ฟันสมภาร ห้ามไหว้พุทธรูป

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย เฮียปอ ตำมะลัง, 31 กรกฎาคม 2008.

  1. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
    เป็นกำลังใจให้พระเกษมครับ สู้ๆ

    นี้คือคำสอนของคริสเตียนครับ มันน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับพวกท่านครับ
    "จงอย่ากล่าวโทษผู้อื่น แล้วท่านจะไม่ถูกกล่าวโทษ"
    "จงรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2008
  2. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    ลองคิดในอีกแง่หนึ่งว่า หากไม่มีพระพุทธรูปให้เคารพ สักการะแล้วไซร้จะเป็นเช่นไร ผู้คนจะเป็นเช่นไร คิดว่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่รึเปล่า
    สำหรับความคิดผม หากว่าไม่มีพระพุทธรูปให้ผู้คนได้กราบไหว้บูชาแล้วล่ะก็ พุทธศาสนาคงจะไม่สามารถดำรงคงอยู่มาได้จนปัจจุบันนี้แน่นอน ไม่ต้องพูดหลักกง หลักการอะไรทั้งนั้น เอาแค่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เราได้กราบไหว้พระพุทธรูปในพระอุโบสถ คงจะรู้สึกได้เอง ไม่ต้องสาธยายมาก ความรู้สึกเช่นนี้แหละ ที่ยังทำให้พระพุทธศาสนาดำรงมาจนทุกวันนี้ และหากไม่มีพระพุทธรูปแล้วไซร้คิดว่าจะเป็นอย่างไร คนเฒ่า คนแก่ ที่อ่านหนังสือไม่ออก ไม่ได้บวชเรียน จะให้เขาไปอ่านพระไตรปิฎกเหรอ คนที่หูตึง ฟังพระเทสก์ไม่ได้ยิน จะให้เขาทำยังไง หากไม่มีพระพุทธรูปเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้ระลึกถึง คุณพระพุทธเจ้า
     
  3. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    เค้าไม่ได้คิดเอาเองหรอกคุณ รูปเหรียญ พุทธรูปที่ไมมี พระธาตุ ไม่ควรบูชา พระพุทธเจ้าให้สร้างเจดีย์ ได้ แต่ต้องมีพระธาตุน่ะ เข้าใจละยังคะ มีบัญญัติในพระไตรปิฏกค่ะ ไม่มีใครคิดเอาเองค่ะ
     
  4. konkorn51

    konkorn51 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +3
    เมื่อคำสอนที่แท้จริงเป็นอย่างนั้นเราจะบัญญัติอะไรเพิ่มเติม

    ผมเป็นชาวพุทธ 100 % แต่อาจจะไม่เก่ง ดวงตาเห็นธรรมช้า ... ได้เห็นได้ยินพระนักเทศน์ดังๆ เทศนาอ้างเอาเรื่องที่เทศนาเทียบกับพระไตรปิฎกเพื่อจะขายบุญ โน้มน้าวให้พุทธศาสนิกชนอยากได้บุญโดยการบริจาคให้วัด ให้สงฆ์ แล้วหมดศรัทธาในพระนั้น ผมเข้าวัดทุกวัดจะเห็นป้าย หรือตัวหนังสือเชิญชวนให้บริจาคเพื่อช่วยเหลือวัด เป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบำรุง ค่าสิ่งที่จะก่อสร้าง ฯลฯ พอนั่งฟังธรรมก็มีคนถือถาด หรือบาตรขอบริจาคค่าฟังธรรม ถ้าไม่ควักจะรู้สึกอึดอัดเพราะผิดคนอื่น....พอพูดกับเจ้าอาวาส..เอาอีกแล้วพูดบ่นเพื่อจะขอทำโน่นทำนี่อีก ...ตกลงเข้าวัดเพื่อจ่ายเงินให้วัด ไปซื้อบุญกัน วัดเดี๋ยวนี้ใหญ่โตนะ เจ้าอาวาสหาเงินเก่ง(ไม่ใช่กรรมการวัดหาหรอก เพราะไม่มีใครเชื่อกรรมการวัด กรรมการวัดหลายวัดอยู่ได้ก็เพราะเกาะพระ เดี๋ยวนี้วัดในเมืองมีรายได้เยอะ ค่าเช่าที่ดิน ตึกแถว ค่าที่จอดรถ ฯลฯ เดือนละเท่าไร กรรมการเอาเท่าไร) จึงกลายเป็นว่าบวชเป็นพระแล้วมีบ่วงต้องหาเงินมาบำรุงวัด คิดสร้างโน่นสร้างนี่ใหญ่ๆโตๆ คิดทำโน่นทำนี่ ทำจนศาสนาเพี้ยน ในยุคคนหมดที่พึ่งพระกลับซ้ำเติมโฆษณามอมเมากับวัตถุมงคล ขายความขลังความศักดิ์สิทธิ์ เป็นช่องทางให้เหลือบในพระพุทธศาสนามาทำมาหากินรวยกันเป็นแถว พระรับทำพิธีกันแปลกๆก็มี ทำรูปเทพใหญ่กว่าพระพุทธรูปขายเทพกัน ปั้นรูปพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์องค์ใหญ่ๆ ไว้ในที่โล่งให้เห็นกันก่อนเข้าวัด เพื่อให้กราบไหว้บูชามากกว่าพระพุทธ ศาสนาจึงถึงเวลาที่จะลดลงสู่จุดสูญดับ เพราะไปสอนให้เคร่งพิธีกรรมที่ไม่ได้บัญญัติไว้ (เอามาจากไหนก็ไม่รู้) สอนให้นับถือพุทธะที่เป็นรูปตัวแทน(พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติไว้ รูปตัวแทนเกิดขึ้นหลังพระพุทธองค์ปรินิพพานตั้งนานแล้ว) ไม่ได้สอนหลักธรรมะจริงๆ เอาเรื่องงมงายอะไรก็ไม่รู้ไปสอน พอถึงยุคคนหลังๆเขาก็อ้างว่าเป็นประเพณี เป็นวัฒนธรรม ถวายพระพุทธรูปหรือสร้างพระกันเต็มวัด ไม่รู้ว่าจะกราบองค์ไหน พระพุทธเจ้าหลายพระองค์เหลือเกิน........ กิจของพระคือต้องปฏิบัติตนตามพุทธโอวาท สอนชาวบ้านให้อยู่ในสังคมอย่างเป็นสุข และหมั่นฝึกตนเพื่อให้บรรลุธรรมวิเศษเร็วๆ ...แต่เห็นการปฏิบัติกิจและปฏิบัติตนของพระเหมือนฆราวาส ในสายตาผมพระพวกนี้จึงไม่ใช่พระ เพียงแต่คนบวชมาหากินกับศาสนา .. หรือบวขเป็นพระแล้วกลับสู่วิสัยฆราวาสในคราบของนักบวช...(แต่ความจริงก็น่าเห็นใจพระนะ..เพราะฆราวาสไปสร้างให้ท่านเสียความเป็นพระ เช่น ส่งเสริมให้ท่านเป็นนักสังคมสงเคราะห์ ศูนย์ฝึกอาชีพ สร้างโรงเรียนในวัดให้ท่านดูแล เป็นประธานสร้างโรงพยาบาล ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่หน้าที่)
    การที่พระรูปหนึ่งประกาศคำสอนของพุทธะ โดยเจตนาที่จะให้คนหลุดพ้นความโง่ที่สั่งสมกันมา โดยไม่มีใครกล้าทำมาก่อน ฆราวาสผู้ไม่ค่อยจะสมบูรณ์นักก็ไม่ควรจะแจ้งจับ .....พระที่ไม่ใช่พระเพราะลืมหน้าที่พระก็ไม่ควรวิจารณ์.. ขอให้พระที่แท้จริงได้ออกมาเพื่อส่งเสริมให้พระรูปนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่พระที่แท้จริงต่อไป และช่วยจรรโลงให้ท่านได้ใช้วิธีอื่นที่นุ่มนวลไม่ให้เกิดภาพแห่งความขัดแย้งในหมู่กันเองต่อไป เพราะผมเชื่อว่าในพิธีกรรมของพระในวัดท่านยังคงต้องไหว้ กราบ พระพุทธรูปแน่นอน (แต่ข่าวไม่เคยกล่าวถึงเลย)
    ตอนนี้กำลังแสวงหาพระนักปฏิบัติธรรมและสอนหลักธรรมเพื่อประโลมใจ(ไม่ต้องการหลุดพ้น แต่ต้องการให้มีกำลังใจในการต่อสู้) กำลังค้นหาอยู่
     
  5. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    ใช่ค่ะ ตอนเเรก ก็ออกมาด่ากันเสียงเเข็งเลย ว่าท่านผิด ท่านชั่วอย่างนั้นอย่างนี้ พอตรวจสอบพระไตรแล้ว ทำอะไรท่านไม่ได้ ท่านไม่ได้สอนผิดพระธรรมเลย ก็หาเรื่องเอาทางโลกมาจัดการ ขี้แพ้ชวนตีจริงๆ
     
  6. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
    ผมเห็นด้วยครับ เอาผิดทางธรรมไม่ได้ก็เอาผิดทางโลก
    ไม่ยุติธรรม
     
  7. dice

    dice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +469
    ถ้ากราบไหว้เป็นยึดติด เช่นนั้นทำลายก็ยึดติดครับ

    ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น มองแค่ว่าเป็นอิฐหินดินทรายทองเหลือง ยามก้มกราบจิตนึกถึงพุทธองค์ก็คือกราบพระพุทธเจ้า เช่นนี้ ก็ไม่เห็นต้องไปทำลาย สิ่งที่ท่านอ้างว่าเป็นอิฐหินดินทรายทองเหลืองเลยครับ ปล่อบวางซะมั่งเถิดครับ

    ส่วนการยกพระไตรปิฎกเพียงบางท่อนบางส่วนบางความมาอ้างความชอบธรรมหรือแนวคิดของตน ผมคิดว่าก็ไม่ถูกนัก เพราะไม่ได้แวดล้อมถึงเจตนาของพระพุทธองค์ ณ ขณะนั้น ว่าได้ว่ากล่าวสั่งสอนถึงเรื่องไหน ด้วยเหตุผลใด แต่ทั้งนี้ผมเชื่อสนิทใจว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่สอนสั่งให้เรายึดมั่นถือมั่นต่อสิ่งใดหรอกครับ แม้แต่พระพุทธรูปหรือรูปกายของพระองค์ แต่เราก็อย่าได้เอาแค่ข้อความบางข้อมาอ้าง แล้วเหมารวมว่าการกราบวัตถุหรือสิ่งใดๆ โดยที่จิตใจเราน้อมถึงพระพุทธเจ้านั้นจะเป็นสิ่งที่บาปและต้องห้ามโดยเจตนาของพระองค์ไปซะหมด แล้วเราแน่ใจแล้วล่ะหรือ ว่าพระพุทธเจ้าท่านได้มีเจตนาให้พระพุทธรูปเป็นของต้องห้ามในศาสนาพุทธของเราไม่ควรกราบและไม่ควรมี และแน่ใจแล้วล่ะหรือว่าพระพุทธเจ้าท่านเห็นว่าการกราบพระพุทธรูปนั้นเป็นบาปดังที่หลายท่านอ้างมา

    ถ้าหากมีการแสดงถึงเจตนาห้ามการมีพระพุทธรูปในพระไตรปิฎกจริง เช่นนั้นในการสังคายนาหลายๆครั้งที่ผ่านมา ทำไมไม่มีท่านใดยกข้อความเหล่านั้นขึ้นมาปฏิรูปศาสนา ยกเลิกและทำลายพระพุทธรูปไปให้สิ้นแผ่นดินดังที่ได้บัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกล่ะครับ

    ผมไม่สงสัยพระไตรปิฎกและพระพุทธเจ้าหรอกนะครับ และผมไม่ได้ปรามาสหลวงพ่อเกษมเลยซักนิด เพียงแต่ติดใจสงสัยในการยกข้อความบางข้อในพระไตรปิฎกมาอ้างว่าตัวถูกเท่านั้นเองครับ ฝากไว้สองสามข้อ
    - พระพุทธเจ้าท่านตรัสห้ามไม่ให้มีพระพุทธรูปในศาสนาพุทธจริงหรือ?
    -การกราบไหว้พระพุทธรูปและวัตถุใดๆแต่ใจน้อมนำไปสู่พระพุทธเจ้าก็เป็นบาปหรือ? ยามตายก็ไปเป็นผีเฝ้าพระพุทธรูปจริงหรือ?
    - การสร้างพระพุทธรูป เป็นบาปจริงอ่ะ?
    -ถ้าไม่ยึดติด และเห็นว่าทุกสิ่งเป็นเพียงความว่าง มีแต่จิตของเราที่ตั้งอยู่ว่าจะน้อมนำถึงสิ่งใด เช่นนั้น เมื่อจิตคิดถึงพระพุทธเจ้า แล้วเราก้มกราบลง ไม่ใช่กราบอิฐหินดินทราย แต่กราบพระพุทธเจ้าที่เราระลึกถึง เช่นนี้เรียกว่ายึดติดในวัตถุหรือ ยกตัวอย่างเช่น ผมไปที่วัดไหว้พระประธานที่วัด เมื่อกลับมาบ้าน จิตผมไม่ได้คิดถึงรูปหล่อพระพุทธรูปที่เห็น แต่จิตผมอิ่มเอิบเพราะผมได้ก้มกราบพระพุทธเจ้าที่ผมน้อมรำลึกถึง และผมลืมรูปพระพุทธรูปไปแล้วด้วยซ้ำ เช่นนี้ผมก็ยึดในวัตถุหรือ
    - การมองเห็นว่าสิ่งนี้สิ่งนั้นเป็นเสนียดจัญไร ไม่ควรมีอยู่ พึงทำลายให้สิ้น เป็นการยึดมั่นในวัตถุหรือไม่ หากไม่ยึดมั่นแล้ว สิ่งนั้นจะคงอยู่หรือไม่ก็อยู่ที่จิต เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำลาย แล้ว...จะต้องทำลายทำไม?

    ผมแค่สงสัยและฝากไว้ คงไม่เข้าร่วมการโต้แย้งใดๆ เพียงว่าตามข้อสงสัยส่วนตัว ขอท่าทั้งหลายเชิญต่อครับ ขออนุโมทนา
     
  8. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    - พระพุทธเจ้าท่านตรัสห้ามไม่ให้มีพระพุทธรูปในศาสนาพุทธจริงหรือ?

    ท่านไม่ได้ตรัสห้ามเรื่องพระพุทธรูปในสมัยนั้นครับ..........เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีพระพุทธรูปครับ แต่ท่านตรัสสั่งสอนและตำหนิความเชื่อในเรื่องรูปครับ

    การสร้างพระพุทธรูป เป็นบาปจริงอ่ะ?

    มีส่วนของบาปครับ....เพราะถึงผู้สร้างมีเจตนาดี ก็มีส่วนให้ผู้พบเห็น เกิดความเชื่อ ความเข้าใจผิดหรือรู้ไม่เท่าทันได้น้อมใจไปติดในวัตถุได้ครับ


    ถ้าไม่ยึดติด และเห็นว่าทุกสิ่งเป็นเพียงความว่าง มีแต่จิตของเราที่ตั้งอยู่ว่าจะน้อมนำถึงสิ่งใด เช่นนั้น เมื่อจิตคิดถึงพระพุทธเจ้า แล้วเราก้มกราบลง ไม่ใช่กราบอิฐหินดินทราย แต่กราบพระพุทธเจ้าที่เราระลึกถึง เช่นนี้เรียกว่ายึดติดในวัตถุหรือ ยกตัวอย่างเช่น ผมไปที่วัดไหว้พระประธานที่วัด เมื่อกลับมาบ้าน จิตผมไม่ได้คิดถึงรูปหล่อพระพุทธรูปที่เห็น แต่จิตผมอิ่มเอิบเพราะผมได้ก้มกราบพระพุทธเจ้าที่ผมน้อมรำลึกถึง และผมลืมรูปพระพุทธรูปไปแล้วด้วยซ้ำ เช่นนี้ผมก็ยึดในวัตถุหรือ

    ในกรณีที่คุณยกตัวอย่าง มันมีนัยยะอยู่ครับ ถึงคุณไม่ยึดในวัตถุนั้นๆ ก็มีเทวดาหรือผีที่เฝ้าพระพุทธรูปนั้นๆสำคัญตนผิดได้ว่า เค้ากราบไหว้เราแต่ชาวทิพย์เหล่านั้นก็ไปยินดีกับอาการที่ชาวพุทธทำแบบนั้น โดยลืมคิดไปว่าเราชาวพุทธกราบไหว้ เคารพพระองค์ท่านอยู่ นี่ตอบสำหรับผู้กราบและไม่ยึดติดนะครับ ส่วนผู้กราบและยึดติด ก็ตามที่ตอบไปแล้ว


    - การมองเห็นว่าสิ่งนี้สิ่งนั้นเป็นเสนียดจัญไร ไม่ควรมีอยู่ พึงทำลายให้สิ้น เป็นการยึดมั่นในวัตถุหรือไม่ หากไม่ยึดมั่นแล้ว สิ่งนั้นจะคงอยู่หรือไม่ก็อยู่ที่จิต เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำลาย แล้ว...จะต้องทำลายทำไม?

    ถ้ายึดมั่นแล้วจะทำลายทำไมครับ
    หากไม่ยึดมั่นแล้วทำลายเพราะ.....สิ่งนั้นมีโทษ รู้ว่ามีโทษ จะเก็บไว้เพื่ออะไรครับ
    และถ้าไม่ทำลาย มันก็มีผู้มายึดมั่นถือมั่นในวัตถุนั้นๆเป็นวัฏจักรต่อไป
    สำหรับท่านผู้กราบแล้วไม่ยึดติดในวัตถุ เมื่อไม่ยึดติดก็ไม่มีไว้ครอบครองไม่ต้องกังวลหรอกครับ
    แต่ท่านผู้เข้าใจและเคารพในวัตถุผิดๆ และมีไว้ในครอบครอง มีโทษแน่ครับ


     
  9. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    แน่ใจเหรอว่า หลวงปู่เกษมเชื่อถือในหลักคำสอนพระไตรปิฏกจริงเหรอ???

    ใครยังมี ซีดี ผีทรงเจ้าบ้า ที่คุณ พอเพียงเอามาไล่แจกสมาชิกในเวบนี้

    ลองไปเปิดดูอีกรอบสิ ........ จะพบความจริง

    ว่าหลวงพ่อ
    ไม่ได้เชื่อในหลักคำสอนของพระไตรปิฏกจริงๆหรอกขนาดเรื่องเล่าเรื่องเก่าแก
    ่ที่เขาเล่ามานมนานยังเอามาเถียงเลย

    ว่าไม่จริง พระแม่ธรณีไม่ได้ช่วยเหลือพระพุทธเจ้า แถมปรามาสด่ามารดาแห่งโลกด้วย แย่ที่สุด
    กรรมเลยตามสนองทัน ***พอมีคนเอาสิ่งไม่ดีที่หลวงปู่ทำมาพูด***


    ก็ยกมาอ้างว่า " ในพระไตรปิฎก ไม่ได้บอกให้เคารพนับถือพระพุทธรูป เพระาฉะนั้นไม่ควรไปกราบไหว้ "

    แต่ในซีดีที่หลวงพ่อเทศน์สอนที่มากราบไหว้ กลับบอกว่า

    พระไตรปิฏกไม่น่าเชื่อถือ เพราะ พระแม่ธรณีไม่ได้เป็นคน ช่วยพระพุทธเจ้าตอนที่ พญามารและเหล่าอสูรยกกองทัพมา


    พระแม่ธรณีไม่ได้บีบมวยผม ปล่อยน้ำออกมาไล่กองทัพของพญามาร ***ถ้าไม่เชื่อลองไปดูในซีดีได้***

    ((((และในเวบของวัดสามแยกก็มีกระทู้บอกชัดเจนว่า พระแม่ธรณีไม่ได้เป็นคนช่วยพระพุทธเจ้า )))))

    -*-กล้าด่ามารดาแห่งโลกว่า - นังธรณีเนื่ยนะที่ช่วยพระพุทธเจ้า อาตมาถอดจิตไปถามเทวดา มาหมดแล้วไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเลย
    ดูได้

    http://www.samyaek.com/board2/index.php?topic=1049.0

    <table style="table-layout: fixed;" cellpadding="5" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td rowspan="2" style="overflow: hidden;" valign="top" width="16%">คมกฤษ ส่งศรีเมฆ .
    [​IMG]
    [​IMG] ออฟไลน์

    กระทู้: 1



    </td> <td height="100%" valign="top" width="85%"> <table border="0" width="100%"><tbody><tr> <td valign="middle">[​IMG]</td> <td valign="middle"> อยากทราบประวัติของพระแม่ธรณีบีบมวยผมครับ
    « เมื่อ: วันที่ 10 เมษายน , 2008 เวลา 06:59:37 pm »
    </td> <td style="font-size: smaller;" align="right" height="20" nowrap="nowrap" valign="bottom">
    </td> </tr></tbody></table> <hr class="hrcolor" size="1" width="100%"> อยากทราบประวัติของพระแม่ธรณีบีบมวยผมครับ ว่ามีความหมายว่าอย่างไร เกิดขึ้นเมื่อใด เพราะสาเหตุใดทำไมต้องบีบมวยผม
    </td> </tr> <tr> <td class="smalltext" valign="bottom" width="85%"> <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%">
    </td> </tr><tr> <td class="smalltext" id="modified_9991" valign="bottom">
    </td> <td class="smalltext" align="right" valign="bottom"> [​IMG] บันทึกการเข้า </td> </tr></tbody></table> </td> </tr> </tbody></table>
    <table style="table-layout: fixed;" cellpadding="5" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td rowspan="2" style="overflow: hidden;" valign="top" width="16%"> พระพันธกานต์ อภิปญฺโญ
    พระ
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG] ออฟไลน์

    กระทู้: 1387

    พระวัดสามแยก



    พระหม่าว </td> <td height="100%" valign="top" width="85%"> <table border="0" width="100%"><tbody><tr> <td valign="middle">[​IMG]</td> <td valign="middle"> Re: อยากทราบประวัติของพระแม่ธรณีบีบมวยผมครับ
    « ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 21 เมษายน , 2008 เวลา 09:04:03 pm »
    </td> <td style="font-size: smaller;" align="right" height="20" nowrap="nowrap" valign="bottom">
    </td> </tr></tbody></table> <hr class="hrcolor" size="1" width="100%">
    อ้างจาก: คมกฤษ ส่งศรีเมฆ ที่ วันที่ 10 เมษายน , 2008 เวลา 06:59:37 pm
    อยากทราบประวัติของพระแม่ธรณีบีบมวยผมครับ ว่ามีความหมายว่าอย่างไร เกิดขึ้นเมื่อใด
    เพราะสาเหตุใดทำไมต้องบีบมวยผม

    เรื่องนี้ไม่ทราบเลย
    เพราะไม่มีความสำคัญใดๆกับพระพุทธศาสนาในคำสอนของพระพุทธเจ้าสำหรับแม่ธรณีบีบมวยผมนี้นะ
    และแม่ธรณีก็ไม่ได้ช่วยพระโพธิสัตว์ในวันตรัสรู้อีกด้วย


    คลิ๊กดูตามลิงค์นี้ได้เลย


    แต่ถ้าอยากจะอุทิศบุญไปให้แม่ธรณีก็ได้เหมือนกัน
    และอุทิศบุญไปให้แม่ธรณีตามวิธีการที่บอกกล่าวอยู่ในเว็บนี้แหละ

    กระทู้นี้ที่ตอบก็เพราะเห็นว่ายังไม่เคยมีตอบไว้ในกระดานนี้ ก็เลยมาตอบไว้ให้
    แต่กระทู้อื่นๆที่ถามมาแล้วไม่ได้ตอบ ก็แสดงว่ามีคำตอบไว้ให้แล้ว
    ถึงแม้บางคำถามจะไม่ตรงเป๊ะซะทีเดียว แต่ก็สามารถเทียบเคียงเพื่อหาคำตอบให้แก่ตัวเองได้




    </td> </tr> <tr> <td class="smalltext" valign="bottom" width="85%"> <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%">
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2008
  10. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    [​IMG]

    คนที่เขาออกมาเถียงแต่หล่ะคน

    70 % เคยอ่านตำราหลวงปู่ + ดูVCD มากันหมดแล้ว ไม่ใช่ว่ามาวิจารณ์ปรักปรำพระให้เกิด บาปเวรอะไรหรอก

    ถ้าไม่เข้าใจก็หา ขนมมาทานเพื่อสมองจะได้แล่นคิดอะไรออกบ้าง
     
  11. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    70 % เคยอ่านตำราหลวงปู่ + ดูVCD มากันหมดแล้ว ไม่ใช่ว่ามาวิจารณ์ปรักปรำพระให้เกิด บาปเวรอะไรหรอก

    จริงเหรอครับ.........เอาตัวเลขมาจากไหนครับ
     
  12. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    [​IMG]


    [​IMG]
     
  13. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    70 % เคยอ่านตำราหลวงปู่ + ดูVCD มากันหมดแล้ว ไม่ใช่ว่ามาวิจารณ์ปรักปรำพระให้เกิด บาปเวรอะไรหรอก

    จริงเหรอครับ.........เอาตัวเลขมาจากไหนครับ

    ++++++++++++++++++++++++


    ลองเอารายชื่อคนเข้ากระทู้ ที่ประกาศแจกซีดีแจกฟรี ผี ทรง เจ้า บ้า ของหลวงปู่เกษม

    มารันรายชื่อ ดูว่ามีใครบ้าง ซึ่งคนที่ได้แจกซีดี

    ก็มาด่าในกระทู้นี้ เพียบบบบบบบบบบบบบ

    ไม่เชื่อก็เข้าไปดูได้ที่


    http://palungjit.org/showthread.php?t=46899&page=16


    <table class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="tcat"> สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พอเพียง ในข้อความที่เขียนด้านบน </td> </tr> <tr> <td class="alt2" height="29">[​IMG] แม่ลูกตาล (04-04-2008), เมทิกา (30-07-2008), มโนมัยกุศล (17-02-2008), aekple (25-07-2008), ahcuna (19-10-2007), aoud (21-01-2007), มาตรมณี (06-09-2007), เกลียวพันธ์ (09-05-2008), เข็มขาว (10-10-2006), มนุษย์โลกคับ (14-09-2007), Baby_par (01-12-2007), balatam5 (18-02-2008), banjerdw (03-01-2008), BeerNP (14-08-2006), boko0121 (23-12-2006), boykts (04-12-2007), Budhapanyo (21-12-2007), chatnarong (01-09-2006), chin949 (14-08-2006), deneta (23-03-2007), DITCE (10-02-2008), ศิษย์โลกอุดร (25-03-2008), หนุมานน้อย (07-03-2008), flimkub (28-03-2008), Hugostars (22-12-2007), อิมินาดาเจวู (27-12-2006), อาสโภ (13-01-2008), ฮุ้ง-หงส์ (12-08-2007), JA_CK (21-10-2007), Kermit (02-10-2006), kittikorn (04-05-2008), kong_sorakrit (23-09-2007), Kornnapat (31-05-2008), kwang1234 (04-03-2007), ligore (26-08-2006), LMO (11-08-2007), Maleate (02-09-2007), maonett (14-08-2006), mrtho (27-10-2007), nikomweb (23-11-2007), numnim (19-03-2007), nuttapont (04-07-2008), od2499 (14-05-2008), oopas (18-02-2008), pechklang (17-03-2008), pm (14-08-2006), pomit (30-08-2006), pong-sit (14-08-2006), roronoah (13-09-2006), sarantip (19-05-2008), seksitk05 (06-10-2007), setthasan (28-01-2008), sharingidea (13-09-2007), shesun (16-08-2006), Sirimaneekorn (14-01-2008), six (28-11-2007), sorboonsongsil (04-03-2007), sukittaya (09-09-2007), suriga (03-11-2007), suwanarat (27-11-2007), tanayut 1974 (04-07-2008), tunung (19-03-2008), udonteva (15-08-2007), wonderisland (28-07-2007), yai0348 (28-08-2006), ลิงเมืองละโว้ (14-03-2008), ลูกถ้ำหีบ (01-07-2008), ลุงชาลี (15-06-2008), ขุนท้าว... (25-08-2006), คนไชยา (20-03-2008), จันทมณี (01-07-2008), ชินะปัณชะระ (19-06-2008), ชนะ สิริไพโรจน์ (25-07-2008), ซุปเปอร์แมน (21-02-2008), ฐานแซม (06-09-2007), ตัวกลมๆ (04-01-2007), นายเสรี ลพยิ้ม (23-04-2007), นาๆจิตตัง (17-01-2008), ปิงเปาปัน (21-02-2008), พระมหาวีรวชรษ์ (05-09-2007), พรน้ำมนต์ (06-05-2008)</td> </tr> <tr> <td class="alt1">

    </td></tr></tbody></table>(||)(||)(||)(||)(||)
     
  14. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    นับแล้วครับตามที่คุณโพสต์ข้างบนมี 70 รายชื่อ
    แล้วคนที่เค้ามาด่าเพียบจากที่คุณว่า ก็มีไม่กี่คนแถมรายชื่อโดยส่วนใหญ่มากๆๆๆกับผู้โพสต์ด่าอย่างที่คุณว่าใช้หลักคำนวนยังไงครับ ถึงออกมา 70 เปอร์เซนต์
     
  15. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    ส่วนเรื่องพระแม่ธรณีตามนี้ครับ



    แม่ธรณีไม่ได้ช่วยพระโพธิสัตว์วันตรัสรู้นะ เล่ม 73 หน้า 721

    ....ลำดับนั้น เทวบุตรมารขึ้นช้างที่กันข้าศึกได้
    เป็นช้างที่ประดับด้วยรัตนะ (แก้ว) ชื่อคิริเมขละ งามน่าดูอย่างยิ่ง
    เสมือนยอดหิมะคิรี ขนาดร้อยห้าสิบโยชน์ (โยชน์ = 16 ก.ม.)
    เนรมิตแขนพันแขน ให้จับอาวุธต่าง ๆ ด้วยการจับอาวุธที่ยังไม่ได้จับ.
    แม้บริษัท (บริวาร) ของมารมีกำลังถือดาบ ธนู ศร หอก ยกธนู สาก ผาล
    เหล็กแหลมหอก หลาว หิน ค้อน กำไลมือ ฉมวก กงจักร เครื่องสวมคอ
    ของมีคม มีหน้าเหมือนกวาง ราชสีห์ แรด กวาง หมู เสือ ลิง
    งู แมว นกฮูก และมีหน้าเหมือนควาย ฟาน ม้า ช้างพลายเป็นต้น
    มีกายต่าง ๆ น่ากลัว น่าประหลาด น่าเกลียด มีกายเสมือนมนุษย์ยักษ์ปีศาจ
    ท่วมทับพระมหาสัตว์โพธิสัตว์ ผู้ประทับนั่ง ณ โคนโพธิพฤกษ์
    เดินห้อมล้อม ยืนมองดูการสำแดงของมาร.

    แต่นั้น เมื่อกองกำลังของมาร เข้าไปยังโพธิมัณฑสถาน บรรดาเทพเหล่านั้น
    มีท้าวสักกะเป็นต้น เทพแม้แต่องค์หนึ่ง ก็ไม่อาจจะยืนอยู่ได้.
    เทพทั้งหลายก็พากันหนีไปต่อหน้า ๆ นั่นแหละ
    ก็ท้าวสักกะเทวราช ทำวิชยุตตรสังข์ไว้ที่ปฤษฎางค์ (ข้างหลัง) ประทับยืน ณ ขอบปากจักรวาล.
    ท้าวมหาพรหม วางเศวตฉัตรไว้ที่ปลายจักรวาลแล้วก็เสด็จไปพรหมโลก.
    กาฬนาคราชก็ทิ้งนาคนาฏกะไว้ทั้งหมด ดำดินไปยังภพมัญเชริกนาคพิภพลึก 500 โยชน์
    นอนเอามือปิดหน้า ไม่มีแม้แต่เทวดาสักองค์เดียว ที่จะสามารถอยู่ในที่นั้นได้.
    ส่วนพระมหาบุรุษ ประทับนั่งอยู่แต่ลำพัง เหมือนมหาพรหมในวิมานว่างเปล่า.
    นิมิตร้าย ที่ไม่น่าปรารถนาเป็นอันมากปรากฏก่อนทีเดียวว่า บัดนี้ มารจักมา ดังนี้...........

    ......ครั้งนั้น มารคิดว่า จักยังพระสิทธัตถะให้กลัวแล้วหนีไป แต่ไม่อาจให้พระโพธิสัตว์หนีไปด้วยฤทธิ์มาร
    9 ประการ คือ ลม ฝน ก้อนหิน เครื่องประหาร ถ่านไฟ ไฟนรก ทราย โคลน ความมืด
    มีใจขึ้งโกรธ บังคับหมู่มารว่า พนาย พวกเจ้าหยุดอยู่ไย จงทำสิทธัตถะให้ไม่เป็นสิทธัตถะ
    จงจับ จงฆ่า จงตัด จงมัด จงอย่าปล่อย จงให้หนีไป
    ส่วนตัวเองนั่งเหนือคอคชสารชื่อคิรีเมขละ ใช้กรข้างหนึ่งกวัดแกว่งศร เข้าไปหาพระโพธิสัตว์
    กล่าวว่า ท่านสิทธัตถะ จงลุกขึ้นจากบัลลังก์. ทั้งหมู่มารก็ได้ทำความบีบคั้นร้ายแรงยิ่งแก่พระมหาสัตว์.

    ครั้งนั้น พระมหาบุรุษตรัสคำเป็นต้นว่า ดูก่อนมาร ท่านบำเพ็ญบารมีเพื่อบัลลังก์มาแต่ครั้งไร
    แล้วทรงน้อมพระหัตถ์ขวาสู่แผ่นปฐพี. ขณะนั้นนั่นเอง ลมและน้ำที่รองแผ่นปฐพี
    ซึ่งหนาหนึ่งล้านหนึ่งหมื่นสี่พันโยชน์ก็ไหวก่อน ต่อจากนั้น มหาปฐพีนี้
    ซึ่งหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็ไหว 6 ครั้ง.
    สายฟ้าแลบและอสนีบาต (ฟ้าผ่า) หลายพันเบื้องบนอากาศ ก็ผ่าลงมา.
    ลำดับนั้น ช้างคิรีเมขละก็คุกเข่า. มารที่นั่งบนคอคิรีเมขละ ก็ตกลงมาที่แผ่นดิน.
    แม้พรรคพวกของมารก็กระจัดกระจายไปในทิศใหญ่ทิศน้อย เหมือนกำแกลบที่กระจายไปฉะนั้น.

    ลำดับนั้น แม้พระมหาบุรุษ ทรงกำจัดกองกำลังของมารพร้อมทั้งตัวมารนั้น
    ด้วยอานุภาพพระบารมีทั้งหลายของพระองค์ มีขันติ เมตตา วิริยะ และ ปัญญาเป็นต้น...

    ข้อความข้างต้น คัดมาจากพระไตรปิฏก ในตอนวันที่พระองค์ตรัสรู้แล้วมีมารมาผจญ
    มีข้อความพระแม่ธรณีโผล่มาตอนไหนครับ เห็นมีแต่กล่าวว่า ขนาดพระอินทร์ ท่านท้าวมหาพรหม ยังอยู่ไม่ได้เลยในที่เกิดเหตุ
    และที่กล่าวว่า พระแม่ธรณีมีในเรื่องเล่าเก่าแก่มานาน กับ ข้อความในพระไตรปิฏก
    ท่านเลือกเชื่อถือ นับถือ เรื่องเล่าเก่าแก่ มากกว่า พระไตรปิฏกเหรอครับ
     
  16. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    ที่เอาลิงค์ให้ดู เพราะจะให้คนที่ไม่รู้อิโหน่ อิเหน่ เข้าไปตรวจสอบหาความจริงว่า

    ขนาดมีคนขอซีดีเยอะ มากมาย เป็น 100 คน ไม่ใช่แค่ 70 คน( รายที่COPY มามันไม่ครบทุกคน)

    เยอะจัด จนไม่สามารถ COPY รายชื่อมาได้ครบทุกท่าน

    ((((( คนที่ด่า ก็รู้เนื้อหาใน ตำราที่หลวงปู่เขียน กันทั้งน้าน )))

    ไม่งั้นจะ เขียนว่าได้เหรอว่า โอนบุญ ยังกะโอนเงิน ATM และ ด่าอีกเพียบ

    ที่เขียนว่าแค่ 70 % ทั้งที่ในใจคิดว่า มันเกิด 70
    เพราะเท่าที่ดูกระทู้ของ พี่พอเพียง รู้สึก สมาชิกที่ออกมาโวยวาย
    บางคนปลอมชื่อมาโพส เพราะ
    เคยเข้าไป อนุโมทนา + ขอรับซีดีมาแล้วด้วยเลยไม่อยากพูดตรงๆให้เสียอกเสียใจ

    ว่าที่ทำหน่ะเสียเวลา เขาดูกันแล้ว มาด่าในกระทู้นี้เพียบ

    เลยคาดว่า น่าจะอยู่ 70-80 %

    ยังไม่มีการ คำนวณเป็นทางการ เพราะ คนที่ไม่เห็นด้วยในเวบ เป็น100 ทีเดียว

    บางกระทู้ ดันไป 15 หน้าแล้ว คนอ่านไม่รู้กี่ร้อยครั้ง
     
  17. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    พระแม่ธรณี มีชื่อในพระไตรปิฏก ====>>>ไม่เชื่อลองไปถามพระทได้เรียนมาได้

    แล้ว มารตน่ไหนหว่ะ ปรามาศ มารดาแห่งโลก เหมือนเนรคุณไม่มีผิด
    ไม่เชื่อก็ไม่น่าไป พูดจาด่า หยาบคายร้ายไม่เบา ใครจะไปนับถือ


    ผู้ชายลองได้ด่าสตรีรเพศแม่ เขาเรียกว่า หน้าตัว.......

    แล้วยิ่งเป็น มารดาแห่งโลก คิดเอาเอง ....................


    ที่เอาลิงค์ให้ดู เพราะจะให้คนที่ไม่รู้อิโหน่ อิเหน่ เข้าไปตรวจสอบหาความจริงว่า

    ขนาดมีคนขอซีดีเยอะ มากมาย เป็น 100 คน ไม่ใช่แค่ 70 คน( รายที่COPY มามันไม่ครบทุกคน)

    เยอะจัด จนไม่สามารถ COPY รายชื่อมาได้ครบทุกท่าน

    ((((( คนที่ด่า ก็รู้เนื้อหาใน ตำราที่หลวงปู่เขียน กันทั้งน้าน )))

    ไม่งั้นจะ เขียนว่าได้เหรอว่า โอนบุญ ยังกะโอนเงิน ATM และ ด่าอีกเพียบ

    ที่เขียนว่าแค่ 70 % ทั้งที่ในใจคิดว่า มันเกิด 70
    เพราะเท่าที่ดูกระทู้ของ พี่พอเพียง รู้สึก สมาชิกที่ออกมาโวยวาย
    บางคนปลอมชื่อมาโพส เพราะ
    เคยเข้าไป อนุโมทนา + ขอรับซีดีมาแล้วด้วยเลยไม่อยากพูดตรงๆให้เสียอกเสียใจ

    ว่าที่ทำหน่ะเสียเวลา เขาดูกันแล้ว มาด่าในกระทู้นี้เพียบ

    เลยคาดว่า น่าจะอยู่ 70-80 %

    ยังไม่มีการ คำนวณเป็นทางการ เพราะ คนที่ไม่เห็นด้วยในเวบ เป็น100 ทีเดียว

    บางกระทู้ ดันไป 15 หน้าแล้ว คนอ่านไม่รู้กี่ร้อยครั้ง
     
  18. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="postdetails">ตอบเมื่อ: 03 กันยายน 2007, 4:35 pm</td> <td align="right" nowrap="nowrap" valign="top">[​IMG][​IMG]</td></tr></tbody></table> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"> <tbody> <tr> <td class="postbody" valign="top"> <hr> [​IMG]

    ‘แม่พระธรณี’ แผ่นดินนี้มีแต่ ‘ให้’ พยานแห่งการตรัสรู้

    แม้ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘แม่ธรณี’, ‘แม่พระธรณี’ หรือ ‘พระแม่ธรณี’ ตามแต่จะเรียกขานกันนั้น จะมิใช่คติดั้งเดิมของชาวพุทธอย่างแท้จริงก็ตาม แต่ก็ได้ปรากฏคติความเชื่อเรื่องนี้ในสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านาน

    แม่พระธรณีเป็นใคร ? เกี่ยวโยงถึงเรื่องราวในศาสนาได้อย่างไร ? และเหตุใดจึงมีอิทธิพลต่อความเชื่อในวัฒนธรรมไทย ?

    เรื่องนี้ อาจารย์ฤดีรัตน์ กายราศ จากสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ได้ค้นคว้าและเรียบเรียงไว้เป็นความรู้ที่น่าสนใจและเห็นภาพได้ชัดเจน ดังความส่วนหนึ่งว่า

    ปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่มนุษย์แต่โบราณกาลไม่สามารถทราบหรืออธิบายได้ด้วยปัญญาและเหตุผล จึงเข้าใจว่าเกิดจากฤทธิ์และอำนาจของผีสางเทวดาที่จะบันดาลให้ทั้งคุณและโทษ ประกอบกับธรรมชาติของมนุษย์ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อช่วยให้เกิดความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครอง จึงเกิดคติความเชื่อว่า หากมีการบนบานศาลกล่าวเซ่นไหว้บูชาแล้ว ก็จะพ้นจากความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อน

    ด้วยความเชื่อดังนี้ เมื่อปฏิบัติสืบเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน ก็ได้เข้าไปครอบงำอยู่ในความนึกคิดและจิตใจของคนในชาติในสังคมอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ กลายเป็นมูลฐานแห่งวัฒนธรรมจารีตประเพณี เกิดเป็นพิธีรีตองต่างๆ ที่มนุษย์ในยุคสมัยต่อมาได้ปรับปรุงให้ประณีตงดงามขึ้น เพื่อสัมฤทธิ์ผลแห่งความเป็นสวัสดิมงคลในการดำเนินชีวิต เทวดาในวัฒนธรรมไทยก็เป็นมรดกจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนการทำมาหากินของคนไทย และเป็นที่น่าสังเกตว่าเทวดาที่คอยเอื้อเฟื้อดูแลทุกข์สุขของมวลมนุษย์ มักจะเป็นเทวดา ผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่

    พระธรณี ตามคติความเชื่อของชาวฮินดูให้ความเคารพนับถือว่า แผ่นดินเป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวงในโลก เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดหล่อเลี้ยงโลกและแผ่นดิน จึงได้รับยกย่องว่าเป็น เทพจากธรรมชาติองค์หนึ่งเป็นเพศหญิง เรียกนามว่า ‘ธรณิธริตริ’ แปลว่าผู้ค้ำจุนพระธรณี แม้จะมิค่อยมีรูปเคารพอย่างแพร่หลายเช่นเทพองค์อื่น แต่ก็มีผู้ให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมิใช่น้อย เพราะถือกันว่าพระธรณีสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ ทุกหนทุกแห่ง จะทำการบูชาด้วย ข้าว ผลไม้ และนม ด้วยการวางไว้บนก้อนหิน หรือประพรมลงบนพื้นดิน บางแห่งใช้เหล้าเป็นการสังเวยก็มี

    นอกจากนี้ชาวฮินดูยังมีการขอขมาลาโทษเมื่อจะวางเท้าลงบนพื้นดินก่อนจะลุกขึ้นในตอนเช้า วัวหรือควายที่มีลูกก่อนที่จะให้ลูกกินนมครั้งแรก เจ้าของจะปล่อยน้ำนมของแม่วัวลงบนพื้นดินเสียก่อนทุกครั้งไป ถ้าเป็นพวกชาวนาก็จะขอให้พระธรณีช่วยคุ้มครองผืนนาและวัวควาย แม้ในพระเวทก็มีการขอร้องต่อพระธรณีให้ช่วยพิทักษ์คุ้มครองวิญญาณของคนตาย และต่อมาได้นับถือว่าเป็นเทพแห่งไร่นาด้วย ในแคว้นปัญจาบเชื่อกันว่าพระธรณีจะนอนหลับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ของทุกๆ เดือน ชาวไร่ชาวนาจะหยุดไม่ทำงานในระยะนี้

    เทพแห่งแผ่นดินหรือพระธรณี ไม่ค่อยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาปรากฏมากมายดังเช่นเทพองค์อื่น หรือมีก็สับสน เช่น บางแห่งว่าพระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์องค์หนึ่งคือพระอังคาร บางแห่งว่าพระอังคารเป็นโอรสของพระศิวะกับพระธรณี หรือในคติพราหมณ์พบเพียงว่าเป็น ชายาของพระธุรวะหรือดาวเหนือ

    คติความเชื่อเรื่องพระธรณีได้เผยแพร่มาสู่ไทย ก็เนื่องจากอิทธิพลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ในพิธีกรรมต่างๆ อาทิ พิธีการก่อนไปจับช้าง ก็มีการกล่าวบูชาพระธรณีเช่นกัน แต่ความเชื่อถือเกี่ยวกับพระธรณีในไทยก็มิได้เป็นที่แพร่หลายนัก และมีความเชื่อเช่นเดียวกับทางอินเดียว่าเป็นเพศหญิง นามพระธรณีมีปรากฏในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง อาทิ หนังสือเทศน์มหาชาติปฐมสมโพธิกถา ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นต้น มีนามเรียกแตกต่างกันไปเช่น นางพระธรณี พระแม่วสุนธราพสุธา แปลในความหมายเดียวกันว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติ หมายถึงแผ่นดินนั่นเอง สำหรับชาวไทยทั่วไปจะเรียกกันติดปากว่า แม่พระธรณีบ้าง พระแม่ธรณีบ้าง ตามความนิยม

    จากเรื่องราวของพระธรณี แสดงให้เห็นว่าเป็นเทพที่รักสงบอยู่เงียบๆ จึงไม่ใคร่มีเรื่องราวอะไรในโลก เฝ้าแต่เลี้ยงโลกประดุจแม่เลี้ยงลูก คอยรับรู้การทำบุญกุศลของมนุษย์โลก ด้วยการใช้มวยผมรองรับน้ำจากการกรวดน้ำ เสมือนกับเป็นอรูปกะ คือไม่มีตัวตน แต่เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหรือมีผู้ร้องขอจึงจะปรากฏรูปขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง

    พระธรณีเป็นเทวดาผู้หญิงที่มีสรีระรูปร่างใหญ่ หากแต่อ่อนช้อยงดงาม พระฉวีสีดำ พระพักตร์รูปไข่ มวยพระเกศายาวสลวยสีเขียวชอุ่มเหมือนกลุ่มเมฆ พระเนตรสีเหมือนดอกบัวสายคือสีน้ำเงิน พระชงฆ์เรียว พระพาหาดุจงวงไอยรา นิ้วพระหัตถ์เรียวเหมือนลำเทียน มีพระทัยเยือก เย็นไม่หวั่นไหว พระพักตร์ยิ้มละไมอยู่เสมอ

    [​IMG]
    ภาพพระแม่ธรณีจากวัดชมภูเวก จ.นนทบุรี


    ภาพเขียนรูปนางพระธรณีที่ถือกันว่างดงามเป็นพิเศษ คือ ภาพที่ฝาผนังด้านหน้าพระประธานในพระอุโบสถวัดชมภูเวก ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ส่วนภาพปั้นหล่อนางพระธรณีในศิลปะไทยที่มีปรากฏอยู่จะทำเป็นรูปหญิงสาว มีรูปร่างอวบใหญ่ ล่ำสันอย่างได้สัดส่วน มีความงามประดุจเทพธิดา นั่งในท่าคุกเข่า แต่ยกเข่าขวาขึ้นสูงกว่าเข่าซ้าย บางแห่งสร้างให้อยู่ในท่ายืน แต่ที่เหมือนกันก็คือมวยผมปล่อยยาว มือขวายกข้ามศีรษะไปจับไว้ที่โคนมวยผม ส่วนมือซ้ายจับมวยผมแสดงท่ากำลังบิดให้สายน้ำไหลออกมาจากมวยผมนั้น ส่วนเครื่องทรงไม่มีแบบแผนที่แน่นอนตายตัว ตามแต่จินตนาการของผู้สร้าง บางแห่งสวมพัสตราภรณ์เฉพาะช่วงล่าง แต่บางแห่งทั้งนุ่งผ้าจีบและห่มสไบอย่างสวยงาม ประดับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์มีกรอบหน้าและจอนหู เป็นต้น...

    ส่วนลักษณะตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนาจากตำนานเกี่ยวกับเทวดา มาร พรหม และจากพระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (พระองค์เจ้าวาสุกรี) เรื่องปฐมสมโพธิกถา ตอนมารวิชัยปริวรรต ได้กล่าวถึงพระแม่ธรณีที่ปรากฏขึ้นมาในช่วงที่สำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้า คือ ก่อนการตรัสรู้ ได้เป็นพยานสำคัญในการปราบมารทั้งหลายทั้งปวง ดังความละเอียดต่อไปนี้

    “แต่ในชาติอาตมะเป็นพระยาเวสสันดรชาติเดียวนั้น ก็ได้บำเพ็ญทานบารมีถึงบริจาคนางมัทรีเป็นอวสาน พื้นพสุธาก็กัมปนาการถึง 7 ครั้ง แลกาลบัดนี้ อาตมะนั่งเหนือ อปราชิตบัลลังก์อาสน์ หมู่มารอริราชมาแวดล้อมยุทธการ เป็นไฉนแผ่นพสุธาธารจึงดุษณีภาพอยู่ฉะนี้ แลพระยามาร อ้างบริษัทแห่งตนให้เป็นกฎสักขีขานคำมุสา แลพื้นปฐพีอันปราศจากเจตนาได้สดับคำอาตมะในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่งข้า

    แล้วเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะอันงามดุจงวงไอยรารุ่งเรืองด้วยพระนขามีพรรณอันแดงดุจแก้วประพาฬออกจากห้องแห่งจีวร ครุวนาดุจวิชุลดาในอัมพรอันออกจากระหว่างห้องแห่งรัตวลาหก ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้นมหินทรา จึงออกพระวาจา ประกาศแก่นางพระธรณีว่า ดูก่อนวนิดาดลนารี ตั้งแต่อาตมะบำเพ็ญพระสมภารบารมีมาตราบเท่าถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรราช ได้เสียสละบุตรทานบริจาคแลสัตตสดกมหาทาน สมณะพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระทำเป็นสักขีพยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธารนารีนี้แลรู้เห็นเป็นพยานอันใหญ่ยิ่ง เป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยานอาตมาในกาล บัดนี้

    ในขณะนั้น นางพสุนธรีวนิดาก็มิอาจดำรงกายาอยู่ได้ ด้วยโพธิสมภารานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระมหาสัตว์ ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพียืนประดิษฐานเฉพาะพระพุทธังกุรราช เหมือนดุจร้องประกาศกราบทูล พระกรุณาว่า ข้าแต่พระมหาบุรุษราช ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรี เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร พระผู้เป็นเจ้ารักขิตาจารย์จึงกล่าวสารพระคาถาอรรถาธิบายความก็เหมือนนัยกล่าวแล้วแต่หลัง

    ครั้งนั้น หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาดมิอาจ ตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร อันว่าระเบียบแห่งฉัตรธวัชจามรทั้งหลาย ก็ทักทบท่าวทำลาย ล้มลงเกลื่อนกลาดและพระยามาราธิราชได้ทัศนาการเห็นมหัศจรรย์ ดังนั้น ก็บันดาลจิตพิศวงครั่นคร้ามขามพระเดชพระคุณเป็นอันมาก พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาสรรเสริญคุณานุภาพโพธิสัตว์อรรถาธิบายความก็ซ้ำหนหลัง

    ครั้งนั้นมหาปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือศัพท์นฤนาทหวาดไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยงๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน ถ่านเพลิง ตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่าง หมู่มารทั้งหลายต่างๆ ตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ

    แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ปราศจากที่พึ่งที่พำนักซ่อน เร้นให้พ้นภัยหฤทัย ท้อระทดสลดสังเวช จึงออกพระโอษฐ์สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหาบุรุษราชว่า ดังอาตมะจินตนาการอันว่าผลทานศีลสรรพบารมีแห่งพระสิทธัตถกุมารนี้ ปรากฏอาจให้บังเกิดมหิทธฤทธิ์สำเร็จกิจมโนรถปรารถนาทุกประการ มีพระกมลเบิกบานแผ่ไปด้วยประสาทโสมนัส จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธ ประนมหัตถ์ทั้ง 2,000 อัญชลีกรนมัสการ ก็กล่าวสารพระคาถาว่า นโม เต ปุริสาชญญ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ปุริสาชาไนยชาติเป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายวันทนาการชุลีพร้อมด้วยทวารทั้ง 3 คือกาย วจี มโน ประณามประณตในบทบงกชยุคลบาท บุคคลผู้ใดในมนุษย์โลกธาตุกับทั้งเทวโลก ที่จะปูนเปรียบประเสริฐเสมอพระองค์คงเทียมเทียบนั้นมิได้มี

    พระองค์ได้ตรัสเป็นพระศรีสรรเพชญ์เสร็จแจ้งจตุราริยสัจจ์ศาสดาจารย์มีพระเดชครอบงำชำนะหมู่มาร เป็นปิ่นปราชญ์ฉลาดในอนุสัยแห่งสรรพสัตวโลกจะข้ามขนนิกรเวไนย์ให้พ้นจตุรโอฆกันดารบรรลุฝั่งฟากอมฤตมหานฤพานอันเกษมสุขปราศจากสังสารทุกข์ในครั้งนี้ แลพระยาวัสวดีมารโถมนาการพระคุณพระมหาบุรุษราชด้วยจิตประสาทเลื่อมใส ผลกุศลนั้นจะตกแต่งให้ได้ตรัสแก่พระปัจเจกโพธิญาณในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อพระยามารกล่าวสัมภาวนากถาสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ แล้วก็นิวัตตนาการสู่สกลฐานเทวพิภพ”


    จึงสรุปความเชื่อทั้ง 2 ลักษณะ คือ พระแม่ธรณีเป็นอรูปกะคือไม่มีรูปกาย เช่นเดียวกับพระแม่คงคา ซึ่งชาวฮินดูจะทำการสักการะได้ทุกสถานที่ เมื่อต้องการความช่วยเหลือก็อ้างเรียกได้ทุกเวลา ส่วนความเชื่ออีกลักษณะหนึ่งที่ทางศาสนาพุทธได้เชื่อตามพุทธประวัติ ที่พระแม่ธรณีได้มีพระคุณต่อพระพุทธเจ้าก่อนการตรัสรู้ดังได้กล่าวมาแล้วนั้น พระแม่ธรณีมีรูปกายผุดขึ้นมาจากพื้นปฐพี เป็นองค์ที่มีภาพเป็นนิมิตรเป็นรูปสตรีที่ทางพุทธได้กำหนดพระนามของพระแม่ธรณี คือ ‘นางพสุนธรี’

    ซึ่งเป็นองค์ตามลักษณะของรูปร่างตามพระแม่ธรณีบีบมวยผม จะประดิษฐานอยู่ใต้แท่นฐานพระพุทธเจ้า ‘ปางปราบมาร’ และเมื่อเกิดมหาปฐพีป่วนปั่น ด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระแม่ธรณีบีบมวยผม น้ำมาท่วมท้นหมู่มาร มีทั้งฝนตกและน้ำท่วม และ ‘ปางนาคปรก’ หรือเรียกว่า ‘พระอนันตชินราช’ ซึ่งมีพญานาคได้มาแผ่ปกบังฝนและขดตัวยกชูบัลลังก์ขึ้นสูงจากน้ำที่ท่วมท้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน จึงมีรูปภาพที่ตามผนังพระอุโบสถวัดต่างๆ ตรงข้ามกับพระประธาน พระแม่ธรณีจึงเป็นเทพผู้อุปถัมภ์พระพุทธเจ้า การบูชาจึงดูได้จากภาพพระแม่ธรณีที่ทูนบัลลังก์พระพุทธองค์สูงเหนือเศียร เป็นต้น

    การสักการบูชาพระแม่ธรณี เมื่อศึกษาจากบทสวดทางพุทธศาสนา จึงเป็นบทที่เกี่ยวกับการ ‘ให้’ เป็นหลักใหญ่ จนมีผู้เรียบเรียงไว้สำหรับผู้สนใจได้ใช้บูชาคู่กับพุทธคุณ ซึ่งนิยมใช้บทสวด ‘พาหุง พุทธคุณคุ้มครองโลก’

    [​IMG]
    รูปปั้นแม่พระธรณีบีบมวยผม


    แม่พระธรณีบีบมวยผม
    สาธารณทานของ ‘พระราชินีนาถ’ ในรัชกาลที่ 5


    รูปปั้นแม่พระธรณีบีบมวยผม ซึ่งประดิษฐานบริเวณเชิงสะพานผ่านพิภพลีลา ถือเป็นอนุสรณ์สถานสำคัญของกรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ตามประวัติกล่าวว่า

    สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 5 หรือสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในรัชกาลที่ 6 และ 7 ทรงมีพระราชดำริให้สร้างรูปแม่ธรณีบีบมวยผมขึ้น เพื่อแจกจ่ายน้ำดื่มสะอาดบริสุทธิ์ให้ผู้คนทั่วไป เป็นสาธารณทานแก่ชาวกรุงเทพฯ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 50 พรรษาของพระองค์ เมื่อปี พ.ศ.2456

    โดยมีลักษณะเป็นรูปแม่ธรณีบีบมวยผมนั่งอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงออกแบบรูปแม่ธรณี ส่วนพระยาจินดารังสรรค์ (พลับ) เป็นผู้ออกแบบซุ้มเรือนแก้ว กระทั่งแล้วเสร็จและประกอบพิธีเปิดในวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2460 อันเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ดังที่ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2460 ความว่า...

    “พรุ่งนี้ฉันจะทำบุญวันเกิดที่นี่ตามคตินิยม ให้คุณจัดเปิดรูปนางพระธรณีท่ออุทกทาน ซึ่งฉันได้ออกทรัพย์ให้หล่อขึ้นสำเร็จตั้งไว้ ณ เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา และขออุทิศท่ออุทกทานนี้ให้เป็นสาธารณทานแก่ประชาชนผู้เพื่อนแผ่นดินใช้กินบำบัดร้อนและกระหาย เป็นความสบายตามปรารถนาทั่วกันเทอญ”

    [​IMG]
    อนุสรณ์สถานแม่พระธรณีบีบมวยผม


    ปัจจุบัน อนุสรณ์สถานแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ที่มีประชาชนมาสักการบูชาอย่างไม่ขาดสาย


    จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 81 ส.ค. 50 โดย มุทิตา
    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 3 สิงหาคม 2550 14:14 น. </td></tr> <tr> <td> </td></tr></tbody></table>
     
  19. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    ที่ว่ารู้......รู้แบบไหนครับ ร้แบบเข้าใจหรือ รู้แบบไม่เข้าใจ
    ไม่ต้องยกตัวอย่างหลายชื่อพาดพิงผู้ใด แค่แม่ยายผมเปิดซีดีหลวงปู่แกฟังแค่แผ่นแรก
    ก็บอกว่ารับไม่ได้แล้ว

    เหตุผลของท่านก็คือ
    พระอะไร พูดไม่เพราะ ไม่น่าฟัง
    เรื่องอุทิศบุญอะไรแบบนี้มีด้วยเหรอพระอาจารย์ฉันไม่เคยสอนแบบนี้
    เรื่องไม่ให้มี พระพุทธรูป พระเครื่องในบ้าน ฉันรับไม่ได้
    ฯลฯ
    แล้วแกก็ไม่ศึกษาต่อเพราะใจแกไม่รับ ก็ไม่แปลกหรอกครับ ที่คุณจะบอกว่าคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
    แต่ที่มาคุยในนี้ ก็เห็นว่าเป็นเว็บธรรมะ คงพอจะมีผู้คุยรู้เรื่องอยู่บ้าง
    และก็คุยในประเด็นที่ว่า ท่านสอนถูก หรือ สอนผิด
    ไม่ใช่ประเด็น ว่า คนส่วนใหญ่ เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ครับ
     
  20. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    สังคมธรรมะออนไลน์ หนังสือธรรมะ บทความ ฟังเพลง กลอน อนุตตรธรรม เต๋า ...

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td class="j"> 21 เม.ย. 2007 ... ส่วนพระมหาบุรุษทรงกล่าวแก้ว่า บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญ มาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน ...
    www.mindcyber.com/home/index.php?news=45 - 27k - <nobr>หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่คล้ายกัน</nobr>
    </td></tr></tbody></table>
    ภาพที่ ๒๖ แม่พระธรณีบิดพระเกศา เกิดเป็นสมุทรธารา พระยามารก็พ่ายแพ้ ...

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td class="j"> ... บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรง อ้างพระนางธรณีเป็นพยาน ปฐมสมโพธิว่า "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้. ...
    84000.org/tipitaka//picture/f26.html - 7k - <nobr>หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่คล้ายกัน</nobr>
    </td></tr></tbody></table>
    พุทธประวัติ - Intania82.com

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td class="j"> ... บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน ปฐมสมโพธิว่า "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้. ...
    www.intania82.com/index.php?showtopic=642&<wbr>pid=6125&mode=threaded&show=&st=& - 95k - <nobr>หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่คล้ายกัน</nobr>
    </td></tr></tbody></table>
    คำถาม/กระทู้ ที่ 3975 : Webboard Dhammathai.org

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td class="j"> ... บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งผลบุญบารมีที่พระองค์บำเพ็ญทรงมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน ปฐมสมโพธิว่า “พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้… ...
    www.dhammathai.org/webboard/view.php?No=3975 - 50k - <nobr>หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่คล้ายกัน</nobr>
    </td></tr></tbody></table>
    พุทธะ - ภาพพุทธประวัติ

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td class="j"> ... บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งผลบุญบารมีที่พระองค์บำเพ็ญทรงมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน. ปฐมสมโพธิว่า “พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้… ...
    www.dhammalife.com/buddha/pixbio/pixbio26.htm - 5k - <nobr>หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่คล้ายกัน</nobr>
    </td></tr></tbody></table>
    Thambon.com ::: เว็บทำบุญออนไลน์

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td class="j"> ... บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรง อ้างพระนางธรณีเป็นพยาน. ปฐมสมโพธิว่า "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้. ...
    www.thumboon.com/budha/26.htm - 23k - <nobr>หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่คล้ายกัน</nobr>
    </td></tr></tbody></table>
    พุทธประวัติ

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td class="j"> ... บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน พระมหาบุรุษได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ...
    www.watupairachbumrung.com/html10.html - 16k - <nobr>หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่คล้ายกัน</nobr>
    </td></tr></tbody></table>
    Bloggang.com : travelaround - พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๔๑ : แม่พระ ...

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td class="j"> ... "โพธิบัลลังก์" บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน ดังนั้น "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้… ...
    www.bloggang.com/viewblog.php?id=travelaround&<wbr>date=12-04-2008&group=4&gblog=41 - 39k - <nobr>หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่คล้ายกัน</nobr>
    </td></tr></tbody></table>
    - - - - < วันพระพุทธเจ้า @ > - - - - -> กระดาน ชีวิตกับธรรมะ | ลาน ...

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td class="j"> ... บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน :70: ปฐมสมโพธิว่า "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้. ...
    larndham.net/index.php?showtopic=26014&st=63 - 57k - <nobr>หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่คล้ายกัน</nobr>
    </td></tr></tbody></table>
    พลังจิต Photo Gallery - 14. ทรงชนะมาร - Powered by PhotoPost

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td class="j"> ... บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน ภาพพุทธประวัติ ทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของ สำนัก ลูก ส. ...
    www.palungjit.org/buddhism/<wbr>gallery/showphoto.php?photo=1333&si=12 - 29k - <nobr>หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่คล้ายกัน</nobr>
    </td></tr></tbody></table>
    <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"><tbody><tr><td>QUOTE (racerwin_x @ Apr 27 2006, 06:52 PM)</td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->ก่อนที่พระพุธเจ้าจะ ตร้สรู้ ท่านต้องพบกับมารผจญมากมายขนาดไหนครับ เท่าที่รู้คือ มีปีศาจที่เรียกลูกตัวเองมาแล้วก็ยั่วพระพุธเจ้า

    แต่พระพุธเจ้าหยุดแล้วจึงขจัดมารไปได้ นอกจากมารตัวนี้แล้ว มีตัวไหนอีกครับ ที่มารังควาญก่อนจะตรัสรู้ ขอบคุณครับ

    ผมไม่ทราบชื่อมารตัวนี้ครับ จําไม่ได้ ขออภัยด้วยครับ <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->
    พอดีไม่มีเวลาค้นละเอียด ลองศึกษาดูก่อนนะครับ <!--emo&:lol:-->[​IMG]<!--endemo-->

    <!--QuoteBegin--> <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->เหตุการณ์ที่เกิดกับพระมหาบุรุษตอนนี้เรียกว่า 'มารผจญ' ซึ่งเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือนหก ก่อน
    ตรัสรู้ไม่กี่ชั่งโมง พระอาทิตย์กำลังอัสดงลงลับทิวไม้ สัตว์สี่เท้าที่กำลังจะใช้งาทิ่มแทงพระมหาบุรุษนั้นมี
    ชื่อว่า 'นาราคีรีเมขล์' เป็นช้างทรงของพระยาวัสสวดีมารซึ่งเป็นจอมทัพ สตรีที่กำลังบีบมวยผมนั้นคือพระ
    นางธรณี มีชื่อจริงว่า 'สุนธรีวนิดา'

    พระยามารตนนี้เคยผจญพระมหาบุรุษมาครั้งหนึ่งแล้ว คือ เมื่อคราวเสด็จออกจากเมือง แต่
    คราวนี้เป็นการผจญชิงชัยกับพระมหาบุรุษยิ่งใหญ่กว่าทุกคราว กำลังพลที่พระยามารยกมาครั้งนี้มืดฟ้ามัว
    ดิน มาทั้งบนเวหา บนดิน และใต้บาดาลขนาดเทพเจ้าที่มาเฝ้ารักษาพระมหาบุรุษต่างเผ่นหนีกลับวิมานกัน
    หมดเพราะเกรงกลัวมาร

    ปฐมสมโพธิพรรณนาภาพพลมารตอนนี้ไว้ว่า "...บางจำพวกก็หน้าแดงกายเขียว บางจำพวก
    ก็หน้าเขียวกายแดง ลางเหล่าจำแลงกายขาวหน้าเหลือง...บางหมู่กายลายพร้อยหน้าดำ...ลางพวกกายท่อน
    ล่างเป็นนาค กายท่อนต่ำหลากเป็นมนุษย์..."


    ส่วนตัวพระยามารเนรมิตพาหาคือแขนซ้ายและขวาข้างละหนึ่งพันแขน แต่ละแขนถืออาวุธ
    ต่างๆ เช่น ดาบ หอก ธนู ศร โตมร (หอกซัด) จักรสังข์ อังกัส (ของ้าวเหล็ก) คทา ก้อนศิลา หลาว
    เหล็ก ครกเหล็ก ขวานถาก ขวานผ่า ตรีศูล (หลาวสามง่าม) ฯลฯ


    เหตุที่พระยามารมาผจญพระมหาบุรุษทุกครั้ง เพราะพระยามารมีนิสัยไม่อยากเห็นใครดีเกิน
    หน้าตน เมื่อพระมหาบุรุษจะทรงพยายามเพื่อเป็นคนดีที่สุดในโลก จึงขัดขวางไว้ แต่ก็พ่ายแพ้พระมหา
    บุรุษทุกครั้ง ครั้งนี้เมื่อเริ่มยกแรกก็แพ้ แพ้แล้วก็ใช้เล่ห์ คือ กล่าวตู่พระมหาบุรุษว่ามายึดเอาโพธิบัลลังก์
    คือตรงที่พระมหาบุรุษประทับนั่ง ซึ่งพระยามารตู่เป็นที่ของตน พระยามารอ้างพยานบุคคลคือพวกพ้อง
    ของตน ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงมองหาใครเป็นพยานไม่ได้ เทพเจ้าเล่าก็เปิดหนีกันหมด จึงทรงเหยียดพระ
    หัตถ์ขวาออกจากชายจีวร แล้วทรงชี้พระดัชนีลงยังพื้นพระธรณี พระนางธรณีจึงผุดขึ้นตอนนี้เพื่อเป็น
    พยาน<!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->

    <!--QuoteBegin--> <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->สถานที่ที่พระมหาบุรุษประทับนั่งพื่อทรงบำเพ็ญเพียรทางใจ แสวงหาทางตรัสรู้ ซึ่งอยู่ที่
    โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น เรียกว่า 'โพธิบัลลังก์' พระยามารกล่าวตู่ว่าเป็นสมบัติของตน ส่วนพระมหา
    บุรุษทรงกล่าวแก้ว่า บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรง
    อ้างพระนางธรณีเป็นพยาน

    ปฐมสมโพธิว่า "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้...ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้น
    ปฐพี..." แล้วกล่าวเป็นพยานมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม น้ำนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า 'ทักษิโณทก'
    อันได้แก่ น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนเป็นลำดับมา ซึ่งแม่
    พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อนางบีบก็หลั่งไหลออกมา

    ปฐมสมโพธิว่า "เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วง
    มหาสาครสมุทร...หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้น
    ส่วนคิรีเมขลคชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตาม
    ชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร... พระยามารก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด"

    บารมีนั้นคือความดี พระมหาบุรุษท่านทรงรำพึงว่า ชีวิต ดวงหทัย นัยน์เนตรที่ท่านทรง
    บริจาคให้เป็นกุศลผลทานมาก่อนนั้น ถ้าจะเก็บรวมไว้ก็จะมากกว่าผลาผลไม้ในป่า มากกว่าดวงดาราใน
    ท้องฟ้า

    ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หนีไปไหน ถึงใครไม่เห็น ฟ้าดินก็เห็น ดินคือแม่พระธรณี
    <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->

    <!--QuoteBegin--> <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->พระพุทธเจ้าเสด็จประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา ๗
    วัน คำว่า 'เสวยวิมุติสุข' เป็นภาษาที่ใช้สำหรับท่านผู้ทรงหลุดพ้นแล้ว เทียบกับภาษาสามัญชนคนมีกิเลสก็
    คือพักผ่อนภายหลังที่ตรากตรำงานมานั่นเอง

    หลังจากนั้นจึงเสด็จไปยังต้นอชปาลนิโครธ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของต้นศรีมหาโพธิ์ ต้น
    นิโครธคือต้นไทร ส่วนคำหน้าคือ 'อชปาล' แปลว่า เป็นที่เลี้ยงแพะ ตามตำนานบอกว่าที่ใต้ต้นไทรแห่งนี้
    เคยเป็นที่อาศัยของคนเลี้ยงแพะมานาน คนเลี้ยงแพะที่ตำบลแห่งนี้ได้เข้ามาอาศัยร่มเงาต้นไทรเป็นที่เลี้ยง
    แพะเสมอมา

    ระหว่างที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นี่ นักแต่งเรื่องเรื่องในยุคอรรถกถาจารย์ ยุคนี้เกิดขึ้นภาย
    หลัง พระพุทธเจ้านิพพานแล้วหลายร้อยปี ได้แต่งเรื่องขึ้นเฉลิมพระเกียรติของพระพุทธเจ้าว่า ลูกสาว
    พระยามารซึ่งเคยยกทัพมาผจญพระพุทธเจ้าเมื่อตอน ก่อนตรัสรู้เล็กน้อยแต่ก็พ่ายแพ้ไป ได้ขันอาสาพระยา
    มารผู้บิดาเพื่อประโลมล่อพระพุทธเจ้าให้ตกอยู่ในอำนาจของพระยามารให้จงได้ ลูกสาวพระยามารมี ๓
    คน คือ นางตัณหา นางราคา และนางอรดี

    ทั้งสามนางเข้าไปประเล้าประโลมพระพุทธเจ้าด้วยกลวิธีทางกามารมณ์ต่างๆ เช่น เปลื้อง
    ภูษาอาภรณ์ทรงออก แปลงร่างเป็นสาวรุ่นบ้าง เป็นสาวใหญ่บ้าง เป็นสตรีในวัยต่างๆ บ้าง แต่พระพุทธ
    เจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์สิ้นเชิงแล้วไม่ทรงแสดงพระอาการผิดปกติแม้แต่ลืมพระเนตรแลมอง


    เรื่องธิดาพระยามารประโลมพระพุทธเจ้าก็เป็นปุคคลาธิษฐาน ถอดความได้ว่า ทั้งสามธิดา
    พระยามารนั้น ล้วนหมายถึงกิเลสทั้งนั้น อย่างหนึ่งคือความยินดี อีกอย่างหนึ่งคือความยินร้ายหรือความ
    เกลียดชัง ความยินดีส่วนหนึ่งแยกออกเป็นตัรหา คือความอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด อีกส่วนหนึ่งเป็นราคา
    หรือราคะ คือความใคร่หรือกำหนัด ความเกลียดชังหรือยินร้ายออกมาในรูปของอรดี อรดีในที่นี้คือ
    ความริษยา

    ความที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงพระอาการผิดปกติ แม้แต่ทรงลืมพระเนตรนั้น ก็หมาย
    ถึงว่า พระพุทธเจ้าอยู่ห่างไกลจากกิเลสดังกล่าวมาโดยสิ้นเชิงนั่นเอง
    <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd--><!-- / message --><!-- sig --> __________________
     

แชร์หน้านี้

Loading...