มส.มีมติ

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 2 ธันวาคม 2005.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    โพสต์ทูเดย์
     
  2. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,268
    อนุโมทนาอย่างยิ่ง สาธุ สาธุ สาธุ ครับ

    [b-wai] [b-wai] [b-wai]

    (bb-flower
     
  3. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    สำนักพุทธฯมั่นใจเข้าวัดวันเสาร์พัฒนาคนได้จริง

    นางบุญศรี พานะจิตต์ รองผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีที่มหาเถรสมาคม (มส.) มีมติเห็นชอบให้วันเสาร์เป็นวันเข้าวัดของชาวพุทธว่า ที่ประชุม มส. ได้มอบให้ พศ. ตั้งคณะทำงานเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำกิจกรรมวันเสาร์ ซึ่งในเบื้องต้นตนได้ขอผลประเมิน “โครงการ ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ประจำปี 2547-2548 และโครงการครอบครัวอบอุ่นด้วยพระธรรม” มาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการออกแบบกิจกรรมสนับสนุนโครงการวันเสาร์เป็นวันเข้าวัด

    ซึ่งจากผลการสำรวจความคิดเห็นผู้เข้าร่วมโครงการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐทั่วประเทศ 2.5 แสนคน และผู้เข้าร่วมโครงการครอบครัวอบอุ่นด้วยพระธรรม ซึ่งเป็นนักเรียน ครูและประชาชนที่เข้าร่วมปฏิบัติธรรมจำนวน 598,170 คน พบว่าผู้เข้าร่วมโครงการร้อยละ 82.60 มีจิตใจที่ผ่อนคลายเกิดความสงบและมีอารมณ์มั่นคง, ร้อยละ 77.94 สามารถควบคุมอารมณ์และจิตใจของตนเองได้ดีขึ้น, ร้อยละ 82.58

    มีความเข้าใจกฎแห่งกรรมและมุ่งปฏิบัติตนตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา, ร้อยละ 85.45 ตั้งใจกำหนดศีล 5 เป็นมาตรฐานในการดำรงชีวิต, ร้อยละ 83.14 สามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติงานตามแนวทางที่ได้เรียนรู้จากการปฏิบัติธรรมให้แก่ผู้อื่นได้ และร้อยละ 72.84 ตั้งใจจะแบ่งเวลาฝึกฝนการปฏิบัติสมาธิอย่างต่อเนื่องทุกวันตลอดไป

    นางบุญศรี กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมีการประเมินผลผู้เข้าร่วมโครงการโดยผู้บังคับบัญชาหลังการอบรม พบว่าร้อยละ 83.70 มีสมาธิในขณะทำงาน, ร้อยละ 77.90 มีความอดทนอดกลั้นต่อสภาวะที่เกิดจากความกดดันต่าง ๆ จากการทำงาน, ร้อยละ 90.40 ปฏิบัติงานโดยยึดถือความถูกต้องและซื่อสัตย์, ร้อยละ 84.60 มีความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติหน้าที่, ร้อยละ 90.40 ตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ประสบความสำเร็จ,

    ร้อยละ 81.70 ทุ่มเทในการทำงานไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและปัญหา, ร้อยละ 76.90 มีการตรวจสอบติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของตนเองให้ได้ผลดีอยู่เสมอ, ร้อยละ 70.20 มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงาน, ร้อยละ 77.90 ใช้ความสามารถทางสติปัญญาในการปฏิบัติงานและแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติงาน, ร้อยละ 82.70 มุ่งมั่นปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์สุขให้แก่ประชาชน, ร้อยละ 80.80 นำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้ในการปฏิบัติงาน และร้อยละ 72.10 สามารถให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาแก่ผู้ร่วมงานในเรื่องการปฏิบัติงานโดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา

    “จากผลการประเมินโดยผู้บังคับบัญชาทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า ผู้ที่ผ่านการอบรมซึ่งเป็นพนักงานทั้งของรัฐและเอกชน มีพัฒนาการทางด้านพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งที่ผลการประเมินการทำงานก่อนเข้าอบรมจะอยู่ในระดับปานกลาง แต่หลัง ผ่านการอบรมจะมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นมาก โดยเฉพาะเรื่องของความตั้งใจในการทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำจนประสบความสำเร็จ รองลงมาได้แก่ความถูกต้องและความซื่อสัตย์” นางบุญศรี กล่าวและว่า

    อย่างไรก็ตามจากข้อมูลดังกล่าวยังพบว่าในการบริหารโครงการดังกล่าวยังต้องมีการปรับปรุงหลายข้อ เช่น เรื่องงบประมาณ บุคลากรไม่เพียงพอ และสถานที่ปฏิบัติธรรมบางแห่งยังต้องมีการปรับปรุงอีกมาก ซึ่งตนจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเสนอนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รองนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาใช้เป็นแนวทางในการสนับสนุนโครงการวันเสาร์เป็นวันเข้าวัดต่อไป.
     

แชร์หน้านี้

Loading...