ภาษาเพื่อการสื่อสารและมารยาทการพูดคุยในสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กำลังเดินทาง, 27 สิงหาคม 2018.

  1. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    เวลานั่งสมาธิ
    สิ่งที่แท้จริงควรเป็นอย่างไร
    ..
    1. ภาษาในการสื่อสาร
    กับสิ่งที่พบเห็นในดวงจิต เช่น พระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ ญาตที่ล่วงลับไปแล้ว วิญญาณหรือดวงจิตอื่นๆ
    ทุกท่านใช้เป็นภาษาอะไร ในการสื่อสารกับท่านเหล่านี้ตามยศและฐานะ เพศ เชื่้อชาติ
    ภาษาประมาณนี่ เรียงตามลำดับชำนาญ (ภาษาแม่ และ 1,2,3)
    1. ภาษาถิ่นกำเนิดที่พ่อแม่ปลูกฝัง
    2. ภาษาไทยกลาง
    3. ภาษาต่างชาติที่เพิ่มเติมตอนภายหลัง
    ..
    สไตล์การพูดจา เช่น พูดเร็ว ช้า นิ่มนวล เสียงค่อย เสียงดัง
    ..
    ภาษาเป็นอะไรที่อึดอัด ตนเองรู้สึกอยากใช้ภาษาแม่ซึ่งเป็นอะไรที่เป็นตัวตนจริง ไม่เฟก รู้สึกสบายและพูดคุยตามสไตล์แบบฉบับของตนเองดังข้างต้น
    แต่ภาษาถิ่นของตนเองอาจฟังไม่ไพเราะ
    จนบ้างครั้งรู้สึกว่าผิด
    ทำให้เวลานั่งสมาธิหรือสื่อสารในดวงจิต
    เช่นทำการแผ่เมตตาจะอึดอัด
    พูดคุยสนทนากับพระพุทธเจ้าเสร็จ ก็จะรู้สึกผิดที่ไม่ได้ใช้ศัพท์แสงอันเหมาะสมถูกต้อง
    ..
    2. มารยาทในการพบปะหรือพูดคุยในสมาธิ
    พร้อมทั้งอิริยาบถ ลักษณะท่าทาง (ภาพนิมิตในใจ)
    จขกท รู้สึกอึดอัดอยากเป็นตัวของตนเอง
    (ที่เหมาะสมถูกต้องและตรงกับความรู้สึกจริง)
    เช่น รักก็คือรักไม่ต้องแสดงออกได้ไหม เคารพหรือเคารพหรือต้องมีการคลาน กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ได้ไหม
    เพราะเวลาอ่านพบเจอในอินเตอร์เน็ต
    เพื่อนธรรมะจะเป๊ะมากทั้งสำนวนภาษาที่สวยงาม กิริยามารยาท เวลาอ่านและมาเปรียบเทียบกับตนเองแล้วอดละอายใจไม่ได้ว่า ทำไมตนเองไม่เหมือนเขา
    ..
    ตนเองภาพเวลาที่พบพระในดวงจิต
    ความรู้สึกออกมาเต็มร้อยคือ รักและเคารพมาก เลื่อมใส ยกย่อง คุณคือฮีโร่น่ะ ยกโป้งให้เลย เยี่ยมชัดเจนไปเลย รักมากถึงมากที่สุดหาขอบเขตมาเปรียบเทียบไม่ได้
    แต่เวลานึกภาพ การคลานเข้ากราบ 3 ครั้ง ภาพไม่ชัด และเมื่ออยากให้ภาพชัดจะรู้สึกอึดอัด
    เราสามารถแค่รู้สึกได้ไหม ไม่ต้องมีภาพประกอบ เพราะความรู้สึกมันเต็มร้อยอยู่แล้ว

    ..
     
  2. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ฝึกแบบนี้ผิดทางแระครับ
    นานๆไปก็จะเพี้ยน อะไรนิดอะไรหน่อย พลังงาน วิญญาณ
    ลมพัดหน่อยก็นี่อะไร นั่น นู้น โอ้ย โดนของ โดนผี โดนพลังเบื้องบน สารพัดจะบรรยาย


    สิ่งที่พบเห็นของ จขกท. พวกเปรตทั้งนั้นแหละครับ อย่าไปสนใจ

    มั่นคงในกรรมฐานเข้าไว้ มีสติ สัมปชัญญะ แล้วจะข้ามพวกเปรตไปพบของจริง

    ไม่ต้องไปนั่งหลับตาสื่อสารในสมาธิหรอกครับ


    สิ่งที่เห็นในสมาธิ อย่าไปพยายามติดต่อสื่อสาร
    เพียงกำหนดรู้อารมณ์จิต ที่พบสิ่งเหล่านั้นก็พอ

    มั่นคงในกรรมฐานเข้าไว้
     
  3. ถวายบูชา

    ถวายบูชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +560
    ยิ่งฝึกยิ่งฟุ้งซ่านไหมครับท่าน
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    การสื่อสารทางจิต หากจิตมีความสามารถทำได้
    มันจะไม่มีลีลา ท่าทางอะไรประกอบครับ
    เพราะต้นกำเนิดมันมาจากตัวจิตครับ


    และภาษามันคลื่นความถี่ เป็นคลื่นเสียง ชนิดหนึ่ง
    ที่สร้างจากต้นกำเนิดของแรงก็คือตัวจิต
    หรือการกระทบกระทั้งกันของอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง
    จนเกิดเป็นเสียงขึ้นมาอย่างหลังพบได้ในสัตว์ตัวเล็กๆ
    หรือการใช้ร่างกายในการเคลื่อนไหวอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ก็สามารถแทนคลื่นความถี่เหล่านั้นได้ เพื่อความเข้าใจตรงกัน

    และภาษาทั่วๆไปเป็นสมมุติบัญญัติอย่างหนึ่ง เพื่อปรับคลื่นเสียง
    คลื่นความถี่เหล่านั้นให้ออกมาสื่อสารแล้วเข้าใจกันได้
    รวมทั้งการจารึกไว้ในรูปแบบของตัวอักษรก็เช่นกันครับ....

    เมื่อไม่มีร่างกาย ที่จะช่วยอุปโลกคลื่นเสียงเหล่านั้น
    ให้ผ่านออกมา เป็นภาษาเป็นตัวอักษรที่จะทำให้สื่อสารกัน
    เข้าใจแล้ว. มันก็จะเหลือแต่ต้นกำเนิดคลื่นอย่างเดียว
    ก็คือตัวจิตครับ....

    การที่เรา อยากเป็นตัวของตัวเอง อยากใช้ภาษาแบบนั้น
    นั่นหละดีแล้ว...
    เค้าเรียกว่า คนไม่ดัดจริตทางจิต คือ เป็นอย่างไรก็อย่างนั้น
    ยอมรับมันไปซะ....ดีกว่าไปเอา สิ่งต่างๆภายนอก
    แล้วมาปกปิดมัน มาข่มมันไว้ แบบนี้ไม่ดีหรอก
    จิตไม่พัฒนาครับ เพราะมันฝืนธรรมชาติของมันเอง
    แต่เมื่อเราอยู่กับสังคม ภาษากลาง ภาษาสุภาพก็
    มีความจำเป็นที่เราจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมด้วย
    พวกนี้เป็นเรื่องทางโลกครับ. ควรแยกกันระหว่าง
    ความเป็นตัวเองกับทางโลก แต่ก็ไม่ลืมว่า
    เรายังอยู่ในสภาพสังคมบนโลกนี้.....


    การนั่งสมาธิแล้วสามารถรับรู้ทางด้านนามธรรมต่างๆ
    ไม่ว่าจะทาง ตา หู กาย ลิ้น หรือ ทางจิตนั้น
    พวกนี้ ล้วนแล้วแต่ยังเป็นมายา ที่มีต้นกำเนิดที่สร้าง
    ขึ้นมาจากตัวจิตเราเองได้ทั้งครับ

    หากเราไปให้ความสำคัญ ก็จะกลายเป็นว่า
    เราไปยึดติดกับนามธรรมได้อย่างไม่รู้ตัว

    นามธรรมคือ อะไรที่เราจับต้องไม่ได้
    อยากให้มันคงอยู่นานๆก็ไม่ได้
    มองไม่เห็นได้ด้วยตาปกติ
    ให้มันเกิดตามใจเราไม่ได้ตลอดเวลา
    พวกนี้เป็นนามธรรมหมด มีทั้งอารมย์ ความรู้สึก
    คลื่น อากาศ เสียง ฯลฯ

    และยิ่งในทางปฏิบัติด้วยแล้ว หากเรายังไม่มีความ
    เข้าใจในนามธรรมต่างๆเหล่านี้ดีพอ
    ที่ได้จาก การเจริญสติจนจิตแยกรูปแยกนามได้
    หรือจิต เห็นว่า จิต ความคิดที่เกิดจากจิต และความคิด
    ที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจหรือขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    มันเป็นคนละส่วนกันแล้วในเบื้องต้นก่อน และก็เดินปัญญา
    มาซักระยะหนึ่งแล้ว จนจิตเราเริ่มคลาย ความยึดมั่น
    ถือมั่นในด้านนามธรรมต่างๆได้

    .....หากเราไปสนใจในเรื่องนามธรรม
    ต่างๆก่อนเลย
    จะทำให้เราเผลอไปยึดติดกับนามธรรมต่างๆเหล่านั้น
    ได้จนเราคาดไม่ถึง. สร้างให้เกิดเป็น จริต อนุสัย วิบาก
    อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เราต้องมีพฤติกรรมไปทางที่
    สนอง ทั้ง จริต อนุสัย วิบากจากการเผลอไปยึดนามธรรม
    ต่างๆเหล่านั้นครับ

    ดังนั้น เรื่องพวกนี้ ถ้ามันจะเกิดขึ้นเองก็ช่างมัน
    อย่าไปสนใจ อย่าไปยึดอะไรกับมัน
    ถ้ามันไม่เกิดขึ้นมา ก็อย่าไปสร้าง ไปตั้งใจให้มันเกิดขึ้น
    เรียกง่ายๆว่า จะมีหรือไม่มีก็ช่างมันครับ.....

    สิ่งๆต่างๆ ที่มองเห็นแท้แล้ว มันจะอยู่ในรูปของพลังงาน
    คลื่นความถี่ที่แตกต่างๆกัน.....กำลังสติทางธรรมที่ดีพอ
    จะทำให้เราแยกแยะ สิ่งๆต่างๆเหล่านั้นได้เอง แต่เรา
    ต้องไม่ไปยึดมันก่อน เพราะถ้าเรายึด ก็เสมือนว่า
    ตัวจิตเรา มันไปร่วมกับพลังงานต่างๆเหล่านั้นแล้ว
    มันจะทำให้เราแยกแยะไม่ออก...

    ที่เค้าเรียกว่า ผีหลอกในสมาธินั่นหละครับ....

    มายาจิตเป็นแค่กลจิตชนิดหนึ่ง
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ยึดไม่ได้ครับ....
    อย่าว่าแต่หลับตาเห็นเลย ยังห่างไกลครับ...

    ถ้าเรามีกำลังสติ กำลังสมาธิมากพอ ที่จะแยกแยะคลื่นความถี่
    ต่างๆได้ รู้ลักษณะการเกิดของคลื่นๆความถี่ต่างๆ
    แยกได้ว่า เป็นแบบไหนอะไรอย่างไร ด้วยตัวเราเอง
    และมีปัญญาทางธรรมที่จะทำให้เข้าใจและไม่ไปยึด
    ยังถือว่า อยู่ในระดับที่ปลอดภัยครับ......

    แต่ถ้ายังไม่ได้ตามนี้ แนะนำว่า อย่าไปสนใจ
    หรือให้ความสำคัญอะไรตรงนี้กับเรื่องแบบนี้ครับ...

    เพราะการเริ่มต้น ไปสนใจไปสัมผัสกับเรื่องแบบนี้
    โดยไม่เน้นเรื่องการเจริญสติ การเดินปัญญา
    เพื่อการลด ละ คลาย เพื่อไม่ให้มีแล้ว....
    จะไม่ถือว่าเป็นพุทธศาสนาครับ....

    กลุ่มที่เริ่มต้นด้วยเรื่องของการใช้อุบายหลอกว่า
    ทำแล้วมีความสามารถพิเศษโน้นนี่นั้น
    หรือบอกว่า เราเป็นระดับสูงๆโน้นนั่นนี้มาก่อน
    มันเป็นมุขของ พวกภูมิจิตอสูรกาย ที่บำเพ็ญ
    ทางสายอสูรชอบใช้กันครับ. ให้ระวังดีๆเรื่องนี้ครับ...

    ถ้าฝึกอะไร ทำอะไรแล้ว มันสร้างให้เรามีอัตตน มีตัวตน
    ต้องระวังว่า เรากำลังถูกพวกนี้ แอบเนียนตีกินเราได้ครับ

    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง...

     
  5. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    @ 315A4CC0-BBD5-402A-A272-4B0D78A55274.jpeg
    #########%%###############%%###%%##

    ..
    ขอบคุณครับ ‍‍♀️‍‍♀️
    ..
    o_O
     

แชร์หน้านี้

Loading...