทรงโปรดด้วยความเมตตายิ่ง ผู้มีจิตศรัทธาให้ความร่วมมือในการสร้างพระคัมภีร์ทุกๆ เล่ม เพื่อการแจกจ่ายทำบุญเป็นทาน ย่อมจะเป็นบุญวาสนาและให้มีอายุยืนยาวเป็นที่แน่นอน ระเบียบคำสั่งสอนที่เป็นธรรมทานแก่มวลชนนั้น เป็นการสร้างเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ผู้สร้างแต่ความดี ยังจะพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวงที่จะมีมาถึงตนอีกด้วย ทุกคนต่างอัญเชิญพระคัมภีร์นี้ขึ้นอ่านภาวนาสักการะบูชา ตลอดเวลาของการดำรงชีวิตนับกว่าพันครั้งขึ้นไป แม้นคิดจะประกอบการสิ่งใดล้วนสัมฤทธิ์ผล และได้อ่านพระคัมภีร์ของพระผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์นี้ไปตลอดชีวิต ครั้นเมื่อหมดอายุขัยแล้วดวงจิตวิญญาณจะได้ขึ้นไปสถิตอยู่บนวิมานสวรรค์ พระคัมภีร์นี้เป็นพระราชดำริขององค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย ที่จะทรงโปรดสัตว์โลกทั้งปวงให้พ้นทุกข์ หนังสือศักดิ์สิทธิ์นี้ใครๆ ก็สามารถอ่านท่องภาวนา สักการะบูชาได้ สวรรค์ย่อมจะประทานความสุขความเจริญและบุญวาสนาให้แก่ผู้อ่าน พร้อมทั้งให้มีชีวิตเจริญรุ่งเรืองยาวนาน ขอน้อมเกล้าถวายสักการะบูชา


    องค์สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย
    พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรวงสวรรค์

    http://www.chongter.com/webboard/index.php?topic=736.0;prev_next=prev

     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <center>ยุคพระศรีอาริยเมตไตรย </center>
    <!--detail--><!--images--> <!--images--> ปัจจุบันนี้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปจากสมัยอดีตอยู่มาก เมื่อมีความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้นเท่าไหร่ ความเจริญทางด้านจิตใจกับลดน้อยลงไปทุกทีๆ ทั้งนี้เนื่องจากอะไรเป็นต้นเหตุ ผู้คนเข้าวัดน้อยลง คิดเพียงว่าไปทำบุญ ตักบาตร ถวายพระสงฆ์แล้วเพียงแค่นั้นก็ได้บุญหรือคิดเพียงเป็นการสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา เสริมบารมีเหมือนอย่างที่เป็นข่าวให้ได้เห็นการอยู่เรื่อยๆมา เป็นพุทธศาสนิกชนแต่เพียงชื่อมีมากมายขนาดไหน เรายอมรับกันหรือไม่ ที่ประเทศอินเดียมีผู้นับถือพุทธไม่น่าจะเกินร้อยละ 7 ทั้งที่เป็นต้นกำเนิดของพุทธศาสนาเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น เราทั้งหลายได้พิจารณาด้วยความคิดและสติปัญญาแล้วหรือยังว่า “ความเสื่อมต่างๆ ได้มีขึ้นมานานแล้วโดยที่เราไม่ค่อยได้เห็นหรือสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ” เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆความมีศีลธรรมและจริยธรรมเสื่อมลง คนทั้งหลายจะไม่สามารถเข้าถึงวิธีการที่จะสำเร็จบรรลุมรรคผลได้ เมื่อพระสงฆ์ทั้งหลายไม่สามารถชี้แจงสั่งสอนหรือทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจถึงหลักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์ได้ คนเหล่านั้นก็ไม่สนใจคำสอนของพระสงฆ์ คนรุ่นต่อมาจึงขาดความเข้าใจธรรมะที่แท้จริง พระพุทธศาสนาจึงเริ่มเสื่อมลงด้วยเหตุ 5 ประการ คือ
    1.การเสื่อมลงของหนทางแห่งความสำเร็จบรรลุมรรคผล ศีลธรรมและจริยธรรม
    2.การเสื่อมลงของวิธีการปฎิบัติธรรมและการเจริญภาวนา
    3.การเสื่อมลงของการศึกษาธรรมและการเข้าถึงพระธรรม
    4.การเสื่อมลงของวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา
    5.การเสื่อมลงของบูรพาอาจารย์

    ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยินชื่อของนอสตราดามุส(Nostradamus) หรือที่เราทราบตามหนังสือว่าเป็นผู้ที่ล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต แล้วจดบันทึกในสิ่งที่ได้เห็นในนิมิต นอสตราดามุสเป็นคนฝรั่งเศส มีอาชีพเป็นแพทย์ ได้เขียนคำทำนายต่างๆ ไว้มากมายซึ่งได้จดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน อีกทั้งข้อมูลจากตำนานต่างๆ ข้อมูลจากศาสนาอื่นๆ ที่กล่าวถึงบุคคลผู้ที่ได้ชื่อว่า”เป็นผู้นำสันติสุข” ซึ่งมีชื่อเรียกปรากฎตามการเรียกของแต่ละศาสนาและภาษานั้นๆ ดังเช่น
    ศาสนายิว ซึ่งเป็นต้นแบบของศาสนาคริสต์ เรียกว่า มาซายะ (Messiah)
    ศาสนาคริสต์ เรียกว่า Comforter
    ศาสนาอิสลาม เรียกว่า มาฮ์ดิ (Maldi)
    ศาสนาฮินดู เรียกว่า กาลกี(Kalki)
    ศาสนาพุทธ เรียกว่า เมตไตรยะ(บาลี),ไมเตรยะ(สันสกฤต) (Maitreya)

    ขอให้สังเกตว่า ทุกศาสนามีคำสอน และความเชื่อที่ต่างกัน และในศาสนาเดียวกันนั้นก็ยังมีการแตกแยกเป็นนิกาย หรือกลุ่มต่างๆ และสอนแตกต่างกัน แต่ทำไมถึงได้ระบุถึงผู้นำสันติสุขนี้ไว้เหมือนกันและสนับสนุนกัน ซึ่งเรื่องนี้จะกล่าวต่อไปในภายหลัง จากการศึกษาค้นคว้าของผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาที่มหาวิทยาลัยและศูนย์ศาสนาที่สำคัญๆทั่วโลก เช่น กรีก,ฝรั่งเศส,ศรีลังกา,สหรัฐอเมริกา และอินเดีย เป็นต้น ได้มีความเห็นเดียวกันว่า พระเมตไตรย(Maitreya)หรือComforterหรือMessiahหรือ Maldiหรือ Kalki หรือชื่อเรียกตามศาสนาและภาษานั้นๆ น่าจะเป็นบุคคลคนเดียวกันและจะมาปรากฏตนในปัจจุบันนี้ และตามตำนานโบราณยังได้บ่งว่า จะมีมหาภัยต่างๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว โรคระบาด มีวิกฤตต่างๆ ผู้คนเดือดร้อน และมีเหตุการณ์ที่เกิดได้ยากจะปรากฏขึ้นก่อนที่พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรยจะมาปรากฏ ดังเช่น
    1.การเกิดของวัวป่าสีขาว (White Cow) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2537 ตามความเชื่อของชาวอเมริกัน-อินเดียน เชื่อว่าสันติสุขของโลกที่แท้จริงจะเกิดขึ้น ข่าวจากหนังสือพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา
    2.การเกิดของวัวแดง (Red Heifer) ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วมากกว่า 2,000 ปี ได้กำเนิดขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2539 ที่ประเทศอิสราเอล การเกิดของวัวแดงตัวปัจจุบันตามความเชื่อของชาวยิวเป็นการแสดงว่า มาซายะ(Messiah) จะมาปรากฏตน สำนักข่าว CNN รายงานข่าวตามความเชื่อของชาวยิว
    3.ปรากฎการณ์เรียงตัวกันของดาวนพเคราะห์ทั้งหลายเมื่อต้นเดือน พฤษภาคม พ.ศ.2543 ตามความเชื่อของศาสนาฮินดูโบราณบ่งว่า กาลกี (Kalki) จะมาปรากฏตน
    4.พระจันทร์สีแดงอันเกิดจากจันทรุปราคาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2543 แต่ประเทศไทยมีเมฆปกคลุมทำให้มองไม่เห็น เรื่องของพระจันทร์สีแดง มีในตำนานโบราณอายุกว่า 2,000 ปีกล่าวไว้ว่า “ในเวลากลางคืนไร้แสงอาทิตย์ และเกิดพระจันทร์สีแดงจะเป็นวันที่สำคัญยิ่งเพราะแสดงการมาของผู้นำสันติสุข” และในวันที่ 16 กรกฎาคม 2543 ดังกล่าวนั้นยังตรงกับวันอาสาฬหบูชาอีกด้วย

    เกี่ยวกับเรื่องที่ได้นำเสนอมาแล้วในตอนที่ 1 และในตอนที่ 2 นี้ก็ไม่ได้ขอให้เชื่อ แต่ขอให้พิจารณาถึงเหตุผลต่างๆ พิจารณาจากหลักฐานและข้อเท็จจริง การพิจารณาในสิ่งที่ดีงาม เปิดใจให้กว้าง ไม่เป็นกบในกะลาหรือเป็นน้ำชาล้นถ้วยที่ไม่ยอมรับอะไรเลย ยึดถือกับความเชื่อเก่าๆที่ขาดเหตุผลและหลักฐานความจริง จงอย่าลืมว่า พระศรีอาริยเมตไตรยนั้นท่านเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 ต่อจากพระพุทธเจ้าโคตม และเป็นวงศ์วานเดียวกับพระพุทธเจ้าโคตมในภัทรกัป ที่มีพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง 5 พระองค์คือ พระกกุสันธะ ,พระโกณาคมมนะ,พระกัสสปะ,พระพุทธเจ้าโคตม และพระเมตไตรย สำหรับการที่ผู้คนส่วนใหญ่ และผู้ที่บอกกล่าวว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรยจะมาปรากฏตนเมื่อพระพุทธเจ้าโคตมปรินิพพานไปแล้ว 5,000 ปี เป็นความเชื่อที่ขาดซึ่งหลักฐาน แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้ระบุเวลาดังกล่าวไว้ สิ่งที่เป็นหลักฐานที่พบได้ก็คือ หลักฐานที่พระธรรมทูตที่ได้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และต้นศรีมหาโพธิ์ จากประเทศอินเดียเมื่อ พ.ศ.2484 ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนายหรือคำตรัสของพระพุทธเจ้าโคตม มาจากศิลาจารึกที่เก่าแก่ ณ เขตมหาวิหาร ในสวนมฤคทายวัน เป็นพระพุทธพจน์ทำนายที่ตรัสว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรยจะมาปรากฏพระองค์หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 2,500 ปี (ศาสนาได้ล่วงเลยมาถึงกึ่งพุทธกาล)

    พระพุทธเจ้าโคตม ได้ตรัสสอนไม่ให้เชื่อในเรื่องใดทั้งสิ้น ซึ่งได้ตรัสสอนไว้ในกาลามสูตร 10 ประการ หากสิ่งที่ได้คิด ได้ทำ ได้ปฎิบัตินั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยข้อเท็จจริงเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อื่นโดยส่วนรวมแล้วก็ควรจะนำมายึดถือปฎิบัติ การเชื่อจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาถกเถียงกัน แต่ที่สำคัญอยู่ที่การศึกษาหาข้อเท็จจริง ความเป็นจริงต่างๆให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ให้เกิดโทษ การจะเอาเรื่องความเชื่อมายึดถือโดยตลอดนั้นก็จะขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักความเป็นไปได้ของความเป็นจริง “ใบประดู่ลายในพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้าเพียงไม่กี่ใบ” เป็นสิ่งที่พระองค์ได้นำเรื่องที่เป็นความจริง พิสูจน์ได้และเป็นประโยชน์มาตรัสสอน แต่ใบไม้ที่เหลืออยู่บนต้น และอยู่ในป่าอีกมากมายนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงทราบแต่ไม่ทรงตรัสสอน................
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <center>ยุคพระศรีอาริยเมตไตรย (ต่อ) </center>
    <!--detail--><!--images--> <!--images-->พระพุทธเจ้าโคตมะ ได้ตรัสสอนไม่ให้เชื่อในเรื่องใดทั้งสิ้น ซึ่งได้ตรัสสอนไว้ในกาลามสูตร 10 ประการ หากสิ่งที่ได้คิด ได้ทำ ได้ปฎิบัตินั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยข้อเท็จจริงเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อื่นโดยส่วนรวมแล้วก็ควรจะนำมายึดถือปฎิบัติ การเชื่อจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาถกเถียงกัน แต่ที่สำคัญอยู่ที่การศึกษาหาข้อเท็จจริง ความเป็นจริงต่างๆให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ให้เกิดโทษ การจะเอาเรื่องความเชื่อมายึดถือโดยตลอดนั้นก็จะขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักความเป็นไปได้ของความเป็นจริง พระพุทธเจ้าโคตมะ ได้ตรัสไว้ในภัทรกัปว่า ในวงศ์วานของพระพุทธเจ้ามีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ คือ พระกกุสันธะ,พระโกนาคมนะ,พระกัสสปะ,พระโคตมะ และพระเมตไตรย ซึ่งพระเมตไตรยหรือที่บุคคลทั่วไปรู้จักกันในชื่อของพระศรีอาริยเมตไตรยนั้น เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 ต่อจากพระพุทธเจ้าโคตมะ สำหรับการที่ผู้คนส่วนใหญ่ และผู้ที่บอกกล่าวว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรยจะมาปรากฏตนเมื่อพระพุทธเจ้าโคตมะปรินิพพานไปแล้ว 5,000 ปี เป็นความเชื่อที่ขาดซึ่งหลักฐาน แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้ระบุเวลาดังกล่าวไว้ สิ่งที่เป็นหลักฐานที่พบได้ก็คือ หลักฐานที่พระธรรมทูตที่ได้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และต้นศรีมหาโพธิ์ จากประเทศอินเดียเมื่อ พ.ศ.2484 ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนายหรือคำตรัสของพระพุทธเจ้าโคตมะ มาจากศิลาจารึกที่เก่าแก่อายุมากกว่า 2,000 ปี ณ เขตมหาวิหาร ในสวนมฤคทายวัน เป็นพระพุทธพจน์ทำนายที่ตรัสว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรยจะมาปรากฏพระองค์หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 2,500 ปี(กึ่งพุทธกาล)

    ได้มีการบอกกล่าวเล่าสืบกันมาว่า ในยุคของพระศรีอาริยเมตไตรย ผู้คนจะไม่ลำบากยากแค้น คนทั่วไปจะมีกินมีใช้กันทั่วหน้า บ้านเรือนไม่ต้องมีรั้ว จะนอนหลับ ก็ไม่ต้องปิดประตูบ้าน เพราะไม่มีโจรผู้ร้าย ผู้คนทั้งหลายจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เด็กหรือคนชราจะได้รับการดูแลอย่างดี ทุกอย่างในโลกนี้จะมีแต่ความสุข เป็นเสมือน “เมืองสวรรค์บนโลกมนุษย์”เนื่องจากผู้คนโดยทั่วไปจะได้รับรู้ว่า ผลของการทำความดีหรือการทำความชั่วนั้น ผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร พระศรีอาริยเมตไตรยจะทรงพิสูจน์เรื่องของนรก-สวรรค์ว่ามีอยู่จริง และแสดงให้เห็นด้วยรูปธรรมมิใช่นามธรรมดังที่เคยได้ยินกันมา สังคมโลกจะมีแต่คนดีเพราะคนไม่ดีจะกลับเนื้อกลับตัวทำแต่ความดี นรก-สวรรค์จะไม่มีแต่เพียงนามธรรมอีกต่อไป เหตุการณ์ก่อนที่พระศรีอาริยเมตไตรยจะมาปรากฏตนนั้นพระพุทธศาสนาจะเริ่มเสื่อมลงด้วยสาเหตุ 5 ประการ ดังนี้
    1.การเสื่อมลงของหนทางแห่งความสำเร็จบรรลุมรรคผล ศีลธรรมและจริยธรรม
    2.การเสื่อมลงของวิธีการปฎิบัติธรรมและการเจริญภาวนา
    3.การเสื่อมลงของการศึกษาธรรมและการเข้าถึงพระธรรม
    4.การเสื่อมลงของวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา
    5.การเสื่อมลงของบูรพาจารย์

    นอกจากนี้ตามตำนานโบราณยังได้บ่งว่า จะมีมหาภัยต่างๆเกิดขึ้น เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟไหม้ โรคระบาด มีวิกฤตต่างๆ ผู้คนเดือดร้อน มีเหตุการณ์ที่ไม่สงบสุขต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งในปัจจุบันเหตุการณ์ต่างๆก็ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีเหตุการณ์ที่เกิดได้ยากจะปรากฏขึ้นก่อนที่พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรยจะมาปรากฏตน ดังเช่น
    1.การเกิดของวัวป่าสีขาว (White Cow) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2537 ตามความเชื่อของชาวอเมริกัน-อินเดียน เชื่อว่าสันติสุขของโลกที่แท้จริงจะเกิดขึ้น ข่าวจากหนังสือพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา
    2.การเกิดของวัวแดง (Red Heifer) ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วมากกว่า 2,000 ปี ได้กำเนิดขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2539 ที่ประเทศอิสราเอล การเกิดของวัวแดงตัวปัจจุบันตามความเชื่อของชาวยิวเป็นการแสดงว่า มาซายะ(Messiah) จะมาปรากฏตน สำนักข่าว CNN รายงานข่าวตามความเชื่อของชาวยิว
    3.ปรากฎการณ์เรียงตัวกันของดาวนพเคราะห์ทั้งหลายเมื่อต้นเดือน พฤษภาคม พ.ศ.2543 ตามความเชื่อของศาสนาฮินดูโบราณบ่งว่า กาลกี (Kalki) จะมาปรากฏตน
    4.พระจันทร์สีแดงอันเกิดจากจันทรุปราคาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2543 แต่ประเทศไทยมีเมฆปกคลุมทำให้มองไม่เห็น เรื่องของพระจันทร์สีแดง มีในตำนานโบราณอายุกว่า 2,000 ปีกล่าวไว้ว่า “ในเวลากลางคืนไร้แสงอาทิตย์ และเกิดพระจันทร์สีแดงจะเป็นวันที่สำคัญยิ่งเพราะแสดงการมาของผู้นำสันติสุข” และในวันที่ 16 กรกฎาคม 2543 ดังกล่าวนั้นยังตรงกับวันอาสาฬหบูชาอีกด้วย

    จากการศึกษาและค้นคว้าจากผู้เชี่ยวชาญศาสนาในมหาวิทยาลัยต่างๆของโลกและศูนย์ศาสนาที่สำคัญๆได้พิมพ์หนังสือออกเผยแพร่เมื่อปี พ.ศ.2534 ต่างมีความเห็นเดียวกันว่า”ผู้นำสันติสุข”ที่มีชื่อเรียกตามแต่ละภาษาหรือแต่ละศาสนาเช่น ศาสนายิวเรียกว่า Messiah,ศาสนาคริสต์เรียกว่า Comforter,ศาสนาอิสลามเรียกว่า Imam Maldi,ศาสนาฮินดูเรียกว่า Kalki และศาสนาพุทธเรียกว่า Maitreya น่าจะเป็นบุคคลคนเดียวกัน นอกจากนี้ใน Isaiah 9.6 และ 3.3 ของศาสนายิวกว่า 2,700 ปีมาแล้วได้ระบุเวลาเกิดของ Messiah ว่า จะเกิดในระหว่างสงครามซึ่งจะมีชัยชนะได้ด้วยไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญ (น่าจะหมายถึงระเบิดปรมาณูที่ใช้เฉพาะแค่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ) และยังได้ระบุอีกว่า บุคคลนี้จะมาปรากฏตัวเมื่ออยู่ในวัยที่เรียกว่า “Golden Age”(วัยทอง,วัยกลางคน)
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    กำเนิดของศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย์ และผู้ที่มีสิทธิ์ไปเกิดในยุคนั้น

    *จากคำภีร์วิสุทธิมรรค "พระมาลัยพบพระศรีอาริย์ บนสวรรค์ชั้นตาวติงสาห์ภูมิ"


    ขณะนั้น ปรากฏร่างเทพบุตรอีกองค์หนึ่ง ทรงเครื่องสรรพอาภรณ์อันวิจิตร มีนางฟ้าแวดล้อมจำนวนมากเหลือคณานับ เหาะมาทางอากาศ ส่งรัศมีสว่างไสวเจิดจ้า ไม่ต่างอะไรกับพระจันทร์หมื่นดวง ตรงมายังพระจุฬามณีเจดีย์สถานแห่งนั้น
    ฝ่ายพระเถระครั้นเหลือบเห็น ก็นึกได้ทันทีว่า องค์นี้คงจะเป็นพระศรีอาริย์แน่ แต่เพื่อความแน่ใจ จึงหันมาถามพระอินทร์

    "เทพบุตรองค์ในใช่ไหม คือพระศรีอาริย์ มหาบพิตร?"
    "ถูกแล้ว พระคุณเจ้า"
    "แหม! นางฟ้าบริวารของพระองค์มากเหลือเกิน" พระมาลัยกล่าวชม "เออ! พวกนางฟ้าที่เหาะมาข้างหน้าพระศรีอาริย์นั้น นุ่งผ้าอาภรณ์ขาวสะอาด และหนำซ้ำรัศมีที่พวยพุ่งออกมา ยังเป็นสีขาวเสียด้วย มหาบพิตรทราบไหมว่า เมื่อก่อนนางพวกนี้ ทำบุญอะไรไว้"
    "นางพวกนี้เมื่อชาติก่อน ถึงวันอุโบสถนุ่งผ้าขาว ห่มผ้าขาว สมาทานศีลแปด และทำบุญด้วยข้าวของสะอาด อีกทั้งจิตใจยังใสสะอาดาด้วยขอรับ"

    "แล้วพวกนางฟ้าที่เหาะมาทางขาว มีรัศมีและเครื่องประดับสีเหลือง ก็คงจะทำบุญด้วยของสีเหลืองละซี มหาบพิตร"
    "ถูกแล้ว พระคุณเจ้า พวกนี้ส่วนมาก มักจะถวายผ้าสบงจีวร หรือข้าวของสีเหลืองอื่นๆ ส่วนพวกที่มีรัศมีและเครื่องประดับสีแดง สีม่วง สีอื่นๆ อีก ก็ดุจเดียวกัน ล้วนแต่เป็นผู้รักษาศีล และถวายของที่มีสีนั้นๆ ทั้งนั้น ครั้นตาย ก็มาบังเกิดเป็นบริวารของพระศรีอาริย์ ณ สวรรค์ชั้นดุสิตขอรับ"

    ขณะที่พระมาลัย จะไต่ถามพระอินทร์ต่อไปนั้นเอง พระศรีอาริย์พร้อมด้วยนางฟ้าบริวาร ก็เสด็จมาถึงที่ลานพระเจดีย์ และเมื่อจัดแจงกระทำการสักการบูชา กราบไหว้ถวายเครื่องของหอมเสร็จแล้ว พอดีเหลือบมาเห็นพระมาลัยเถระ จึงเข้านมัสการ แล้วตรัสถามว่า
    "ข้าแต่พระคุณเจ้า พระคุณเจ้ามาจากที่ไหนขอรับ?"
    "อาตมา มาจากชมพูทวีป" พระมาลัยตอบ
    เมื่อทราบว่า พระเถระมาจากชมพูทวีป ดังนั้นพระศรีอาริย์ ก็ดีพระทัย รับสั่งถามข่าวคราวของมวลมนุษย์ต่อไปว่า
    "ข้าแต่พระคุณเจ้า ชมพูทวีปขณะนี้ พวกมนุษย์พากันทำมาหากินยังไงบ้างขอรับ?"
    "บางพวกก็ค้าขายตามความรู้ความสามารถของตน บางพวกก็ออกเงินให้กู้กินดอกเบี้ย บางพวกก็เข็ญใจ ไร้ทรัพย์ บางพวกก็สุขสบาย บางพวกก็เดือดร้อนทุกข์ยากปากแห้งขนาดหนัก มหาบพิตร"
    "แล้วส่วนมากพวกเขาทำบุญกันบ้างหรือเปล่า พระคุณเจ้า หรือว่าทำแต่บาปหยาบช้า?"
    "พวกที่ทำบุญนั้น รู้สึกจะน้อยมาก มหาบพิตร ส่วนคนที่ทำบาปหยาบช้านั้น นับไม่ถ้วนเลย"
    "คนที่เขาทำบุญ เขาทำกันอย่างไร พระคุณเจ้า?"
    "บางพวกก็ให้ทาน รักษาศีล บางพวก ก็จัดให้มีพระธรรมเทศนา พร้อมทั้งป่าวประกาศ ให้เพื่อนๆ บ้านใกล้เรือนเคียง มาร่วมด้วย บางพวกสร้างวัดวาอาราม พระพุทธรุป พระสถูปเจดีย์ ถวายจีวรบิณฑบาต เสนาสนะ ยารักษาโรคแก่พระภิกษุสงฆ์ บางพวกก็เลี้ยงพ่อแม่ บางพวกก็สร้างพระไตรปิฎก ทั้งนี้สุดแล้วแต่กำลังทรัพย์ กำลังปัญญาของพวกเขา มหาบพิตร"
    "แล้วพวกเขาปรารถนาสิ่งใดบ้าง พระคุณเจ้า มนุษย์สมบติ สวรรค์สมบัติ หรือว่านิพพานสมบัติ?"
    "เห็นจะไม่ตรงความจริงนัก มหาบพิตร เพราะส่วนมาก เมื่อทำบุญแล้ว ล้วนแต่ตั้งความปรารถนาว่า ขอให้เกิดทันศาสนา ของพระองค์ทั้งนั้น"

    พระศรีอาริย์ทรงสดับเช่นนั้น ก็ทรงพระสรวล พลางรับสั่งต่อไป
    "ถ้าหากเขาอยากเกิดทันศาสนาของข้าพเจ้า ก็จงอุตส่าห์ฟังธรรมมหาเวสสันดรชาดก ให้จบในวันเดียว แล้วบูชาด้วยธูปเทียน ดอกไม้อย่างละพันฉัตร ดอกบัวหลวง บัวเขียว บังขาว ดอกสามหาวอย่างละพัน ถ้าทำได้ดังนี้ ก็จะพบศาสนาของข้าพเจ้า และเมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้ ผู้นั้นก็จะได้บรรลุพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ส่วนที่ทำบาปหนัก เช่น ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้า พระภิกษุสงฆ์ ทำลายหมู่คณะให้แตกแยกกัน ทำลายเจดีย์สถาน และคนที่ตระหนี่ขี้เหนียว ไม่รู้จักทำบุญให้ทาน ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ เป็นคนโง่ มีความประมาทอยู่เสมอ คนพวกนี้ จะไม่มีโอกาสได้พบศาสนาของข้าพเจ้า"

    "แล้วพระองค์จะลงไปตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไรเล่า มหาบพิตร?"
    "อีกไม่นานหรอก พระคุณเจ้า เมื่อครบถ้วนห้าพันปี สิ้นศาสนาของพระพุทธโคดมแล้ว ตอนนั้น พวกสัตว์ทั้งหลายจะมืดมัว ไม่รู้จักทำบุญกุศลจริต มีแต่จะกระทำกรรมอันบาปหนา หยาบช้า ไม่รู้จักละอายต่อบาป แม่กับลูกจะอยู่กินด้วยกันเป็นสามีภรรยา พี่สาวกับน้องชาย พี่ชายกับน้องสาว ทั้งพี่ป้าน้าอา ลุงหลาน จะสมสู่อยู่กินกันเป็นสามีภรรยากัน ทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็จะหนาขึ้นมาก

    อายุของสัตว์ก็จะน้อยลง ตราบจนเหลือ 10 ปี เด็กเกิดได้ 5 ปี ก็จะแต่งงานกันแล้ว และตอนนั้น มนุษย์ทั้งหลายเห็นเข้า ก็จะเข้าใจว่าเป็นเนื้อปลา จับอะไรได้เป็นต้นว่าท่อนไม้ผุ ก็จะกลับกลายเป็นอาวุธหอกดาบไป แล้วจะไล่ทิ่มแทงกันล้มตายเป็นอันมาก พ้นที่จะประมาณได้ ฝ่ายพวกคนที่มีสติปัญญานั้น รู้ว่าถึงวันนั้นคืนนั้น จะเกิดมิคสัญญี ฆ่าปันกันและวุ่นวายหนักหนา คนที่ดีมีวิชา ก็จะไปซ่อนเร้นอยู่ตามซอยห้วยซอกเขา

    ครั้นมนุษย์พวกบ้าดีเดือดทั้งหลาย ฆ่าฟันกันตายหมดแล้ว คนพวกนั้น ก็จะพากันออกจากที่ซ่อน ครั้นมาพบปะกันเข้า ก็จะพากันสวมกอดซึ่งกันและกัน ต่างหันหน้าเข้าปรึกษากันว่า ความฉิบหายที่เกิดแก่พวกเราในครั้งนี้ ก็เพราะผู้คนประมาท ก่อแต่บาปกรรมอันหยาบช้า แต่นี้ไปเบื้องหน้า เราจงอุตส่าห์กระทำความดี เว้นเสียจากฆ่าสัตว์ ประหัตประหารกันและกัน ลักขโมยของกัน ผิดผัวผิดเมียกัน พูดเท็จ และดื่มสุราเมรัย งดเว้นเสียจากการพูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ เว้นจากความโลภ ความโกรธ ความเห็นผิด จากทำนองคลองธรรม เมื่อคนมีสติปัญญาปรึกษากันดังนั้นแล้ว ก็ตั้งหน้าบำเพ็ญบุญกุศล มีให้ทานรักษาศีลเป็นต้น คนพวกนั้น ครั้นมีลูก ลูกมีอายุได้ 3 ปี ต่อมามีหลาน ก็จจะมีอายุมากขึ้นไป 5 ปี และเจริญขึ้นโดยลำดับ

    ตราบเท่าอายุของมนุษย์ เจริญขึ้นได้อสงไขยหนึ่งแล้ว ความแก่และความตาย ก็มิได้บังเกิดมี คราวนั้น คนทั้งหลายก็กลับประมาทอีก เมื่อเกิดความประมาทขึ้น อายุของพวกเขา ก็เสื่อมถอยลงมา เหลือเพียงแปดหมื่นปี ตอนนั้น ฝนจะตกทุกๆ 15 วัน และส่วนมาก มักจะตกตอนใกล้รุ่ง ทำให้มนุษย์มีความชุ่มชื่นเจริญใน และพื้นดินอุดมสมบูรณ์ แม่น้ำลำคลองมีกระแสน้ำไหลขึ้นข้างหนึ่ง ไหลลงข้างหนึ่ง เต็มเปี่ยมเพียบฝั่งไม่พร่อง ไม่ล้น อยู่อย่างนั้นเสมอ ดอกไม้ต่างชนิด ผลิดอกบานสะพรั่งตลอดกาล บ้านเรือนจะปลูกอยู่ใกล้ๆ กัน พอไก่บินถึง ปราศจากโจรผู้ร้าย บริบูรณ์ด้วยน้ำ และข้าวปลาอาหาร ผัวเมียจะไม่รู้จักทะเลาะวิวาทกัน ผู้ชายไม่ต้องทำไร่นาค้าขาย ผู้หญิงก็ไม่ต้องทอหูกปั่นฝ้าย ผ้าที่จะนุ่งห่ม ก็ล้วนแต่เป็นของทิพย์ อำมาตย์ข้าราชการ จะตั้งอยู่สุจริตธรรม ไม่เบียดเบียนอาณาประชาราษฎรให้เดือดร้อน พระมหากษัตริย์ ก็จะไม่มีกริ้วโกรธ ถือลงโทษพระราชอาญา มีพระทัยรักใคร่กรุณาแก่ประชาชน พวกสัตว์ที่เป็นศัตรูกันทั้งหลาย เช่น กากับนกเค้า แมวกับหนู งูกับพังพอน หมีกับไม้สาค้อ ก็จะแผ่เผื่อเมตตาจิตต่อกัน เลิกเป็นคู่เวรคู่กรรมกันต่อไป เครื่องใช้ไม้สอย มีสมบูรณ์ทุกอย่าง แผ่นดินก็จะราบเรียบเป็นหน้ากลอง ไม่มีหลักตอเสี้ยนหนาม คนทั้งหลายมีรูปร่างสวยงามเหมือนกันหมด ไม่มีคนใบ้ คนบ้า หูหนวก ตาบอด ง่อย เปลี้ย เสียขา เลย ทุกคนปราศจากโรคภัยเบียดเบียน เห็นกันเข้าก็มีไมตรีรักใคร่กัน ในครั้นนั้น ชายจะมีภรรยารักคนเดียว สตรีก็จะมีสามีคนเดียว ไม่มีการล่วงประเวณีกัน และคนในยุคนั้น จะมีความผาสุกสมบูรณ์มาก ไม่ต้องทำมาหากิน ใช้สอยแต่เครื่องทิพย์ มีกิจอยู่แต่นั่งนอนฟังเสียงอันเป็นทิพย์ ไพเราะยิ่งหนักหนา ทุกคนล้วนมีสมบัติเหมือนกันหมด ไม่มีคนกำพร้าอนาถา ไม่มีคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ จะได้วิวาทแก่งแย่งชิงเอาบ้านเรือนไร่นาของกันและกันนั้น ไม่มีเลย และยุคนั้น พืชข้าวกล้าเพียงเม็ดเดียว ถ้าตกลงพื้นดิน แล้วก็งอกขึ้นเป็นต้นเป็นลำปล้อง หน่อ และเป็นกอใหญ่ๆ ออกไปได้ร้อยเท่าพันทวี ทั้งหมดที่เป็นดังนี้ ก็เพราะข้าพเจ้า ได้สั่งสมบารมีไว้มาก

    ในศาสนาของข้าพเจ้า ไม่มีคนบ้าใบ้ เพราะข้าพเจ้าไม่เคยพูดเท็จล่อลวงคนอื่น
    ไม่มีคนตาบอด เพราะข้าพเจ้ามองสมณะผู้มีศีลและยาจกทั้งหลาย ด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่สงสาร
    ไม่มีคนง่อยเปลี้ย เพราะในเวลาทำบุญให้ทาน ข้าพเจ้าจะยืดตัวตรงเสมอ
    ไม่มีคนเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะข้าพเจ้าเคยถวายยาเป็นทาน
    ไม่มีมารผจญ เพราะข้าพเจ้า ไม่เคยทำให้สัตว์ตกใจ
    ในศาสนาของข้าพเจ้าจะมีแต่คนรูปร่างงดงาม เพราะข้าพเจ้าให้สิ่งของที่รัก เป็นทานแก่สมณพราหมณ์ และยาจกวณิพกเสมอ
    คนในศาสนาของข้าพเจ้า ได้ไปสวรรค์ทุกคน เพราะข้าพเจ้าเคยให้ช้างม้า ราชรถ ยวดยานพาหนะเป็นทาน
    ในศาสนาของข้าพเจ้า แผ่นดินราบเรียบเสมอ เพราะข้าพเจ้าแผ่เมตตาจิต ไปยังสัตว์ทั้งหลายเสมอ
    คนในศาสนาของข้าพเจ้ามั่นคงสมบูรณ์ด้วยความสุข เพราะข้าพเจ้าให้ทานแก่ขอทาน ด้วยทรัพย์สิ่งของเงินทอง ตามที่เขาปรารถนาโดยทั่วถึง

    ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าบำเพ็ญบารมีมาช้านนานถึง 16 อสงไขยแสนกัปป์ บารมี 30 ทัส นั้น ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาอย่างพร้อมมูลแล้ว ข้าพเจ้าจะลงไปเกิดในโลกมนุษย์ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อโปรดสัตว์ทั้งหลาย โดยจะเกิดในตระกูลพราหมณ์ มหาศาลบริบูรณ์ด้วยสมบัติ

    พระบิดานั้น ทรงพระนามว่า สุพรหมพราหมณ์ เป็นปุโรหิต ของ พระเจ้าสังขจักรพัตราธิราช
    พระชนนี นามว่า นางพราหมณ์วดีพราหมณี
    อัครสาวกเบื้องขวา นามว่า พระอโสกเถระ
    อัครสาวกเบื้องซ้าย นามว่า พระสุพรหมเถระ
    อัครสาวิกาเบื้องขวา นามว่า ปทุมาเถรี
    อัครสาวิกาเบื้องซ้าย นามว่า สุมนาเถรี
    อุบาสกพุทธอุปัฎฐาก 2 คน นามว่า สุทัตตคหบดี และ สังฆหบดี
    อุบาสิกาพุทธอุปัฏฐาก 2 คน นามว่า ยสปวดี และ สังฆอุบาสิกา
    ไม้ที่ตรัสรู้ คือ ไม้กากะทิง ขนาดลำต้น จากพื้นไปถึงคาคบ 120 ศอก จากคาคบ ขึ้นไปถึงยอด 120 ศอก มีกิ่งใหญ่ 4 กิ่ง ทอดออกไปในทิศทั้ง 4 ทอดออกไปในทิศทั้ง 4 ยาวได้กิ่งละ 120 ศอก รวม 480 ศอก มีดอกเท่ากงจักรถ แต่ละดอกนั้น มีเกสรได้ทะนานหนึ่ง มีกลิ่นหอมฟุ้งขจรไปไกลถึง 500 โยชน์
    ตอนที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าจะมี พระกายสูงได้ 88 ศอก จากพื้นพระบาท ถึง พระชานุ 22 ศอก จากพระชานุ ถึง พระนาภี 22 ศอก จากพระนาภี ถึง รากขวัญ 22 ศอก จากพระรากขวัญ ถึง พระอุณหิส 22 ศอก พระชนมายุได้ 8 หมื่นปี
    ศาสนาของข้าพเจ้ายืนยาวถึง 8 พันปี"

    ฝ่ายพระมาลัยเมื่อได้ฟังพระศรีอาริย์ บรรยาย ก็ถามต่อไปอีกว่า
    "มหาบพิตร เท่าที่พระองค์ทรงเล่ามา อาตมายังกำหนดไม่ได้เลยว่า พระองค์จะลงไปโปรดมนุษย์ เมื่อใด?"
    "ก็ตอนที่ข้าวสาลีเมล็ดเดียว บังเกิดเป็นข้าวสารร้อยเจ็ดสิบเมล็ด จุเต็มสองเล่มเกวียนกับสิบหกสัดใหญ่ๆ เท่าสองกระบุงเมื่อใดนั่นแหล่ะ พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าจะลงไปเกิดในโลกมนุษย์ โดย ครั้งแรกจะเป็นมนุษย์ธรรมดาก่อน กระทำ สัตตสตกมหาทาน บริจาคลูกเมียเหมือนพระเวสสันดร แล้วจะกลับขึ้นมาเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตอีกระยะหนึ่ง จนถึงตอนที่สัตว์ทั้งหลาย มีอายุน้อยลงจากอสงไขย มาเป็น แปดหมื่นปี ชมพูทวีปบริบูรณ์ มีเมล็ดข้าวสาลีเพียงเมล็ดเดียวแต่ให้ผลมากมายดังก่อน ตอนนี้แหละ ข้าพเจ้าจะได้ไปจุติ ไปบังเกิดในโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ขอรับ"

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเสด็จไปเอง หรือมีผู้มาเชิญเสด็จไป?"
    "เข้าใจว่าคงมีผู้มาเชิญขอรับ และผู้ที่จะเชิญก็คือ เทวดาในหมื่นจักรวาล มี ท้าวมหาพรหม เป็นประธาน สำหรับข้าพเจ้า เมื่อได้ฟังคำเชิญของเทวดาทั้งหลาย ก็จะแลเห็นโลก ด้วยเหตุ 5 ประการ คือ กาล ประเทศ ทวีป ตระกูลมารดา และ สัตว์ทั้งหลาย ตามเยี่ยงอย่าง พระบรมโพธิสัตว์แต่ก่อน มาพิจารณาดู
    กาล อายุสัตว์ ครั้งนั้น ไม่มากกว่าแสนปีขึ้นไป ไม่น้อยกว่าร้อยปีลงมา เพราะถ้าสัตว์มีอายุมากกว่าแสนปี ความแก่ความตาย ไม่ค่อยจะบังเกิดปรากฏให้เห็น บรรดาสรรพสัตว์ ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ไม่เห็นสังขาร เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะไม่เชื่อถือพระธรรม มรรคผลก็จะไม่บังเกิดขึ้น และพระธรรมเทศนา ก็จะไร้ประโยชน์ อีกประการหนึ่ง ถ้าสัตว์อายุน้อยกว่าร้อยปีลงมา ก็หาเป็นการสมควรที่พระพุทธเจ้า จะลงไปตรัสรู้ไม่ เพราะสรรพสัตว์พวกนี้ จะมีกิเลสหนากล้านัก จะรับโอวาท หรือเชื่อถือแต่เพียงต่อหน้าเท่านั้น พอลับหลัง ก็ลืมโอวาทสั่งสอนเสีย รับศีลไปประเดี๋ยวก็ทิ้งศีลเสีย ไม่ผิดอะไรกับรอยขีดในน้ำ ดังนั้น เวลที่เหมาะสำหรับการลงไปตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็คือในระหว่างแสนปีลงมา และตั้งแต่ร้อยปีขึ้นไป
    ทวีป ดูทวีปใหญ่ทั้งสี่ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารนั้น โดยลงความเห็นว่า พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ผู้บังเกิดในชมพูทวีป อันเป็นมัชฌิมประเทศ ที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอสีติมหาสาวก พระเจ้าจักรพรรดิ์ และชนผู้มีบุญญาธิการมาก มักบังเกิดเป็นส่วนมาก
    ประเทศ ครั้งนั้น กรุงพาราณสี มีชื่อว่า มัณฑารนคร กว้างใหญ่ สิบสองโยชน์ พวกมนุษย์ถอนอายุลงมา จากอสงไขย ด้วยความประมาท มีอายุแปดหมื่นปีเป็นอายุขัย กรุงมัณฑารนครนั้น เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เกตุมบดีนคร บริบูรณ์ด้วยวัตถุสิ่งของทั้งปวง สมควรที่จะบังเกิดในกรุงเกตุมบดีนครนี้
    ตระกูล พิจารณาถึงตระกูลอันสมควรว่า ประเพณีสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมบังเกิดในตระกูล ซึ่งโลกนับถือ คือ ตระกูลกษัตริย์ ตระกูลพราหมณ์ ตอนนั้นโลก นับถือตระกูลพราหมณ์ ว่าประเสริฐ สมควรที่จะลงไปบังเกิดในตระกูลพราหมณื ซึ่งเป็นปุโรหิตผู้ใหญ่ ของพระเจ้าสังขจักร
    บิดามารดา พิจารณาดูว่า สุพรหมพราหมณ์ สมควรจะเป็นบิดา นางพราหมณี ชื่อ วดี สมควรจะเป็นมารดา
    รวมเป็นห้าประการด้วยกัน ขอรับ พระคุณเจ้า"

    "แล้วนางผู้เป็นคู่บุญบารมีของมหาบพิตร ชื่ออะไร และพระกุมารองค์ไหน จะได้เป็นพระโอรสของพระองค์?"
    "ข้าแต่พระคุณเจ้า นางอนุลาเทวี เป็นคู่สร้างบารมีของข้าพเจ้า ซึ่งจะได้เป็นอัครมเหสี นามว่า นางจันทมุขีเจ้าสาลี ราชโอรสของพระเจ้าอภัยทุฏฐคามินี จะได้เป็นโอรส มีนามว่า พรหมวดีกุมาร ขอรับ"

    "ตอนที่พระองค์จะเสด็จออกผนวช พระองค์เห็นบุพพนิมิตประการใดหรือไม่ และกระทำบำเพ็ญเพียรมากน้อยเท่าใด มหาบพิตร?"
    "ข้าพเจ้า จะเห็น บุพพนิมิต สี่ประการ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และ นักบวช ขอรับ พระคุณเจ้า และวันนั้น ปราสาทที่อยู่ของข้าพเจ้า จะลอยไปกลางอากาศ เมื่อข้าพเจ้าผนวชแล้ว จะบำเพ็ญเพียรประมาณเจ็ดวัน ตกเย็นวันที่เจ็ด จะไปนั่งที่ควงไม้กากะทิง แล้วได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

    เมื่อพระศรีอาริย์บรมโพธิสัตว์ ได้ตรัสกับพระมาลัยมามากมาย ถึงตอนนี้แล้ว ก่อนจะจากลา จึงสั่งพระเถระว่า
    "ข้าแต่พระคุณเจ้า พระคุณเจ้ากลับไปโลกมนุษย์แล้ว จงบอกแก่ชาวชมพูทวีปด้วยว่า อย่าได้สร้างเวรทั้งห้า คือ
    อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
    อย่าลักขโมยเข้าของเงินทองผู้อื่น
    อย่าล่วงละเมิดลูกเมียผู้อื่น
    อย่าเจรจาโกหกหลอกลวง
    อย่าเสพสุราเมรัย
    ให้สมาทานอุโบสถศีล และเว้นจากอนันตริยกรรม ทั้ง 5 ประการ มี ฆ่าพ่อแม่ เป็นต้น แล้วก็จะได้พบศาสนาของข้าพเจ้ดั่งประสงค์ ขอพระคุณเจ้าจงบอกเล่าให้พวกเขาทราบ ตามที่ข้าพเจ้าสั่งนี้ด้วยเถิดขอรับ"
    ครั้นสั่งเสร็จ พระศรีอาริย์ ก็ถวายนมัสการลาพระเถระ ลุกขึ้น กระทำอภิวาท ประทักษิณพระจุฬามณีเจดีย์ แล้วเสด็จกลับ พร้อมด้วยบริวาร เหาะลอยขึ้นสู่นภาอากาศ ตรงไปยังดุสิตพิภพ อันเป็นที่อยู่ของพระองค์ โดยไม่รอช้า

    ฝ่ายพระมาลัยมองตามพระศรีอาริย์ไปด้วยความชื่นชม ในบุญบารมีจนลับตา แล้วก็หันมาถวายพระพรลา พระอินทร์ แล้วถวายอภิวาทนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์ 3 ครั้ง จึงกลับลงสู่โลกมนุษย์ดังเดิม
    ครั้นวันรุ่งขึ้น พระเถระได้เข้าบิณฑบาตในบ้านกัมโพชคาม พร้อมทั้งบอกชาวบ้านทั้งมวลว่า พระศรีอาริย์สั่งมาว่าดังนี้ หากท่านปรารถนาจะพบศาสนาพระศรีอาริย์ จงตั้งใจทำบุญกุศล เพิ่มพูนบารมีให้มากๆ เข้าเถิด แล้วจะได้เกิดในศาสนาของพระองค์สมประสงค์

    ฝ่ายมหาชนชาวบ้าน ครั้นได้ฟังคำบอกเล่าของพระเถระแล้ว ต่างก็มีกำลังใจมุ่งมั่นในการทำบุญกุศลมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ และครั้นสิ้นชีพแล้ว ก็ไปบังเกิดบนสวรรค์โดยทั่วกัน แล
    สิ่งที่พวกเขาหวังกันมากที่สุด คือ การได้พบศาสนาพระศรีอาริย์นั้น คงจะอยู่ใกล้เขาเพียงแค่เอื้อมเท่านั้นเอง ยังไงๆ พวกเขาต้องได้พบแน่ ขณะนี้เพียงแต่เสวยสุขบนสวรรค์ รอการมาตรัสรู้ของพระองค์เท่านั้นเอง

    ----------------------------------------------------------------
    “ พระเจ้าสังขจักรมีพระราชโอรส ๑ พันพระองค์ พระราชโอรสผู้ใหญ่นั้น ทรงพระนามว่า อชิตราชกุมาร และมีตำแหน่งเป็น ปรินายกแก้ว แห่งสมเด็จพระราชบิดาอีกด้วยฝ่ายมหาปุโรหิตผู้ใหญ่ของสมเด็จพระสังขจักรนั้น
    มีนามว่า สุตพราหมณ์ ส่วนนางพราหมณีผู้เป็นภริยานั้น มีนามว่า นางพราหมณวดี ท่านทั้งสองนี้แหละเป็นผู้ให้กำเนิด พระศรีอาริยเมตไตรย ดังนี้ ”

    -----------------------------------------------------------------
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภัยลึกลับในอนาคต แห่งวัฏสงสาร

    จากหนังสือ "กรรมทีปนี" พ.ศ. ๒๕๑๗ หน้า ๑๐๘๙
    โดย พระเทพมุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) เจ้าอาวาสวัดดอน กรุงเทพมหานคร


    ในปัจจุบันกาลนี้ ถึงแม้ว่าเราจะโชคดีโดยได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่บรรจุคำสอนเรื่องกรรมไว้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงแล้วก็ตามที แต่ก็อย่าเพิ่งดีอกดีใจในความเป็นผู้โชคดีของเราให้มากมายไปนัก ทั้งนี้ก็เพราะว่าเรายังไม่หมดกรรม ยังมีกรรมอยู่มากมาย ตราบใดที่ยังเผาผลาญสังหารกรรมไม่ได้ คือ ยังมีกรรมมีเวรเป็นปุถุชนอยู่ ตราบนั้น ปราชญ์ผู้มีปัญญาทั้งหลายท่านเตือนว่าให้คอยระวัง ! ระวังอะไร ระวังภัยลึกลับในอนาคต ที่คอยจ้องตะครุบสัตว์โลกเอาไปบริโภคเป็นอาหารอยู่ตลอดกาล เพราะมีฤทธิ์เดชร้ายกาจนักหนา ภัยลึกลับในอนาคตมีฤทธิ์ร้ายที่ควรนำมากล่าวไว้ มีอยู่ดังต่อไปนี้

    "นานาสัตถุอุลโลกนภัย"
    ภัยลึกลับในอนาคต ซึ่งมีชื่อปรากฏเป็นศัพท์ว่า "นานาสัตถุอุลโลกนภัย" นี้ ได้แก่ภัยอันเกิดจากการคอยแหวนหน้ามองดูศาสนาต่างๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า ในชาตินี้เรามีโชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้มีโอกาสพบเคารพเลื่อมใสพระบวรพุทธศานาวิเศษ โดยมีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นองค์พระศาสดา เป็นศาสนาประเสริฐ มีคำสอนสมบูรณ์ถูกต้องตามสภาพธรรมความเป็นจริง เมื่อมีใจศรัทราอุตสาหะปฏิบัติตามหลักการพระพุทธศาสนา ก็อาจจะคว้าเอาสมบัติตามจิตปรารถนาบรรดามี คือ มนุษย์สมบัติ เทวสมบัติ พรหมสมบัติ ตลอดจนถึงนิพพานสมบัติ มาไว้ในอุ้งหัตถ์แห่งตนได้โดยง่าย

    หากว่าเราตายจากโลกนี้ไปแล้ว มีคติผ่องแผ้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกในอนาคต การที่ว่าจะมีโอกาสสดใสได้พบพระพุทธศาสนาอีกนั้น เป็นอันยากยิ่งยากนักหนา ทั้งก็เพราะว่า พระบวรพุทธศาสนาวิเศษแห่งเรานี้ ใช่ว่าจะเป็นศาสนาที่อยู่ประจำโลกเมื่อไรเล่า ปรากฏอยู่ในโลกเป็นครั้งคราวชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แล้วก็จะถึงกาลล่วงลับดับสูญไป เมื่อเราเกิดมาใหม่ไม่พบพระพุทธศานาแล้วจะพบอะไร ก็ต้องพบศาสนาที่ศาสดาอื่นประกาศขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นศาสนาอะไรก็ได้มีไม่ใช่บวรพระพุทธศาสนา ด้วยว่า ธรรมดาสันดานของมนุษย์ทั้งหลายมักชอบอวดรูอวดฉลาดอยู่เป็นวิสัย เห็นใครโง่กว่าตน ก็มักอวดตนเป็นผู้วิเศษโดยแสดงตนเป็นศาสดา ประกาศลัทธิศาสนาไปตามสติปัญญาอันโง่เขลาแห่งตน เช่น ศาสดาปูรณกัสสปผู้ประกาศลัทธิศาสนามิจฉาทิฐิเป็นต้น มนุษย์ที่ชอบแสดงตนเป็นศาสดาเจ้าลัทธิประกาศศาสนาตามใจชอบนี้ ย่อมมีประจำมนุษย์โลกอยู่เนืองนิตย์ เมื่อเราเกิดเป็นมนุษย์ในอนาคตแล้วได้ฟังคำสอนผิดๆ จากปากของผู้ที่แสดงตนเป็นศาสดา ซึ่งประกาศออกมาว่า

    ''เจ้าทั้งหลายเอ๋ย ! บาปบุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี คุณแห่งบิดามารดาไม่มี คนเราตายไปแล้วก็แล้วกัน ฉะนั้น เจ้าทั้งหลายไม่ต้องประหวั่นพรั่นพรึงอะไร อยากทำการสิ่งใดจงทำไปเถิดตามใจชอบ อย่ากลัวเรื่องบาปบุญคุณโทษหรือนรกสวรรค์ ที่คนโบราณว่าให้เสียเวลาเลย เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นไปไม่ได้ คือไม่มี เป็นสิ่งที่คนโบราณเพ้อฝันไปเองต่างหากเล่า''

    "เออ...เห็นจะจริงอย่างท่านว่า" ตัวเราเองในอนาคตผู้ไม่ค่อยจะรู้ประสีประสา ซึ่งมีกิริยาแหวนหน้าฟังศาสดาประกาศศาสนาในภายหน้า อาจจะอุทานออกมาด้วยความเลื่อมใสเป็นใจความว่าฉะนี้ แล้วก็ยินดีประพฤติปฏิบัติไปตามคำสอนของศาสดาป่าเถื่อนและโง่เขลานั้น ประพฤติการอันเป็นบาปชั่วช้าล่วงอกุศลกรรมบถนานาประการ เมื่อวายปราณตายไปจะเป็นอย่างไร ก็ต้องไปสู่อบาย เพราะอกุศลกรรมชักนำไป เช่นเดียวกับเหล่าสาวกของปูรณกัสสปเดียรถีย์ ซึ่งต้องไปเกิดเป็นผีนรกเพราะประพฤติตามคำสอนอันเป็นมิจฉาทิฐินั้น ครั้งพ้นจากทุกข์โทษในอบายได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ย่อมจะต้องพบหน้ามนุษย์ซึ่งอ้างว่าตนเป็นศาสดาผู้วิเศษอื่นๆ ซึ่งเราจำต้องฟังคำสอนของเขาอีก และเขาก็สามารถพาเราผู้ซึ่งแหวนหน้าฟัง และประพฤติตามคำสอนของเขาให้ไปลงนรกได้อีกเช่นกัน สภาพการณ์จะปรากฏมีอยู่อย่างนี้ไปไม่มีวันสิ้นสุด เพราะว่าศาสดาเหล่านั้นไม่ใช่พระอรหันต์สมัมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ท่านจึงกล่าวว่า นานาสัตถุอุลโลกนภัย คือ การที่ต้องตั้งคอแหวนหน้าคอยฟังคำสอนของศาสดาในภายหน้านี้ เป็นภัยลึกลับที่น่ากลัวซึ่งกำลังจ้องคอยตัวเราอยู่ในอนาคตกาล

    "อปายิกภัย"
    ภัยลึกลับในอนาคตอีกประการหนึ่ง ซึ่งเป็นชื่อเรียกเป็นศัพท์ว่า "อปายิกภัย" นี้ ได้แก่ ภัยที่เกิดจากการไปอุบัติเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ! หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าในชาตินี้เราโชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในมนุษย์โลกซึ่งจัดว่าเป็นสุคติภูมิ แล้วยังประสบโชคดีเป็นซ้ำสอง เพราะได้เกิดมาพบบวรพระพุทธศาสนา หากว่ามีความประสงค์จะได้บรรลุธรรมวิเศษคือมรรคผลนิพพาน เพื่อนำตนให้พ้นภัยในวัฏสงสารถึงความเป็นผู้สิ้นเวรกรรม เราก็สามารถที่จะกระทำได้ ด้วยการปฏิบัติตามกระแสพระพุทธฏีกา แม้ว่าจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้ เพราะวาสนาบารมียังไม่แก่กล้าสมบูรณ์ดี แต่ก็อาจจะเป็นอุปนิสัยปัจจัย เพื่อให้ได้บรรลุธรรมวิเศษในอนาคตกาลภายหน้า

    หากว่าเราปล่อยให้ความโชคดีซึ่งเราได้รับอยู่นี้ผ่านไป โดยไม่ได้ทำอะไรให้สมกับโอกาสดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายจากชาตินี้ไป การที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนในชาตินี้อีก ในฐานะที่เป็นปุถุชนคนมีกรรมอยู่เช่นนี้ ย่อมมีโอกาสที่จะพึงได้ยากนักหนา ปราชญ์ทั้งหลายย่อมกล่าวว่า บรรดามนุษย์ที่ตายไปจากมนุษย์โลกนั้น เขาต่างพากันไปสู่อบายภูมิมากกว่าสุคติภูมิ อุปมาเหมือนกับขนโคกับเขาโค คือ มนุษย์ทั้งหลายที่ทำกิริยาตายลงไปทุกวันนี้น่ะ เขาพากันไปเกิดในจตุราบายภูมิ โดยไปเกิดเป็นสัตว์นรกในนิรภูมิบ้าง ไปเกิดเป็นเปรตในเปตติวิสยภูมิ ไปเกิดเป็นอสุรกายในอสุรกายภูมิบ้าง และไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานในเดรัจฉานภูมิบ้าง ต่างไปเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ นี้ มีปริมานมากมายเท่าขนโค ส่วนมนุษย์ที่โชคดีได้กลับมาเป็นมนุษย์ในมนุษย์โลก และจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาในเทวโลกเป็นสุคติภูมิ มีปริมาณน้อยยิ่งนักเทียบได้กับเขาโคเท่านั้น โคตัวหนึ่งมี 2 เขา แต่มีขนเท่าไรเล่า ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย โอ...มีจำนวนมากมายจนไม่มีใครอยากจะนับทีเดียว ขนโคทั้งตัวที่มีจำนวนมากมายนั่นแลเทียบได้กับเหล่ามนุษย์ที่พากันไปเกิดในจตุราบาย ฝ่ายเหล่ามนุษย์ที่มีโกาสกลับมาเป็นมนุษย์หรือไปเกิดเป็นเทดา ย่อมมีแต่เพียงคู่หนึ่ง ซึ่งเท่ากับจำนวนเขาโค

    สมมุติว่าตัวเราซึ่งกำลังได้รับโชคดีได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศานาอยู่ขณะนี้ หากมีอันเป็นแก่ถึงกาลกิริยาไปมิใช่อยู่ในประเภทเขาโค แต่บังเอิญไพล่เข้าไปอยู่ในประเภทขนโค โซซัดโซเซพลัดไปอุบัติเกิดในจตุราบายอันชั่วร้ายภูมิใดภูมิหนึ่งเข้าแล้ว จะเป็นอย่างไร คงจะวุ่นวายน่าเสียดายนัก เมื่ถึงขั้นนี้แล้ว อย่าว่าแต่จะปรารถนาเอามรรคผลนิพพานอันเป็นยอดสมบัติเลย แม้แต่มนุษย์สมบัติ เทวดาสมบัติ คือ การได้เกิดเป็นมนุษย์หรือไปเกิดเป็นเทวดา ก็เป็นอันเหลือวิสัยที่จะสมปรารถนา ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงกล่าวว่า อปายิกภัย คือการที่ต้องไปอุบัติเกิดเป็นสุตว์ในอบายภูมิ เป็นภัยลึกลับที่น่ากลัว ซึ่งกำลังจ้องคอยตัวเราอยู่ในอนาคตกาล

    ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ภัยที่เกิดจากการที่ต้องตั้งคอแหวนหน้าคอยฟังคำสั่งสอนของศาสดาต่างๆอย่างไม่มีวันสิ้นสุด และภัยที่เกิดจากการที่ต้องไปอุบัติเป็นสัตว์ในจตุราบายให้ได้รับความทุกข์ทรมานในอนาคตกาลภายหน้าเช่นกล่าวมานี้ ล้วนเป็นภัยลึกลับที่น่าเกรงกลัวอย่างยิ่ง น่าเกรงกลัวยิ่งกว่าภัยที่ปรากฏเฉพาะหน้า เช่น อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย โจรภัย ราชภัย และวาฬภัย เป็นต้น ซึ่งให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนในปัจจุบันชาตินี้เสียอีก เพราะเหตุใร ! เพราะเหตุว่า ภัยอันตรายเหล่านี้สามารถจะใหเผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนเฉพาะในชาติปัจจุบันชาติเดียวเท่านั้น แล้วก็แล้วกันไป แต่ภัยลึกลับร้ายกาจซึ่งเกิดจากการต้องคอยแหวนหน้าดูศาสดาต่างๆที่เป็นศาสนาที่สั่งสอนแบบผิดๆ และภัยที่เกิดจากการที่ต้องไปอุบัติเป็นสัตว์ในจตุราบายนั้น นอกจากจะให้ผลร้ายในชาติปัจจุบันแล้ว ยังสามารถฉุดกระชากลากไปเกิดในอบายภูมิทั้งหลายได้ หลายชาติหลายภพหนักหนา มิใช่ว่าแต่เพียงชาติเดียวภพเดียว และการไปเกิดในอบายภูมิ เช่น การไปเกิดเป็นสัตว์นรกนั้น แม้แต่ไปเกิดอยู่เพียงชาติเดียว ก็ฌป็นเรื่องที่น่าหวาดเสียวสะดุ้งใจยิ่งนัก หากมีญาณวิเศษได้เห็นความเป็นไปในนรกภูมิแล้วไซร้ คงจะเกิดความสะดุ้งใจเกรงขามไปตามๆกัน ทั้งนี้ก็เพราะในนรกบางขุมนั้น ปรากฏมีหม้อน้ำทองแดงอันเดือดพล่าน ตั้งแต่ปากหม้จนถึงก้นหม้ สัตว์นรกที่เคยเป็นมนุษย์แต่ตายไปตกนรกหม้อทองแดง จะมีโอกาสโผล่ขึ้นมาแต่ละครั้งนานแสนนาน ท่านกล่าวว่า ระยะเวลาที่สัตว์นรกจมลงไปและลอยขึ้นมาแต่ละครั้งอย่างรวดเร็ว ก็ต้องใช้เวลานานถึง ๖๐,๐๐๐ ปี พอโผล่ขึ้นมาที่ปากหม้ได้ไม่ถึงอึดใจก็ให้มีอันจมลงไปในหม้อนรกนั้นอีกเสียแล้ว ลอยขึ้นและจมดิ่งลงอยู่อย่างนี้ ไม่รู้ว่ากี่เที่ยวต่อกี่เที่ยวจึงจะพ้นจากทุกข์โทษ และนรกบางขุมปรากฏว่ามีไฟนรกอันร้อนแรงเผาไหม้อยู่ตลอดกาล บรรดาสัตว์ที่ไปเกิดในนรกขุมนั้น ย่อมจะถูกไฟนรกเผาไหม้เป็นนิรันดรกาล จนกว่าจะสิ้นชาตินรกซึ่งนับเวลานานเป็นแสนเป็นล้านปี เช่นนี้แล้วจะเป็นอย่างไร หมายความว่าสัตว์นรกเหล่านั้น จะได้รับความทุกข์ทรมาน ด้วยความร้อนแรงแห่งไฟนรกขนาดไหน เพียงแต่หัวไม้ขีดไฟกระเด็นถูกอวัยวะร่างกายนิดหน่อย เราทั้งหลายก็ให้มีอันสะดุ้งโหยงกันแล้ว เพราะฤทธิ์ที่เกิดจากความร้อนของไฟธรรมดา ถ้าไปถูกไฟนรกเผาไหม้ทั้งร่างกายนานนับเป็นร้อยเป็นพันศตวรรษเล่า จะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวได้รับความทุกข์ทรมานสักเพียงใด ขอให้ท่านผู้มีปัญญา
    ทั้งหลายจงพิจารณาไตร่ตรองดูเถิด จะอย่างงไรก็ดีใคร่ขอย้ำความไว้ในที่นี้ เพื่อให้รับทราบโดยตระหนักว่า มหาภัยลึกลับอันมีฤทธิ์ร้าย ซึ่งสามารถจะฉุดกระชากตัวเราผู้มีกรรมไปสู่อบายภูมิในอนาคตกาลภายหน้านั้น มันกำลังจ้องคอยเราอยู่ด้วยความกระหาย

    เมื่อหยั่งทราบความเป็นไปในปัจจุบันว่า ตัวเรานี้เป็นผู้โชคดีเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ซึ่งปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นมหาลาภอันประเสริฐสุด และหยั่งทราบในอนาคตภายหน้าว่า หากตัวเรามีมหาลาภในปัจจุบันนี้ ยังมีกรรมติดตัวก็ย่อมจักต้องมีมหันภัยลึกลับจ้องคอยเราอยู่ด้วยความกระหาย ในกรณีนี้จะทำอย่างไรดี ก็ต้องหาวิธีป้องกันภัยลึกลับไม่ให้ตกต้องมาถึงตัวเราได้เท่านั้นเอง วิธีป้องกันที่ถูกต้องและดีที่สุดก็คือ ต้องพยายามปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนีแห่งสมเด็จพระชินสีห์เจ้า โดยการเข้าบำเพ็ญวิปัสนากรรมฐานจนกระทั่งได้บรรลุพระอริยะมรรคญาณอันประเสริฐ แต่พอพระอริยมรรคญาณบังเกิดขึ้นในขันทสันดาน พระอริยมรรคญาณนั้นจะกลายเป็นไฟเผาผลาญสังหารกรรมทันที ตอนนี้เอง กรรมอันเป็นตัวการสำคัญซึ่งทำหน้าที่ชักนำให้ไปพบกับภัยลึกลับในอนาคต ก็จักถูกเผาผลาญสังหารให้หมดสิ้นออกไปตามลำดับ และเมื่อกรรมอันเป็นตัวการสำคัญถูกสังหารเผาผลาญทำลายลงเช่นนี้แล้ว เราก็จะเป็นผู้ปลอดแคล้วจากภัยลึกลับที่จ้องคอยอยู่นั้นโดยไม่ต้องสงสัย

    นอกจากจะเป็นวิธีป้องกันภัยลึกลับในอนาคตได้อย่างเด็ดขาดดังกล่าวมา การบำเพ็ญวิปัสนากรรมฐานตามกระแสพระพุทธฏีกา ยังอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้บำเพ็ญเป็นเอนกประการ ตั้งแต่ประโยชน์สุขชั้นต้นจนถึงประโยชน์สุขชั้นสูงสุดคือพระนิพพาน ดังนั้นจึงใคร่จะขอโอกาสกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายไว้ในที่นี้ว่า อีกไม่ช้านาน เราก็จะพากันถึงแก่กาลกิริยาตายจากบวรพระพุทธศาสนาไปแล้ว แต่ก่อนที่จะจากไป สมควรที่จะได้แสวงหาสมบัติแก้ว คือพระนิพพานเอามาเป็นสมบัติแห่งตนให้จงได้ อย่ามัวพะวงหลงใหลเที่ยวไขว่ขว้าแสวงหาสมบัติอื่นใดให้วุ่นวายไปนักเลย ไม่สำเร็จประโยชน์ที่แท้จริงหรือเป็นแก่นสารอย่างไรหรอก จงเชื่อเถิด ทั้งนี้ก็เพราะสมบัติทั้งหลายอื่นไม่สามารถชักนำเราผู้มีกรรมให้พ้นไปจากเวรกรรมได้ แต่พระนิพพานสมบัติอันมีอยู่แต่เฉพาะพระพุทธศาสนา ควรจะนับได้ว่าเป็นยอดสมบัติทรงคุณประเสริฐยิ่งกว่าสมบัติทั้งปวง เพราะอาจช่วยเราให้ล่วงพง้นจากกองทุกข์ใหญ่ในวัฏสงสาร อันเป็นการหมดสิ้นเวรกรรมทั้งหลายได้อย่างแน่นอน

    ด้วยเหตุนี้ จึงขอให้ทานผู้มีปัญญาจงอนุสรณ์ถึงพระนิพพานสมบัติ แล้วรีบเร่งวิปัสสนากรรมฐานตามกระแสพระพุทธฏีกา เพื่อคว้าเอาพระนิพพานสมบัติมาไว้ในอุ้งหัตถ์แห่งตนเสียแต่บัดนี้ จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ขอจงรับทราบไว้โดยตระหนักเถิดว่า เวรกรรมของเรานี้จะไม่มีวันสิ้นสุดลงไปเป็นอันขาด หากว่าไม่มีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามพระโอวาทานุสาสนี แต่เวรกรรมของเรานี้จะถึงความสิ้นสุดลงไปได้ ในเมื่อมีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามครรลองแห่งพระพุทธโอวาส ปราชญ์ทั้งหลายสรรเสริญสดุดีผูปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานว่า เป็นผู้สร้างปราการอันแข็งแกร่งสำหรับปิดกั้นอบายภูมิให้กับตน อันจะเป็นเหตุให้ล่วงพ้นมุขมณฑลแห่งมฤตยู เพื่อเดินทางเข้าไปสู่สถานถิ่นที่สิ้นเวรกรรมคืออมตมหานฤพาน ด้วยประการฉะนี้.
     

แชร์หน้านี้

Loading...